82. การเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อให้รับพระคุณและพระพรเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่?

ในเดือนกรกฎาคม ปี 2008 ป้าฉันประกาศข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าให้กับฉัน หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันได้เข้าใจว่าชีวิตของมนุษย์มาจากพระเจ้า ว่าทุกสิ่งที่ฉันชื่นชมยินดี พระองค์ทรงเป็นผู้ประทาน  ว่าฉันควรเชื่อในพระเจ้าและนมัสการพระองค์ ในตอนนั้น ครอบครัวฉันทำฟาร์มหมู ทุกวันหลังจากให้อาหารหมู ฉันจะอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฟังบทเพลงนมัสการ และเข้าร่วมการชุมนุมเป็นประจำ  บางครั้งฉันก็ออกไปประกาศข่าวประเสริฐด้วย วันหนึ่งเพื่อนบ้านคนหนึ่งบอกว่าหมูหลายตัวของเขาไอ และดูเหมือนว่าพวกมันจะมีไข้สูง ฉันกังวลมากว่าหมูของฉันจะติดโรคนี้ด้วย ฉันจึงอธิษฐานและวางใจมอบเรื่องนี้ไว้กับพระเจ้า เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่หมูของฉันไม่ติดเชื้อเลยสักตัว และไม่กี่เดือนต่อมา เราก็ขายพวกมันได้ในราคาหลายหมื่นหยวน ฉันมีความสุขมาก  ฉันไม่มีประสบการณ์การเลี้ยงหมูเลยตอนที่เริ่มทำฟาร์ม แต่หมูกับลูกหมูไม่เคยติดโรคอะไรเลย และทุกอย่างที่บ้านก็ราบรื่นดี การเชื่อในพระเจ้านั้นดีจริงๆ! ต่อจากนี้ไป ฉันต้องเชื่อในพระเจ้าอย่างถูกควรและทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า

ไม่นานหลังจากนั้น ผู้นำมอบหมายให้ฉันดูแลกลุ่มการชุมนุมเล็กๆ สองกลุ่ม ฉันมีความสุขมาก และคิดว่า “ยิ่งฉันไปร่วมการชุมนุมมากเท่าไร ฉันก็จะยิ่งเข้าใจความจริงมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งฉันทำหน้าที่มากเท่าไร พระเจ้าก็จะยิ่งทรงคุ้มครองครอบครัวฉันมากขึ้นเท่านั้น” หลังจากนั้น ไม่ว่าอะไรๆ ที่บ้านจะยุ่งแค่ไหน ฉันก็จะพยายามหาเวลาทำหน้าที่ของตัวเองเสมอ แต่ในช่วงปลายปี 2008 สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น คืนหนึ่ง  เวลาประมาณเที่ยงคืน พี่ชาย พี่สะใภ้ และสามีฉันรีบขับรถจากที่ทำงานกลับมาบ้าน  ตอนนั้นทั้งมืด ฝนตก และถนนบนภูเขาก็ขรุขระ และจู่ๆ พวกเขาก็ตกลงไปในคูน้ำลึกตรงทางโค้ง ศีรษะสามีฉันกระแทกกับประตูรถ กระจกแตกตกลงมาโดนใบหน้าจนมีรอยแผลเต็มไปหมด และมีเลือดอาบเต็มตัว เขาหมดสติทันที เขาเสียเลือดมากจนอยู่ในภาวะโคม่าที่โรงพยาบาลประมาณสองชั่วโมงก่อนจะฟื้นขึ้นมา หลังออกจากโรงพยาบาล สามีฉันยังมีอาการสมองกระทบกระเทือนเล็กน้อย และบางครั้งก็พูดจาสับสน เขาฟันหลุดไปหนึ่งซี่ แผลที่ปากยังไม่หายดี และเขาพูดไม่ชัด พอเห็นเขาในสภาพมึนงงแบบนั้น ฉันก็ปวดใจจนอยู่นิ่งไม่ได้ และคิดว่า “ตอนออกไปทำงานเขายังดีๆ อยู่เลย แล้วทำไมถึงกลับมาสภาพนี้? ต้องโทษพี่ชายฉันคนเดียวเลยที่ขับรถประมาทขนาดนั้น” แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้า เข้าร่วมการชุมนุม และทำหน้าที่ของตัวเอง แล้วเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร? ทำไมพระเจ้าไม่ทรงคุ้มครองพวกเขา? ถ้าสามีฉันมีอาการหลงเหลืออยู่ ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร? ลูกชายสองคนของเรายังเล็ก แถมเราก็มีฟาร์มหมูด้วย ใครจะคอยห่วงเรื่องพวกนี้แทนฉันล่ะ?” ในช่วงไม่กี่วันต่อมา ฉันกังวลมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ขาก็รู้สึกหนักตอนเดิน ฉันไม่มีกะจิตกะใจที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือฟังบทเพลงนมัสการ และเมื่อฉันฝืนตัวเองให้ไปร่วมการชุมนุม ฉันก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่อยากพูดอะไร ต่อมาหลังจากพี่น้องหญิงหวังฟางทราบเรื่องของฉัน เธอก็เปิดบทเพลงนมัสการที่มีพระวจนะของพระเจ้าเพลงนี้ “เจ้าต้องเป็นพยานต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง” “พระราชกิจทุกขั้นตอนที่พระเจ้าทรงกระทำภายในตัวผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการรบกวนของมนุษย์  แต่เบื้องหลังทุกขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และทั้งหมดก็ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานที่พวกเขามีให้พระเจ้า  เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังทำการเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือการกระทำของมนุษย์และการรบกวนของพวกมนุษย์  เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังทั้งหมดนั้นคือการสู้รบ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง)  หวังฟางสามัคคีธรรมกับฉันว่า “พี่น้องหญิง เราทุกคนรู้เรื่องประสบการณ์ของโยบ แม้ว่าจะดูเหมือนว่าฝูงวัวและแกะจำนวนมากของโยบถูกขโมยไป แต่ในความเป็นจริง นี่เป็นการทดลองจากซาตาน ซาตานคิดว่าโยบยำเกรงพระเจ้าเพียงเพราะพระเจ้าได้ทรงอวยพรเขา พระเจ้าทรงปล่อยให้ซาตานทดลองโยบ ซาตานจึงเริ่มโจมตีโยบโดยใช้ขโมยไปลักอูฐและปศุสัตว์ของเขา และทำร้ายลูกๆ ของเขา และต่อมาซาตานก็ทำให้โยบเป็นตุ่มฝีหนองทั่วทั้งตัว เป้าหมายของซาตานคือทำให้โยบบ่นพระเจ้าและปฏิเสธพระองค์ แต่โยบเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง และเชื่อว่าพระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย และเขาสรรเสริญพระนามของพระเจ้า เขาเป็นคำพยานอันกึกก้องให้พระเจ้า ขณะที่เราเดินตามพระเจ้า ซาตานจะกล่าวหาและโจมตีเรา และนี่คือสิ่งที่ทดลองเรา  เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในครอบครัวคุณเลย เป้าหมายของซาตานคือทำให้คุณละทิ้งพระเจ้าและสูญเสียความรอดของพระองค์ เราต้องมีความเชื่อในพระเจ้าและไม่หลงกลอุบายของซาตาน” หลังจากฟังการสามัคคีธรรมของหวังฟาง ฉันก็ตระหนักว่าเหตุการณ์นี้เป็นการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณและซาตานกำลังพยายามก่อกวนฉัน ซาตานไม่อยากให้ฉันได้รับการช่วยให้รอดโดยการเชื่อในพระเจ้า มันเลยพยายามสุดความสามารถที่จะทำลายและขัดขวางความเชื่อและความรอดของฉัน มันใช้อุบัติเหตุทางรถยนต์ของสามีฉันมาสั่นคลอนความแน่วแน่ของฉันที่จะเดินตามพระเจ้า เพราะมันอยากทำให้ฉันแคลงใจและไม่เชื่อในพระเจ้า และพินาศไปกับมันในท้ายที่สุด ซาตานมุ่งร้ายมาก และฉันไม่อาจหลงกลกับดักของมันได้! จากนั้นฉันก็นึกถึงเหตุการณ์ในคืนที่สามีประสบอุบัติเหตุ คืนนั้นทั้งมืดและฝนก็ตก ถนนบนภูเขาขรุขระอยู่แล้ว และถนนเริ่มลื่นตอนฝนตก พี่ชายฉันขับรถอย่างประมาทและขับรถลงไปในคูน้ำโดยไม่ได้ตั้งใจ และเรื่องนี้จะเกิดขึ้นไม่ว่าฉันจะเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม แต่ฉันบ่นพระเจ้าตอนสิ่งเหล่านี้ผิดพลาด ฉันช่างไม่มีสำนึกเอาเสียเลย! ฉันไม่ควรบ่นพระเจ้า! หลังจากเข้าใจเรื่องนี้ ฉันก็ตัดสินใจที่จะเชื่อในพระเจ้าและเดินตามพระเจ้าต่อไป ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าและวางใจมอบเรื่องสามีไว้กับพระองค์ด้วย เพราะฉันรู้ว่าพระเจ้าจะทรงเป็นผู้กำหนดว่าเขาจะฟื้นตัวเมื่อใด ฉันเต็มใจที่จะนบนอบ หลังจากนั้น ฉันยังคงเชื่อในพระเจ้าและเข้าร่วมการชุมนุมต่อไป ครึ่งปีต่อมา หลังจากกินยาและพักฟื้น ความคิดความอ่านของสามีฉันก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ เขามีกำลังวังชามากขึ้น และไม่ได้รับผลกระทบถาวรใดๆ จากเหตุการณ์นี้ ฉันเห็นการคุ้มครองของพระเจ้า และความเชื่อในพระองค์ของฉันก็หนักแน่นขึ้น

วันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2011 เพื่อนบ้านคนหนึ่งบอกฉันว่าหมูของเขาสองสามตัวติดโรคปากและเท้าเปื่อย และถามว่าหมูของฉันเป็นอย่างไรบ้าง  สามีฉันบอกเขาว่าหมูของเราสบายดี แต่ไม่กี่วันต่อมา หมูตัวเมียบางตัวของเราที่เพิ่งจะออกลูกก็เป็นโรคปากและเท้าเปื่อยด้วย ลูกหมูที่กินนมแม่หมูก็ติดเชื้อไปด้วย และภายในเวลาแค่เดือนกว่าๆ ลูกหมูของเราตายไปตั้ง 60 กว่าตัว ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกแทงที่หัวใจ ฉันกังวลมากว่าถ้าหมูตัวอื่นๆ ในฟาร์มเราจะติดเชื้อไปด้วย เราจะสูญเสียทุกอย่าง ทั้งเงินลงทุนหลักและผลตอบแทนที่อาจจะได้รับ พ่อสามีบ่นฉันว่า “ความเชื่อในพระเจ้าของเธอไม่ได้ทำให้ครอบครัวปลอดภัย สามีเธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และตอนนี้หมูก็มาป่วยอีก” สามีฉันไม่ยอมให้ฉันไปร่วมการชุมนุมด้วยซ้ำ คนทั้งครอบครัวรุมต่อว่าฉันอย่างรุนแรงทีละคน และฉันรู้สึกเจ็บปวดมาก  ฉันเริ่มแคลงใจในพระเจ้าโดยไม่รู้ตัว “ลูกหมูตายไปเยอะมาก หรือว่าจะเป็นเพราะความเชื่อในพระเจ้าของฉันจริงๆ?” ฉันเริ่มคิดลบและอ่อนแอ และไม่เข้าร่วมการชุมนุมเลยเป็นเวลาสองสามเดือน ต่อมาเมื่อนึกถึงอุบัติเหตุทางรถยนต์ของสามีก่อนหน้านี้ ฉันก็ตระหนักว่าซาตานพยายามก่อกวนฉันอีกแล้ว “แต่ฉันก็กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันเลยควรได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้าสิ ทำไมพระเจ้าไม่ทรงประทานพรให้ฉันล่ะ? จะเชื่อหรือไม่เชื่อในพระเจ้าก็ไม่เห็นจะต่างกันเลย!” ยิ่งคิดแบบนี้มากเท่าไร ฉันก็ยิ่งเริ่มไม่แน่ใจว่าจะมีประสบการณ์อย่างไรกับสถานการณ์นี้ ฉันจึงคุกเข่าและอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ลูกหมูในฟาร์มของข้าพระองค์ตายไปหลายสิบตัว ครอบครัวโจมตีข้าพระองค์ไม่หยุดเพราะเรื่องนี้ และข้าพระองค์คิดว่าไม่น่าจะทนรับได้มากกว่านี้ โปรดประทานความรู้แจ้งและชี้แนะข้าพระองค์ให้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงการสามัคคีธรรมที่พี่น้องหญิงหวังฟางแบ่งปันกับฉันก่อนหน้านี้เรื่องประสบการณ์ของโยบ เมื่อซาตานพยายามทดลองโยบ ความมั่งคั่งมหาศาลของโยบถูกขโมยไป และลูกๆ ของเขาถูกทับจนตาย ส่วนตัวเขาก็เป็นตุ่มฝีหนองทั่วทั้งตัว แต่โยบรู้ถึงอธิปไตยของพระเจ้า เขารู้ว่าพระเจ้าประทานให้ และรู้ว่าพระเจ้าทรงเอาไป โยบไม่สงสัยเรื่องพระเจ้าเลย และเขาสรรเสริญพระนามของพระเจ้าต่อไป ตั้งมั่นในคำพยานของตนให้พระเจ้า และทำให้ซาตานอับอาย ฉันนึกถึงลูกหมูที่ป่วยตาย และคิดว่าซาตานก็พยายามทดลองและก่อกวนฉันด้วยเรื่องนี้เหมือนกัน และคิดว่าฉันก็ต้องตั้งมั่นในคำพยานของตนให้พระเจ้าเช่นกัน โยบสูญเสียปศุสัตว์เยอะมากและความมั่งคั่งมหาศาล แต่เขาก็ไม่ได้ต่อว่าพระเจ้า แต่สำหรับฉัน ฉันต่อว่าพระเจ้าเพียงเพราะลูกหมูของฉันตายไปไม่กี่สิบตัว เมื่อเทียบกับโยบแล้วฉันยังห่างไกลมาก! เมื่อตระหนักได้เช่นนี้ ฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้า ว่าไม่ว่าซาตานจะพยายามก่อกวนฉันอย่างไรอีก ฉันก็จะยังเชื่อในพระเจ้าและนมัสการพระองค์

ต่อมาฉันค้นหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับสภาวะของฉันมาอ่าน ฉันเห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “สิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาคือการที่จะสามารถได้รับสันติสุขภายหลังการเชื่อในพระเจ้า เพื่อลูกหลานของเจ้าจะได้ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อสามีของเจ้าจะมีงานที่ดี เพื่อบุตรชายของเจ้าจะได้เจอภรรยาที่ดี เพื่อบุตรสาวของเจ้าจะได้เจอสามีที่มีความประพฤติดีเหมาะสม เพื่อม้าและโคของเจ้าจะไถพรวนผืนดินได้ดี เพื่อปีที่มีสภาพอากาศที่ดีสำหรับพืชผลของเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหา  การไล่ตามเสาะหาของเจ้าก็เพียงเพื่อจะมีชีวิตในความสุขสบาย เพื่อที่จะไม่มีอุบัติภัยตกมาถึงครอบครัวของเจ้า เพื่อที่สายลมจะโชยผ่านเจ้า เพื่อที่ใบหน้าของเจ้าจะไม่สัมผัสกรวดทราย เพื่อที่พืชผลของครอบครัวเจ้าจะไม่ถูกน้ำท่วม ไม่ได้รับผลกระทบจากความวิบัติอันใด เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในรังอันอุ่นสบาย  คนขี้ขลาดอย่างเจ้าผู้ซึ่งไล่ตามเสาะหาเนื้อหนังเสมอนั้น—เจ้ามีหัวใจ เจ้ามีจิตวิญญาณหรือไม่?  เจ้าไม่ใช่สัตว์ร้ายหรอกหรือ?  เราให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้าโดยไม่ได้ขออะไรกลับคืน กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา  เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  เรามอบชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงให้แก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา  เจ้าไม่ได้ต่างอะไรจากสุกรหรือสุนัขตัวหนึ่งหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่าพระเจ้าทรงรังเกียจผู้ที่เชื่อในพระองค์โดยมีเจตนาที่จะได้รับพระพร แต่ในความเชื่อของฉัน ฉันอยากให้พระองค์คุ้มครองความสงบสุขและสุขภาพของครอบครัวฉัน และอยากให้ปศุสัตว์ของฉันมีลูกดก และอยากให้เราสามารถสร้างรายได้มหาศาลจากพวกมัน เมื่อทุกอย่างในครอบครัวเป็นไปอย่างราบรื่นโดยไม่เกิดความวิบัติหรือเคราะห์ร้าย ฉันก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแข็งขัน และหลังจากสามีฟื้นตัวจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ฉันก็ขอบคุณพระเจ้าในใจ แต่เมื่อลูกหมูทยอยตายไปทีละตัว ฉันกลับพร่ำบ่นพระเจ้าที่ไม่ทรงคุ้มครองครอบครัวฉัน ฉันเริ่มคิดลบมากจนไม่มีสมาธิอ่านพระวจนะของพระเจ้า และฉันไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมเป็นเวลาสองสามเดือน ทุกวันฉันกังวลเรื่องสุขภาพของหมูและการสูญเสียทางการเงินของเรา ฉันตระหนักว่าฉันเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อรับพระคุณและพระพร และฉันพยายามต่อรองกับพระเจ้า ฉันช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจจริงๆ!  นึกถึงสุนัขสิ ตอนเจ้าของให้อาหาร มันจะเฝ้าบ้านให้เจ้าของ แต่พอเจ้าของไม่ให้อาหาร สุนัขก็ยังเฝ้าบ้านให้เจ้าของอยู่ดี ฉันแย่ยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรฉัน ฉันขอบคุณพระองค์ แต่พอพระเจ้าไม่ทรงตอบสนองฉันแม้เพียงเล็กน้อย ฉันก็หมดความเชื่อในพระองค์ และแม้แต่ตอนที่ครอบครัวฉันโจมตีฉัน ฉันก็ค่อยๆ เริ่มยอมรับทัศนะของพวกเขา เกิดความแคลงใจและบ่นพระเจ้า ฉันเลอะเลือนอะไรขนาดนั้น! ฉันขาดประสบการณ์ในการเลี้ยงหมู เลยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่หมูจะติดโรคปากและเท้าเปื่อยแล้วตาย ยิ่งไปกว่านั้น หมูบางตัวที่เพื่อนบ้านเลี้ยงก็ตายเหมือนกัน และนี่เป็นเรื่องปกติมากในอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ แต่ฉันมองเรื่องนี้ผิดไป และกลับพร่ำบ่นพระเจ้าที่ไม่ทรงคุ้มครองครอบครัวฉัน ฉันไม่มีเหตุผลเลยไม่ใช่หรือ?  หลังจากเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกโล่งใจมาก ฉันเริ่มเต็มใจที่จะละทิ้งความอยากได้พระพร และเลิกขอพระพรหรือความสงบสุขจากพระเจ้า และนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และได้บทเรียนจากสถานการณ์ที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการให้ฉัน หลังจากนั้น ฉันเข้าร่วมการชุมนุมต่อไป และค่อยๆ มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น

เช้าวันหนึ่งในเดือนสิงหาคมตอนฉันไปให้อาหารหมู ฉันสังเกตเห็นว่าหมูโตเต็มวัยสองตัวไอและมีรอยแดงหลายแห่งบนตัว ฉันรีบโทรหาเพื่อนบ้านเพื่อถามว่าอาการนี้อาจเป็นโรคอะไร เพื่อนบ้านบอกว่า “หมูพวกนี้มีแนวโน้มที่จะมีไข้สูงในช่วงนี้ของปี หมูสองสามตัวที่อยู่ฟาร์มข้างๆ ก็ติดโรคนี้แล้ว โรคนี้ติดต่อได้ คุณเลยควรรีบไปซื้อยาป้องกัน” เมื่อได้ยินว่าโรคนี้ติดต่อได้ ฉันก็เริ่มกังวลมาก ครอบครัวฉันมีหมูโตเต็มวัยมากกว่าสี่สิบตัวที่เกือบจะพร้อมขายแล้ว ถ้าทุกตัวเป็นไข้ตาย การลงทุนในช่วงหกเดือนหลังจะไม่หายไปกับผลตอบแทนที่อาจจะได้รับหรือ? ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าและวางใจมอบเรื่องนี้ไว้กับพระองค์ ต่อมาฉันจำพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งได้ใจความว่า “หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ถูกกุมไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และทุกอย่างในชีวิตของเขาก็อยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อเรื่องทั้งหมดนี้หรือไม่ก็ตาม ทุกสิ่งและทุกอย่าง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตามพระดำริของพระเจ้า  นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเข้าใจว่าทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และหมูเหล่านี้จะติดเชื้อหรือไม่ ก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเช่นกัน ฉันทำได้แค่ให้ยาพวกมันเพื่อป้องกันไว้ก่อน ส่วนชีวิตหรือความตายของพวกมันนั้นพระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนด ฉันเริ่มเต็มใจที่จะนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และเลิกบ่นพระเจ้า ต่อมาเมื่อให้อาหารหมู ฉันผสมยาป้องกันลงไปในอาหารพวกมัน และหลังจากนั้นสองวัน หมูที่ป่วยสองตัวก็ฟื้นตัว และตัวอื่นๆ ก็สบายดีเช่นกัน สองเดือนต่อมา แม้ว่าหมูหลายตัวของฟาร์มอื่นจะตาย  แต่หมูประมาณสี่สิบตัวของฉันทุกตัวล้วนมีสุขภาพดีและขายได้ในราคาสูง คราวนี้ฉันไม่ได้บ่นพระเจ้าที่หมูป่วย และฉันดีใจมากและรู้สึกขอบคุณพระเจ้ามากที่ทรงคุ้มครอง

ต่อมาฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง และพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างหน้าที่ของมนุษย์กับการที่เขาจะได้รับพรหรือประสบเคราะห์ร้ายหรือไม่  หน้าที่คือสิ่งที่มนุษย์ควรทำให้ลุล่วง เป็นงานของเขาที่สวรรค์ส่งมาให้ ซึ่งมนุษย์ควรปฏิบัติโดยไม่แสวงหาสิ่งตอบแทน ปราศจากเงื่อนไขหรือเหตุผล  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เขากำลังทำหน้าที่ของเขา  การได้รับพรหมายถึงพรทั้งหลายที่คนคนหนึ่งได้รับเมื่อพวกเขาได้รับการทำให้เพียบพร้อมหลังได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา  การประสบเคราะห์ร้ายหมายถึงการลงโทษที่คนคนหนึ่งได้รับเมื่ออุปนิสัยของพวกเขาไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากที่พวกเขาได้ก้าวผ่านการตีสอนและการพิพากษาแล้ว—นั่นคือ เมื่อพวกเขาไม่ได้รับการทำให้เพียบพร้อม  แต่ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับพรหรือประสบเคราะห์ร้ายก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง ทำสิ่งที่ควรจะทำ และทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่คือสิ่งที่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลซึ่งไล่ตามเสาะหาพระเจ้า ควรทำเป็นอย่างน้อย  เจ้าไม่ควรปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพรเท่านั้น และไม่ควรปฏิเสธการปฏิบัติหน้าที่ของตนเพราะกลัวว่าจะประสบเคราะห์ร้าย(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่าการทำหน้าที่ในความเชื่อคือภารกิจที่สวรรค์มอบหมายให้มนุษย์ และเป็นสิ่งที่เราควรกระทำ และไม่ควรขึ้นอยู่กับผลตอบแทน นี่คือสำนึกที่คนเราควรมี ในความเชื่อของฉัน ฉันไม่ควรพยายามต่อรองกับพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงประทานพรและคุ้มครองครอบครัวฉัน ฉันก็ขอบคุณพระองค์ แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาดที่บ้านและเกิดเคราะห์ร้าย ฉันจะเริ่มบ่นพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงเห็นชอบความเชื่อเช่นนี้ ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และโชคชะตากับความมั่งคั่งของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าจะประทานให้หรือทรงเอาไป ฉันควรนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และลุล่วงหน้าที่ของตัวเอง จากประสบการณ์เหล่านี้ ฉันมีวิจารณญาณแยกแยะกลอุบายของซาตานขึ้นมาบ้าง และเข้าใจเจตนาของตัวเองที่จะแสวงหาพระพรผ่านทางความเชื่อ ทัศนะผิดๆ ของฉันเรื่องความเชื่อในพระเจ้าก็ได้รับการแก้ไขนิดหน่อยด้วย และฉันได้รู้ว่าเมื่อเชื่อในพระเจ้า เราควรนบนอบพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริง และแสวงหาการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้ามากสำหรับความเข้าใจและสิ่งที่ฉันได้รับ!

ก่อนหน้า: 59. ฉันปล่อยวางความรู้สึกติดค้างที่มีต่อลูกๆ

ถัดไป: 91. การไล่ตามไขว่คว้า ชีวิตสมรสที่เพียบพร้อม นำไปสู่ความสุขหรือไม่?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger