51.เราควรฟังใครในเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
กุญแจสำคัญในการต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าคืออะไรคะ องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา” (ยอห์น 10:27) “เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’” (มัทธิว 25:6) วิวรณ์ได้เผยพระวจนะไว้ว่า: “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วิวรณ์ 3:20) “ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย” (วิวรณ์ 2:7) คำเผยพระวจนะเหล่านี้แสดงให้เห็น ว่าการคอยฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า คือกุญแจสำคัญในการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า การได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าเป็นหนทางเดียวเท่านั้น แต่มีผู้เชื่อหลายคน คิดว่าในเมื่อนักบวชรู้พระคัมภีร์อย่างดีและสาธยายเรื่องนี้ตลอดเวลา พวกเขาก็ควรเป็นคนเฝ้าประตูให้กับสิ่งที่สำคัญขนาดนี้ แต่พอพวกเขาได้ยินคำพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว พวกเขาก็ไม่ตรวจสอบมัน และเมื่อพวกเขาเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นความจริง พวกเขาก็ยังไม่สนใจ สรุปแล้วผู้เชื่อพวกนั้นเชื่อในพระเจ้า หรือเชื่อในนักบวช ในเรื่องการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเราควรฟังใครกันแน่? เราควรฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า หรือเสียงศิษยาภิบาล? ในความเชื่อเมื่อก่อนนี้ ฉันไม่เคยเข้าใจเรื่องนี้เลย แถมยังหลับหูหลับตาฟังศิษยาภิบาล และเกือบพลาดโอกาสต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าซะแล้วค่ะ
ในเดือนมิถุนายนปี 2017 ฉันได้พบกับซิสเตอร์หลิวและบราเดอร์ต้วนจากเยอรมันทางเฟซบุ๊ก ผ่านการติดต่อพูดคุยกันของเรา ฉันก็เห็นว่าพวกเขาเป็นคนที่ถ่อมตัวและไว้ใจได้ แถมมีความเข้าใจล้วนๆ ในเรื่องพระคัมภีร์และมีการสามัคคีธรรมที่ให้ความรู้แจ้ง ฉันได้อะไรเยอะแยะเลย เราชุมนุมกันอยู่ 2-3 ครั้ง และฉันก็ได้เรียนรู้ความจริงมากมายที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน อย่างเช่น ความเชื่อและการกลับใจใหม่ที่แท้จริงคืออะไร การติดตามและการนบนอบต่อพระเจ้าคืออะไร การติดตามและนบนอบต่อมนุษย์คืออะไร แก่นแท้และรากเหง้าแห่งการต่อต้านองค์พระเยซูเจ้าของพวกฟาริสี วิธีการคอยฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าและต้อนรับพระองค์ และอีกมากมาย ฉันรู้สึกเหมือนได้รับเสบียงอาหารเยอะมากจากการนี้ และมันทำให้หัวใจของฉันกระจ่างขึ้น ฉันชื่นชมการชุมนุมพวกนี้มากค่ะ ครั้งหนึ่ง บราเดอร์ต้วนอ่านพระคัมภีร์ให้ฟังสองข้อ ความว่า “เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน” (ลูกา 17:24-25) เขาบอกว่าในยุคสุดท้าย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจุติเป็นมนุษย์อีกครั้งในฐานะบุตรมนุษย์เพื่อเสด็จมาทรงพระราชกิจ และคำเผยพระวจนะนี้ก็ลุล่วงมาได้สักพักแล้ว เขาบอกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ และพระองค์ทรงกำลังแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาซึ่งเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงทั้งปวงที่ชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอด นั่นเหมือนกับความสว่างอันยิ่งใหญ่ที่สาดฉายมาจากทิศตะวันออก และนี่คือ ‘ฟ้าแลบ’ จากทิศตะวันออก” ฉันค่อนข้างตกใจค่ะที่ได้ยินแบบนี้ ฉันคิดว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วอย่างนั้นเหรอ” แล้วฉันก็นึกถึงสิ่งที่นักบวชเคยพูดขึ้นมา ว่ามีแค่ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกที่เป็นพยานว่าพระเจ้าทรงกลับมาแล้วในร่างมนุษย์ และเราไม่ควรไปเชื่อมัน เพราะมีเพียงองค์พระเยซูเจ้าเท่านั้นที่เป็นพระคริสต์ หลังจากนั้นฉันก็รู้สึกว้าวุ่นมาก และไม่สามารถจดจ่อกับการสามัคคีธรรมของบราเดอร์ต้วนได้เลย ฉันคิดว่า “ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าและรู้พระคัมภีร์อย่างดี พวกเขาควรรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่สำคัญแบบนี้สิ ฉันจะไปถามพวกเขาก่อนแล้วกัน”
พอวันอาทิตย์ฉันก็ไปที่คริสตจักรและถามศิษยาภิบาล เขาตอบว่า “สิ่งที่ผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ประกาศมันมีค่านะ แต่พวกเขาให้คำพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในร่างมนุษย์ เรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้ มีเพียงองค์พระเยซูเจ้าเท่านั้นคือพระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น พวกเขาเชื่อในมนุษย์ คริสตจักรของพวกเขาถูกรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนกดขี่ และการเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออกคงจะเป็นการทรยศต่อองค์พระเยซูเจ้าด้วย” พอได้ยินแบบนี้ คลื่นความเกรงกลัวก็พุ่งทะลุตัวฉันเลย ฉันคิดว่าถ้ามันเป็นแบบนั้น ซิสเตอร์หลิวกับบราเดอร์ต้วนต้องพลัดหลงจากองค์พระผู้เป็นเจ้าแน่ๆ ฉันเริ่มสงสัยในตัวพวกเขาและเริ่มระวังตัว รวมถึงไม่อยากพบปะกับพวกเขาอีกต่อไป แต่พอนึกถึงการให้คำพยานของพวกเขาว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว ฉันก็ลังเล ถ้ามันเป็นเรื่องจริง และฉันไม่ยอมสอบสวนดู องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงขับฉันออกไปเหรอ แต่ถ้าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ ทำไมศิษยาภิบาลถึงจะไม่ยอมรับ แต่กลับบอกว่าพวกซิสเตอร์หลิวบราเดอร์ต้วนเชื่อในบุคคลคนหนึ่งล่ะ ฉันคิดว่าศิษยาภิบาลรู้พระคัมภีร์และเข้าใจอะไรมากกว่าฉัน เพราะฉะนั้นฉันก็ควรอยู่ห่างพวกเขาเข้าไว้จะได้ไม่พลัดหลงไป แต่พอกลับถึงบ้าน ฉันก็รู้สึกกระสับกระส่ายและไม่สบายใจเลย ฉันทุกข์ใจและรู้สึกหดหู่ ฉันเลยเอ่ยคำอธิษฐานถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า: “โอ้องค์พระผู้เป็นเจ้า วันนี้ข้าพระองค์ได้ฟังศิษยาภิบาล และตอนนี้ข้าพระองค์ก็เริ่มกังขาในตัวซิสเตอร์หลิวกับบราเดอร์ต้วน ข้าพระองค์กลัวการตรวจสอบฟ้าแลบจากทิศตะวันออกให้มากกว่านี้ องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ปรารถนาการทรงกลับมาของพระองค์ แต่ก็กลัวจะเดินผิดทางและทรยศพระองค์เข้า ข้าพระองค์ไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าควรทำยังไง ได้โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำให้ข้าพระองค์ได้รู้ผิดถูกด้วยเถิด”
หลังจากอธิษฐานฉันก็ค่อยๆ รู้สึกสงบขึ้นค่ะ จากนั้นสิ่งที่ซิสเตอร์หลิวเคยสามัคคีธรรมเอาไว้ก็ผุดขึ้นมาในความคิด ในความเชื่อของเราพระเจ้าคือผู้สูงสุด และทุกสรรพสิ่งต้องอยู่บนพื้นฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่สำคัญอย่างการสอบสวนหนทางที่แท้จริง ถ้าเราเอาแต่ฟังคนอื่นในทุกเรื่อง เราเชื่อและทำตามคนอื่นๆ เราจะไถลห่างจากหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ ฉันก็เลยเริ่มคิดทบทวนกับตัวเองค่ะ ตอนที่ฉันได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว ฉันไม่ได้แสวงหาน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าก่อน หรือดูว่าในเรื่องนี้พระวจนะของพระเจ้าบอกไว้ว่ายังไง ดูว่ามันมาจากพระเจ้าไหม ฉันกลับเคารพบูชาศิษยาภิบาลและฟังเขา นั่นไม่ใช่น้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าค่ะ ทุกการชุมนุมที่ฉันเข้าร่วมกับสมาชิกของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ การสามัคคีธรรมของพวกเขาให้ความรู้แจ้งและสอดคล้องกับพระคัมภีร์ แถมคำอธิบายเรื่องน้ำพระทัยของพระเจ้าของพวกเขาก็ชัดเจนดี ฉันได้เข้าใจความจริงมากมายที่ไม่เคยรู้มาก่อนจากการชุมนุมกันแค่ไม่กี่ครั้ง ฉันรู้สึกว่าได้เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น และความเชื่อของฉันก็เติบโตขึ้น สิ่งนี้ชัดเจนว่ามาจากพระเจ้าและมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ค่ะ แต่ฉันกลับไม่ดูตรงที่ว่าคริสตจักรมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือมีเสบียงอาหารแห่งความจริงไหม ฉันเพียงแต่คิดว่าศิษยาภิบาลรู้พระคัมภีร์อย่างดี ฉันเลยเชื่อเขาว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยังไม่กลับมา ฉันแน่ใจว่าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มีความจริงและพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ฉันก็ยังไม่ตรวจสอบมันอยู่ดี นั่นไม่ใช่ความเชื่อในศิษยาภิบาลเหรอคะ? นั่นจะเป็นการที่เชื่อหรือติดตามพระเจ้าได้ยังไง? ฉันนึกถึงตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจ พวกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์และฟาริสีผู้รับใช้พระเจ้าในวิหาร ต่างก็รู้องค์พระคัมภีร์และธรรมบัญญัติอย่างละเอียด แต่พวกเขาจำไม่ได้ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเมสสิยาห์ พวกเขากลับต่อต้านและกล่าวโทษพระองค์อย่างบ้าคลั่ง แถมยังจับพระองค์ตรึงกางเขน ฉันตระหนักได้ว่าการรู้ข้อในพระคัมภีร์อย่างดีนั้นไม่เหมือนการรู้จักพระเจ้า และถ้าฉันหลับหูหลับตาฟังศิษยาภิบาล นั่นคงจะขัดกับน้ำพระทัยของพระเจ้าและฉันอาจต่อต้านพระองค์เอาได้! ฉันตัดสินใจที่จะเข้าร่วมการชุมนุมกับซิสเตอร์หลิวและบราเดอร์ต้วนต่อไป และถ้าฉันแน่ใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงกลับมาจริงๆ ฉันก็จะยอมรับและติดตามพระองค์ค่ะ
ในการชุมนุมครั้งถัดมา ฉันได้แบ่งปันความสับสนของตัวเองให้ทั้งคู่ฟัง บราเดอร์ต้วนพูดว่า “สิ่งที่ศิษยาภิบาลของคุณพูดมีพื้นฐานอะไรบ้างไหม? ที่ว่าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เชื่อในบุคคลคนหนึ่งน่ะ? เขาได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือค้นดูพระราชกิจของพระองค์แล้วหรือยัง? เขาไม่กลัวว่าการกล่าวโทษคริสตจักรแบบนี้จะเป็นการต้านทานพระเจ้าหรือ? พวกฟาริสีตัดสินองค์พระเยซูเจ้าว่าเป็นแค่บุคคลธรรมดาทั่วไป พวกเขาไม่ได้ฟังความจริงที่พระองค์ได้ทรงแสดง แต่กลับต่อต้านและกล่าวโทษพระองค์อย่างป่าเถื่อน และลงเอยด้วยการสมรู้ร่วมคิดในการตรึงกางเขนพระองค์จนถูกพระเจ้าลงโทษ เหล่านักบวชทุกวันนี้ไม่ได้ดูตรงที่ว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นความจริงหรือเปล่า ใช่พระสุรเสียงของพระเจ้าไหม แถมเอาแต่ปฏิเสธและกล่าวโทษพระองค์ นั่นไม่ใช่ความผิดพลาดแบบเดียวกับที่พวกฟาริสีทำเหรอ ไม่ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะใช่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์หรือเปล่า ไม่ว่าพระองค์ใช่องค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมาไหม มันก็ไม่ได้ถูกกำหนดโดยโลกศาสนาหรือการเห็นชอบของรัฐบาลนะ เราต้องดูว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นความจริงไหม และพระองค์ทรงพระราชกิจของพระเจ้าหรือเปล่า นั่นแหละคือกุญแจสำคัญ” เพื่ออธิบายถึงการจุติเป็นมนุษย์ให้ดีขึ้น บราเดอร์ต้วนได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ฉันฟังสองสามบทตอน “‘การจุติเป็นมนุษย์’ คือการทรงปรากฏของพระเจ้าในเนื้อหนัง พระเจ้าทรงพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นในพระฉายาของเนื้อหนัง ดังนั้น เพื่อที่พระเจ้าจะทรงจุติเป็นมนุษย์ได้นั้น ประการแรกพระองค์ต้องทรงเป็นเนื้อหนังก่อน นั่นคือ เนื้อหนังที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นี่คือข้อกำหนดเบื้องต้นที่สำคัญที่สุด อันที่จริงแล้ว ความหมายโดยนัยของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าก็คือว่า พระเจ้าทรงพระชนม์ชีพและทรงพระราชกิจในเนื้อหนัง คือว่าพระเจ้าในแก่นสารที่แท้จริงของพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงกลายเป็นมนุษย์” (“แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) “พระเจ้าซึ่งทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ได้รับการขานพระนามว่าพระคริสต์ และดังนั้นแล้วพระคริสต์ที่สามารถประทานความจริงแก่ผู้คนได้จึงมีพระนามเรียกขานว่าพระเจ้า ไม่มีอะไรที่เกินเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพระองค์ทรงครองเนื้อแท้ของพระเจ้า และทรงครองพระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระปรีชาญาณในพระราชกิจของพระองค์ ที่ไม่สามารถบรรลุได้โดยมนุษย์ บรรดาพวกที่เรียกตัวเองว่าพระคริสต์ ทว่ากลับไม่สามารถทำงานของพระเจ้าได้นั้นเป็นพวกฉ้อฉล พระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นแค่การสำแดงของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกเท่านั้น แต่ยังทรงเป็นเนื้อหนังพิเศษเฉพาะที่ได้รับการดูแลรับผิดชอบโดยพระเจ้าในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินการและทำให้พระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์เสร็จสิ้น เนื้อหนังนี้ไม่สามารถแทนที่ได้โดยมนุษย์คนใด แต่เป็นเนื้อหนังที่สามารถแบกรับพระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกได้อย่างเพียงพอ และสามารถแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเป็นตัวแทนพระเจ้าได้เป็นอย่างดี และสามารถจัดเตรียมชีวิตให้แก่มนุษย์ได้” (“พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) “พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองการแสดงออกของพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงก่อเกิดพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ และในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และจะสามารถนำความจริงมาสู่มนุษย์ ประทานชีวิตให้เขาและชี้หนทางให้เขา เนื้อหนังที่ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่ถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ในเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ และเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะบนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์ และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) มากกว่ารูปปรากฏภายนอก หากมนุษย์พินิจพิเคราะห์เพียงแค่รูปปรากฏภายนอกของพระองค์ และส่งผลให้มองข้ามแก่นแท้ของพระองค์ นี่ก็แสดงว่ามนุษย์มืดบอดและไม่รู้เท่าทัน” (คำนำของ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)
จากนั้น บราเดอร์ต้วนได้แบ่งปันการสามัคคีธรรมว่า “พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ คือพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงนุ่งห่มเนื้อหนัง พระองค์ทรงบังเกิดมาเป็นบุคคลธรรมดาทั่วไป ตรัสและทรงพระราชกิจบนโลกเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงปรากฏอย่างปกติและธรรมดาสามัญมาก พระองค์ทรงครองความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เสวยและทรงแต่งพระองค์เหมือนกับคนอื่นๆ ไม่มีผิด รวมถึงทรงมีภาวะอารมณ์อย่างมนุษย์ปกติด้วย ยังไงก็ตาม แก่นแท้แท้ของพระองค์นั้นเป็นของพระเจ้า พระองค์ทรงแสดงความจริงเพื่อบำรุงเลี้ยงมนุษย์ได้ทุกที่ทุกเวลา พระองค์ทรงพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง ทรงแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้า รวมถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นด้วย นี่คือบางสิ่งที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดทำได้ นั่นก็เหมือนกับองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงดูเหมือนบุคคลธรรมดาทั่วไป แต่ทรงแสดงความจริงและทรงนำมาซึ่งหนทางแห่งการกลับใจใหม่ พระองค์ทรงยกโทษแก่บาปของมนุษย์ รวมถึงทรงแสดงพระอุปนิสัยแห่งความรักและพระกรุณาของพระเจ้า พระองค์ทรงรักษาคนป่วย ทรงขับผีออก และทรงทำการแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์มากมาย อย่างเช่น ทรงเลี้ยงมนุษย์ห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัว ทรงห้ามทะเลด้วยพระวจนะเพียงคำเดียว ทรงปลุกคนตาย และอีกมายมาย พระองค์ทรงแสดงถึงฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจแห่งพระเจ้า ในท้ายที่สุด พระองค์ก็ถูกตรึงกางเขน เสร็จสิ้นพระราชกิจของพระองค์ในการไถ่มวลมนุษย์จากบาป เราจะเห็นได้จากพระราชกิจและพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า รวมถึงพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออก ว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์—พระองค์คือพระคริสต์ พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งในยุคสุดท้าย ในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เช่นเดียวกับองค์พระเยซูเจ้า จากภายนอกพระองค์ทรงดูเหมือนคนธรรมดา พระองค์ทรงใช้ชีวิตท่ามกลางมวลมนุษย์จริงๆ และไม่ได้เหนือธรรมชาติอะไรเลย แต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงทั้งปวงที่ชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอด พระองค์ทรงพระราชกิจการพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า เพื่อชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอดจากบาปอย่างครบบริบูรณ์ อีกทั้งทรงนำทางพวกเราเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ไขกุญแจแห่งความลึกลับทั้งปวงเรื่องแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ซึ่งนั่นรวมถึง ความจริงของพระราชกิจทั้งสามระยะของพระเจ้า ทั้งในยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคแห่งราชอาณาจักร รวมถึงสิ่งที่สัมฤทธิ์ผลในยุคนั้นๆ ความลึกลับแห่งพระนามของพระเจ้าและการจุติเป็นมนุษย์ของพระองค์ นัยสำคัญแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงสิ้นสุดแต่ละยุคและจำแนกมนุษย์ตามประเภทของพวกเขายังไง บทอวสานที่ต่างกันของมนุษย์ ราชอาณาจักรของพระคริสต์จะเป็นจริงขึ้นมาบนแผ่นดินโลกได้ยังไง และอีกมากมาย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังทรงเปิดเผยถึงความจริงแห่งการที่ซาตานทำให้พวกเราเสื่อมทราม รวมถึงธรรมชาติที่ต่อต้านพระเจ้าเยี่ยงซาตานของเรา เราจึงเห็นได้ถึงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานทั้งหลาย อย่างเช่น ความโอหัง การหลอกลวง และการเกลียดชังความจริง พระองค์ทรงเปิดเผยถึงพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมและมิอาจถูกทำให้ขุ่นเคืองของพระเจ้าแก่เรา อีกทั้งทรงแสดงให้เห็นเส้นทางที่เจาะจงในการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเรา และอีกมายมาย นอกจากพระเจ้าแล้ว จะมีใครสามารถแสดงความจริงและเปิดเผยความลึกลับแห่งแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าได้อีก จะมีใครอื่นทำงานพิพากษาเพื่อชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยเขาให้รอดได้อีก จะมีใครอื่นที่เปิดเผยถึงพระอุปนิสัยชอบธรรมและมิอาจทำให้ขุ่นเคืองได้ของพระเจ้า และจะมีใครอื่นที่กำหนดบทอวสานของมนุษย์ได้อีกล่ะคะ มีแค่พระเจ้าในร่างมนุษย์เท่านั้นที่สามารถทรงพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแบบนี้ได้เพื่อความรอดของมวลมนุษย์ พระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทั้งหมดทำไปบนรากฐานของพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า นี่คือพระราชกิจในระยะที่ใหม่กว่า และสูงกว่า นี่ทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าลุล่วงอย่างครบบริบูรณ์ว่า ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล’ (ยอห์น 16:12-13) ‘เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย’ (ยอห์น 12:47-48) ความจริงที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดง พระราชกิจการพิพากษาของพระองค์ รวมถึงพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงให้เห็นล้วนพิสูจน์ ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระเจ้าในร่างมนุษย์ พระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา พระองค์คือพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย เราไม่สามารถใช้การทรงปรากฏมากำหนดพิจารณาว่าพระองค์คือพระคริสต์หรือไม่ กุญแจสำคัญคือพระองค์ทรงแสดงความจริงหรือเปล่า พระองค์ทรงไถ่และช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้หรือเปล่าต่างหาก”
การสามัคคีธรรมของบราเดอร์ต้วนเป็นอะไรที่ยกระดับจิตใจฉันจริงๆ ค่ะ การจุติมาเป็นมนุษย์ ก็คือพระเจ้าในสวรรค์ที่ทรงนุ่งห่มเนื้อหนังของบุคคลธรรมดาทั่วไป พระองค์ทรงดูเหมือนคนอื่นๆ ไม่มีผิด แต่พระองค์ทรงมีเนื้อแท้ของพระเจ้า ทรงสามารถแสดงให้เห็นถึงความจริงและทรงพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองได้ นี่คือสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้ มันทำให้ฉันนึกถึงข้อนี้ในพระคัมภีร์เลยค่ะ: “พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าเช่นกัน” (1 โครินธ์ 2:11) นอกจากพระเจ้าซึ่งทรงจุติเป็นมนุษย์ จะมีใครอีก ที่สามารถอธิบายความลึกลับของการจุติเป็นมนุษย์ได้อย่างชัดเจน? ถ้าไม่ได้อ่านความจริงของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ มองจากภายนอก คุณก็คงเข้าใจผิดว่าพระคริสต์เป็นบุคคลธรรมดาทั่วไป แล้วก็อาจปฏิเสธและต่อต้านพระเจ้าเอาได้!
จากนั้นซิสเตอร์หลิวก็ได้แบ่งปันการสามัคคีธรรมบางอย่าง เธอบอกว่า “การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทำให้คำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ลุล่วงอย่างสมบูรณ์ พระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมาค่ะ ผู้เชื่อที่แท้จริงจากหลากนิกายหลายคนได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และเห็นว่ามันคือความจริงและเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาได้หันเข้าหาพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระราชกิจและพระวจนะของพระองค์ทำเอาทั้งโลกศาสนาสั่นคลอน เหล่านักบวชต้องได้ยินเรื่องนี้แล้วแน่นอน แต่ทำไมพวกเขาถึงไม่ยอมตรวจสอบและอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ล่ะ ทำไมพวกเขาถึงดึงดันที่จะต้านทานมันอยู่ พวกฟาริสีรู้ ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนป่วย ทรงขับผีออก ทรงประกาศหนทางแห่งการกลับใจใหม่ และว่านั่นมาจากพระเจ้า แต่พวกเขาก็ตั้งใจที่จะปฏิเสธพระองค์โดยบอกว่า พระองค์เป็นชาวนาซาเร็ธ บุตรของช่างไม้ พวกเขาต่อต้านและกล่าวโทษพระองค์อย่างบ้าคลั่ง รวมถึงสมรู้ร่วมคิดกับรัฐบาลโรมันในการตรึงกางเขนพระองค์ พวกเขาปฏิเสธและกล่าวโทษพระคริสต์ พวกเขาคือศัตรูของพระองค์ พวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกเปิดโปงโดยพระราชกิจของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงปรากฏในยุคสุดท้าย และตอนนี้ เหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสต่างก็รู้ว่าพระองค์ทรงแสดงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา พวกเขาไม่เพียงปฏิเสธที่จะตรวจสอบ แต่ยังกระจายข่าวลือเพื่อปฏิเสธและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ด้วย ในคริตจักร พวกเขากระจายข่าวลือและคำโกหกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ให้ร้ายคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แถมพวกเขายังไปเข้าร่วมกองกำลังของพรรคที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเพื่อต่อต้านพระองค์ แล้วพวกเขาจะต่างจากพวกฟาริสีที่ต่อต้านองค์พระเยซูเจ้ายังไง? พระคัมภีร์บอกว่า ‘เพราะว่ามีผู้ล่อลวงจำนวนมากออกมาในโลก เป็นพวกที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เสด็จมาเป็นมนุษย์ คนประเภทนั้นแหละเป็นผู้ล่อลวงและเป็นศัตรูของพระคริสต์’ (2 ยอห์น 1:7) ‘และวิญญาณทุกดวงที่ไม่ยอมรับพระเยซู วิญญาณนั้นก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า วิญญาณนั้นแหละเป็นศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งพวกท่านได้ยินว่าจะมา และขณะนี้ก็อยู่ในโลกแล้ว’ (1 ยอห์น 4:3) นักบวชปฏิเสธพระคริสต์ กล่าวโทษพระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายและต่อต้านพระเจ้าอย่างหัวชนฝา พวกเขาไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกเปิดโปงโดยพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายเหรอ”
ในที่สุด ความสงสัยของฉันก็ได้รับการสะสางจากการสามัคคีธรรมของซิสเตอร์หลิว ฉันตระหนักได้ว่าพวกนักบวชไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระคริสต์หรือการจุติเป็นมนุษย์เลย พวกเขาเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า แต่พวกเขากลับไม่รู้จักแก่นแท้ของพระองค์เลย องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วเพื่อทรงพระราชกิจในร่างมนุษย์ ทรงแสดงความจริงมากมาย แต่พวกเขากลับไม่ตรวจสอบหรือไม่แม้แต่ยอมรับพระองค์ด้วยซ้ำ พวกเขาเอาแต่กล่าวโทษและต่อต้านพระองค์อย่างผลีผลาม พวกเขาคือศัตรูของพระเจ้าค่ะ! ฉันรู้ว่าฉันติดตามพวกเขาต่อไปไม่ได้แล้ว แต่ฉันต้องยอมรับในพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และติดตามย่างพระบาทของพระเจ้า ฉันตัดสินใจที่จะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ไม่ว่าศิษยาภิบาลอาจจะทำอะไรก็ตาม
ในไม่ช้า ศิษยาภิบาลของฉันก็รู้เรื่องที่ฉันเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เขาโกรธจัดขึ้นมาทันที แถมก่นด่าฉันอย่างรุนแรงที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เขาบอกว่าฉันกำลังเชื่อในตัวบุคคล บอกว่ามันผิด และให้สามีฉันมาพยายามเปลี่ยนใจฉัน สามีของฉันไม่มีปัญญาแยกแยะในคำโกหกของศิษยาภิบาล เขาจึงเริ่มขวางทางความเชื่อของฉัน เขาเหมือนกับเป็นคนละคนเลยค่ะ เขาจะโกรธจัดและขว้างปาข้าวของทุกครั้งที่รู้ว่าฉันไปเข้าชุมนุม เขาถึงกับละเลยธุรกิจของครอบครัวเราเพื่อพยายามบังคับให้ฉันล้มเลิกความเชื่อให้ได้ สำหรับฉันมันเจ็บปวดมากเลยค่ะ ภรรยาของศิษยาภิบาลก็พยายามที่จะหยุดยั้งฉันด้วย เธอจะมาอยู่ที่บ้านของเราครั้งละหลายๆ ชั่วโมง จนฉันไม่สามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้เพราะฉันต้องอยู่เป็นเพื่อนเธอ ฉันถึงขนาดทำงานบ้านไม่ทันด้วยซ้ำ ทั้งหมดนี้มันทำให้ฉันไม่สบายใจมากๆ เลยค่ะ
การกระทำของศิษยาภิบาลทำให้ฉันโมโหมาก เขาไม่ได้ตรวจสอบการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า แถมเขายังพยายามหลอกฉันด้วยคำโกหก พยายามกีดกันฉันจากการยอมรับหนทางที่แท้จริง เขาถึงกับใช้สามีฉันมาขวางทางฉัน เพื่อให้ฉันเสียความรอดของพระเจ้าไป มันน่าดูหมิ่นเหลือเกิน! ฉันนึกถึงที่องค์พระเยซูเจ้าทรงเปิดโปงและกล่าวโทษพวกฟาริสีขึ้นมา: “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์ เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม” (มัทธิว 23:13) ฉันรู้สึกว่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสสมัยใหม่ก็เป็นแบบนั้นเลย พวกเขาจะไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ไม่ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า แถมยังเผยแพร่คำโกหกไปทั่ว เพื่อขัดขวางพวกเราที่ต้องการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าและเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า พวกเขาอยากให้เราลงนรกและถูกลงโทษไปกับพวกเขา ถูกฝังไปพร้อมกับพวกเขา พวกเขาเป็นเครื่องสะดุดบนเส้นทางสู่ราชอาณาจักรของเรา พวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์และปีศาจที่กลืนกินวิญญาณ! อย่างที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ตรัสไว้: “มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดเป็นคนถ่อยไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอนพระเจ้า พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ขณะที่พวกเขาถือธงประจำของพระองค์ พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์ ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่จงใจขวางทางผู้ที่พยายามก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้อง และคือเครื่องสะดุดทั้งหลายที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า พวกเขาอาจดูมี ‘องค์ประกอบอันเพียบพร้อม’ แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า คนเหล่านั้นมิใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า? ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?” (“ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) ฉันได้เห็นถึงแก่นแท้ที่หน้าซื่อใจคดและเกลียดชังความจริงของพวกศิษยาภิบาลอย่างทะลุปรุโปร่ง และยิ่งมีแรงจูงใจในการติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มากขึ้น ฉันมักจะเทิดทูนเหล่าศิษยาภิบาลและไม่เคยคิดเลย ว่าคนที่รู้พระคัมภีร์และรับใช้พระเจ้าพวกนี้ ที่แท้คือศัตรูของพระคริสต์ที่เกลียดชังความจริง ผู้ซึ่งปิดกั้นการเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าของผู้ที่เชื่อ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะการทรงปรากฏและทรงพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในร่างมนุษย์ อันเป็นการเปิดโปงผู้รับใช้ชั่วและศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ที่ซ่อนตัวอยู่ในคริสตจักร ศิษยาภิบาลก็คงทำฉันพังโดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลย เป็นพระเมตตาและความรอดของพระเจ้าค่ะ ฉันจึงได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!
หลังจากนั้น ฉันก็พึ่งพาพระเจ้าและยืนหยัดเป็นพยาน อีกทั้งสามีก็ไม่เข้ามาขวางฉันแล้วด้วย ตอนนี้ฉันเข้าร่วมการชุมนุมกับพี่น้องชายหญิง และทำหน้าที่ของตัวเองในคริสตจักร ฉันเปี่ยมไปด้วยสันติสุขและความชื่นบานจริงๆ ค่ะ ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!