57. ในที่สุดฉันก็กล้ารายงานการกระทำผิด

โดยหลิว อี้ ประเทศจีน

ขณะรับใช้ในฐานะผู้นำ ฉันขับไล่พี่น้องหญิงคนหนึ่งออกจากคริสตจักรโดยที่เธอไม่สมควรต้องถูกขับไล่ ซึ่งเป็นการตัดสินโทษอย่างไม่ยุติธรรม เนื่องจากฉันขาดความรับผิดชอบและไม่มีหลักธรรมในหน้าที่ ต่อมา พี่น้องหญิงคนนั้นได้รับอนุญาตให้กลับเข้ามาในคริสตจักร ส่วนฉันก็ถูกพิจารณาว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ และถูกปลดจากตำแหน่งเพราะไม่ได้ทำงานที่แท้จริง คริสตจักรสั่งให้ฉันไปทบทวนสักพัก และฉันก็เต็มใจที่จะเข้าใจตัวเองผ่านการทบทวนตัวเองและกลับใจอย่างแท้จริง ช่วงเวลานั้นฉันอาศัยอยู่กับพี่น้องหญิงฉินเคิน ผู้นำคริสตจักรที่ชื่อหลี่จิงมักจะแวะมาหาฉินเคินอยู่บ่อยๆ เพื่อถามถึงหน้าที่ของเธอในด้านต่างๆ และพูดถึงข้อบกพร่องของพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ที่เธอสังเกตเห็นให้ฉินเคินฟังอีกด้วย รวมถึงเรื่องที่เธอได้ตัดแต่งพวกเขาอย่างไร ตอนแรกฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป และเธอยังคงพูดในลักษณะเดียวกันเป็นประจำเรื่อยมา ฉันก็เริ่มคิดว่า “คุณไม่ได้กำลังตัดสินและดูหมิ่นผู้อื่นลับหลังเพื่อโอ้อวดตัวเองอยู่หรอกเหรอ? ถ้าคุณเอาแต่ตำหนิพี่น้องชายหญิงเวลาพวกเขามีปัญหา แทนที่จะสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา แบบนี้จะได้ผลลัพธ์จริงๆ เหรอ?” ฉันคิดจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกับหลี่จิง แต่แล้วฉันก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า “ฉันควรจะอยู่ในช่วงคิดทบทวนหลังการถูกปลดสิ ถ้าเกิดเธอไม่ยอมรับคำติชมของฉัน แล้วบอกว่าฉันทำตัวไม่เหมาะสมในช่วงคิดทบทวนขึ้นมาล่ะ? ถ้าผู้นำระดับสูงตรวจสอบสภาวะของฉัน แล้วหลี่จิงบอกว่าฉันยังไม่เปลี่ยนแปลง ใครจะรู้ว่าฉันต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าจะได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่? ช่างเถอะ ฉันไม่พูดอะไรดีกว่า” แต่หลังจากนั้น ฉันก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ การเพิกเฉยต่อปัญหาที่ฉันเห็นในตัวหลี่จิงถือเป็นการขาดความใส่ใจ ต่อมา เมื่อฉันได้ยินหลี่จิงตัดสินและดูหมิ่นพี่น้องชายหญิงและโอ้อวดตัวเองอีกครั้ง ฉันจึงชี้ให้เธอเห็นถึงเรื่องนั้น ภายนอกเธอดูเหมือนจะยอมรับคำตักเตือนของฉัน แต่สุดท้ายเธอก็ยังคงทำแบบเดิม ฉันชี้ให้เธอเห็นปัญหานี้หลายครั้ง แต่เธอก็ไม่เปลี่ยนแปลงแนวทางของเธอเลย ฉันจึงคิดในใจว่า “ดูเหมือนเธอจะรับรู้ถึงปัญหาของตัวเองนะ แต่กลับไม่เคยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเลย เธอไม่ได้ยอมรับความจริง ฉันอาจไปหาหลี่จิงได้นะ แล้วชำแหละและสามัคคีธรรมเรื่องที่เธอไม่สามารถยอมรับความจริงได้ น่าจะเป็นประโยชน์กับเธอ” แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ฉันก็ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกับเธอหลายครั้งแล้วนี่นา ถ้าตอนที่ฉันยกเรื่องนี้ขึ้นมาอีก แล้วเธอไม่แค่ไม่ยอมรับ แต่กลับกล่าวโทษฉันล่ะ? ตอนนี้ฉันควรอยู่ในช่วงคิดทบทวน ถ้าฉันถูกขับไล่ ฉันจะยังมีโอกาสได้รับการช่วยให้รอดอยู่ไหม? ไม่เอาดีกว่า ฉันควรทำตัวสงบเสงี่ยมและไม่พูดอะไรจะดีกว่า”

ต่อมา ฉันได้เป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องหญิงสองคนคือ ฉินเคินและเซี่ยอวี่ เช้าวันหนึ่ง ฉันบังเอิญได้ยินหลี่จิงตำหนิพวกเธอ เรื่องที่ทำงานชำระคริสตจักรให้สะอาดล่าช้าเกินไป โดยพูดว่าผู้นำของเธอจะมองเธอไม่ดีเพราะเรื่องนี้ พี่น้องหญิงทั้งสองตอบกลับไปว่า “การขับไล่สมาชิกคริสตจักรเป็นเรื่องใหญ่ เราจำเป็นต้องตรวจยืนยันและทำความเข้าใจสถานการณ์ทุกด้านก่อนจะดำเนินการต่อไป ถ้ารีบเร่งเกินไป เราอาจกล่าวโทษผู้คนอย่างไม่เป็นธรรมได้นะ” แต่หลี่จิงไม่ยอมรับเรื่องนี้ และบอกว่าเธอวางแผนจะกล่าวโทษพี่น้องหญิงฉางจิงว่าเป็นคนทำชั่วและขับไล่เธอออกไป ที่จริงแล้ว ฉางจิงเพียงแค่มีอุปนิสัยโอหัง ขณะที่เธอรับใช้ในฐานะมัคนายกข่าวประเสริฐ เธอไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาได้ และตำหนิผู้คนอยู่เสมอ ทำให้พวกเขารู้สึกถูกจำกัด แต่เธอไม่ได้มีแก่นแท้ของคนชั่ว และไม่ได้เข้าเงื่อนไขการขับไล่ ในตอนนั้น ฉินเคินและเซี่ยอวี่ไม่เห็นด้วยกับหลี่จิง พวกเธอโต้แย้งว่าพฤติกรรมของฉางจิงไม่ได้ตรงกับมาตรฐานสำหรับการขับไล่ พวกเธอยังตั้งขอสังเกตด้วยว่าฉางจิงได้รับความเข้าใจจากการกระทำผิดในอดีตของเธอบ้างแล้ว ผ่านการทบทวนตัวเอง แต่หลี่จิงไม่เพียงเพิกเฉยต่อข้อโต้แย้ง แต่ถึงกับตำหนิพวกเธอ โดยพูดว่าพวกเธอกำลังปกป้องคนทำชั่วด้วยการไม่ขับไล่ฉางจิงออกไป และกีดขวางงานชำระคริสตจักรให้สะอาด พอได้ยินแบบนี้ ฉันก็คิดว่า “งานชำระคริสตจักรให้สะอาดเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด และต้องดำเนินการไปตามหลักธรรม หลี่จิงกำลังทำชั่วด้วยการกล่าวโทษ และขับไล่คนที่ไม่ได้เข้าเงื่อนไขการขับไล่โดยพลการ เพียงเพื่อปกป้องชื่อเสียงและสถานะของเธอเอง!” ฉันคิดจะชี้ให้หลี่จิงเห็นถึงปัญหานี้ แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ฉันเป็นแค่เจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิงเท่านั้น และคำพูดของฉันก็ไม่มีน้ำหนักพอ ต่อให้ฉันยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เธออาจจะไม่ยอมรับคำตักเตือนของฉันก็ได้ ฉันควรอยู่เฉยๆ จะดีกว่า” พอคิดอย่างนี้ ฉันก็ลงเอยด้วยการปิดปากเงียบ บ่ายวันนั้น ฉันได้ยินมาว่าหลี่จิงสั่งให้พี่น้องหญิงทั้งสองคนรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับฉางจิง เพื่อเตรียมการขับไล่เธอ พี่น้องหญิงทั้งสองคนแสดงความกังวลอีกครั้งว่า พฤติกรรมของฉางจิงไม่ได้เข้าเงื่อนไขการขับไล่ และขอให้หลี่จิงตรวจสอบเพิ่มเติมอีกหน่อย แต่หลี่จิงกลับไม่ยอมฟัง และกล่าวโทษพี่น้องหญิงทั้งสองอีกครั้งเรื่องกีดขวางงานชำระให้สะอาด และปกป้องคนทำชั่ว หลังจากพูดจบ เธอก็เดินออกจากห้องไปด้วยความโกรธ ฉันนึกถึงอดีตของตัวเองที่ไม่ได้ทำหน้าที่ตามหลักธรรม และเคยกล่าวโทษสมาชิกคริสตจักรคนหนึ่งอย่างไม่เป็นธรรม เพราะไม่ได้ตรวจยืนยันรายละเอียดของกรณีการขับไล่เธอให้ดี เมื่อฉันไปขอโทษพี่น้องหญิงที่ถูกขับไล่ เธอก็บอกฉันว่ามันทำให้เธอเจ็บปวดและเป็นทุกข์อย่างใหญ่หลวง ที่ไม่สามารถร่วมชุมนุมหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้าได้ สิ่งนี้ทำให้ฉันรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดที่ฉันก่อขึ้นกับพี่น้องหญิงคนนั้น และความเสียหายที่ฉันได้ทำลงไปกับชีวิตของเธอ เป็นสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขได้ และเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นได้ทิ้งรอยด่างพร้อยถาวรไว้ในชีวิตของฉันในฐานะผู้เชื่อ หากพิจารณาความรุนแรงเรื่องการขับไล่ฉางจิงนี้ตามหลักธรรมแล้ว พฤติกรรมของฉางจิงไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นสมควรถูกขับไล่ แต่ถึงอย่างนั้นหลี่จิงก็ยังยืนกรานจะขับไล่เธอ เพื่อปกป้องชื่อเสียงและสถานะของตัวเอง นี่เป็นการทำชั่ว! คืนนั้น ฉันพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง นอนยังไงก็ไม่หลับ เอาแต่คิดถึงตอนที่พี่น้องหญิงสองคนสามัคคีธรรมกับหลี่จิง เธอไม่ยอมรับและถึงกับกล่าวโทษพี่น้องหญิงทั้งสองอย่างไร้เหตุผล หลี่จิงกำลังใช้สถานะของตัวเองเพื่อกดขี่และจำกัดพวกเธอไม่ใช่เหรอ? ฉันคิดว่าฉันควรไปหาหลี่จิงและสามัคคีธรรมกับเธอเพื่อปกป้องงานของคริสตจักร แต่แล้วฉันก็จำได้ว่าครั้งสุดท้ายฉันพยายามให้ข้อเสนอแนะ หลี่ไม่รับฟัง ฉันจะทำยังไงถ้าเธอกล่าวหาว่า ฉันกีดกันและขัดขวางงานชำระให้สะอาดตอนที่ฉันหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง? ฉันถูกปลดเพราะการกระทำผิดของตัวเองมาแล้ว และกำลังอยู่ในช่วงคิดทบทวน ฉันจะทำยังไงถ้าถูกขับไล่ออกจากคริสตจักรด้วยข้อกล่าวหาพวกนั้น? เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา ฉันก็เริ่มลังเล

หลังจากนั้น ฉันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาและอธิษฐาน และอ่านพระวจนะของพระองค์บทตอนต่อไปนี้ที่ว่า “เจ้าทั้งปวงกล่าวว่าเจ้าคำนึงถึงพระภาระของพระเจ้า และจะปกป้องคำพยานของคริสตจักร แต่ใครหรือในหมู่พวกเจ้าที่ได้คำนึงถึงพระภาระของพระเจ้าจริงๆ?  จงถามตัวเจ้าเองว่า เจ้าเป็นใครคนหนึ่งซึ่งได้แสดงให้เห็นความคำนึงถึงพระภาระของพระองค์หรือไม่?  เจ้าสามารถปฏิบัติความชอบธรรมเพื่อพระองค์หรือไม่?  เจ้าสามารถยืนขึ้นและพูดเพื่อเราหรือไม่?  เจ้าสามารถนำความจริงมาปฏิบัติอย่างหนักแน่นมั่นคงหรือไม่?  เจ้ากล้าพอที่จะต่อสู้กับความประพฤติทั้งปวงของซาตานหรือไม่?  เจ้าจะสามารถวางความรู้สึกของเจ้าและเปิดโปงซาตานเพื่อเห็นแก่ความจริงของเราได้หรือไม่?  เจ้าจะสามารถยอมให้ในตัวเจ้ามีการสนองเจตนารมณ์ของเราหรือไม่?  เจ้าเคยมอบถวายหัวใจของเจ้าในชั่วขณะที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดหรือไม่?  เจ้าใช่คนที่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของเราหรือไม่?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 13)  การพิพากษาจากพระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันรู้สึกอับอายจนอยากจะซ่อนใบหน้าด้วยความละอายใจ หลังจากถูกปลด ฉันก็เอาแต่พูดว่าฉันอยากจะทบทวนตัวเองและกลับใจ แต่พฤติกรรมของฉันกลับไม่ได้แสดงถึงการกลับใจเลย ฉันรู้ดีว่าหลี่จิงกำลังทำผิดหลักธรรมในงานชำระให้สะอาด เพียงเพื่อรักษาสถานะและชื่อเสียงของตัวเอง และเธอก็สร้างความเสียหายต่อการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงและงานของคริสตจักร แต่ฉันกังวลว่า ถ้าฉันไปสามัคคีธรรมกับเธอ เธอจะไม่ยอมรับ และเธอจะกล่าวหาฉันว่ากีดกันและขัดขวางงานชำระคริสตจักรให้สะอาด แล้วขับไล่ฉันออกไป เพื่อปกป้องตัวเอง ฉันจึงไม่กล้าพูดอะไรตอนที่เห็นปัญหานั้นอย่างชัดเจน ฉันขาดสำนึกของความยุติธรรมโดยสิ้นเชิง ฉันตระหนักว่า ถ้าหลี่จิงขับไล่ฉางจิงจริงๆ เธอจะไม่เพียงแต่ทำร้ายฉางจิง แต่จะทิ้งรอยด่างพร้อยของการกระทำผิดไว้กับตัวเธอเองด้วย ฉันรู้ว่าต้องหยุดเป็นคนเอาใจคนอื่น พอได้เห็นแล้วว่าหลี่จิงกำลังเดินไปบนเส้นทางสู่ความล้มเหลวแบบเดียวกับที่ฉันเคยเดิน ฉันต้องชี้ให้เธอเห็นถึงปัญหา และทำให้เธอตระหนักว่าผลสืบเนื่องจากการกระทำของเธอนั้นร้ายแรงมากแค่ไหน หลังจากนั้น ฉันก็นัดเจอหลี่จิง และสามัคคีธรรมกับเธอ โดยเล่าประสบการณ์ของฉันที่เคยกล่าวโทษคนอื่นอย่างไม่เป็นธรรมเพราะฉันไม่ได้ดำเนินการขับไล่ตามหลักธรรม แต่หลี่จิงไม่ยอมรับสิ่งที่ฉันพูด และถึงกับบอกฉันว่า ฉันควรทำแค่เป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิงไป และไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานชำระให้สะอาด เพราะฉันยังอยู่ในช่วงคิดทบทวนหลังจากถูกปลด พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ ฉันก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย และคิดว่า “ฉันกำลังก้าวก่ายเกินไปหรือเปล่า? ถ้าฉันยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกับเธออีก เธอจะยิ่งไม่ชอบหน้าฉันหรือเปล่า? ถ้าฉันล่วงเกินเธอจริงๆ เธอจะพยายามทำให้ชีวิตฉันต้องลำบากหรือเปล่า? แต่แก่นแท้พฤติกรรมของหลี่จิงนั้นร้ายแรงมาก และจะเป็นอันตรายอย่างมากหากเธอยังทำแบบนี้ต่อไป!” พอคิดได้แบบนี้ ฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงชี้แนะให้ฉันผ่านเรื่องนี้ไป

สองวันต่อมา หลี่จิงมายังที่พักของเรา ดึงฉันออกไปคุย และถามว่าฉันคิดยังไงเกี่ยวกับแผนการที่เธอจะปลดฉินเคิน ฐานปล่อยให้อารมณ์มีอิทธิพลต่อการทำหน้าที่ของตัวเอง และกีดขวางงานชำระให้สะอาด ฉันตอบไปว่า “ฉินเคินแบกรับภาระอย่างหนักในหน้าที่ของเธอ และจัดการเรื่องของฉางจิงไปตามหลักธรรม ฉันไม่เห็นว่าเธอกีดขวางงานชำระให้สะอาดตรงไหน” แต่หลี่จิงยังคงยืนกรานว่าฉางจิงเป็นคนทำชั่วและควรถูกขับไล่ เธอยังอ้างอีกว่าเหตุผลที่งานชำระให้สะอาดไม่มีความคืบหน้านั้น ก็เป็นเพราะฉินเคินกำลังปกป้องฉางจิง ฉันตกใจมากตอนที่ได้ยินเธอพูดแบบนี้ ฉินเคินกระทำตามหลักธรรมในการคัดค้านการขับไล่ฉางจิง หลี่จิงจะปลดเธอโดยพลการได้ยังไง? ฉันรีบตอบทันทีว่า “เราจะขับไล่หรือปลดใครออกโดยพลการไม่ได้ และละเลยความสำคัญของชีวิตพี่น้องชายหญิง เพียงเพื่อปกป้องชื่อเสียงและสถานะของตัวเองไม่ได้! ตอนนี้ฉันมีประวัติกระทำผิดก็เพราะฉันไม่ได้ทำหน้าที่ตามหลักธรรม ได้โปรดอย่าเดินไปบนเส้นทางสู่ความล้มเหลวเดียวกับฉันเลยนะ! เราต้องทำหน้าที่ของเราอย่างเคร่งครัดตามหลักธรรม” หลี่จิงตอบกลับด้วยความโกรธว่า “ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะปลดฉินเคิน ไม่ว่าคุณจะพูดอะไรก็เปลี่ยนใจฉันไม่ได้หรอก” เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉันก็รู้สึกโกรธและหมดหนทาง คิดว่า “ฉันล่วงเกินคุณไม่ได้ ดังนั้นฉันจะต้องเงียบไว้ ยังไงฉันก็ได้บอกความคิดเห็นของฉันไปแล้ว ส่วนคุณจะยอมรับหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับคุณ” หลังจากนั้น ฉันก็เลือกที่จะเงียบ ท้ายที่สุด หลี่จิงก็ยังคงปลดฉินเคินอยู่ดี และย้ายฉันให้ไปทำหน้าที่ในพื้นที่ห่างไกล เธออ้างว่า การตัดสินใจนี้เป็นไปเพื่อความปลอดภัยของฉันเอง เธอบอกว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังยกระดับการปราบปรามและจับกุมคริสเตียน และเนื่องจากฉันเคยเป็นผู้นำมาก่อน และรู้ข้อมูลเกี่ยวกับคริสตจักรมากมาย จึงเป็นการดีที่สุดที่ฉันจะไม่ติดต่อกับพี่น้องชายหญิงโดยตรง เธอยังบอกฉันด้วยว่า ต่อจากนี้ไป จดหมายใดๆ ที่ฉันส่งหรือได้รับมา จะต้องผ่านเธอก่อนทั้งหมด ก่อนที่ฉันจะทันได้ตอบอะไร เธอก็ตัดบททันทีว่า “ฉันมีธุระอื่นต้องไปจัดการ” แล้วก็ขี่จักรยานจากไปอย่างรวดเร็ว ฉันยืนอยู่ที่ประตูบ้านตัวเอง มองดูเธอขี่จักรยานจากไป ขณะที่น้ำตาไหลอาบแก้ม ฉันคิดว่า “ตอนนี้คุณจำกัดฉันและพยายามควบคุมฉันแล้วเหรอ?” ยิ่งคิดเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกอัดอั้น ฉันนึกย้อนไปถึงพฤติกรรมของหลี่จิงในช่วงเวลานั้น ตอนที่ฉันให้คำแนะนำแต่เธอไม่ยอมรับ และถึงกับข่มขู่ฉันอีก บอกว่าฉันควรแค่เป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิงไป และไม่ก้าวก่ายเกินขอบเขตของตัวเอง จากนั้น ด้วยความกังวลว่าความประพฤติชั่วของเธอจะถูกเผย เธอจึงส่งฉันไปยังพื้นที่ห่างไกล และห้ามฉันติดต่อกับพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ โดยอ้างว่าเธอแค่พยายามจะปกป้องฉัน เธอช่างชั่วช้าและหลอกลวงเหลือเกิน! เพื่อรักษาสถานะและชื่อเสียงของตัวเอง เธอกดขี่และกล่าวโทษทุกคนที่ไม่ทำตามคำสั่งของเธอ เดินตามกฎของซาตานที่ว่า “ผู้ที่เชื่อฟังฉันจะรุ่งเรือง ส่วนผู้ที่ต่อต้านฉันจะพินาศ” เธอกระทำตัวเป็นศัตรูของพระคริสต์อยู่ไม่ใช่เหรอ? ฉันรู้ว่าจะรอมชอมไปเรื่อยๆ ไม่ได้ ฉันต้องรายงานเรื่องหลี่จิงและเปิดโปงความประพฤติชั่วของเธอ ปัญหาก็คือ ทุกสิ่งที่ฉันเขียนต้องผ่านตาเธอก่อนทั้งหมด หากเธอรู้ว่าฉันเขียนจดหมายรายงานเรื่องเธอ ก็เป็นไปได้ว่าเธอจะกดขี่ฉันยิ่งกว่านี้อีก ถ้าเธอกุเรื่องขึ้นมากล่าวหาฉันและขับไล่ฉันออกจากคริสตจักร ฉันจะยังมีโอกาสได้รับการช่วยให้รอดอยู่อีกไหม? เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา ฉันก็ถอยร่นอีกครั้ง และรู้สึกทรมานใจอย่างมาก

ในช่วงหลายวันหลังจากนั้น ปฏิสัมพันธ์ระหว่างฉันกับหลี่จิงก่อนหน้านั้นวนเวียนอยู่ในหัวฉันตลอดเวลา จนฉันไม่มีกะจิตกะใจทำหน้าที่ของตัวเอง คืนหนึ่ง ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจเขียนจดหมายรายงานเรื่องหลี่จิง แต่ขณะที่เขียน ฉันก็เริ่มคิดว่า “ถ้าฉันรายงานเรื่องเธอ พี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ จะคิดว่าฉันไม่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่เหมาะสมในช่วงคิดทบทวนหรือเปล่า? ตอนที่ฉินเคินถูกปลด ฉันไม่เคยได้ยินว่าเธอรายงานเรื่องหลี่จิงเลย หากฉันรายงานเรื่องเธอ จะดูเหมือนว่าฉันพยายามโอ้อวดตัวเองอยู่หรือเปล่า? ตอนแรกฉันให้คำแนะนำบางอย่างกับหลี่จิง แต่ตอนนี้ฉันกลับกำลังรายงานเรื่องเธอ ถ้าเธอรู้เรื่องนี้ เธอจะคิดว่าฉันเป็นคนที่ไม่ยอมปล่อยวางปัญหาที่ฉันเห็นในตัวเธอหรือเปล่า?” พอตระหนักถึงเรื่องทั้งหมดนั้น ฉันจึงลบจดหมายนั้นไป แต่ฉันก็รู้สึกผิดอย่างมากที่ทำแบบนั้น เมื่อพิจารณาถึงการที่หลี่จิงกำลังกดขี่ฉัน ถ้าฉันไม่รายงานเรื่องเธอ ใครจะรู้ว่าในอนาคตเธอจะไปกดขี่ใครอีก? คืนนั้นฉันแทบนอนไม่หลับเลย ฉันมาเฉพาะพระพักต์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการรายงานเรื่องหลี่จิง แต่ก็กลัวว่า พอเธอรู้เรื่องนี้เข้า เธอจะกดขี่ข้าพระองค์มากยิ่งขึ้น ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าควรผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปอย่างไร ขอพระองค์ทรงชี้แนะข้าพระองค์ด้วยเถิด”

หลังจากนั้น ฉันก็ได้พบกับพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “เจ้าต้องเข้าสู่จากด้านที่เป็นบวก จงกระตือรือร้นและไม่นิ่งเฉย  เจ้าต้องไม่หวั่นไหวเพราะผู้ใดหรือสิ่งใดในทุกสถานการณ์ และเจ้าต้องไม่ได้รับอิทธิพลจากคำพูดของผู้ใด  เจ้าต้องมีอุปนิสัยอันมั่นคง ไม่สำคัญว่าผู้คนจะพูดอะไร เจ้าต้องนำสิ่งที่เจ้ารู้ว่าเป็นความจริงไปปฏิบัติในทันที  เจ้าต้องมีวจนะของเราทำงานอยู่ในตัวเจ้าเสมอไม่ว่าเจ้าอาจจะกำลังเผชิญหน้ากับผู้ใด เจ้าต้องตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าที่มีต่อเราและแสดงให้เห็นการคำนึงถึงภาระของเรา  เจ้าต้องไม่เห็นด้วยกับผู้อื่นอย่างมืดบอดโดยปราศจากแนวคิดของตัวเจ้าเอง ในทางตรงกันข้าม เจ้าต้องมีความกล้าหาญที่จะยืนหยัดและคัดค้านสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นที่ไม่สอดคล้องกับความจริง  หากเจ้ารู้ชัดเจนว่ามีบางสิ่งผิดปกติ แต่ขาดความกล้าที่จะเปิดโปง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่ใช่บุคคลหนึ่งซึ่งปฏิบัติความจริง  เจ้าต้องการที่จะกล่าวบางสิ่งบางอย่าง แต่กลับไม่กล้าพูดออกมาตามตรง  ดังนั้นเจ้าจึงพูดจาอ้อมค้อม แล้วก็เปลี่ยนเรื่องเสีย ซาตานอยู่ในตัวเจ้า คอยดึงเจ้าไว้ เป็นเหตุให้เจ้าพูดไปโดยไม่เกิดผลใด และไร้ความสามารถที่จะมานะบากบั่นไปจนถึงที่สุดได้  เจ้ายังคงพกพาความเกรงกลัวไว้ในหัวใจของเจ้า และนี่ไม่ใช่เพราะหัวใจของเจ้ายังคงเต็มไปด้วยแนวคิดของซาตานหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 12)  ผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เรียนรู้ว่า พระเจ้าทรงรักผู้ที่ปกป้องงานของคริสตจักร เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่ละเมิดหลักธรรม และเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของคริสตจักร พวกเขาก็สามารถปฏิบัติความจริงเพื่อปกป้องงานของคริสตจักรได้ ในทางตรงกันข้าม พระเจ้าทรงรังเกียจผู้ที่หลับหูหลับตาคล้อยตามผู้อื่น และกระทำเพียงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองอย่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ พวกเขายังคงเพิกเฉยตอนที่เห็นว่างานของคริสตจักรกำลังได้รับความเสียหาย เมื่อฉันทบทวนพฤติกรรมของตัวเองในช่วงเวลานั้น ฉันก็ตระหนักได้ว่า แม้ว่าฉันจะรู้ดีว่าการที่หลี่จิงแอบกล่าวโทษผู้อื่นโดยพลการและโอ้อวดตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกควร แต่ฉันกลับกังวลว่าหากฉันพูดออกไปมากกว่านี้ ฉันจะล่วงเกินเธอเข้า ดังนั้น เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ฉันจึงลดความรุนแรงของปัญหาลงตอนที่ฉันพูดเรื่องนี้กับเธอ เพื่อรักษาชื่อเสียงและสถานะของตัวเอง หลี่จิงยืนกรานที่จะตีตราฉางจิงว่าเป็นคนทำชั่วและขับไล่เธอออกไป กล่าวโทษฉินเคินกับเซี่ยอวี่ว่ากีดขวางงานชำระให้สะอาด และปลดฉินเคิน ฉันรู้ว่าพฤติกรรมเหล่านี้ละเมิดหลักธรรม รู้ว่าเธอกำลังทำชั่วและไม่ยอมรับพระเจ้า แต่ฉันกลับกังวลว่า หากฉันเปิดโปงแก่นแท้ของสิ่งที่เธอทำไปตรงๆ เธอจะทำให้ชีวิตฉันต้องลำบาก และขับไล่ฉันโดยอ้างเหตุผลว่าฉันกีดกันและขัดขวางงานชำระให้สะอาดของคริสตจักร ดังนั้น ฉันจึงแค่เพียงให้คำแนะนำบางอย่างและกระตุ้นให้เธอเปลี่ยนพฤติกรรม โดยปล่อยให้เธอเดินหน้าทำชั่วอย่างอุกอาจต่อไป เพราะกังวลว่าฉันจะรายงานการกระทำของเธอ หลี่จิงจึงโดดเดี่ยวฉันและไม่ให้ฉันได้มีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงคนอื่น ฉันเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เธอกำลังพยายามปกปิดความประพฤติชั่วของตัวเอง ฉันควรจะก้าวออกมาเปิดโปงและรายงานเรื่องเธอ แต่ฉันกลับกลัวว่าจะล่วงเกินเธอ และไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะเขียนจดหมายรายงาน ฉันกำลังใช้ชีวิตอย่างต่ำช้า ฉันเป็นคนขลาดที่ไม่กล้าปฏิบัติความจริง ฉันไม่ได้คำนึงถึงงานของคริสตจักร หรือแสดงความห่วงใยใดๆ ต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตของพี่น้องชายหญิง ฉันไม่มีสำนึกของความยุติธรรมแม้แต่น้อย ทั้งยังเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจอย่างแท้จริง!

ขณะที่แสวงหาต่อไป ฉันก็ได้พบกับพระวจนะของพระเจ้าบทตอนเหล่านี้ที่ว่า “ความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งควรมีทั้งมโนธรรมและสำนึกเป็นส่วนประกอบ  สองสิ่งนี้คือรากฐานที่สำคัญที่สุด  คนประเภทใดที่ไม่มีมโนธรรมและไร้สำนึกตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ?  พูดโดยทั่วไปแล้ว พวกเขาก็คือคนที่ไร้ความเป็นมนุษย์ เป็นคนที่ด้อยความเป็นมนุษย์อย่างยิ่ง  เมื่อลงรายละเอียดมากขึ้น คนคนนี้มีลักษณะเช่นไรที่สำแดงให้เห็นว่าสูญเสียความเป็นมนุษย์?  ลองวิเคราะห์กันดูว่ามีลักษณะเฉพาะอันใดที่พบเห็นได้ในตัวผู้คนแบบนี้ และพวกเขาแสดงให้เห็นถึงการสำแดงสิ่งใดเป็นการเฉพาะ  (พวกเขาเห็นแก่ตัวและต่ำช้า)  ผู้คนที่เห็นแก่ตัวและต่ำช้าย่อมสุกเอาเผากินในการกระทำของพวกเขาและปลีกตัวห่างจากสิ่งใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเป็นการส่วนตัว  พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ได้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พวกเขาไม่มีภาระใจเกี่ยวกับ  การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาหรือเป็นพยานยืนยันแด่พระเจ้า และพวกเขาไม่มีสำนึกรับรู้แห่งความรับผิดชอบเลย… มีผู้คนบางคนที่ไม่รับผิดชอบใดๆ ไม่ว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ใดอยู่  พวกเขาไม่รายงานปัญหาที่พวกเขาพบต่อผู้บังคับบัญชาของพวกเขาโดยทันทีอีกด้วย  เมื่อพวกเขาเห็นผู้คนก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวน พวกเขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น  เมื่อพวกเขาเห็นคนชั่วทำความชั่ว พวกเขาไม่พยายามห้ามคนพวกนั้น  พวกเขาไม่ปกป้อง  ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือคำนึงถึง  หน้าที่และความรับผิดชอบของพวกเขาเลย  เมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน ผู้คนแบบนี้ไม่ทำงานจริงจังใดๆ พวกเขาเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนและลุ่มหลงในความสะดวกสบาย พวกเขาพูดและกระทำเพียงเพื่อความถือดี หน้าตา สถานะ และผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น และยินดีที่จะอุทิศเวลาและความพยายามของตนเพื่อสิ่งต่างๆ  ที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเท่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เมื่อมอบหัวใจของคนเราแก่พระเจ้า คนเราย่อมจะสามารถได้มาซึ่งความจริง)  “ธรรมชาติของซาตานนี่เองที่กำกับดูแลและครอบงำผู้คนจากภายในไปจนกว่าพวกเขาจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและเข้าใจความจริงแล้ว  สิ่งใดหรือที่ธรรมชาตินั้นพ่วงท้ายมาด้วยเป็นพิเศษ?  ตัวอย่างเช่น  เหตุใดพวกเจ้าจึงเห็นแก่ตัว?  เหตุใดเจ้าจึงปกป้องตำแหน่งของตัวเจ้าเอง?  เหตุใดเจ้าจึงมีความรู้สึกรุนแรงเช่นนั้น?  เหตุใดพวกเจ้าจึงชื่นชมสิ่งที่ไม่ชอบธรรมเหล่านั้น?  เหตุใดพวกเจ้าจึงชอบสิ่งชั่วร้ายพวกนั้น?  อะไรคือพื้นฐานของความชื่นชอบของพวกเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายดังกล่าว?  สิ่งเหล่านี้มาจากไหน?  เหตุใดเจ้าจึงมีความสุขยิ่งนักที่จะยอมรับสิ่งเหล่านี้?  ถึงตอนนี้พวกเจ้าล้วนได้มาเข้าใจว่าเหตุผลหลักเบื้องหลังสิ่งทั้งปวงนี้ก็คือว่า มีพิษของซาตานอยู่ภายในตัวมนุษย์  ดังนั้น อะไรคือพิษของซาตาน?  สามารถแสดงมันออกมาในทางใดได้บ้าง?  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าถามว่า ‘ผู้คนควรดำรงชีวิตอย่างไร?  ผู้คนควรดำรงชีวิตเพื่อสิ่งใด?’  ผู้คนก็จะตอบว่า ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’  วลีเดียวนี้แสดงถึงรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหา  ปรัชญาและตรรกะของซาตานได้กลายมาเป็นชีวิตของผู้คนไปแล้ว  ไม่ว่าผู้คนจะไล่ตามเสาะหาสิ่งใด พวกเขาก็ทำเช่นนั้นเพื่อตัวเอง—ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงดำรงชีวิตเพื่อตัวพวกเขาเองเท่านั้น  ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’—นี่คือปรัชญาชีวิตของมนุษย์ และมันยังเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย  คำพูดเหล่านี้ได้กลายเป็นธรรมชาติของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไปแล้ว และเป็นภาพเหมือนของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามโดยแท้  ธรรมชาติเยี่ยงซาตานนี้ได้กลายเป็นรากฐานสำหรับการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไปแล้ว  มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามดำรงชีวิตตามพิษของซาตานนี้มาเป็นเวลาหลายพันปีจวบจนปัจจุบัน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร)  ฉันได้ตระหนักว่าตัวเองใช้ชีวิตตามพิษของซาตาน อย่างเช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “ผู้คนที่มีไหวพริบนั้น เก่งในการปกป้องตัวเอง ด้วยการแค่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาเท่านั้น” “เจ้าหน้าที่เขตไม่อาจสั่งประชาชนได้ทุกอย่างเหมือนที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทำได้” และ “เมื่อคนยืนใต้ชายคาที่ต่ำ ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องก้มหัว” ฉันกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและหลอกลวงอย่างไม่น่าเชื่อ เอาแต่คำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเอง ขนาดตอนที่เห็นผู้นำเทียมเท็จทำชั่ว และสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของคริสตจักร ฉันก็ยังไม่กล้าพูดอะไรเลย ฉันสูญเสียมโนธรรมและเหตุผลในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และไม่ได้ดำเนินชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริงเลย ฉันนึกย้อนไปถึงตอนที่หลี่จิงขับไล่ฉางจิง ฉันรู้ว่าพฤติกรรมของฉางจิงไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นต้องถูกขับไล่ และการถูกขับไล่จะทำให้ฝ่ายวิญญาณของเธอต้องทนทุกข์ รวมถึงส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการเข้าสู่ชีวิตของเธอ แต่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนตัว ฉันจึงไม่ได้ห้ามหลี่จิงไม่ให้ขับไล่เธอโดยพลการ ฉันช่างเห็นแก่ตัวและขาดความเป็นมนุษย์เหลือเกิน! ตอนที่หลี่จิงปลดฉินเคิน ฉันก็กังวลว่าหากฉันล่วงเกินหลี่จิง ฉันอาจถูกถอดออกจากหน้าที่ของตัวเอง ฉันจึงไม่กล้ายึดมั่นหลักธรรมและหยุดความประพฤติชั่วนั้น ฉันไม่ได้เป็นผู้ลงมือกระทำผิดเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเอง แต่ฉันก็นิ่งเฉยขณะที่หลี่จิงลงมือทำชั่ว และปล่อยให้เธอขัดขวางและทำลายงานของคริสตจักร รวมถึงกดขี่และลงโทษพี่น้องหญิงของฉัน นั่นไม่เท่ากับว่าฉันยืนอยู่ข้างซาตาน และช่วยคนเลวทำความประพฤติเลวหรอกเหรอ? พอตระหนักได้แบบนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกเกลียดตัวเอง พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรมและมิอาจก้าวล่วงได้ พระองค์ทรงรังเกียจผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างต่ำช้า เอาแต่ปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง และไม่ปฏิบัติความจริง หากฉันไม่ลุกขึ้นมาเปิดโปงความประพฤติชั่วของหลี่จิงเลย และปล่อยให้เธอยังคงขัดขวางและทำชั่วในคริสตจักรต่อไป ฉันก็จะปกปิดความประพฤติชั่วของเธอ และจะถูกพระเจ้าทรงรังเกียจและดูหมิ่น ฉันได้พบกับพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “ในคริสตจักร จงตั้งมั่นในคำพยานที่เจ้ามีให้เราและค้ำชูความจริง  ถูกคือถูก ผิดคือผิด อย่าสับสนระหว่างขาวกับดำ  เจ้าจักต้องทำสงครามกับซาตานและต้องกำราบมันให้สิ้นซากเพื่อที่มันจะไม่มีวันผงาดขึ้นมาอีก  พวกเจ้าต้องมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามีเพื่อปกป้องคำพยานแห่งเรา  นี่จะเป็นเป้าหมายแห่งการกระทำของพวกเจ้า—จงอย่าลืมการนี้เสีย(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 41)  พระวจนะของพระเจ้ามอบเส้นทางแห่งการปฏิบัติให้กับฉัน เมื่อฉันสังเกตเห็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับหลักธรรม ฉันก็ควรละทิ้งผลประโยชน์ของตัวเอง และยึดมั่นหลักธรรมความจริงและปกป้องงานของคริสตจักร นี่คือความรับผิดชอบที่ฉันควรปฏิบัติในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และเป็นหลักธรรมแห่งการประพฤติปฏิบัติสำหรับผู้เชื่อทุกคน ฉันจะเอาแต่เป็นห่วงจุดหมายปลายทางในอนาคตกับชะตากรรมของตัวเอง แล้วใช้ชีวิตอย่างต่ำช้าเพียงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของส่วนตัวต่อไปไม่ได้ ฉันต้องปฏิบัติความจริงและปกป้องงานของคริสตจักร ฉันต้องลุกขึ้นมาเปิดโปงและรายงานความประพฤติชั่วของหลี่จิง

หลังจากนั้น ฉันก็คิดทบทวน ถึงเหตุผลที่ฉันเอาแต่กังวลว่า การรายงานเรื่องหลี่จิงจะส่งผลต่อจุดหมายปลายทางในอนาคตกับชะตากรรมของฉัน ฉันตระหนักได้ว่าฉันมีแนวคิดบางอย่างที่คลาดเคลื่อน ฉันคิดว่าเป็นเพราะฉันยังอยู่ในช่วงคิดทบทวนหลังจากถูกปลด หากฉันแจ้งปัญหากับผู้นำ ผู้คนอาจคิดว่าฉันไม่ได้ทำตัวอย่างที่ควรทำระหว่างคิดทบทวน ฉันคิดว่าฉันเป็นแค่เจ้าภาพ และฉันไม่มีฐานะหรือสถานะอะไร อีกทั้งคำพูดของฉันก็แทบไม่มีน้ำหนัก ฉันจึงไม่กล้าเผชิญหน้ากับหลี่จิงตอนที่เห็นว่าเธอขับไล่และปลดผู้คนโดยพลการ ฉันคิดว่าเพราะหลี่จิงเป็นผู้นำ หากฉันล่วงเกินเธอ เธออาจทำให้ชีวิตฉันต้องลำบากและฉันคงจะไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ ฉันยังคิดอีกด้วยว่า หากฉันถูกขับไล่ออกไป ฉันคงจะสูญเสียโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอดโดยสิ้นเชิง ฉันเชื่ออย่างผิดๆ ว่าชะตากรรมของฉันอยู่ในกำมือของหลี่จิง และไม่ว่าฉันจะสามารถทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปและบรรลุความรอดได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับเธอล้วนๆ ฉันไม่ได้เชื่อว่าพระนิเวศของพระเจ้าปกครองโดยพระเจ้าและความจริง แนวคิดประเภทนี้เป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้าและเป็นการเข้าใจพระองค์ผิด ชะตากรรมของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่มีมนุษย์คนใดกำหนดชะตากรรมฉันได้ นับประสาอะไรกับพวกผู้นำ ในอดีต ศัตรูของพระคริสต์ที่เผด็จการและกดขี่ ได้ทำชั่วและก่อการขัดขวางในคริสตจักร บางคนพยายามควบคุมคริสตจักร และพยายามสร้างอาณาจักรของตัวเองที่ไม่ขึ้นกับใคร แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็ถูกขับไล่ออกไป พระนิเวศของพระเจ้าปกครองโดยความจริงและพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่มีคนทำชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์คนไหนสามารถหาที่ยืนในคริสตจักรได้ พวกเขาทั้งหมดจะถูกทรงพระเจ้าเปิดโปงและกำจัดไปในที่สุด ต่อให้ฉันถูกกดขี่ ถูกลงโทษ หรือแม้แต่ถูกขับไล่ออกไปเพราะฉันเปิดโปงและรายงานเรื่องผู้นำเทียมเท็จ แต่นั่นก็แค่ชั่วคราวและไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่มีวันได้รับการช่วยให้รอดเลย ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของคริสตจักร ไม่ว่าฉันจะทำหน้าที่อะไร ไม่ว่าฉันจะลงมือกระทำผิดมาก่อนหรือเคยถูกปลดในอดีต หากฉันสังเกตเห็นผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์ทำชั่ว ขัดขวางงานของคริสตจักร หรือกดขี่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ฉันต้องลุกขึ้นมารายงานและเปิดโปงพฤติกรรมดังกล่าว นั่นคือความรับผิดชอบและภาระผูกพันของฉัน

ขณะที่ฉันกำลังคิดว่าจะเขียนอะไรในรายงาน ฉันก็บังเอิญได้พบกับเซี่ยอวี่ เธอบอกฉันด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า เธอเคยให้คำแนะนำแก่หลี่จิง หลังจากเห็นว่าเธอล้มเหลวในการทำตามหลักธรรมในงานชำระคริสตจักรให้สะอาด เธอบอกว่าหลี่จิงไม่ยอมรับคำแนะนำของเธอและปลดเธอออก เรื่องราวอันแสนเศร้าของเซี่ยอวี่ ทำให้ฉันเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า เมื่อผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ใช้อำนาจในคริสตจักร นั่นไม่เพียงแต่จะสร้างความเสียหายให้กับพี่น้องชายหญิงเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่การขัดขวางและการก่อกวนงานของคริสตจักรอีกด้วย หากฉันไม่เปิดโปงและรายงานหลี่จิงโดยเร็วที่สุด ก็รังแต่จะยิ่งทำให้งานคริสตจักรได้รับความเสียหายหนักขึ้นไปอีก ฉันตัดสินใจเขียนจดหมายเปิดโปงความประพฤติชั่วของหลี่จิงในคืนนั้นเลย และขอให้พี่น้องชายหญิงบางคนช่วยส่งต่อให้กับผู้นำระดับสูง คาดไม่ถึงว่าเมื่อกลับถึงบ้าน ฉันจะได้พบข้อความจากผู้นำระดับสูงที่เชิญฉันเข้าพบ ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงได้เปิดเส้นทางให้ฉันแล้ว เมื่อเราพบกัน ฉันก็แจกแจงความประพฤติชั่วทั้งหมดของหลี่จิงให้พวกเขารู้ พวกเขาพูดว่า เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาได้รับข้อความหลายฉบับที่รายงานเรื่องหลี่จิง และพวกเขาจะจัดการเรื่องนี้ตามหลักธรรมโดยเร็วที่สุดหลังจากตรวจสอบและตรวจยืนยันข้อกล่าวหา พอได้ยินแบบนี้ ฉันก็รู้สึกดีใจที่ในที่สุดฉันก็สามารถปฏิบัติความจริงได้สักเล็กน้อย และในที่สุดหัวใจของฉันก็เป็นอิสระจากการถูกกดขี่

ไม่กี่วันต่อมา ฉันได้รับข้อความจากผู้นำระดับสูงว่า หลังจากการสืบค้น พบว่าหลี่จิงเป็นผู้นำเทียมเท็จที่กำลังเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ ธรรมชาติของเรื่องนี้ถือว่าร้ายแรงมาก พวกเขาจึงเริ่มต้นด้วยการปลดเธอ หากเธอกลับใจไม่ได้ พวกเขาจะจัดการกับเธอในฐานะที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉันก็รู้สึกได้อย่างแท้จริงว่าพระคริสต์และความจริงปกครองพระนิเวศของพระเจ้า ไม่มีบุคคลใดที่มีอำนาจชี้ขาดในเรื่องต่างๆ ของคริสตจักร และไม่มีคนทำชั่วคนใดสามารถมีที่ยืนในพระนิเวศของพระเจ้าได้ ฉันยังตระหนักด้วยว่า มีเพียงการปฏิบัติความจริงและปกป้องงานของคริสตจักรเท่านั้น ที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 56. จุดเปลี่ยนของชีวิต

ถัดไป: 59. ความสำคัญของท่าทีที่ถูกต้องในหน้าที่

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger