54. ฉันเลิกบ่นว่าตัวเองมีชะตากรรมที่เลวร้ายแล้ว
ฉันเกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ตอนที่ฉันเรียนมัธยมปลาย พ่อแม่จ่ายค่าเล่าเรียนไม่ไหว จึงพยายามไปขอยืมเงินจากลุง แต่คุณป้ากลัวว่าเราจะจ่ายคืนไม่ไหว เลยไม่ยอมให้ยืม ฉันคิดในใจว่า “ฉันต้องกระเสือกกระสนสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ และทำให้คนรอบข้างชื่นชมครอบครัวเรา” ตอนเรียนหนังสือ เพื่อประหยัดเงิน ฉันกินแค่แป้งแผ่นที่เอามาจากบ้านเท่านั้น เพราะขาดสารอาหารเป็นเวลานานจนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ฉันเลยเวียนหัวจนหน้ามืดอยู่เรื่อยๆ และส่งผลต่อประสิทธิภาพในการเรียนด้วย สุดท้าย ฉันก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติด ฉันร้องไห้โฮและบ่นว่าชะตากรรมของตัวเองช่างแสนลำเค็ญ แต่ฉันไม่เต็มใจที่จะยอมรับชะตากรรมนี้ เพื่อที่จะได้วุฒิการศึกษาสูงๆ และโดดเด่นกว่าคนอื่น ฉันจึงไปสมัครสอบการศึกษาผู้ใหญ่ หลักสูตรบัญชี และถึงกับไปสอบเข้ารับราชการ แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน สุดท้ายฉันก็ยังล้มเหลวอยู่ดี ฉันเลยไปทำงานโรงงาน เพื่อจะได้เป็นเจ้าหน้าที่สถิติในแผนกผลิตและเป็นที่ชื่นชมของคนอื่น ฉันจึงทำงานล่วงเวลาและอยู่ดึกเพื่อศึกษาหาความรู้ด้านสถิติในขณะที่คนอื่นกำลังพักผ่อน ฉันหักโหมงานเกินสิบชั่วโมงทุกวัน แถมทำงานล่วงเวลาและนอนดึกทุกคืน ฉันทำงานหนักจนมึนหัวและหมดแรง ถึงขนาดเผลอหลับในที่ทำงาน ผลก็คือ ฉันคำนวณจำนวนสินค้าผิดพลาด จนเกือบจะทำให้โรงงานเสียหายอย่างหนัก ผู้นำทีมตำหนิฉันต่อหน้าพนักงานทุกคนในแผนก ตอนนั้น ฉันแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี ฉันมึนหัวและเป็นลมล้มพับตรงนั้นเลย ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็ป่วยเป็นโรคประสาทหูเสื่อม และกระทบกระเทือนอะไรไม่ได้เลย พอต้องทำงานภายใต้ความกดดันมากๆ ฉันจะรู้สึกเวียนหัวและมีเสียงหวีดในหู ทั้งฉีดยาทั้งกินยาก็รักษาไม่หาย และฉันก็ไม่สามารถไปทำงานได้อีก ตอนนั้น ฉันทุกข์ใจมาก และบ่นทั้งวันว่าทำไมชะตากรรมของตัวเองถึงได้เลวร้ายขนาดนี้ ฉันมักจะขังตัวเองอยู่ในห้องแล้วร้องไห้ ถึงขนาดคิดอยากจะตาย เพราะฉันใช้ชีวิตอย่างอัดอั้นและทุกข์ใจมานาน การสูญเสียการได้ยินจึงค่อยๆ แย่ลง
ในปี 2013 พ่อแม่สามีของฉันได้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย และมาประกาศข่าวประเสริฐกับฉัน ฉันรู้สึกมีอิสระเสรีเป็นพิเศษเมื่อได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าและใช้ชีวิตในคริสตจักรร่วมกับพี่น้องชายหญิง แล้วอารมณ์ของฉันก็ค่อยๆ ดีขึ้น และฉันกลับมามีความหวังในชีวิตอีกครั้ง ต่อมา ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำในคริสตจักร ฉันคิดในใจว่า “ในสังคม ฉันจ่ายราคาสูงมาก แต่สุดท้ายก็สูญเปล่า ตอนนี้แม้จะเพิ่งเข้าพระนิเวศของพระเจ้า แต่ก็ได้ทำหน้าที่ผู้นำแล้ว การเชื่อในพระเจ้านั้นดีกว่า ฉันต้องขยัน บางทีในอนาคตอาจจะได้เลื่อนขั้น และได้รับการชื่นชมจากผู้คนมากขึ้นก็ได้” ฉันจึงทำหน้าที่อย่างกระตือรือร้นมากขึ้น ฉันยุ่งอยู่กับการนำการชุมนุมกลุ่มตลอดทั้งวัน ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออก พี่น้องชายหญิงก็ชมเชยฉันที่แบกรับภาระหน้าที่ ต่อมาฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้ประกาศ เมื่อได้สถานะดังปรารถนา ฉันก็ยิ่งมีแรงทำหน้าที่มากขึ้น ขณะที่ฉันกำลังเพลิดเพลินกับการชื่นชมจากพี่น้องชายหญิง อุบัติเหตุแก๊สพิษก็ทำให้อาการหูหนวกของฉันทรุดลง ระหว่างการชุมนุม ถ้าพี่น้องชายหญิงพูดเบา ฉันจะได้ยินไม่ชัด และฉันมักจะถูกจำกัดด้วยอาการหูหนวกจนตกอยู่ในสภาวะคิดลบ สุดท้าย ฉันก็ทำงานจริงไม่ได้ และได้รับมอบหมายงานใหม่ เมื่อคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำหน้าที่ผู้นำและไม่ได้รับการชื่นชมจากผู้อื่นอีกต่อไป ฉันก็ยิ่งบ่นว่าชะตากรรมของตัวเองเลวร้าย หลังจากนั้น ฉันไม่สามารถฉุดตัวเองขึ้นมาได้อีก และสูญเสียความเชื่อในพระเจ้า
ต่อมา หลังจากรับการรักษาระยะหนึ่ง การได้ยินของฉันก็ดีขึ้นบ้าง และผู้นำก็จัดแจงให้ฉันทำหน้าที่ให้น้ำ ฉันคิดในใจว่า “ถ้าฉันสร้างผลงานในหน้าที่ให้น้ำได้บ้าง ฉันจะได้รับการชื่นชมจากพี่น้องชายหญิงเหมือนกัน” ฉันจึงอ่านหลักธรรมที่เกี่ยวข้องและเสริมสร้างตัวเองด้วยความจริงทุกวัน และมักจะอยู่จนถึงห้าทุ่มเที่ยงคืน ผลงานในหน้าที่ค่อยๆ ดีขึ้น แถมยังได้รับการเลื่อนขั้นให้รับผิดชอบงานในขอบเขตที่กว้างขึ้นด้วย พอคิดว่าจะได้รับการชื่นชมจากพี่น้องชายหญิงอีกครั้ง ฉันก็ดีใจมาก ฉันคิดในใจว่า “ความขยันให้ผลตอบแทน ถ้าฉันขยันยิ่งกว่านี้ บางทีอาจจะได้เลื่อนขั้นขึ้นไปอีก แบบนั้นก็จะมีคนชื่นชมฉันเยอะกว่านี้” แต่ต่อมาโรคกระดูกคอเสื่อมกำเริบ และการสูญเสียการได้ยินก็รุนแรงขึ้นจนฉันไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ตามปกติ ผู้นำจึงจัดแจงให้ฉันกลับไปที่คริสตจักรท้องถิ่นเพื่อรักษาตัวไปพร้อมกับทำหน้าที่เท่าที่ทำได้ ฉันรู้สึกท้อแท้ใจมาก ฉันคิดว่าตัวเองจ่ายราคาไปสูงและลำบากยากเย็นมากกว่าจะได้รับการชื่นชมจากคนอื่น แต่เพราะป่วย ฉันจึงไม่สามารถทำหน้าที่นี้ต่อไปได้ ทำไมชะตากรรมฉันถึงได้เลวร้ายขนาดนี้? ต่อมา เนื่องจากได้ยินไม่ชัด ฉันจึงสื่อสารกับคนอื่นลำบาก ฉันทำได้แค่งานธุรการทั่วไปบางอย่าง ในใจฉันรู้สึกทุกข์ทรมานมาก และคิดในใจว่า “ถ้าฉันไม่ได้หูหนวก ฉันก็คงมีโอกาสได้ประกาศข่าวประเสริฐและให้น้ำผู้มาใหม่ แต่ตอนนี้ฉันทำได้แค่งานธุรการทั่วไป ถ้าโดดเด่นไม่ได้ ใครจะมาชื่นชมฉันล่ะ? ทำไมชะตากรรมของฉันถึงได้เลวร้ายขนาดนี้? ยังไงซะ นี่ก็คือชะตากรรมของฉัน งั้นฉันจะอยู่ไปวันๆ แบบสุกเอาเผากิน” หลังจากนั้น ถึงแม้ฉันจะไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ แต่ฉันก็ใช้ชีวิตในสภาวะท้อแท้ตลอดเวลาและไม่มีสมาธิเวลาทำหน้าที่ ฉันหลงๆ ลืมๆ อยู่เสมอ และทำผิดพลาดบ่อยครั้งจนทำให้งานล่าช้า
ต่อมา พี่น้องหญิงที่ฉันทำงานด้วยเตือนว่าการใช้ชีวิตในสภาวะนี้เป็นเรื่องอันตราย ว่าฉันต้องรีบแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอารมณ์ที่เป็นลบของตัวเอง เพราะคำเตือนของพี่น้องหญิงคนนั้นล้วนๆ ฉันถึงได้อธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อยากใช้ชีวิตอย่างท้อแท้ การใช้ชีวิตแบบนี้ทุกข์ทรมานเกินไป ขอทรงนำข้าพระองค์ให้เข้าใจปัญหาของตนและหลุดพ้นจากสภาวะที่ไม่ถูกต้องนี้ด้วยเถิด” วันหนึ่ง ระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอน ซึ่งโดนใจฉันในทันที พระเจ้าตรัสว่า “มูลเหตุของการเกิดภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความท้อแท้ย่อมแตกต่างกันไปในตัวแต่ละคน ความท้อแท้ของคนเรามีอยู่อย่างหนึ่งที่อาจเกิดจากการเชื่อในชะตากรรมที่เลวร้ายของตนเองอยู่ตลอดเวลา นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งมิใช่หรือ? (ใช่) ตอนที่พวกเขาอายุยังน้อย พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในชนบทหรือในภูมิภาคที่ขัดสน ครอบครัวของพวกเขาไม่ได้มั่งมี และนอกจากเครื่องเรือนเรียบง่ายไม่กี่ชิ้น พวกเขาก็ไม่มีอะไรที่มีมูลค่ามากนัก บางทีพวกเขาอาจมีเสื้อผ้าอยู่หนึ่งหรือสองชุดที่พวกเขาจำต้องใส่แม้จะขาดบ้างก็ตาม และโดยปกติแล้วพวกเขาก็ไม่เคยได้กินอาหารคุณภาพดีๆ เลย ต้องรอวันปีใหม่หรือวันหยุดเทศกาลจึงจะได้กินเนื้อสัตว์ บางครั้งพวกเขาก็อดมื้อกินมื้อและไม่มีเสื้อผ้ามากพอที่จะสวมใส่ให้อบอุ่น การมีเนื้อชามโตเต็มชามให้กินจึงเป็นการฝันกลางวัน แม้กระทั่งจะหาผลไม้มากินสักชิ้นยังยาก เมื่อใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ พวกเขาจึงรู้สึกต่างจากคนอื่นที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ มีพ่อแม่ที่มีเงินทอง กินอะไรก็ได้ที่อยากกินและสวมอะไรก็ได้ที่อยากสวม มีทุกสิ่งที่ตนต้องการในทันใด และรอบรู้ในเรื่องต่างๆ พวกเขาย่อมจะคิดว่า ‘คนเหล่านั้นมีชะตากรรมที่ดีขนาดนั้น แล้วทำไมชะตากรรมของฉันถึงแย่ขนาดนี้?’ พวกเขาอยากเป็นที่สะดุดตาของผู้คนและอยากเปลี่ยนโชคชะตาของตนอยู่เสมอ อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนโชคชะตาของคนเรานั้นไม่ง่ายนัก เมื่อคนเราเกิดมาในสถานการณ์ดังกล่าว แม้พวกเขาจะพยายาม แต่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนได้มากแค่ไหน และจะสามารถทำให้ชะตากรรมของตนดีขึ้นได้มากเพียงใด? เมื่อพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาถูกอุปสรรคขวางกั้นทั่วทุกแห่งในสังคมที่ตนผ่านเข้าไป พวกเขาถูกกลั่นแกล้งในทุกที่ที่ไป และดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเสมอว่าตนช่างโชคร้ายเหลือเกิน พวกเขาคิดว่า ‘ทำไมฉันถึงโชคไม่ดีอย่างนี้? ทำไมฉันถึงเจอคนใจร้ายอยู่เรื่อย? ตอนฉันเป็นเด็ก ชีวิตช่างทุกข์ยาก และมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ถึงตอนนี้ฉันโตแล้ว ชีวิตก็ยังย่ำแย่อยู่อีก ฉันอยากแสดงให้ดูอยู่เสมอว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง แต่ก็ไม่เคยสบโอกาส…’ … ทันทีที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ตั้งปณิธานว่าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าให้ดี พวกเขาสามารถสู้ทนความทุกข์ยากและงานหนัก สามารถสู้ทนได้มากกว่าผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด และพากเพียรที่จะได้รับความเห็นชอบและความยกย่องนับถือจากผู้คนส่วนใหญ่ พวกเขาคิดว่าตนอาจได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ผู้ดูแล หรือผู้นำทีมด้วยซ้ำ และเมื่อนั้นพวกเขาย่อมจะให้เกียรติบรรพชนและครอบครัวของตนอยู่มิใช่หรือ? เมื่อนั้นพวกเขาย่อมจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนแล้วมิใช่หรือ? อย่างไรก็ดี ความเป็นจริงไม่ค่อยจะเป็นไปตามความปรารถนาของพวกเขาสักเท่าใด พวกเขาจึงท้อใจและคิดว่า ‘ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี เข้ากับพี่น้องชายหญิงได้ดียิ่ง แต่ทำไมพอถึงเวลาเลือกผู้นำ ผู้ดูแล หรือผู้นำกลุ่มทีไร กลับไม่เคยเป็นทีของฉันเลย? เพราะฉันดูธรรมดามาก หรือเพราะผลงานของฉันไม่ดีพอกระนั้นหรือ ถึงไม่มีใครสังเกตเห็นฉัน? ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ฉันก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมาหน่อย และถึงจะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำกลุ่ม ฉันก็ย่อมจะมีความสุข ฉันเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นมากมายที่จะตอบแทนพระเจ้า แต่ทุกครั้งที่มีการออกเสียง สุดท้ายฉันกลับได้แต่ความผิดหวัง ถูกมองข้ามในทุกเรื่อง นี่เกิดอะไรขึ้น? เป็นไปได้ไหมว่าแท้จริงแล้วฉันเป็นได้แค่คนที่มีความสามารถงั้นๆ คนธรรมดาทั่วไปที่ทั้งชีวิตไม่มีความโดดเด่น? พอย้อนกลับไปมองวัยเด็กของตัวเอง วัยหนุ่มสาว และช่วงวัยกลางคน เส้นทางที่ฉันย่ำเดินมานี้ก็ต่ำต้อยมาตลอด ฉันไม่ได้ทำอะไรที่ควรแก่การจดจำเลย ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีความทะเยอทะยาน หรือว่าไร้ขีดความสามารถ และไม่ใช่ว่าฉันไม่ได้พยายามมากพอหรือสู้ทนความทุกข์ยากไม่ได้ ฉันมีความตั้งใจแน่วแน่และมีเป้าหมาย และสามารถพูดได้ด้วยซ้ำว่าฉันมีความทะเยอทะยาน ดังนั้น ทำไมฉันถึงไม่เคยเป็นที่สะดุดตาของผู้คนเลย? พอวิเคราะห์จนถึงที่สุดแล้ว ฉันก็แค่มีชะตากรรมที่ไม่ดี ถูกลิขิตให้ทนทุกข์ และพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ไว้ให้ฉันแบบนี้’ ยิ่งพวกเขาวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ พวกเขาก็ยิ่งคิดว่าชะตากรรมของตนนั้นแย่ลงทุกที” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)) “ผู้คนแบบนี้ คนที่คิดอยู่เสมอว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดี ย่อมรู้สึกเหมือนหัวใจของตนกำลังถูกหินก้อนยักษ์บดขยี้ตลอดเวลา ด้วยเหตุที่พวกเขาเชื่ออยู่เสมอว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนนั้นเกิดจากชะตากรรมที่ไม่ดีของตน พวกเขาจึงคิดว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตนก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ และเรื่องก็มีอยู่เท่านั้น แล้วพวกเขาทำเช่นไร? พวกเขาก็เอาแต่รู้สึกในทางลบ ไม่ทำอะไร และยอมจำนนต่อความโชคร้ายของตน” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)) สิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงคือสภาวะของฉันเลย สาเหตุที่ฉันใช้ชีวิตอยู่กับอารมณ์ที่เป็นลบและท้อแท้ตลอดเวลา ก็เพราะฉันเชื่อมาตลอดว่าตัวเองมีชะตากรรมที่เลวร้าย ตอนเด็กๆ ครอบครัวของฉันยากจนและถูกคนอื่นดูถูก ฉันเลยบ่นว่าตัวเองมีชะตากรรมที่เลวร้าย ฉันเชื่อว่ามีแต่การมีชีวิตที่เหนือกว่าคนอื่นและได้รับการชื่นชมจากผู้อื่นเท่านั้น ถึงจะถือว่ามีชะตากรรมที่ดี เพื่อที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเอง ฉันจึงตั้งใจเรียนอย่างหนัก แต่เพราะขาดสารอาหารจนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ฉันจึงเรียนได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และสุดท้ายก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติด แต่ฉันไม่เต็มใจที่จะยอมรับชะตากรรม เลยไปทำงานที่โรงงานเพื่อหาเงิน เพื่อจะได้เป็นเจ้าหน้าที่สถิติ ได้นั่งในออฟฟิศ และได้รับการชื่นชมจากผู้อื่น ฉันจึงทำงานล่วงเวลาเพื่อเรียนรู้เทคนิค สุดท้าย ฉันคำนวณสถิติผิดพลาดและถูกผู้นำทีมตำหนิต่อหน้าทุกคน ซึ่งทำให้ฉันตกใจมากจนป่วยเป็นโรคประสาทหูเสื่อม ฉันยิ่งเชื่อกว่าเดิมว่าเป็นเพราะชะตากรรมแสนลำเข็ญของตัวเอง และใช้ชีวิตอย่างทุกข์ใจ หมดหวังในชีวิต หลังจากที่ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้า ฉันคิดว่าถ้าทำหน้าที่ของตัวเองอย่างถูกควรและได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นผู้นำ ฉันก็จะได้รับการชื่นชมจากพี่น้องชายหญิงและเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเอง แต่เพราะอุบัติเหตุแก๊สพิษทำให้อาการหูหนวกของฉันทรุดลงจนไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ ซึ่งส่งผลกระทบต่องานและฉันจึงได้รับการมอบหมายงานใหม่ ต่อมา เมื่อฉันเริ่มทำหน้าที่ให้น้ำ ฉันก็จ่ายราคาในหน้าที่นั้น โดยหวังว่าจะทำผลงานได้ดีเพื่อให้คนอื่นชื่นชม พอได้เลื่อนขั้น ฉันก็คิดว่าชะตากรรมของตัวเองพลิกผันไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว และในที่สุดก็มีโอกาสได้โดดเด่นเสียที แต่โรคกระดูกคอเสื่อมก็กำเริบ และอาการหูหนวกก็แย่ลงด้วย ฉันไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ตามปกติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อหน้าที่ ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับไปที่คริสตจักรท้องถิ่นเพื่อทำหน้าที่ธุรการทั่วไป เพราะไม่ได้มีชื่อเสียงและสถานะดังปรารถนา ฉันจึงโทษพระเจ้าที่ทรงจัดการเตรียมการชะตากรรมที่เลวร้ายให้กับฉัน ฉันเชื่อว่าชะตากรรมที่เลวร้ายในชีวิตนี้มีไว้เพื่อตรากตรำทำงานหนักเท่านั้น ฉันจึงใช้ชีวิตอย่างท้อแท้และยอมแพ้โดยสิ้นเชิง ฉันไม่ได้แบกรับภาระหน้าที่ ทำผิดพลาดอยู่ตลอด ทำให้งานล่าช้า และทำหน้าที่ของตัวเองได้ไม่ดี ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีและได้อ่านพระวจนะของพระองค์มามากมาย แต่เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น ฉันกลับไม่มาเฉพาะพระพักตร์พระองค์เพื่อแสวงหาความจริง และพอสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปดังหวัง ฉันก็บ่นว่าพระองค์ทรงจัดการเตรียมการชะตากรรมที่เลวร้ายให้กับฉัน ฉันถึงกับเริ่มคิดลบและต่อต้าน นี่เป็นทัศนคติของผู้ไม่เชื่อ และฉันไม่ได้แสดงการนบนอบพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติม และเข้าใจแนวคิดเรื่องชะตากรรมที่ดีกับชะตากรรมที่เลวร้ายลึกซึ้งยิ่งขึ้น พระเจ้าตรัสว่า “การจัดการเตรียมการของพระเจ้าว่าชะตากรรมของคนคนหนึ่งจะเป็นอย่างไร จะดีหรือไม่ดีนั้น ไม่ควรมองหรือประเมินด้วยสายตาของมนุษย์หรือสายตาของหมอดู และไม่ประเมินโดยดูว่าคนคนนั้นมีความมั่งคั่งและความรุ่งโรจน์ในชีวิตของตนมากเท่าใด หรือมีประสบการณ์เป็นความทุกข์มากเท่าใด หรือประสบความสำเร็จเพียงใดในการไล่ตามไขว่คว้าโอกาสในอนาคต ชื่อเสียง และผลประโยชน์ แต่นี่คือความผิดพลาดอันร้ายแรงซึ่งเกิดจากผู้ที่บอกว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดี ทั้งยังเป็นวิธีที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ประเมินชะตากรรมของตนอีกด้วย แล้วพวกเราควรใช้วิธีใดมาประเมินว่าชะตากรรมของคนคนหนึ่งดีหรือไม่ดี? ผู้คนทางโลกประเมินเรื่องนี้กันอย่างไร? โดยหลักแล้วพวกเขาดูว่าชีวิตของคนคนนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่นหรือไม่ มั่งคั่งและรุ่งโรจน์ได้หรือไม่ สามารถมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่เหนือกว่าคนอื่นหรือไม่ ชั่วชีวิตของพวกเขานั้นทนทุกข์เท่าใดและสุขสำราญเพียงใด มีอายุยืนยาวเพียงใด มีอาชีพการงานอะไร ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยการตรากตรำหรือสะดวกสบายและง่ายดาย—พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้และอื่นๆ มาประเมินว่าชะตากรรมของคนคนหนึ่งดีหรือไม่ดี พวกเจ้าก็ประเมินแบบนี้ด้วยมิใช่หรือ? (ใช่) ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าส่วนใหญ่เผชิญบางสิ่งที่ตนไม่ชอบ เมื่อมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก หรือไม่สามารถสุขสำราญกับวิถีชีวิตที่ล้ำเลิศกว่าได้ พวกเจ้าก็จะคิดว่าตนเองมีชะตากรรมที่ไม่ดีเช่นกัน และพวกเจ้าก็จะจมอยู่ในความท้อแท้ ผู้ที่กล่าวว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดี แท้จริงแล้วไม่จำเป็นต้องมีชะตากรรมที่ไม่ดี และผู้ที่กล่าวว่าตนมีชะตากรรมที่ดี ก็ไม่จำเป็นต้องมีชะตากรรมที่ดี อันที่จริง การประเมินชะตากรรมว่าดีหรือไม่ดีนั้นทำอย่างไร?… จงบอกเราเถิดว่าแม่ม่ายมีชะตากรรมที่ดีหรือไม่? สำหรับผู้คนทางโลกแล้ว แม่ม่ายย่อมมีชะตากรรมที่ไม่ดี ถ้าพวกเธอเป็นม่ายในวัยสามสิบหรือสี่สิบกว่าปี พวกเธอก็มีชะตากรรมที่ไม่ดีโดยแท้ หนักหนาสำหรับพวกเธอจริงๆ! แต่ถ้าแม่ม่ายทนทุกข์มากมายเพราะสูญเสียคู่ครองของตน และพวกเธอมาเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วสภาพชีวิตของพวกเธอจะลำบากหรือไม่? (ไม่) เนื่องจากผู้ที่ไม่ได้เป็นม่ายนั้นมีชีวิตที่มีความสุข ทุกสิ่งเป็นไปด้วยดีสำหรับพวกเธอ มีการเกื้อหนุน มีอาหารและเสื้อผ้ามากมาย มีครอบครัวที่เต็มไปด้วยลูกหลาน มีชีวิตที่สุขสบาย ไม่มีความลำบากหรือรู้สึกถึงความขาดแคลนทางฝ่ายวิญญาณแต่อย่างใด พวกเธอจึงไม่เชื่อในพระเจ้าและจะไม่เชื่อในพระองค์ไม่ว่าเจ้าจะพยายามประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเธอเช่นไรก็ตาม แล้วผู้คนสองประเภทนี้ฝ่ายใดมีชะตากรรมที่ดี? (แม่ม่ายมีชะตากรรมที่ดีเพราะเธอมาเชื่อในพระเจ้า) เจ้าดูเถิด เพราะผู้คนทางโลกมองว่าแม่ม่ายมีชะตากรรมที่ไม่ดีและทนทุกข์มากมายนัก เมื่อเป็นดังนั้น เธอจึงเปลี่ยนทิศทางและเริ่มเดินตามเส้นทางที่ต่างออกไป เธอเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า—นี่หมายความว่าเธอมีชีวิตที่เป็นสุขใช่หรือไม่? (ใช่) ชะตากรรมที่ไม่ดีของเธอเปลี่ยนเป็นชะตากรรมที่ดีแล้วใช่หรือไม่? (ใช่) เป็นเช่นนั้นหรือ? ถ้าเธอมีชะตากรรมที่ไม่ดี เช่นนั้นแล้วชะตากรรมในชีวิตของเธอก็ควรไม่ดีเสมอไปและเธอย่อมจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมนั้นได้ เช่นนั้นแล้วชะตากรรมของเธอเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร? ชะตากรรมของเธอเปลี่ยนแปลงตอนที่เธอเริ่มเชื่อในพระเจ้าใช่หรือไม่? (ไม่ใช่ เป็นเพราะทัศนะที่เธอมีต่อสิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป) วิธีที่เธอมองสิ่งต่างๆ นั้นเปลี่ยนไป แล้วข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์เกี่ยวกับชะตากรรมของเธอเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่? (ไม่)… ในความเป็นจริง เธอกลายมามีชะตากรรมที่ดีอย่างแท้จริงเพราะเธอเชื่อในพระเจ้าใช่หรือไม่? ไม่จำเป็น เพียงแต่ว่าตอนนี้เธอเชื่อในพระเจ้า เธอมีความหวัง เธอรู้สึกถึงความพอใจบางอย่างในหัวใจของตน เป้าหมายที่เธอไล่ตามเสาะหาก็เปลี่ยนไป ทัศนะของเธอก็ต่างออกไป ด้วยเหตุนั้นสภาพแวดล้อมที่เธอใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันจึงทำให้เธอรู้สึกเป็นสุข พอใจ เบิกบาน และมีสันติสุข เธอรู้สึกว่าตอนนี้ชะตากรรมของเธอดีมากแล้ว ดีกว่าชะตากรรมของผู้หญิงที่ไม่เคยเป็นม่ายอยู่มาก เธอเพิ่งตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่าทัศนะที่เธอเคยมีมาก่อน โดยเชื่อว่าตนเองมีชะตากรรมที่ไม่ดีนั้นผิด พวกเจ้าสามารถมองเห็นอะไรจากเรื่องนี้บ้าง? มีสิ่งที่เป็น ‘ชะตากรรมที่ดี’ และ ‘ชะตากรรมที่ไม่ดี’ ดังกล่าวหรือไม่? (ไม่มี) ไม่มีเลย” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)) การอ่านพระวจนะของพระเจ้าทำให้หัวใจฉันกระจ่างขึ้น ชะตากรรมของคนเราจะดีหรือร้ายนั้นไม่สามารถวัดได้จากมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเรา และก็ไม่สามารถมองจากมุมมองทางโลกได้ ผู้ไม่เชื่อคิดว่าการกินดี แต่งตัวดี และการได้รับการชื่นชมและการสนับสนุนจากผู้อื่นคือการมีชะตากรรมที่ดี ในทางกลับกัน พวกเขาคิดว่าถ้าต้องยากจนไปทั้งชีวิต ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมชั้นล่างสุดและถูกคนอื่นดูถูก หรือถ้ามีประสบการณ์กับความทรมานจากความเจ็บป่วย หรือบททดสอบและความยากลำบาก นั่นคือการมีชะตากรรมที่เลวร้าย อันที่จริง สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชะตากรรมที่ดีหรือร้าย ก็เหมือนกับตัวอย่างเรื่องหญิงม่ายที่พระเจ้าทรงยกมา จากที่เคยคิดว่าตัวเองมีชะตากรรมที่เลวร้ายในตอนแรก หญิงม่ายหันมาคิดว่าตัวเองมีชะตากรรมที่ดี ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมในชีวิตเธอไม่ได้เปลี่ยนไป แต่มุมมองของเธอต่อสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไป เธอเข้าใจจากพระวจนะของพระเจ้าว่า ไม่ว่าคนที่มีครอบครัวที่อบอุ่นและชีวิตที่สุขสบายจะมีความสุขแค่ไหน ถ้าพวกเขาไม่สามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับความรอดจากพระองค์ สุดท้ายพวกเขาก็ต้องลงนรกอยู่ดี เพราะความทุกข์ที่เธอทนรับ เธอจึงยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าและมีโอกาสที่จะเข้าใจความจริงและได้รับการช่วยให้รอด เธอเป็นคนที่ได้รับพรสูงสุดอย่างแท้จริง เพราะมุมมองของหญิงม่ายต่อสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไป กรอบความคิดของเธอจึงเปลี่ยนไปด้วย อย่างไรก็ตาม เพราะฉันไม่เข้าใจความจริง จึงเชื่อว่าการมีชื่อเสียง ผลประโยชน์ และการได้รับการชื่นชมจากผู้อื่นหมายถึงการมีชะตากรรมที่ดี และการได้เลื่อนขั้นและการได้ทำหน้าที่ผู้นำหมายถึงการมีชะตากรรมที่ดี ดังนั้นทุกครั้งที่ได้รับการมอบหมายหน้าที่ใหม่ ฉันก็จะบ่นว่าตัวเองมีชะตากรรมที่เลวร้าย ฉันตระหนักว่าทัศนคติของฉันต่อสิ่งต่างๆ นั้นช่างไร้สาระและไร้เหตุผลสิ้นดี อันที่จริง ในพระนิเวศของพระเจ้า การมอบหมายหน้าที่ใหม่นั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของงาน และจะพิจารณาอย่างรอบคอบจากขีดความสามารถและทักษะของแต่ละคน หน้าที่ที่คนคนหนึ่งทำนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับว่าชะตากรรมของพวกเขาดีหรือร้ายเลย ต่อให้ฉันไม่ได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่ ถ้าฉันไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ฉันก็จะถูกเผยและถูกกำจัดออกไปอยู่ดี ถึงแม้ว่าฉันจะทำหน้าที่ธุรการทั่วไป แต่ตราบใดที่ฉันไล่ตามเสาะหาความจริงและการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตัวเอง ฉันก็ยังมีโอกาสได้รับการช่วยให้รอด ยกตัวอย่างผู้ประกาศคนหนึ่งที่เคยทำหน้าที่ร่วมกับฉัน เธอมีพรสวรรค์อยู่บ้าง และต่อมาก็ได้รับเลือกเป็นผู้นำเขต แต่เธอกลับไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะอยู่เสมอ และทำหลายสิ่งที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร สุดท้าย เธอดื้อรั้นไม่ยอมกลับใจ จึงถูกขับไล่ออกจากคริสตจักร และสูญเสียโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า ถ้าเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและแสวงหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย ต่อให้ได้เป็นผู้นำ ก็จะยังคงถูกพระเจ้าทรงเผยและทรงกำจัดออกไปอยู่ดี จากตัวอย่างเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าฉันเชื่อว่าการได้เพลิดเพลินกับชื่อเสียง ผลประโยชน์ และการชื่นชมจากทุกคนคือการมีชะตากรรมที่ดี และการเชื่อในพระเจ้าแล้วได้รับการเลื่อนขั้นให้ดำรงตำแหน่งสำคัญคือชะตากรรมที่ดี ส่วนการทำหน้าที่ธรรมดาๆ อยู่เบื้องหลังคือชะตากรรมที่เลวร้าย ทัศนะนี้บิดเบี้ยวอย่างมากและไม่สอดคล้องกับความจริงเลยแม้แต่น้อย พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมในชีวิตของแต่ละคนตามความต้องการของพวกเขา เจตนารมณ์อันดีงามของพระเจ้าอยู่ในทุกประสบการณ์ชีวิตของผู้คน ฉันเกิดในครอบครัวที่ยากจน และถึงแม้จะตั้งใจเรียนอย่างหนัก ก็ยังไม่สามารถโดดเด่นได้ แม้ภายนอกจะดูเหมือนว่าฉันมีชะตากรรมที่เลวร้าย แต่ก็เพราะเหตุนี้เองฉันถึงสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับความรอดจากพระองค์ ฉันมีความอยากได้อยากมีชื่อเสียงและสถานะที่รุนแรง ดังนั้นถ้าฉันได้ใช้ชีวิตที่มั่งคั่งและมีสถานะ ฉันคงจะไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์มากยิ่งขึ้นไปอีก สุดท้าย ฉันคงจะถูกกระแสอันชั่วร้ายพัดพาไปและถูกซาตานเขมือบ หลังจากได้มีประสบการณ์กับอุปสรรคและความล้มเหลวมากมายเท่านั้น ฉันจึงสามารถกลับมาหาพระเจ้า ยอมรับการให้น้ำและการหล่อเลี้ยงจากพระวจนะของพระเจ้า และเข้าใจความจริงบางอย่าง นี่คือพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มันมีความหมายมากกว่าการได้รับชื่อเสียงและผลประโยชน์ และการได้เพลิดเพลินกับความมั่งคั่งและความรุ่งโรจน์ของโลกนี้มากนัก หลังจากที่ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้า ฉันได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ธุรการทั่วไปเพราะฉันสูญเสียการได้ยิน นี่ก็เป็นการคุ้มครองจากพระเจ้าเช่นกัน ความอยากได้อยากมีชื่อเสียงและสถานะของฉันรุนแรงเกินไป เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาสได้โอ้อวด ฉันก็อดไม่ได้ที่จะไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะ ง่ายมากที่จะเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์แล้วถูกเผยและถูกกำจัดออกไป ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันจะหูหนวก แต่พระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ได้พรากโอกาสในการทำหน้าที่ของฉันไป แต่ฉันกลับได้รับมอบหมายหน้าที่ที่เหมาะสมตามสภาพร่างกายของฉัน ถึงแม้ว่าหน้าที่นี้จะอยู่เบื้องหลังและอาจไม่ได้รับการยกย่องจากคนอื่นมากนัก แต่มันก็ไม่ได้ขัดขวางฉันจากการไล่ตามเสาะหาความจริง ในช่วงที่ฉันทำหน้าที่นี้ ฉันได้เผยความเสื่อมทรามออกมามากมาย บางครั้งฉันก็ทำแบบสุกเอาเผากินและรอบคอบ และบางครั้งก็มัวเมากับความสะดวกสบายทางเนื้อหนังและไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคา ผ่านการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเองอยู่บ้าง และหลังจากนั้น เมื่อลงมือทำ ฉันก็สามารถขัดขืนเนื้อหนัง ใส่ใจในหน้าที่ของตัวเอง และมีรอบคอบ ในขณะเดียวกัน ฉันยังได้เรียนรู้ที่จะแสวงหาหลักธรรมความจริงในทุกสิ่ง รอบคอบและใส่ใจในรายละเอียดแม้ในเรื่องเล็กน้อยและไม่สำคัญ จากประสบการณ์นี้ ฉันตระหนักว่าไม่ว่าเราจะเป็นผู้นำหรือทำหน้าที่ธุรการทั่วไปในพระนิเวศของพระเจ้า ตราบใดที่เราไล่ตามเสาะหาความจริง เราจะได้เข้าสู่ชีวิตและมีโอกาสได้รับการช่วยให้รอด พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการชะตากรรมของฉันตามความต้องการของฉัน ทุกอย่างล้วนเป็นประโยชน์ต่อฉัน ปัญหาคือฉันไม่รู้จักพอใจ ฉันมีความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตัวเองอยู่เสมอ และไม่ได้นบนอบอธิปไตยของพระเจ้า ผลก็คือ ไม่เพียงแต่ฉันจะเป็นทุกข์แสนสาหัส แต่ฉันยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ไม่ดีอีกด้วย หลังจากที่มุมมองของฉันเปลี่ยนไป ฉันก็รู้สึกทุกข์ใจน้อยลง
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ความคิดและทัศนะของผู้คนที่มักกล่าวอยู่เสมอว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดีนั้นถูกหรือผิด? (ผิด) ชัดเจนว่าผู้คนเหล่านี้มีประสบการณ์กับความท้อแท้เพราะมัวจมปลักอยู่กับความสุดโต่ง ด้วยเหตุที่พวกเขามีความท้อแท้ที่สุดโต่งเช่นนี้เพราะมีความคิดและทัศนะที่สุดโต่ง พวกเขาจึงไม่สามารถเผชิญสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตได้อย่างถูกต้อง พวกเขาไม่สามารถเข้ามามีบทบาทหน้าที่ได้ตามปกติอย่างที่ผู้คนควรทำ และไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ ทำตามความรับผิดชอบหรือภาระผูกพันของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง… พวกเขามองประเด็นปัญหาและผู้คนจากจุดยืนที่สุดโต่งและไม่ถูกต้องนี้ อันเป็นการดำรงชีวิต มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ประพฤติปฏิบัติตนและกระทำการภายใต้ผลกระทบและอิทธิพลจากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายที่สุดไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร พวกเขาก็ดูจะเหนื่อยล้าจนไม่สามารถปลุกเร้าให้ตนเองมีความกระตือรือร้นในการเชื่อในพระเจ้าและในการไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ว่าจะเลือกดำเนินชีวิตของตนอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางที่เป็นบวกหรือแข็งขันได้ และแม้จะเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี พวกเขาก็ไม่เคยมุ่งปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยหัวใจและดวงจิตทั้งดวง หรือมุ่งปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ได้มาตรฐาน จึงแน่นอนว่าพวกเขายิ่งไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริงหรือปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เมื่อวิเคราะห์รอบด้านแล้ว นี่เป็นเพราะพวกเขาคิดอยู่เสมอว่าตนนั้นมีชะตากรรมที่ไม่ดี และนี่ก็พาให้พวกเขาท้อแท้อย่างหนัก พวกเขาท้อแท้อย่างสิ้นเชิง หมดพลัง เหมือนซากศพเดินได้ ไร้ชีวิตชีวา ไม่มีพฤติกรรมที่เป็นบวกหรือมองโลกในแง่ดีให้เห็น และยิ่งไม่มีความแน่วแน่หรือความทรหดอดทนที่จะอุทิศความจงรักภักดีที่พวกเขาควรอุทิศต่อหน้าที่ ความรับผิดชอบ และภาระผูกพันของตน ตรงกันข้ามพวกเขากลับฝืนดิ้นรนไปวันๆ ด้วยท่าทีที่สุกเอาเผากิน ผ่านพ้นแต่ละวันไปอย่างไร้จุดหมาย เลอะเลือน และไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำตัวสะเปะสะปะไปอีกนานเท่าใด ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากบอกตัวเองว่า ‘เอาเถอะ ฉันก็จะสะเปะสะปะไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ทำได้แล้วกัน! ถ้าวันหนึ่งฉันไปต่อไม่ไหวอีกแล้ว และคริสตจักรก็อยากจะไล่และกำจัดฉันออกไป เช่นนั้นพวกเขาก็ควรที่จะกำจัดฉันออกไปเสียเลย นี่เป็นเพราะฉันมีชะตากรรมที่ไม่ดี!’ เจ้าดูเถิด แม้กระทั่งสิ่งที่พวกเขาพูดออกมาก็หมดอาลัยขนาดนี้ ความท้อแท้นี้ไม่ได้เป็นเพียงอารมณ์ธรรมดา แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือมันมีผลกระทบที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อความคิดอ่าน หัวใจ และการไล่ตามเสาะหาของผู้คน ถ้าเจ้าไม่สามารถแก้ไขความท้อแท้ของตนให้กลับมาดีได้อย่างทันท่วงทีและโดยเร็ว ไม่เพียงอารมณ์เช่นนี้จะส่งผลต่อชีวิตของเจ้าไปชั่วชีวิตเท่านั้น แต่จะทำลายชีวิตของเจ้าและพาเจ้าไปหาความตายอีกด้วย ต่อให้เจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็จะไม่สามารถได้รับความจริงและบรรลุความรอด แล้วในที่สุดเจ้าก็จะพินาศ” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ ฉันตระหนักว่าสภาวะที่ฉันใช้ชีวิตอย่างท้อแท้และบ่นว่าตัวเองมีชะตากรรมที่เลวร้ายตลอดเวลานั้นอันตรายเกินไป นี่เป็นความคิดสุดโต่ง และถ้าฉันไม่แก้ไขมัน ฉันจะสูญเสียโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด เดิมทีฉันนึกว่าตอนที่ฉันใช้ชีวิตอย่างท้อแท้และบ่นเรื่องชะตากรรมของตัวเอง ฉันแค่รู้สึกไม่สบายใจ และเพราะฉันไม่ได้ทิ้งหน้าที่ ฉันจึงไม่มองว่ามันเป็นความประพฤติชั่ว ฉันเพิ่งตระหนักตอนนี้เองว่าแก่นแท้ของการใช้ชีวิตอย่างท้อแท้คือความไม่พอใจต่ออธิปไตยของพระเจ้า ซึ่งเป็นการต่อต้านพระเจ้าอย่างเงียบๆ ถ้าฉันไม่กลับใจ ฉันจะไม่มีวันได้รับความจริงและได้รับการช่วยให้รอด สุดท้าย ฉันก็มีแต่จะถูกทำลาย ผลที่ตามมาน่ากลัวมาก! ฉันนึกถึงตอนก่อนที่จะเชื่อในพระเจ้า ฉันไม่พอใจกับชะตากรรมที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้ เพราะฉันไม่เคยประสบความสำเร็จในโลกเลย หลังจากที่ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้า ฉันก็ยังคงไล่ตามไขว่คว้าการชื่นชมจากผู้อื่น เมื่อฉันไม่สามารถโดดเด่นในหน้าที่ ฉันก็รู้สึกทุกข์ใจ ฉันบ่นว่าตัวเองมีชะตากรรมที่เลวร้ายและใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะคิดลบและเสื่อมทราม ถึงแม้ว่าฉันจะทำหน้าที่ แต่ฉันขาดแรงจูงใจ ฉันทำหน้าที่อย่างเฉื่อยชาและหย่อนยาน และทำแบบสุกเอาเผากิน ฉันทำผิดพลาดบ่อยครั้ง สร้างปัญหาและก่อกวนพี่น้องชายหญิง และทำให้การเข้าสู่ชีวิตของตัวเองล่าช้า ถ้าฉันไม่พลิกสภาวะนี้ ฉันจะสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ สูญเสียหน้าที่ และสุดท้ายก็จะสูญเสียโอกาสได้รับความรอด เมื่อฉันเข้าใจเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกกลัวจนขนลุก และอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างจริงจังว่า “ข้าแต่พระเจ้า หลายปีที่ผ่านมา ข้าพระองค์ดื้อแพ่งและรังเกียจความจริง ข้าพระองค์บ่นเรื่องชะตากรรมของตัวเองอยู่ตลอด และไม่สามารถเป็นอิสระจากอารมณ์สุดโต่งของตัวเอง ข้าพระองค์เพิ่งจะตระหนักตอนนี้เองว่า มุมมองเบื้องหลังการไล่ตามเสาะหาของข้าพระองค์นั้นไม่ถูกต้อง ข้าพระองค์เต็มใจที่จะกลับใจต่อพระองค์ ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงจัง และทำหน้าที่ของข้าพระองค์อย่างถูกควร”
ต่อมา ฉันครุ่นคิดว่า อะไรคือต้นตอที่ทำให้ฉันใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานมานานหลายปี? วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ซาตานใช้อะไรทำให้มนุษย์อยู่ภายในการควบคุมของมันอย่างมั่นคง? (ชื่อเสียงและผลประโยชน์) ซาตานใช้ชื่อเสียงและผลประโยชน์มาควบคุมความคิดของมนุษย์ ทำให้ผู้คนนึกถึงแต่สองสิ่งนี้เท่านั้น พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ ทนทุกข์จากความยากลำบากเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ สู้ทนความอัปยศอดสูและยอมแบกรับภาระอันหนักอึ้งก็เพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ พลีอุทิศทุกสิ่งที่พวกเขามีเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ และวินิจฉัยหรือตัดสินใจทุกครั้งก็เพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ ซาตานล่ามผู้คนไว้กับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นก็ด้วยวิธีนี้ และเมื่อใส่โซ่ตรวนเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็ไม่มีทั้งความสามารถและความกล้าที่จะหลุดเป็นอิสระ และโดยที่ไม่รู้ตัว พวกเขาก็แบกโซ่ตรวนเหล่านี้พลางลากเท้าไปข้างหน้าอย่างยากเย็นยิ่ง และเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์นี้ มวลมนุษย์จึงออกห่างจากพระเจ้าและทรยศพระองค์ ทั้งยังเลวลงเรื่อยๆ คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจึงถูกทำลายในท่ามกลางชื่อเสียงและผลประโยชน์ของซาตานด้วยวิธีนี้นี่เอง ทีนี้ พอมองดูการกระทำทั้งหลายของซาตาน สิ่งจูงใจส่อแววร้ายทั้งหลายของมันไม่น่ารังเกียจอย่างถึงที่สุดหรอกหรือ? บางทีวันนี้พวกเจ้าอาจจะยังไม่สามารถมองทะลุถึงแรงจูงใจอันร้ายกาจของซาตาน เพราะพวกเจ้าคิดไปว่าชีวิตย่อมจะไร้ความหมายหากไม่มีชื่อเสียงและผลประโยชน์ และพวกเจ้าก็นึกว่าหากผู้คนทิ้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ไว้ข้างหลัง พวกเขาจะไม่สามารถเห็นหนทางข้างหน้าได้อีกต่อไป ไม่สามารถเห็นเป้าหมายของพวกเขาได้อีกต่อไป และอนาคตของพวกเขาก็จะมืดมน คลุมเครือ และหม่นมัว แต่ทว่าวันหนึ่งพวกเจ้าทั้งหมดจะตระหนักรู้อย่างช้าๆ ว่าชื่อเสียงและผลประโยชน์คือโซ่ตรวนอันมหึมาที่ซาตานใช้ล่ามมนุษย์เอาไว้ เมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าจะต่อต้านการควบคุมของซาตานอย่างสิ้นเชิงและขัดขืนโซ่ตรวนที่ซาตานใช้ล่ามเจ้าเอาไว้โดยสมบูรณ์ เมื่อถึงเวลาที่เจ้าอยากเป็นอิสระจากทุกสิ่งที่ซาตานปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้า เมื่อนั้นเจ้าจึงจะแยกทางกันอย่างเด็ดขาดกับซาตาน และเจ้าจะเกลียดทุกสิ่งที่ซาตานนำมาให้เจ้าอย่างแท้จริง เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะมีความรักและการโหยหาที่แท้จริงต่อพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6) หลังจากได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักในทันใดว่า ความเจ็บปวดทั้งหมดที่ฉันทนรับมาตลอดหลายปีนั้นมาจากซาตาน ซาตานล่อลวงและทำร้ายฉันด้วยชื่อเสียงและผลประโยชน์ ทำให้ฉันไล่ตามไขว่คว้าที่จะโดดเด่นและเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ตอนที่ฉันเรียนหนังสือ ครูสอนฉันว่า “คนเราต้องสู้ทนความทุกข์ยากอันใหญ่หลวงที่สุดจึงจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ” และ “ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องที่นั่นฉันใด มนุษย์อยู่ที่ใดก็ฝากชื่อไว้ที่นั่นฉันนั้น” ฉันยอมรับกฎการเอาชีวิตรอดเหล่านี้ และเชื่ออย่างผิดๆ ว่าถ้าฉันมีชื่อเสียงและผลประโยชน์ ฉันก็จะมีทุกสิ่ง และตราบใดที่ฉันขยัน ทนทุกข์และจ่ายราคาสูงขึ้น ฉันก็จะมีอนาคตที่ดีและเพลิดเพลินกับความมั่งคั่งและความเจริญรุ่งเรืองทั้งหมดในโลกได้ ฉันร่ำเรียนอย่างหนักอยู่สิบกว่าปีเพื่อที่จะได้รับชื่อเสียง ผลประโยชน์ และการชื่นชมจากผู้อื่น แต่สุดท้ายฉันก็ยังล้มเหลว ฉันไม่เต็มใจที่จะยอมรับชะตากรรม เลยไปเรียนเพิ่มเติมเพื่อที่จะได้เป็นนักสถิติ สุดท้าย ไม่เพียงแต่ฉันจะเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเองไม่สำเร็จ แต่ยังทำงานผิดพลาดเพราะหักโหมร่างกายมากเกินไปอีกด้วย ฉันเครียดอย่างรุนแรงจนป่วยเป็นโรคประสาทหูเสื่อม หลังจากที่ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้า ฉันก็ใจร้อนอยากได้ผลประโยชน์โดยเร็วในหน้าที่ ทำงานจนดึก ไม่สนใจสุขภาพตัวเอง เพื่อที่ได้ไม่โดนคนอื่นดูถูก ในที่สุด การสูญเสียการได้ยินทรุดลง และฉันไม่สามารถสื่อสารกับพี่น้องชายหญิงได้ตามปกติ ฉันทำได้แค่งานธุรการทั่วไปอยู่เบื้องหลัง และรู้สึกทุกข์ทรมานเป็นพิเศษเพราะไม่ได้รับการชื่นชมจากใคร ชื่อเสียงและผลประโยชน์เป็นเหมือนโซ่ตรวนที่ทำให้ฉันไม่สามารถเป็นอิสระได้ ฉันนึกถึงผู้ไม่เชื่อที่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและผลประโยชน์มากกว่าชีวิตตัวเอง บางคนรับไม่ได้ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติดหรือล้มเหลวในหน้าที่การงาน และผลก็คือล้มป่วยทางจิต หรือแม้กระทั่งกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ฉันก็เหมือนกัน เมื่อฉันไม่สามารถบรรลุความทะเยอทะยานและความอยากไล่ตามไขว่คว้าการชื่นชมจากผู้อื่น ฉันก็เอาแต่บ่นว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงจัดการเตรียมการชะตากรรมที่ดีให้กับฉัน ใช้ชีวิตอย่างท้อแท้ และเลิกพยายาม ฉันถึงขนาดคิดอยากจะตาย ถ้าไม่ใช่เพราะการคุ้มครองของพระเจ้า ฉันก็อาจจะมีจุดจบเหมือนผู้ไม่เชื่อเหล่านั้น ในที่สุดฉันก็มองเห็นอย่างชัดเจนว่ากฎการเอาชีวิตรอดที่ซาตานปลูกฝังในตัวฉันไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก สิ่งเหล่านั้นทำให้ฉันกังวลเรื่องชื่อเสียงและสถานะ และพอไม่ได้มันมา ฉันก็เริ่มห่างเหินจากพระเจ้า ทรยศพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า และสุดท้ายก็เสี่ยงที่จะสูญเสียโอกาสได้รับความรอด นี่คือเจตนาอันชั่วร้ายของซาตานในการทำให้ผู้คนเสื่อมทราม ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วฉันจะถูกกำจัดออกไป ฉันเสียใจที่ตัวเองตาบอดและโง่เขลา และถูกซาตานทำร้ายมานานหลายปี ฉันตั้งใจแน่วแน่ว่า จากนี้ไปจะขัดขืนซาตานอย่างสิ้นเชิง และใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า จะเลิกไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะ
วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ผู้คนควรมีท่าทีต่อชะตากรรมอย่างไร? เจ้าควรคล้อยตามการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง แข็งขันและหมั่นแสวงหาจุดประสงค์และความหมายเบื้องหลังการที่พระผู้สร้างทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้ จะได้สัมฤทธิ์การเข้าใจความจริง ทำตามบทบาทหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เจ้าในชีวิตนี้ ลุล่วงหน้าที่ ความรับผิดชอบ และภาระผูกพันของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และทำให้ชีวิตของเจ้ามีความหมายมากขึ้น มีคุณค่ามากขึ้น จนกระทั่งพระผู้สร้างทรงยอมรับและจดจำเจ้าเอาไว้ในที่สุด แน่นอนว่าถ้าเจ้าสามารถพากเพียรเข้าถึงความรอดผ่านทางการแสวงหาและยอมรับความจริงก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก—นี่ย่อมจะเป็นการดีที่สุด ไม่ว่าจะอย่างไร ในเรื่องของชะตากรรมนั้น ท่าทีที่เหมาะสมที่สุดที่มวลมนุษย์ทรงสร้างควรมี ไม่ใช่ท่าทีที่ตัดสินและให้คำนิยามตามอำเภอใจ หรือใช้วิธีการอันสุดโต่งมาจัดการ แน่นอนว่าผู้คนยิ่งไม่ควรพยายามต้านทาน ปฏิเสธ หรือเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตน แต่ควรใช้หัวใจมาทำความเข้าใจชะตากรรมของตน แสวงหา สำรวจ และคล้อยตามชะตากรรมนั้น จากนั้นก็เผชิญหน้าชะตากรรมในทางที่เป็นบวก ท้ายที่สุดแล้วในสภาพแวดล้อมของการดำรงชีวิตและในการเดินทางของชีวิตที่พระเจ้าทรงวางไว้ให้เจ้า เจ้าก็ควรแสวงหาวิธีประพฤติปฏิบัติตนที่พระเจ้าทรงสอนเจ้าเอาไว้ แสวงหาเส้นทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เจ้าเดิน และมีประสบการณ์กับชะตากรรมที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ให้เจ้าในลักษณะนี้ แล้วในที่สุดเจ้าก็จะได้รับพร” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้พบเส้นทาง พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ฉันรักษาตำแหน่งของตัวเองในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และทำหน้าที่ของตัวเองตามความจริงที่เป็น เมื่อคิดดูแล้ว เจตนารมณ์อันดีงามของพระเจ้าอยู่ในทุกหน้าอะไรก็ตามที่ฉันทำ และฉันต้องยอมรับหน้าที่นั้นจากพระเจ้า ไม่ว่าฉันจะได้รับการชื่นชมจากผู้อื่นหรือไม่ ฉันก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกระจ้อยร่อย และแค่ฉันลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างก็เพียงพอแล้ว จากก้นบึ้งของหัวใจ ฉันเต็มใจที่จะนบนอบชะตากรรมที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ให้
ตอนนี้ฉันสามารถนบนอบได้อย่างเต็มใจ และกำลังเรียนรู้ที่จะใส่ใจในการทำหน้าที่ของตัวเองอย่างรอบคอบขณะที่ทำ ฉันกำลังปฏิบัติเพื่อแสวงหาหลักธรรมความจริงในทุกสิ่ง และกระทำตามข้อกำหนดของพระเจ้า ถ้าฉันไม่เข้าใจอะไร ฉันก็จะขอสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงมากขึ้น ถ้าฉันทำผิดพลาดในหน้าที่ ฉันจะรีบค้นหาและสรุปสาเหตุ ทบทวนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง และแก้ไขข้อผิดพลาดโดยเร็วที่สุด เมื่อฉันปฏิบัติแบบนี้ ฉันก็รู้สึกสงบและสบายใจ ฉันค่อยๆ เลิกยึดติดทัศนะที่ว่าตัวเองมีชะตากรรมที่เลวร้าย และสภาวะของฉันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ นี่คือผลลัพธ์ที่ฉันได้จากความรู้แจ้งและการนำจากพระวจนะของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!