30. ในการปล่อยมือจากสถานะ ฉันมีเสรีภาพ

โดย ห้าวลี่, ประเทศจีน

เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2019 ฉันรับตำแหน่งผู้นำในคริสตจักร  ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง ทันทีที่ฉันสามัคคีธรรมจบ พี่น้องหญิงคนหนึ่งก็พูดกับฉันว่า “พี่น้องหญิงห้าวลี่ วันนี้การสามัคคีธรรมของคุณให้ความรู้แจ้งจริงๆ  พอฟังแล้วปัญหาของฉันก็ได้รับการแก้ไข”  พี่น้องหญิงอีกคนพูดเสริมว่าเห็นด้วยกับเธอ  พอเห็นสายตาที่นับถือและเลื่อมใสของพวกเธอ ฉันก็ตื่นเต้นดีใจมาก และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระหยิ่มใจว่า “ฉันต้องเก่งกว่าพี่น้องชายหญิงคนอื่น  ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะเลือกฉันทำไม?”  ด้วยความที่ฉันแก้ปัญหาบางอย่างในการชุมนุมได้สำเร็จ คนอื่นจึงชอบมารายล้อมฉัน และพวกเขาจะขอให้ฉันสามัคคีธรรมเมื่อพวกเขามีปัญหาหรือมีเรื่องยากลำบาก  ฉันรู้สึกว่าตนเองมีคุณสมบัติเหมาะสมดีที่จะเป็นผู้นำ และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสูงส่งและทรงอำนาจอยู่บ้าง  ฉันรักความรู้สึกของการเป็นที่ชื่นชมและเลื่อมใสของผู้อื่น

วันหนึ่งขณะที่ฉันไปร่วมการชุมนุมของมัคนายกตามปกติ พี่น้องหญิงอู๋จื้อชิงได้เอ่ยว่าระยะนี้เธอใช้ชีวิตอยู่ในอุปนิสัยที่โอหัง และอยากเป็นคนชี้ขาดในหมู่คนที่ทำงานด้วยกันเสมอ  เธอรู้ว่าแบบนั้นไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่อาจละทิ้งตนเองได้  เธอจึงขอให้พวกเราช่วยโดยแบ่งปันการสามัคคีธรรม  ขณะที่ฉันกำลังจะเริ่มนั้น พี่น้องหญิงหานจิ้งอีที่เป็นมัคนายกข่าวประเสริฐของพวกเราก็เริ่มพูดขึ้นมา แบ่งปันพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประสบการณ์ของเธอเอง  ฉันสังเกตว่าจื้อชิงตั้งใจฟังและพยักหน้าตามด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม  ภาพนี้ทำให้ฉันไม่สบายใจอย่างมาก และฉันก็คิดว่า “ฉันเป็นผู้นำที่นี่ ฉันควรเป็นคนจัดการปัญหานี้  ทำไมคุณถึงแย่งมันไปจากฉัน?  คุณทำให้ฉันดูเหมือนไม่รู้วิธีจัดการเสียอย่างนั้น  ไม่มีทาง ฉันจะไม่ยอมให้คุณแย่งความสนใจไปจากฉัน ไม่อย่างนั้นทุกคนจะคิดว่าฉันเป็นถึงผู้นำ แต่กลับสู้มัคนายกไม่ได้  ฉันจำเป็นต้องเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเดี๋ยวนี้”  ดังนั้นขณะที่จิ้งอียังพูดไม่ทันจบดี ฉันที่ไม่สนใจเลยว่าปัญหาของจื้อชิงได้รับการแก้ไขอย่างเป็นที่น่าพอใจหรือไม่ จึงพูดขึ้นมาทันทีว่า “เจตนารมณ์หลักของพระเจ้าตอนนี้คือการเผยแผ่และเป็นพยานยืนยันให้แก่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร เพื่อให้มีผู้คนมากขึ้นได้ยินพระสุรเสียงและมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์โดยเร็วที่สุด”  ขณะที่สามัคคีธรรมนั้น ฉันก็จับตาดูจื้อชิงและไม่ได้รู้สึกสบายใจเลยจนกระทั่งเห็นว่าเธอตั้งใจฟัง  ทว่าทันทีที่ฉันพูดจบ จิ้งอีก็พูดต่อถึงวิธีการแบ่งปันข่าวประเสริฐ ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้วก็ดี  สิ่งที่เธอพูดนั้นชัดเจนมาก และฉันสังเกตเห็นว่าจื้อชิงฟังเธออย่างตั้งใจ พร้อมทั้งพยักหน้าตามไปด้วย  ฉันรู้สึกหงุดหงิดจริงๆ เหมือนนั่นเป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับฉัน พลางคิดว่า “ฉันเป็นผู้นำ และคุณเป็นมัคนายก ฉันจะทำงานสำเร็จได้อย่างไร ถ้าคุณกุมความได้เปรียบแบบนี้?  ถ้าทุกคนเริ่มยอมรับนับถือคุณ แล้วใครจะมาคำนึงถึงฉัน?”  พอคิดแบบนี้ ฉันก็ตัดบทจิ้งอีอย่างไม่ไว้หน้า และเริ่มแบ่งปันการสามัคคีธรรมของฉันเอง  นั่นเป็นช่วงเวลาที่น่ากระอักกระอ่วนจริงๆ  บ่ายวันนั้นจื้อชิงพูดขึ้นมาว่าขาดคนทำงานให้น้ำ และเธอไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไร  จิ้งอีจึงเริ่มสามัคคีธรรมถึงวิธีแก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง โดยผสมผสานประสบการณ์ของเธอเองเข้าไปอย่างกลมกลืน  ตอนนั้นเองที่ฉันเห็นจื้อชิงคอยพยักหน้ารับเป็นครั้งคราวอีกครา และฉันก็รู้สึกอิจฉามาก พลางคิดว่า “ฉันเป็นผู้นำ  คุณคิดว่าฉันไม่รู้วิธีสามัคคีธรรมกับเธอหรือ?  ดูเหมือนคุณจะนึกว่าตัวเองสามารถมาก แต่คุณก็แค่อวดตัวโดยไม่ดูสถานการณ์”  ฉันโมโหจิ้งอีจริงๆ และคิดว่าฉันควรขุดงานของเธอมาดูให้มากขึ้น และทำให้เธอสำนึกว่าเธอไม่ได้เก่งอย่างที่คิด เธอจะได้ไม่อวดตัวโดยไม่ดูหน้าดูหลังอีก  พอคิดแบบนี้ ฉันก็ถามเธอว่า “จิ้งอี งานข่าวประเสริฐของกลุ่มที่คุณจัดการอยู่ไม่ค่อยได้ผลนัก  คุณไม่ตั้งใจทำหรือเปล่า?”  พอได้ยินคำถามนี้ จิ้งอีก็ดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แล้วตอบกลับมาว่า “น้องสาว ฉันยอมรับสิ่งที่คุณพูดได้  ฉันจะกลับไปหาข้อสรุปว่าทำไมงานนั้นถึงไม่ประสบความสำเร็จ แล้วจะทบทวนตัวเองดู”  ฉันจึงรีบพูดต่อว่า “ถ้าอย่างนั้น พอกลับไปคุณต้องรีบหาข้อสรุปและพลิกสถานการณ์ที่เบี่ยงเบนไปกลับมาให้ได้  ในฐานะมัคนายกข่าวประเสริฐ บทบาทของคุณต้องนำคน  ไม่อย่างนั้น พี่น้องชายหญิงจะมีแรงจูงใจในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้อย่างไร?”  จิ้งอีพยักหน้ารับอย่างฝืนๆ เล็กน้อย  พอเห็นเธอคอตกไม่พูดไม่จา ฉันก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แต่ยังคงกระหยิ่มยิ้มย่องว่า “ท่าทางวางโตเมื่อครู่นี้ราวกับว่าฉันสู้คุณไม่ได้น่ะหายไปไหนแล้ว?  พอฉันซักเรื่องงานเข้าหน่อย คุณก็ไม่ได้ดูดีขนาดนั้น  เลิกกระหยิ่มใจแล้วหรือ?”  ด้วยเหตุนี้ฉันจึงกลับมารู้สึกมีตัวตนอีกครั้ง พูดจาอย่างมีอำนาจสั่งการอีกครั้ง และจัดแจงเตรียมงานอื่นๆ  ขณะนั้นท้องฟ้ามืดแล้ว จื้อชิงกับฉันยังมีงานอื่นที่ต้องหารือกันในค่ำวันนั้นอีก  เดิมทีฉันอยากให้จิ้งอีอยู่หารือกับพวกเราด้วย แต่ฉันก็กังวลว่าเธอจะแย่งความสนใจไปจากฉันอีก  แบบนั้นจะทำให้ฉันดูไร้ความสามารถหรือเปล่า?  ฉันคิดว่าให้เธอกลับบ้านไปดีกว่า  เมื่อเห็นเธอเดินจากไปด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ ฉันก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง พลางนึกสงสัยว่าเธอจะรู้สึกอึดอัดเพราะฉันไหม  แต่ในตอนนั้นฉันคิดอย่างนี้เพียงแวบเดียวแล้วก็ปล่อยผ่านไป ไม่ได้ทบทวนต่อ ฉันเพียงปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆ

สองสามวันผ่านไป ฉันได้เล่าสิ่งที่ฉันทำกับจิ้งอีให้พี่น้องหญิงหลี่ซือสิงที่ทำงานร่วมกับฉันฟัง  เธอตัดแต่งฉันโดยบอกว่า “นี่คืออุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์  ในฐานะผู้นำ เมื่อคุณกีดกันและข่มคนที่มีความสามารถมากกว่าคุณ นี่ย่อมเป็นปัญหาที่มีธรรมชาติร้ายแรงยิ่ง  สมาชิกคริสตจักรที่มีพรสวรรค์กว่าคุณจะไม่หมดแรงภายใต้การควบคุมดูแลของคุณหรอกหรือ?”  ได้ยินแบบนี้ ฉันก็รู้สึกผิดหวังและไม่สบายใจอย่างมาก  ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้  ฉันนึก ย้อนไปถึงปฏิสัมพันธ์ทั้งหมดที่ฉันมีกับจิ้งอี  ฉันใช้ข้อบกพร่องของเธอมากีดกันเธอออกไปเพื่อไม่ให้เธอเก่งเกินฉัน  ฉันกำลังขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของเธออยู่ไม่ใช่หรือ?  นั่นคือการทำชั่ว! ยิ่งใคร่ครวญพฤติกรรมของตัวเองมากเท่าใด ฉันก็ยิ่งรู้สึกกลัวมากเท่านั้น ฉันจึงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “โอ พระเจ้า!  เพราะซือสิงตัดแต่งข้าพระองค์ในวันนี้ ข้าพระองค์ถึงได้ตระหนักว่าการขัดขวางและผลักไสจิ้งอีออกไปคือการเปิดเผยอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ภายในตัวข้าพระองค์  ด้วยงานที่สำคัญเช่นนี้ หากข้าพระองค์ไม่แก้ไขอุปนิสัยนี้ ก็ไม่อาจรู้เลยว่าข้าพระองค์จะทำชั่วมากมายเพียงไหน!  โอ พระเจ้า!  ข้าพระองค์อยากเปลี่ยนแปลง ได้โปรดนำข้าพระองค์ด้วยเถิด”

หลังจากนั้นฉันก็อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “ศัตรูของพระคริสต์ยึดทุกสิ่งไปจากพระนิเวศของพระเจ้าและยึดเอาทรัพย์สินของคริสตจักร ทำเหมือนสิ่งเหล่านั้นเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของตนเอง จึงต้องให้ตนบริหารจัดการทั้งหมด และพวกเขาไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าไปก้าวก่ายเรื่องนี้  สิ่งเดียวที่พวกเขานึกถึงเวลาทำงานของคริสตจักรก็คือผลประโยชน์ของตนเอง สถานะของตนเอง และความภาคภูมิใจของตนเอง  พวกเขาไม่ยอมให้ใครทำให้ผลประโยชน์ของตนเสียหาย และยิ่งไม่ยอมให้คนที่มีขีดความสามารถหรือคนที่กล่าวคำพยานจากประสบการณ์ของตนได้ มาคุกคามความมีหน้ามีตาและสถานะของพวกเขา  ดังนั้นในฐานะคู่แข่ง พวกเขาจึงพยายามป้องปรามและกีดกันคนที่สามารถกล่าวคำพยานจากประสบการณ์ รวมทั้งสามารถสามัคคีธรรมความจริงและจัดเตรียมให้แก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้ และพวกเขาก็พยายามอย่างยิ่งที่จะแยกผู้คนเหล่านี้ออกจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง ทำให้ชื่อเสียงของคนเหล่านี้แปดเปื้อนด้วยประการทั้งปวง และโค่นล้มคนเหล่านี้ลง  เมื่อนั้นเท่านั้นที่ศัตรูของพระคริสต์จะรู้สึกมีสันติสุข  ถ้าผู้คนเหล่านี้ไม่เคยคิดลบ และสามารถทำหน้าที่ของตนต่อไป กล่าวคำพยานของตน และเกื้อหนุนผู้อื่น เช่นนั้นแล้วศัตรูของพระคริสต์ก็จะหันไปใช้ทางเลือกสุดท้าย ซึ่งก็คือการหาเรื่องและกล่าวโทษพวกเขา หรือใส่ความพวกเขา สร้างเหตุขึ้นมาทรมานและลงโทษพวกเขา จนทำให้พวกเขาถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร  เมื่อนั้นเท่านั้นที่ศัตรูของพระคริสต์จะรู้สึกผ่อนคลายอย่างเต็มที่  นี่คือสิ่งที่ร้ายกาจและโหดร้ายที่สุดเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์  สิ่งที่ทำให้พวกเขากลัวและกระวนกระวายใจที่สุดก็คือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและมีคำพยานจากประสบการณ์จริง เพราะผู้คนที่มีคำพยานดังกล่าวคือคนที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้ความเห็นชอบและเกื้อหนุนมากที่สุด ไม่ใช่คนที่พร่ำเพ้อเจ้อถึงวาจาและคำสอน  ศัตรูของพระคริสต์ไม่มีคำพยานจากประสบการณ์จริง และไม่สามารถปฏิบัติความจริง อย่างมากพวกเขาก็สามารถทำดีได้บ้างเพื่อประจบเอาใจผู้คน  แต่ไม่ว่าพวกเขาจะทำดีมากเท่าใดหรือกล่าวสิ่งที่ฟังเสนาะหูมากแค่ไหน ก็ยังเทียบไม่ได้กับประโยชน์และผลพลอยได้ที่คำพยานอันดีงามจากประสบการณ์สามารถมอบให้แก่ผู้คน  ไม่มีสิ่งใดทดแทนผลอันเกิดจากการจัดหาและการให้น้ำซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้รับจากผู้ที่สามารถกล่าวคำพยานจากประสบการณ์ของตน  ดังนั้นเมื่อศัตรูของพระคริสต์เห็นใครบางคนกล่าวคำพยานจากประสบการณ์ของตน สายตาจับจ้องของพวกเขาจึงกลายเป็นกริช  หัวใจของพวกเขาเดือดดาล ความเกลียดชังพลุ่งพล่าน และพวกเขาก็ทนแทบไม่ไหวที่จะปิดปากผู้พูดไม่ให้กล่าวอะไรอีกต่อไป  ถ้าคนเหล่านี้ยังพูดต่อ ความมีหน้ามีตาของศัตรูพระคริสต์ก็จะย่อยยับไปสิ้น ใบหน้าอันอัปลักษณ์ของพวกเขาก็จะถูกเปิดโปงให้ทุกคนมองเห็นอย่างชัดแจ้ง ดังนั้นศัตรูของพระคริสต์จึงหาข้ออ้างมาก่อกวนผู้ที่กำลังกล่าวคำพยาน และเพื่อยับยั้งพวกเขา  ศัตรูของพระคริสต์ยอมให้ตนเองชักพาผู้คนให้หลงผิดด้วยวาจาและคำสอนอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น ศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรถวายพระสิริแด่พระเจ้าด้วยการกล่าวคำพยานจากประสบการณ์ของตน ซึ่งบ่งบอกว่าศัตรูของพระคริสต์เกลียดและกลัวผู้คนประเภทไหนมากที่สุด  เมื่อใครบางคนทำให้ตนเองโดดเด่นขึ้นมาด้วยงานเล็กๆ น้อยๆ หรือเมื่อใครบางคนสามารถกล่าวคำพยานจากประสบการณ์จริง และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้รับประโยชน์ ได้รับความเจริญใจ และการเกื้อหนุน รวมทั้งได้รับการสรรเสริญจากทุกคนอย่างใหญ่หลวง ความอิจฉาและความเกลียดชังก็จะพอกพูนขึ้นในหัวใจของศัตรูพระคริสต์ พวกเขาพยายามกีดกันและกำราบคนคนนั้นเอาไว้  ไม่ว่าภายใต้รูปการณ์แบบใดพวกเขาก็ไม่ยอมให้ผู้คนดังกล่าวได้ทำงาน เพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้คุกคามสถานะของตน  ยามอยู่ต่อหน้าศัตรูของพระคริสต์ ผู้คนที่มีความเป็นจริงความจริงย่อมเน้นย้ำและส่งให้ความอ่อนด้อย ความน่าเวทนา ความอัปลักษณ์ และความเลวร้ายของศัตรูพระคริสต์เด่นชัดขึ้นมา ดังนั้นเมื่อศัตรูของพระคริสต์เลือกคู่ทำงานหรือเพื่อนร่วมงาน พวกเขาจึงไม่เคยเลือกผู้คนที่มีความเป็นจริงความจริง พวกเขาไม่เคยเลือกผู้คนที่สามารถกล่าวคำพยานจากประสบการณ์ของตนได้ และไม่เคยเลือกผู้คนที่ซื่อสัตย์หรือสามารถปฏิบัติความจริงได้  เหล่านี้คือผู้คนที่ศัตรูของพระคริสต์อิจฉาและเกลียดเป็นที่สุด และเป็นหนามยอกอกศัตรูของพระคริสต์(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง))  ฉันมองเห็นจากพระวจนะของพระเจ้าว่าอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์มีลักษณะเด่นคือ เห็นว่าอำนาจคือชีวิตของตน อยากผูกขาดทุกอย่างไว้คนเดียวอยู่เสมอเวลาทำหน้าที่ และอยากควบคุมจัดการ  เวลามีคนที่เก่งกว่าพวกเขา หรือคุกคามสถานะหรืออำนาจของพวกเขา พวกเขาก็จะกีดกันและกดขี่คนเหล่านั้น จนถึงจุดที่สร้างความเสียหายให้แก่งานของคริสตจักรอย่างผิดทำนองคลองธรรม  เมื่อย้อนทบทวนตัวเองตั้งแต่เริ่มรับตำแหน่งผู้นำ  ฉันไม่ได้สนใจว่าความรับผิดชอบในหน้าที่ของฉันมีอะไรบ้างและฉันควรจะทำงานให้สัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างไร แต่กลับสนใจเกียรติยศที่สถานะของฉันจะนำมาให้  เพื่อที่จะปกป้องสถานะเอาไว้ ฉันจึงไม่เปิดโอกาสให้ใครทำผลงานได้ดีกว่า  การสามัคคีธรรมถึงความจริงของจิ้งอีแก้ไขปัญหาของจื้อชิงได้  นั่นแสดงว่าเธอรับเป็นภาระ และนั่นเป็นสิ่งดี เพียงแต่ฉันไม่ได้มีความสุขที่สภาวะของจื้อชิงได้รับการแก้ไข  ฉันกลับกลัวว่าจิ้งอีจะดูเก่งกว่าฉัน และร้อนใจว่าตัวเองจะสูญเสียที่ทางของตนในหัวใจของคนอื่น แล้วพวกเขาก็จะไม่นับถือฉันอีกต่อไป  ฉันจึงจงใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อไม่ให้จิ้งอีมีโอกาสพูด  เมื่อเห็นคนอื่นสรรเสริญการสามัคคีธรรมของเธอ ฉันก็จงใจสร้างความลำบากให้เธอด้วยการถามถึงงานของเธอ  ฉันทำให้เธอดูแย่และจะไม่ปล่อยไปจนกว่าคนอื่นจะเลิกนับถือเธอ  เพื่อที่จะทำให้ตำแหน่งของฉันมั่นคง ฉันถึงกับใช้กลวิธีที่ชั่วและน่าดูหมิ่นนี้เพื่อกดขี่และกีดกันผู้คนที่สามารถสามัคคีธรรมถึงความจริง  ธรรมชาติของฉันช่างชั่วจริงๆ!  ฉันเผยอุปนิสัยแห่งศัตรูของพระคริสต์ออกมาให้เห็นมิใช่หรือ?  ฉันนึกถึงศัตรูของพระคริสต์ที่เพิ่งถูกคริสตจักรขับไล่ออกไปเมื่อไม่กี่วันก่อน  เขาคอยกดขี่และกีดกันพี่น้องชายหญิงที่เห็นต่างหรือเก่งกว่าตนอยู่เสมอ ไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักรเลย  เขาจึงลงเอยด้วยการถูกขับไล่เพราะทำความชั่วสารพัด เมื่อมองดูทุกสิ่งที่ฉันทำกับจิ้งอีแล้ว ฉันแตกต่างจากศัตรูของพระคริสต์คนนั้นตรงไหน?  ฉันกำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์

ต่อมา ฉันได้อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสำคัญหรือไม่ เจ้าจำเป็นจะต้องมีใครสักคนอยู่ตรงนั้นเสมอเพื่อคอยช่วยเหลือเจ้า ให้คำชี้แนะและคำแนะนำ หรือร่วมมือทำสิ่งต่างๆ กับเจ้า  นี่เป็นทางเดียวที่จะแน่ใจได้ว่าเจ้าจะทำสิ่งทั้งหลายให้ถูกต้องยิ่งขึ้น ผิดพลาดน้อยลง และมีแนวโน้มที่จะหลงผิดน้อยลง—นี่จึงเป็นเรื่องดี  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับใช้พระเจ้านั้นเป็นเรื่องใหญ่ และการไม่แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองก็อาจทำให้เจ้ามีภัยได้!  เมื่อผู้คนมีอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน พวกเขาสามารถต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้าเมื่อใดและที่ใดก็ได้  ผู้คนที่ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานสามารถปฏิเสธ ต่อต้าน และทรยศพระเจ้าได้ทุกเมื่อ  ศัตรูของพระคริสต์นั้นโง่เขลามาก พวกเขาไม่ตระหนักในเรื่องนี้ คิดไปว่า ‘กว่าจะมีอำนาจ ฉันก็เจอปัญหามามากพอแล้ว จะแบ่งอำนาจให้ใครอื่นเพื่ออะไร?  การมอบอำนาจให้คนอื่นหมายความว่าฉันจะไม่มีอำนาจเป็นของตัวเองไม่ใช่หรือ?  แล้วถ้าไม่มีอำนาจ ฉันจะแสดงความสามารถพิเศษและฝีมือของตัวเองได้อย่างไร?’  พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ผู้คนนั้นไม่ใช่อำนาจหรือสถานะ แต่เป็นหน้าที่  ศัตรูของพระคริสต์ยอมรับแต่อำนาจและสถานะเท่านั้น พวกเขาละเลยหน้าที่ และไม่ทำงานจริง  แต่กลับไล่ตามไขว่คว้าเพียงชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ เอาแต่อยากชิงอำนาจ ควบคุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และหลงระเริงกับผลประโยชน์จากสถานะเท่านั้น  การทำสิ่งต่างๆ แบบนี้อันตรายมาก—นี่คือการต่อต้านพระเจ้า!  ใครก็ตามที่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ แทนที่จะทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม ย่อมกำลังเล่นกับไฟและเล่นกับชีวิตของตนเอง  ผู้ที่เล่นกับไฟและชีวิตของตนย่อมจะพาให้ตัวเองจบสิ้นได้ทุกขณะ  วันนี้ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน เจ้ากำลังรับใช้พระเจ้า ซึ่งไม่ใช่เรื่องธรรมดา  เจ้าไม่ได้กำลังทำสิ่งต่างๆ เพื่อใครบางคน และยิ่งไม่ได้ทำงานเพื่อชำระค่าใช้จ่ายและหาอาหารมาเลี้ยงดูครอบครัว แต่เจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนในคริสตจักร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงว่าหน้าที่นี้มาจากพระบัญชาของพระเจ้า การปฏิบัติหน้าที่แสดงนัยว่าอย่างไร?  ว่าเจ้าต้องรายงานหน้าที่ของเจ้าต่อพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีหรือไม่ก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วต้องมีคำอธิบายต่อพระเจ้า และต้องมีผลลัพธ์  สิ่งที่เจ้าได้รับไว้แล้วคือพระบัญชาของพระเจ้า เป็นความรับผิดชอบอันศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นไม่ว่าความรับผิดชอบนี้จะสำคัญหรือเล็กน้อยเพียงใด ก็เป็นเรื่องจริงจัง  จริงจังขนาดไหน?  ถ้ามองในวงแคบ นี่คือเรื่องที่ว่าเจ้าสามารถได้มาซึ่งความจริงในชีวิตนี้หรือไม่และพระเจ้าทรงมองเจ้าว่าอย่างไร  ถ้ามองภาพให้กว้างขึ้น นี่สัมพันธ์โดยตรงกับโอกาสในอนาคตและชะตากรรม รวมทั้งจุดจบของเจ้า ถ้าเจ้าทำความชั่วและต่อต้านพระเจ้า เจ้าก็จะถูกกล่าวโทษและลงทัณฑ์  พระเจ้าทรงบันทึกทุกสิ่งที่เจ้าทำเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน พระเจ้าทรงมีหลักธรรมและมาตรฐานของพระองค์เองว่าจะให้คะแนนและประเมินอย่างไร พระเจ้าทรงพิจารณาจุดจบของเจ้าตามทุกสิ่งที่เจ้าสำแดงออกมาเวลาปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง))  ฉันได้เรียนรู้จากพระวจนะของพระเจ้าว่าการเป็นผู้นำหรือคนทำงานเป็นงานสำคัญที่จะทำเป็นเล่นไม่ได้  คุณจะโอหังหรือเอาแต่ใจไม่ได้ การทำงานดังกล่าวพึงต้องมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าและมีความร่วมมืออย่างกลมเกลียวกับพี่น้องชายหญิงคนอื่น  คุณจำเป็นต้องแสวงหาความจริงให้มากขึ้นและฟังข้อเสนอแนะของคนอื่น คุณจะได้ไม่มีแนวโน้มที่จะเลือกเส้นทางที่ผิดพระเจ้าประทานขีดความสามารถแก่ทุกคนแตกต่างกันไป และแต่ละคนก็มีความเข้าใจของตนเอง  คนคนหนึ่งย่อมมีประสบการณ์ที่จำกัดและมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้จากมุมมองเดียว  การที่จะบรรลุผลลัพธ์ที่ดีในหน้าที่ของพวกเรานั้นพึงต้องใช้ความร่วมมือของทุกคน และพึงต้องให้พวกเราชดเชยส่วนที่อีกฝ่ายไม่มี  จิ้งอีเสนอแนะวิธีปฏิบัติที่ดี ซึ่งชดเชยสิ่งที่การสามัคคีธรรมของฉันยังขาดไปได้อย่างพอดิบพอดี  นั่นเป็นสิ่งที่ดี!  แต่ฉันกลับเห็นสถานะสำคัญกว่าสิ่งอื่น ฉันจึงต้องการแต่จะอวดตนและทำให้คนอื่นมานับถือฉัน มาเคารพบูชาฉัน  การเห็นจิ้งอีสามัคคีธรรมได้ดีและดึงความสนใจไปจากฉัน ทำให้ฉันกีดกันเธอและกดขี่เธอ  ฉันกำลังใช้ชีวิตตามอย่างพิษของซาตาน เช่น “ทั่วทั้งจักรวาลนี้ เราเท่านั้นที่ครองราชย์สูงสุด” และ “จ่าฝูงมีได้เพียงหนึ่ง” มิใช่หรือ?  ฉันไม่ได้สนใจว่าการสามัคคีธรรมของพวกเราเกิดผลหรือไม่ หรือพี่น้องชายหญิงหาทางแก้ไขสภาวะของพวกเขาได้หรือไม่  ฉันไม่ได้คำนึงด้วยซ้ำว่าจิ้งอีจะรู้สึกอึดอัดหรือเจ็บปวดหรือไม่  ฉันมุ่งมั่นไล่ตามไขว่คว้าที่จะตอบสนองความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของฉัน  ฉันช่างน่าดูหมิ่น!  ฉันรับหน้าที่เป็นผู้นำคริสตจักร แต่ไม่อาจพาพี่น้องชายหญิงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้  ฉันไม่ได้ช่วยให้คนอื่นรู้จักพระเจ้า แต่กลับอยากควบคุมพวกเขาไว้ในกำมือของตัวเอง อยากให้พวกเขายกย่องนับถือฉันและโคจรอยู่รอบตัวฉัน  นั่นคือการต่อต้านพระเจ้า เป็นการเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์!  ถ้าฉันไม่กลับใจ ฉันก็จะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและถูกกำจัดออกไปอย่างแน่นอน

เมื่อย้อนนึกถึงสิ่งที่ฉันปฏิบัติต่อจิ้งอี ฉันก็มองเห็นว่าอุปนิสัยของฉันมุ่งร้ายขนาดไหน และฉันไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์อย่างไร  ฉันรู้สึกรังเกียจและดูหมิ่นตัวเอง และอยากแสวงหาเส้นทางปฏิบัติเพื่อแก้ไขอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตนเองโดยเร็วที่สุด  ภายหลังฉันได้ดูวิดีโอที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “มีหลักธรรมอยู่ในการกระทำของพระเจ้า  แนวทางที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษยชาตินั้นเป็นแนวทางของการชื่นชู การมีน้ำใจคำนึงถึง และความรัก  พระเจ้าต้องประสงค์สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้คน—นี่คือต้นกำเนิดและเจตนารมณ์ดั้งเดิมเบื้องหลังการกระทำทั้งปวงของพระเจ้า  ในทางตรงกันข้าม ซาตานกลับอวดตัว ยัดเยียดสิ่งต่างๆ ให้แก่ผู้คน ทำให้พวกเขาเคารพบูชาและถูกชักพาให้หลงผิด และชักนำพวกเขาให้เสื่อมทรามลง เพื่อให้พวกเขาค่อยๆ กลายเป็นมารที่มีชีวิตและมุ่งหน้าไปสู่การทำลายล้าง  แต่เมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า ถ้าเจ้าเข้าใจและได้มาซึ่งความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถหนีพ้นจากอิทธิพลของซาตานและบรรลุความรอด—เจ้าจะไม่เผชิญจุดจบที่เป็นการถูกทำลายล้าง  ซาตานไม่สามารถทนเห็นผู้คนประสบความสำเร็จ และมันก็ไม่สนใจว่าผู้คนจะมีชีวิตอยู่หรือตายไป มันสนใจแต่ตัวเอง ผลประโยชน์ของตัวเอง และความหรรษาของตัวเองเท่านั้น และซาตานไม่มีความรัก ความกรุณา การยอมผ่อนปรน และการให้อภัย  ซาตานไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ พระเจ้าเท่านั้นที่มีสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้  พระเจ้าทรงพระราชกิจมากมายในตัวมนุษย์ แต่พระองค์เคยตรัสถึงการนั้นบ้างหรือไม่?  พระองค์เคยตรัสอธิบายเรื่องนั้นบ้างหรือไม่?  พระองค์ทรงเคยประกาศเรื่องนั้นบ้างหรือไม่?  ไม่เคย  ไม่ว่าผู้คนจะเข้าใจพระเจ้าผิดไปอย่างไร พระองค์ก็ไม่ทรงอธิบาย… พระเจ้าถ่อมพระทัยและทรงซ่อนเร้น และซาตานก็โอ้อวดตัวมันเอง  มีความแตกต่างกันหรือไม่?  ระหว่างการอวดตัวกับความถ่อมใจและการซ่อนเร้น อย่างไหนคือสิ่งที่เป็นบวก?  (ความถ่อมใจและการซ่อนเร้น)  จะสามารถบรรยายซาตานว่าถ่อมใจได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เพราะเหตุใด?  เมื่อตัดสินตามแก่นแท้ธรรมชาติอันเลวร้ายของมันแล้ว ซาตานก็คือขยะไร้ค่าชิ้นหนึ่ง การที่ซาตานจะไม่อวดตัวย่อมจะผิดปกติ  จะสามารถเรียกซาตานว่า ‘ถ่อมใจ’ ได้อย่างไรกัน?  ‘ความถ่อมใจ’ เป็นการพูดถึงพระเจ้า  พระอัตลักษณ์ แก่นแท้ และพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสูงส่งและทรงเกียรติ แต่พระองค์ไม่เคยโอ้อวด  พระเจ้าถ่อมพระทัยและซ่อนเร้น ดังนั้นผู้คนจึงมองไม่เห็นสิ่งที่พระองค์ทรงลงมือทำไปแล้ว แต่ขณะที่พระองค์ทรงพระราชกิจในความบดบังดังกล่าว มนุษยชาติก็ได้รับการจัดเตรียม การบำรุงเลี้ยง และการทรงนำอย่างไม่หยุดหย่อน—และทั้งหมดนี้จัดการเตรียมการโดยพระเจ้า  การที่พระเจ้าไม่เคยแถลงให้รู้เรื่องเหล่านี้ ไม่เคยเอ่ยถึงสิ่งเหล่านี้ นี่คือความซ่อนเร้นและความถ่อมใจมิใช่หรือ?  แน่นอนว่าที่พระเจ้าถ่อมพระทัยก็เพราะพระองค์สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ไม่เคยตรัสถึงหรือประกาศให้รู้ และไม่ทรงโต้แย้งกับผู้คนในเรื่องเหล่านี้  เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะพูดถึงความถ่อมใจในเมื่อเจ้าไม่สามารถทำเรื่องดังกล่าวได้?  เจ้าไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้นแต่อย่างใด แต่กลับดึงดันที่จะรับเอาความดีความชอบในสิ่งเหล่านั้น—นี่เรียกว่าการไร้ยางอาย(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เจ็ด: พวกเขาเลว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง (ภาคที่สอง))  พระวจนะบทตอนนี้ของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็นว่าพระเจ้าทรงซ่อนเร้นและถ่อมพระทัยเพียงใด  พระองค์คือพระผู้สร้าง ทรงพระราชกิจ นำมวลมนุษย์และประทานทุกสิ่งที่จำเป็นต่อความอยู่รอดของพวกเรามาโดยตลอด แต่พระองค์ก็ไม่เคยทรงโอ้อวด  พระองค์ทรงแสดงความจริงอย่างเงียบๆ และทรงพระราชกิจเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดเท่านั้น  แก่นแท้ของพระเจ้าช่างน่าชื่นชม ช่างดีงาม!  ขณะที่ตัวฉันกลับต้องการอวดตนในทุกที่  เมื่อเข้ารับตำแหน่งผู้นำ ฉันก็ขึ้นไปยืนบนแท่นแล้วไม่ยอมลง  ครั้นพี่น้องหญิงของฉันสามัคคีธรรมถึงวิธีปฏิบัติอันดี ฉันก็ไม่เปิดใจเพื่อแสวงหาความจริง  ฉันไม่ยอมให้ใครทำได้ดีกว่า  ฉันช่างโอหังเหลือเกิน!  ฉันเป็นผู้นำ แต่ไม่บ่มเพาะหรือแนะนำคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง กลับกีดกันและกดขี่พวกเขาแทน  ฉันคิดแต่วิธีปกป้องสถานะของตนเอง วิธีทำให้คนอื่นนับถือและยกย่องฉัน  ฉันไม่รู้จักละอายและมีลักษณะนิสัยที่น่าดูหมิ่นจริงๆ!  ฉันจึงรีบอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่า “โอ พระเจ้า!  อุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ของข้าพระองค์ร้ายแรงนัก  ข้าพระองค์อยากกลับใจ อยากอยู่ในที่อันชอบธรรมของตนและทำหน้าที่ของตนตามความเป็นจริง”  จากนั้นฉันก็ไปพบปะทุกกลุ่มเพื่อสามัคคีธรรมกับทุกคนถึงวิธีเผยแผ่ข่าวประเสริฐของจิ้งอี  เสร็จแล้วฉันก็ตีแผ่และชำแหละเปิดโปงความเสื่อมทรามที่ฉันแข่งขันกับจิ้งอีเพื่อสถานะ รวมถึงอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ของฉัน  การปฏิบัติเช่นนี้ทำให้ฉันรู้สึกสงบและเปี่ยมด้วยสันติสุขอย่างยิ่ง

ในเวลาต่อมา เมื่อพบว่าตนเองอยู่ในสภาวะของการแข่งขันกับผู้อื่นเพื่อสถานะ ฉันก็จะปฏิบัติความจริงอย่างมีสติ  วันหนึ่งฉันกำลังร่วมชุมนุมกับหัวหน้ากลุ่มสองสามคน รวมทั้งพี่น้องหญิงหยางกวงที่ค่อนข้างเข้ากับคนอื่นได้ง่าย เธอดูกระตือรือร้นมากตั้งแต่เริ่มชุมนุม ทั้งยังร่วมตอบคำถามของคนอื่นอย่างแข็งขัน  เธอเป็นจุดสนใจอยู่ตลอดเวลา  มีช่วงหนึ่งที่พวกเราคุยกันว่าจะแยกการชุมนุมสำหรับผู้เชื่อใหม่อย่างไร ทันทีที่ฉันพูดจบ หยางกวงก็ให้ข้อเสนอแนะที่ต่างออกไปทันที  ถึงฉันจะรู้สึกว่าเธอพูดถูก แต่เมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงต่างเห็นด้วยกับเธอ และสายตาของทุกคนเปลี่ยนไปจับจ้องเธอ ฉันก็รู้สึกเหมือนเสียหน้า พลางคิดว่า “หยางกวงกลายเป็นจุดสนใจไปเสียแล้ว ส่วนฉันกลับเล่นเป็นตัวประกอบ  ฉันเป็นผู้นำ แต่ก็เหมือนเป็นแค่ของประดับฉากมิใช่หรือ?”  ทันทีที่คิดแบบนี้ ฉันก็ตระหนักว่าฉันกำลังแข่งขันเพื่อสถานะอีกแล้ว คิดต่อสู้เพื่อให้ได้รับความสนใจ  ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ ว่าฉันเต็มใจที่จะละวางตนเองและทำงานกับหยางกวงให้ดี และฉันจำเป็นต้องมีการทรงนำของพระองค์เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาวะที่ไม่ถูกต้องนี้  ฉันหวนนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “เจ้าต้องปล่อยมือจากตำแหน่งผู้นำทั้งหลาย ปล่อยมือจากการทำตัวราวกับเจ้ามีสถานะอันยิ่งใหญ่ ปฏิบัติต่อตนเองเหมือนคนทั่วไป ยืนอยู่ระดับเดียวกับผู้อื่น และมีท่าทีที่รับผิดชอบหน้าที่ของตน  หากตลอดเวลาเจ้าปฏิบัติต่อหน้าที่ของเจ้าเหมือนเป็นตำแหน่งและสถานะของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือเป็นความสำเร็จประเภทหนึ่ง และจินตนาการว่าผู้อื่นอยู่ตรงนั้นเพื่อทำงานและรับใช้ตำแหน่งของเจ้า นี่ย่อมเป็นปัญหา และพระเจ้าก็จะทรงชิงชังและรังเกียจเจ้า  หากเจ้าเชื่อว่าเจ้าทัดเทียมกับผู้อื่น เจ้าเพียงแต่มีพระบัญชาและความรับผิดชอบจากพระเจ้าเพิ่มขึ้นมาบ้างเท่านั้น หากเจ้าสามารถเรียนรู้ที่จะวางตัวเสมอพวกเขา และถึงกับสามารถถ่อมตัวถามว่าผู้อื่นคิดอย่างไร หากเจ้าสามารถรับฟังอย่างจริงจัง ใกล้ชิด และตั้งใจ ว่าพวกเขาพูดอะไร เช่นนั้นแล้วเจ้าจะร่วมมือกับผู้อื่นได้อย่างกลมเกลียว(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง))  พระวจนะบทตอนนี้ของพระเจ้าได้ให้เส้นทางปฏิบัติแก่ฉัน  คริสตจักรมอบโอกาสให้ฉันรับใช้ในฐานะผู้นำ ไม่ใช่เพื่อให้ฉันมีสถานะ แต่เพื่อให้ฉันสามารถทำงานร่วมกับทุกคนได้อย่างปรองดองเพื่อที่จะทำหน้าที่ให้ถูกต้องเหมาะสม  ฉันจะมัวพะวงกับความมีหน้ามีตาและสถานะของตนหรือแข่งขันกับผู้อื่นเพื่อชื่อเสียงไม่ได้  ข้อเสนอแนะของหยางกวงนั้นถูกต้อง ฉันจึงควรยอมรับ แบบนั้นย่อมจะดีต่องานของคริสตจักรที่สุด  เมื่อเธอพูดจบ ฉันจึงแสดงความเห็นด้วย และบอกพี่น้องชายหญิงคนอื่นให้ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของเธอ  ฉันไม่แข่งขันกับเธอในหัวใจของฉันอีกต่อไป  ในการชุมนุมครั้งนั้น ทุกคนต่างแบ่งปันความคิดเห็นของตัวเองอย่างเปิดเผย และเป็นการประชุมที่มีประสิทธิผลจริงๆ  ได้เห็นแบบนี้ฉันก็มีความสุขมาก และรู้สึกขอบคุณการทรงนำของพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง  ฉันตระหนักว่าการให้ความร่วมมือกับผู้อื่นเป็นอย่างดีโดยไม่มีสถานะมาเป็นข้อจำกัดนั้นเป็นอิสระมากจริงๆ

ด้วยประสบการณ์นี้เอง ฉันจึงมองเห็นว่าตัวเองกีดกันและกดขี่ผู้คนเพื่อเสริมให้สถานะของตนแข็งแกร่งขึ้นอย่างไร  ฉันมองเห็นว่าฉันใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน สามารถทำชั่วและต้านทานพระเจ้าได้ทุกขณะ  การไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นอันตรายอย่างไม่น่าเชื่อ!  พระวจนะแห่งการเปิดโปงของพระเจ้า และการเปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหลาย ทำให้ฉันมองเห็นอย่างชัดเจนว่าฉันอยู่บนเส้นทางที่ผิด และทำให้ฉันสามารถเปลี่ยนแปลงได้บ้าง  ฉันยังรู้สึกอย่างแท้จริงด้วยว่าตราบใดที่พวกเราไล่ตามเสาะหาความจริงและพยายามแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองอย่างสุดหัวใจ พระเจ้าจะทรงนำทาง  ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ก่อนหน้า: 29. การพิพากษาคือความรักของพระเจ้า

ถัดไป: 31. ความไม่ละอายแห่งการโอ้อวด

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger