55. ฉันค้นพบที่ทางของตัวเองแล้ว

โดย โรซาลี, ประเทศเกาหลีใต้

หลังจากที่ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันก็ไล่ตามเสาะหาอย่างกระตือรือร้นมาก  ไม่ว่าคริสตจักรจะจัดการเตรียมหน้าที่อะไรให้ฉัน ฉันก็เชื่อฟัง  เมื่อมีความลำบากยากเย็นหรือปัญหาในหน้าที่ ฉันสามารถทนทุกข์และยอมลำบากเพื่อแสวงหาหนทางแก้ไขโดยไม่ปริปากบ่น  ไม่นานฉันเริ่มฝึกให้น้ำแก่ผู้มาใหม่และได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องในหน้าที่นั้น  ฉันรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถพิเศษ เป็นคนที่คริสตจักรคอยบ่มเพาะ รู้สึกว่าตนเองไล่ตามเสาะหามากกว่าคนอื่น และดังนั้น ตราบใดที่ฉันทำหน้าที่ของตนอย่างขยันขันแข็ง ฉันย่อมจะได้รับการส่งเสริมและได้รับมอบหมายบทบาทที่สำคัญ  เมื่อคิดดังนี้ ฉันจึงรู้สึกพอใจในตนเองอย่างมาก

ต่อมาสักระยะหนึ่ง ฉันก็มองเห็นพี่น้องชายหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับฉันหลายคนได้รับใช้ในฐานะผู้นำทีมหรือผู้ดูแล และฉันรู้สึกอิจฉา  ฉันคิดว่า “ถ้าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่สำคัญเช่นนั้นได้ในวัยหนุ่มสาวแบบนั้น มีผู้นำมองเห็นคุณค่า และได้รับความเลื่อมใสจากพี่น้องชายหญิง ฉันก็ไม่อาจพอใจในสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ได้  ฉันต้องไล่ตามเสาะหาให้ดีและเพียรพยายามสร้างความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในหน้าที่ของตน เพื่อให้ตัวเองมีบทบาทสำคัญกับเขาด้วย”  ดังนั้นฉันจึงทำงานในหน้าที่ของตนให้หนักขึ้น  ฉันไม่กลัวที่จะอยู่ดึกและทนทุกข์  เมื่อมีปัญหาในหน้าที่ ฉันก็สำรวจค้นพระวจนะของพระเจ้าเพื่อหาทางแก้ไข  แต่การทำงานหนักของฉันไม่ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไร  ด้วยเหตุที่ฉันมีความสามารถอ่อนด้อยในการทำงาน จึงได้รับมอบหมายให้ทำงานบางอย่างที่เป็นกิจวัตรง่ายๆ  หลังจากนั้น พอฉันเห็นคนอื่นรอบตัวได้เลื่อนตำแหน่ง ฉันก็ยิ่งอิจฉา  ฉันรู้ว่าตัวเองยังคงอ่อนด้อยกว่าพวกเขามาก จึงคอยหนุนใจตัวเองว่าอย่าท้อแท้หรือพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ ว่าฉันต้องไล่ตามเสาะหาและพัฒนาให้ดีขึ้น ว่าฉันยังคงต้องกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น และทุ่มเทความพยายามให้กับการเข้าสู่ชีวิตของตนเองมากขึ้น  ฉันคิดว่าเมื่อฉันพัฒนาทักษะในสายงานของตนให้ดีขึ้นและทุ่มเทความพยายามให้แก่การเข้าสู่ชีวิตมากขึ้นแล้ว ฉันก็จะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นแน่  ดังนั้นในขณะที่ฉันพยายามพัฒนาให้ดีขึ้น ฉันก็ตั้งหน้าตั้งตารอวันที่ตัวเองจะได้เลื่อนตำแหน่งด้วย

ก่อนที่ฉันจะทันรู้ตัว เวลาก็ผ่านไปแล้วสองปี และคู่ทำงานคนใหม่ของฉันก็ผลัดกันมาแล้วก็ไป  บางคนได้เลื่อนตำแหน่ง และบางคนก็ได้เป็นผู้นำและคนทำงาน  ฉันเริ่มระแวงว่า “ฉันทำหน้าที่นี้มานานแล้ว และคนที่เคยทำหน้าที่นี้ต่างก็ได้เลื่อนตำแหน่งกันไปคนแล้วคนเล่าในเวลาที่สั้นกว่า แล้วทำไมหน้าที่ของฉันถึงยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย?  เหล่าผู้นำคิดว่าฉันไม่คู่ควรที่จะได้รับการบ่มเพาะ ว่าฉันเหมาะแต่กับงานที่เป็นกิจวัตรง่ายๆ เท่านั้นหรือเปล่า?  เป็นไปได้ไหมว่าฉันจะไม่มีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่งเลย?  ฉันจะติดอยู่กับหน้าที่ที่ไม่สำคัญนี่ตลอดไปหรือ?”  เมื่อคิดดังนี้ ฉันก็พลันรู้สึกเหมือนลูกบอลที่ถูกปล่อยลมออก  ฉันหมดแรงขับเคลื่อนในทันใด ไม่ขยันหมั่นเพียรในหน้าที่อย่างเมื่อก่อน และไม่รู้สึกถึงความเร่งด่วนที่จะจัดการงานทั้งหลายที่ต้องทำให้เสร็จ  ฉันเอาแต่ทำอย่างขอไปทีทุกวันหรือทำกิจต่างๆ แต่พอเอาหน้ารอด  ผลก็คือเกิดความเบี่ยงเบนและความพลั้งเผลอบางอย่างในงานของฉันบ่อยครั้ง แต่ฉันไม่ได้จริงจังกับสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่ได้ทบทวนตัวเองอย่างถูกต้องเหมาะสม  ต่อมาฉันได้ยินว่ามีพี่น้องชายหญิงที่ฉันรู้จักได้เลื่อนตำแหน่งกันมากกว่าที่เคยเสียอีก และฉันก็ยิ่งรู้สึกเสียใจมากขึ้น  ฉันคิดว่า “พวกเขาบางคนเคยทำหน้าที่เดียวกับฉัน แต่ตอนนี้ทุกคนกลับได้เลื่อนตำแหน่งกันไปทีละคน ในขณะที่ฉันยังติดอยู่ตรงที่ตัวเองเริ่มต้นนี่  บางทีฉันคงไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือคนที่ควรค่าแก่การบ่มเพาะกระมัง”  ความคิดนี้ให้ความรู้สึกเหมือนมีน้ำหนักที่หนักอึ้งอยู่บนบ่าของฉัน ให้ความรู้สึกที่เป็นทุกข์  ในวันเวลาเหล่านั้น ฉันอยู่ในสภาวะที่หดหู่มาก รู้สึกหมดแรงจูงใจในหน้าที่ของตน  ฉันเอาแต่คิดว่าตัวเองไม่มีอนาคตในการเชื่อในพระเจ้า  ฉันรู้สึกเสียใจมากและไม่สามารถยอมรับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นได้  ฉันคิดว่า “ฉันแย่ขนาดนั้นจริงหรือ?  เป็นไปได้หรือว่าฉันเหมาะแต่กับงานที่เป็นกิจวัตรง่ายๆ เท่านั้นจริงๆ?  ไม่มีคุณค่าอะไรในการบ่มเพาะฉันเลยหรือ?  ฉันอยากได้เพียงโอกาสสักครั้งเท่านั้น  ทำไมฉันถึงต้องติดอยู่ในมุมที่ไม่มีใครมองเห็นตลอดเวลาด้วย?”  ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งรู้สึกเสียใจและหดหู่  ฉันถอนหายใจทั้งวันและขาของฉันก็รู้สึกหนักเกินจะขยับเขยื้อน  บางครั้งยามค่ำคืนฉันจะร้องไห้เงียบๆ อยู่บนเตียง คิดไปว่า “ถ้าทักษะในสายงานของฉันด้อยกว่าคนอื่น ฉันก็จะหมั่นไล่ตามเสาะหาความจริง  ฉันจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้นและมุ่งเน้นการเข้าสู่ชีวิตให้มากขึ้น  เมื่อฉันสามารถสามัคคีธรรมด้วยความรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้บ้าง และเหล่าผู้นำเห็นฉันตั้งใจไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาย่อมจะเลื่อนตำแหน่งให้ฉันไม่ใช่หรือ?”  แต่พอฉันคิดเช่นนี้ ฉันก็รู้สึกผิดด้วยนิดหน่อย  ฉันคิดว่า “การไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นสิ่งดี และเป็นสิ่งที่ผู้เชื่อควรไล่ตามเสาะหา  แต่ฉันกำลังใช้สิ่งนี้เพื่อจุดประสงค์ที่จะโดดเด่นเหนือคนอื่น  ถ้าฉันไล่ตามไขว่คว้าเช่นนี้ ด้วยความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมี พระเจ้าย่อมจะทรงรังเกียจและเกลียดชังการนี้ไม่ใช่หรือ?  ทำไมฉันถึงไม่เต็มใจทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ในความไม่สำคัญ?”  ฉันรู้สึกถึงการกล่าวหา ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าพลางร้องไห้ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าการไล่ตามไขว่คว้าสถานะนั้นผิด แต่ความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของข้าพระองค์ก็รุนแรงนัก  ข้าพระองค์รู้สึกตลอดเวลาว่าไม่มีประโยชน์ที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่ในความบดบังเช่นนี้  ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่สามารถออกจากสภาวะนี้ได้  ได้โปรดนำทางและชี้แนะให้ข้าพระองค์เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์และรู้จักตนเองด้วยเถิด”

วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “สำหรับศัตรูของพระคริสต์แล้ว สถานะและความมีหน้ามีตาจึงเป็นชีวิตของพวกเขา  ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร ดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมใด ทำงานอะไร ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใด ไม่ว่าเป้าหมายของพวกเขาจะเป็นสิ่งใด ทิศทางชีวิตของพวกเขาคืออะไร ทั้งหมดย่อมโคจรอยู่รอบๆ การเป็นที่นับหน้าถือตาและสถานะอันสูงส่ง  และจุดมุ่งหมายนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาไม่สามารถละวางสิ่งทั้งหลายดังกล่าวได้  นี่คือหน้าตาที่แท้จริงของศัตรูพระคริสต์ และแก่นแท้ของพวกเขา  เจ้าอาจนำพวกเขาไปไว้ในป่าดงดิบลึกเข้าไปในเทือกเขา แต่พวกเขาก็จะไม่ละมือจากการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะ  เจ้าสามารถนำพวกเขาไปอยู่ท่ามกลางคนกลุ่มใดก็ได้ และพวกเขาก็จะยังคงคิดออกแต่เรื่องความมีหน้ามีตาและสถานะเท่านั้น  แม้ว่าศัตรูของพระคริสต์จะเชื่อในพระเจ้าเช่นกัน แต่พวกเขาก็มองว่าการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะเทียบได้กับความเชื่อในพระเจ้า และให้น้ำหนักเท่ากัน  ซึ่งหมายความว่าขณะที่พวกเขาเดินอยู่บนเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเองไปด้วย  อาจกล่าวได้ว่าในหัวใจของศัตรูพระคริสต์ พวกเขาเชื่อว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงในความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าคือการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะ การไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะก็เป็นการไล่ตามเสาะหาความจริงเช่นกัน และการได้มาซึ่งความมีหน้ามีตาและสถานะก็คือการได้มาซึ่งความจริงและชีวิต  ถ้าพวกเขารู้สึกว่าตนนั้นไม่มีหน้าตา ผลประโยชน์ หรือสถานะ รู้สึกว่าไม่มีผู้ใดเลื่อมใส ยอมรับนับถือ หรือติดตามพวกเขา เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมผิดหวังอย่างมาก พวกเขาเชื่อว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเชื่อในพระเจ้า ไม่มีคุณค่าในการเชื่อเช่นนั้น และพวกเขากล่าวกับตนเองว่า ‘ความเชื่อในพระเจ้าเช่นนั้นเป็นความล้มเหลวหรือไม่?  เป็นความสิ้นหวังหรือไม่?’  พวกเขามักจะใคร่ครวญเรื่องเช่นนี้อยู่ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาใคร่ครวญวิธีที่พวกเขาจะสามารถสร้างพื้นที่ให้ตนเองในพระนิเวศของพระเจ้า วิธีที่พวกเขาจะสามารถมีหน้ามีตาสูงส่งอยู่ในคริสตจักร เพื่อให้ผู้คนรับฟังเมื่อพวกเขาพูด และสนับสนุนเมื่อพวกเขาลงมือทำ และติดตามพวกเขาไปที่ใดก็ตามที่พวกเขาไป เพื่อที่พวกเขาจะได้มีสิทธิ์ขาดในคริสตจักร มีชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ—หัวใจของพวกเขาสนใจแต่สิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริง  เหล่านี้คือสิ่งที่คนพวกนี้ไล่ตามเสาะหา(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สาม))  “สำหรับศัตรูของพระคริสต์ ถ้าความมีหน้ามีตาหรือสถานะของพวกเขาถูกเล่นงานและถูกริบไป นี่ย่อมเป็นเรื่องที่ร้ายแรงยิ่งกว่าการพยายามเอาชีวิตของพวกเขาเสียอีก  ไม่ว่าพวกเขาจะฟังคำเทศนาหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้ามากมายเพียงใด พวกเขาก็จะไม่รู้สึกเศร้าหรือเสียใจที่ไม่เคยปฏิบัติความจริงและเลือกใช้เส้นทางของศัตรูพระคริสต์ หรือมีแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูพระคริสต์  แต่พวกเขากลับเค้นสมองหาทางที่จะได้สถานะและทำให้ตนเองมีหน้ามีตามากขึ้นอยู่เสมอ… ในการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะอย่างต่อเนื่อง พวกเขายังปฏิเสธโดยไม่ยั้งคิดอีกด้วยว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดลงไปบ้าง  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้?  ลึกลงไปในหัวใจของศัตรูพระคริสต์ พวกเขาเชื่อว่า ‘ความมีหน้ามีตาและสถานะทั้งปวงคือสิ่งที่คนเราได้มาด้วยความพยายามของตนเอง  เมื่อมีที่ยืนอันมั่นคงในหมู่ผู้คน มีหน้ามีตา และมีสถานะแล้วเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถชื่นชมพรจากพระเจ้า  ชีวิตมีคุณค่าก็ต่อเมื่อผู้คนมีสถานะและอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเท่านั้น  นี่เท่านั้นคือการดำรงชีวิตอย่างมนุษย์คนหนึ่ง  ในทางตรงกันข้าม การใช้ชีวิตในแบบที่กล่าวไว้ในพระวจนะของพระเจ้า—นบนอบอธิปไตยและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้าในทุกสิ่ง เต็มใจยืนอยู่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และดำรงชีวิตอย่างคนปกติธรรมดา—ย่อมเปล่าประโยชน์ ไม่มีใครยกย่องนับถือคนแบบนั้น  สถานะ ความมีหน้ามีตา และความสุขของคนเราต้องได้มาด้วยการดิ้นรนเอาเอง พวกเขาต้องต่อสู้และฉกชิงด้วยท่าทีเชิงรุกและเป็นบวก  ไม่มีใครอื่นจะให้สิ่งเหล่านี้แก่คุณ—การรอคอยอย่างนิ่งเฉยทำได้เพียงพาให้คว้าน้ำเหลวเท่านั้น’  นี่คือการคิดคำนวณของศัตรูพระคริสต์  นี่คืออุปนิสัยของศัตรูพระคริสต์(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สาม))  พระเจ้าทรงเปิดเผยว่าพวกศัตรูของพระคริสต์มองว่าสถานะสำคัญกว่าชีวิต  ทั้งหมดที่พวกเขาพูดและทำล้วนโคจรอยู่รอบๆ สถานะและความมีหน้ามีตา และพวกเขาคิดถึงแต่การได้มากับการรักษาสถานะและความมีหน้ามีตาเอาไว้  ทันทีที่พวกเขาสูญเสียสถานะของตน พวกเขาก็สูญเสียแรงจูงใจที่จะมีชีวิตอยู่  เพื่อสถานะแล้ว พวกเขาถึงขั้นสามารถต้านทานพระเจ้า ทรยศพระเจ้า และจัดตั้งอาณาจักรของตนเอง  ฉันได้ตระหนักว่าฉันมองสถานะว่าสำคัญมากอยู่เสมอ  ตอนที่ฉันอายุยังน้อย ครอบครัวมักจะสอนสิ่งต่างๆ ให้ฉัน เช่น “คนเราต้องสู้ทนความทุกข์ยากอันใหญ่หลวงที่สุดจึงจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” และ “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ”  ฉันคำนึงอยู่เสมอว่ากฎแห่งการเอาตัวรอดเหล่านี้ของซาตานคือแบบอย่างในการใช้ชีวิต  ฉันคิดอยู่เสมอมาว่าคนเราจะสามารถดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและคุ้มค่าก็ต่อเมื่อมีสถานะและได้รับการนับหน้าถือตาอย่างสูงเท่านั้น ส่วนการพอใจในความเป็นไปของชีวิตตนเองและในการเป็นคนธรรมดาติดดินนั้นแสดงให้เห็นว่าฉันขาดความทะยานอยากหรือขาดเป้าหมายที่แท้จริง  ฉันคิดว่านี่คือหนทางดำรงชีวิตที่ไร้ประโยชน์สำหรับคนคนหนึ่ง  หลังจากที่ฉันเชื่อในพระเจ้า ความคิดและความเห็นของฉันก็ไม่ได้เปลี่ยนไป  ภายนอกแล้วฉันไม่ได้ขับเคี่ยวหรือแข่งขันชิงดี แต่ความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของฉันก็มีไม่น้อย  ฉันอยากจะทำแต่หน้าที่ที่สำคัญยิ่งขึ้น มีสถานะที่สูงส่ง และมีคนอื่นเลื่อมใสเท่านั้น  เวลาที่ฉันเห็นผู้คนรอบตัวได้รับการส่งเสริมให้เป็นผู้นำทีมและผู้ดูแล นี่มีแต่จะปลุกเร้าความอยากของฉันมากขึ้นอีก และทำให้ฉันยิ่งไม่พอใจในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ของตัวเอง  ฉันลุกแต่เช้าและอยู่ต่อจนดึกดื่นเพื่อให้ได้เลื่อนตำแหน่ง และฉันก็เต็มใจที่จะทนทุกข์และยอมลำบากเพื่อหน้าที่ของตน  เมื่อความหวังของฉันแตกกระจายครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันจึงเต็มไปด้วยคำพร่ำบ่นและการต้านทานสภาพแวดล้อมรอบตัว  ฉันถึงกับรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเชื่อในพระเจ้าและฉันก็หมดแรงจูงใจในหน้าที่  ฉันทำอย่างขอไปทีและทำสิ่งที่ตัวเองพอจะทำได้เพียงให้พอรอดตัวเท่านั้น  ฉันมองเห็นว่านับแต่ฉันเชื่อในพระเจ้า เส้นทางที่ฉันเดินไม่ใช่เส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงเลย  ทุกสิ่งที่ฉันทำเป็นไปเพื่อชื่อเสียงและสถานะ  ในหน้าที่ของพวกเรานั้น พระเจ้าทรงหวังว่าพวกเราจะสามารถไล่ตามเสาะหาความจริง เข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง และหนีพ้นอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน  แต่ฉันก็ละเลยกิจของตัวเอง  จิตใจของฉันไม่ได้อยู่กับการไล่ตามเสาะหาความจริง ฉันเอาแต่อยากมีสถานะสูงส่ง และเมื่อความอยากได้อยากมีของฉันคว้าน้ำเหลว ฉันก็เริ่มย่อหย่อน ขุดหลุมฝังตัวเองลึกลงไปอีก  ฉันไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลเลยจริงๆ!  ฉันคิดว่าการที่ตัวเองไม่รู้จักอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนมากนักแม้กระทั่งในตอนนี้ทั้งที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี ก็เพราะฉันไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง  ฉันไม่สามารถทำหน้าที่ที่ตัวเองมีอยู่แล้วให้ดีได้ด้วยซ้ำ  ฉันยังคงทำแต่พอรอดตัว และมักจะเกิดปัญหาและความเบี่ยงเบนในงานของฉันอยู่บ่อยๆ  แม้จะเป็นเช่นนี้ ฉันก็อยากได้เลื่อนตำแหน่งและทำงานที่ใหญ่ขึ้น  ฉันไร้ยางอายเหลือเกิน!  ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักว่าการเชื่อในพระเจ้าโดยไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และการไล่ตามไขว่คว้าสถานะอย่างมืดบอด รังแต่จะทำให้ฉันทะเยอทะยานมากขึ้นและทำให้อุปนิสัยของฉันโอหังมากขึ้น อยากอยู่เหนือคนอื่นอยู่เสมอ แต่ไม่สามารถเชื่อฟังอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  การไล่ตามไขว่คว้าเยี่ยงนี้ทำลายตัวเอง ซึ่งพระเจ้าทรงเกลียดชังและสาปแช่ง  นี่เหมือนกับศัตรูของพระคริสต์พวกนั้นที่ถูกขับไล่ออกจากคริสตจักรไม่มีผิด พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลตอบแทน และสถานะอยู่เสมอ  พวกเขาพยายามให้ตัวเองเป็นที่เลื่อมใสและชื่นชู พยายามดักจับและควบคุมผู้คน  ผลของการนี้ก็คือพวกเขาทำชั่วมากเกินไป และถูกพระเจ้าเปิดเผยและกำจัดออกไป  การไล่ตามไขว่คว้าของฉันเป็นเช่นเดียวกับของพวกเขาไม่ใช่หรือ?  ฉันกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ต้านทานพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรมและไม่อาจล่วงเกินได้  ถ้าฉันไม่ยอมแก้ไขตนเองให้ถูกต้อง ฉันย่อมจะถูกพระเจ้าทรงปฏิเสธและกำจัดออกไปเป็นแน่!  เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันจึงปฏิญาณกับตัวเองว่านับแต่นี้ไป ฉันจะไม่ไล่ตามไขว่คว้าสถานะ ฉันจะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  ฉันจะไล่ตามเสาะหาความจริง และทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสมและตามความเป็นจริง

วันหนึ่งในระหว่างการเฝ้าเดี่ยวของฉัน ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เนื่องเพราะผู้คนไม่ระลึกรู้การจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและอธิปไตยของพระเจ้า พวกเขาจึงเผชิญหน้ากับชะตากรรมอย่างเยาะเย้ยท้าทายและด้วยท่าทีที่เป็นกบฏเสมอ และพวกเขาต้องการที่จะปลดเปลื้องสิทธิอำนาจและอธิปไตยของพระเจ้าและสิ่งต่างๆ ที่ชะตากรรมเตรียมไว้ให้ทิ้งไป โดยหวังลมๆ แล้งๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงรูปการณ์แวดล้อม ณ ปัจจุบันและแก้ไขดัดแปลงชะตากรรมของพวกเขา  แต่พวกเขาไม่มีวันสามารถทำสำเร็จ และถูกขัดขวางในทุกการขยับตัว  การดิ้นรนที่ก่อตัวลึกอยู่ในวิญญาณของคนเรานี้นำมาซึ่งความเจ็บปวดล้ำลึกชนิดที่กัดเซาะเข้าไปถึงกระดูกของคนเราในขณะที่คนเราใช้ชีวิตของตนอย่างทิ้งขว้างไปพลางๆ  อะไรหรือคือสาเหตุของความเจ็บปวดนี้?  มันเป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้า หรือเพราะบุคคลหนึ่งเกิดมาโชคร้าย?  เห็นได้ชัดว่าไม่ถูกทั้งสองอย่าง โดยพื้นฐานแล้ว มันเกิดจากเส้นทางที่ผู้คนเลือกเดิน วิธีที่พวกเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตของพวกเขา  ผู้คนบางคนอาจไม่ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้  แต่เมื่อเจ้ารู้อย่างแท้จริง เมื่อเจ้ามาระลึกรู้อย่างแท้จริงว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์ เมื่อเจ้าเข้าใจอย่างแท้จริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงวางแผนการไว้เพื่อเจ้าและได้ตัดสินพระทัยเพื่อเจ้านั้นคือผลประโยชน์และการคุ้มครองป้องกันอันยิ่งใหญ่ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมรู้สึกว่าความเจ็บปวดของเจ้าเริ่มเบาบางลง และความเป็นอยู่ทั้งปวงของเจ้ากลายมาเป็นผ่อนคลาย อิสระ และเสรี  เมื่อตัดสินจากสภาวะของผู้คนส่วนใหญ่ กล่าวตามความจริงแล้ว พวกเขาไม่สามารถทำใจยอมรับได้อย่างแท้จริงถึงคุณค่าและความหมายในทางปฏิบัติของอธิปไตยของพระผู้สร้างเหนือชะตากรรมมนุษย์ แม้ว่าในระดับความรู้สึกส่วนตัวแล้ว พวกเขาไม่ต้องการดำเนินชีวิตอย่างที่พวกเขาเคยทำมาก่อนอีกต่อไป และต้องการหลุดพ้นจากความเจ็บปวดของพวกเขา แต่ในแง่ความเป็นจริง พวกเขากลับไม่สามารถระลึกรู้และนบนอบอธิปไตยของพระผู้สร้างได้อย่างแท้จริง และยิ่งไม่รู้วิธีแสวงหาและยอมรับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง  ดังนั้น หากผู้คนไม่สามารถระลึกรู้อย่างแท้จริงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระผู้สร้างทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์และเหนือเรื่องราวทั้งหมดของมนุษย์ หากพวกเขาไม่สามารถนบนอบอำนาจครอบครองของพระผู้สร้างได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะเป็นการยากที่พวกเขาจะไม่ถูกล่ามและถูกขับเคลื่อนโดยแนวความคิดที่ว่า ‘ชะตากรรมของคนเรานั้นอยู่ในมือของคนเราเอง’ มันย่อมจะยากที่พวกเขาจะสลัดหลุดจากความเจ็บปวดในการคร่ำเคร่งดิ้นรนต่อต้านชะตากรรมและสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง และคงไม่จำเป็นต้องพูดว่า มันก็จะเป็นการลำบากสำหรับพวกเขาเช่นกันที่จะกลายมามีเสรีภาพและเป็นอิสระอย่างแท้จริง กลายมาเป็นผู้คนที่นมัสการพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3)  พระวจนะของพระเจ้าปลุกหัวใจของฉันให้ตื่นขึ้น  ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยเปรียบเทียบสภาวะของตนกับสิ่งที่พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าเผยให้เห็น  ฉันนึกว่าพระวจนะเหล่านี้กล่าวกับผู้ไม่เชื่อ ในขณะที่ฉันเป็นหนึ่งในผู้เปี่ยมความเชื่อ และฉันเชื่อฟังและเชื่อในอธิปไตยของพระเจ้า  แต่เมื่อฉันสงบลงและใคร่ครวญพระวจนะบทตอนนี้ของพระเจ้านั่นเอง ฉันจึงตระหนักว่าการยอมรับรู้อธิปไตยของพระเจ้าไม่ได้แสดงถึงการรู้จักอธิปไตยอันทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า และยิ่งไม่ได้แสดงถึงการเชื่อฟังอธิปไตยของพระเจ้า  แม้ฉันจะเชื่อในพระเจ้า แต่ทัศนะของฉันในเรื่องทั้งหลายก็เหมือนกับทัศนะของผู้ไม่เชื่ออยู่ดี  ผู้ไม่เชื่อคิดเสมอว่าชะตากรรมของผู้คนอยู่ในมือของตน และต่อสู้กับชะตากรรมอยู่เสมอ  พวกเขาอยากเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนด้วยความมานะพยายามของตนเองและอยากมีชีวิตที่ดีเลิศ  ผลที่ตามมาคือพวกเขาทุกข์ทนอย่างมาก ลำบากมาก จนกระทั่งในที่สุดพวกเขาก็ถูกทุบน่วมและบอบช้ำ และต่อให้พวกเขามีแผลเป็น พวกเขาก็ไม่ตื่นขึ้นมามองความเป็นจริงอยู่ดี  ฉันก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่หรือ?  ฉันอยากเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ด้วยความมานะพยายามของตัวเองเสมอ และพึ่งพาการต่อสู้ดิ้นรนของตนเองเพื่อที่จะเพียรพยายามให้ได้เลื่อนตำแหน่งและมีบทบาทที่สำคัญ  ฉันทนทุกข์อย่างเงียบๆ ยอมลำบาก และขยันฝึกหัดทักษะในสายงานก็เพื่อจุดประสงค์นี้  เมื่อความอยากได้อยากมีของฉันไม่ประสบผลสำเร็จ ฉันก็กลายเป็นคนนิ่งเฉยและต้านทาน ขุดหลุมฝังตัวเองลึกลงไป  ตอนนั้นเองที่ฉันมองเห็นว่าฉันเจ็บปวดมากและเหน็ดเหนื่อยเหลือเกินเพราะฉันเดินบนเส้นทางที่ผิดและเลือกหนทางดำเนินชีวิตที่ผิด  ฉันคำนึงถึงเหตุผลวิบัติของซาตานอย่าง “ชะตาลิขิตของคนเราอยู่ในมือของเขาเอง” และ “มนุษย์สร้างแผ่นดินเกิดให้น่าอยู่ด้วยมือของตนได้” ว่าเป็นคติในการดำเนินชีวิต  ฉันเชื่อว่าการที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนนั้น ฉันจำต้องอาศัยความมานะพยายามของตนเองจึงจะบรรลุ  เมื่อเผชิญกับการที่ความอยากได้อยากมีของตนล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่สามารถได้รับเลื่อนหรือมีตำแหน่งสำคัญๆ ได้ ฉันก็ไม่สามารถนบนอบและอยากจะสู้กับพระเจ้าตลอดเวลา อยากหลุดเป็นอิสระจากการจัดการเตรียมการของพระองค์ อยากมีสถานะและชื่อเสียงด้วยความมานะพยายามของตนเอง  ตอนนั้นเองที่ฉันมองเห็นว่าฉันเป็นผู้เชื่อแต่ในนามเท่านั้น  ในความเป็นจริงแล้ว หัวใจของฉันไม่ได้เชื่อในอธิปไตยของพระเจ้า และฉันยิ่งไม่เต็มใจที่จะเชื่อฟังการจัดการเตรียมการของพระองค์  อะไรคือความแตกต่างระหว่างผู้เชื่ออย่างฉันกับผู้ปราศจากความเชื่อ?  พระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง และพระเจ้าทรงมีอธิปไตยและอำนาจควบคุมเหนือทุกสิ่ง  พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการและลิขิตโชคชะตาของบุคคลแต่ละคนไว้ล่วงหน้าแล้วทั้งสิ้น รวมถึงขีดความสามารถและจุดแข็งของพวกเขา หน้าที่ที่พวกเขาสามารถทำได้ในคริสตจักร ลิขิตว่าพวกเขาจะมีประสบการณ์กับสถานการณ์จำพวกไหนในเวลาใด และอื่นๆ และไม่มีใครสามารถหนีพ้นสิ่งเหล่านี้หรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้  หัวใจของพวกเราจะมีสันติสุขได้ก็ด้วยการเชื่อฟังอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าเท่านั้น  เมื่อรู้ดังนี้แล้ว ฉันก็พลันรู้สึกทั้งน่าเวทนาและน่าสมเพช  ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี และแม้จะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามามากเหลือเกิน แต่ฉันก็ยังคงเป็นเหมือนผู้ไม่เชื่อเท่านั้น  ฉันไม่รู้จักมหิทธานุภาพและอธิปไตยของพระเจ้า  ฉันโอหังและไม่รู้เท่าทันถึงขนาดนี้!  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เมื่อเจ้าเข้าใจอย่างแท้จริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงวางแผนการไว้เพื่อเจ้าและได้ตัดสินพระทัยเพื่อเจ้านั้นคือผลประโยชน์และการคุ้มครองป้องกันอันยิ่งใหญ่ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมรู้สึกว่าความเจ็บปวดของเจ้าเริ่มเบาบางลง และความเป็นอยู่ทั้งปวงของเจ้ากลายมาเป็นผ่อนคลาย อิสระ และเสรี(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3)  เมื่อได้ไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็นึกสงสัยว่าฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าสภาพแวดล้อมนี้เป็นผลดีกับตัวเองและปกป้องคุ้มครองฉัน?  ขณะแสวงหา ฉันก็ตระหนักว่าตั้งแต่ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้า ฉันไม่เคยมีประสบการณ์กับความล้มเหลวหรือความยุ่งยากครั้งใหญ่เลย และฉันก็ไม่เคยถูกปลดหรือโยกย้าย  ฉันได้เลื่อนตำแหน่งและได้รับการบ่มเพาะอย่างต่อเนื่อง  ฉันเริ่มคิดโดยไม่ทันรู้ตัวว่าตัวเองคือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าตัวเองคือคนสำคัญที่ได้รับการบ่มเพาะในคริสตจักร ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ฉันจะถือว่า “การได้เลื่อนตำแหน่ง” คือเป้าหมายให้ไล่ตามไขว่คว้า  ทุกครั้งที่ฉันได้เลื่อนตำแหน่ง ฉันไม่ได้ยอมรับว่าการส่งเสริมนั้นคือความรับผิดชอบและหน้าที่จากพระเจ้า และฉันก็ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงในลักษณะที่อยู่กับความเป็นจริงหรือคิดว่าควรใช้หลักธรรมในหน้าที่ของตนอย่างไร  ฉันกลับมองหน้าที่ของตัวเองว่าเป็นเครื่องมือในการไล่ตามไขว่คว้าสถานะและเพื่อให้ได้รับการยอมรับนับถือจากคนอื่น  ฉันนึกว่ายิ่งมีหน้าที่ใหญ่โตและมีสถานะสูงส่งขึ้น ผู้คนก็จะยิ่งเลื่อมใสและเห็นคุณค่าของฉัน ดังนั้นฉันจึงพะวงกับการเลื่อนตำแหน่งมาก และวันเวลาของฉันก็หมดไปกับการห่วงกังวลถึงผลได้และผลเสียเหล่านี้  ฉันลืมไปนานแล้วว่า จริงๆ แล้วฉันควรไล่ตามเสาะหาอะไรในการเชื่อในพระเจ้าของฉัน  เมื่อนึกย้อนกลับไป ความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของฉันช่างใหญ่โตนัก และถ้าฉันได้เลื่อนตำแหน่งและได้รับมอบบทบาทที่สำคัญจริงๆ ตามที่ฉันปรารถนา ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะโอหังขนาดไหนหรือจะทำความชั่วอะไรลงไป  มีตัวอย่างของความล้มเหลวเยี่ยงนั้นมากมายเหลือเกิน  มีผู้คนจำนวนมากที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างจริงใจในยามที่พวกเขาไร้สถานะ แต่พอมีสถานะขึ้นมา ความทะเยอทะยานของพวกเขาก็เติบโต พวกเขาเริ่มทำชั่วและหลอกลวงผู้คนให้ติดบ่วงที่ตนวางไว้  พวกเขากีดกันและข่มปรามคนอื่นเพื่อรักษาชื่อเสียง ผลตอบแทน และสถานะของตนเอง และผลก็คือพวกเขานำความย่อยยับมาให้ตัวเอง  ฉันมองเห็นว่าสำหรับคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง สถานะคือการฝึกฝนปฏิบัติและการทำให้เพียบพร้อม  แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง สถานะคือการทดลองและการเปิดเผย  ในเวลานั้นฉันยังไม่มีสถานะ และเพียงเพราะว่าฉันไม่ได้เลื่อนตำแหน่งหรือถูกมองว่าสำคัญ ฉันก็ขุ่นเคืองมากเสียจนไม่อยากทำหน้าที่ของตนเองด้วยซ้ำ  ฉันมองออกว่าตัวเองมีความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีอย่างมหาศาล ว่าถ้าฉันได้รับการส่งเสริมให้ทำหน้าที่ที่สำคัญจริงๆ แน่นอนว่าฉันจะล้มเหลวได้มากพอๆ กับคนที่เคยล้มเหลวไปแล้ว  ถึงตอนนี้ฉันรู้สึกจริงๆ ว่าพระเจ้าทรงอนุมัติให้ฉันไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้นำทีมหรือผู้ดูแล  พระเจ้าทรงใช้สภาพแวดล้อมนี้บีบให้ฉันหยุดและทบทวนตัวเอง เพื่อให้ฉันสามารถปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมของตนและเดินบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  สภาพแวดล้อมเช่นนี้คือสิ่งที่ชีวิตของฉันพึงต้องมี และเป็นการปกป้องคุ้มครองฉันอย่างมาก!  เมื่อคิดดังนี้ ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองไม่รู้เท่าทันและมืดบอดเหลือเกิน และไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้ามาโดยตลอด  ฉันเข้าใจพระเจ้าผิดและตำหนิพระองค์  ฉันทำร้ายพระทัยของพระเจ้าโดยแท้

หลังจากนั้นฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “พระเจ้าทรงต้องการให้ผู้คนมีหัวใจประเภทใด?  อันดับแรกคือหัวใจดวงนี้ต้องซื่อสัตย์ และพวกเขาต้องสามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างมีสติและมีเหตุผล สามารถค้ำจุนงานของคริสตจักร ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความมักใหญ่ใฝ่สูงอันยิ่งใหญ่’ หรือ ‘เป้าหมายอันสูงส่ง’ อีกต่อไป  ทุกย่างก้าวทิ้งรอยเท้าไว้ในขณะที่พวกเขาติดตามและนมัสการพระเจ้า พวกเขาประพฤติตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พวกเขาไม่ไล่ตามไขว่คว้าการเป็นบุคคลที่พิเศษหรือยิ่งใหญ่อีกต่อไป และยิ่งไม่ไล่ตามไขว่คว้าการมีอำนาจพิเศษ และพวกเขาไม่นมัสการสิ่งที่สร้างขึ้นบนดาวเคราะห์ต่างด้าว  นอกจากนั้นหัวใจดวงนี้ต้องรักความจริง  การรักความจริงมีความหมายหลักว่าอย่างไร?  การรักความจริงหมายถึงการรักสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก การมีสำนึกของความยุติธรรม การที่สามารถสละตนเองเพื่อพระเจ้าได้อย่างจริงใจ สามารถรักพระองค์ นบนอบพระองค์ และเป็นพยานยืนยันของพระองค์ได้อย่างแท้จริง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เงื่อนไขห้าประการที่ต้องทำเพื่อออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันได้รับการดลใจอย่างมาก  ฉันรู้สึกถึงความหวังและข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน  พระเจ้าไม่ได้มีพระประสงค์ให้ผู้คนมีชื่อเสียง ยิ่งใหญ่ หรือสูงส่ง  พระเจ้าไม่ได้ทรงขอให้พวกเราทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือมีความสำเร็จที่รุ่งโรจน์  พระเจ้าทรงหวังให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริง นบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์ และลุล่วงหน้าที่ของตนตามความเป็นจริงเท่านั้น  แต่ฉันไม่ได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและไม่รู้จักตัวเอง  ฉันอยากมีสถานะอยู่เสมอ อยากเป็นคนที่สูงส่งหรือทรงอำนาจ  เมื่อไม่มีสถานะและไม่มีใครสนใจ ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตที่หดหู่และไร้ประโยชน์  ฉันไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์หรือเหตุผลเอาเสียเลย  เห็นได้ชัดว่าฉันคือหญ้าที่อยากเป็นต้นไม้ นกฟินช์ที่อยากเป็นนกอินทรี และผลก็คือฉันฝืนพยายามจนตัวเองทุกข์ใจและอ่อนล้า  เมื่อตระหนักเช่นนี้ ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  ในอดีตนั้น ข้าพระองค์ไล่ตามไขว่คว้าสถานะ ชื่อเสียง และผลตอบแทนอยู่เสมอ อยากเป็นที่เลื่อมใสและสรรเสริญอยู่เสมอ  ข้าพระองค์ไม่พอใจที่จะทำหน้าที่ของตนอย่างไร้ความสำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงชังและรังเกียจ  บัดนี้ข้าพระองค์เข้าใจแล้วว่านี่คือหนทางที่ผิด  ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์  ไม่ว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งในภายภาคหน้าหรือไม่ก็ตาม ข้าพระองค์ก็จะไล่ตามเสาะหาความจริงโดยอยู่กับความเป็นจริงและปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี”  หลังจากอธิษฐานแล้ว ฉันรู้สึกโล่งเป็นอย่างมาก และรู้สึกใกล้ชิดกับพระเจ้ายิ่งขึ้น

ต่อมา ด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงได้รับความรู้บางอย่างเกี่ยวกับทัศนะที่ผิดพลาดของตนเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหา  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เวลาที่ใครสักคนได้รับการส่งเสริมให้ทำหน้าที่ผู้นำหรือคนทำงาน หรือได้รับการบ่มเพาะให้เป็นผู้ดูแลงานด้านเทคนิคบางอย่าง นี่ก็เป็นเพียงการที่พระนิเวศของพระเจ้าไว้วางใจมอบภาระให้พวกเขาทำเท่านั้น  เป็นพระบัญชา ความรับผิดชอบ และแน่นอนว่าเป็นหน้าที่พิเศษ โอกาสพิเศษอย่างหนึ่งด้วย นี่คือการยกชูเป็นพิเศษ และคนคนนี้ก็ไม่มีอะไรให้คุยโว  เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าให้การส่งเสริมและบ่มเพาะใครบางคน นี่ไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านี้มีตำแหน่งหรือสถานะพิเศษในพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อให้พวกเขาสามารถสุขสำราญกับการปฏิบัติและเอื้อประโยชน์ให้เป็นพิเศษ  ในทางกลับกัน หลังจากที่พระนิเวศของพระเจ้ายกชูพวกเขาเป็นพิเศษแล้ว พวกเขาย่อมมีภาวะอันดีเยี่ยมที่จะได้รับการฝึกฝนจากพระนิเวศของพระเจ้า ฝึกทำงานสำคัญบางอย่างของคริสตจักร และพร้อมกันนั้นพระนิเวศของพระเจ้าก็จะกำหนดมาตรฐานสำหรับคนคนนี้ให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาเป็นอย่างมาก  เมื่อคนคนหนึ่งได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะในพระนิเวศของพระเจ้า ย่อมหมายความว่าพวกเขาจะอยู่ภายใต้ข้อกำหนดที่เข้มงวดและการกำกับดูแลอันเคร่งครัด  พระนิเวศของพระเจ้าจะตรวจสอบและกำกับดูแลงานที่พวกเขาทำอย่างเข้มงวด และจะทำความเข้าใจและให้ความสนใจในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา  จากมุมมองเหล่านี้ ผู้คนที่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะจากพระนิเวศของพระเจ้าจะสุขสำราญกับการปฏิบัติที่เป็นพิเศษ สถานะพิเศษ และตำแหน่งที่เป็นพิเศษหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอน และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะสุขสำราญกับอัตลักษณ์พิเศษใดๆ  สำหรับผู้คนที่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะแล้ว ถ้าพวกเขารู้สึกว่าตนมีต้นทุนซึ่งก็คือผลจากการปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างมีประสิทธิผลอยู่บ้าง ด้วยเหตุนั้นจึงเฉื่อยชาและเลิกไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมมีอันตรายเวลาเผชิญบททดสอบและความทุกข์ร้อน  ถ้าผู้คนมีวุฒิภาวะน้อยเกินไป พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะไม่สามารถตั้งมั่นได้  บ้างก็บอกว่า ‘ถ้าใครได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะให้เป็นผู้นำ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมมีอัตลักษณ์  ต่อให้พวกเขาไม่ใช่หนึ่งในบรรดาบุตรหัวปี อย่างน้อยพวกเขาก็มีความหวังที่จะกลายเป็นประชากรคนหนึ่งของพระเจ้า  ฉันไม่เคยได้รับการส่งเสริมหรือบ่มเพาะเลย ดังนั้นฉันมีความหวังอะไรที่จะถูกนับว่าเป็นประชากรคนหนึ่งของพระเจ้า?’  การคิดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง  การที่จะได้เป็นประชากรคนหนึ่งของพระเจ้านั้น เจ้าต้องมีประสบการณ์ชีวิต และต้องเป็นคนที่เชื่อฟังพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้นำ คนทำงาน หรือผู้ติดตามทั่วไปก็ตาม ทุกคนที่มีความเป็นจริงความจริงย่อมเป็นประชากรคนหนึ่งของพระเจ้า  ต่อให้เจ้าเป็นผู้นำหรือคนทำงาน หากเจ้าไม่มีความเป็นจริงความจริง เจ้าก็เป็นคนออกแรงทำงานอยู่ดี(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (5))  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เข้าใจว่าการส่งเสริมและการบ่มเพาะในคริสตจักรไม่ได้หมายความว่าผู้คนมีสถานะพิเศษหรือได้รับการปฏิบัติด้วยเป็นพิเศษเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐในสังคมโลก  นั่นคือโอกาสให้ฝึกฝนปฏิบัติเท่านั้น เป็นเพียงความรับผิดชอบที่ใหญ่ขึ้นของผู้คน  การได้เลื่อนตำแหน่งและได้รับการบ่มเพาะหมายความแต่เพียงว่าคนคนหนึ่งกำลังเปลี่ยนจากหน้าที่หนึ่งไปยังอีกหน้าที่หนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าอัตลักษณ์และสถานะของบุคคลหนึ่งสูงกว่าคนอื่น และยิ่งไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้าใจความจริงหรือมีความเป็นจริงของความจริง  การไม่ได้เลื่อนตำแหน่งก็ไม่ได้หมายความว่าคุณอ่อนด้อย และไม่ได้หมายความว่าคุณไม่มีอนาคตและไม่อาจได้รับการช่วยให้รอด  สรุปว่าไม่ว่าคุณจะทำหน้าที่อะไร ไม่ว่าคุณจะได้เลื่อนตำแหน่งหรือไม่ พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเป็นธรรม และแต่ละคนต่างก็ได้รับโอกาสที่จะฝึกฝนปฏิบัติในหน้าที่ของตน  คริสตจักรจัดแจงเตรียมหน้าที่ทั้งหลายอย่างสมเหตุสมผลตามขีดความสามารถและจุดแข็งของแต่ละคน เพื่อให้แต่ละคนสามารถใช้ขีดความสามารถและจุดแข็งของตนได้อย่างเต็มที่  การนี้เป็นผลดีต่อทั้งงานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของพวกเราเอง  ไม่ว่าคุณจะได้รับการส่งเสริมให้รับหน้าที่สำคัญหรือไม่ ความคาดหวังที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนและการจัดหาให้แก่ทุกคนล้วนเหมือนกัน  พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริงและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนในระหว่างที่อยู่ในหน้าที่  เพราะฉะนั้นความรอดที่พระเจ้าทรงมีให้แก่ผู้คนจึงไม่เคยขึ้นอยู่กับสถานะหรือคุณสมบัติของพวกเขา กลับขึ้นอยู่กับท่าทีที่ผู้คนมีต่อความจริงและหน้าที่ของตน  ถ้าคุณเดินบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ขณะที่คุณทำหน้าที่อยู่นั้น คุณจะสามารถฝึกฝนปฏิบัติได้มากขึ้นและคุณจะก้าวหน้าต่อไปในชีวิต  ถ้าคุณไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ว่าสถานะของคุณจะสูงส่งขนาดไหน คุณก็ไปไม่รอด  ไม่ช้าก็เร็วคุณจะถูกปลดและถูกกำจัดออกไป  ที่ผ่านมาฉันไม่ได้เข้าใจการเลื่อนตำแหน่งอย่างถ่องแท้  ฉันนึกเสมอว่าการได้เลื่อนตำแหน่งคือการได้สถานะ และสถานะยิ่งสูง อนาคตและชะตากรรมของฉันก็จะยิ่งดีขึ้น  ผลก็คือฉันไม่ได้มุ่งไล่ตามเสาะหาความจริงในหน้าที่ของตน และเอาแต่ไล่ตามไขว่คว้าสถานะเท่านั้น  ฉันตระหนักในตอนนี้เองว่าทัศนะเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ นี้ช่างไร้สาระ!  ในความเป็นจริงแล้ว คริสตจักรให้โอกาสฉันฝึกฝนปฏิบัติ เพียงแต่ขีดความสามารถของฉันต่ำเกินกว่าที่จะทำกิจสำคัญกว่านี้ได้  แต่ฉันก็ไม่มีความตระหนักรู้ตัวเอง ฉันจึงรู้สึกอยู่เสมอว่าตัวเองมีความสามารถและอาจได้รับการส่งเสริมให้ทำงานที่สำคัญยิ่งขึ้นได้  ฉันไม่รู้จักตัวเองเลยจริงๆ  ไม่ว่าพวกเราจะทำงานอะไรในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเราทุกคนจำเป็นต้องเข้าใจความจริงและเข้าสู่หลักธรรมความจริงเพื่อให้งานของพวกเราสัมฤทธิ์ผลที่ดี  แต่ฉันไม่ได้เข้าใจความจริงและไม่สามารถทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแต่อย่างใด  ต่อให้ฉันได้เลื่อนตำแหน่ง ฉันจะทำประโยชน์อะไรได้?  ฉันมีแต่จะขวางทางเท่านั้นไม่ใช่หรือ?  แม้ว่าฉันจะอ่อนล้าจนสิ้นแรง ฉันก็จะพลอยกีดขวางงานของคริสตจักรไปด้วย  นั่นย่อมไม่คุ้มเลย  ถึงตอนนี้ฉันก็ตระหนักในที่สุดว่าหน้าที่ในปัจจุบันของฉันเหมาะสมกับฉันมากแล้ว  ฉันสามารถทำหน้าที่นี้ได้ และหน้าที่นี้ก็ทำให้ฉันได้ใช้จุดแข็งทั้งหลายของตัวเอง  นี่เป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของฉันเองและเป็นผลดีต่องานของคริสตจักร  ด้วยความรู้แจ้งและการชี้นำโดยพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงตระหนักรู้น้ำพระทัยของพระเจ้า ค้นพบที่ทางของตัวเอง รู้ว่าตัวเองควรทำหน้าที่อะไร และสภาวะที่คิดลบของฉันก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

หลังจากนั้น ชื่อเสียง ผลตอบแทน และสถานะควบคุมฉันได้น้อยลงมาก และฉันได้แบกรับภาระในหน้าที่ของตนเอง  ยามที่ฉันไม่ได้ยุ่งอยู่กับงาน ฉันก็ใช้เวลาว่างฝึกประกาศข่าวประเสริฐและฝึกเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า  เมื่อเห็นผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าและกระหายความจริงอย่างแท้จริงพากันยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันก็รู้สึกชูใจและสบายใจอย่างมาก  ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่าไม่สำคัญว่าคุณจะได้อยู่ในตำแหน่งที่สำคัญขนาดไหน สิ่งสำคัญคือคุณเล่นบทบาทของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในยามที่คุณปฏิบัติหน้าที่ของตนได้หรือไม่  นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด  คราวนี้แม้ว่าฉันมักจะได้ยินข่าวอยู่บ่อยๆ ว่าพี่น้องชายหญิงที่ฉันรู้จักบางคนได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ฉันก็สงบลงมากและไม่อิจฉาเหมือนที่เคยเป็นอีกแล้ว เพราะฉันรู้ว่าถึงแม้พวกเราจะทำหน้าที่ต่างกัน แต่พวกเราทุกคนล้วนเพียรพยายามที่จะไปให้ถึงจุดหมายเดียวกัน และทำอย่างสุดกำลังที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า  ตอนนี้ฉันค้นพบที่ทางของตัวเองแล้วในที่สุด  ฉันเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างตัวเล็กๆ  หน้าที่ของฉันคือเชื่อฟังการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง  ในอนาคตข้างหน้า ไม่ว่าหน้าที่ของฉันจะเป็นอะไร ฉันก็เต็มใจที่จะยอมรับ เชื่อฟัง และทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย

ก่อนหน้า: 54. ความเห็นแก่ตัวนั้นเลวทราม

ถัดไป: 56. หน้าที่ของฉันกลายเป็นเชิงธุรกรรมแลกเปลี่ยนไปได้อย่างไร?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger