46. การกล้าพูดถึงข้อเสียของเพื่อนสนิททำให้มิตรภาพยืนยาวและดีงาม
ปี 2023 ฉันจับคู่กับเย่ซวินทำหน้าที่งานข้อเขียน ความสามารถในการทำงานของเย่ซวินดีกว่าฉัน และเธอก็ทำงานมีประสิทธิภาพกว่าด้วย ปกติถ้าฉันมีสภาวะไม่ปกติ เธอจะสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าเพื่อช่วยฉัน เราเข้ากันได้ดีมาก เดือนกุมภาพันธ์ 2024 ระหว่างการชุมนุม เย่ซวินเชื่อมโยงพระวจนะของพระเจ้าเพื่อเข้าใจอุปนิสัยโอหังของตัวเอง แต่เธอเข้าใจแบบกว้างๆ มาก พอเธอพูดจบ หลานซินก็ชี้ให้เห็นพฤติกรรมที่โอหังและบีบคั้นผู้คนของเย่ซวินตอนทำหน้าที่ เธอบอกว่าปกติเวลาเย่ซวินชี้ปัญหาของเธอ น้ำเสียงมักแฝงการดูถูก ทำให้เธอรู้สึกถูกบีบคั้นมาก และมีบางครั้งที่เธอรู้สึกว่าขีดความสามารถของตัวเองแย่และทำหน้าที่ไม่ดีพอ เย่ซวินก็บอกเธอ อย่างดูถูกว่าให้ลาออกถ้าทำไม่ได้ ซึ่งทำให้เธอคิดลบมาก ขณะที่หลานซินพูด สีหน้าของเย่ซวินก็ค่อยๆ หม่นลง เมื่อหลานซินสามัคคีธรรมจบ เย่ซวินก็ร้องไห้ บอกว่าตัวเองได้บีบคั้นคนอื่นและทำชั่ว และเธอหดหู่มาก ฉันคิดว่าเย่ซวินยังไม่ยอมรับปัญหาที่หลานซินชี้ให้เห็นอย่างเต็มที่ แต่ก็คิดด้วยว่าเย่ซวินห่วงเรื่องหน้าตามาก เป็นธรรมดาที่เธอจะรับไม่ได้ในทันทีตอนหลานซินชี้ให้เห็นปัญหาของเธอ สักพักเธอคงจะดีขึ้นหน่อย ฉันจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ตอนกินข้าว หลานซินพยายามชวนเย่ซวินคุยหลายครั้ง แต่เย่ซวินไม่สนใจ บรรยากาศจึงชวนอึดอัดนิดหน่อย เย่ซวินกับฉันทำงานห้องทำงานเดียวกัน หลังมื้อเที่ยง หลานซินมาที่ห้องทำงานของเราเพื่อช่วยฉันเรื่องคอมพิวเตอร์ เย่ซวินก็เดินออกไปข้างนอก เหมือนจงใจหลบหน้าหลานซิน ก่อนหน้านี้ เธอกับหลานซินมักคุยเล่นและหัวเราะกัน แต่ตอนนี้เหมือนเธอกลายเป็นคนละคน ฉันตระหนักว่าเย่ซวินมีอคติต่อหลานซิน ฉันอยากถามถึงสภาวะของเธอ และชี้ให้เห็นว่าท่าทีแบบนี้คือการไม่ยอมรับความจริงและจะทำให้ผู้คนรู้สึกถูกบีบคั้น แต่แล้วฉันก็เปลี่ยนใจ “หลานซินเพิ่งชี้ให้เห็นปัญหาของเธอไปหยกๆ แต่เธอยังปรับสภาวะไม่ได้ ขืนฉันไปวิจารณ์เธอตอนนี้ เธอจะไม่ยิ่งคิดลบหนักกว่าเดิมเหรอ? ถ้าวันหน้าเธอมองฉันไม่ดีแล้วไม่สนใจฉันขึ้นมา ฉันจะทำยังไง? เราใช้ห้องทำงานร่วมกัน หันไปก็เจอกันแล้ว ถ้าต้องมาบาดหมางกัน วันข้างหน้าคงเข้ากันได้ยากมาก ต่อไปถ้าฉันมีสภาวะผิดปกติหรือเจอปัญหาในงาน แล้วเธอไม่ช่วยฉัน ฉันจะทำยังไง? แบบนั้นฉันจะไม่ขายหน้าหรอกเหรอ?” พอคิดได้แบบนี้ ฉันก็กลั้นใจไม่พูดสิ่งที่กำลังจะพูด แต่ฉันเห็นชัดเจนว่าสภาวะของเย่ซวินไม่ดี และตำหนิตัวเองที่ไม่สามัคคีธรรมเรื่องนั้น ฉันจึงรวบรวมความกล้าถามออกไปว่า “ดูเหมือนสภาวะคุณไม่ค่อยดีนะ เป็นเพราะปัญหาที่หลานซินชี้ให้เห็นเมื่อกี้ยอมรับได้ยากในทันทีหรือเปล่าคะ? ถ้าคุณมีความคิดอะไร ก็เปิดใจและสามัคคีธรรมได้นะ อย่าเอาแต่เก็บกด!” เย่ซวินตอบเสียงอ่อยว่า “ฉันไม่เป็นไร ทำความเข้าใจอยู่น่ะ” แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก พอเห็นเธอไม่อยากเปิดใจสามัคคีธรรม จู่ๆ ฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไร กังวลว่าขืนพูดอีกจะทำให้เธอชิงชังฉันและมองฉันไม่ดี ฉันจึงแค่พูดให้กำลังใจไม่กี่คำ แล้วก็รีบจบบทสนทนา
หลังจากนั้น เย่ซวินก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวและทำงานติดต่อกันสองวัน เธอแทบไม่พูดอะไรเลยนอกจากเวลาเรามีธุระถาม แล้วเธอก็ตอบแค่ไม่กี่คำ ก่อนหน้านี้ เวลาเจอปัญหาในงานที่ฉันมองไม่ขาด เย่ซวินจะกระตือรือร้นแสดงความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะ ถ้าจดหมายที่ฉันเขียนมีตรงไหนสามัคคีธรรมไม่ชัดเจน เธอก็จะช่วยปรับแก้ให้ดีขึ้น แต่ในช่วงสองวันนั้น เย่ซวินไม่ยอมสามัคคีธรรมแม้แต่ปัญหาที่เจอในงาน เรา ฉันอยากหยิบยกปัญหาขึ้นมาหารือ แต่พอเห็นเย่ซวินอารมณ์ไม่ดี ก็คิดว่าขืนคุยงานไปคงไม่ได้ผลลัพธ์อะไร เลยไม่พูดถึงปัญหา ผลก็คือ งานได้รับผลกระทบ ภายหลัง ฉันอยากจะเปิดโปงพฤติกรรมของเย่ซวิน เพื่อให้เธอตระหนักถึงปัญหาของตัวเอง แต่แล้วฉันก็คิดได้ว่า หลานซินแค่เอ่ยถึงอุปนิสัยอันโอหังของเธอสั้นๆ สภาวะของเย่ซวินก็แย่ลงขนาดนี้แล้ว ถ้าฉันพูดอีกครั้งว่าเธอไม่ยอมรับความจริง เธอจะไม่ยิ่งมีอคติต่อฉัน และทำหน้าที่โดยมีกำแพงในใจหรอกเหรอ? แบบนั้นเราจะเข้ากันได้ยากขนาดไหน? ดังนั้น ฉันจึงพูดกับเย่ซวินอย่างรักษาน้ำใจว่า “ถ้าคุณมีความคิดอะไร ก็พูดออกมาได้นะ ถ้าคุณเอาแต่ไม่พูดไม่จาแบบนี้ไปเรื่อยๆ คนอื่นจะรู้สึกถูกบีบคั้น พระเจ้าทรงเตรียมสภาพแวดล้อมแบบนี้เพื่อให้เราได้ทบทวนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง มันเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของเรา” เธอพูดเสียงเบาว่า “ฉันค่อยๆ ทำความเข้าใจอยู่ ฉันไม่เป็นไร แบบนี้แหละดีกว่า วันหน้าถ้าฉันพูดให้น้อยลง ฉันก็จะไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกถูกบีบคั้น” พอเห็นเย่ซวินพูดจาเหมือนยังแง่งอนอยู่ ฉันก็ลังเลอีกครั้ง “ถ้าฉันชี้ให้เห็นปัญหาของเธอแล้วเธอไม่ยอมรับ เธอจะพานไม่สนใจฉันไปด้วยหรือเปล่า? ช่างเถอะ รอจนกว่าเธอจะเต็มใจเปิดใจสามัคคีธรรมดีกว่า” ต่อมาตอนเราคุยงานกัน เย่ซวินก็ยังไม่ค่อยพูด หลานซินเห็นท่าทีของเย่ซวินแล้ว ก็ทำตัวไม่ถูก เธอรู้สึกว่าเป็นความผิดของตัวเอง และตำหนิตัวเองมาก สภาวะของเธอก็พลอยท้อแท้ไปด้วย ในช่วงสองวันนั้น ในหัวฉันมีแต่เรื่องนี้ แม้แต่ตอนทำหน้าที่ก็ทำจิตใจให้สงบลงไม่ได้ ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อบอกสภาวะของตนเอง ขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้รู้จักตนเอง
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “ผู้คนส่วนใหญ่ปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริง แต่โดยมากแล้วพวกเขาแค่มีปณิธานและความพึงปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น ความจริงยังไม่ได้กลายเป็นชีวิตของพวกเขา ผลก็คือ เมื่อพวกเขามาเจอกับกำลังบังคับชั่วหรือเผชิญกับคนชั่วและคนไม่ดีที่ประกอบความประพฤติชั่ว หรือเหล่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ที่ทำสิ่งทั้งหลายในหนทางที่ละเมิดหลักธรรม—อันเป็นการก่อกวนงานของคริสตจักรและทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร—พวกเขาสูญเสียความกล้าที่จะยืนขึ้นและพูดออกมา นั่นหมายความว่าอย่างไรเมื่อเจ้าไม่มีความกล้า? นั่นหมายความว่าเจ้าขี้ขลาดหรือพูดไม่ออกใช่หรือไม่? หรือเป็นที่เจ้าไม่เข้าใจอย่างถี่ถ้วน และจึงไม่มีความมั่นใจที่จะพูดขึ้นมา? ไม่ใช่ที่กล่าวมาเลย นี่เป็นผลสืบเนื่องของการถูกอุปนิสัยที่เสื่อมทรามตีกรอบเอาไว้ หนึ่งในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลายที่เจ้าเปิดเผยออกมาคืออุปนิสัยหลอกลวงของเจ้า เมื่อเกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นกับเจ้า สิ่งแรกที่เจ้าคิดถึงคือผลประโยชน์ทั้งหลายของตนเอง สิ่งแรกที่เจ้าพิจารณาคือผลที่ตามมาว่าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหรือไม่ นี่เป็นอุปนิสัยหลอกลวงใช่หรือไม่? อุปนิสัยอีกอย่างหนึ่งคืออุปนิสัยเห็นแก่ตัวและต่ำช้า เจ้าคิดว่า ‘การสูญเสียผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเกี่ยวอะไรกับฉันหรือ? ฉันไม่ใช่ผู้นำ ดังนั้น ทำไมฉันควรใส่ใจด้วยเล่า? ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย นั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉัน’ ความคิดและคำพูดเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าคิดอย่างมีสติรู้ตัว แต่เกิดจากจิตใต้สำนึกของเจ้า—ซึ่งเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เปิดเผยออกมาเมื่อผู้คนเผชิญประเด็นปัญหา อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นนี้ครอบงำวิธีคิดของเจ้า สิ่งเหล่านี้มัดมือและเท้าของเจ้า และควบคุมสิ่งที่เจ้าพูด ในหัวใจของเจ้า เจ้าต้องการลุกขึ้นและพูด แต่เจ้ามีความเคลือบแคลง และแม้เมื่อเจ้าได้พูดออกมา เจ้ากลับพูดจาอ้อมค้อม และเหลือโอกาสไว้ให้ตัวเองเปลี่ยนใจ หรือไม่เช่นนั้น เจ้าก็เลี่ยงที่จะพูดและไม่พูดความจริง ผู้คนที่มีดวงตาอันชัดเจนย่อมสามารถมองเห็นสิ่งนี้ ในความจริงนั้น เจ้ารู้อยู่แก่ใจของเจ้าว่าเจ้าไม่ได้พูดทั้งหมดที่เจ้าควรพูด รู้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดไม่มีผลกระทบใดเลย เจ้าเพียงแสร้งทำพอเป็นพิธี และปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไข เจ้ายังมิได้ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า แต่เจ้ากลับพูดอย่างเปิดเผยว่าเจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าแล้ว หรือพูดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ชัดเจนสำหรับเจ้า นี่เป็นเรื่องจริงหรือ? และนี่เป็นสิ่งที่เจ้าคิดจริงๆ ใช่หรือไม่? เช่นนั้นแล้ว เจ้าไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าโดยสิ้นเชิงหรอกหรือ? แม้บางสิ่งที่เจ้าพูดนั้นสอดคล้องกับข้อเท็จจริง แต่ในส่วนที่สำคัญและประเด็นปัญหาที่สำคัญยิ่ง เจ้ายังคงโกหกและหลอกลวงผู้คน นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าเป็นคนโกหกและดำเนินชีวิตด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) พระเจ้าทรงเผยให้เห็นว่า หลายครั้งผู้คนเต็มใจปฏิบัติความจริง แต่เพราะถูกครอบงำด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เห็นแก่ตัวและหลอกลวง พวกเขาจึงคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองมากเกินไป และถึงแม้จะเห็นปัญหาของพี่น้องชายหญิงอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่กล้าชี้ให้เห็นหรือเปิดโปง ต่อให้ชี้ให้เห็น ก็ทำแบบอ้อมค้อม พูดครึ่งๆ กลางๆ และไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า ฉันอยู่ในสภาวะนี้เลย ฉันเห็นว่าเย่ซวินไม่ยอมรับคำชี้แนะของหลานซิน แถมยังเมินเฉยใส่หลานซิน ซึ่งทำให้หลานซินรู้สึกถูกบีบคั้น ฉันควรจะสามัคคีธรรมและช่วยเหลือให้ทันท่วงที แต่ฉันกังวลว่าถ้าฉันชี้ให้เห็นว่าเธอไม่ยอมรับความจริงในตอนนั้น เธอจะรับไม่ได้ในทันทีและจะมองฉันไม่ดี แล้ววันหน้าถ้าฉันมีความลำบากยากเย็นอะไร เธอก็จะไม่ช่วยฉัน ดังนั้น ฉันจึงเพียงแค่ถามถึงสภาวะของเธออย่างรักษาน้ำใจ พอเห็นว่าเธอไม่เต็มใจเปิดใจ ฉันก็เริ่มกังวลอีกครั้งว่า การเปิดโปงปัญหาของเธอจะทำให้เธอรู้สึกชิงชังฉัน ฉันจึงกลั้นใจไม่พูดสิ่งที่กำลังจะพูด ต่อมา สภาวะของเย่ซวินยังไม่ดีขึ้น มีหลายวันติดต่อกันที่เธอไม่ค่อยคุยกับเรา และเราก็สื่อสารหรือหารือเรื่องงานกันตามปกติไม่ได้ แถมเราไม่สามารถทำงานให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีได้ ฉันเห็นปัญหาของเย่ซวินชัดเจน แต่ไม่กล้าเปิดโปงเพราะอยากปกป้องตัวเอง ฉันนิ่งเฉยขณะที่สภาวะของหลานซินและงานของคริสตจักรได้รับผลกระทบ ในหัวใจฉันมีแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง ฉันไม่ได้ปกป้องงานของคริสตจักรเลย ฉันช่างหลอกลวงและเห็นแก่ตัวเหลือเกิน!
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า และเริ่มเข้าใจต้นตอที่ทำให้ฉันไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “มีหลักปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกข้อหนึ่งที่กล่าวว่า ‘การไม่พูดถึงข้อเสียของเพื่อนสนิท ย่อมทำให้มิตรภาพยืนยาวและดีงาม’ นี่หมายความว่า เพื่อรักษามิตรภาพอันดีนี้เอาไว้ คนเราต้องนิ่งเงียบในเรื่องปัญหาของเพื่อน ต่อให้พวกเขามองเห็นปัญหาเหล่านั้นชัดเจนก็ตาม พวกเขายึดปฏิบัติตามหลักของการไม่ชกหน้าผู้คนหรือพูดถึงข้อบกพร่องของพวกเขา พวกเขาต้องหลอกลวงกัน ซ่อนตัวจากอีกฝ่าย และร่วมกันวางแผนร้าย แม้พวกเขาจะรู้อย่างชัดแจ้งว่าอีกฝ่ายเป็นคนแบบใด แต่พวกเขาก็ไม่พูดออกมาตรงๆ กลับใช้วิธีการอันฉลาดแกมโกงเพื่อรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ ทำไมคนเราถึงอยากรักษาสัมพันธภาพเช่นนี้เอาไว้? นี่เป็นเรื่องของการไม่อยากสร้างศัตรูในสังคม ภายในกลุ่มของตน ซึ่งย่อมจะหมายถึงการทำให้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายบ่อยๆ เมื่อรู้ว่าหลังจากที่เจ้าพูดถึงข้อบกพร่องหรือทำร้ายความรู้สึกของใครบางคนแล้ว พวกเขาจะพลอยกลายเป็นศัตรูของเจ้าและทำร้ายเจ้า และเจ้าก็ไม่อยากพาตนเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น เจ้าก็ใช้หลักปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกที่ว่า ‘เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา’ เมื่อเป็นเช่นนี้ หากคนสองคนมีสัมพันธภาพแบบนี้ นับว่าพวกเขาเป็นเพื่อนแท้กันหรือไม่? (ไม่) พวกเขาไม่ใช่เพื่อนแท้ และยิ่งไม่ใช่คนรู้ใจกัน ดังนั้น แท้จริงแล้วนี่เป็นสัมพันธภาพชนิดใด? เป็นสัมพันธภาพขั้นพื้นฐานทางสังคมมิใช่หรือ? (ใช่) ในสัมพันธภาพทางสังคมเช่นนี้ ผู้คนไม่สามารถร่วมหารือกันจากใจสู่ใจ หรือมีความสัมพันธ์อันแนบแน่น หรือพูดทุกสิ่งที่พวกเขาอยากพูดได้ พวกเขาไม่สามารถพูดสิ่งที่อยู่ในใจ หรือปัญหาที่พวกเขาเห็นในตัวผู้อื่น หรือคำพูดที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นออกมาดังๆ ได้ พวกเขากลับหยิบยกสิ่งดีๆ ขึ้นมาพูดเพื่อรักษาความโปรดปรานของผู้อื่น พวกเขาไม่กล้าพูดความจริงหรือค้ำชูหลักธรรม ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเกิดความคิดอันไม่เป็นมิตรต่อพวกเขา เมื่อไม่มีใครเป็นภัยคุกคาม คนคนนั้นย่อมมีชีวิตที่ค่อนข้างสบายและสงบสุขมิใช่หรือ? นี่คือเป้าหมายของผู้คนในการส่งเสริมคำกล่าวที่ว่า ‘เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา’ มิใช่หรือ? (ใช่) ชัดเจนว่านี่คือวิธีเอาตัวรอดที่คดเคี้ยวและหลอกลวงโดยมีการปกป้องตนเองเป็นองค์ประกอบ ซึ่งจุดหมายก็คือเพื่อรักษาตัวให้รอด การใช้ชีวิตแบบนี้ทำให้ผู้คนไม่มีคนรู้ใจ ไม่มีเพื่อนสนิทที่พวกเขาสามารถพูดเรื่องอะไรก็ได้ที่ตนอยากพูด ระหว่างผู้คน มีเพียงต่างฝ่ายต่างปกป้องตนเองต่างฝ่ายต่างช่วงใช้กัน และต่างฝ่ายต่างมีกลยุทธ์ แต่ละคนต่างก็กอบโกยสิ่งที่ตนต้องการจากสัมพันธภาพนี้ เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? เมื่อดูมูลเหตุแล้ว จุดหมายของคำกล่าวที่ว่า ‘เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา’ ก็คือการไม่ล่วงเกินผู้อื่นและไม่สร้างศัตรู ปกป้องตนเองโดยไม่ทำร้ายใคร นี่เป็นกลวิธีและแนวทางที่คนเราใช้ป้องกันตนเองจากการถูกทำร้าย เมื่อพิจารณาแก่นแท้ของกลวิธีดังกล่าวจากหลายๆ แง่มุม การกำหนดให้ผู้คนมีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมแบบ ‘เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา’ นั้นเป็นข้อกำหนดที่ประเสริฐหรือไม่? ใช่ข้อกำหนดที่เป็นบวกหรือไม่? (ไม่ใช่) เช่นนั้นแล้ว ข้อกำหนดนี้สอนอะไรแก่ผู้คน? สอนว่าเจ้าต้องไม่ล่วงเกินหรือทำร้ายใคร มิฉะนั้นในที่สุดเจ้าเองจะเจ็บตัว และเจ้าไม่ควรไว้ใจใครอีกด้วย ถ้าเจ้าทำร้ายเพื่อนที่ดีของเจ้าไม่ว่าคนใด มิตรภาพก็จะเริ่มเปลี่ยนไปอย่างเงียบๆ กล่าวคือ พวกเขาจะเปลี่ยนจากการเป็นเพื่อนสนิทที่ดีของเจ้าไปเป็นคนแปลกหน้าหรือศัตรู การสอนผู้คนให้ปฏิบัติตนเช่นนี้สามารถแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง? ด้วยการทำตัวแบบนี้ ต่อให้เจ้าไม่สร้างศัตรูและถึงกับหมดศัตรูไปบ้าง แต่นี่จะทำให้ผู้อื่นเลื่อมใสเจ้า เห็นชอบในตัวเจ้า และให้เจ้าเป็นเพื่อนตลอดไปกระนั้นหรือ? นี่ทำได้ตามมาตรฐานของการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมโดยสมบูรณ์แล้วหรือ? อย่างมากที่สุดนี่ก็เป็นเพียงปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกเท่านั้น การยึดมั่นในถ้อยแถลงและวิธีปฏิบัติเช่นนี้นับเป็นการประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรมหรือไม่? ไม่เลย” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (8)) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเห็นว่าเหตุผลที่ฉันไม่กล้าชี้ให้เห็นปัญหาของเย่ซวินตรงๆ เป็นเพราะฉันใช้ชีวิตตามปรัชญาซาตานในการดำรงชีวิตทางโลก ฉันยึดถือคติพจน์อย่าง “การไม่พูดถึงข้อเสียของเพื่อนสนิทย่อมทำให้มิตรภาพยืนยาวและดีงาม” และ “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” เป็นแนวทางในการดำรงชีวิตทางโลกของฉันเอง ฉันเคยคิดว่าการจะเข้ากับผู้คนได้ ต้องรู้จักผ่อนปรนให้พวกเขา พูดจาในแบบที่พวกเขายอมรับได้ง่าย และไม่ล่วงเกินพวกเขา และมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะรักษาความสัมพันธ์กับผู้คนและมีที่ยืนในสังคมได้ ตอนที่ฉันยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้า ถ้าใครทำผิด ฉันก็จะไม่กล้าชี้ให้เห็นตรงๆ ต่อให้พูด ฉันก็จะพูดอย่างรักษาน้ำใจมาก ฉันเลยเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ดีมาก หลังจากเริ่มเชื่อในพระเจ้า ฉันก็ยังคงพึ่งพาปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกเหล่านี้เพื่อเข้ากับพี่น้องชายหญิง เมื่อฉันเห็นพี่น้องชายหญิงทำสิ่งที่ขัดต่อหลักธรรมและไม่เป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักร ฉันก็ไม่กล้าชี้ให้เห็นเพราะกลัวจะทำลายบรรยากาศที่กลมเกลียว โดยเฉพาะเมื่อฉันเห็นว่าเย่ซวินไม่ยอมรับปัญหาที่หลานซินชี้ให้เห็น และกำลังใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและขัดขวางหน้าที่ของเรา ฉันควรจะสามัคคีธรรม ให้คำชี้แนะแก่เธอ และช่วยให้เธอเข้าใจผลสืบเนื่องที่ร้ายแรงของการไม่ยอมรับความจริง แต่ฉันกลับกลัวว่ามันจะกระทบความสัมพันธ์ของเรา ฉันเลยเพียงแค่ถามถึงสภาวะของเธออย่างอ้อมค้อม โดยไม่ชี้ให้เห็นปัญหาของเธอ ผลก็คือ เธอแง่งอนอยู่ตลอดและไม่ทำหน้าที่อย่างถูกควร ซึ่งขัดขวางงาน ฉันตระหนักว่าการใช้ชีวิตตามปรัชญาซาตานในการดำรงชีวิตทางโลกไม่ได้เป็นสิ่งที่จริงใจหรือมีประโยชน์ต่อผู้คนเลยสักนิด และไม่ได้ปกป้องงานของคริสตจักร แถมยังทำให้ฉันหลอกลวงและเห็นแก่ตัวมากขึ้นเรื่อยๆ มันทำร้ายผู้อื่นและตัวเราเองจริงๆ! เมื่อคนที่มีความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงเห็นพี่น้องชายหญิงใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขาจะสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าด้วยความรัก และช่วยให้พี่น้องชายหญิงเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง แต่ฉันกลับคำนึงแค่ว่าเย่ซวินจะมองฉันไม่ดีไหม และเราจะเข้ากันได้ยากขึ้นไหมในวันข้างหน้าหลังจากที่ฉันชี้ให้เห็นปัญหาของเธอ ฉันเอาแต่คิดว่าจะปกป้องตัวเองยังไง ฉันไม่ได้คำนึงถึงการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องหญิงหรืองานของคริสตจักรเลยแม้แต่น้อย ฉันตระหนักว่าถึงแม้ฉันจะเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่ฉันไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด ฉันไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และฉันทำให้พระเจ้าทรงรังเกียจจริงๆ เมื่อเข้าใจเรื่องนี้ หัวใจฉันก็เต็มไปด้วยการตำหนิตัวเองและความเสียใจ ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าเรื่องสภาวะของฉันด้วย เพื่อขอให้พระองค์ทรงนำให้ฉันสามารถปฏิบัติความจริงได้
หลังจากนั้น ฉันได้ดูวีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์เรื่องหนึ่ง ในนั้นมีการยกพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนที่เป็นประโยชน์ต่อฉันเป็นพิเศษ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในบางครั้ง ความปรองดองหมายถึงความอดกลั้นและความยอมผ่อนปรน แต่ก็หมายรวมถึงการรักษาจุดยืนของเจ้าและการยึดมั่นในหลักธรรมด้วย ความปรองดองไม่ได้หมายถึงการประนีประนอมในหลักธรรมเพื่อทำให้สิ่งต่างๆ ราบรื่นขึ้น หรือการพยายามเป็น ‘คนเอาใจผู้อื่น’ หรือยึดติดกับทางสายกลาง และแน่นอนว่ามิได้หมายถึงการทำตัวให้เป็นที่ถูกใจของใครบางคน นี่คือหลักธรรม ทันทีที่เจ้าเข้าใจหลักธรรมเหล่านี้แล้ว เจ้าจะพูดจาและกระทำการอย่างสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า และใช้ชีวิตตามความเป็นจริงของความจริงโดยไม่รู้ตัว ในหนทางนี้การสัมฤทธิ์ความเป็นเอกภาพย่อมง่าย ในพระนิเวศของพระเจ้า หากผู้คนใช้ชีวิตตามปรัชญาสำหรับติดต่อเจรจาทางโลก และหากพวกเขาพึ่งพามโนคติอันหลงผิด ความโน้มเอียงของตนเอง ความอยากได้อยากมี เหตุจูงใจที่เห็นแก่ตัว พรสวรรค์ และความฉลาดของตนเองเพื่อให้ไปกันได้กับทุกคน เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมไม่ใช่หนทางที่จะมีชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพวกเขาก็ไม่สามารถสัมฤทธิ์ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? นี่เป็นเพราะเมื่อผู้คนใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน พวกเขาย่อมไม่สามารถสัมฤทธิ์ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ว่าด้วยการร่วมมือกันอย่างปรองดอง) “หากเจ้ามีเจตนาและมุมมองของคนที่ชอบเอาใจผู้คน เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่ปฏิบัติความจริงหรือค้ำชูหลักธรรมในทุกเรื่อง ดังนั้นเจ้าย่อมจะล้มเหลวและล้มลงเสมอ หากเจ้าไม่ตื่นรู้และไม่เคยแสวงหาความจริงเลย เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็คือผู้ไม่เชื่อ และเจ้าจะไม่มีวันได้รับความจริงและชีวิตเลย แล้วเจ้าควรทำอย่างไร? เมื่อเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ เจ้าต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าและร้องทูลต่อพระองค์ ขอให้พระเจ้าทรงช่วยเจ้าให้รอด ประทานความเชื่อและพละกำลังแก่เจ้า ทำให้เจ้าสามารถค้ำชูหลักธรรม ทำในสิ่งที่เจ้าควรทำ จัดการสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรม ยืนหยัดในจุดยืนที่เจ้าควรยืน ปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และป้องกันไม่ให้งานของพระนิเวศของพระเจ้าได้รับความสูญเสียใดๆ หากเจ้าสามารถขัดขืนผลประโยชน์ส่วนตน ความทะนงตน และมุมมองของคนที่ชอบเอาใจผู้คนของเจ้าได้ และหากเจ้าทำในสิ่งที่เจ้าควรทำด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์และไม่แบ่งแยก เจ้าก็จะเอาชนะซาตานและได้รับความจริงในแง่มุมนี้ หากเจ้ายืนกรานอย่างดื้อดึงที่จะดำเนินชีวิตตามปรัชญาของซาตาน ปกป้องความสัมพันธ์ของเจ้ากับผู้อื่น และหากเจ้าไม่เคยนำความจริงไปปฏิบัติได้เลย และไม่กล้าที่จะค้ำชูหลักธรรม เช่นนั้น เจ้าจะสามารถปฏิบัติความจริงในเรื่องอื่นๆ ได้หรือไม่? เจ้าจะยังคงไม่มีความเชื่อหรือพละกำลัง หากเจ้าไม่เคยแสวงหาหรือยอมรับความจริงได้เลย แล้วความเชื่อในพระเจ้าเช่นนั้นจะเอื้อให้เจ้าได้รับความจริงหรือไม่? (ไม่) และหากเจ้าไม่สามารถได้รับความจริง เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่? เจ้าย่อมไม่ได้รับ หากเจ้าดำเนินชีวิตตามปรัชญาของซาตานอยู่เสมอ โดยปราศจากความเป็นจริงความจริงแม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่มีทางได้รับการช่วยให้รอดได้อย่างแน่นอน เจ้าควรเข้าใจให้ชัดเจนว่าการได้รับความจริงเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับความรอด เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถได้รับความจริงได้อย่างไร? หากเจ้าสามารถปฏิบัติความจริงได้ หากเจ้าสามารถดำเนินชีวิตตามความจริงได้ และหากความจริงกลายเป็นรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็จะได้รับความจริงและมีชีวิต และเจ้าก็จะเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอด” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) พระเจ้าตรัสว่าความกลมเกลียวที่แท้จริงไม่ใช่แค่การอดกลั้นและการทนรับ แต่เราต้องมีหลักธรรมและยืนหยัดในจุดยืนด้วย เราจะยึดทางสายกลางหรือเป็นพวกที่ชอบเอาใจคนอื่นไม่ได้ ต้องปฏิบัติต่อผู้คนและทำงานร่วมกับพวกเขาตามหลักธรรมความจริงเท่านั้น จึงจะสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า หากเราเอาแต่ใช้ชีวิตตามปรัชญาซาตานในการดำรงชีวิตทางโลก ปกป้องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ไม่สามารถยึดมั่นในหลักธรรมความจริง และไม่สามารถปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าได้ ท้ายที่สุด เราจะไม่มีวันได้รับความจริงอย่างแน่นอน และจะเป็นหนึ่งในคนที่ถูกพระเจ้ากำจัด ฉันใช้ชีวิตตามความคิดและทัศนะของพวกที่ชอบเอาใจผู้คนมาโดยตลอด ฉันรู้ชัดเจนว่าควรชี้ให้เห็นปัญหาของเย่ซวินและช่วยให้เธอเข้าใจตัวเองและพลิกสภาวะของเธอ แต่ฉันก็เอาแต่กังวลว่าถ้าชี้ให้เห็นแล้ว จะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเรา ดังนั้น ฉันเลยไม่ได้ปฏิบัติการเปิดใจและสามัคคีธรรม ดูผิวเผินแล้ว เราสองคนเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่กลมเกลียวกัน แต่เธอกลับไม่เคยเข้าใจปัญหาของตัวเอง และสภาวะของเธอก็แย่ลงเรื่อยๆ ทุกคนถูกบีบคั้น และงานก็ได้รับผลกระทบ ทั้งหมดนี้คือผลสืบเนื่องจากการที่ฉันไม่ปฏิบัติความจริง ฉันจะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ฉันต้องปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และชี้ให้เห็นพฤติกรรมของเย่ซวินที่ไม่ยอมรับความจริงและธรรมชาติของสิ่งนั้น ถ้าเธอยอมรับความจริงหลังจากการสามัคคีธรรมและการเปิดโปง นั่นจะเป็นผลดีต่อเธอ และเป็นความช่วยเหลือที่แท้จริง แต่ถ้าเธอยังไม่ยอมรับหลังจากสามัคคีธรรม และยังคงรู้สึกต่อต้าน ฉันก็จำเป็นต้องมีวิจารณญาณแยกแยะ คืนนั้น ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้า วิงวอนขอให้พระองค์ประทานความเชื่อให้ฉันสามารถชี้ให้เห็นปัญหาของเย่ซวินได้ หลังจากอธิษฐาน ฉันก็เป็นฝ่ายเริ่มถามถึงสภาวะของเย่ซวิน และชี้ให้เห็นพฤติกรรมของเธอที่ไม่ยอมรับความจริงและรังเกียจความจริง หลังจากเย่ซวินฟังฉัน เธอก็มีความเข้าใจในสภาวะของตัวเองบ้าง และเต็มใจที่จะกลับตัว ฉันเห็นว่าเธอเต็มใจยอมรับความจริง แต่ในช่วงแรก เธอยังใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและไม่สามารถกลับตัวได้ในทันที ฉันยังได้รับประสบการณ์ด้วยว่า เมื่อเราปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า เราจะรู้สึกสบายใจและสงบ
ในการชุมนุมวันรุ่งขึ้น ตอนที่เย่ซวินสามัคคีธรรมถึงสภาวะของเธอ เธอบอกว่าเธอรู้ว่าตัวเองบีบคั้นผู้คนด้วยอุปนิสัยอันโอหัง และไม่ยอมรับความจริง แต่เธอยังไม่เข้าใจธรรมชาติและผลสืบเนื่องของการทำแบบนี้ ฉันเริ่มรู้สึกลังเลอีกครั้ง “บางทีฉันควรชี้ให้เธอเห็นเรื่องต่างๆ อีกรอบ เพื่อให้เธอเข้าใจรายละเอียดมากขึ้น ถ้าเธอเข้าใจแค่แบบกว้างๆ นี่จะไม่เป็นประโยชน์ต่อการกลับตัวและการเข้าสู่ชีวิตของเธอในวันข้างหน้า แต่ถ้าฉันชี้ให้เห็น เธอจะคิดว่าฉันเรียกร้องจากเธอมากเกินไปไหม? ถ้าเธอรับไม่ได้แล้วกลับไปคิดลบอีกล่ะ? ถ้าเธอเกิดมีอคติต่อฉัน เราจะเข้ากันได้ยังไงในวันข้างหน้า? บางทีฉันควรปล่อยให้เธอค่อยๆ ทำความเข้าใจด้วยตัวเองดีกว่า” พอคิดแบบนี้ ฉันก็กังวลนิดหน่อยอีกครั้ง ตอนนี้เองที่ฉันตระหนักว่าความลังเลของฉันยังคงเป็นเพราะฉันอยากรักษาความสัมพันธ์กับเธอ ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าในใจ วิงวอนขอให้พระองค์ประทานความเชื่อให้ฉันปฏิบัติต่อพี่น้องหญิงด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์ ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “คำพูดที่เจริญใจนั้นแสดงออกเช่นไร? โดยส่วนใหญ่จะเป็นคำพูดที่หนุนใจ ให้การปรึกษา ชี้นำแนวทาง เตือนสติ เข้าอกเข้าใจ และชูใจ นอกเหนือจากนี้ ในกรณีพิเศษบางกรณีก็จำเป็นต้องเปิดโปงข้อผิดพลาดของผู้อื่นโดยตรงและตัดแต่งพวกเขา เพื่อให้พวกเขาเข้าใจความจริงและมีหัวใจที่สำนึกกลับใจ เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะสัมฤทธิ์ผลได้ การปฏิบัติเช่นนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้คนอย่างใหญ่หลวง เป็นการช่วยเหลือพวกเขาอย่างแท้จริงและยังความเจริญใจแก่่พวกเขามิใช่หรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (3)) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเข้าใจว่า ไม่ใช่แค่คำให้กำลังใจและคำตักเตือนเท่านั้นที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คน การตัดแต่งเกี่ยวกับปัญหาของผู้คนและการชี้ให้เห็นข้อบกพร่องและจุดด้อยของพวกเขานั้นเป็นการเสริมสร้างที่ยิ่งใหญ่กว่า มันสามารถช่วยให้คนเราเข้าใจสภาวะของตัวเองได้ดีขึ้น แสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหา และยังเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาด้วย ตอนนี้ เย่ซวินยังไม่เข้าใจธรรมชาติและผลสืบเนื่องของการที่เธอไม่ยอมรับความจริง การชี้ให้เห็นจะช่วยให้เธอรู้จักตัวเองได้ดีขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งการเข้าสู่ชีวิตของเธอและงานของคริสตจักร ไม่สำคัญว่าเย่ซวินจะคิดยังไงกับฉัน สิ่งสำคัญที่สุดคือฉันต้องปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าและช่วยเหลือพี่น้องหญิงอย่างแท้จริง ดังนั้น ฉันจึงอ่านพระวจนะของพระเจ้าหลายบทตอนที่เกี่ยวกับสภาวะของเย่ซวิน และชี้ให้เห็นว่าเธอเข้าใจแบบกว้างๆ และขาดรายละเอียด จากนั้น ฉันก็สามัคคีธรรมโดยเชื่อมโยงกับพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับธรรมชาติและผลสืบเนื่องของการทำแบบนี้ ผ่านการสามัคคีธรรม เย่ซวินยอมรับว่าตอนนี้เธอยังไม่มีความเข้าใจที่ลึกซึ้งนัก และเต็มใจที่จะกลับตัวและเปลี่ยนแปลง แถมเธอขอโทษหลานซินตรงนั้นเลย หลานซินสามัคคีธรรมถึงสภาวะของตัวเองด้วย ทุกคนเปิดใจเรื่องตัวเอง และไม่มีช่องว่างระหว่างกันอีกต่อไป ฉันได้รับประสบการณ์อย่างแท้จริงว่าการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้านั้นช่วยเหลือและเป็นประโยชน์ต่อผู้คนอย่างไร ตราบใดที่ผู้คนเต็มใจยอมรับความจริง การชี้ให้เห็นปัญหา การช่วยเหลือกัน การสามัคคีธรรม และการเปิดโปงระหว่างพี่น้องชายหญิง ไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้ผู้คนคิดลบ แต่อันที่จริงจะช่วยให้ผู้คนเข้าใจตัวเองดีขึ้น และทุกคนจะมีความก้าวหน้าในการเข้าสู่ชีวิต สิ่งเหล่านี้คือผลประโยชน์ของการปฏิบัติความจริง