35. เบื้องหลังการโอนอ่อนให้กับผู้อื่นคืออะไร

โดย ฟางกัง เกาหลี

สองสามเดือนก่อน ผู้นำให้ผมกับพี่น้องชายคอนเนอร์ รับผิดชอบงานให้น้ำ ผ่านไปสักพัก ผมสังเกตว่าเขาไม่ค่อยแบกรับภาระในงาน เขาไม่สามัคคีธรรมและไม่ช่วยแก้ปัญหาให้ผู้คนโดยเร็ว และไม่ค่อยมีส่วนร่วมในการหารือเรื่องงาน ผู้นำบอกผมว่า คอนเนอร์นั้นเหลวไหลและไร้ความรับผิดชอบ และผมต้องสามัคคีธรรมกับเขา ผมคิดว่า บางทีเขาอาจยุ่งอยู่ เลยละวางงานบางงาน ผมคิดว่า ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่ทำอะไรเลย ผมไม่ควรคาดหวังจากเขามากเกินไป แล้วปัญหาที่เขาไม่ได้สามัคคีธรรมผมก็จัดการเองได้ ผมเลยไม่ได้ตรวจสอบปัญหาในงานของเขา พอผ่านไปสักพัก ก่อนมีการชุมนุมของพี่น้องบางคน ผมย้ำเตือนคอนเนอร์ ให้มองหาปัญหาและความยากลำบากของพวกเขาไว้ล่วงหน้า เพื่อที่จะหาพระวจนะที่เหมาะสมสำหรับการสามัคคีธรรม การชุมนุมจะได้เกิดผล ต่อมา ผมถามพี่น้องบางคน ว่าคอนเนอร์ได้ถามถึงสภาวะและความยากลำบากของพวกเขาไหม และทุกคนบอกว่าไม่ ผมรู้สึกว่าเขาไม่รับผิดชอบเลยจริงๆ คนอื่นมีความยากลำบากและข้อบกพร่องมากมายในหน้าที่ ต้องสามัคคีธรรมและช่วยพวกเขา แต่เขากลับไม่จริงจัง ช่างไม่ใส่ใจซะเลย! ผมคิดว่า คราวนี้ผมควรคุยปัญหากับเขา แต่แล้วผมก็คิดว่า ถ้าเขาไม่ยอมรับ ถ้าเขาบอกว่าผมคาดหวังมากไปและมีอคติกับผม นั่นไม่ทำให้ผมดูเข้มงวดและใจร้ายกับคนอื่นเกินไปหรือ? อีกอย่างคือ คอนเนอร์ยังหนุ่ม เขาเลยสนใจความสุขสบายมากกว่า บางครั้งผมก็ฉาบฉวยและมุ่งแต่จะสบายเหมือนกัน ผมเลยไม่ควรเรียกร้องมากไป ผมจัดการงานเองได้ เข้มงวดกับตัวเอง แล้วสบายๆ กับคนอื่น ผมก็แค่จะงานยุ่ง และได้พักผ่อนน้อยลง ผมเลยไม่ได้สามัคคีธรรมกับคอนเนอร์และชี้ให้เห็นปัญหาของเขา ผมทำแบบนั้นกับงานอื่นๆ ด้วย พอผมเห็นว่าใครทำงานได้ไม่ดี ผมไม่ดูว่าอะไรเป็นสาเหตุและควรทำอะไรบ้าง กลับเอาแต่ใจเย็นและอดทน บางครั้งผมจะรำคาญมากหรือโมโหพฤติกรรมของคนบางคน แต่ผมก็เก็บไว้ คิดเอาว่า “ช่างเถอะ ปล่อยให้พวกเขาทำอะไรที่ทำได้ แล้วผมจะจัดการที่เหลือเอง” พอผ่านไปสักพัก พี่น้องคนอื่นอยากมาหาผมเพื่อให้ช่วยแก้ปัญหาของพวกเขา ผมไม่ได้รู้สึกไม่ดีหรือผิดหวังตอนผมเห็นว่าพวกเขายกย่องผม ตั้งแต่แรก ผมรู้สึกว่า เวลามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น การเข้มงวดกับตัวเองและอภัยให้คนอื่น คือการมีความ เป็นมนุษย์ที่ดี ไม่เหมือนบางคนที่ชอบจับผิดตลอดเวลาและทำงานกับใครไม่ได้

อยู่มาวันหนึ่ง ผมอ่านบางอย่างในพระวจนะเกี่ยวกับการ “เข้มงวดกับตัวเองและอดทนกับผู้อื่น” และมองตัวเองต่างออกไป พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “‘จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น’—คำกล่าวนี้หมายความว่าอย่างไร?  นี่หมายความว่าเจ้าควรเข้มงวดกับตนเองและโอนอ่อนกับผู้อื่น เพื่อที่พวกเขาจะสามารถมองเห็นว่าเจ้าใจกว้างและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพียงใด  แล้วเหตุใดผู้คนจึงควรทำเช่นนี้?  การทำเช่นนี้หมายที่จะสัมฤทธิ์สิ่งใด?  นี่ทำได้หรือไม่?  นี่เป็นการแสดงออกตามธรรมชาติของสภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คนจริงๆ หรือ?  เจ้าต้องประนีประนอมกับตนเองมากเพียงใดในการทำเช่นนี้?  เจ้าต้องปราศจากความอยากได้อยากมีและข้อเรียกร้องต่างๆ พึงต้องให้ตนเองรู้สึกยินดีน้อยลง ทนทุกข์เพิ่มขึ้นสักหน่อย ยอมลำบากมากขึ้นและทำงานมากขึ้นเพื่อที่ผู้อื่นจะได้ไม่ต้องเหนื่อยล้า  และหากผู้อื่นพูดพล่าม พร่ำบ่น หรือทำงานได้ไม่ดี เจ้าก็ต้องไม่ขอจากพวกเขามากเกินไป—ได้พอประมาณก็ดีพอแล้ว  ผู้คนเชื่อว่านี่คือเครื่องหมายของคุณธรรมอันสูงส่ง—แต่เหตุใดเราฟังดูแล้วรู้สึกว่าเทียมเท็จ?  นี่ไม่เทียมเท็จหรอกหรือ?  (นี่เทียมเท็จ)  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมที่ปกติ การแสดงออกตามธรรมชาติของสภาวะความเป็นมนุษย์ของบุคคลธรรมดาสามัญคือการยอมผ่อนปรนต่อตนเองและเข้มงวดกับผู้อื่น  นั่นคือข้อเท็จจริง  ผู้คนสามารถรับรู้ปัญหาของผู้อื่นได้—บางคนจะพูดว่า ‘คนนี้โอหัง!  คนนั้นไม่ดี!  คนนี้เห็นแก่ตัว!  คนนั้นสะเพร่าและสุกเอาเผากินในการทำหน้าที่ของตน!  คนนี้เกียจคร้านเหลือเกิน!’—แต่ภายในใจ พวกเขากลับคิดว่า ‘ถ้าฉันเกียจคร้านสักหน่อยย่อมไม่เป็นไร  ฉันมีขีดความสามารถที่ดี  ถึงแม้ฉันจะเกียจคร้าน ฉันก็ทำงานดีกว่าคนอื่น’  พวกเขาจับผิดผู้อื่นและชอบวิจารณ์จุกจิก แต่กับตนเอง พวกเขากลับยอมผ่อนปรนและพร้อมจะตามใจทุกครั้งที่ทำได้  นี่คือการแสดงออกตามธรรมชาติของสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขามิใช่หรือ?  (ใช่)  หากผู้คนถูกคาดหวังให้ทำได้ตามแนวคิดที่ว่า ‘เข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น’ พวกเขาจะต้องให้ตนเองประสบพบพานความทุกข์อันใดบ้าง?  พวกเขาจะสามารถทานทนได้จริงๆ หรือ?  มีกี่คนที่จะทำเช่นนั้นได้?  (ไม่มีเลย) และเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  (ผู้คนเห็นแก่ตัวโดยธรรมชาติ  พวกเขาปฏิบัติตนตามหลักการที่ว่า ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’)  อันที่จริง มนุษย์เกิดมาเห็นแก่ตัว มนุษย์เป็นสิ่งทรงสร้างที่เห็นแก่ตัวและยึดติดอย่างลึกล้ำกับปรัชญาของซาตานที่ว่า ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’  ผู้คนคิดว่าการไม่เห็นแก่ตัวและไม่คิดเอาตัวเองให้รอดก่อนเมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับตนย่อมจะเป็นมหันตภัยสำหรับพวกเขาและผิดธรรมชาติ  นี่คือสิ่งที่ผู้คนเชื่อและวิธีที่พวกเขาปฏิบัติตน  หากผู้คนถูกคาดหวังให้ไม่เห็นแก่ตัวและให้เข้มงวดกับตนเอง และเต็มใจที่จะพลาดท่าเสียทีมากกว่าที่จะเอาเปรียบผู้อื่น นั่นคือความคาดหวังที่ตรงกับความเป็นจริงหรือไม่?  หากผู้คนถูกคาดหวังให้พูดจาอย่างมีความสุขเมื่อมีคนเอาเปรียบพวกเขาว่า ‘คุณกำลังเอาเปรียบ แต่ฉันจะไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่  ฉันเป็นคนที่ยอมผ่อนปรน  ฉันจะไม่เอาคุณไปพูดในทางไม่ดีหรือเอาคืนจากคุณ และถ้าคุณยังเอาเปรียบไม่พอ ก็ทำต่อไปตามสบาย’—นั่นคือความคาดหวังที่ตรงตามความเป็นจริงหรือไม่?  มีกี่คนที่สามารถทำเช่นนี้ได้?  นี่คือหนทางที่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามประพฤติกันตามปกติกระนั้นหรือ?  (ไม่ใช่) เห็นได้ชัดว่าการเกิดเรื่องแบบนี้ไม่ปกติ  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะผู้คนที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม โดยเฉพาะผู้คนที่เห็นแก่ตัวและใจแคบ ย่อมดิ้นรนต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและไม่สามารถพึงพอใจที่จะต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของผู้อื่น  ดังนั้น เมื่อปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นย่อมเป็นสิ่งที่ผิดปกติ  ‘จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น’—คำกล่าวอ้างเกี่ยวกับคุณธรรมซึ่งสะท้อนความเข้าใจที่บกพร่องของนักศีลธรรมทางสังคมเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์นี้ สร้างข้อเรียกร้องต่อผู้คนที่ไม่สอดคล้องกับทั้งข้อเท็จจริงและธรรมชาติของมนุษย์อย่างชัดเจน  นี่ก็เหมือนกับการบอกหนูว่าอย่าเจาะรูหรือบอกแมวว่าอย่าจับหนู  การเรียกร้องเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง  นี่ฝืนกฎธรรมชาติของมนุษย์)  นี่เป็นข้อเรียกร้องที่กลวงเปล่าและไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงอย่างชัดเจน(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, สิ่งใดคือการไล่ตามเสาะหาความจริง (6))  ผมไม่ค่อยเข้าใจพระวจนะเหล่านี้ตอนที่อ่านครั้งแรก เพราะผมคิดมาตลอดว่า การ “เข้มงวดกับตัวเองและอดทนกับผู้อื่น” นั้นเป็นเรื่องดี ผมชื่นชมคนแบบนั้น และต้องการที่จะเป็นแบบนั้น แต่พอเอาพระวจนะมาคิดให้ดีแล้ว ก็รู้สึกว่านั่นถูกต้องทั้งหมด ผมมั่นใจมาก โดยเฉพาะตอนอ่านพระวจนะนี้ “ผู้คนที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม โดยเฉพาะผู้คนที่เห็นแก่ตัวและใจแคบ ย่อมดิ้นรนต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและไม่สามารถพึงพอใจที่จะต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของผู้อื่น  ดังนั้น เมื่อปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นย่อมเป็นสิ่งที่ผิดปกติ  ‘จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น’—คำกล่าวอ้างเกี่ยวกับคุณธรรมซึ่งสะท้อนความเข้าใจที่บกพร่องของนักศีลธรรมทางสังคมเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์นี้ สร้างข้อเรียกร้องต่อผู้คนที่ไม่สอดคล้องกับทั้งข้อเท็จจริงและธรรมชาติของมนุษย์อย่างชัดเจน  นี่ก็เหมือนกับการบอกหนูว่าอย่าเจาะรูหรือบอกแมวว่าอย่าจับหนู” ผมอึ้งไปเลย กลายเป็นว่าความคิดนี้ที่ผมค้ำจุนมาตลอด ใช้การไม่ได้จริง ขัดกับความเป็นมนุษย์ และผู้คนทำให้สำเร็จไม่ได้ ใช้เป็นมาตรฐานให้ทำตามไม่ได้ มองย้อนไปที่พฤติกรรมของผมแล้ว ก็เป็นอย่างที่พระเจ้าเปิดโปงจริงๆ ตอนที่ผมเข้มงวดกับตัวเองและโอนอ่อนกับคนอื่น ผมรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม แล้วผมก็อารมณ์เสียด้วย แม้แต่ตอนที่ผมทำแบบนั้น ผมก็ไม่ได้อยากทำ และไม่ยินดี เหมือนเรื่องคอนเนอร์ ผมรู้ดีว่าเขาสุกเอาเผากินในหน้าที่ เกียจคร้านและขาดความรับผิดชอบ ผมโกรธและอยากเปิดโปงปัญหาของเขา เพื่อให้เขารีบปรับปรุงตัว และเป็นคู่ทำงานที่ดีให้กับผม แต่แล้วผมก็จะคิดว่า ผมไม่ควรเข้มงวดเกินไป ผมควรเข้มงวดกับตัวเอง และสบายๆ กับคนอื่น ผมเลยเลิกคิด ที่จะคุยกับเขาเรื่องปัญหา ผมรู้สึกว่าผมทนทุกข์ได้อีกนิด ยอมลำบากได้อีกหน่อย ไม่ขอจากเขามากไปก็ได้ ผมจะได้ไม่ดูเหมือนไม่สนใจคนอื่นและชอบจับผิดเกินไป ผมต้องรับผิดชอบงานของสองสามกลุ่ม งานผมหนักอยู่แล้ว บวกกับการต้องช่วยเขาจัดการปัญหาในงาน ทำให้ผมรู้สึกไม่เป็นธรรม และผมมีเรื่องให้บ่นเยอะ แต่เพื่อจะเข้มงวดกับตัวเองและอดทนกับคนอื่น และเพื่อให้คนอื่นมองผมในแง่ดี ผมเลยแค่เก็บเงียบและอดทนไว้ นั่นเป็นสภาวะและสิ่งที่ผมคิดจริงๆ เหมือนที่พระเจ้าตรัสว่า “มนุษย์เกิดมาเห็นแก่ตัว มนุษย์เป็นสิ่งทรงสร้างที่เห็นแก่ตัวและยึดติดอย่างลึกล้ำกับปรัชญาของซาตานที่ว่า ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’  ผู้คนคิดว่าการไม่เห็นแก่ตัวและไม่คิดเอาตัวเองให้รอดก่อนเมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับตนย่อมจะเป็นมหันตภัยสำหรับพวกเขาและผิดธรรมชาติ  นี่คือสิ่งที่ผู้คนเชื่อและวิธีที่พวกเขาปฏิบัติตน” พวกเรานั้นเห็นแก่ตัวโดยธรรมชาติ ผมก็ไม่เว้น พอทำงานมากขึ้น ผมก็โกรธที่งานหนักและเหนื่อย ผมรู้สึกไม่เป็นธรรม อารมณ์เสีย และไม่พอใจ แต่ผมยังไม่ทำตามหัวใจ ยังเข้มงวดกับตัวเองและโอนอ่อนกับคนอื่น มีอุปนิสัยเสื่อมทรามอะไรซ่อนอยู่ เบื้องหลังท่าทีของการ “เข้มงวดกับตัวเองและอดทนกับผู้อื่น”? อะไรคือผลสืบเนื่องของการเป็นแบบนั้น?

ผมมาเฉพาะพระพักตร์และอธิษฐาน แสวงหาด้วยคำถามนั้น แล้วก็อ่านบทตอนของพระวจนะ “‘จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น’ เป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องที่วัฒนธรรมดั้งเดิมกำหนดให้ผู้คนปฏิบัติตนอย่างมีคุณธรรม เช่นเดียวกับคำกล่าวเกี่ยวกับการคืนเงินที่เจ้าพบและให้มีความยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น  ในทำนองเดียวกัน ไม่ว่าใครบางคนจะสามารถบรรลุหรือใช้คุณธรรมดังกล่าวได้หรือไม่ ก็ยังไม่ใช่มาตรฐานหรือบรรทัดฐานในการประเมินวัดสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  อาจเป็นไปได้ว่าเจ้าสามารถเข้มงวดกับตนเองได้จริง และเจ้าทำตามมาตรฐานที่สูงเป็นพิเศษได้  เจ้าอาจจะสะอาดหมดจดไร้มลทินและคำนึงถึงผู้อื่นอยู่เสมอ ไม่เห็นแก่ตัวและไม่แสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง  เจ้าอาจดูเหมือนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และไม่นึกถึงตนเองเป็นพิเศษ มีสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมและมีสำนึกเกี่ยวกับสาธารณประโยชน์อย่างแรงกล้า  บุคลิกภาพและคุณสมบัติอันสูงส่งของเจ้าอาจเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้ที่ใกล้ชิดเจ้าและผู้ที่เจ้าพบพานและมีปฏิสัมพันธ์ด้วย  พฤติกรรมของเจ้าอาจไม่มีวันเป็นเหตุให้ผู้อื่นติเตียนหรือวิจารณ์เจ้า แต่กลับก่อให้เกิดการสรรเสริญมากมายและแม้กระทั่งความเลื่อมใส  ผู้คนอาจมองว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่เข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่นอย่างแท้จริง  อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงพฤติกรรมภายนอกเท่านั้น  ความคิดและความปรารถนาที่อยู่ลึกลงไปในหัวใจของเจ้าสอดคล้องกับพฤติกรรมภายนอกเหล่านี้ กับการกระทำเหล่านี้ที่เจ้าใช้ชีวิตให้เห็นที่ภายนอกหรือไม่?  คำตอบคือไม่ สิ่งเหล่านั้นไม่สอดคล้อง  เหตุผลที่เจ้าสามารถกระทำการในหนทางนี้ได้เป็นเพราะมีเหตุจูงใจอยู่เบื้องหลัง  เหตุจูงใจนั้นคืออะไรกันแน่?  อย่างน้อยก็สามารถพูดได้อย่างหนึ่งว่าเป็นบางสิ่งที่ไม่อาจกล่าวถึงได้ บางสิ่งที่มืดมนและชั่วร้าย…อาจกล่าวได้อย่างแน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ที่เรียกร้องให้ตนเองใช้ชีวิตตามคุณธรรมที่ ‘เข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น’ นั้นหมกมุ่นอยู่กับสถานะ  เมื่อถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนผลักดัน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะไล่ตามไขว่คว้าเกียรติยศ ความโดดเด่นทางสังคม และสถานะในสายตาของผู้อื่น  สิ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับความอยากได้อยากมีสถานะของพวกเขา และถูกไล่ตามไขว่คว้าภายใต้พฤติกรรมที่แสร้งทำเป็นดีมีคุณธรรม  และสิ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าเหล่านี้เกิดขึ้นมาอย่างไร?  สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและถูกขับเคลื่อนด้วยอุปนิสัยเหล่านั้น  ดังนั้น ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ว่าใครบางคนจะใช้ชีวิตตามคุณธรรมที่ ‘เข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น’ หรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาจะทำเช่นนั้นอย่างเพียบพร้อมหรือไม่ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้  นี่มีความหมายโดยปริยายว่าสิ่งนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทัศนคติหรือค่านิยมของพวกเขาแต่อย่างใด ไม่สามารถชี้นำท่าทีและมุมมองที่พวกเขามีเกี่ยวกับผู้คน เหตุการณ์และสิ่งต่างๆ ทุกรูปแบบ  เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่?  (ใช่) ยิ่งใครบางคนสามารถเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่นได้มากเพียงใด พวกเขาก็จะยิ่งเก่งขึ้นเพียงนั้นในการเสแสร้ง ในการตบตาผู้อื่นด้วยพฤติกรรมที่ดีและคำพูดที่น่าฟัง และพวกเขาจะยิ่งเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและชั่วร้ายมากขึ้นเพียงนั้นด้วย  ยิ่งพวกเขาเป็นบุคคลประเภทนี้มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งรักและไล่ตามไขว่คว้าสถานะและอำนาจมากขึ้นเท่านั้น  ไม่ว่าการแสดงคุณธรรมของพวกเขาจะน่าประทับใจและน่ามองเพียงใด การไล่ตามไขว่คว้าในหัวใจส่วนลึกของพวกเขาที่ไม่ได้เอ่ยออกมา ธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกเขา และแม้กระทั่งความมักใหญ่ใฝ่สูงของพวกเขาก็อาจปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพฤติกรรมของพวกเขาจะมีคุณธรรมเพียงใด ก็ไม่อาจปกปิดสภาวะความเป็นมนุษย์ที่มีอยู่โดยธรรมชาติของพวกเขา หรือปกปิดความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีของพวกเขาได้  ไม่สามารถปกปิดธรรมชาติและแก่นแท้อันน่าเกลียดน่ากลัวของพวกเขาที่ไม่รักสิ่งที่เป็นบวกและเบื่อหน่ายและดูหมิ่นความจริง  ดังที่ข้อเท็จจริงเหล่านี้แสดงให้เห็น คำกล่าวที่ว่า ‘จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น’ เป็นมากกว่าแค่ความไร้สาระ—คำกล่าวนี้เปิดโปงพวกคนมักใหญ่ใฝ่สูงที่ใช้คำกล่าวและพฤติกรรมดังกล่าวเพื่อปกปิดความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีที่พวกเขาไม่สามารถพูดถึงได้(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, สิ่งใดคือการไล่ตามเสาะหาความจริง (6))  ผมเห็นจากสิ่งที่ถูกเปิดเผยในพระวจนะ ว่าการ “เข้มงวดกับตัวเองและอดทนกับผู้อื่น” ดูเหมือนเป็นการเห็นใจและเผื่อแผ่กับคนอื่น เป็นคนใจกว้างและมีคุณธรรม แต่ลึกลงไปแล้ว มีเจตนาที่พูดไม่ได้ มืดมน และชั่วร้ายซ่อนอยู่ เป็นการโอ้อวดตัวเองผ่านพฤติกรรมดีที่ผิวเผิน เพียงเพื่อให้ได้รับการชื่นชม และมีสถานะและชื่อเสียงดีกว่าคนอื่น คนแบบนั้นดูน่ายกย่องจากภายนอก แต่ที่จริงแล้วเป็นคนหน้าซื่อใจคด แสร้งทำเป็นคนดี ผมนึกถึงวิธีที่ผมแสดงออกและสิ่งที่ผมบอกให้คอนเนอร์รู้ ไม่ว่าเขาจะเหลวไหลและไม่ยอมรับผิดชอบในการทำงานขนาดไหน ผมก็ไม่สามัคคีธรรม แถมยังไม่ชี้ให้เห็นหรือจัดการ แต่กลับทำตัวเห็นใจและช่วยเขาต่อไป ไม่ว่าผมจะยุ่งแค่ไหน มีเวลาน้อยแค่ไหน ผมก็จะทำอะไรก็ตามที่คอนเนอร์ไม่ทำ ถึงแม้จะยากหรือเหน็ดเหนื่อย ผมก็พยายาม ที่จริงแล้ว ผมไม่ได้ทำแบบนั้นเพราะมีน้ำใจ ผมมีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์อยู่ ผมกลัวที่จะทำร้ายความภูมิใจของเขาและล่วงเกินถ้าผมชี้ให้เห็นตรงๆ แล้วจากนั้นเขาจะคิดอย่างไรกับผม? ผมอยากสร้างที่ทางของผมและสร้างความประทับใจที่ดีให้กับคนอื่น ผมไม่เชิงว่าเต็มใจจริงๆ แต่ฝืนใจตัวเองทุกครั้ง เพื่อแสดงให้คนอื่นเห็น ว่าผมใจกว้างแค่ไหน เพื่อให้ได้รับการชื่นชม ผลลัพธ์คือผมกลิ้งกลอกและเจ้าเล่ห์มากขึ้นเรื่อยๆ ผมดูเหมือนคนที่เห็นใจ แต่ผมมีเหตุจูงใจผิดๆ อยู่เบื้องหลัง ผมสร้างความประทับใจที่เทียมเท็จ หลอกลวงพวกเขา แบบนั้นคือความเป็นมนุษย์ปกติหรือ? ตอนนั้น ผมมีวิจารณญาณถึงแก่นแท้ของการ “เข้มงวดกับตัวเองและอดทนกับผู้อื่น” แล้ว ผมรู้สึกว่าเจตนาน่ารังเกียจที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของผมนั้นน่าสะอิดสะเอียน ผมขอบคุณพระเจ้ามากๆ อีกด้วย! ถ้าไม่มีพระองค์เปิดโปงความเป็นจริงของวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้น ผมคงไม่รู้เท่าทันต่อไป คิดว่าการ “เข้มงวดกับตัวเองและอดทนกับผู้อื่น” นั่นคือการมีความเป็นมนุษย์ที่ดี ผมรู้ตัวในที่สุด ว่านี่คือเหตุผลวิบัติที่ซาตานใช้เพื่อให้ผู้คนหลงผิดและเสื่อมทราม ไม่ใช่ความจริง หรือมาตรฐานในการวัดความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่ง ต่อมา ผมอ่านพระวจนะอีกบทตอนหนึ่ง “ไม่ว่าข้อพึงประสงค์และคำกล่าวของมนุษยชาติเกี่ยวกับลักษณะนิสัยที่มีศีลธรรมจะมีมาตรฐานเพียงใดหรือสอดคล้องกับรสนิยม ทัศนคติ ความปรารถนาและแม้แต่ผลประโยชน์ของมวลชนมากเพียงใด สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่ความจริง  นี่คือบางสิ่งที่เจ้าต้องเข้าใจ  เนื่องจากสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ความจริง เจ้าจึงควรรีบปฏิเสธและละทิ้งสิ่งเหล่านั้นเสีย  เจ้าต้องชำแหละแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น รวมทั้งผลลัพธ์ที่มาจากการใช้ชีวิตตามสิ่งเหล่านั้นอีกด้วย  สิ่งเหล่านั้นสามารถทำให้เกิดการกลับใจที่แท้จริงในตัวเจ้าได้หรือ?  สิ่งเหล่านั้นสามารถช่วยเจ้าให้รู้จักตนเองได้จริงหรือ?  สิ่งเหล่านั้นสามารถทำให้เจ้าใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ได้จริงหรือ?  สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้  สิ่งเหล่านั้นมีแต่จะทำให้เจ้าหน้าซื่อใจคดและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอเท่านั้น  สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เจ้าตลบตะแลงและชั่วมากขึ้น  มีบางคนกล่าวว่า ‘ในอดีต เมื่อพวกเราค้ำจุนส่วนประกอบเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิม พวกเรารู้สึกเหมือนเป็นคนดี  พอคนอื่นเห็นว่าพวกเราประพฤติตัวอย่างไร พวกเขาก็คิดว่าพวกเราเป็นคนดีเช่นกัน  แต่ที่จริงแล้วพวกเรารู้ดีแก่ใจว่าพวกเราสามารถทำความชั่วแบบใดได้บ้าง  การทำความดีไม่กี่ครั้งเป็นเพียงการอำพรางเท่านั้น  แต่ถ้าพวกเราต้องละทิ้งการประพฤติตัวดีที่วัฒนธรรมดั้งเดิมพึงประสงค์จากพวกเรา พวกเราจะทำอะไรแทนเล่า?  พฤติกรรมและการกระทำแบบใดที่จะนำเกียรติมาสู่พระเจ้า?’  เจ้าคิดอย่างไรกับคำถามนี้?  พวกเขายังไม่รู้อีกหรือว่าผู้เชื่อในพระเจ้าควรปฏิบัติความจริงอันใด?  พระเจ้าได้ตรัสความจริงเอาไว้มากมาย และมีความจริงมากมายที่ผู้คนควรที่จะกำลังปฏิบัติอยู่  ดังนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมปฏิบัติความจริงและยืนกรานที่จะเป็นคนทำดีเทียมเท็จและคนหน้าซื่อใจคด?  เหตุใดเจ้าจึงเสแสร้ง?…กล่าวอย่างสั้นๆ ก็คือจุดประสงค์ที่พูดถึงคำกล่าวทางศีลธรรมเหล่านี้ไม่ใช่เพียงเพื่อให้พวกเจ้ารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นคือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คน และรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมาจากซาตานเท่านั้น  นี่เป็นไปเพื่อทำให้พวกเจ้าเข้าใจว่าแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้นเทียมเท็จ อำพรางตัวและหลอกลวง  ต่อให้ผู้คนประพฤติตัวดีก็ไม่ได้หมายความแต่อย่างใดว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ตรงกันข้ามพวกเขากำลังใช้พฤติกรรมเทียมเท็จมาปกปิดเจตนาและเป้าหมายของตน อำพรางอุปนิสัย ธรรมชาติและแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตน  ผลก็คือมนุษยชาติเก่งขึ้นเรื่อยๆ ในการเสแสร้งและลวงหลอกผู้อื่น ทำให้พวกเขายิ่งเสื่อมทรามและชั่วมากขึ้น  มาตรฐานทางศีลธรรมตามวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มนุษยชาติอันเสื่อมทรามค้ำจุนนั้นเข้ากันไม่ได้เลยกับความจริงที่พระเจ้าตรัสและไม่สอดคล้องกับสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงสอนผู้คน  สองสิ่งนั้นไม่มีความเชื่อมโยงกันแต่อย่างใด  หากเจ้ายังคงค้ำจุนวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ถูกชักพาให้หลงผิดและถูกวางยาพิษเข้าแล้ว  หากเจ้าค้ำจุนวัฒนธรรมดั้งเดิมในเรื่องใดและถือปฏิบัติตามหลักธรรมและทรรศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมในเรื่องนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังละเมิดความจริง สวนทางและเป็นกบฏต่อพระเจ้าในเรื่องนั้น  หากเจ้าค้ำจุนและจงรักภักดีต่อคำกล่าวทางศีลธรรมเหล่านั้นไม่ว่าจะในข้อใดก็ตาม ถือว่าคำกล่าวนั้นๆ คือเกณฑ์กำหนดหรือจุดอ้างอิงในการมองดูผู้คนหรือรูปการณ์แวดล้อม เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ผิดพลาดแล้ว  หากเจ้าตัดสินหรือทำร้ายผู้คนถึงระดับหนึ่งด้วยคำกล่าวเหล่านั้น เจ้าก็ทำบาปไปแล้ว  หากเจ้ายึดมั่นอยู่เสมอกับการประเมินวัดทุกคนด้วยมาตรฐานทางศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่นนั้นแล้วจำนวนผู้คนที่เจ้ากล่าวโทษและปฏิบัติด้วยอย่างไม่เป็นธรรมก็จะทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ และเจ้าก็จะกล่าวโทษและต้านทานพระเจ้าอย่างแน่นอน  เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะเป็นคนบาปมหันต์(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, สิ่งใดคือการไล่ตามเสาะหาความจริง (5))  การใคร่ครวญถึงพระวจนะทำให้ผมกระจ่างขึ้น พอพวกเราสังเกตว่าบางคนทำงานอย่างขอไปที เจ้าเล่ห์ หรือไร้ความรับผิดชอบ เราควรชี้ให้เห็น หรือตัดแต่งและจัดการพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นธรรมชาติและผลสืบเนื่องของการสะเพร่า และแก้ไขทันเวลา นั่นคือสิ่งที่คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ดีควรทำ แต่เพื่อรักษาภาพลักษณ์และสถานะ ผมกลับโอนอ่อนอดทน และเก็บเงียบเรื่องปัญหาที่เห็น ผลก็คือ คอนเนอร์ไม่รู้ตัวเรื่องอุปนิสัยเสื่อมทรามของเขา และเขาก็ทำตัวสะเพร่าและไร้ความรับผิดชอบในหน้าที่ต่อไป นั่นจะเป็นการทำให้การเข้าสู่ชีวิตของผู้คนเสียหาย คือการฝ่าฝืน ผมไม่ได้นึกถึงหรือเข้าอกเข้าใจเขาแม้แต่น้อย แต่ผมทำร้ายเขา ผมเห็นว่าผมไม่ใช่คนที่ดีจริง ผมไม่เพียงทำร้ายพี่น้อง แต่ยังส่งผลกับงานของคริสตจักรและดึงให้ช้า ผมประสบเองว่า “เข้มงวดกับตัวเองและอดทนกับผู้อื่น” นั้นไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่สำนวนที่ควรยึดถือ แต่คือเหตุผลวิบัติที่ซาตานใช้ทำให้ผู้คนหลงผิดและเสื่อมทราม ผมปล่อยให้ซาตานปั่นหัวต่อไปไม่ได้ ผมควรทำสิ่งที่พระเจ้าประสงค์ โดยใช้พระวจนะเป็นพื้นฐาน และความจริงเป็นมาตรฐานในการมองและทำสิ่งต่างๆ หลังจากนั้น พอผมสังเกตเห็นปัญหาของคอนเนอร์ ผมก็ไม่ตามใจเขาแล้ว ผมชี้ให้เห็นเพื่อให้เขารู้และเปลี่ยนแปลง

ในไม่ช้า ผมก็ได้รับผิดชอบอีกโครงการหนึ่ง ตอนที่กำลังตรวจสอบนั้น ผมสังเกตว่าพี่น้องคนหนึ่งไม่จริงจังกับหน้าที่ ทำทุกอย่างแบบฉาบฉวย ผมอยากจัดการหลายๆ อย่างเองให้จบซะ เพื่อเลี่ยงที่จะชี้ให้เห็นและทำให้เขาขายหน้า แล้วผมก็นึกได้ว่า ที่ผมคิดแบบนี้ก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง ให้คนอื่นเห็นภาพลักษณ์ที่ดี ผมไม่อยากชี้ปัญหาของเขาออกมา กลัวว่าจะล่วงเกินเขา นั่นเป็นเจตนาที่น่ารังเกียจ! ผมจำสิ่งที่พระเจ้าตรัสได้ว่า “ในเวลาเดียวกับที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม เจ้าก็ต้องทำให้แน่ใจว่าเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และไม่กล่าวสิ่งใดที่ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลพี่น้องชายหญิงอีกด้วย  อย่างน้อยที่สุด เจ้าต้องไม่ทำสิ่งใดที่ขัดแย้งกับมโนธรรมของเจ้าและต้องไม่ทำสิ่งใดที่น่าละอายอย่างเด็ดขาด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ต้านทานหรือเป็นกบฏต่อพระเจ้า เจ้าต้องไม่ทำอย่างเด็ดขาด และเจ้าต้องไม่ทำสิ่งใดที่ก่อความไม่สงบให้แก่งานหรือชีวิตของคริสตจักร  จงเป็นคนที่ยุติธรรมและมีเกียรติในทุกสิ่งที่เจ้ากระทำ และจงทำให้แน่ใจว่าทุกการกระทำของเจ้าเป็นสิ่งที่สามารถนำเสนอเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าเป็นเช่นไร?)  พระวจนะแสดงให้ผมเห็นหลักธรรมให้ปฏิบัติตาม อะไรก็ตามที่ผมทำ จะต้องช่วยการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องและสอนใจพวกเขาได้ ผมต้องยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าอย่างเปิดเผยเช่นกัน พอผมเห็นพี่น้องคนนั้นหละหลวมในหน้าที่ ผมควรชี้ให้เห็น เพื่อที่เขาจะเห็นปัญหาและเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นประโยชน์กับการเข้าสู่ชีวิตและงานของคริสตจักร ถ้าผมไม่พูดอะไร แต่ช่วยเขาทำงานอย่างเงียบๆ เขาจะไม่เห็นปัญหาและจะไม่ก้าวหน้าในหน้าที่ พอคิดอย่างนี้ ผมเลยพูดถึงปัญหาต่างๆ ที่ผมมองเห็น ในงานของเขา พอฟังผมจบ เขาก็อยากจะเปลี่ยนแปลง ผมรู้สึกสบายใจและสงบสุขมากหลังจากปฏิบัติแบบนี้ และเราได้ผลลัพธ์ในหน้าที่ดีขึ้นกว่าเดิม ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ก่อนหน้า: 31. การไม่ได้เป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” อีกต่อไปแล้วช่างเป็นอิสระเหลือเกิน

ถัดไป: 36. การไตร่ตรองหลังจากต่อต้านการกำกับดูแล

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger