11. การไม่พากเพียรในหน้าที่ทำร้ายผม
ในปี 2018 ผมอยู่ฝ่ายตัดต่อวิดีโอในคริสตจักร ตอนแรก เพราะผมไม่เคยตัดต่อวิดีโอ และไม่คุ้นเคยกับหลักธรรมที่เกี่ยวข้อง ผมจึงเรียนหนักให้เชี่ยวชาญทักษะเหล่านั้น ผ่านไปสักพัก ความสามารถทางเทคนิคของผมก็ดีขึ้นมาก และผมได้รับเลือกเป็นหัวหน้ากลุ่ม ผมพอใจและพร้อมมากที่จะทำงานหนักเพื่อลุล่วงหน้าที่ ต่อมา ก็มีปัญหาขึ้นในโปรเจ็กวิดีโอที่ซับซ้อนอันหนึ่ง ผู้นำส่งผมไปตรวจหาสาเหตุและแก้ไขปัญหา เพราะเจอปริมาณงานที่ซับซ้อน และเพราะทักษะผมอ่อนด้อย ตอนแรกผมก็ร่วมงานกับพี่น้องชายหญิงเพื่อคิดหาทางออก แต่หลังจากทำงานหนักอยู่ช่วงหนึ่ง สิ่งต่างๆ เริ่มราบรื่นขึ้น และทักษะทางเทคนิคของผมเองก็ดีขึ้น ผมจึงเริ่มทำตัวเกียจคร้าน ผมคิดว่า “โปรเจ็กนี่อาจจะยังดำเนินไปไม่ดีเลิศนัก แต่ก็เป็นไปในทางที่ดีกว่าเมื่อก่อนมาก ฉันแค่ต้องทำให้สิ่งต่างๆ ดำเนินไปแบบนี้เรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องคอยตรวจสอบบ่อยนัก การกังวลตลอดเวลามันเหนื่อยมาก” หลังจากนั้น ผมก็แทบไม่มองหาทักษะใหม่เลย ผมละเลยการเรียนรู้งานเพิ่มเติม มีบางครั้ง ที่วิดีโอที่ผมตัดต่อมีปัญหา และคนอื่นๆ ก็แนะนำให้ผมปรับปรุงการทำงานของตัวเอง ถึงผมจะรู้ว่าพวกเขาพูดถูก แต่ผมก็บอกตัวเองว่า “งานที่ทำอยู่นี่ก็ตึงมีแล้วนะ ถ้าฉันต้องแบ่งเวลามาเรียนรู้อีก—ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเหนื่อยแค่ไหน—ถ้าเสียเวลาและพลังงานเพิ่มไปแล้ว ผลงานของฉันไม่ดีขึ้นล่ะ? ที่ลงแรงเพิ่มไปจะไม่สูญเปล่าหรอกเหรอ?” ดังนั้น ผมจึงไม่ได้ใส่ใจคำแนะนำของคนอื่นเลย จากนั้น ผู้นำของผมก็สังเกตเห็นว่างานของเราไม่ค่อยคืบหน้า และขอให้ผมระบุว่าปัญหาอยู่ตรงไหน คู่ทำงานเตือนผมครั้งแล้วครั้งเล่าให้แก้ไขปัญหานี้ ตอนนั้น ผมค่อนข้างดื้อด้าน ผมคิดว่า “งานของเราอาจจะคืบหน้าช้าไปบ้าง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ดีกว่าเมื่อก่อนนะ เราไม่ควรไปเร่งรีบกับเรื่องนี้” แต่ว่า ลึกๆ แล้วผมรู้ว่า ถ้าผมคิดให้รอบคอบและวางแผนงานให้ถี่ถ้วนมากขึ้น จริงๆ ก็ยังสามารถทำให้ดีขึ้นกว่านั้นได้อีก แต่ทุกครั้งที่ผมคิดถึงความเครียดในงานที่ผมมีอยู่แล้ว และคิดว่าการต้องใช้เวลากับโปรเจกนี้มากขึ้นอีกจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ผมก็ผัดผ่อนออกไปอีก ต่อมา ผู้นำก็เอยถึงปัญหานี้กับผมอีกสองครั้ง ตอนนั้นเองผมถึงเผยสถานการณ์อย่างเสียไม่ได้ แต่ว่าสุดท้ายผมก็ยังไม่อาจหาวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมได้
จากนั้น ผมก็ไปอยากจะใช้ความคิดอะไรกับงานของกลุ่มเรา หรือพลีอุทิศใดๆ เพื่อให้งานคืบหน้า พอมีเวลาว่าง ผมก็แค่อยากพักผ่อน และบางครั้งก็ถึงกับตื่นสาย ทำให้งานของเราล่า เวลาไปทำธุระ บางครั้งผมก็เถลไถล หนีงานที่ต้องทำในตอนนั้น ช่วงที่งานของเรานิ่ง ผมก็ไม่คิดว่าจะปรับปรุงทักษะของตัวเองยังไง แต่กลับเอาโอกาสนั้นไปพักผ่อนแทน แบบนั้นเอง ที่ผมเกียจคร้านขึ้นเรื่อยๆ ทำเป็นตรวจตราและมอบหมายงานไปอย่างนั้นเอง ผมแทบไม่เคยช่วยคนอื่นสำรวจข้อผิดพลาดในงานของพวกเขาเลย และเกิดปัญหาขึ้น ผมก็ไม่อยากคิดแก้ปํญหาเหล่านั้นเลย ผลก็คือสุดท้ายเราก็ผัดวันประกันพรุ่งกับวิดีโอ ที่ชัดว่าทำให้เสร็จก่อนกำหนดได้ ระหว่างช่วงนั้น วิดีโอที่ผมตัดต่อก็มีปัญหาเกิดขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีพี่น้องชายหญิงในกลุ่มผมคนไหนทำงานดีขึ้นเลย พองานยุ่งยากเพียงนิดเดียว ทุกคนก็จะพร่ำบ่น ไม่เพียงผมแก้ไขเรื่องนี้ผ่านการสามัคคีธรรมไม่ได้ แต่ผมก็ผสมโรงพร่ำบ่นไปกับพวกเขาด้วย เพราะว่า ผมปฏิบัติงานล้มเหลว ผู้นำสามัคคีธรรมกับผมหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่ดีขึ้น ไม่นานผมก็ถูกปลดจากตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม พอถูกปลด ผมก็รู้สึกแย่มาก จึงอธิษฐานถึงพระเจ้าและทบทวน
วันหนึ่งขณะเฝ้าเดี่ยว ผมเห็นพระวจนะกล่าวว่า “มีผู้คนบางคนที่ไม่เต็มใจทนทุกข์ในหน้าที่ของตนแต่อย่างใด พร่ำบ่นอยู่เสมอเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเผชิญปัญหาและไม่ยอมลำบาก นั่นคือท่าทีประเภทใด? นั่นคือท่าทีที่สุกเอาเผากิน สิ่งใดคือผลลัพธ์ของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างสุกเอาเผากินและปฏิบัติต่อหน้าที่ของเจ้าเหมือนไม่สลักสำคัญ? นั่นเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของตนที่แย่ แม้ว่าเจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ดีได้ก็ตาม—การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าย่อมจะไม่ได้มาตรฐาน และพระเจ้าจะไม่พึงพอพระทัยกับท่าทีที่เจ้ามีต่อหน้าที่ของเจ้า หากเจ้าสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้า แสวงหาความจริงและทุ่มเททั้งหัวใจและความรู้สึกนึกคิดของตนลงไป หากเจ้าสามารถร่วมมือเช่นนี้ได้ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าย่อมจะทรงตระเตรียมทุกสิ่งไว้ให้เจ้าแล้วล่วงหน้า เพื่อให้ทุกสิ่งเข้าที่เข้าทางเมื่อเจ้าลงมือทำและผลลัพธ์ก็ย่อมจะดี เจ้าไม่จำเป็นต้องทุ่มเทพละกำลังมากมาย เมื่อเจ้าใช้ความพยายามทั้งหมดในการให้ความร่วมมือ พระเจ้าย่อมจะทรงจัดการเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้เจ้าแล้ว หากเจ้ามีเหลี่ยมคูและคิดคดทรยศ หากเจ้าไม่แยแสหน้าที่และหลงผิดอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงกระทำการ เจ้าก็จะสูญเสียโอกาสนี้ และพระเจ้าจะตรัสว่า ‘เจ้าไม่ดีพอ เจ้าไร้ประโยชน์ จงหลีกไปยืนอยู่ด้านข้าง เจ้าชอบเป็นคนมีเหลี่ยมคูและคิดคดทรยศมิใช่หรือ? เจ้าชอบเกียจคร้านและสบายมิใช่หรือ? ดีละ ถ้าเช่นนั้นก็จงสบายไปจนชั่วกาลนาน!’ พระเจ้าจะประทานพระคุณและโอกาสเช่นนี้แก่ผู้อื่น พวกเจ้าคิดอย่างไร นี่คือความพ่ายแพ้หรือชัยชนะ? (ความพ่ายแพ้) นี่คือความพ่ายแพ้อันใหญ่หลวง!” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) หลังอ่านพระวจนะ ผมนึกย้อนถึงตอนที่ผมเป็นหัวหน้ากลุ่ม ผมเห็นว่าที่ผ่านมาผมเป็นเหมือนที่พระวจนะเปิดเผย ผมไม่มีความเคารพ ไม่รับผิดชอบ และเหลวไหล ไม่อุตสาหะ ตอนผมเริ่มรับใช้ในฐานะหัวหน้ากลุ่มครั้งแรก ผมทุ่มเทเวลาและความมุมานะ แต่พอทักษะของผมดีขึ้น และทำงานเกิดผลบ้าง ผมก็อิ่มอกอิ่มใจ พอใจในความสำเร็จ และตามใจเนื้อหนังเสมอ ผมคิดถึงแต่ว่าจะทำงานอย่างหย่อนใจสบายอารมณ์ยังไง ผมไม่เต็มใจจะอุตสาหะกับงานเพื่อทำให้งานดีขึ้น แม้แต่ตอนที่ผมเห็นชัดเจนว่างานมีปัญหา ผมก็ไม่รีบแก้ไขทันที แล้วพอคนอื่นชี้ให้เห็น ผมก็เพิกเฉย ในฐานะหัวหน้ากลุ่ม เวลาผมเห็นคนอื่นในกลุ่มพร่ำบ่นถึงปัญหาของพวกเขา ไม่เพียงผมไม่สามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น แต่ถึงกับผสมโรงเออออไปกับพวกเขาด้วย ราวกับว่าไม่ว่างานผลิดวิดีโอจะล่าช้าไปมากแค่ไหน หรือผู้คนมีปัญหามากมายเท่าไหร่ ก็ไม่เกี่ยวกับผม ผมแค่อยากรู้สึกดีและเลี่ยงการทำให้ตัวเองเหนื่อยอ่อน ผลก็คือการผลิตวิดีโอของเราเกิดปัญหาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การผลิตล่าช้าลงอย่างร้ายแรง ผมทำตัวเหลาะแหละกับหน้าที่ที่สำคัญมาก เพื่อความสบายของเนื้อหนังของผม ผมพร้อมจะทำตัวแบบขอไปที หลอกลวงพระเจ้า และคนอื่นๆ ความเคารพยำเกรงพระเจ้าของผมอยู่ที่ไหน? พระเจ้าทรงเกลียดชังและดูหมิ่นท่าทีที่มีต่องานเช่นนี้ พอนึกย้อนไปถึงปัญหาทั้งหมดในงานของผม ถ้าผมเพียงแต่ให้เวลา และเสียสละตัวเอง สิ่งต่างๆ ก็คงไม่เลวร้ายขนาดนั้น แต่ผมเกียจคร้านและไม่อยากทุกข์หรือเหน็ดเหนื่อย จึงส่งผลเสียต่องานผลิตวิดีโอ ผมเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ และไร้มโนธรรมมาก ผมเลวทรามและผุพังหนักอย่างไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ! พระเจ้าทรงเตือนผมอย่างจัดวางเรียบเรียงไว้แล้ว แต่ผมก็ยังไม่ทบทวนและกลับใจ ผมด้านชาและดื้อดึงมากขนาดนั้นได้ยังไง? พอตระหนักได้ ผมก็รู้สึกผิดและเศร้าใจ เมื่อดูจากว่าผมขาดความรับผิดชอบ และไร้จิตสำนึกแค่ไหน ผมก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นหัวหน้าเลย การที่ผมถูกปลดเป็นความผิดของผมเอง
วันหนึ่ง ขณะเฝ้าเดี่ยว ผมเห็นพระวจนะอีกบทตอนหนึ่ง “จงดูบุคคลที่มีสำนึกรับผิดชอบเป็นตัวอย่าง เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาได้รับการบอกกล่าวบางสิ่งหรือถูกบอกให้ทำบางสิ่ง จะโดยผู้นำ คนทำงานหรือเบื้องบนก็แล้วแต่ พวกเขาก็จะคิดอยู่เสมอว่า ‘เอาละ ในเมื่อพวกเขายกย่องฉันเช่นนี้ ฉันก็ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ดีและไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง’ เจ้าจะกล้าไว้วางใจมอบหมายเรื่องเรื่องหนึ่งให้บุคคลที่มีมโนธรรมและสำนึกเช่นนี้หรือไม่? บุคคลที่เจ้าไว้วางใจมอบหมายให้จัดการเรื่องเรื่องหนึ่งได้คือใครบางคนที่เจ้าเชื่อว่าไว้วางใจได้และเป็นคนที่เจ้าชมชอบ เจ้ามีข้อคิดเห็นที่ดีเกี่ยวกับบุคคลประเภทนี้ และเจ้ายกย่องพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสิ่งที่พวกเขาทำเพื่อเจ้าล้วนดำเนินการอย่างรอบคอบยิ่งและบรรลุข้อพึงประสงค์ของเจ้าอย่างครบถ้วน เจ้าก็จะคิดว่าพวกเขาคือบุคคลที่ควรค่าแก่การเชื่อใจ เจ้าจะเลื่อมใสและยกย่องพวกเขาอยู่ภายใน ผู้คนเต็มใจที่จะคบหาบุคคลประเภทนี้ พระเจ้าก็เช่นกัน พวกเจ้าคิดว่าพระเจ้าจะไว้วางพระทัยมอบหมายหน้าที่ที่มนุษย์พึงต้องปฏิบัติให้แก่บุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจหรือ? (ไม่ พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนั้น) พระเจ้าทรงคาดหวังสิ่งใดจากบุคคลที่พระองค์ทรงจัดสรรงานที่เฉพาะเจาะจงในคริสตจักรให้? ประการแรก พระเจ้าทรงหวังว่าพวกเขาจะมีความรับผิดชอบและขยัน ว่าพวกเขาจะให้ความสำคัญแก่กิจนั้นอย่างสูง และทำกิจนั้นให้ดี ประการที่สอง พระเจ้าทรงหวังว่าพวกเขาจะเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การเชื่อใจ และไม่ว่าพวกเขาจะใช้เวลานานเพียงใด ไม่ว่าสภาพแวดล้อมของพวกเขาจะเปลี่ยนไปอย่างไร สำนึกรับผิดชอบของพวกเขาจะไม่สั่นคลอนและบุคลิกลักษณะของพวกเขาจะทานทนต่อการทดสอบ หากพวกเขาเป็นบุคคลที่เชื่อใจได้ พระเจ้าก็วางพระทัย พระองค์จะไม่ทรงสอดส่องหรือติดตามผลของเรื่องนี้อีกต่อไปเพราะพระเจ้าเชื่อพระทัยพวกเขาอยู่ภายใน เมื่อพระเจ้าทรงมอบกิจนี้ให้พวกเขา แน่นอนว่าพวกเขาย่อมทำให้สำเร็จโดยไม่มีความผิดพลาด” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน) ผมได้รู้ผ่านพระวจนะว่า คนที่มีภาวะความเป็นมนุษย์ มีความรับผิดชอบต่องาน ยอมรับการทรงพินิจพิเคราะห์ และสามารถยืนหยัดในหน้าที่ ทำหน้าที่ของพวกเขาให้สำเร็จ อย่างตรงตามหลักธรรมทุกอย่าง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน นี่เป็นท่าทีที่เราควรมีในการทำหน้าที่ จากที่คริสตจักรได้มอบหมายให้ผมรับผิดชอบงานวิดีโอ อย่างน้อยผมก็ควรทำเท่าที่ทำได้อย่างเต็มความสามารถ อีกทั้งระบุและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงานอย่างทันท่วงที ให้แน่ใจว่างานของเราจะราบรื่น แต่ในขณะที่ผมยินดีทำหน้าที่ของตัวเอง ต่อมา ผมสนใจแต่ความหย่อนกายสบายใจของตัวเอง และไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลย แม้แต่ตอนที่คนอื่นคอยกระตุ้นและตักเตือนให้ผมทำ ผมก็ถือตำแหน่ง “หัวหน้ากลุ่ม” แต่ไม่ทำอะไรให้เสร็จสักอย่าง และไม่อาจทำหน้าที่ที่ผมได้รับมอบหมายในขั้นต่ำที่สุดให้ลุล่วงได้ด้วยซ้ำ ส่งผลให้ผมทำให้งานผลิตวิดีโอของคริสตจักรล่าช้า ผมช่างไร้จิตสำนึกและไม่น่าไว้วางใจอย่างแท้จริง จากการกระทำของผม ผมควรถูกขับออกไปนานแล้ว แต่เพราะพระเจ้าทรงปรานีและอดทน ผมจึงได้รับอนุญาตให้ทำงานในกลุ่มนั้นต่อไปได้ ตอนนั้น ผมคิดว่า “ฉันต้องทะนุถนอมโอกาสนี้และทุ่มเทเต็มที่ให้หน้าที่ของตัวเอง” หลังจากนั้น ผมก็เลิกพอใจกับที่สิ่งต่างๆ เป็นในหน้า และนอกเหนือจากการทำงานวิดีโอที่ผมได้รับมอบหมายให้เสร็จ ผมก็เฝ้ามองหาทางเพิ่มประสิทธิภาพของผม ชี้ชัดปัญหาของเรา และรายงานให้หัวหน้ากลุ่มทราบอย่างทันท่วงที ผมยังหารือวิธีแก้ไขปัญหากับคนอื่นๆ ด้วย ถึงแม้ว่าการทำงานแบบนี้จะเหนื่อยมากขึ้น ผมก็รู้สึกสงบและสบายใจขึ้นมาก เมื่อรู้ว่าผมได้ลุล่วงความรับผิดชอบแล้ว
ไม่นาน ผู้นำคริสตจักรก็เห็นว่าผมปรับปรุงตัวแล้วและมอบหมายให้ผมดูแลโปรเจ็กวิดีโออันหนึ่ง ผมทะนุถนอมโอกาสทำงานนี้ และอยากใส่ความพยายามให้เต็มที่ ผมตรวจตรางานทุกวัน และรวบรวมปัญหาทั้งหมดที่เรามี เมื่อผมเห็นปัญหา ผมจะหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านั้นทันที และถ้าผมแก้ปัญหาเหล่านั้นไม่ได้ ผมก็จะปรึกษาหารือกับหัวหน้ากลุ่ม แต่ต่อมาไม่นาน ตอนที่เรากำลังสำเร็จในงานและทักษะของผมก็ดีขึ้น ความเกียจคร้านแต่เดิมของผมก็คืบคลานกลับมา ผมคิดว่า “ตอนนี้งานต่างก็ดำเนินไปตามแผน และไม่มีปัญหาใหญ่อะไร ฉันควรจะพักผ่อนสักหน่อย ถ้าฉันทำงานมากขนาดนี้ทุกวัน และมีเรื่องให้กังวลมากมาย สุดท้ายปัญหาก็จะมากเกินฉันรับไหว” ทันทีที่ผมคิดแบบนี้ ผมก็เกิดความพึงพอใจ ทำงานแค่ให้ผ่านๆ ไปเท่านั้น ไม่คิดปรับปรุงทักษะของตัวเองหรือแก้ไขปัญหาและข้อผิดพลาดอีกต่อไป ไม่คิดตามดูสถานะการทำงานของคนอื่นด้วยซ้ำ พอผมมีเวลาว่าง ก็อยากแค่พักผ่อน และบางครั้ง ระหว่างทำงานหรือเรียนรู้ ผมก็ดูวิดีโอตลกหรือละครเพื่อฆ่าเวลา ส่งผลให้วิดีโอที่ควรเสร็จก่อนเวลาหยุดชะงัก และประสิทธิภาพการทำงานของผมก็เริ่มแย่ลง เวลานั้น ผมมีแต่ความพร่าเลือนและเลอะเทอะ ผมขาดกระบวนการคิดที่ชัดเจนในการตัดต่อวิดีโอ ไม่สนุกกับการอ่านพระวจนะ และรู้สึกว่าความมืดแผ่ขยายในตัวผม อีกทั้งเวลาผมอธิษฐานถึงพระเจ้า ผมก็ไม่รู้สึกถึงการทรงสถิตของพระองค์ ถึงผมจะรู้ว่าการทำแบบนี้ต่อไปนั้นอันตราย ผมก็ยังไม่อาจควบคุมตัวเอง และผมรู้สึกเจ็บปวดทรมานจริงๆ ตอนนั้น ผมบังเอิญเห็นพระวจนะบทตอนหนึ่งที่ว่า “หากผู้เชื่อทั้งหลายแค่ทำตามใจชอบและไม่ระงับยับยั้งคำพูดและความประพฤติของตนดังเช่นที่ผู้ไม่เชื่อเป็นแล้วไซร้ พวกเขาก็ชั่วร้ายยิ่งกว่าพวกผู้ไม่เชื่อเสียอีก พวกเขาคือปีศาจขนานแท้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง) ราวกับว่าพระวจนะได้เปิดเผยสถานการณ์ของผมอย่างตรงเผง ผมเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แต่ผมก็ยังไม่อาจตั้งใจทำหน้าที่และใฝ่หาเวลาว่างในตอนที่ผมควรทำงาน นี่ไม่ใช่เพียงการขาดความภักดี ผมทำไม่ได้ตามมาตรฐานพื้นฐานของงานเราด้วยซ้ำ ในทางโลก คนเราต้องทำตามกฎที่บริษัทของเขาตั้งขึ้น และขณะทำงาน คุณต้องขยันขันแข็งและไม่หย่อนยาน แต่ขณะที่ผมทำหน้าทีในคริสตจักร ผมกลับไม่มีสำนึกพื้นฐานแห่งความรับผิดชอบด้วยซ้ำ และละเลยหน้าที่ของผมอย่างไม่ใยดีเพียงเพื่อตามใจเนื้อหนัง ดูจากการที่ผมทำตัวมัวเมาและไม่ยับยั้งชั่งใจ ผมยังคู่ควรจะเรียกตัวเองว่าคริสเตียนจริงหรือ? ผมไม่ได้ถวายการรับใช้ในหน้าที่ของตัวเองด้วยซ้ำ ยิ่งทำหน้าที่ให้ลุล่วงมากพอยิ่งไม่ต้องพูดถึง ผมเกลียดตัวเองที่ตามใจเนื้อหนัง ทำไมผมจึงไม่มีความมุ่งมั่นที่จะละทิ้งเนื้อหนังแม้แต่น้อย? ผมนึกถึงพี่น้องชายหญิงในประเทศจีน ที่จะเสี่ยงถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุมและทรมาน ก่อนที่พวกเขาจะละทิ้งหน้าที่ แต่ผมที่ทำหน้าที่ในประเทศเสรีและเสมอภาค ได้หนีออกจากประเทศจีน แต่กลับไม่คิดเรื่องงานเพิ่มสักนิด หรือพลีอุทิศสักหน่อย ผมกำลังทำตัวเหมือนคนไม่เอาไหนเลย ผมไม่มีศักดิ์ศรีหรือคุณลักษณะเลยสักนิด ยิ่งผมคิดเรื่องนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่กล้าสู้พระพักตร์พระเจ้าหรือสู้หน้าคนอื่น ตอนนั้น ผมเริ่มทบทวนว่า “ฉันล้มเหลวมาครั้งหนึ่งแล้วเนื่องจากการตามใจเนื้อหนังและละเลยหน้าที่ ทำไมฉันยังไม่เรียนรู้จักความผิดพลาดครั้งก่อนอีก? ทำไมฉันถึงเหลาะแหละและกลับกลอกในงานนัก?” ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอให้ทรงให้ความรู้แจ้ง เพื่อให้หาสาเหตุของปัญหาของผมได้
วันหนึ่ง ขณะเฝ้าเดี่ยว ผมบังเอิญเจอบทตอนเหล่านี้ “เหตุใดผู้คนจึงไร้วินัยและเกียจคร้านอยู่เสมอ ราวกับว่าพวกเขากำลังเดินละเมออยู่ในชีวิต? นี่เกี่ยวพันถึงปัญหาในธรรมชาติของพวกเขา มีความเกียจคร้านอย่างหนึ่งในธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ว่าผู้คนกำลังทำกิจใด พวกเขาก็จำเป็นต้องมีใครบางคนคอยสอดส่องพวกเขาและกระตุ้นพวกเขาอยู่เสมอ บางครั้งผู้คนมัวหมกมุ่นอยู่กับเนื้อหนัง ใฝ่หาความสบายกาย และมีแผนสำรองให้ตัวเองเสมอ—ผู้คนเหล่านี้เจ้าเล่ห์นักและไม่ใช่คนดีจริง ไม่ว่าพวกเขาจะกำลังปฏิบัติหน้าที่สำคัญอันใด พวกเขาก็ไม่ทำให้ดีที่สุดอยู่เสมอ นี่คือการไม่รับผิดชอบและไม่จงรักภักดี เราพูดถึงสิ่งเหล่านี้ในวันนี้เพื่อเตือนความจำพวกเจ้าว่าไม่ให้นิ่งเฉยในงาน พวกเจ้าต้องสามารถทำตามทุกสิ่งที่เราบอก” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน) “ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริง แต่พวกเขารู้วิธีเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ สิ่งแรกที่พวกเขาทำทันทีที่ได้เป็นผู้นำคืออะไร? พวกเขาเริ่มพยายามเอาชนะใจผู้คน พวกเขาใช้แนวทาง ‘ผู้จัดการคนใหม่ต้องสร้างความประทับใจอันแรงกล้า’ กล่าวคือ ก่อนอื่นพวกเขาทำบางสิ่งเพื่อเอาชนะใจผู้คน พวกเขาแนะนำบางอย่างเพื่อทำให้ชีวิตของผู้คนง่ายขึ้น พวกเขาพยายามทำให้ผู้คนเกิดความประทับใจที่ดี แสดงให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาเข้ากันได้กับมวลชน เพื่อให้ทุกคนยกย่องพวกเขาและพูดว่าพวกเขาเป็นเหมือนบิดามารดาของตน หลังจากนั้นพวกเขาก็เข้าควบคุมอย่างเป็นทางการ พวกเขารู้สึกว่าตอนนี้พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่และตำแหน่งของพวกเขาก็มั่นคง จึงถูกต้องและเหมาะสมที่พวกเขาจะสุขสำราญกับเครื่องประดับสถานะ คติพจน์ของพวกเขาคือ ‘ชีวิตเป็นเพียงการกินและแต่งตัว’ ‘จงคว้าโอกาสที่จะหรรษาเอาไว้เพราะชีวิตนั้นสั้น’ และ ‘จงดื่มไวน์ของวันนี้ในวันนี้และกังวลเรื่องของพรุ่งนี้ในวันพรุ่ง’ พวกเขาสุขสำราญกับแต่ละวันที่มาถึง พวกเขาสนุกให้มากเท่าที่จะทำได้ และพวกเขาไม่คิดถึงอนาคต และยิ่งไม่คำนึงว่าผู้นำควรลุล่วงความรับผิดชอบใดและพวกเขาควรปฏิบัติหน้าที่ใด พวกเขาท่องบ่นคำสอนไม่กี่คำและไม่กี่วลีเหมือนนกแก้วนกขุนทองและทำกิจไม่กี่อย่างเพื่อรักษาภาพลักษณ์ตามปกติ แต่พวกเขาไม่ได้ทำงานจริงแต่อย่างใด พวกเขาไม่พยายามเจาะลึกปัญหาที่แท้จริงในคริสตจักรเพื่อที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้นให้หมดสิ้น การทำงานอย่างผิวเผินเช่นนี้จะมีประโยชน์อันใด? นี่ไม่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงหรอกหรือ? ความรับผิดชอบที่จริงจังสามารถไว้วางใจมอบให้ผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้ทำได้หรือ? พวกเขาเป็นไปตามหลักธรรมและเงื่อนไขของพระนิเวศของพระเจ้าในการคัดสรรผู้นำและคนทำงานหรือไม่? (ไม่) ผู้คนเหล่านี้ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลใดๆ พวกเขาไร้ซึ่งสำนึกรับผิดชอบใดๆ แต่ทว่าพวกเขาก็ยังคงปรารถนาที่จะรับใช้ในฐานะผู้นำคริสตจักรอย่างเป็นทางการ—เหตุใดพวกเขาจึงไร้ยางอายขนาดนี้? ส่วนผู้คนบางคนที่มีสำนึกรับผิดชอบ แต่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยและไม่สามารถเป็นผู้นำ พวกเขายิ่งไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำเข้าไปใหญ่—และนั่นยังไม่รวมถึงขยะมนุษย์ที่ไม่มีสำนึกรับผิดชอบอะไรเลย ผู้นำเทียมเท็จที่เกียจคร้านเช่นนี้เกียจคร้านเพียงใด? พวกเขาค้นพบประเด็นปัญหาและตระหนักรู้ว่านี่คือประเด็นปัญหา แต่พวกเขาก็ทำเหมือนไม่มีอะไรและไม่สนใจประเด็นปัญหานั้น พวกเขาไร้ความรับผิดชอบเหลือเกิน! พวกเขาอาจเป็นนักพูดที่ดีและดูเหมือนมีขีดความสามารถเล็กน้อย แต่เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้นในคริสตจักร พวกเขากลับไม่สามารถแก้ไขได้ แม้ว่าปัญหาของคริสตจักรจะกองทับถมมากขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นเหมือนมรดกตกทอดภายในครอบครัว แต่ผู้นำเหล่านี้ก็ไม่กังวลสนใจ กระนั้นพวกเขาก็ยังคงยืนกรานที่จะทำกิจไม่กี่อย่างที่ไร้ความสำคัญต่อไปตามปกติ และผลสุดท้ายคืออะไร? พวกเขาทำให้งานคริสตจักรยุ่งเหยิงไม่ใช่หรือ พวกเขาทำให้เสียงานไม่ใช่หรือ? พวกเขาไม่ก่อให้เกิดความอลหม่านและการแตกแยกในคริสตจักรหรอกหรือ? นี่คือจุดจบที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน) เมื่อไตร่ตรองพระวจนะ ผมก็ตระหนักว่า เหตุผลที่ผมอิ่มอกอิ่มใจ และไม่ริเริ่มในหน้าที่ ก็เพราะผมเกียจคร้านและใฝ่หาความสำราญโดยธรรมชาติ ใจของผมเต็มไปด้วยหลักปรัชญาของซาตานอย่าง “ชีวิตเป็นแค่เรื่องของการกินและทำให้ร่างกายอบอุ่น” “ดื่มไวน์ของวันนี้วันนี้ พรุ่งนี้ค่อยกังวลเรื่องวันพรุ่งนี้” และ “กินดื่มและสำราญเถิด เพราะชีวิตสั้นนัก” ผมใช้ชีวิตตามความเชื่อผิดๆ เยี่ยงซาตานพวกนี้ คิดไปว่าในชีวิตนี้บนแผ่นดินโลก ผมควรจะสำเริงสำราญ ผมให้เหตุผลกับการมีแต่ควาทุกข์และเหน็ดเหนื่อยไม่ได้ ผลก็คือ ผมไม่สามารถอุตสาหะในสิ่งที่ผมทำได้เลย ผมยึดมั่นผลลัพธ์ที่น้อยนิดที่สุดในงานของผมเป็นพื้นฐาน จนเกิดความอิ่มอกอิ่มใจและเสื่อมถอยลง เหมือนกับตอนเรียนหนังสือ เวลาผมได้เกรดดีๆ จนคุณครูและเพื่อนร่วมชั้นชื่นชม ผมจะไม่อยากใช้ความคิดและพลักงานไปอ่านหนังสือต่อ และแค่อยากสนุกไปวันๆ ผมจะเลิกตั้งใจฟังในชั้นเรียนหรือทำการบ้าน แต่ทันทีที่เกรดของผมเริ่มแย่ลงและพ่อแม่กับคุณครูเข้มงวดกับผมมากขึ้น ผมก็จะอ่านหนังสือให้มากขึ้นและมุมานะ จนเกรดของผมกลับมาดีเหมือนเดิม ผมก็จะอิ่มอกอิ่มใจอีกและอยากกลับไปเที่ยวเล่น ช่วงนั้น ผมถูกหลักปรัชญาอันผุพังเหล่านี้ควบคุมอย่างต่อเนื่อง และเกียจคร้านขึ้นเรื่อยๆ หมดกำลังใจและขาดการริเริ่ม ผมเหลาะแหละโลเลในทุกอย่างที่ทำ ไม่เต็มใจทนทุกข์หรือเสียสละ และเต็มใจจะทุ่มเทความพยายามน้อยลงเรื่อยๆ ทั้งในบทบาทหัวหน้ากลุ่มก่อนหน้านี้ และบทบาทสมาชิกกลุ่มปัจจุบันที่ผมคอยตรวจตราความคืบหน้าของงาน ผมเกียจคร้านและขาดการริเริ่มพอๆ กัน พอได้ผลงานผมก็หยุดพักทันที อยากจะสลับจากงานไปพักผ่อน ผมจะได้ไม่เจอการสูญเสียและเกิดความเหน็ดเหนื่อย แม้แต่ตอนที่ผมรู้ชัดว่างานมีปัญหา ผมก็ไม่แก้ไข เลือกปล่อยเวลาไปเปล่าๆ กับความสำราญเล็กน้อย แทนที่จะเสียสละตัวเองขึ้นอีกนิดเพื่อหน้าที่ ผมทำให้พอรักษาภาพลักษณ์ หลอกลวงและกะล่อนใส่ผู้นำ ผมตระหนักว่าไม่เพียงเกียจคร้าน แต่ผมฉลาดแกมโกงและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงด้วย ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายสบายใจ ผมได้ชื่นชมการให้น้ำของพระวจนะรวมถึงการทรงคุ้มครองของพระเจ้าอย่างมากล้น แต่ก็ยังไม่อาจทำให้ได้ตามขั้นต่ำที่สุดด้วยซ้ำ ผมไม่ได้เป็นแค่คนไร้ประโยชน์ เป็นปลิงเกาะคริสตจักรหรอกหรือ? ความเป็นมนุษย์และความมีเหตุผลของผมอยู่ที่ไหน? ผมนึกถึงบรรทัดหนึ่งในพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า “และการที่คนโง่หลงเพลิดเพลินก็ทำลายตนเอง” (สุภาษิต 1:32) ถ้าผมไม่กลับใจ ต่อให้ในตอนนั้นคริสตจักรไม่ขับผมออก พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์สรรพสิ่ง และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ทำงานภายในตัวผม ไม่ช้าก็เร็วผมคงถูกขับออก
หลังจากนั้น ผ่านการกินและดื่มพระวจนะ ผมเริ่มเปลี่ยนท่าทีต่อหน้าที่ของตัวเอง พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “วิธีที่เจ้าคำนึงถึงพระบัญชาทั้งหลายของพระเจ้านั้นสำคัญอย่างยิ่งยวด และนี่เป็นเรื่องที่จริงจังมาก หากเจ้าไม่สามารถทำสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่ผู้คนให้ครบบริบูรณ์ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่เหมาะที่จะดำรงชีวิตอยู่ในการสถิตของพระองค์และควรถูกลงโทษ การนี้ลิขิตไว้โดยฟ้าและรับรู้โดยแผ่นดินโลกว่าพวกมนุษย์ทำพระบัญชาไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงไว้วางใจมอบหมายต่อพวกเขาให้ครบบริบูรณ์ นี่คือความรับผิดชอบอันสูงส่งที่สุดของพวกเขา และสำคัญพอกันไม่มีผิดกับชีวิตจริงๆ ของพวกเขา หากเจ้าไม่จริงจังกับพระบัญชาของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทรยศพระองค์ในหนทางที่แสนสาหัสที่สุด ในการนี้ เจ้าน่าวิปโยคกว่ายูดาส และควรถูกสาปแช่ง ผู้คนต้องได้รับความเข้าใจอย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับวิธีที่จะให้ทรรศนะต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบความไว้วางพระทัยให้แก่พวกเขา และอย่างน้อยที่สุด ต้องจับใจความว่า พระบัญชาทั้งหลายที่พระองค์ทรงมอบความไว้วางพระทัยให้แก่มนุษยชาตินั้นเป็นการยกย่องและเป็นความโปรดปรานพิเศษจากพระเจ้า พระบัญชาเหล่านั้นคือสิ่งที่มีสง่าราศรีที่สุด สิ่งอื่นทุกสิ่งสามารถทอดทิ้งได้ ต่อให้คนเราต้องพลีอุทิศชีวิตของคนเราเอง เขาก็ยังคงต้องทำให้พระบัญชาของพระเจ้าลุล่วงไปอยู่ดี” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์) “มนุษย์ต้องไล่ตามเสาะหาที่จะดำเนินชีวิตซึ่งมีความหมาย และไม่ควรพึงพอใจกับรูปการณ์แวดล้อม ณ ปัจจุบันของเขา ในการดำเนินชีวิตตามภาพลักษณ์ของเปโตร เขาต้องครองความรู้และประสบการณ์ของเปโตร มนุษย์ต้องไล่ตามเสาะหาสิ่งทั้งหลายที่สูงส่งกว่าและลุ่มลึกกว่า เขาต้องเสาะหาความรักพระเจ้าซึ่งบริสุทธิ์ขึ้นและลึกซึ้งขึ้น และเสาะหาชีวิตที่มีคุณค่าและความหมาย นี่เท่านั้นที่เป็นชีวิต กล่าวคือ เมื่อนั้นเท่านั้นที่มนุษย์จะเป็นดั่งเปโตร เจ้าจะต้องมุ่งเน้นการเป็นฝ่ายรุกในการเข้าสู่ในทางบวกของเจ้า และต้องไม่ยอมให้ตัวเองล่าถอยอย่างยอมจำนนเพื่อเห็นแก่ความสบายชั่วครู่ชั่วยาม พลางเพิกเฉยต่อความจริงทั้งหลายซึ่งลุ่มลึกกว่า เฉพาะเจาะจงกว่า และสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากกว่า ความรักของเจ้าต้องสัมพันธ์กับชีวิตจริง และเจ้าต้องหาหนทางต่างๆ ที่จะปลดปล่อยตัวเองจากชีวิตอันต่ำทรามและไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใดนี้ซึ่งไม่ต่างอะไรจากชีวิตของสัตว์ตัวหนึ่ง เจ้าต้องใช้ชีวิตที่มีความหมาย ชีวิตที่มีคุณค่า และเจ้าต้องไม่หลอกตัวเองหรือปฏิบัติต่อตนเองเสมือนเป็นของเล่นชิ้นหนึ่งที่เอาไว้เล่นด้วย สำหรับทุกคนซึ่งทะเยอทะยานที่จะรักพระเจ้านั้น ไม่มีความจริงที่ไม่อาจได้มา และไม่มีความยุติธรรมที่พวกเขาไม่อาจตั้งมั่นเพื่อมันได้ เจ้าควรใช้ชีวิตของเจ้าอย่างไรหรือ? เจ้าควรรักพระเจ้าและใช้ความรักนี้สนองข้อพึงปรารถนาของพระองค์อย่างไร? ไม่มีเรื่องใดในชีวิตเจ้าที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว เหนือสิ่งอื่นใด เจ้าต้องมีความทะเยอทะยานและความมานะบากบั่น และไม่ควรเป็นดั่งพวกที่ใจเสาะ พวกที่ปวกเปียกอ่อนแอ เจ้าต้องเรียนรู้วิธีที่จะได้รับประสบการณ์กับชีวิตซึ่งเปี่ยมความหมายและได้รับประสบการณ์กับความจริงอันเปี่ยมความหมาย และไม่ควรปฏิบัติต่อตัวเจ้าเองอย่างขอไปทีแบบนั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) ผ่านพระวจนะ ผมตระหนักว่า คุณค่าและความหมายของชีวิตพบได้ในการทำหน้าที่ของคนเราในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง หากคุณใฝ่หาความหย่อนกายสบายใจเสมอ ขาดการริเริ่มและเหลาะแหละในหน้าที่ นี่เป็นการทรยศพระเจ้า และพระองค์ทรงสาปแช่งและเกลียดชังพฤติกรรมเช่นนี้ ผมนึกถึงการที่เปโตรใฝ่ใจรักและสนองพระทัยพระเจ้าอย่างขันแข็งตลอดชีวิตของเขา เคร่งครัดในพระวจนะเสมอ และพยายามปรับปรุงตัว เขาบากบั่นที่จะปฏิบัติความจริงและสนองพระเจ้าเสมอ สุดท้ายก็ถูกตรึงกางเขนกลับหัวและเป็นคำพยานที่ดังกึกก้อง แล้วก็โนอาห์ หลังจากรับพระบัญชาของพระเจ้า เขาก็ทำงานอยู่ 120 ปีเพื่อสร้างเรือ ไม่เคยหยุดแม้แต่ตอนที่เผชิญความยากลำบากนับไม่ถ้วน และความทุกข์ใหญ่หลวง พยายามไม่หยุดจนเรือเสร็จ เมื่อเทียบตัวเองกับการที่โนอหากับเปโตรปฏิบัติต่อพระเจ้าและหน้าที่ ผมรู้สึกละอายใจนัก ผมตระหนักว่าผมทั้งเห็นแก่ตัวและเกียจคร้าน และไม่มีความเป็นมนุษย์แม้แต่น้อย ผมไม่มีสำนึกรับผิดชอบต่อหน้าที่สักนิด ผมเหลาะแหละ และผัดวันประกันพรุ่ง พอผมต้องทำมากขึ้น หรือมีงานยุ่ง ผมก็เริ่มพร่ำบ่นว่าเหนื่อย และจะอู้งานและตามใจเนื้อหนัง แม้แต่ตอนที่ผู้นำกระตุ้นผม ผมไม่มีความยำเกรงพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย ผมไม่ต่างจากผู้ไม่เชื่อเลย! ถ้าผมยังคงเป็นแบบนั้นต่อไป สุดท้ายก็จะเป็นการฆ่าตัวตายเพียงเท่านั้น แต่ผมคิดเสมอว่าผมเป็นฝ่ายถูก และพอใจกับการแค่ใส่ความพยายามลงไปเพียงน้อยนิด ผมช่างด้านชา โง่เขลาและไม่รู้ความ ถึงผมจะทำหน้าที่มาแบบนี้ พระเจ้าก็ยังไม่ละทิ้งผม และให้โอกาสผมกลับใจ ผมไม่อาจทำร้ายจิตใจพระเจ้าผ่านความเสื่อมถอยได้อีก ผมจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์รู้แล้วว่าตนมีธรรมชาติเกียจคร้านและขาดความเป็นมนุษย์ ข้าไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป ข้าอยากแสวงหาความจริงและลุล่วงหน้าที่อย่างสุดจิตสุดใจ ขอทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจของข้าพระองค์”
ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ทุ่มเทเวลาและพลังงานให้หน้าที่มากขึ้น และถึงแม้ว่าตารางงานของผมจะเต็มเกือบทุกวัน ผมก็ยังแบ่งเวลามาศึกษาและปรับปรุงทักษะทางเทคนิคของผม ผมยังสรุปปัญหาในงานของตัวเองเป็นประจำ และพยายามปรับปรุงทักษะของตัวเองอย่างไม่ท้อถอย ไม่นานต่อมา วิดีโอที่ผมผลิตก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ผมสังเกตเห็นว่าพอผมแบ่งปันสิ่งที่ได้เรียนรู้กับพี่น้องชายหญิง ก็ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์กับพวกเขาด้วย ผมรู้สึกสงบและสบายใจจริงๆ การลุล่วงหน้าที่แบบนี้มีงานเพิ่มมาเล็กน้อย และมีเวลาพักน้อยลง แต่ผมไม่รู้สึกเหนื่อยหรือว่ากำลังเป็นทุกข์ ที่จริง ผมรู้สึกปลอดโปร่งและมีพลังมากขึ้น ไม่เหมือนก่อนหน้านั้นที่ผมผ่านทุกวันไปอย่างมืดทึบและเลินเล่อ แถมการเห็นปัญหาใดๆ ในงานของเรายังเป็้นเรื่องง่ายขึ้นอีกด้วย และผ่านการสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิง และการให้ความรู้แจ้งของพระเจ้า เราแก้ไขปัญหามากมายได้อย่างทันท่วงที แต่เพราะผมถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำเกินไป หลักปรัชญาอันเกียจคร้านของมันยังส่งผลต่อผมเป็นครั้งคราว เมื่อผมเริ่มได้ผลลัพธ์ที่ดี ผมก็อิ่มอกอิ่มใจขึ้นมาเล็กน้อยและอยากตามใจเนื้อหนังอีก มีครั้งหนึ่ง ขณะกำลังตรวจสอบวิดีโออันหนึ่ง ผมเห็นหนังแอคชั่นโผล่มาในฟีดข่าว ผมคิดว่า “ช่วงนี้งานเครียดชะมัดเลย ดูเล่นๆ ให้หย่อนใจสักหน่อยคงไม่เสียหายมั้ง” ขณะที่ผมดู ผมตะหนักอย่างทันทีทันใด ว่าผมกลับไปเหมือนเก่าอีกแล้ว ผมนึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง “สมมุติว่าเจ้าอยากสะเพร่าและเหลวไหลในเวลาที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้าพยายามอู้งานและพยายามหลีกเลี่ยงการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า ในช่วงเวลาเช่นนี้ จงรีบอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และคิดทบทวนว่านี่คือหนทางที่ถูกต้องในการลงมือกระทำการหรือไม่ จากนั้นจงคิดดูว่า ‘ทำไมฉันถึงเชื่อในพระเจ้า? ความเหลวไหลเช่นนี้อาจรอดสายตาผู้คน แต่จะรอดสายพระเนตรของพระเจ้าหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น การที่ฉันเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่เพื่อที่จะอู้งาน—แต่เพื่อให้ได้รับการช่วยให้รอด การที่ฉันทำเช่นนี้จึงไม่ใช่การแสดงออกถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงรัก ไม่ละ ฉันอาจจะย่อหย่อนและทำตามใจชอบในโลกภายนอก แต่ตอนนี้ฉันอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า ภายใต้การพินิจพิเคราะห์ในสายพระเนตรของพระเจ้า ฉันคือคนคนหนึ่ง ฉันต้องกระทำการตามมโนธรรมของฉัน ฉันจะทำตามใจชอบไม่ได้ ฉันต้องกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า ฉันต้องไม่สะเพร่าและต้องไม่สุกเอาเผากิน ฉันจะย่อหย่อนไม่ได้ ดังนั้นฉันควรกระทำการอย่างไรจึงจะไม่อู้งาน ไม่สะเพร่าและสุกเอาเผากิน? ฉันต้องทุ่มเทความพยายามลงไปบ้าง เมื่อกี้ฉันรู้สึกว่าการทำเช่นนั้นลำบากเกินไป ฉันต้องการหลีกเลี่ยงความยากลำบาก แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าการทำแบบนั้นอาจลำบากมาก แต่มีประสิทธิผล และดังนั้นนั่นคือวิธีที่ควรทำ’ เมื่อเจ้าทำงานและยังคงรู้สึกกลัวความยากลำบาก ในช่วงเวลาเช่นนั้นเจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า ‘โอ พระเจ้า! ข้าพระองค์เกียจคร้านและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ข้าพระองค์วิงวอนขอให้พระองค์บ่มวินัยข้าพระองค์ ตำหนิข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์เกิดความรู้สึกในมโนธรรมของตนและมีสำนึกละอายแก่ใจ ข้าพระองค์ไม่อยากสะเพร่าและสุกเอาเผากิน ข้าพระองค์ขอวิงวอนให้พระองค์ทรงนำและประทานความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ แสดงให้ข้าพระองค์เห็นความเป็นกบฏและความอัปลักษณ์ของตน’ เมื่อเจ้าอธิษฐานเช่นนี้ ทบทวนตนเองและพยายามรู้จักตนเอง ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกเสียใจ และเจ้าย่อมสามารถเกลียดชังความอัปลักษณ์ของตน และสภาวะที่ผิดในหัวใจของเจ้าก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลง และเจ้าจะสามารถใคร่ครวญสิ่งนี้และพูดกับตนเองว่า ‘ทำไมฉันจึงสะเพร่าและสุกเอาเผากิน? ทำไมฉันถึงย่อหย่อนอยู่เสมอ? การกระทำเช่นนี้ไร้ซึ่งมโนธรรมหรือสำนึกใดๆ—ฉันยังคงเป็นใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้าอยู่อีกหรือ? ทำไมฉันจึงไม่จริงจังกับสิ่งทั้งหลาย? ฉันควรทุ่มเทเวลาและความพยายามเพิ่มขึ้นอีกนิดไม่ใช่หรือ? นี่ไม่ใช่ภาระหนักหนาอะไร นี่คือสิ่งที่ฉันควรทำ ถ้าฉันทำสิ่งนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉันจะสมควรได้ชื่อว่ามนุษย์หรือ?’ ผลก็คือเจ้าสร้างปณิธานและกล่าวคำปฏิญาณว่า ‘โอ พระเจ้า! ข้าพระองค์ทำให้พระองค์ผิดหวัง ข้าพระองค์เสื่อมทรามเกินไปโดยแท้ ข้าพระองค์ไม่มีมโนธรรมหรือสำนึก ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะกลับใจ และขอวิงวอนให้พระองค์ทรงยกโทษให้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน ถ้าข้าพระองค์ไม่กลับใจ ขอให้พระองค์ทรงลงโทษข้าพระองค์’ หลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงในวิธีคิดของเจ้า และเจ้าเริ่มเปลี่ยนไป เจ้ากระทำการและปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างมีสติ สะเพร่าและสุกเอาเผากินน้อยลง และตอนนี้เจ้าก็สามารถทนทุกข์และยอมลำบาก เจ้ารู้สึกว่าการปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางนี้แสนวิเศษ และหัวใจของเจ้าก็มีสันติสุขและรื่นเริง เมื่อคนเราสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้ เมื่อพวกเขาสามารถอธิษฐานถึงพระองค์และพึ่งพาพระองค์ได้ สถานะของพวกเขาก็ย่อมเปลี่ยนไปในไม่ช้า” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้าคือรากฐานของการเชื่อในพระเจ้า) หลังจากใคร่ครวญพระวจนะ ผมก็พบทางไปต่อ ผมมีนิสัยเกียจคร้าน เลือกอยู่ว่างๆ สบายๆ และไม่เต็มใจจะทนทุกข์ ผมไม่อาจแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเองได้ ผมต้องอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้าและยอมรับการทรงพินิจพิเคราะห์ของพระองค์ ครั้งต่อไปที่ผมอยากตามใจเนื้อหนังและเฉื่อยชา ผมควรอธิษฐานถึงพระเจ้าทันที และขอให้ทรงบ่มวินัยและตีสอนผม แบบนั้นผมถึงจะสามารถละทิ้งเนื้อหนังและทำหน้าที่ให้ดีได้ ผมจึงบอกพระเจ้าถึงสภาวะของผมในการอธิษฐาน และข้อให้พระองค์ทรงบ่มวินัยผม หลังจากอธิษฐาน ใจของผมก็สงบลงทันที และผมก็ตรวจวิดีโอต่อ พิจารณาหลักธรรมอย่างถี่ถ้วน และมองหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เมื่อผมทบทวนงานของตัวเอง ผมก็รู้สึกได้ถึงการทรงนำของพระเจ้า และสามารถระบุปัญหาในวิดีโอได้อย่างรวดเร็ว และคิดหาทางแก้ปัญหานั้น ผ่านประสบการณ์นั้น ผมได้รับความมั่นใจในการจัดการกับความเกียจคร้านของตัวเองเพิ่มขึ้น ผมเห็นว่าผมแค่ต้องพึ่งพาพระเจ้าและยอมรับการพินิจพิเคราะห์งานของผมจากพระองค์อย่างแท้จริง ถ้าผมเริ่มตามใจเนื้อหนังอีก ผมก็พึ่งพาพระเจ้าเพื่อยับยั้งตัวเองอย่างมีสติได้ แบบนั้น ผมจะมีกำลังเพื่อมีชัยและลุล่วงหน้าที่อย่างมีสันติสุขได้
เดี๋ยวนี้ ถึงผมจะยังมีความต้องการความหย่อนกายสบายใจอันเสื่อมทรามนี้บ่อยๆ ผมรู้ว่าตราบใดที่ผมทำตามพระวจนะและปฏิบัติตามอย่างไม่หยุดยั้ง ท้ายที่สุดผมก็จะชำระตัวเองให้สะอาดจากอุปนิสัยเสื่อมทรามนี้และเปลี่ยนแปลงตัวเองได้