32. จงยึดมั่นในความจริงมิใช่อารมณ์

วันหนึ่งในปี 2017 ฉันได้รับจดหมายจากผู้นำ บอกว่าคริสตจักรกำลังกวาดล้างผู้ปราศจากความเชื่อ และขอให้ฉันเขียนถึงพฤติกรรมของน้องชาย ฉันประหลาดใจจริงๆ และค่อนข้างกังวล พวกเขา อยากขับไล่น้องชายฉันเหรอ?  ไม่งั้นจะให้ฉันเขียนเรื่องเขาทำไม?  ฉันรู้ว่าถึงว่างเขาก็ไม่ได้อ่านพระวจนะ หรือเข้าชุมนุม เอาแต่ออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน ทำตามกระแสชั่ว และไม่ได้สนใจเรื่องความเชื่อเลย เขายังบอกให้ฉันออกไปโลกภายนอก ไม่ต้องมุ่งเน้นเรื่องศาสนามาก ฉันสามัคคีธรรมกับเขา แต่เขาไม่ฟัง ถึงกับรำคาญและบอกว่า “เลิกพูดสักที พี่เอาแต่พูดเรื่องนี้ ผมไม่สนใจเสียหน่อย!” แล้วเขาก็หนีไปนอน พี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมกับเขาหลายครั้ง แนะนำให้เขาอ่านพระวจนะ และไปชุมนุม แต่เขาก็ไม่ยอมรับเลย เขาบอกว่าการติดตามพระเจ้าน่าอึดอัด ต้องคอยหาเวลาไปชุมนุม ทีแรกเขามาคริสตจักรเพื่อเอาใจแม่ เลยต้องเข้าร่วมอย่างเสียไม่ได้ น้องชายฉันเป็นแบบนั้นเสมอ มันดูเหมือนเขาเป็นผู้ปราศจากความเชื่อจริงๆ และถ้าเขาถูกปลดไป มันก็สอดคล้องกับหลักธรรม แต่เราสนิทกันมาตลอด ตั้งแต่เด็ก เขามักจะเก็บของกินดีๆ ไว้ให้ฉัน ไม่ว่าได้เงินจากใครก็จะแบ่งฉันครึ่งหนึ่งเสมอ ครั้งหนึ่ง ฉันถูกคุณครูขังที่โรงเรียน และเขาก็โมโหจนร้องไห้ ในหมู่บ้านของเรา ไม่มีพี่น้องบ้านไหนสนิทกันเท่าเราแล้ว พอคิดแบบนี้ ฉันก็ทนเขียนปัญหาของเขาไม่ได้ ฉันไม่อยากทำลายสายสัมพันธ์ของเรา ถ้าฉันซื่อสัตย์เรื่องพฤติกรรมของเขา และสุดท้ายคริสตจักรขับไล่เขา น้องชายฉันคงไม่เหลือโอกาสในความรอดเลย แบบนั้นฉันจะไม่เป็นพี่ที่โหดร้ายและใจดำเหรอ?  ถ้าเกิดเขารู้ ว่าฉันเป็นคนเขียนเกี่ยวกับเขา แล้วไม่ยอมพูดกับฉันอีกเลยล่ะ?  ฉันเลยตัดสินใจเขียนในเชิงบวกมากขึ้น บอกว่าเขาอ่านพระวจนะอยู่บ้าง และถึงจะไม่เข้าชุมนุม เขาก็เชื่ออยู่ในหัวใจ แบบนั้นเขาคงมีทางหนีทีไล่อยู่บ้าง และถ้าเกิดผู้นำเห็นอย่างนั้น เธอคงจะสามัคคีธรรมกับเขาเพิ่มเติม เขาอาจจะได้โอกาสอยู่ในคริสตจักรต่อ แต่ถ้าฉันไม่ซื่อสัตย์เรื่องพฤติกรรมของน้องชาย นั่นคงเป็นการโกหก และปิดบังความจริง คงทำให้พี่น้องชายหญิงเข้าใจผิด และทำให้ความคืบหน้าในงานของคริสตจักรหยุดชะงัก ฝั่งหนึ่งคืองานของคริสตจักร ส่วนอีกฝั่งคือน้องชาย ฉันจะทำอะไรได้บ้าง?  ฉันไม่สบายใจ และไม่อาจสงบใจทำหน้าที่ได้จริงๆ ความคิดเรื่องการเขียนเรื่องน้องชาย ทำให้ในหัวของฉันว่างเปล่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเริ่มยังไง ยิ่งคิดเรื่องนี้ฉันยิ่งปั่นป่วน เลยอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ ว่า “พระเจ้า ข้าฯ อยากเป็นธรรมในการประเมินน้องชายตัวเอง แต่ตอนนี้ข้าฯ โดนอารมณ์ผูกมัด และไม่อาจเขียนได้ โปรดทรงนำให้ตอนเริ่มเขียนข้าฯ ไม่ถูกอารมณ์ควบคุม และทำตามพระวจนะได้ด้วยเถิด”

หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะที่ว่า “บรรดาผู้ที่ลากจูงลูกๆ และญาติพี่น้องที่ไม่เชื่อโดยสิ้นเชิงของตนมายังคริสตจักรล้วนเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างสุดขีด และพวกเขาเพียงแค่กำลังแสดงความเมตตาเท่านั้น  ผู้คนเหล่านี้มุ่งเน้นที่การมีความรักเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาเชื่อหรือไม่ และไม่คำนึงถึงว่านั่นจะเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่  บางคนนำภรรยาของตนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หรือลากจูงบิดามารดาของตนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และไม่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเห็นชอบกับการนี้หรือไม่ หรือจะทรงพระราชกิจในพวกเขาหรือไม่ พวกเขาก็ยังคงหลับหูหลับตา ‘รับเอาผู้คนที่มีความสามารถพิเศษ’ มาให้พระเจ้าอยู่ต่อไป  ประโยชน์อะไรที่อาจจะสามารถได้มาจากการหยิบยื่นความเมตตาให้แก่ผู้ไม่เชื่อทั้งหลายเหล่านี้?  แม้ว่าพวกเขา ผู้ซึ่งปราศจากการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พยายามดิ้นรนต่อสู้ที่จะติดตามพระเจ้า พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถถูกช่วยให้รอดดังเช่นที่คนเราอาจเชื่อกันได้  บรรดาผู้ที่สามารถได้รับความรอดนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่จะได้รับมาโดยง่ายดายเพียงนั้น  ผู้คนซึ่งยังไม่ได้ก้าวผ่านพระราชกิจและการทดสอบของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และยังไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์นั้น ไม่สามารถได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ได้โดยสิ้นเชิง  เพราะฉะนั้น จากชั่วขณะที่พวกเขาเริ่มติดตามพระเจ้าโดยเพียงในนาม ผู้คนเหล่านั้นก็ขาดการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว  ตามที่เห็นจากสภาพและสภาวะจริงของพวกเขานั้น พวกเขาแค่ไม่สามารถได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ได้  เช่นนั้นเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์ตัดสินพระทัยที่จะไม่ใช้พลังงานกับพวกเขามากนัก อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงจัดเตรียมความรู้แจ้งใดๆ หรือไม่ทรงนำพวกเขาไปในหนทางใดๆ พระองค์เพียงแค่ทรงปล่อยให้พวกเขาติดตามไปด้วยเท่านั้นเอง และในท้ายที่สุดจะทรงเปิดเผยบทอวสานของพวกเขา—การนี้ก็พอแล้ว(“พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  ฉันเรียนรู้จากพระวจนะ ว่าการที่อยากพูดเรื่องดีๆ เกี่ยวกับน้องชาย เพื่อให้เขาอยู่ที่นี่ต่อได้ และมอบโอกาสในความรอดให้เขา เป็นความคิดเพ้อฝันของฉันเอง พระวจนะบอกเราชัดเจน ว่าคนที่ไม่ติดตามพระเจ้าจริงๆ คนที่เชื่อแค่ในนาม ไม่อาจถูกช่วยให้รอดได้ พระเจ้าทรงช่วยคนที่รัก และยอมรับความจริงได้ มีเพียงคนประเภทนั้น ที่ได้รับงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้าใจและได้รับความจริง เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิต และถูกพระเจ้าช่วยให้รอดได้ในที่สุด แก่นแท้ของผู้ปราศจากความเชื่อนั้นไม่รัก แถมดูหมิ่นความจริง พวกเขาไม่มีวันยอมรับความจริง และไม่ว่าจะเชื่อมานานแค่ไหน มุมมอง ทัศนคติในชีวิต และคุณค่าของพวกเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยน พวกเขาแค่เป็นเหมือนผู้ไม่เชื่อ พระเจ้าไม่ทรงยอมรับ และพวกเขาจะไม่มีวันได้รับการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาติดตามได้จนถึงปลายทาง แต่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย และไม่อาจถูกช่วยให้รอด พอนึกถึงน้องชายฉันแล้ว เขาไม่รักความจริง ทั้งยังดูหมิ่น เขามักจะสังสรรค์กับเหล่าผู้ไม่เชื่อ ไม่อ่านพระวจนะ ไม่เข้าชุมนุม แถมยังไม่อยากทำหน้าที่ เพราะคิดว่าทำไปก็ไม่ได้รับอะไร เขามักจะบ่นว่าชีวิตแห่งความเชื่อน่าเบื่อ จะเชื่อไม่เชื่อก็เหมือนกัน เขาไม่รับฟังสามัคคีธรรมของใครเลย สามัคคีธรรมมากไปเขาก็รำคาญ จากพฤติกรรมแล้ว เขาเป็นผู้เชื่อแค่ในนาม เป็นผู้ปราศจากความเชื่อ และพระเจ้าก็คงไม่ยอมรับเขาเลย เขาไม่เคยได้รับงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือเข้าใจความจริงเลย ไม่ว่าฉันจะพรรณาถึงเขาดีแค่ไหน ให้เขาได้อยู่ในคริสตจักรต่อ เขาก็ไม่มีวันถูกช่วยให้รอด ในเมื่อ ฉันตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ ถ้าฉันถูกอารมณ์ครอบงำ และปกป้องเขาเพื่อให้เขาได้อยู่ในคริสตจักร นั่นจะไม่เป็นการต่อต้านพระเจ้าเหรอ?  ถ้าฉันไม่เขียนประเมินอย่างเป็นธรรมและถูกต้องตามข้อเท็จจริง แต่กลับทำให้คนอื่นเข้าใจผิด แล้วคนที่ควรถูกปลด ไม่ได้ถูกปลดโดยทันการณ์ นั่นจะไม่ขัดขวางงานของคริสตจักรเหรอ?  ฉันรู้ว่าฉันต้องปล่อยวางความรู้สึก ทำตามหลักธรรม เขียนเรื่องน้องชายอย่างถูกต้อง ถึงจะสอดคล้องกับน้ำพระทัย หลังจากเขียนถึงพฤติกรรมของน้อง ฉันก็รู้สึกโล่งอก และในที่สุด คริสตจักรปลดเขาออก ฉันก็ยอมรับผลนั้นได้ด้วยความสงบใจ การให้ความรู้แจ้งและการนำของพระวจนะ ทำให้ฉันไม่คุ้มกันน้องชายด้วยอารมณ์ แต่ประเมินเขาได้อย่างเป็นธรรมและเป็นกลาง ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ค่ะ

แล้วเดือนกรกฎาคมปี 2021 ผู้นำคริสตจักรก็ขอให้ฉันประเมินแม่ ฉันคิดว่า ช่วงนี้ท่านไม่ได้แบ่งปันข่าวประเสริฐตามหลักธรรม และเกือบทำให้คริสตจักรตกอยู่ในอันตราย เวลาคนอื่นชี้ให้เห็นถึงปัญหา ท่านก็ไม่ยอมรับ ทะเลาะเรื่องถูกผิดไม่จบสิ้น ซึ่งทำให้เหล่าพี่น้องอึดอัด มันไม่ใช่ครั้งสองครั้งแรก ที่เธอก่อปัญหาแบบนี้ ระหว่างชุมนุม ผู้นำขอให้พี่สาวอีกคนที่ไม่ใช่แม่อ่านพระวจนะ แม่ก็เริ่มพูดว่าผู้นำกดขี่ท่าน และเป็นผู้นำเทียมเท็จ พี่สาวคนหนึ่งเห็นแม่กำลังโวยวายในการชุมนุม จึงขอให้ท่านลดเสียงลง และตระหนักถึงสิ่งรอบข้าง แม่บอกว่าพี่สาวคนนั้นถากถางเรื่องถูกผิด ถ้าเธอทำอีกแม่คงจะไม่กลับมาชุมนุมแล้ว แม่มักจะทะเลาะในเรื่องเล็กน้อยแบบไม่จบไม่สิ้น และเป็นตัวปัญหาในการชุมนุม ท่านกลายเป็นคนที่ทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงักไปแล้ว คนอื่นๆ ได้สามัคคีธรรม และตัดแต่งแม่อยู่หลายครั้ง หวังว่าท่านจะเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองและกลับใจ แต่ท่านก็ไม่ยอมรับเลย ถึงกับบิดเบือนข้อเท็จจริง บอกว่าคนอื่นยึดแต่เรื่องเล็กๆ ที่ท่านพูดผิด แม่ไม่ยอมรับความจริงเลย หลักธรรมในเรื่องนี้ บอกว่าแม่ควรถูกส่งไปอยู่กลุ่มสองในการชุมนุม เพื่อไม่ให้แม่ทำให้ชีวิตคริสตจักรของเหล่าพี่น้อง กระทบและหยุดชะงักไปมากกว่านี้ ฉันรู้ว่า ฉันควรเขียนประเมินแม่ให้คริสตจักรโดยเร็วที่สุด แต่ฉันกลับนึกถึงว่า แม่ห่วงภาพลักษณ์ในสายตาคนอื่นแค่ไหน และอารมณ์ที่พร้อมระเบิด แม่มีแนวโน้มที่จะทะเลาะ และเมินเฉยใส่คนที่วิจารณ์ท่าน ถ้าแม่รู้ว่าฉันเป็นคนเขียนเรื่องท่าน ท่านจะรับได้ไหม?  ถ้าแม่รู้ว่าเป็นคนในครอบครัวที่เขียนถึงท่านแบบนั้น มันจะไม่ทำให้ท่านอับอายเหรอ?  ท่านอาจจะหดหู่ และล้มเลิกความเชื่อเลยก็ได้ ฉันไม่สบายใจเลยจริงๆ ชและเอาแต่คิดถึงทุกสิ่ง ที่แม่เคยแสดงความรักความห่วงใยต่อฉัน สมัยเด็ก ฉันเคยไข้ขึ้นสูงกลางดึก แม่แบกฉันขึ้นหลัง และพาไปหาหมอที่หมู่บ้านข้างๆ ฉันไข้ขึ้นสูงมาก จนหมอไม่อยากรับตัวไว้ คืนนั้นแม่เลยแบกฉันไปที่โรงพยาบาลในเมือง แม่มักจะช่วยจัดการให้ทุกอย่างในชีวิตฉันเข้าที่เข้าทาง ดูแลฉันทุกรายละเอียด แม่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูฉันมา ท่านแบ่งปันข่าวประเสริฐ และพาฉันมาเฉพาะพระพักตร์ แม่คอยสนับสนุนฉันในหน้าที่ สำหรับฉันแม่เป็นคนดีมาก ถ้าเปิดเผยพฤติกรรมผู้ปราศจากความเชื่อของแม่ไป ฉันจะไม่เป็นคนไร้มโนธรรม และทำให้ท่านเจ็บปวดเหรอ?  ถ้าคนอื่นรู้ว่าฉันเขียนประเมินแม่ด้วยตัวเอง เปิดโปงความเสื่อมทรามในชีวิตคริสตจักรของท่าน พวกเขาอาจวิจารณ์ว่าฉันใจดำกับแม่แท้ๆ ของตัวเอง บอกว่าฉันเป็นพวกเลือดเย็น เป็นลูกสาวตัวร้ายจอมเนรคุณ ฉันรู้ว่าแม่ไม่ใช่คนที่ยอมรับความจริง แต่ท่านก็ห่วงใยฉันมาตลอด และเหนือสิ่งอื่นใดคือเป็นแม่แท้ๆ ของฉัน ฉันจึงอยากเลี่ยงที่จะเขียนประเมินแม่ ผู้นำคอยกำชับฉัน แต่ฉันแค่ตอบไปส่งๆ ว่าจะทำ เมื่อก่อน เราเป็นครอบครัวของผู้เชื่อ มันเป็นความรู้สึกที่มีความสุขมาก เราร้องเพลงสรรเสริญ และอธิษฐานด้วยกัน อ่านพระวจนะ และพูดถึงความรู้สึก บางครั้ง ความทรงจำเหล่านั้นก็จะผุดขึ้นมาในความคิด แต่น้องชายฉันถูกปลดไปแล้ว ส่วนแม่ก็กำลังจะถูกย้ายไปกลุ่มสอง ฉันทุกข์ใจและไม่รู้จะเผชิญสถานการณ์นั้นยังไงจริงๆ ฉันไล่ตามแบบไม่มีความเชื่อ และไม่มีแรงขับเคลื่อนในหน้าที่เลย ฉันไม่รู้สึกถึงภาระที่จะแสวงหาเพื่อช่วยปัญหาของคนอื่น ฉันชุมนุมไปแบบส่งๆ ใจลอย และสามัคคีธรรมอะไรไม่ได้เลย ฉันแค่ทำทุกวันให้ผ่านไปแบบมั่วๆ และทุกข์มาก ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ดี จึงมาเฉพาะพระพักตร์ และอธิษฐาน ขอพระองค์ทรงนำฉันออกจากความคิดลบ ฉันจะได้ไม่ถูกอารมณ์ฉุดรั้ง

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะสองบทตอนที่ว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ประเด็นปัญหาอะไรหรือที่มีความสัมพันธ์กับภาวะอารมณ์?  อันดับหนึ่งเลยก็คือวิธีที่เจ้าประเมินค่าครอบครัวของเจ้าเอง วิธีที่เจ้ามีปฏิกิริยาต่อสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำ  ‘สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำ’ หมายรวมถึงในยามที่พวกเขารบกวนและขัดจังหวะงานของคริสตจักร ในยามที่พวกเขาแสดงการตัดสินเกี่ยวกับผู้คนลับหลังผู้คนเหล่านั้น ในยามที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายของพวกผู้ปราศจากความเชื่อ และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  เจ้าสามารถวางใจเป็นกลางในสิ่งทั้งหลายที่ครอบครัวของเจ้าทำได้หรือไม่?  หากเจ้าถูกเอ่ยขอให้เขียนประเมินครอบครัวของเจ้า เจ้าจะทำเช่นนั้นตามข้อเท็จจริงและอย่างเป็นธรรม โดยละวางภาวะอารมณ์ของตัวเจ้าเองลงไว้ก่อนหรือไม่?  การนี้เกี่ยวพันกับการที่ว่าเจ้าควรเผชิญหน้าสมาชิกในครอบครัวอย่างไร  แล้วเจ้ามีอารมณ์อ่อนไหวต่อบรรดาผู้ที่เจ้าเป็นมิตรด้วยหรือผู้ที่เคยช่วยเหลือเจ้าก่อนหน้านี้หรือไม่?  เจ้าจะทำตามข้อเท็จจริง วางใจเป็นกลาง และเที่ยงตรงเกี่ยวกับการกระทำและพฤติกรรมของพวกเขาหรือไม่?  เมื่อเจ้าได้ค้นพบว่าพวกเขาก่อกวนและขัดจังหวะงานของคริสตจักร เจ้าจะรายงานหรือเปิดโปงพวกเขาในทันทีหรือไม่?(การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (2))  “สมมุติตัวอย่างเช่น ญาติหรือบิดามารดาของเจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า และเพราะการทำชั่ว การแทรกแซง หรือการไม่ยอมรับความจริงใดๆ พวกเขาจึงถูกขับออกไป  เจ้าไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด และรู้สึกเสียใจอย่างที่สุด  ดังนั้นเจ้าควรอธิษฐานต่อพระเจ้าและแสวงหาความจริง แล้วจากนั้นจึงประเมินว่าญาติเหล่านี้เป็นผู้คนประเภทใดตามพระวจนะของพระเจ้า  หากเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง เจ้าก็จะสามารถนิยามพวกเขาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และด้วยเหตุนั้นก็จะมองเห็นว่าพระเจ้าไม่เคยผิดพลาด ว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม—ซึ่งในกรณีนี้เจ้าย่อมจะไม่มีเรื่องให้พร่ำบ่น และสามารถเชื่อฟังการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และจะไม่พยายามปกป้องญาติหรือบิดามารดาของเจ้า…ด้วยเหตุนั้น หากผู้คนจะสัมฤทธิ์การเข้ากันได้กับพระเจ้า ก่อนอื่นทรรศนะทั้งปวงของพวกเขาในเรื่องทั้งหลายต้องสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาต้องสามารถมองดูผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้า และยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และพวกเขาต้องสามารถละวางมโนคติดั้งเดิมอันหลงผิดของมนุษย์  เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญหน้ากับผู้คนหรือเรื่องอันใด เจ้าก็จะสามารถธำรงรักษาทรรศนะและมุมมองเดียวกันกับพระเจ้า และทรรศนะและมุมมองของเจ้าก็จะลงรอยกับความจริง  และเมื่อการณ์เป็นเช่นนี้ ทรรศนะของเจ้าและหนทางที่เจ้าเข้าหาผู้คนก็จะไม่เป็นปรปักษ์กับพระเจ้า และเจ้าจะสามารถเชื่อฟังพระเจ้า และเข้ากันได้กับพระเจ้า  ผู้คนเช่นนี้จะไม่มีวันสามารถต้านทานพระเจ้าได้อีก พวกเขาคือผู้คนที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะรับไว้โดยแท้(“วิธีหยั่งรู้ธรรมชาติและธาตุแท้ของเปาโล” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะแสดงให้ฉันเห็น ว่าเราไม่อาจมองดูผู้คนหรือสิ่งต่างๆ จากมุมมองทางอารมณ์และเนื้อหนังได้ เราต้องแยกแยะได้อย่างชัดเจน ถึงธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกเขา ตามพระวจนะและความจริง เมื่อเรามองดูผู้คนในทางนี้ ก็จะไม่ถูกความรักใคร่ครอบงำ ฉันมักจะประเมินสิ่งต่างๆ จากมุมมองทางอารมณ์ คิดว่าท่านเป็นแม่ของฉัน ท่านรักและห่วงใยเอาใจใส่ฉัน ฉันจึงไม่อาจหยิบปากกามาเขียนประเมินได้ แต่พระเจ้าตรัสว่า เราต้องแยกแยะผู้คนตามธรรมชาติและแก่นแท้ และการมองเห็นสิ่งเหล่านั้นอย่างชัดเจน เป็นทางเดียวที่จะนำหลักธรรมมาใช้ได้อย่างเป็นธรรม และไม่ถูกอารมณ์ควบคุม แล้วจริงๆ แม่ฉันเป็นคนประเภทไหนกันแน่?  ที่จริงในชีวิตประจำวัน ท่านค่อนข้างกระตือรือร้นและใส่ใจ แต่นั่นก็แค่แปลว่าท่านมีหัวใจที่อบอุ่น แม่ดูแลฉันดีมาก ซึ่งนั่นแปลว่าท่านมีความรับผิดชอบในฐานะแม่ แต่โดยธรรมชาติแล้วท่านโอหัง ปกป้องความมีหน้ามีตา และไม่ยอมรับความจริงเลย ท่านจะกลายเป็นคนอคติ และต่อต้านใครก็ตาม ที่ชี้ถึงปัญหาหรือวิจารณ์ท่าน และจะโกรธเคืองเรื่องนั้น ถ้าเป็นเรื่องแย่ ท่านก็จะทะเลาะกับพวกเขาทันที และต่อต้านคนที่เปิดโปงท่าน ซึ่งทำให้คนอื่นๆ อึดอัด จากพฤติกรรมของแม่แล้ว ถ้าท่านยังชุมนุมกับพี่น้องชายหญิงต่อไป ท่านต้องทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงัก และฉุดรั้งการเข้าสู่ชีวิตของคนอื่นแน่ ถ้าแม่ถูกย้ายไปอยู่กลุ่มสองตามหลักธรรม ทุกคนคงได้มีการชุมนุมที่เหมาะสม และการจัดเตรียมนั้น คงเป็นการเตือนท่านด้วย ถ้าท่านทบทวนและเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองจริงๆ ก็คงดีต่อชีวิตของท่าน แต่ถ้าท่านต่อต้าน ไม่ยอมรับ หรือถึงกับเลิกเชื่อ ท่านก็คงถูกเปิดโปงและขับออก แล้วฉันก็จะได้เห็นธรรมชาติ และแก่นแท้ของท่านชัดเจนขึ้น ว่าท่านเป็นข้าวสาลีหรือข้าวละมาน ว่าท่านควรอยู่ต่อไปหรือไม่ ถึงจุดนี้ ฉันก็ได้เข้าใจน้ำพระทัย พระเจ้าทรงสร้างสถานการณ์นี้ เพื่อช่วยให้ฉันแยกแยะได้ เรียนรู้ที่จะมองธรรมชาติ และแก่นแท้ของคนตามพระวจนะ ให้ฉันละวางอารมณ์ในการกระทำ และปฏิบัติต่อผู้คนตามหลักธรรมได้

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะอีกบทตอนที่ว่า “ใครคือซาตาน ใครคือปีศาจ และใครคือศัตรูของพระเจ้าหากไม่ใช่บรรดาผู้ต้านทานซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้า?  พวกเขามิใช่ผู้คนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าหรอกหรือ?  พวกเขามิใช่บรรดาผู้ที่อ้างว่ามีความเชื่อทว่ายังเป็นผู้ขาดพร่องความจริงหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ใช่บรรดาผู้ที่เพียงแค่พยายามให้ได้มาซึ่งพรในขณะที่ไร้ความสามารถที่จะเป็นพยานให้พระเจ้าได้หรอกหรือ?  เจ้ายังคงอยู่ร่วมกันกับปีศาจเหล่านั้นวันนี้ และแบกรับจิตสำนึกและความรักต่อพวกมัน แต่ในกรณีนี้ เจ้ามิได้กำลังหยิบยื่นเจตนาที่ดีต่อซาตานหรอกหรือ?  เจ้ามิได้อยู่ร่วมขบวนการเดียวกับพวกปีศาจหรอกหรือ?  หากผู้คนทุกวันนี้ยังไร้ความสามารถที่จะแยกแยะระหว่างความดีและความชั่วได้ และยังคงหลับหูหลับตารักและเมตตาต่อไปโดยไม่มีเจตนาใดๆ ที่จะแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือไม่ว่าจะหนทางใดก็ไม่มีความสามารถที่จะรับเจตนารมณ์ของพระเจ้าไว้เสมือนเป็นของตนเองได้ เช่นนั้นแล้ว วาระสุดท้ายของพวกเขาจะล้วนน่าอนาถยิ่งขึ้นไปอีก ผู้ใดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าที่เป็นมนุษย์ก็คือศัตรูของพระเจ้า  หากเจ้าสามารถแบกรับจิตสำนึกและความรักต่อศัตรูได้ เจ้ามิได้ขาดสำนึกรับรู้แห่งความชอบธรรมหรอกหรือ?  หากเจ้าสามารถเข้ากันได้กับพวกเหล่านั้นที่เรารังเกียจและกับพวกที่เราไม่เห็นด้วย และยังคงแบกรับความรักหรือความรู้สึกส่วนตัวต่อพวกเขาอยู่ เช่นนั้นแล้ว เจ้ามิได้ไม่เชื่อฟังหรอกหรือ?  เจ้ามิได้กำลังต้านทานพระเจ้าโดยเจตนาหรอกหรือ?  บุคคลเช่นนั้นถือครองความจริงกระนั้นหรือ?  หากผู้คนแบกรับจิตสำนึกต่อเหล่าศัตรู มีความรักให้ปีศาจ และปรานีต่อซาตาน เช่นนั้นแล้ว พวกเขามิได้กำลังทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงักโดยเจตนาหรอกหรือ?(“พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  พระวจนะเปิดเผยสภาวะของฉันได้ถูกต้อง ฉันรู้ว่าแม่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่ก็ไม่ยอมรับความจริง และเวลาคนอื่นพยายามช่วยท่าน ตัดแต่งและจัดการท่าน ท่านก็รับสิ่งนั้นจากพระเจ้าไม่ได้ แม่มักโกรธเคืองในเรื่องต่างๆ และทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงัก ทำตัวเป็นลูกสมุนของซาตาน แต่ฉันไม่อาจยืนหยัดและเปิดโปงท่านได้ เอาแต่คุ้มกันท่าน ฉันคิดว่าการมีมโนธรรม คือการไม่เปิดโปงหรือเขียนประเมินแม่ แต่ที่จริงมันคือการรัก และมีมโนธรรมกับซาตาน ไม่คำนึงถึงงานของพระนิเวศ หรือผลประโยชน์ของพี่น้องชายหญิงสักนิด ฉันเข้าข้างซาตาน และพูดออกตัวแทนซาตาน นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าเรียกว่า “กำลังต้านทานพระเจ้าโดยเจตนา” เหรอ?  ฉันไม่รู้ถูกผิดและความรักของฉันไร้หลักธรรม มันเป็นความรักที่สับสน ฉันคุ้มกันแม่โดยสมบูรณ์ ให้ท่านทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงักต่อไป ฉันมีส่วนในความชั่วของท่าน ฉันทำร้ายทั้งตัวเองและคนอื่น ฉันถูกความรักใคร่ทำให้ตามืดบอด ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา ผู้นำกำชับให้ฉันเขียนประเมินอยู่หลายครั้ง แต่ฉันกลับผัดมันออกไป และทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า พอตระหนักได้ ฉันก็รู้สึกผิดจริงๆ ฉันสงสัยว่า ในสถานการณ์แบบนั้น ทำไมถึงอดไม่ได้ที่จะถูกอารมณ์ฉุดรั้ง อะไรคือปัญหาจริงในเรื่องนั้นกันแน่?  ฉันมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์และแสวงหา ขอพระองค์ทรงนำ ให้ฉันพบเส้นทางละทิ้งพันธนาการแห่งอารมณ์

หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “พระวจนะของพระเจ้าเอ่ยขอให้ผู้คนปฏิบัติต่อผู้อื่นโดยหลักธรรมใดหรือ?  จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และจงเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง กล่าวคือ นี่คือหลักธรรมที่ควรได้รับการยึดติด  พระเจ้าทรงรักบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและมีความสามารถที่จะติดตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้  เหล่านี้ยังเป็นผู้คนที่พวกเราควรรักด้วยเช่นกัน  พวกที่ไม่มีความสามารถที่จะติดตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้ที่เกลียดชังพระเจ้า และกบฏต่อพระเจ้า—ผู้คนเหล่านี้ถูกพระเจ้าทรงดูหมิ่น และพวกเราควรดูหมิ่นพวกเขาเช่นกัน  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอต่อมนุษย์…หากบุคคลผู้หนึ่งถูกพระเจ้าสาปแช่ง แต่พวกเขาเป็นบิดามารดาหรือญาติของเจ้า และเท่าที่เจ้าสามารถบอกได้ พวกเขาก็ไม่ใช่คนทำชั่ว และปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี เช่นนั้นแล้วเจ้าอาจพบว่าตนเองไม่สามารถเกลียดชังบุคคลผู้นั้น และสัมพันธภาพของเจ้ากับพวกเขาอาจจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  การได้ฟังว่าพระเจ้าทรงดูหมิ่นคนเหล่านี้ย่อมจะทำให้เจ้าลำบากใจ และเจ้าย่อมจะไม่สามารถเกลียดชังพวกเขา  เจ้าถูกพันธนาการไว้ด้วยภาวะอารมณ์เสมอ และเจ้าไม่สามารถปล่อยวางพวกเขา  สิ่งใดคือสาเหตุของการนี้?  นี่เกิดขึ้นเพราะเจ้าให้ค่าแก่ภาวะอารมณ์มากเกินไป และนั่นขัดขวางเจ้าจากการปฏิบัติความจริงหรือค้ำจุนหลักธรรม  บุคคลผู้นั้นดีต่อเจ้าและไม่เคยทำร้ายเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถบังคับตนเองให้เกลียดชังพวกเขาได้  เจ้าจะสามารถเกลียดชังพวกเขาได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาทำร้ายเจ้าเท่านั้น  ความเกลียดชังนั้นจะเป็นไปตามหลักธรรมแห่งความจริงหรือไม่?  นอกจากนี้ เจ้ายังถูกพันธนาการด้วยมโนคติอันหลงผิดแบบเดิมๆ อีกด้วย คิดไปว่าพวกเขาคือบิดามารดาหรือญาติ ดังนั้นหากเจ้าเกลียดชังพวกเขา เจ้าก็จะถูกสังคมสบประมาทและด่าทอ ถูกกล่าวโทษว่าอกตัญญู ไม่มีมโนธรรม และไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ  เจ้าคิดไปว่าเจ้าจะทนทุกข์กับการกล่าวโทษและการลงโทษจากสวรรค์  ต่อให้เจ้าต้องการเกลียดชังพวกเขา มโนธรรมของเจ้าก็จะไม่ยอมให้เจ้าทำ  เหตุใดมโนธรรมของเจ้าจึงทำหน้าที่ในหนทางเช่นนี้?  นี่เป็นวิธีคิดที่บิดามารดาของเจ้าสอนเจ้ามา สิ่งที่วัฒนธรรมทางสังคมปลูกฝังไว้ในตัวเจ้าและถ่ายทอดให้แก่เจ้า  สิ่งนี้หยั่งรากลึกมากในหัวใจของเจ้า ทำให้เจ้าหลงเชื่ออย่างผิดๆ ว่านั่นคือสิ่งที่เป็นบวก เป็นบางสิ่งที่เจ้าสืบทอดจากบรรพบุรุษของเจ้าและเป็นสิ่งที่ดีเสมอ  เจ้าเรียนรู้สิ่งนี้เป็นอันดับแรก ซึ่งยังคงมีอำนาจครอบงำ สร้างสิ่งกีดขวางและการหยุดชะงักครั้งใหญ่ในความเชื่อและการยอมรับความจริงของเจ้า ทิ้งให้เจ้าไม่สามารถปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และไม่สามารถรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก เกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียด  เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าชีวิตของเจ้ามาจากพระเจ้า ไม่ได้มาจากบิดามารดาของเจ้า และเจ้าก็ได้เห็นแล้วว่าบิดามารดาของเจ้าไม่เพียงไม่เชื่อในพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังต้านทานพระเจ้าอีกด้วย พระเจ้าทรงเกลียดชังพวกเขา และเจ้าก็ควรนบนอบพระเจ้า ยืนข้างพระองค์ แต่เจ้าก็ไม่สามารถบังคับตนเองให้เกลียดชังพวกเขา แม้ว่าเจ้าต้องการที่จะทำเช่นนั้นก็ตาม  เจ้าไม่สามารถผ่านจุดวิกฤตนั้นไปได้ เจ้าไม่สามารถแข็งใจทำได้ และเจ้าไม่สามารถปฏิบัติความจริง  สิ่งใดคือต้นเหตุของการนี้?  ซาตานใช้วัฒนธรรมดั้งเดิมและมโนคติอันหลงผิดทางด้านศีลธรรมมาพันธนาการความคิดของเจ้า จิตใจของเจ้า และหัวใจของเจ้า ทิ้งให้เจ้าไม่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้า เจ้าถูกสิ่งเหล่านี้ที่เป็นของซาตานครอบงำ และถูกทำให้ไม่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้า  แม้ในเวลาที่เจ้าต้องการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนในตัวเจ้า และทำให้เจ้าต่อต้านความจริงและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และทำให้เจ้าไร้พลังที่จะปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากแอกแห่งวัฒนธรรมดั้งเดิม  หลังจากดิ้นรนต่อสู้มาระยะหนึ่ง เจ้าก็หันไปหาการประนีประนอม นั่นคือ เจ้าพอใจที่จะเลือกเชื่อว่ามโนคติอันหลงผิดแบบเดิมๆ ทางด้านศีลธรรมนั้นถูกต้องและตรงกับความจริง ดังนั้นเจ้าจึงปฏิเสธหรือละทิ้งพระวจนะของพระเจ้า  เจ้าไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นความจริง และเจ้าไม่เห็นความสำคัญของการได้รับการช่วยให้รอด รู้สึกอยู่ในหัวใจของเจ้าว่าเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เจ้ายังคงต้องพึ่งพาคนเหล่านี้เพื่ออยู่รอด  เมื่อไม่สามารถสู้ทนการกล่าวโทษของสังคมได้ เจ้าจึงเลือกที่จะยอมทิ้งความจริงและพระวจนะของพระเจ้าเสีย ปล่อยให้ตนเองจมอยู่กับมโนคติดั้งเดิมอันหลงผิดทางด้านศีลธรรมและอิทธิพลของซาตาน เลือกที่จะล่วงเกินพระเจ้าและไม่ปฏิบัติความจริงแทน  มนุษย์ไม่น่าเวทนาหรอกหรือ?  เขาจำเป็นต้องได้รับความรอดจากพระเจ้ามิใช่หรือ?(“เจ้าจะสามารถรู้จักตัวเองได้ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของเจ้าเท่านั้น” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  ฉันได้เห็นจากพระวจนะ ว่าพระเจ้าพึงให้เรารักในสิ่งที่ทรงรัก และเกลียดสิ่งที่ทรงเกลียด องค์พระเยซูเจ้าก็ตรัสไว้ด้วยว่า “ใครเป็นมารดาของเรา?  ใครเป็นพี่น้องของเรา?…เพราะว่าใครก็ตามที่ทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา(มัทธิว 12:48, 50)  พระเจ้าทรงรักคนที่ไล่ตาม และยอมรับความจริงได้ มีเพียงพวกเขาที่เป็นพี่น้องชายหญิง เป็นคนที่ฉันควรรัก และช่วยเหลือด้วยความรัก คนที่ดูหมิ่นและไม่เคยปฏิบัติความจริง ล้วนเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ ไม่ใช่พี่น้องชายหญิง ต่อให้เป็นคนในครอบครัว เราก็ควรเห็นและเปิดโปงพวกเขาตามหลักธรรมแห่งความจริง นั่นไม่ได้แปลว่าเราอกตัญญู และไม่ห่วงใยพ่อแม่ แต่แปลว่าเราควรปฏิบัติกับพวกท่านอย่างเป็นธรรมและมีเหตุผล ตามธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกท่าน แต่คำว่า “เลือดข้นกว่าน้ำ” และ “มนุษย์มิใช่ไร้ชีวิตจิตใจ เขาจะสามารถเป็นอิสระจากภาวะอารมณ์ได้อย่างไรกัน?” คือน้ำพิษเยี่ยงซาตานที่ฉันจมจ่อมอยู่ ฉันไม่ได้เป็นคนมีหลักธรรม แต่กลับปกป้องและเข้าข้างครอบครัว ตามความรักใคร่ทางเนื้อหนัง ตอนที่เขียนเรื่องน้องชาย ฉันรู้ว่าเขาแสดงออกว่าเป็นผู้ไม่เชื่อไปแล้ว และควรถูกปลดจากคริสตจักร แต่ฉันกลับถูกความรักใคร่ครอบงำ และไม่อยากเขียนตามความจริง ฉันอยากปกปิดข้อเท็จจริง และหลอกลวงคนอื่น ตอนที่ผู้นำให้ฉันเขียนเกี่ยวกับแม่ ฉันรู้ว่าท่านทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงัก และฉันควรเขียนประเมินอย่างถูกต้องและเป็นกลาง เพื่อช่วยให้เหล่าผู้นำ เปิดโปงและจำกัดท่าน แต่พอคิดว่าท่านเป็นแม่ ที่ดีกับฉันแค่ไหน ฉันก็กลัวที่จะเขียนแบบนั้น ฉันมักรู้สึกผิด และไม่อาจใช้ชีวิตอยู่กับมันได้ ฉันกลัวคนอื่นจะคิดว่าฉันใจร้ายและเลือดเย็นด้วย ด้วยความวิตก กังวล ฉันจึงคอยผัดมันออกไป น้ำพิษเยี่ยงซาตานเหล่านี้ ฝังรากลึกในใจฉัน ฉันจึงติดอยู่กับความรักใคร่ ฉันไม่ได้มีหลักธรรมกับคนอื่น หรือค้ำจุนงานของคริสตจักรเลย ฉันเข้าข้างซาตาน เป็นกบฏและต่อต้านพระเจ้า แม่และน้องชายฉันเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ การเปิดโปงพฤติกรรมของพวกเขาเป็นสิ่งชอบธรรม มันคือการปกป้องงานของคริสตจักร และทำตามข้อพึงประสงค์ มันคือการรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก เกลียดสิ่งที่ทรงเกลียด และเป็นคำพยานแห่งการปฏิบัติความจริง แต่ฉันกลับมองการปฏิบัติความจริงและเปิดโปงซาตานเป็นเรื่องเชิงลบ คิดว่านั่นคือการใจดำ ไม่มีมโนธรรม และอกตัญญู ฉันรู้สึกสับสนมาก ฉันสับสนว่าอะไรถูกหรือผิด ดีหรือเลว ฉันถึงขั้นถูกความรู้สึกบีบคั้น และรู้สึกแย่ ไม่รู้สึกว่ากำลังทำหน้าที่เลย ถ้าพระเจ้าไม่ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำได้ทันการณ์ ความรักใคร่คงทำลายฉันไป การใช้ชีวิตในอารมณ์ เกือบเป็นจุดจบของฉันแล้ว มันอันตรายมาก!

ต่อมาฉันได้ทบทวน ว่ามีความเข้าใจผิดอีกอย่าง ในการอึกอักเขียนประเมินแม่ ฉันรู้สึกเหมือน ท่านเลี้ยงดูฉันมาตลอด การพูดเปิดโปงท่าน สร้างความไม่สบายใจแก่มโนธรรมของฉัน ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะที่เปลี่ยนมุมมองฉันในเรื่องนี้ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “พระเจ้าได้ทรงสร้างโลกนี้และทรงนำพามนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่พระองค์ประทานชีวิตให้เข้ามาในโลก  ต่อมา มนุษย์ก็มามีพ่อแม่และญาติพี่น้อง และไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป  ตั้งแต่ครั้งแรกที่มนุษย์เปิดตามองโลกแห่งวัตถุ เขาก็ได้ถูกลิขิตชะตาไว้แล้วให้ดำรงอยู่ภายในการทรงลิขิตของพระเจ้า  ลมปราณจากพระเจ้าสนับสนุนสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดทุกชีวิต ตลอดช่วงวัยเจริญเติบโตไปจนถึงวัยผู้ใหญ่  ในช่วงระหว่างกระบวนการนี้ ไม่มีใครรู้สึกว่ามนุษย์กำลังเติบโตขึ้นภายใต้การดูแลของพระเจ้า พวกเขากลับเชื่อว่ามนุษย์กำลังเติบโตภายใต้การดูแลอันเปี่ยมรักของบิดามารดาของเขา และสัญชาตญาณชีวิตของเขานั่นเองที่กำกับการเติบโตของเขา  นี่เป็นเพราะว่ามนุษย์ไม่รู้ว่าผู้ใดประทานชีวิตให้เขา หรือรู้ว่าตัวเขามาจากไหน นับประสาอะไรที่จะรู้หนทางที่สัญชาตญาณชีวิตสร้างปาฏิหาริย์ เขารู้เพียงว่าอาหารคือพื้นฐานที่ช่วยให้ชีวิตดำเนินต่อไป ความพากเพียรบากบั่นคือแหล่งกำเนิดแห่งการดำรงอยู่ของเขา และความเชื่อต่างๆ ในจิตใจของเขาคือทุนที่เขาต้องอาศัยพึ่งพาเพื่อความอยู่รอด  เกี่ยวกับพระคุณและการจัดเตรียมของพระเจ้านั้น มนุษย์คือไม่รับรู้อันใดเลยอย่างถึงที่สุด และดังนั้นพวกเขาจึงใช้ชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ไปอย่างสูญเปล่า…ไม่มีแม้แต่คนเดียวในมนุษยชาตินี้ที่พระเจ้าทรงดูแลทั้งวันคืน จะคิดขึ้นมาได้เองว่าจะนมัสการพระองค์ พระเจ้ายังทรงพระราชกิจต่อไปกับมนุษย์ผู้ซึ่งพระองค์ไม่เคยตั้งความคาดหวัง ก็เพียงเท่าที่พระองค์ทรงวางแผนการไว้เท่านั้น  พระเจ้าทรงทำเช่นนั้นด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่ง มนุษย์จะตื่นขึ้นจากฝันของเขาและพลันตระหนักถึงคุณค่าและความหมายของชีวิต รวมถึงราคาที่พระเจ้าทรงจ่ายเพื่อทั้งสิ้นทั้งมวลที่พระองค์ได้ประทานให้เขา และความกังวลร้อนใจขณะที่พระเจ้าทรงรอคอยให้มนุษย์หันกลับมาหาพระองค์(“พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  มองจากภายนอก มันเหมือนแม่ให้กำเนิดและเลี้ยงฉันมา และท่านก็เป็นคนที่ใส่ใจชีวิตฉัน แต่ที่จริง ต้นกำเนิดของชีวิตมนุษย์คือพระเจ้า และทุกสิ่งที่ฉันเพลิดเพลิน พระเจ้าก็ล้วนมอบให้ ฉันมีชีวิตอยู่ได้ เพราะลมหายใจที่พระเจ้ามอบให้ พระเจ้าทรงมอบชีวิต และนำฉันมาสู่โลกนี้ ทรงจัดเตรียมครอบครัวและบ้านให้ฉัน เป็นการทรงจัดเตรียมของพระเจ้า ที่ทำให้ฉันได้ยินพระสุรเสียง และมาเฉพาะพระพักตร์ ถ้าฉันเป็นคนมีเหตุผล ฉันก็ควรขอบคุณพระเจ้า และปฏิบัติความจริงเวลามีเรื่องเกิดขึ้น เพื่อสนอง และตอบแทนความรักพระเจ้า ฉันไม่ควรอยู่ข้างครอบครัวทางโลก และทำแทนซาตาน ขัดขวางงานของคริสตจักร การตระหนักเรื่องนี้ได้ เป็นเครื่องเตือนใจฉันจริงๆ ฉันต้องมาเฉพาะพระพักตร์เพื่อกลับใจ และไม่อาจทำตามความรู้สึกต่อไปได้ คริสตจักรขอให้ฉันเขียนเกี่ยวกับแม่ ฉันจึงควรเขียนถึงพฤติกรรมของท่านอย่างถูกต้อง ตามข้อเท็จจริง แล้วยอมรับไม่ว่าคริสตจักรตัดสินใจยังไงก็ตาม ฉันจึง ควรยกพฤติกรรมของแม่ที่ทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงักขึ้นมา

หนึ่งเดือนต่อมา ฉันถูกเลือกเป็นผู้นำคริสตจักร ฉันได้รู้ว่า สมาชิกบางคนไม่ได้เห็นแม่ของฉันอย่างชัดเจน ฉันคิดว่า ฉันควรคุยกับพวกเขา เรื่องที่แม่ทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงัก พวกเขาจะได้แยกแยะ และปฏิบัติต่อท่านตามหลักธรรมได้ แต่พอจะทำจริงๆ ฉันก็รู้สึกขัดแย้งในใจ ถ้าฉันเปิดโปงและชำแหละแม่ และพวกเขาแยกแยะเรื่องท่านได้ พวกเขาจะมองท่านเปลี่ยนไปไหม?  มันจะทำให้แม่ไม่สบายใจหรือเปล่า?  ฉันไม่อยากพูดอะไรเลย ฉันตระหนักได้ว่า ฉันกำลังใช้ชีวิตด้วยอารมณ์อีกครั้ง และฉันนึกถึงพระวจนะขึ้นมา ที่ว่าฉันควรรักสิ่งที่ทรงรัก เกลียดสิ่งที่ทรงเกลียด แม่สร้างปัญหาให้ชีวิตคริสตจักร ซึ่งพระเจ้าทรงเกลียด ฉันจะคุ้มกันแม่ด้วยความรักใคร่ต่อไปไม่ได้ ฉันต้องเปิดโปงและชำแหละเรื่องนี้ตามหลักธรรมแห่งความจริง คนอื่นจะได้มีปัญญาแยกแยะ ฉันเลย พูดถึงการที่แม่ทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงักโดยละเอียด และคนอื่นก็ได้มีปัญญาแยกแยะ และเรียนรู้บทเรียนได้บ้าง คนส่วนใหญ่ลงเอยด้วยการลงคะแนนให้ย้ายแม่ฉันไปอยู่กลุ่มสอง หลังนำสิ่งนี้มาปฏิบัติ ฉันก็รู้สึกสงบและผ่อนคลายจริงๆ

ฉันขอบคุณพระเจ้าจากใจ ที่พระวจนะทรงนำและให้ความรู้แจ้ง ช่วยให้ฉันเข้าใจความจริง และพบหลักธรรม และรู้ว่าจะปฏิบัติต่อสมาชิกในครอบครัวยังไง ถ้าไม่มีพระวจนะ ฉันคงติดอยู่ในอารมณ์ และทำสิ่งที่ต่อต้านพระเจ้า ประสบการณ์นี้แสดงให้ฉันเห็นจริงๆ ว่ากับผู้คนและเรื่องต่างๆ ในพระนิเวศ ทุกสิ่งต้องดำเนินไปตามหลักธรรมแห่งความจริง สิ่งนั้นสอดคล้องกับน้ำพระทัย และยังเป็นทางที่จะได้รับความสงบสุขภายในด้วย ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 29. เหตุใดฉันจึงแสร้งทำเสมอ?

ถัดไป: 38. บทเรียนที่ได้รับจากความล้มเหลว

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger