20. ฉันได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าแล้ว
ผมยอมรับพระราชกิจยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เมื่อกว่าสองปีก่อนครับ พูดตามตรง ผมได้รับมากกว่า ที่เคยได้ในตลอดสิบปีที่เป็นคริสเตียนมาเสียอีก ผมไม่เชื่อในพระเจ้าที่คลุมเครือในจินตนาการอย่างที่เคย แต่เชื่อในพระเจ้าในร่างมนุษย์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ที่เสด็จพระราชดำเนินและทรงพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์ ผู้ทรงแสดงความจริงได้ทุกที่ทุกเวลา ผมได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและได้สำราญในการบำรุงเลี้ยงของพระวจนะของพระองค์ ผมได้มาอยู่ข้างองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริงแล้วครับ
ผมชื่อแมทธิวครับ เกิดในครอบครัวคาทอลิกที่ลียง ฝรั่งเศส ผมมีวัยเด็กตามแบบคาทอลิกดั้งเดิมเลยครับ ผมได้รับบัพติศมา ได้เข้าร่วมพิธีมิสซา มีการวางมือบนมือ แถมยังได้ไปจาริกแสวงบุญที่เมืองลูร์ด หลังจากเติบโตขึ้น ผมก็ตระหนักว่าบาทหลวงคาทอลิกพร่ำเทศนาแต่หลักคำสอนเดิมๆ โดยไม่มีอะไรต่างออกไปเลย ผมรู้สึกเหมือนนั่นเป็นบรรยากาศที่หนาวเหน็บไร้ชีวิตชีวา และดูเหมือนว่าความเชื่อของผู้เชื่ออีกหลายคนก็จืดจางลง เรื่องนี้ทำให้ผมหมดกำลังใจครับ ผมถวิลหาคริสตจักรที่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ผมรู้สึกถึงการทรงสถิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ ผมตัดสินใจออกไปนอกคริสตจักรคาทอลิกเพื่อหาคริสตจักรอีกแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นผมก็ไปลงเอยที่เจนีวา ที่ผมไปมหาวิทยาลัยและเข้าร่วมคริสตจักรท้องถิ่นของคริสเตียนแบบอีแวนเจลิคัล แต่ผมพบว่าศิษยาภิบาลก็แค่เทศนาหลักคำสอนตามตัวอักษร ตะโกนคำขวัญบางอย่าง และพูดถึงเรื่องเทววิทยาและของประทานฝ่ายวิญญาณซึ่งแยกจากความเป็นจริง ไม่มีอะไรที่ดลใจหรือช่วยให้ผมได้รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย อีกอย่างหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือการบูชารูปเคารพ ผมสังเกตว่าภาพเหมือนของหัวหน้าศิษยาภิบาลแขวนติดอยู่กับแท่นเทศน์ และเมื่อไรก็ตามที่มีคนใหม่เข้าร่วมกับคริสตจักร ศิษยาภิบาลท้องถิ่น ก็จะให้พวกเขาทำความเคารพภาพเหมือนของหัวหน้าศิษยาภิบาล ศิษยาภิบาลคนนั้นจะส่งการตีความพระคัมภีร์ของเขาเองไปให้ผู้เชื่อทุกวัน และพี่น้องชายหญิงก็จะปฏิบัติต่อการตีความเหล่านั้นเหมือนขนมปังประจำวัน ราวกับว่าพวกเขากำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาปฏิบัติตามการตีความเหล่านั้นราวกับเป็นพระวจนะของพระเจ้าพระองค์เอง นี่ทำให้ผมไม่สบายใจจริงๆ ครับ ผมรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง ผมเห็นได้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงอยู่ในคริสตจักรนั้น เห็นได้ว่าที่นั่นไม่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าจริงๆ ผมถามตัวเองว่า “จริงๆ แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน” นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังมองหาอยู่จริงๆ ครับ หลังจากนั้นผมก็ออกจากคริสตจักรนั้นด้วย ณ จุดนั้นผมรู้สึกว่างเปล่าทางจิตวิญญาณมาก และผมสงสัยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงละทิ้งผมแล้วหรือเปล่า
ตั้งแต่นั้นมา ผมก็อ่านพระคัมภีร์ด้วยตัวเองที่บ้าน ผมอ่านบทที่สามของวิวรณ์เยอะเลย แต่ส่วนที่พูดถึงคริสตจักรในฟิลาเดลเฟีย ทำให้ผมประทับใจอย่างลึกล้ำเป็นพิเศษ “เพราะว่าเจ้าถือรักษาคำของเรา คือมีความทรหดอดทน เราจะเฝ้ารักษาเจ้าให้พ้นจากช่วงเวลาแห่งการทดลอง ซึ่งจะมาถึงคนทั่วทั้งโลกเพื่อจะทดลองคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก เราจะมาโดยเร็ว จงยึดมั่นในสิ่งที่เจ้ามี เพื่อจะไม่ให้ใครชิงเอามงกุฎของเจ้าไปได้ คนที่ชนะ เราจะตั้งให้เขาเป็นเสาหลักอยู่ในพระวิหารของพระเจ้าของเรา และเขาจะไม่ออกไปจากพระวิหารอีกเลย” (วิวรณ์ 3:10-12) ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้น่าตื่นเต้นและส่งผลต่อผมมาก มันเต็มไปด้วยความลึกลับและคำสัญญา ผมเห็นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ชัดเจนมาก ว่าจะมีคริสตจักรแห่งหนึ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นชอบ ซึ่งก็คือคริสตจักรในฟิลาเดลเฟีย มันเริ่มรู้สึกเหมือนองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำลังบอกผมว่า “เราอยู่ในคริสตจักรนี้” นั่นทำให้ผมเกิดคำถามข้อหนึ่งว่า คริสตจักรแห่งนี้อยู่ที่ไหน เมื่ออ่านต่อไป ผมก็ได้เห็นข้อพระคัมภีร์นี้ “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วิวรณ์ 3:20) ผมตื่นเต้นมากเมื่ออ่านพบว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสอย่างชัดเจนว่าพระองค์จะทรงเคาะประตู ผมนึกสงสัยว่าพระองค์จะทรงเคาะอย่างไร และนั่นแปลว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาในไม่ช้าหรือเปล่า นั่นให้ความรู้แจ้งอย่างน่าเหลือเชื่อสำหรับผม และผลักดันความปรารถนาของผมให้แสวงหาต่อไป ในวันที่ 1 พฤษภาคมปี 2018 หลังจากที่ผมเพิ่งผ่านพ้นช่วงเวลาที่มืดมิด ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยหัวใจและจิตวิญญาณทั้งหมดของผมอีกครั้ง ผมต้องการเข้าใจทุกสิ่งที่ผมไม่เคยเข้าใจมาก่อนจริงๆ ผมพูดว่า “โอ้พระเจ้า โปรดทรงให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ที ข้าพระองค์ทราบว่าพระองค์จะเสด็จมาในไม่ช้า โปรดทรงให้ข้าพระองค์ได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐานผมก็เข้านอน
วันต่อมา ผมไปทำงานเหมือนทุกวัน ผมไปที่ทะเลสาบเจนีวาตอนพักเที่ยงและนั่งบนม้านั่งตัวหนึ่ง และมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แล้วผมก็ตระหนักได้ว่ามีคนอื่นอยู่ที่นั่นด้วย ผมก็เลยเดินเข้าไปหาแล้วแบ่งปันข่าวประเสริฐกับเขา เขาพูดแทรกขึ้นว่า “พี่ชายรู้ไหม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว และทรงแสดงพระวจนะมากมาย” พอได้ยินผมก็อึ้งไปและนึกสงสัยว่า “ทำไมน้องชายคนนี้ถึงพูดแบบนั้นล่ะ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วจริงเหรอ” ผมประหลาดใจ พอเราสามัคคีธรรมต่อไป ผมก็เกิดคำถามข้อแล้วข้อเล่าว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วเหรอ ยังไง ขณะที่เรากำลังจบการสามัคคีธรรมของเรานั่นเอง เขาก็ให้ที่อยู่เว็บไซต์คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แก่ผม และพูดว่า “คุณตรวจสอบเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ”
ผมเปิดเว็บไซต์ทันทีที่กลับถึงที่ทำงาน ผมจำได้ว่าสิ่งแรกสุดเลยที่ผมเห็น ก็คือ “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงปรากฏในประเทศจีนแล้ว” ผมไม่เคยตระหนักเรื่องนั้น พอเห็นแบบนั้นผมก็แปลกใจจริงๆ ครับ สิ่งที่น่าแปลกใจยิ่งขึ้นไปอีกก็คือมีหนังสือทุกประเภท รวมถึงสองเล่มที่ทำให้ผมประทับใจมาก นั่นก็คือ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ และ ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในยุคสุดท้าย ผมอยากรู้เกี่ยวกับหนังสือนี่จริงๆ ก็เลยคลิกที่พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์และเห็นบทตอนหนึ่ง มันตราตรึงใจผมจริงๆ “ประชากรทั้งหมดของเราที่ปรนนิบัติอยู่เบื้องหน้าเรา ควรคิดย้อนกลับไปในอดีตว่า ความรักที่เจ้ามีให้เราด่างพร้อยเพราะความไม่บริสุทธิ์หรือไม่? ความจงรักภักดีที่เจ้ามีต่อเราได้บริสุทธิ์และสุดหัวใจหรือไม่? ความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับเรานั้นแท้จริงหรือไม่? เราได้ครองพื้นที่ภายในหัวใจของพวกเจ้ามากเท่าใด? เราได้เติมเต็มหัวใจของเจ้าอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ไหม? วจนะของเราได้สำเร็จลุล่วงภายในตัวพวกเจ้ามากเท่าใด? จงอย่าคิดว่าเราโง่เขลา! สิ่งเหล่านี้ชัดเจนอย่างสมบูรณ์แบบสำหรับเรา! วันนี้ ขณะที่เสียงแห่งความรอดของเราถูกเปล่งออกไป ความรักของพวกเจ้าที่มีให้เรามีการเพิ่มขึ้นบ้างไหม? ส่วนหนึ่งของความจงรักภักดีของพวกเจ้าที่มีต่อเราได้กลายเป็นบริสุทธิ์หรือยัง? ความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับเราได้ลึกซึ้งขึ้นไหม? การสรรเสริญที่ได้มีการถวายในอดีตได้วางรากฐานอันมั่นคงแข็งแรงสำหรับความรู้ของพวกเจ้าในวันนี้ไหม? พวกเจ้าถูกวิญญาณของเราจับจองไว้มากเพียงใด? ฉายาของเราครองพื้นที่ภายในตัวพวกเจ้ามากเท่าใด? ถ้อยคำของเราแทงใจดำของพวกเจ้าหรือยัง? พวกเจ้ารู้สึกอย่างแท้จริงหรือว่าพวกเจ้าไม่มีที่ใดที่จะซ่อนความอับอายของพวกเจ้าได้? พวกเจ้าเชื่ออย่างแท้จริงหรือว่าพวกเจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นประชากรของเรา? หากพวกเจ้าไม่รับรู้ถึงคำถามทั้งหลายข้างต้นอย่างสิ้นเชิง เช่นนั้นแล้ว นี่ก็แสดงว่าพวกเจ้ากำลังแสวงหาประโยชน์จากสถานการณ์ที่ยากจะเข้าใจได้ แสดงว่าพวกเจ้าอยู่ที่นี่เพียงเพื่อเพิ่มจำนวนคนให้มากขึ้น และเมื่อถึงเวลาที่เราได้กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว พวกเจ้าจะถูกกำจัดและโยนลงไปในบาดาลลึกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน นี่คือคำเตือนของเรา และผู้ใดที่คิดว่าวจนะเหล่านี้ไม่สำคัญย่อมจะถูกการพิพากษาของเราบดขยี้ และจะพบกับความวิบัติ ณ เวลาที่กำหนดไว้ นี่ไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?” (“บทที่ 4” ของ พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พระวจนะเหล่านี้ดูมีสิทธิอำนาจมากสำหรับผม ราวกับพระเจ้าพระองค์เองกำลังตรัสกับผมอยู่ตรงหน้า มันรู้สึกเหมือนพระเจ้าทรงกำลังถามผมว่า เจ้ามีความรักที่แท้จริงให้เราหรือไม่ ความนบนอบต่อเราของเจ้าจริงแท้หรือไม่ ตอนนั้นผมรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เพราะถ้าให้พูดตามตรง ผมเห็นได้ว่าผมรับใช้พระเจ้าเหมือนเป็นงานงานหนึ่ง ไม่ได้มาจากความรัก มีปัญหาที่เร่งด่วนมากกว่าในการอธิษฐานของผม ผมกำลังเรียกร้องสิ่งต่างๆ จากองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ตลอดเวลาว่า “โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์อยากได้รถสักคัน ข้าพระองค์อยากได้บ้านแบบนี้ ข้าพระองค์อยากได้งานแบบนี้ ข้าพระองค์อยากได้ภรรยาแบบนี้ และเงินเดือนเท่านั้น” ผมตระหนักว่าทั้งหมดนั้นไร้เหตุผล ที่แย่ไปกว่านั้น หากองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงทำให้ความปรารถนาที่ฟุ้งเฟ้อของผมลุล่วง ผมก็จะกบฏต่อพระเจ้าและโทษพระองค์ ผมละอายใจในเรื่องนี้มาก และถึงขนาดอยากแทรกแผ่นดินหนี เพราะผมถูกเปิดโปงจนหมดเปลือก แล้วผมก็เกิดความรู้สึกนี้ เหมือนผมเป็นเด็กที่กำลังสู้หน้าพ่อแม่ ซึ่งกำลังต่อว่าเขาเพราะทำตัวไม่ดี มันน่าแปลกใจมากสำหรับผม และผมรู้สึกมีความสุขมาก เพราะผมรู้สึกเหมือนพระเจ้ากำลังตรัสกับผมต่อหน้า ผมรู้สึกว่านี่คือพระสุรเสียงของพระเจ้า เพราะพระเจ้าเท่านั้นที่ทอดพระเนตรเข้าไปในหัวใจของมนุษย์ได้ นี่ทำให้ผมประทับใจอย่างมาก ผมพูดไม่ออก และไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ผมยังรู้สึกแน่ใจด้วยว่านั่นคือพระสุรเสียงของพระเจ้า ผมจึงอ่านต่อไป ผมอ่านเยอะเลย ผมรู้สึกว่าพระเจ้ากำลังตรัสกับผมด้วยฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจ ผมไม่สามารถวางหนังสือนั้นลงได้เลย
ผมจำบทตอนหนึ่งได้ เป็นบทตอนที่ทำให้ผมประทับใจมาก “เรามองดูทุกสิ่งจากที่สูง และใช้อำนาจครอบครองเหนือทุกสิ่งจากที่สูง ในหนทางเดียวกัน เราได้ทำให้ความรอดของเราเป็นผลบนแผ่นดินโลกแล้ว จากสถานที่ลับของเรา ไม่เคยมีสักชั่วขณะหนึ่งที่เราไม่ได้เฝ้าดูทุกความเคลื่อนไหวของมนุษย์และทุกสิ่งที่พวกเขาพูดและทำ สำหรับเราแล้ว มนุษย์นั้นเข้าใจง่าย กล่าวคือ เรามองเห็นและรู้จักพวกเขาทุกคน สถานที่ลับก็คือที่พำนักของเรา และโดมฟ้าทั้งมวลคือเตียงที่เราใช้เอนกาย กำลังบังคับของซาตานไม่สามารถเข้าถึงเรา เพราะเรานั้นเปี่ยมล้นด้วยบารมี ความชอบธรรม และการพิพากษา” (“บทที่ 5” ของ พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) ผมรู้สึกเหมือนพระวจนะเหล่านี้เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจของพระเจ้า นอกจากพระเจ้าแล้ว มีใครเห็นถึงภายในหัวใจของเราได้อีก นอกจากพระเจ้าแล้ว มีใครพูดกับเราโดยตรงด้วยฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจเช่นนี้ได้บ้าง พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ และพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเห็นสิ่งที่เราซ่อนไว้ลึกในหัวใจได้ ผมแน่ใจว่าพระวจนะเหล่านี้มาจากพระเจ้า และผมรู้สึกตื่นเต้นมาก มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยมีมาก่อน ผมจำได้ว่าวันนั้นผมอ่านเยอะมาก และกลับบ้านช้าไปสามชั่วโมง มันเป็นวันที่พิเศษมาก และเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีอะไรเทียบได้เลยจริงๆ ระหว่างทางกลับบ้าน ผมพร่ำพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบคุณพระองค์อย่างแท้จริง! ข้าพระองค์ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์และข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์ทรงกลับมาแล้ว ข้าพระองค์ได้เป็นพยานแก่สิทธิอำนาจของพระองค์ ขอพระสิริทั้งหมดเป็นของพระองค์!” ผมซาบซึ้งมากจริงๆ ตื่นเต้นมาก ผมนึกถึงคำอธิษฐานของผมในคืนก่อนหน้านั้น ผมจำได้ว่าอธิษฐานต่อพระเจ้าและขอพระองค์ ให้ทรงช่วยผมให้เข้าใจน้ำพระทัยในการทรงกลับมาของพระองค์ที ในตอนนั้นผมตระหนักว่าพระเจ้าทรงได้ยินคำอธิษฐานของผม ที่ยิ่งน่าอัศจรรย์ไปกว่านั้น พระองค์ได้ทรงตอบรับคำอธิษฐานของผม มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก น่าประทับใจมาก! แต่ผมก็เต็มไปด้วยคำถามด้วย อย่าง ในเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาแล้ว พระองค์เสด็จมายังไง พระองค์กำลังทรงพระราชกิจใดอยู่ ผมมีคำถามที่ไม่มีคำตอบเหล่านี้ จึงติดต่อพี่น้องชายหญิงจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไป
พวกเขาบอกผมว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นบุตรมนุษย์ บอกว่าพระองค์เสด็จมาอย่างลับๆ พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และพระองค์ได้ทรงแสดงความจริงและกำลังทรงพระราชกิจใหม่อยู่ นั่นคือการพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า ตามที่ถูกเผยพระวจนะไว้ในพระคัมภีร์ เพื่อชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอดอย่างสมบูรณ์ ผมอึ้งสุดๆ ไปเลยครับ พวกเขาแบ่งปันการสามัคคีธรรมกับผมซึ่งให้ความรู้แจ้งเกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์บางข้อจริงๆ อย่าง วิวรณ์บทที่ 16 ข้อ 15 กล่าวว่า “นี่แน่ะ เรากำลังมาเหมือนอย่างขโมย” แล้วก็ยังมีลูกาบทที่ 12 ข้อ 40 ที่ว่า “พวกท่านจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมด้วย เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา” ผมเห็นว่าข้อพระคัมภีร์เหล่านี้กล่าว ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จมาอย่างลับๆ ในฐานะบุตรมนุษย์ เห็นชัดว่า “บุตรมนุษย์” ไม่ได้อ้างถึงจิตวิญญาณหรือกายจิตวิญญาณ แต่เกิดจากมนุษย์และมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ รวมถึงมีแก่นแท้ของพระเจ้า นั่นเหมือนกับองค์พระเยซูเจ้าเมื่อสองพันปีก่อนไม่มีผิด พระองค์ทรงดูเหมือนคนทั่วไป แต่โดยแก่นแท้แล้วพระองค์คือพระเจ้า หลังจากนั้น เราสามัคคีธรรมถึงวิวรณ์บทที่ 3 ข้อ 20 ซึ่งกล่าวถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเคาะประตู ผมได้รู้ว่า “เคาะ” หมายถึงการที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแสดงพระวจนะใหม่ๆ ในยุคสุดท้าย เพื่อเคาะประตูหัวใจของผู้คน เมื่อผู้เชื่อที่แท้จริงได้ยินพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาก็จำได้ว่าพระวจนะเหล่านั้นคือพระสุรเสียงของพระเจ้า และพวกเขาคือหญิงพรหมจารีมีปัญญาที่ถูกรับขึ้นไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และได้ต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า นี่ยังทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วงด้วย “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา” (ยอห์น 10:27) ผมคิดว่ามันน่าเหลือเชื่อมากครับ ผมคิดถึงการที่นี่คือครั้งที่สองที่พระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจบนแผ่นดินโลกในร่างมนุษย์ และเป็นตอนที่ผมมีชีวิตอยู่บนโลก หายใจด้วยอากาศเดียวกัน และพระองค์ทรงดูเหมือนคนสามัญทั่วไป ผมว่ามันน่าเหลือเชื่อเลยครับ! ผมคิดมาตลอดว่าพระเจ้าควรประทับบนท้องฟ้า ผมไม่เคยนึกเลย ว่าในยุคสุดท้าย พระเจ้าจะเสด็จมาบนแผ่นดินโลกในร่างมนุษย์เพื่อตรัสและทรงพระราชกิจใหม่
แล้วซิสเตอร์ลิซ่าและบราเดอร์เดวิด ก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าเรื่องการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าให้ผมฟังสองบทตอน “‘การจุติเป็นมนุษย์’ คือการทรงปรากฏของพระเจ้าในเนื้อหนัง พระเจ้าทรงพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นในพระฉายาของเนื้อหนัง ดังนั้น เพื่อที่พระเจ้าจะทรงจุติเป็นมนุษย์ได้นั้น ประการแรกพระองค์ต้องทรงเป็นเนื้อหนังก่อน นั่นคือ เนื้อหนังที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นี่คือข้อกำหนดเบื้องต้นที่สำคัญที่สุด อันที่จริงแล้ว ความหมายโดยนัยของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าก็คือว่า พระเจ้าทรงพระชนม์ชีพและทรงพระราชกิจในเนื้อหนัง คือว่าพระเจ้าในแก่นสารที่แท้จริงของพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงกลายเป็นมนุษย์” (“แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) “พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เรียกว่าพระคริสต์ และพระคริสต์คือเนื้อหนังมนุษย์ที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงจุติมา เนื้อหนังมนุษย์นี้ไม่เหมือนกับมนุษย์คนใดที่มีเนื้อหนัง ความแตกต่างนี้เป็นเพราะว่า พระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นเลือดเนื้อ พระองค์ทรงเป็นการจุติเป็นมนุษย์ของพระวิญญาณ พระองค์ทรงมีทั้งสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ และเทวสภาพที่ครบบริบูรณ์ ไม่มีมนุษย์คนใดครอบครองเทวสภาพของพระองค์ สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของพระองค์ช่วยในการทำกิจกรรมตามปกติทั้งหมดของพระองค์ในเนื้อหนัง ในขณะที่เทวสภาพของพระองค์ปฏิบัติพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง ไม่ว่าสภาวะความเป็นมนุษย์หรือเทวสภาพของพระองค์ ต่างก็นบนอบต่อน้ำพระทัยของพระบิดาแห่งสวรรค์ เนื้อแท้ของพระคริสต์คือพระวิญญาณ นั่นก็คือ เทวสภาพ ดังนั้นแล้ว เนื้อแท้ของพระองค์จึงเป็นเนื้อแท้ของพระเจ้าพระองค์เอง” (“แก่นแท้ของพระคริสต์คือการเชื่อฟังน้ำพระทัยของพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) หลังจากผมอ่านบทตอนเหล่านี้ของพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ได้เห็นว่า พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ คือพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงนุ่งห่มเนื้อหนัง และเสด็จมาแผ่นดินโลกเพื่อตรัสและทรงพระราชกิจเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ภายนอกพระคริสต์ทรงดูเหมือนคนทั่วไป พระองค์เสวย ทรงแต่งพระวรกาย และบรรทมเหมือนคนอื่น แต่พระองค์ทรงมีแก่นแท้เช่นพระเจ้า พระองค์สามารถตรัสต่อมนุษยชาติทั้งปวงในฐานะพระเจ้าพระองค์เอง และพระองค์ทรงสามารถแสดงความจริงที่ไม่มีมนุษย์คนได้สามารถทำได้ พระองค์สามารถทรงพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง อีกทั้งทรงทำไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ ภายนอกพระคริสต์ก็ทรงเหมือนกับคนอื่นๆ และเราบอกไม่ได้ว่าพระองค์คือพระเจ้า แต่เมื่อเราฟังพระองค์ตรัส เราก็บอกได้ว่า พระวจนะของพระองค์ไม่ได้มาจากโลกนี้ พระองค์ทรงสามารถอธิบายความจริงและความลึกลับต่างๆ ที่ไม่เคยมีใครเห็นหรือได้ยิน พระองค์สามารถเปิดเผยความเสื่อมทรามที่อยู่ลึกที่สุดของเราได้ สิ่งที่พระองค์ทรงแสดงก็คือสิ่งที่พระเจ้าพระองค์เองทรงแสดง นั่นคือวิธีที่เราเห็นว่าพระองค์คือพระเจ้า นั่นคือสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นเมื่อตอนนั้น พระองค์ทรงดูเหมือนคนปกติจากภายนอก แต่พระองค์ทรงสามารถเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้มวลมนุษย์ทั้งปวง เพื่อปลดเปลื้องบาปของเรา พระองค์ทรงให้สันติสุขและความเบิกบาน รวมถึงพระคุณอันเปี่ยมล้นบริบูรณ์แก่เราได้ นอกจากพระองค์ก็ไม่มีใครทรงพระราชกิจนี้ได้ เพราะผู้คนเป็นเพียงผู้คน และไม่ได้ครอบครองแก่นแท้ของพระเจ้า พี่น้องชายหญิงเหล่านั้นยังสามัคคีธรรมด้วย ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็ทรงเหมือนกับองค์พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงดูเหมือนคนทั่วไป แต่แก่นแท้ของพระองค์คือพระเจ้า เพราะพระองค์สามารถทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า ทรงแสดงความจริงทั้งหมดที่ชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอด แถมยังทรงไขความลึกลับที่ไม่มีมนุษย์คนใดไขได้มาก่อน โดยเฉพาะสิ่งต่างๆ อย่างความจริงเกี่ยวกับแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามยังไง และการเปิดเผยธรรมชาติเยี่ยงซาตานของผู้คนของพระองค์ นอกจากพระเจ้า ก็ไม่มีใครแสดงความจริงเหล่านี้ได้ ไม่มีมนุษย์คนไหนทำแบบนั้นได้ นี่พิสูจน์ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงมีแก่นแท้ของพระเจ้า ว่าพระองค์คือพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
การได้ยินทั้งหมดนี้ ช่วยให้ผมเข้าใจความจริงของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์บ้าง และผมได้เห็นว่า พระคริสต์ทรงมีทั้งสภาพความเป็นมนุษย์ที่ปกติและแก่นแท้ของพระเจ้า จินตนาการและมโนคติที่หลงผิดอันคลุมเครือบางส่วนของผมเกี่ยวกับพระเจ้าได้รับความกระจ่าง นี่คือความเป็นอิสระสำหรับผมจริงๆ ครับ พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์สามารถได้รับการมองเห็นและสัมผัสได้ และพระองค์สามารถตรัสกับผู้คนต่อหน้าได้ การคิดถึงพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้าย ทรงแสดงพระวจนะเป็นการส่วนตัวเพื่อช่วยมวลมนุษย์ทั้งปวงให้รอด มันน่าตื่นเต้นมาก ช่างดลใจผมจริงๆ แต่เมื่อผมได้ยินว่าพระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์เป็นครั้งที่สองเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา ผมก็รู้สึกหวาดหวั่นและกลัวขึ้นมาเล็กน้อย เพราะผมใช้ชีวิตอยู่ในบาป ผมนึกสงสัยว่าผมจะถูกกล่าวโทษและลงโทษในการพิพากษาขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือไม่ เพราะแบบนั้นผมจึงวิตกครับ แต่หลังจากได้สามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงแล้ว ผมก็ได้เรียนรู้ว่า พระราชกิจแห่งการพิพากษาไม่ใช่เพื่อกล่าวโทษและลงโทษพวกเรา แต่เพื่อชำระเราให้สะอาดและช่วยเราให้รอด เป็นความรอดที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงครับ ที่จริงแล้ว องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจแห่งความรอดไปเพียงส่วนเดียวเท่านั้น พระองค์ทรงเพียงอภัยบาปของเรา แต่รากเหง้าแห่งความผิดบาปของเรายังไม่ได้ถูกถอนออกไป แม้ว่าบรรดาพวกเราที่เป็นผู้เชื่อ อาจจะทุ่มเทตนเองเพื่อพระเจ้าและทำสิ่งดีอยู่บ้าง ธรรมชาติของเราก็เต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน อย่างความโอหัง ความหลอกลวง และความแข็งกระด้าง เราริษยาคนที่ได้ดีกว่าเรา และทุกอย่างที่เราทำในชีวิตของเราก็เพื่อตัวเอง เราเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าเชื่อ เราถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตัวเองควบคุมและปกครองอย่างสิ้นเชิง และเราไม่รู้เลยว่าจะหนีออกจากพันธนาการแห่งบาปยังไง นี่เป็นข้อเท็จจริง และเป็นสิ่งที่เราสามารถเห็นได้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นี่ทำให้ผมคิดถึงข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่ว่า พระเจ้าตรัสไว้ว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์” (เลวีนิติ 11:45) ข้อพระคัมภีร์นี้แสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจน ว่าเรายังไม่ควรค่าที่จะเข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ เพราะเราไม่มีใครบริสุทธิ์ เพราะแบบนั้นพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาเพื่อชำระเราให้สะอาดและช่วยเราให้รอดในยุคสุดท้าย เพื่อให้เราได้เป็นอิสระจากพันธนาการแห่งบาปอย่างสมบูรณ์ และกลายเป็นคนที่กลัวและนบนอบต่อพระเจ้า ผู้ไม่ทำบาปและต่อต้านพระเจ้าอีกต่อไป นั่นคือเป้าหมายของพระราชกิจนี้ครับ นี่ทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วง “ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง” (ยอห์น 17:17) “และพวกท่านจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านเป็นไท” (ยอห์น 8:32)
หลังจากอธิบายเรื่องนั้น พวกเขาก็อ่านพระวจนะที่อธิบายพระราชกิจแห่งการพิพากษาไว้ชัดเจนมากๆ ให้ฟังสองบทตอน พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต” (คำนำของ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่เนื้อแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งตีแผ่ว่ามนุษย์เมินหมิ่นพระเจ้าอย่างไร ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่แผ่วางความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ” (“พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) แล้วบราเดอร์ลีโอก็พูดว่า ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงเพื่อพิพากษาและชำระมวลมนุษย์ให้สะอาด และพระวจนะของพระองค์ก็เปิดเผยความลึกลับและความจริงมากมาย อย่างความลึกลับของแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระเจ้า พระราชกิจสามระยะของพระองค์ ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามยังไง และพระเจ้าทรงช่วยเราให้รอดยังไง ใครที่จะได้รับการช่วยให้รอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ และใครที่จะถูกลงโทษและกำจัดทิ้ง ผลลัพธ์และบั้นปลายของคนแต่ละประเภท และอื่นๆ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังทรงเปิดเผยและพิพากษาธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเรา รวมถึงความจริงของความเสื่อมทรามของเราด้วย พระองค์ทรงแก้ไขความเสื่อมทรามและธรรมชาติบาปหนาของเราผ่านบททดสอบและกระบวนการถลุง เราจึงเห็นชัดเจนว่า ซาตานได้ทำให้เราเสื่อมทรามอย่างหนักแค่ไหน เราจึงเห็นความโอหัง ความคดโกง และความหลอกลวงในธรรมชาติของเรา และเราเห็นความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า ซึ่งน่าเศร้ายิ่งนัก เราอาจเชื่อในพระเจ้าและทุ่มเทตัวเองเพื่อพระองค์ รวมถึงทำสิ่งดีๆ บ้าง แต่เราก็แค่ทำแบบนั้นเพื่อให้ได้รับพระพรและรางวัล เรากำลังแลกเปลี่ยนกับพระเจ้า ไม่ได้มาจากความรักหรือความนบนอบต่อพระเจ้า ทันทีที่พระราชกิจของพระเจ้าไม่สอดคล้องกับความคิดและมโนคติที่หลงผิดของเรา เราก็ไม่ยอมรับและปฏิเสธพระเจ้า เหมือนอย่างที่พวกฟาริสีเคยทำ ถึงแม้จะรู้ดีว่า พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระสุรเสียงของพระเจ้า พระวจนะเหล่านั้นมาจากพระเจ้า เราก็ยังถูกเหนี่ยวรั้งโดยพวกผู้นำทางศาสนา และเราไม่ยอมรับหนทางที่แท้จริง เราโทษพระเจ้าเมื่อเผชิญการทดสอบและความทุกข์ยาก และเราใช้ชีวิตทั้งหมดภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเรา นี่แสดงให้เห็นว่าเรายังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน ว่าเราเป็นของซาตานโดยสมบูรณ์ คนแบบนั้นจะเข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ยังไง การพิพากษาและการเปิดเผยในพระวจนะของพระเจ้าทำให้เราเห็นสภาวะที่แท้จริงของตัวเราเอง เห็นความจริงแห่งความเสื่อมทรามของเรา เห็นว่าเราไม่สามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าและสนองตอบพระองค์ได้ แล้วเราก็เต็มไปด้วยความเสียใจและเกิดความต้องการกลับใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ด้วยการก้าวผ่านการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า เราเห็นว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่เพียงเกิดขึ้นจากความรักและเมตตาเท่านั้น แต่ยังมีความชอบธรรม พระบารมี พระพิโรธ และการสาปแช่ง เราเริ่มกลัวพระเจ้าและละทิ้งเนื้อหนัง อีกทั้งปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างมีสติ เราเริ่มเชื่อฟังพระเจ้า และอุปนิสัยแห่งชีวิตของเราก็เริ่มเปลี่ยนแปลง จากนั้น เราก็ได้รับประสบการณ์อย่างแท้จริง ว่าการพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และกระบวนการถลุงของพระเจ้าคือความรอดและความรักอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระองค์ทรงมีต่อเรา
การได้ยินเรื่องนี้จากบราเดอร์ลีโอ ผมก็รู้สึกได้ว่าพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้านั้นลึกซึ้งแค่ไหน หากไม่ได้รับประสบการณ์การพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า เราก็คงไม่มีทางเข้าใจความจริงแห่งความเสื่อมทรามของเรา หรือสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยการกลับใจอย่างแท้จริงได้ สำหรับผม ผมอธิษฐานและสารภาพต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกวัน แล้วผมก็ออกไปทำบาปแบบเดิมๆ อีก ผมกลับใจแต่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และผมก็ใช้ชีวิตอยู่ในบาปตลอดเวลา ผมได้เห็นว่า ผมถูกธรรมชาติอันเสื่อมทรามของตัวเองควบคุมไว้โดยสิ้นเชิง และในสภาวะแบบนั้น ผมจะสามารถเข้าสู่สวรรค์และได้รับการเห็นชอบของพระเจ้าได้ยังไง มันคงเป็นไปไม่ได้เลยครับ ผมเคยคิดว่าตราบใดที่ผมวางตัวดี พระเจ้าก็จะทรงเห็นชอบในตัวผม แต่ผมก็ตระหนักได้ ว่าการเปลี่ยนแปลงภายนอกนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงภายใน นั่นคือตอนที่ผมตระหนักได้ว่า พระราชกิจแห่งการพิพากษานั้นสำคัญสำหรับเราแค่ไหน ว่าหากไม่มีพระราชกิจระยะนั้น ก็จะไม่มีใครได้รับการช่วยให้รอดได้เลย นั่นเป็นสาเหตุที่พระเจ้าทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย ทั้งหมดก็คือชำระอุปนิสัยเสื่อมทรามของเราให้สะอาด เพื่อที่เราจะสามารถเข้ากันได้กับพระเจ้า และเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ ความรักของพระเจ้านั้นจริงแท้มาก สัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก!
ด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทุกวัน ผมก็เกิดความแน่ใจเต็มที่ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา พระองค์คือพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย ไม่มีความคลางแคลงใจเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่นั้นมา ด้วยการเข้าร่วมในชีวิตคริสตจักรทุกวัน และสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิง ผมก็ได้เรียนรู้ที่จะรู้จักพระเจ้า และผมก็จุ่มแช่อยู่ในสายน้ำอันบริบูรณ์และการบำรุงเลี้ยงของพระวจนะของพระเจ้า ผมไม่เชื่อในพระเจ้าที่คลุมเครือในจินตนาการอย่างที่เคย แต่เชื่อในพระเจ้าในร่างมนุษย์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ที่เสด็จพระราชดำเนินและทรงพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์ ผู้ทรงแสดงความจริงได้ทุกที่ทุกเวลา ผมได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและได้สำราญในการบำรุงเลี้ยงของพระวจนะของพระองค์ ผมได้ลิ้มรสพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่คือสิ่งที่คริสเตียนทุกคนฝันถึง ผมได้มาอยู่ข้างองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง และผมขอบคุณความรอดของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สำหรับผม! นี่เป็นพระพรอันน่าเหลือเชื่อสำหรับผมครับ!