ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (8)

แนวปฏิบัติแรกของการไล่ตามเสาะหาความจริง: การปล่อยมือ

I. ปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ

ก่อนหน้านี้พวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับแง่มุมหลักประการแรกว่าด้วยวิธีไล่ตามเสาะหาความจริง ซึ่งก็คือการปล่อยมือ  ในส่วนของการปล่อยมือนั้น พวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับแง่มุมแรกของการปฏิบัติ ซึ่งก็คือการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ  จุดมุ่งหมายในการชำแหละและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ ของผู้คนโดยหลักแล้วคือเพื่อจัดการแก้ไขแนวคิดและทัศนคติที่ไม่ถูกต้องและบิดเบือนซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านั้น  นั่นไม่ถูกต้องหรอกหรือ?  (ถูกต้อง)  กล่าวคือ ด้วยการแก้ไขภาวะอารมณ์เชิงลบในหัวใจของผู้คน พวกเรามุ่งหมายที่จะจัดการแก้ไขแนวคิดและทัศนคติที่เป็นลบต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายต่างๆ นานาซึ่งพวกเขาเก็บไว้ลึกภายในหัวใจของตน  แน่นอนว่าด้วยการเปิดโปงและชำแหละภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ รวมทั้งการจัดเตรียมแนวคิด ทัศนคติ และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับผู้คน ภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ ของผู้คนก็อาจจะได้รับการแก้ไขเช่นกัน  นี่ก็เพื่อให้ผู้คนไม่กังวลใจหรือถูกแนวคิดและทัศนคติที่ผิดพลาดและบิดเบือนพันธนาการเมื่อใดก็ตามที่สิ่งทั้งหลายบังเกิดขึ้นกับพวกเขา ไม่ว่าในชีวิตประจำวันหรือบนเส้นทางในชีวิตของตน และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเผชิญกับแต่ละวันรวมทั้งผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นกับพวกเขาในระหว่างแต่ละวันด้วยแนวคิดและทัศนคติที่ถูกต้องและเป็นบวกซึ่งตรงตามความจริง  ด้วยเหตุนี้เมื่อเผชิญกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายในชีวิตจริง พวกเขาจะไม่ตอบสนองด้วยความใจร้อน แต่จะดำเนินชีวิตภายในขอบเขตของมโนธรรมและเหตุผลตามปกติของมนุษย์ และจะสามารถจัดการและรับมือกับทุกสถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญหรือได้รับประสบการณ์ในชีวิตจริงและบนเส้นทางในชีวิตของตนได้อย่างมีเหตุผล โดยใช้หนทางที่ถูกต้องและแม่นยำที่พระเจ้าทรงสอนไว้  แง่มุมหนึ่งของการทำเช่นนี้คือเพื่อให้ผู้คนดำเนินชีวิตภายใต้การชี้นำและอิทธิพลจากแนวคิดและทัศนคติที่ถูกต้อง  อีกแง่มุมหนึ่งคือเพื่อให้พวกเขารับมือกับทุกสถานการณ์อย่างถูกต้องภายใต้การชี้นำและอิทธิพลจากแนวคิดและทัศนคติที่เป็นบวกเหล่านี้  แน่นอนว่าความสามารถในการรับมือกับทุกสถานการณ์อย่างถูกต้องไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด  เป้าหมายสูงสุดคือการสำเร็จลุล่วงสิ่งที่บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าควรสำเร็จลุล่วง ซึ่งก็คือการยำเกรงพระเจ้าและอยู่ให้ห่างจากความชั่ว นบนอบพระเจ้าและการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ นบนอบทุกสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงกำหนดขึ้น และแน่นอนว่านบนอบโชคชะตาของตนซึ่งพระองค์ทรงเป็นอธิปไตยเหนือโชคชะตาดังกล่าว และดำเนินชีวิตอย่างมีเหตุผลท่ามกลางทุกบุคคล เหตุการณ์ และเรื่องราว ในทุกสภาพแวดล้อม  โดยสรุปแล้วไม่ว่าพวกเรากำลังชำแหละและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับภาวะอารมณ์เชิงลบหรือแนวคิดและทัศนคติที่เป็นลบของผู้คน ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับเส้นทางที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรเดิน เส้นทางชีวิตที่พระเจ้าทรงประสงค์จากคนปกติธรรมดา  และแน่นอนว่านี่ยังเกี่ยวข้องกับหลักธรรมที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี ในแง่ของวิธีที่พวกเขามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วิธีที่พวกเขาวางตน รวมทั้งวิธีที่พวกเขาปฏิบัติตนด้วย  การปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ ดูจากลักษณะภายนอกแล้วเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแก้ไขภาวะอารมณ์เชิงลบของผู้คนรวมทั้งการจัดการแก้ไขแนวคิดและทัศนคติที่เป็นลบและลวงหลอกซึ่งถูกปกปิดไว้ภายใต้ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านั้น  แต่ในข้อเท็จจริงแล้วเจ้ายังสามารถกล่าวได้ว่าโดยแก่นสารแล้วนั่นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการชี้นำผู้คน การจัดเตรียมให้กับพวกเขา และการช่วยเหลือพวกเขา หรือเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสอนให้ผู้คนรู้วิธีวางตน และวิธีเป็นคนที่แท้จริงและปกติธรรมดา คนที่มีเหตุผล คนที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้พวกเขาเป็น ผู้ที่พระเจ้าทรงรัก และผู้ที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัย เมื่อเผชิญกับสภาพแวดล้อม ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายต่างๆ นานา  นั่นเป็นเช่นเดียวกับแง่มุมอื่นๆ ของหลักธรรมความจริง ในแง่ที่ว่าทั้งหมดนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับการวางตนของคนเรา  ภายนอกนั้นหัวข้อเกี่ยวกับการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ ดูเหมือนเกี่ยวข้องกับภาวะอารมณ์ที่เป็นธรรมดาโลกอย่างสิ้นเชิง หรือสภาวะที่ผู้คนกำลังดำเนินชีวิต ณ ชั่วขณะนี้  แต่ในความเป็นจริงแล้วภาวะอารมณ์เหล่านี้และสภาวะที่เรียบง่ายเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเส้นทางที่ผู้คนเดินและหลักธรรมซึ่งพวกเขาใช้ในการวางตน  จากมุมมองของคนคนหนึ่ง ภาวะอารมณ์เหล่านี้อาจดูเหมือนไร้นัยสำคัญและไม่ควรค่าที่จะกล่าวถึง  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภาวะอารมณ์เหล่านี้สัมพันธ์กับทัศนคติที่ผู้คนมีรวมทั้งมุมมองและจุดยืนที่พวกเขานำมาใช้เมื่อเผชิญกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายต่างๆ นานา ภาวะอารมณ์เหล่านี้จึงเกี่ยวข้องกับการวางตนของคนเรา  ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นก็คือ ภาวะอารมณ์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับวิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วิธีวางตน และวิธีปฏิบัติตน  เนื่องจากภาวะอารมณ์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับวิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วิธีวางตน และวิธีปฏิบัติตน ภาวะอารมณ์เชิงลบรวมทั้งแนวคิดและทัศนคติที่เป็นลบเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบและทบทวนในชีวิตประจำวันของผู้คนอยู่เป็นนิตย์  แน่นอนว่าเป็นเรื่องจำเป็นเช่นกันที่ผู้คนสามารถแก้ไขตัวเองให้ถูกต้องได้โดยทันทีเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาค้นพบในระหว่างกระบวนการทบทวนว่าตนมีภาวะอารมณ์เชิงลบหรือแนวคิดและทัศนคติที่เป็นลบและลวงหลอก รวมทั้งสามารถแทนที่ภาวะอารมณ์เชิงลบและแนวคิดและทัศนคติที่ลวงหลอกเหล่านี้ด้วยความคิดและทัศนคติที่เป็นบวกและถูกต้องซึ่งตรงตามหลักธรรมความจริงได้โดยทันที  การนี้ทำให้พวกเขาสามารถมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตน และกระทำการโดยมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นรากฐานและโดยมีความจริงเป็นเกณฑ์กำหนด  และยังเป็นหนทางให้อุปนิสัยของผู้คนได้รับการแปรเปลี่ยนเพื่อที่พวกเขาจะได้ตรงตามพระเจ้า และเพื่อสัมฤทธิ์ความยำเกรงพระเจ้าและอยู่ให้ห่างจากความชั่ว  สิ่งทั้งหลายข้างต้นที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปโดยพื้นฐานแล้วคือรายละเอียดสำคัญของแง่มุมแรก “การปล่อยมือ” ใน “ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร”  แน่นอนว่าท่ามกลางภาวะอารมณ์ต่างๆ ของมนุษย์ยังมีสิ่งที่เป็นลบเล็กๆ ที่เฉพาะเจาะจงบางอย่างหรือภาวะอารมณ์เชิงลบพิเศษบางอย่างที่ไม่มีลักษณะเป็นตัวแทนเลยแม้แต่น้อย และซึ่งสัมพันธ์กับความคิดและทัศนคติที่เป็นลบหรือลวงหลอกบางอย่างอีกด้วย  ภาวะอารมณ์เชิงลบหรือความคิดและทัศนคติที่ลวงหลอกเหล่านี้อาจกล่าวได้ว่ามีผลกระทบขั้นต่ำที่สุดต่อผู้คน ดังนั้นพวกเราจึงจะไม่สามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้แต่ละรายการโดยละเอียดเพิ่มเติม

ภาวะอารมณ์เชิงลบทั้งหมดที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปก่อนหน้านี้โดยพื้นฐานแล้วสามารถแสดงถึงประเด็นปัญหาที่มีอยู่ในชีวิตจริงของผู้คนหรือบนเส้นทางในชีวิตของพวกเขา  ภาวะอารมณ์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับทัศนคติต่างๆ ว่าด้วยวิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวิธีวางตนและปฏิบัติตน  ความคิดและทัศนคติที่เป็นลบต่างๆ เหล่านี้ว่าด้วยวิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายรวมทั้งวิธีวางตนและปฏิบัติตนซึ่งเกี่ยวข้องกับทิศทางที่กว้างขวางกว่า หลักธรรมหลักๆ และการไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้คน  ดังนั้นผู้คนจึงควรจัดการแก้ไขและปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ภายในความคิดและทัศนคติของตน  เรื่องบางเรื่องที่เป็นเรื่องเฉพาะและไม่มีลักษณะของการเป็นตัวแทนหรือเป็นเรื่องส่วนบุคคลมากกว่าซึ่งยังคงอยู่—เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ชีวิตส่วนบุคคล และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน—ไม่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมหลักๆ เกี่ยวกับวิธีที่คนเรามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย และวิธีที่พวกเขาวางตนและปฏิบัติตน และอาจกล่าวได้ว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับการจำแนกความต่างระหว่างสิ่งที่เป็นบวกกับสิ่งที่เป็นลบ  ดังนั้นเรื่องเหล่านี้จึงไม่อยู่ภายในขอบเขตของหัวข้อที่เรากำลังสามัคคีธรรมกันอยู่  ตัวอย่างเช่น เมื่อใครบางคนพูดว่า “ฉันชอบสิ่งทั้งหลายที่มีสีดำ” นั่นคืออิสรภาพของพวกเขา เป็นรสนิยมและความชอบส่วนบุคคลของพวกเขา  นี่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมใดบ้างหรือไม่?  (ไม่ ไม่เกี่ยวข้อง)  ไม่เกี่ยวข้องกับวิธีที่คนเรามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย นับประสาอะไรที่จะเกี่ยวข้องกับวิธีที่พวกเขาวางตนและปฏิบัติตน  ตัวอย่างเช่น ใครบางคนที่สวมแว่นตาด้วยเหตุที่สายตาสั้นพูดว่า “ฉันชอบกรอบแว่นที่มีขอบทอง”  และคนอื่นก็พูดว่า “ขอบทองล้าสมัยมาก  ฉันชอบแว่นตาที่ไม่มีกรอบ”  นี่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมทั้งหลายว่าด้วยวิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวิธีวางตนและปฏิบัติตนหรือไม่?  (ไม่ ไม่เกี่ยวข้อง)  นี่ไม่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมทั้งหลายว่าด้วยวิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวิธีวางตนและปฏิบัติตน  ผู้อื่นพูดว่า “ฉันมีภาวะอารมณ์เชิงลบเกี่ยวกับงานบ้านและการทำความสะอาดในชีวิตประจำวัน  ฉันรู้สึกอยู่เสมอว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาและทำให้ชีวิตของฉันเหนื่อยล้า  แม้แต่การกินก็เป็นความยุ่งยาก  การเตรียมอาหารใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมง และหลังจากกินแล้ว ฉันยังต้องล้างจานชาม ทำความสะอาดหม้อ และดูแลครัวให้เป็นระเบียบเรียบร้อย รวมทั้งสิ่งทั้งหลายที่น่ารำคาญเป็นพิเศษอีกด้วย”  ผู้อื่นก็ยังคงพูดอยู่ดีว่า “ชีวิตเป็นปัญหายิ่งนัก  เสื้อผ้าของคุณก็ต้องเปลี่ยนทุกฤดูกาล แต่ถึงกระนั้นในฤดูร้อนก็ร้อนเกินไปไม่ว่าเสื้อผ้าของคุณจะบางเพียงใด และในฤดูหนาวก็เย็นเกินไปไม่ว่าเสื้อผ้าของคุณจะหนาเพียงใด  ร่างทางกายภาพนี้เป็นความเจ็บปวดจริงๆ!”  เมื่อผมของพวกเขาเริ่มสกปรก พวกเขาไม่ต้องการสระผม แต่เมื่อพวกเขาไม่สระผมก็มีอาการคัน  พวกเขามีกลิ่นอายของความง่วงซึมและความไม่เป็นระเบียบ  พวกเขาไม่สามารถหลบรอดการไม่สระผมไปได้ แต่พวกเขาก็ฉุนเฉียวขึ้นมาเวลาที่สระผม คิดว่า “การไม่มีผมก็ดีมากไม่ใช่หรือ?  การตัดผมและสระผมตลอดเวลานั้นน่ารำคาญมาก!”  นี่ใช้ภาวะอารมณ์เชิงลบหรือไม่?  (ใช่)  ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ควรถูกแก้ไขอย่างไร?  ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ ที่ควรปล่อยมือไปหรือไม่?  (ไม่ ไม่ใช่)  เหตุใดจึงไม่ใช่?  (นี่เป็นเพียงแค่นิสัยและประเด็นปัญหาบางอย่างซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตทางกายภาพของร่างกาย)  ผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงวัยผู้ใหญ่ สามารถรับมือกับเรื่องในชีวิตประจำวันอันหยุมหยิมเหล่านี้ เช่น การชำระล้าง การดูแลให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และการทำความสะอาดเอง  ผู้ชายแย่กว่าเล็กน้อย  พวกเขามีแนวโน้มที่จะพบว่าการหุงหาอาหาร การซักผ้า และงานบ้านเป็นปัญหา  พวกเขาดิ้นรนเป็นพิเศษเมื่อเป็นเรื่องของการซักผ้า  พวกเขาควรซักผ้าหรือไม่?  พวกเขาไม่รู้สึกว่าอยากทำ  พวกเขาไม่ควรซักผ้าใช่ไหม?  เสื้อผ้าสกปรกเกินไป และพวกเขาก็วิตกกังวลว่าตนจะถูกเย้ยหยัน ดังนั้นพวกเขาจึงแค่ล้างน้ำเปล่าเป็นเวลาหนึ่งวินาที  ผู้ชายและผู้หญิงมีแนวทางและท่าทีต่อการรับมือกับเรื่องในชีวิตประจำวันอันหยุมหยิมเหล่านี้อย่างแตกต่างกันเล็กน้อย  ผู้หญิงมีแววที่จะละเอียดลออและพิถีพิถันมากกว่า ใส่ใจต่อความสะอาดและรูปลักษณ์ ในขณะที่ผู้ชายอาจค่อนข้างหยาบในการรับมือกับกิจธุระเหล่านี้  แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติกับเรื่องนั้น  การยุ่งเหยิงเกินไปเป็นเรื่องที่ไม่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้ากำลังใช้ชีวิตกับคนอื่น เจ้าย่อมจะเปิดโปงข้อตำหนิของเจ้ามากเกินไปและนี่จะทำให้ผู้อื่นไม่ชอบเจ้า  ข้อตำหนิเหล่านี้คือข้อเสียหายในความเป็นมนุษย์ของเจ้า และเจ้าควรเอาชนะข้อตำหนิเหล่านั้นที่ควรเอาชนะ และแก้ไขข้อตำหนิเหล่านั้นที่ควรแก้ไข  จงขะมักเขม้นมากขึ้นสักหน่อย จัดระเบียบสิ่งทั้งหลายในพื้นที่อยู่อาศัยของเจ้า พับผ้าและผ้าห่มของเจ้าให้ถูกควร รวมทั้งทำความสะอาดและจัดระเบียบสภาพแวดล้อมในการทำงานของเจ้าวันเว้นวันหรือสองสามวันครั้ง เพื่อไม่ให้รบกวนผู้อื่น—เรียบง่ายขนาดนั้นจริงๆ  ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าต้องรู้สึกถูกท้าทายใช่ไหม?  (ไม่มี)  ในส่วนที่ว่าตัวเจ้าเองอาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อยแค่ไหนนั้นไม่เป็นไรเลย ตราบที่ไม่กระทบต่ออารมณ์ของผู้อื่น  นี่คือมาตรฐาน  หากเจ้าไม่อาบน้ำ ไม่สระผม และไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นช่วงเวลายาวนาน เจ้าย่อมเริ่มมีกลิ่น และไม่มีใครต้องการอยู่ใกล้เจ้า นั่นย่อมไม่เป็นการดี  เจ้าควรชำระร่างกายและทำให้ตัวเองสามารถแสดงตัวได้ อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อไม่ให้กระทบต่ออารมณ์ของผู้อื่น  พวกเขาไม่ควรจำเป็นต้องปิดจมูกหรือปากของตนขณะที่กำลังพูดกับเจ้าและรู้สึกอับอายเพราะเจ้า  หากผู้อื่นปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนี้และเจ้าไม่ถือสาและไม่ใส่ใจ เช่นนั้นเจ้าย่อมสามารถดำเนินชีวิตในหนทางนั้นต่อไปได้  ไม่มีใครกำหนดข้อเรียกร้องที่เกินเลยใดๆ กับเจ้า  ตราบที่เจ้าสามารถยอมรับเรื่องนั้นได้  แต่หากเจ้ารู้สึกอับอาย ให้พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อจัดการกับสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตและสุขอนามัยส่วนบุคคลของเจ้า เพื่อที่ผู้อื่นจะได้ไม่ถูกสิ่งเหล่านี้รบกวน  เป้าหมายไม่ใช่การวางภาระหรือความเครียดเกินควรอันใดกับชีวิตของเจ้าเองหรือการพิจารณาความรู้สึกของผู้อื่น  จงอย่าใช้แรงกดดันหรือบังคับใช้อิทธิพลของเจ้ากับผู้อื่น  นี่คือข้อกำหนดขั้นต่ำสำหรับมโนธรรมและเหตุผลปกติของมนุษย์  หากเจ้าไม่มีแม้เพียงแค่นี้ เจ้าจะสามารถวางตนด้วยความถูกต้องตามทำนองคลองธรรมได้อย่างไร?  ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ซึ่งใครบางคนที่มีความเป็นมนุษย์ปกติควรสามารถบรรลุได้ไม่พึงต้องมีการอธิบายมาก  พระนิเวศของพระเจ้าไม่จำเป็นต้องให้การมอบหมายหรือคำสั่งที่เฉพาะเจาะจงกับเจ้า  เจ้าควรสามารถจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง  เรื่องส่วนบุคคลที่เรากล่าวถึงข้างต้นไม่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมหรือกฎเกณฑ์ในเรื่องวิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วิธีวางตน และวิธีปฏิบัติตน  ดังนั้นเจ้าจึงสามารถพึ่งพามโนธรรมและเหตุผลที่เป็นพื้นฐานที่สุดของมนุษย์เพื่อรับมือกับสิ่งเหล่านี้  คนที่มีมโนธรรมและเหตุผลปกติของมนุษย์ควรมีสติปัญญาในระดับนี้  ไม่มีความจำเป็นต้องทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ และที่มากไปกว่านั้น เรื่องยิบย่อยที่ไม่สลักสำคัญเหล่านี้ไม่ควรถือเป็นประเด็นปัญหาที่พึงต้องใช้ความเข้าใจหรือการแก้ไขปัญหาผ่านทางการไล่ตามเสาะหาความจริง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ว่าบุคคลใดที่มีความเป็นมนุษย์ปกติก็สามารถสำเร็จลุล่วงได้  แม้แต่สุนัขตัวเล็กๆ ก็เข้าใจว่าการทำตัวให้ดีหมายถึงอะไร  หากมนุษย์ไม่เข้าใจเรื่องที่ว่านั้น เช่นนั้นพวกเขาย่อมห่างไกลมาตรฐานของการเป็นมนุษย์มิใช่หรือ?  (ใช่)  เรามีสุนัขที่เลี้ยงไว้ตัวหนึ่ง  สุนัขตัวนี้ดูดีเป็นพิเศษ มีดวงตาใหญ่ ปากกว้าง และจมูกรูปทรงดี  ครั้งหนึ่งมันแย่งอาหารกับลูกของมันเอง แล้วเจ้าลูกสุนัขก็กัดจมูกมัน  หลังจากนั้นก็มีแผลเล็กน้อยตรงกลางจมูก ซึ่งทำให้มันมีหน้าตาไม่สวยงาม  เราทายาที่แผลทันทีแล้วพูดว่า “ตอนนี้พวกเราจะทำอะไรได้ล่ะ?  หากสุนัขที่ดูดีตัวหนึ่งถูกทิ้งให้อยู่กับรอยแผลเป็น นั่นคงจะเป็นภาพที่แย่จริงๆ!”  เราบอกมันว่า “ตั้งแต่นี้ไป เวลาที่พวกเราออกไปข้างนอก อย่าตามพวกเรามานะ  ถ้าคนเห็นรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเจ้า พวกเขาจะคิดว่าเจ้าดูน่าเกลียด”  หลังจากได้ยินเช่นนี้ มันก็ทำเสียงว่ายอมรับ จ้องมองอย่างเลื่อนลอยอยู่สักครู่ แล้วก็เบิกดวงตากว้าง  เราพูดต่อว่า “เจ้าบาดเจ็บ  เจ้ามีแผลใหญ่ขนาดนั้นบนจมูก คนคงจะหัวเราะเยาะเจ้าถ้าพวกเขาเห็น  เจ้าต้องพักผ่อนและรักษาตัว  เจ้าจะติดตามพวกเราออกไปไม่ได้จนกว่าเจ้าจะหายดีแล้ว”  หลังจากได้ยินคำพูดของเรา มันไม่ได้ทำเสียงอีก และไม่ได้ยืนกรานที่จะออกไปข้างนอก  เราคิดว่า แม้แต่สุนัขก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร  หลังจากผ่านไปสักพักรอยแผลนั้นก็ตกสะเก็ดและดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นเราจึงพามันออกไปข้างนอก  พี่น้องหญิงคนหนึ่งเห็นเจ้าสุนัขตัวน้อยแล้วถามว่า “ว่าไง เกิดอะไรขึ้นกับจมูกของเจ้า?”  หลังจากได้ยินเช่นนั้น มันก็หันหัวแล้ววิ่งไปโดยไม่หันกลับมามอง ตรงไปที่รถ ไม่ยอมกลับมา  ตอนที่พี่น้องหญิงคนนี้เริ่มคุยกับมัน มันทำตัวดี ดื่มน้ำที่พี่น้องหญิงคนนี้ให้  มันไม่ได้วิ่งหนีไป  แต่ทันทีที่เธอถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับจมูกของเจ้า?” มันก็หันหัวและวิ่งไปโดยไม่หันกลับมามอง  เมื่อพวกเรากลับมาถึงบ้าน เราถามมันว่า “จมูกของเจ้าได้รับบาดเจ็บ ทำไมเจ้าถึงวิ่งหนีไปตอนที่พี่น้องหญิงคนนี้ถามเรื่องนี้กับเจ้าล่ะ?  เจ้าอายหรือ?”  มันมองเราโดยแสดงออกถึงความอาย ก้มหัวอยู่ตลอดและรู้สึกอับอายเกินไปที่จะมองเรา  มันเข้ามาคลอเคลียแขนเรา ยอมให้เราลูบคลำและกอดมันไว้  เราบอกมันว่า “เจ้าจะสู้กับลูกของตัวเองอีกไม่ได้แล้วนะ  ถ้าเจ้าได้รับบาดเจ็บและเกิดแผลเป็นอีก เจ้าอาจจะดูน่าเกลียด  คนจะหัวเราะเยาะเจ้า  เจ้าจะเอาหน้าไปซ่อนไว้ที่ไหน?”  ดูสิ แม้แต่สุนัขตัวน้อยๆ อายุห้าปียังรู้ว่าการรู้สึกอับอายหมายถึงอะไร  มันรู้จักการซ่อนตัวจากคนเพราะใบหน้าของมันได้รับบาดเจ็บและกลัวว่าจะถูกหัวเราะเยาะ  หากสุนัขตัวน้อยๆ มีสติปัญญาในระดับนี้ มนุษย์ไม่ควรมีด้วยหรอกหรือ?  (ควร)  มนุษย์ควรมีสติปัญญาในระดับนี้ กล่าวคือนั่นควรเป็นบางสิ่งที่พวกเขามีภายในขอบเขตของเหตุผลของตน  การทำตัวดีหมายความว่าอย่างไร?  การกลายเป็นได้รับการทำให้เจริญและการไม่ถูกผู้อื่นไม่ชอบหรือผลักใสหมายความว่าอย่างไร?  เจ้าควรมีมาตรฐานนี้ภายในตัวเอง  นี่เป็นเรื่องที่เรียบง่ายที่สุดในชีวิตประจำวัน และด้วยมโนธรรมและเหตุผลปกติของมนุษย์ เจ้าย่อมสามารถรับมือกับสิ่งทั้งหลายได้อย่างถูกต้องแม่นยำโดยไม่จำเป็นต้องสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริง เช่น การแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือภาวะอารมณ์เชิงลบของผู้คน  แน่นอนว่าหากเจ้าใช้ชีวิตในบ้านของตัวเอง เจ้าย่อมสามารถยุ่งเหยิงได้เล็กน้อย มาตรฐานต่างๆ ไม่เข้มงวดอย่างนั้น  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าใช้ชีวิตร่วมกับพี่น้องชายหญิง เจ้าต้องมั่นใจว่าความเป็นมนุษย์ปกติของเจ้านั้นได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี  แม้พวกเราไม่มีข้อกำหนดเฉพาะเจาะจงหรือมาตรฐานที่เข้มงวดใดๆ สำหรับเรื่องนี้ แต่ในฐานะมนุษย์ปกติคนหนึ่ง เจ้าควรมีสำนึกถึงเรื่องเหล่านี้  นี่คือสิ่งทั้งหลายซึ่งคนที่มีความเป็นมนุษย์ปกติควรทำและควรมี  สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับความคิด ทัศนคติ มุมมอง หรือจุดยืนว่าด้วยวิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วิธีวางตน และวิธีปฏิบัติตน และแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับเส้นทาง ทิศทาง หรือเป้าหมายในชีวิตที่ใหญ่กว่า  ด้วยเหตุนี้การที่เจ้าแก้ไขเรื่องเหล่านี้ตามข้อกำหนดของมโนธรรมและเหตุผลปกติของมนุษย์ย่อมจะเป็นเรื่องดีที่สุด เพื่อที่ผู้อื่นจะได้ไม่ซุบซิบนินทาหรือขยะแขยงเจ้าเพราะสิ่งเหล่านี้  ในส่วนนิสัยส่วนบุคคล งานอดิเรก ความแตกต่างในบุคลิก หรือทางเลือกเกี่ยวกับเรื่องทั้งหลายซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับหลักธรรม สิ่งเหล่านี้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความคิดและทัศนคติ เจ้าเป็นอิสระที่จะเลือกและระวังกิริยามารยาทของเจ้าเอง  พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่แทรกแซง  พระเจ้าประทานเจตจำนงอันเสรีและมโนธรรมและเหตุผลพื้นฐานให้กับผู้คน ทรงยอมให้บุคคลเลือกความสนใจ งานอดิเรก และนิสัยของตนเอง หรือรูปแบบการใช้ชีวิตที่เหมาะสมกับบุคลิกของตน  ไม่มีใครมีสิทธิที่จะตีกรอบ พันธนาการ หรือโยนความผิดให้เจ้า  ในส่วนเกี่ยวกับเรื่องทั้งหลายที่ไม่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริงหรือข้อกำหนดของพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์ หากกล่าวให้ชัดเจนก็คือ เรื่องทั้งหลายที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วิธีวางตน และวิธีปฏิบัติตน ผู้คนมีสิทธิที่จะเลือกหนทางในชีวิตของตนเองอย่างอิสระโดยปราศจากการแทรกแซงใดๆ จากผู้อื่น  หากผู้นำ หัวหน้ากลุ่ม หรือหัวหน้างานวิพากษ์วิจารณ์หรือแทรกแซงเจ้าในส่วนเกี่ยวกับเรื่องทั้งหลายส่วนบุคคล เจ้าย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธพวกเขา  สรุปสั้นๆ ก็คือ เรื่องเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ปกติเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้อกำหนดจากพระวจนะของพระเจ้าหรือหลักธรรมความจริง  ตราบที่เจ้ารู้สึกสบายใจและเหมาะสม และพฤติกรรมของเจ้าไม่รบกวนหรือมีผลกระทบอันใดต่อผู้อื่น นั่นย่อมดีอยู่แล้ว  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าเพลิดเพลินกับการแต่งกายและเป็นระเบียบเรียบร้อยเสมอ ตราบที่เจ้าไม่ส่งผลต่อผู้อื่น นั่นย่อมไม่เป็นปัญหา  แต่หากเป็นเวลาดึกแล้วและผู้อื่นจำเป็นต้องเข้านอนตอนห้าทุ่ม แต่เจ้าก็ยังคงซักผ้าหรือทำความสะอาดอยู่ นั่นย่อมไม่เป็นที่ยอมรับ  หากเจ้าอยู่ในบ้านของตัวเองและไม่ได้กำลังส่งผลต่อชีวิตของคนอื่น เจ้าย่อมสามารถอยู่ดึกทั้งคืนจนถึงตี่สี่หรือตีห้าหากเจ้าต้องการ  นั่นคืออิสรภาพของเจ้า  อย่างไรก็ตาม ด้วยบัดนี้เจ้ากำลังใช้ชีวิตร่วมกับพี่น้องชายหญิง การกระทำของเจ้าย่อมจะส่งผลกระทบต่อกิจวัตรและตารางเวลาประจำวันของพวกเขา  นั่นไม่ดีเลย  ด้วยการทำเช่นนี้เจ้าไม่ได้กำลังใช้สิทธิและอิสรภาพของตนอย่างถูกต้อง แทนที่จะเป็นเช่นนั้นเจ้ากลับดื้อรั้น ซึ่งเรียกว่าการขาดพร่องความเป็นมนุษย์  เพื่อประโยชน์แห่งอิสรภาพของเจ้าเองและเพื่อสนองความชอบและความอยากของเนื้อหนังของเจ้าเอง เจ้ารบกวนชีวิตของผู้อื่นและถึงขั้นสละเวลาที่จะพักผ่อนของพวกเขาด้วยซ้ำ  พฤติกรรมนี้ไม่ตรงกับมโนธรรมและเหตุผลปกติของมนุษย์  เรื่องนี้จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลักธรรมแห่งการวางตน   นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่ามีบางสิ่งผิดปกติกับรูปแบบการใช้ชีวิตส่วนบุคคลหรือนิสัยรักความสะอาดหรือไม่  แต่เป็นเรื่องของปัญหากับหลักธรรมเกี่ยวกับวิธีวางตน  เจ้าไม่คำนึงถึงความรู้สึก อารมณ์ หรือผลประโยชน์ของผู้อื่น  เจ้าปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของตัวเองโดยแลกกับการสูญเสียของผู้อื่น  การประพฤติตนในหนทางนี้ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของพระเจ้าในการวางตนและไม่เป็นไปตามหลักธรรมแห่งการวางตนซึ่งพระเจ้าทรงกำหนด  ดังนั้นความชอบ ผลประโยชน์ ทางเลือกในรูปแบบการใช้ชีวิต นิสัย อิสรภาพ สิทธิใดๆ ฯลฯ เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ปกติต้องอยู่ภายในขอบเขตของมโนธรรมและเหตุผลของคนคนหนึ่งเพื่อที่จะพิจารณาว่าเป็นความเป็นมนุษย์ปกติ  หากสิ่งเหล่านี้เกินขอบเขตของมโนธรรมและเหตุผลปกติของมนุษย์ เช่นนั้นนั่นย่อมไม่ใช่ความเป็นมนุษย์ปกติใช่ไหม?  (ไม่ใช่)  ภายในขอบเขตของมโนธรรมและเหตุผลปกติของมนุษย์ เจ้ากำลังประพฤติตนเช่นคนปกติธรรมดา  หากเจ้าไปไกลเกินขอบเขตของมโนธรรมและเหตุผลปกติของมนุษย์และยังคงเน้นย้ำอิสรภาพของตน เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่ได้กำลังปฏิบัติตนเช่นคนปกติธรรมดา เจ้าต่ำกว่ามนุษย์  นี่คือบางสิ่งที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงและควรเป็นที่ชัดเจน  อะไรควรเป็นที่ชัดเจน?  ควรเป็นที่ชัดเจนว่าเรื่องส่วนบุคคลเหล่านี้ควรรับมือภายในขอบเขตของมโนธรรมและเหตุผลปกติของมนุษย์ และนี่คือหลักธรรมเกี่ยวกับการวางตน  นิสัยส่วนบุคคล ข้อเรียกร้อง ทางเลือกในรูปแบบการใช้ชีวิตของเจ้า ฯลฯ ล้วนขึ้นอยู่กับเจ้า ตราบที่สิ่งเหล่านี้ไม่เกินขอบเขตของมโนธรรมและเหตุผลปกติของมนุษย์  ไม่มีข้อกำหนดเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้

ในส่วนแรกที่ว่าควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไรนั้น “การปล่อยมือ” ในเรื่องของการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ เช่น ความด้อยกว่า ความเกลียดชัง ความโกรธ ความหดหู่ ความทุกข์ใจ ความวิตกกังวล ความกระวนกระวาย และความเก็บกด โดยพื้นฐานแล้วนี่คือประเด็นปัญหาหลักๆ ในด้านทิศทางและประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมที่พวกเราจำเป็นต้องสามัคคีธรรมกัน  ในส่วนประเด็นปัญหารองๆ ที่ไม่สำคัญซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมหรือทิศทาง ก่อนหน้านี้พวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับประเด็นปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นที่เข้าใจได้  ในส่วนความลังเล ความไม่พึงพอใจ ความไม่พอใจ และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน เจ้ามีความรู้สึกต่อประเด็นปัญหาของตัวเอง ตราบที่ประเด็นปัญหาเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับความคิดและทัศนคติที่ถ่องแท้และไม่เกี่ยวพันกับหลักธรรมเกี่ยวกับวิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย หรือวิธีที่พวกเขาวางตนและปฏิบัติตน ประเด็นปัญหาเหล่านี้ย่อมเป็นเรื่องส่วนบุคคลของเจ้าเอง  เจ้าจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนและจัดการแก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านี้ภายในขอบเขตของมโนธรรมและเหตุผลของตน  ตัวอย่างเช่น เจ้าหิวและไม่รู้สึกว่าอยากทำอาหาร แต่เจ้าก็อ่อนแอเกินไปที่จะทำงานเมื่อท้องว่าง และเวลาที่เจ้าทำอาหารจริงๆ เจ้าก็ฉุนเฉียวขึ้นมา  เจ้าอาจจะคิดว่า “นี่ใช่ภาวะอารมณ์เชิงลบหรือไม่?”  นี่ไม่ใช่ภาวะอารมณ์เชิงลบ แต่เป็นความเกียจคร้านทางกายภาพและความไม่ชอบทำอาหารของเจ้า  นี่เป็นเรื่องของเนื้อหนังที่เสื่อมทรามของเจ้า  หากภาวะทางการเงินอำนวย เจ้าสามารถจ้างใครสักคนช่วยเจ้าทำอาหารได้  หากเจ้าไม่มีวิถีทางทางการเงิน เช่นนั้นเจ้าย่อมสามารถทำได้เพียงแก้ไขประเด็นปัญหานี้ด้วยตัวเองเท่านั้น  ผู้อื่นไม่ได้มีภาระผูกพันที่จะต้องแก้ไขปัญหาชีวิตเหล่านี้ให้กับเจ้า นี่เป็นความรับผิดชอบของตัวเจ้าเอง  งานที่เป็นธรรมดาโลกเรื่องการกิน การแต่งกาย และการชำระล้างเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์  สิ่งเหล่านี้เป็นลักษณะประจำตัวของการดำรงอยู่ของมนุษย์  มนุษย์นั้นแตกต่างไปจากแมวและสุนัข  ทันที่ที่เจ้ารับลูกแมวหรือลูกสุนัขมาเลี้ยง เจ้าย่อมรับผิดชอบต่ออาหารและน้ำดื่มของลูกแมวหรือลูกสุนัขดังกล่าว  เวลาที่มันหิว เจ้าจำเป็นต้องป้อนอาหารให้มัน  แต่นี่จะใช้ไม่ได้กับมนุษย์ มนุษย์ต้องดูแลและแบกรับภาระแง่มุมเหล่านี้ของชีวิตด้วยตัวเอง  นี่ไม่ใช่ภาระ การเรียนรู้ที่จะรับมือกับสิ่งเหล่านี้อย่างถูกควรเป็นบางสิ่งที่คนที่มีความเป็นมนุษย์ปกติสามารถสัมฤทธิ์ได้  เป็นเพียงแค่ว่าบางคนอาจจะรู้สึกว่าพวกเขาไม่เคยทำสิ่งเหล่านี้มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์บางคนซึ่งบิดามารดาหรือสมาชิกในครอบครัวช่วยพวกเขาให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและพะเน้าพะนอพวกเขามากมาย พวกเขาจึงไม่เคยเรียนรู้วิธีทำอาหาร ซักผ้า หรือดูแลสิ่งทั้งหลายในชีวิตของตนเอง  นี่คือผลลัพธ์จากสภาพแวดล้อมในครอบครัว  อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกเขาผละจากบิดามารดาและเริ่มใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระ พวกเขาก็สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง รวมทั้งซักผ้าและจัดเตียงให้เรียบร้อย  ที่จริงแล้วนี่คือสิ่งทั้งหลายที่ความเป็นมนุษย์ปกติสามารถสัมฤทธิ์ได้  นี่ไม่ใช่งานที่ยากสำหรับผู้ใหญ่ไม่ว่าคนใด และแน่นอนว่าไม่มากเกินไป  ปัญหาเหล่านี้แก้ไขได้ง่าย  หากเจ้ามีมาตรฐานในคุณภาพชีวิตของตนที่สูงกว่า เช่นนั้นเจ้าย่อมสามารถทำได้ดียิ่งขึ้น  หากเจ้ามีความคาดหวังที่น้อยกว่าหรือเข้มงวดน้อยกว่าในคุณภาพชีวิตของตน เช่นนั้นเจ้าย่อมสามารถปล่อยตามสบายในเรื่องนั้นได้มากขึ้น  เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับหลักธรรม

II. ปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า ความใฝ่ฝัน และความอยากได้อยากมีของผู้คน

ในส่วนเกี่ยวกับหัวข้อหลักประการแรกที่ว่าควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไรนั้น—การปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ—พวกเรามาสรุปสามัคคีธรรมของพวกเราตรงนี้กันเถิด เนื่องจากโดยพื้นฐานแล้วเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว  ถัดไป ในขั้นตอนของการไล่ตามเสาะหาความจริง นอกจากการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบ คนเราควรปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากส่วนบุคคลด้วยเช่นกัน  นี่คือแง่มุมหลักประการที่สองของ “การปล่อยมือ” ในการปฏิบัติที่ว่าควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร ซึ่งพวกเราจะสามัคคีธรรมกันในวันนี้  การละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน—เจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ พวกเราเข้าใจ)  เราเพิ่งกล่าวถึงเป้าหมายของการปฏิบัติ “การปล่อยมือ” ที่เฉพาะเจาะจงนี้ และพวกเจ้าก็ได้จดบันทึกเป้าหมายดังกล่าวไว้แล้วด้วย  ตอนนี้พวกเรามาตรวจสอบหัวข้อนี้กันเถิด  สิ่งใดเข้ามาในความคิดจิตใจเวลาที่พวกเราพูดถึงการละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน?  พวกเจ้าสามารถคิดตัวอย่างอะไรออกบ้าง?  (ข้าพระองค์สามารถคิดถึงอุดมคติที่ผู้คนมี ซึ่งพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมก่อนหน้านี้ เช่น คนที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะ อย่างการแสดง การมุ่งมาดปรารถนาที่จะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือนักแสดงหรือนักกีฬายอดนิยม  ผู้อื่นที่มีความสามารถในการเขียนและความสามารถพิเศษด้านวรรณกรรมอยู่บ้างอาจมุ่งมาดปรารถนาที่จะปฏิบัติหน้าที่เชิงข้อเขียนในพระนิเวศของพระเจ้าและเป็นนักเขียน  นี่คืออุดมคติบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในตัวผู้คน)  มีอะไรอีกไหม?  (ผู้คนไล่ตามไขว่คว้าความสำเร็จตลอดจนความสำเร็จในอนาคตและความหวังของตนเอง รวมทั้งความอยากที่จะได้รับพร)  คิดเพิ่มเติมสิ มีอะไรอีก?  ในที่นี้การเน้นย้ำควรเป็นอย่างไร?  เป็นเรื่องเกี่ยวกับการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากที่ผู้คนควรปล่อยมือไป  นอกเหนือไปจากความอยากอันหรูหราของผู้คนและความหวังที่พวกเขามีต่อความสำเร็จในอนาคตและโชคชะตาของตนแล้ว ในบริบทของชีวิตจริงของผู้คน ในสภาพการณ์ที่จำเป็นของการดำรงอยู่ของมนุษย์ มีอะไรอีกไหมที่เกี่ยวข้องกับการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากที่ผู้คนควรปล่อยมือไป?  เรื่องที่มีนัยสำคัญในชีวิตบางอย่างซึ่งสามารถกระทบต่อความเชื่อในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้าคืออะไร?  (เมื่อผู้คนถึงวัยแต่งงาน พวกเขาอาจตกอยู่ภายใต้ข้อจำกัดควบคุมของการแต่งงาน  และเมื่ออาชีพการงานของคนคนหนึ่งขัดแย้งกับความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา พวกเขาก็อาจเลือกที่จะไล่ตามไขว่คว้าอาชีพการงานของตนเอง  นี่คือสองแง่มุมที่จำเป็นต้องถูกปล่อยมือไปเช่นกัน)  พูดได้ดี  ความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าในระหว่างสองสามปีที่ผ่านมาทำให้เจ้าได้รับผลลัพธ์และความซึ้งคุณค่า  เจ้ากล่าวถึงแง่มุมที่มีนัยสำคัญสองประการอย่างถูกต้อง การแต่งงานและอาชีพการงาน  รายการหลักๆ สองประการนี้อยู่ท่ามกลางประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องชั่วชีวิตทั้งหลายบนเส้นทางของชีวิตมนุษย์  การแต่งงานเป็นเรื่องที่มีนัยสำคัญสำหรับทุกคน และอาชีพการงานของคนเราก็เป็นข้อกังวลหลักข้อหนึ่งที่ไม่อาจหลบหนีได้และไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกด้วย   มีเรื่องหลักๆ อื่นใดนอกจากสองเรื่องนี้หรือไม่?  (มีแง่มุมของการจัดการกับครอบครัว บิดามารดา และบุตรธิดาเช่นกัน  เมื่อเรื่องเหล่านี้ขัดแย้งกับความเชื่อในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริง การที่ผู้คนปล่อยมือย่อมจะกลายเป็นเรื่องยาก)  เมื่อพวกเจ้าสร้างโครงร่าง พวกเจ้าไม่ควรใช้ประโยคที่ยาวเช่นนั้น  ก่อนหน้านี้ พวกเรากล่าวถึงการแต่งงานและอาชีพการงาน  แล้วหัวข้อนี้ควรเรียกว่าอย่างไร?  (ครอบครัว)  ถูกต้อง ครอบครัวก็เป็นแง่มุมหลักประการหนึ่งเช่นกัน  นี่เกี่ยวข้องกับบุคคลทุกคนหรือไม่?  (เกี่ยวข้อง)  เกี่ยวข้องกับบุคคลทุกคน และก็มีความเฉพาะเจาะจงและมีลักษณะที่เป็นตัวแทนมากพอ  การแต่งงาน ครอบครัว และอาชีพการงานล้วนเป็นหัวข้อหลักที่เกี่ยวข้องกับประเด็นหลักเกี่ยวกับการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของผู้คน  มีหัวข้อหลักทั้งหมดสี่ประการที่สัมพันธ์กับการละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน  พวกเจ้าระบุสามหัวข้อหลักอย่างถูกต้องแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก  ดูเหมือนว่าหัวข้อนี้พึงต้องมีการสามัคคีธรรมอย่างละเอียด นี่เป็นหัวข้อที่มีอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเจ้าอยู่แล้ว และค่อนข้างสัมพันธ์กับชีวิตของพวกเจ้าหรือวุฒิภาวะและประสบการณ์ของพวกเจ้าอย่างแนบแน่น  มีอีกหัวข้อหนึ่งซึ่งอันที่จริงแล้วเรียบง่ายมาก  หัวข้อนั้นคืออะไร?  นั่นก็คือผลประโยชน์และงานอดิเรกของคนเรา  นั่นไม่เรียบง่ายหรอกหรือ?  (เรียบง่าย)  เหตุใดเราจึงพูดว่าผลประโยชน์และงานอดิเรกของคนเรา?  จงพิจารณาหัวข้อนี้ให้ละเอียดขึ้นและดูว่าผลประโยชน์และงานอดิเรกสัมพันธ์กับการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของผู้คนที่พวกเราจำเป็นต้องเสวนาหรือไม่  (สัมพันธ์)  การแต่งงานสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  (สัมพันธ์)  ครอบครัวสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  (สัมพันธ์)  อาชีพการงานสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  สัมพันธ์เช่นกัน  แง่มุมทั้งสี่แต่ละแง่มุมนี้สัมพันธ์กับการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของผู้คน  แต่ละแง่มุมเกี่ยวข้องกับความคิดฝันและข้อกำหนดอันเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับความคิดฝันดังกล่าวลึกในหัวใจของตน รวมทั้งสิ่งทั้งหลายที่คนเราปรารถนาจะได้มาในเนื้อหนังและความรู้สึกของตน  แต่ละแง่มุมมีองค์ประกอบที่เฉพาะเจาะจงและการไล่ตามไขว่คว้าที่เป็นรูปธรรม และยังเกี่ยวข้องกับความพยายามที่คนคนหนึ่งทุ่มเทและความลำบากที่พวกเขายอมทนสำหรับสิ่งเหล่านั้นด้วย  แต่ละแง่มุมเกี่ยวข้องกับและมีอิทธิพลต่อความคิดและทรรศนะของคนคนหนึ่งตลอดชีวิตของพวกเขาและสามารถส่งผลต่อการไล่ตามไขว่คว้าเป้าหมายที่ถูกต้องของคนคนนั้น  แน่นอนว่าเรื่องนี้ยังกระทบต่อวิธีที่คนเรามองผู้คนและสิ่งทั้งหลายรวมทั้งวิธีที่พวกเขาประพฤติปฏิบัติตนและกระทำการด้วย  หากเราจะพูดในแง่มุมทั่วๆ ไป พวกเจ้าอาจจะพบว่าเรื่องนี้ไม่ชัดเจนและยากที่จะเข้าใจ  ดังนั้นพวกเรามาสามัคคีธรรมเกี่ยวกับแต่ละแง่มุมไปทีละอย่างและตรวจสอบแง่มุมเหล่านี้ให้รอบคอบกันเถิด แล้วพวกเจ้าก็อาจจะค่อยๆ ได้รับความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับประเด็นปัญหาเหล่านี้  ทันทีที่ประเด็นปัญหาเหล่านี้มีความชัดเจน ผู้คนอาจแสวงหาหลักธรรมที่ตนควรดำเนินการและยึดปฏิบัติตามในที่นี้

ก. ปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า ความใฝ่ฝัน และความอยากได้อยากมีที่เกิดจากความสนใจและงานอดิเรก

ก่อนอื่นพวกเรามาพูดถึงความสนใจและงานอดิเรกกันเถิด  ความสนใจและงานอดิเรกแน่นอนว่าไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้คนทำเพื่อความสนุกสนานเป็นครั้งคราวหรือสิ่งบันเทิงเพื่อฆ่าเวลาหรือความสนใจในการศึกษาเล่าเรียนชั่วคราวของตน—ความสนใจและงานอดิเรกไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งชั่วคราว  ในที่นี้ความสนใจและงานอดิเรกหมายถึงการถวิลหาและการไล่ตามไขว่คว้าที่ถ่องแท้ซึ่งอยู่ในตัวตนฝ่ายวิญญาณของคนคนหนึ่งและลึกในดวงจิตของตน  พวกเขาจะถึงขั้นลงมือกระทำการและวางแผนการสำหรับสิ่งเหล่านี้ และยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาจะสร้างความพยายามที่เป็นรูปธรรมและเพียรพยายามที่จะตอบสนองหรือเริ่มมีความสนใจและงานอดิเรกเหล่านี้เพิ่มเติม หรือเพื่อที่จะทำงานซึ่งตรงกับความสนใจและงานอดิเรกของตนเอง  ในบริบทนี้ ความสนใจและงานอดิเรกบอกเป็นนัยว่าบุคคลทั้งหลายได้ตั้งเป้าหมายและอุดมคติ และถึงขั้นยอมลำบาก สละพลังงาน หรือลงมือกระทำการที่เฉพาะเจาะจงแล้ว  ตัวอย่างเช่น พวกเขาได้ไปศึกษาความรู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์แห่งความสนใจและงานอดิเรกของตน ใช้ชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ของตนไปกับการศึกษาความรู้นี้ รวมทั้งได้มาซึ่งประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในความรู้นี้และการซึ้งคุณค่าสำหรับความรู้นี้โดยตรง  ตัวอย่างเช่น บางคนมีความสนใจและงานอดิเรกด้านจิตรกรรมที่เฉพาะเจาะจง และจิตรกรรมเหล่านี้ไม่ง่ายดายเหมือนแค่การวาดภาพบุคคลหรือภาพทิวทัศน์  เรื่องนี้เกินจากความสนใจและงานอดิเรกที่ง่ายดายดังกล่าวไปอีก  พวกเขาศึกษาเทคนิคจิตรกรรมต่างๆ เช่น ภาพสเกตช์ ภาพทิวทัศน์ และภาพบุคคล และบางคนถึงขั้นศึกษาภาพเขียนสีน้ำมันและภาพเขียนด้วยหมึก  เหตุผลในการศึกษาเช่นนี้ของพวกเขาไม่ได้เกิดจากความสนใจและงานอดิเรกของตนเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากอุดมคติที่พวกเขาเริ่มมีขึ้นและสถาปนาขึ้นมารวมทั้งความอยากที่พวกเขามีเนื่องจากความสนใจในภาพเขียนของตนมากกว่า  พวกเขาถึงขั้นปรารถนาที่จะทุ่มเทอุทิศพลังงานทั้งชีวิตของตนให้กับจิตรกรรม เป็นจิตรกรที่ประสบความสำเร็จ และไล่ตามไขว่คว้าจิตรกรรมในฐานะอาชีพ  ก่อนเข้าร่วมในอาชีพนี้ การเตรียมการและการวางแผนที่กว้างไกลเป็นเรื่องจำเป็น ตัวอย่างเช่น การเข้าเรียนในโรงเรียนเฉพาะทางเพื่อการศึกษาและการฝึกอบรมเพิ่มเติม การศึกษาแง่มุมต่างๆ ของจิตรกรรม การสเกตช์ภาพตามสถานที่ การแสวงหาคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและศิลปินระดับปรมาจารย์ และการเข้าร่วมในการแข่งขัน รวมถึงสิ่งอื่นๆ ด้วย  กิจกรรมทั้งหมดนี้มุ่งไปที่การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของพวกเขา  แน่นอนว่าการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากทั้งหมดนี้มีพื้นฐานอยู่บนความสนใจและงานอดิเรกของพวกเขา  เป็นเพราะความสนใจและงานอดิเรกเหล่านี้ พวกเขาจึงเริ่มมีการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากในชีวิตของพวกเขาขึ้นมา  บางคนมีความกระตือรือร้นอันแรงกล้าในการศึกษาประวัติศาสตร์ รวมถึงประวัติศาสตร์โบราณ สมัยใหม่ ในประเทศ และต่างประเทศ  เมื่อความสนใจของพวกเขาแรงกล้ามากขึ้น พวกเขาก็เริ่มที่จะมองตัวเองในฐานะบุคคลที่มีความสามารถพิเศษในสาขานี้ และพวกเขาก็รู้สึกถูกบีบให้ไล่ตามไขว่คว้าอาชีพการงานที่เกี่ยวข้องกับสาขาดังกล่าวนี้  พวกเขายังเรียนรู้และพัฒนาการศึกษาของตนให้ก้าวหน้าต่อไป  แน่นอนว่าในระหว่างขั้นตอนนี้ การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของพวกเขายังก่อตัวขึ้นและมั่นคงต่อไป และในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็มุ่งมาดปรารถนาที่จะเป็นนักประวัติศาสตร์  ก่อนเป็นนักประวัติศาสตร์ เวลาและพลังงานส่วนใหญ่ของพวกเขามุ่งไปที่ความสนใจและงานอดิเรกนี้  ยังมีบางคนที่มีความสนใจเฉพาะในเศรษฐศาสตร์และเพลิดเพลินกับการทำงานกับตัวเลขและศึกษาสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับสาขาเศรษฐศาสตร์ด้วย  พวกเขาหวังว่าวันหนึ่งจะได้เป็นบุคคลสำคัญที่โดดเด่นหรือประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมการเงิน  สรุปสั้นๆ ก็คือ พวกเขาเริ่มมีการไล่ตามไขว่คว้าบนพื้นฐานของความสนใจและงานอดิเรก รวมทั้งเริ่มมีอุดมคติและความอยากที่เกี่ยวข้องกับความสนใจและงานอดิเรกนั้นด้วย  ในเวลาเดียวกันพวกเขายังลงทุนเวลา ลงมือกระทำการ ยอมลำบาก และสละพลังงานเพื่อเรียนรู้ ค้นคว้า และพัฒนาการศึกษาของตนให้ก้าวหน้า รวมทั้งได้มาซึ่งความรู้แบบครอบคลุมอันเกี่ยวข้องกับความสนใจและงานอดิเรกของตน  ผู้อื่นมีความกระตือรือร้นในศิลปะ เช่น ศิลปะการแสดง การเต้นรำ การขับร้อง หรือการกำกับการแสดง  หลังจากเริ่มมีความสนใจและงานอดิเรกดังกล่าว ภายใต้แรงกระตุ้นจากความสนใจและงานอดิเรกเหล่านี้ อุดมคติและความอยากของพวกเขาก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นและมั่นคง  ขณะที่อุดมคติและความอยากของพวกเขาค่อยๆ กลายมาเป็นเป้าหมายในชีวิตของตน พวกเขายังทุ่มเทอุทิศความพยายาม การลงแรง และการกระทำให้กับการไล่ตามไขว่คว้าเป้าหมายเหล่านั้นด้วย  บางคนชื่นชอบการทำงานในสาขาการศึกษา  พวกเขาศึกษาแง่มุมต่างๆ ของการศึกษา เช่น จิตวิทยาและความรู้อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อไล่ตามไขว่คว้าอาชีพการงานที่สัมพันธ์กับความสนใจและงานอดิเรกของตน  บางคนเพลิดเพลินกับการออกแบบ วิศวกรรม เทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์ หรือการค้นคว้าแมลง จุลินทรีย์ และพฤติกรรมของสัตว์ต่างๆ รูปแบบการมีชีวิตรอด ต้นกำเนิด และอื่นๆ อีกมากมาย  บางคนเพลิดเพลินกับงานสื่อและมุ่งมาดปรารถนาที่จะได้รับการจ้างงานจากอุตสาหกรรมสื่อเป็นพิธีกร ผู้ประกาศข่าว ผู้สื่อข่าว และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  เมื่อได้รับแรงผลักดันจากความสนใจและงานอดิเรกที่หลากหลายของตน ผู้คนยังเรียนรู้และสำรวจในเชิงลึกต่อไป และค่อยๆ ได้รับความเข้าใจ  การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของพวกเขาลึกซึ้งในหัวใจของตนและยังก่อตัวขึ้นต่อไป  แน่นอนว่าในระหว่างขั้นตอนที่การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของพวกเขาค่อยๆ ก่อตัวขึ้น บุคคลทั้งหลายยังเพียรพยายามและเคลื่อนไปข้างหน้าสู่อุดมคติและความอยากของตนด้วย  ทุกๆ การกระทำอันเฉพาะเจาะจงที่พวกเขาลงมือนั้นเป็นการลงทุนพลังงาน เวลา ความเยาว์วัย และแม้กระทั่งภาวะอารมณ์และความพยายามในสิ่งเหล่านี้

ไม่ว่าความสนใจและงานอดิเรกของคนเราจะอยู่ในสาขาหรืออุตสาหกรรมใด ไม่สำคัญว่าสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับหมวดหมู่ใด ทันทีที่สิ่งเหล่านี้จุดประกายการไล่ตามไขว่คว้าและสถาปนาอุดมคติและความอยากที่สอดคล้องกัน เป้าหมายและทิศทางในชีวิตของพวกเขาก็กลายเป็นมั่นคงถาวรเช่นกัน  เมื่ออุดมคติและความอยากของคนเรากลายเป็นเป้าหมายในชีวิตของตน เส้นทางในอนาคตของพวกเขาในโลกนี้โดยพื้นฐานแล้วย่อมถูกกำหนดไว้แล้ว  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าเส้นทางดังกล่าวถูกกำหนดไว้แล้ว?  ประเด็นปัญหาที่กำลังถูกกล่าวถึงในที่นี้คืออะไร?  เป็นเพราะทันทีที่เจ้ากำหนดพิจารณาอุดมคติและความอยากซึ่งเกิดจากความสนใจและงานอดิเรกของตน เจ้าต้องเพียรพยายามและดิ้นรนในทิศทางนั้นด้วยเช่นกัน แม้กระทั่งจนถึงจุดที่มีจิตวิญญาณและกรอบความคิดที่ไม่หวั่นไหวและเด็ดเดี่ยว เต็มใจที่จะใช้พลังงาน เวลา และยอมลำบากซึ่งคิดเป็นมูลค่าชั่วชีวิต  ชีวิต โชคชะตา ความสำเร็จในอนาคตของเจ้า และแม้กระทั่งบั้นปลายสุดท้ายของเจ้า หากไม่ผูกติดอยู่กับเป้าหมายในชีวิตที่เจ้ากำหนดไว้แล้ว ก็ย่อมจะได้รับอิทธิพลจากเป้าหมายดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  อะไรคือประเด็นหลักที่เราต้องการเน้นย้ำในที่นี้?  ทันทีที่คนคนหนึ่งกำหนดการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของตนบนพื้นฐานของความสนใจหรืองานอดิเรกเฉพาะ พวกเขาจะไม่อยู่ว่างและไม่ทำอะไรเลยอีกต่อไป  เพราะความสนใจและงานอดิเรกที่เฉพาะเจาะจง การกระทำที่เป็นรูปธรรมจึงเริ่มก่อตัวขึ้น  ในเวลาเดียวกันภายใต้การชี้นำจากการกระทำเฉพาะเจาะจงเหล่านี้ เจ้าย่อมจะกำหนดอุดมคติและความอยากของตน  จากนั้นเป็นต้นไปหัวใจของเจ้าจะไม่หยุด และเท้าของเจ้าก็จะไม่ยืนนิ่ง  เจ้าถูกลิขิตให้ดำเนินชีวิตเพื่ออุดมคติและความอยากของตน  เจ้าจะไม่มีวันเพียงพอใจกับการได้มาซึ่งความรู้เล็กน้อยแล้วก็พอแค่นั้น  เนื่องจากเจ้ามีความสามารถพิเศษดังกล่าว อีกทั้งมีศักยภาพและพรสวรรค์ดังกล่าว เจ้าย่อมจะค้นหาตำแหน่งที่เหมาะสมกับเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย หรือเจ้าจะทุ่มเทความพยายามอย่างไม่ลดละเพื่อทะยานสูงและกลายเป็นพิเศษเหนือธรรมดาในโลกใบนี้และท่ามกลางฝูงชนโดยปราศจากความเสียใจใดๆ  เจ้าจะไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากของตนด้วยการเชื่อที่แน่วแน่ในชัยชนะ และถึงขั้นเต็มใจที่จะยอมลำบาก และเผชิญกับความลำบากยากเย็น ภัยอันตราย และความทุกข์ใดๆ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์อุดมคติและความอยากดังกล่าว  เหตุใดผู้คนจึงสามารถทำเช่นนี้ได้?  หลังจากเริ่มมีอุดมคติและความอยากบนพื้นฐานของความสนใจและงานอดิเรกของตน เหตุใดพวกเขาจึงสามารถประพฤติตนในลักษณะเช่นนั้นได้?  (พวกเขาทำเช่นนั้นเพื่อทำให้อุดมคติของตนเป็นจริงขึ้นมา เพื่อไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทั้งหลายที่สูงกว่า และเพื่อเหนือคนอื่นขาดลอย  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ล่าถอยเมื่อเผชิญกับความลำบากยากเย็นใดๆ แต่ยังไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากของตนต่อไป)  ในตัวผู้คนมีสัญชาตญาณโดยกำเนิดอย่างหนึ่ง  หากพวกเขาไม่รู้เลยว่าจุดแข็งของตนคืออะไร ความสนใจและงานอดิเรกของตนคืออะไร พวกเขาย่อมรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีตำแหน่งแห่งที่ ไม่สามารถตระหนักถึงคุณค่าของตนเอง และมีสำนึกของความไร้ค่า  พวกเขาไม่สามารถแสดงให้เห็นคุณค่าของตนได้  อย่างไรก็ตาม ทันทีที่คนคนหนึ่งค้นพบความสนใจและงานอดิเรกของตน พวกเขาจะเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นเป็นสะพานหรือกระดานสปริงเพื่อตระหนักถึงการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง  พวกเขาเต็มใจที่จะยอมลำบากเพื่อไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติของตน ดำเนินชีวิตที่มีคุณค่ามากขึ้น เป็นบุคคลที่มีประโยชน์ โดดเด่นในฝูงชนและมีผู้คนมองเห็น เป็นที่เลื่อมใสและได้รับการรับรอง และเป็นคนที่พิเศษเหนือธรรมดา  ในหนทางนี้พวกเขาสามารถดำเนินชีวิตที่น่าพอใจ มีอาชีพการงานที่ประสบความสำเร็จในโลกใบนี้ และทำให้อุดมคติและความอยากของตนลุล่วง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการดำเนินชีวิตที่มีคุณค่า  เมื่อมองไปรอบๆ ฝูงชนที่เบียดเสียด มีไม่กี่คนเท่านั้นที่มีพรสวรรค์ตามธรรมชาติดังเช่นตัวพวกเขา ผู้ซึ่งกำหนดอุดมคติและความอยากอันสูงศักดิ์ไว้แล้วและในท้ายที่สุดสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ผ่านทางความพยายามอันไม่ลดละแล้ว  พวกเขาสร้างอาชีพการงานโดยทำสิ่งที่ตนรัก ได้มาซึ่งชื่อเสียง ผลตอบแทน และเกียรติยศที่พวกเขาอยากได้ แสดงให้เห็นคุณค่าของตน และตระหนักถึงคุณค่าในตัวเองของตน  นี่คือการไล่ตามไขว่คว้าของผู้คน  แต่ละคนซึ่งได้รับการขับเคลื่อนจากความสนใจและงานอดิเรกอันเป็นเอกลักษณ์ของตน มีการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของตนเอง  แน่นอนว่าหลังจากกำหนดการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของตนเองแล้ว พวกเขาอาจไม่สามารถสัมฤทธิ์อุดมคติและความอยากเหล่านี้ได้  อย่างไรก็ตาม ทันทีที่บุคคลทั้งหลายกำหนดอุดมคติและความอยากของตน ทันทีที่พวกเขามีการไล่ตามไขว่คว้าเหล่านี้ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะไม่ยอมให้ตัวเองยังคงเป็นคนปกติธรรมดา   ดังที่มีคำกล่าวไว้ ทุกคนอยากแสดงความสามารถ พวกเขาต้องการให้ผู้อื่นคิดว่าพวกเขานั้นมีเอกลักษณ์  ไม่มีใครเต็มใจที่จะเป็นบุคคลธรรมดาสามัญผู้ที่กล่าวว่า “ชีวิตของฉันก็จะเป็นอย่างนี้นี่เอง  ฉันอาจเป็นคนเลี้ยงปศุสัตว์ เกษตรกร ช่างปูอิฐธรรมดาสามัญ หรือภารโรง  ฉันอาจเป็นแม้กระทั่งคนส่งของหรือคนขับรถส่งอาหาร”  ไม่มีใครมีอุดมคติแบบนั้น  สมมติว่าเจ้าพูดว่า “การเป็นคนส่งของที่มีความสุขใช่อุดมคติแบบหนึ่งหรือไม่?”  ทุกคนจะตอบว่า “ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่อุดมคติแม้แต่น้อย!  การเป็นเจ้าของบริษัทรับส่งของ เป็นเจ้านายที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก นั่นต่างหากคืออุดมคติและความปรารถนา!”  ไม่มีใครยอมรับบทบาทของตนในฐานะบุคคลธรรมดาสามัญอย่างเต็มใจ  ทันทีที่คนคนหนึ่งได้กลิ่นโชยวูบของความสนใจหรืองานอดิเรกแม้เพียงเล็กน้อย หากมีโอกาสหนึ่งในล้านที่จะเป็นบุคคลสำคัญที่โดดเด่นในสังคมหรือสัมฤทธิ์ความสำเร็จพอประมาณ พวกเขาย่อมจะไม่ล้มเลิก  พวกเขาจะทุ่มเทร้อยละร้อยยี่สิบและยอมลำบากเพื่อการนั้นใช่หรือไม่?  (ใช่)  ผู้คนไม่ล้มเลิกเลย

ธรรมชาติของอุดมคติและความอยากซึ่งเกิดจากความสนใจและงานอดิเรกของผู้คนเป็นอย่างไร?  ในที่นี้พวกเราไม่ได้กำลังเปิดโปงความสนใจและงานอดิเรกของผู้คน แล้วที่จริงแล้วพวกเรากำลังเปิดโปงและชำแหละสิ่งใด?  ไม่ใช่การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากซึ่งเกิดจากความสนใจและงานอดิเรกบางอย่างที่ผู้คนมีหรอกหรือ?  (ใช่)  พวกเราไม่ได้กำลังเปิดโปงพฤติกรรมต่างๆ ที่ผู้คนแสดงออกมาให้เห็นรวมทั้งเส้นทางที่พวกเขาใช้อันเนื่องมาจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของพวกเขาหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่แก่นแท้ที่พวกเรากำลังเปิดโปงหรอกหรือ?  (ใช่)  แล้วเส้นทางที่ผู้คนใช้เพื่อประโยชน์แห่งการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของตนเป็นอย่างไร?  การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของบุคคลใดก็ตามนำทางพวกเขาไปบนเส้นทางแบบใด?  พวกเขาสัมฤทธิ์เป้าหมายแบบใด?  ขณะที่ผู้คนกำลังทำให้การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของตนเป็นจริงขึ้นมา นอกจากการลงทุนพลังงานและเวลาของตน ตลอดจนการสู้ทนความเจ็บปวดเพิ่มเติมและการลงแรงทางภายภาพ ความเหนื่อยล้า ความเครียด รวมทั้งความยากลำบากอื่นๆ ที่คล้ายกันทุกรูปแบบ ที่สำคัญที่สุดก็คือ เส้นทางที่พวกเขาใช้เป็นอย่างไร?  กล่าวคือ ขณะที่ผู้คนกำลังไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติและความอยากของตนเองเป็นจริงขึ้นมา เส้นทางที่พวกเขาต้องใช้เพื่อที่จะสัมฤทธิ์การทำให้การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของตนเองเป็นจริงขึ้นมานั้นเป็นอย่างไร?  สิ่งสำคัญที่สุดอย่างแรกคือ การที่ผู้คนจะทำให้การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของตนเองเป็นจริงขึ้นมาในโลกใบนี้ พวกเขาควรศึกษาสิ่งใดเป็นขั้นตอนแรกของตน?  (ความรู้ทุกรูปแบบ)  ถูกต้อง พวกเขาควรเรียนรู้และเตรียมพร้อมความรู้ทุกรูปแบบไว้ติดตัว  ยิ่งความรู้ของพวกเขาอุดม มีความครอบคลุม และลุ่มลึกมากขึ้นเพียงใด พวกเขาก็ยิ่งจะเข้าใกล้การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของตนมากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งความรู้ของพวกเขามีความครอบคลุม อุดม และลุ่มลึกมากขึ้นเพียงใด พวกเขาก็ยิ่งมีแววว่าจะเป็นที่ระลึกได้ว่าเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์มากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาจะชื่นชมสถานะที่สูงขึ้นในสังคม  ในเวลาเดียวกัน ยิ่งความรู้ของพวกเขาอุดม ลุ่มลึก และมีความครอบคลุมมากขึ้นเพียงใด นี่ย่อมหมายความว่าพวกเขาจำเป็นต้องลงทุนเวลาและพลังงานมากขึ้น  นี่พูดจากมุมมองของพลังงานทางกายภาพ  ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากได้มาซึ่งรากฐานแห่งความรู้ ผู้คนก็เข้าใกล้การทำให้การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของตนเป็นจริงขึ้นมาอีกหนึ่งขั้น  การมีความรู้ที่เพียงพอเป็นเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น ซึ่งก็คือรากฐานระดับต่ำสุด  หลังจากนี้ ผู้คนจำเป็นต้องดื่มด่ำอยู่ในสังคม ในผองชน ในถังย้อมขนาดใหญ่ มิฉะนั้นคนเราก็อาจจะกล่าวถึงเครื่องบดเนื้อในอุตสาหกรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับอุดมคติและความอยากของตน โดยขับเคี่ยว ดิ้นรนต่อสู้ และแข่งขันกับกำลังบังคับจากทุกด้าน รวมทั้งเข้าร่วมในการประท้วงต่อต้าน การแข่งขัน และสัมมนาต่างๆ  ขณะที่กำลังใช้พลังงานปริมาณมาก ผู้คนยังจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์การทำให้การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของตนเป็นจริงขึ้นมา  ในเวลาเดียวกัน ในถังย้อมขนาดใหญ่ใบนี้ ผู้คนต้องพึ่งพาความรู้ของตน และยิ่งมากไปกว่านั้นอีกก็คือสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้จากผองชน ตลอดจนวิธีการ ปรัชญา และกฎในการมีชีวิตรอดที่พวกเขามีอยู่แล้ว เพื่อที่จะปรับตัวให้เข้ากับผองชนและกลไกของสังคมรวมทั้งกฎแห่งเกม  ผ่านทางกระบวนการนี้ ผู้คนค่อยๆ เข้าใกล้เป้าหมายในการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของตนมากขึ้น  หลังจากมีชีวิตรอดจากความทุกข์ยากสาหัสมากมายเหลือเกิน การเปลี่ยนแปลงที่น่าประหลาดใจมากมายเหลือเกิน จุดจบสุดท้ายเป็นอย่างไร?  ในฐานะผู้ชนะ พวกเขาได้มงกุฎไป และผู้แพ้ไม่ได้อะไรเลย  ในท้ายที่สุดแล้วด้วยผลลัพธ์นี้พวกเขาสัมฤทธิ์การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากในชีวิตของตน โดยทำให้เป้าหมายในชีวิตของตนเป็นจริงขึ้นมาและได้รับฐานวางเท้าอันมั่นคงในอุตสาหกรรมของตน   พอถึงเวลานั้นตามปกติแล้วผู้คนย่อมถึงวัยกลางคนหรือวัยชราแล้ว และบางคนก็อาจอยู่ในช่วงปีท้ายๆ ของชีวิตของตนด้วยซ้ำ โดยมีสายตาที่บกพร่อง ศีรษะที่กำลังล้าน การสูญเสียการได้ยิน และฟันโยก  ณ วัยนั้น แม้พวกเขาสัมฤทธิ์อุดมคติและความอยากของตน แต่พวกเขาก็ยังทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นอันตรายมากมายด้วย  พวกเขาทุ่มเททั้งชีวิตของตนให้กับเรื่องนี้  ตลอดชีวิตของพวกเขา เพื่อที่จะทำให้อุดมคติและความอยากของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมา พวกเขาพูดหลายสิ่งที่ขัดกับเจตจำนงของตน กระทำการปฏิบัติตนหลายอย่างซึ่งละเมิดจริยธรรมและมโนธรรมและก้าวข้ามขอบเขตบางอย่าง และถึงขั้นเข้าร่วมในการกระทำหลายอย่างที่ไม่มีมโนธรรมและไม่มีศีลธรรม  พวกเขาหลอกลวงผู้อื่นและถูกหลอกลวงหลายครั้ง พวกเขาพิชิตผู้อื่นและถูกพิชิตเช่นกัน  พวกเขาวาสนาดีพอที่จะมีชีวิตรอดมาได้และได้รับฐานที่มั่น และชีวิตของพวกเขาก็ดูเหมือนเพียบพร้อม ราวกับว่าพวกเขาตระหนักถึงคุณค่าในตัวเองของตนและไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสูญเปล่า  พวกเขาดิ้นรนต่อสู้ทั้งชีวิตเพื่ออุดมคติและความอยากของตน และดูเหมือนดำเนินชีวิตที่มีคุณค่าและมีความหมาย  กระนั้นก็ตามพวกเขาล้มเหลวที่จะมองออกถึงเส้นทางแห่งการวางตนที่พวกเขาควรได้ใช้ พวกเขาขาดพร่องคติประจำใจสำหรับชีวิตของตนไม่ว่ารูปแบบใด และดิ้นรนต่อสู้ตลอดชีวิตของตนเพียงเพื่อประโยชน์แห่งการทำให้อุดมคติและความอยากของตนเป็นจริงขึ้นมา สู้รบกับมนุษยชาติ สังคม และแม้กระทั่งตัวเอง  พวกเขาสูญเสียมโนธรรม ขอบเขต และหลักธรรมที่จำเป็นสำหรับการวางตน  แม้อุดมคติและความอยากของพวกเขาถูกทำให้เป็นจริงขึ้นมาแล้ว และหลังจากการเปลี่ยนแปลงที่น่าประหลาดใจเหลือล้น เป้าหมายในชีวิตที่พวกเขากำหนดไว้ในแต่ละระยะก็สัมฤทธิผลแล้ว แต่ภายในนั้นพวกเขาไม่รู้สึกผ่อนคลายหรือลุล่วง  กล่าวอย่างง่ายก็คือ การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากที่พวกเขากำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์แห่งความสนใจและงานอดิเรกของตนเอง ในท้ายที่สุดแล้วก็นำพวกเขาไปสู่เส้นทางแห่งการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลตอบแทน  แม้หลังจากบรรลุเป้าหมายสูงสุดของตน พวกเขาอาจรู้สึกว่าได้ตระหนักถึงคุณค่าในตัวเองของตน ได้รับสำนึกถึงความมีตัวตน และได้รับและมีทั้งชื่อเสียงและผลตอบแทนแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงไม่รู้ความเกี่ยวกับอนาคต บั้นปลายของตน รวมทั้งคุณค่าของการดำรงอยู่ของมนุษย์ที่ผู้คนควรเข้าใจอย่างแท้จริง  เมื่อพวกเขาเข้าสู่วัยชรา พวกเขารู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเคยไล่ตามไขว่คว้านั้นเข้าใจได้ยากและกลวงเปล่าอย่างเลวร้าย  ความกลวงเปล่าและความเป็นที่เข้าใจได้ยากนี้นำระลอกคลื่นแห่งความว่างเปล่าและความหวาดหวั่นมาสู่พวกเขา  มีเพียงเมื่ออยู่ในวัยชราเท่านั้นผู้คนจึงจะตระหนักว่าอุดมคติและความอยากที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าทำหน้าที่เพียงแค่สนองความฟุ้งเฟ้อของตนและให้ชื่อเสียงและผลตอบแทนชั่วคราว ซึ่งก็เป็นเพียงการปลอบใจชั่วขณะเดียว  การปลอบใจดังกล่าวเปลี่ยนเป็นความไม่สบายใจและความหวาดหวั่นรูปแบบหนึ่งอย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อผู้คนเข้าสู่วัยชรา พวกเขาย่อมโน้มเอียงมากขึ้นที่จะใคร่ครวญอนาคตของตน พวกเขาจะเป็นอย่างไร รวมทั้งสิ่งใดจะเกิดขึ้นกับพวกเขาหลังความตาย และเมื่อคำถามเหล่านี้ทั้งหมดยังคงไม่มีคำตอบ ในยามที่พวกเขาไร้ซึ่งความคิดและทัศนคติใดๆ ที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ผู้คนย่อมจะเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นและไม่สบายใจ  ความไม่สบายใจและความหวาดหวั่นนี้อยู่ยืนนานกับพวกเขาจนกระทั่งพวกเขาหลับตาลงและสิ้นชีวิตไป  ความชื่นบานยินดีที่มาจากชื่อเสียงและผลตอบแทนปลาสนาการไปจากหัวใจของมนุษย์อย่างรวดเร็ว และยิ่งคนเราถึงขั้นพยายามจับความเข้าใจและยึดมั่นความชื่นบานยินดีดังกล่าวมากขึ้นเท่าใด ความชื่นบานยินดีดังกล่าวก็ยิ่งค่อยๆ เลือนหายไปง่ายขึ้นเท่านั้น และสำนึกแห่งความชื่นบานยินดีนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปสู่ความไม่สบายใจและความกลัวง่ายขึ้น  ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าอุดมคติและความอยากที่เกิดจากความสนใจและงานอดิเรกต่างๆ ของผู้คนจะเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้ในที่สุดแล้วย่อมนำไปสู่เส้นทางแห่งการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลตอบแทน และเป้าหมายสุดท้ายที่สัมฤทธิ์ ซึ่งก็คือสิ่งที่ผู้คนได้รับ ก็เป็นเพียงชื่อเสียงและผลตอบแทน  ชื่อเสียงและผลตอบแทนนี้จัดเตรียมการปลอบใจชั่วคราวและความพึงพอใจชั่วขณะจากความฟุ้งเฟ้อทางเนื้อหนังเท่านั้น  เมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาย่อมรู้สึกว่าการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของตนเป็นจริง ทำให้พวกเขารู้สึกมีเหตุผล พวกเขาสามารถค้นหาตำแหน่งแห่งที่ของตนในโลกได้ดีกว่า สามารถควบคุมทิศทางของและธำรงไว้ซึ่งความเข้าใจในชีวิตของตนได้ดีกว่าในการควบคุมโชคชะตาของตนเอง  อย่างไรก็ตาม เมื่ออุดมคติและความอยากของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมา ในที่สุดแล้วผู้คนย่อมได้รับประสบการณ์กับการตื่นรู้  อะไรคือสาเหตุของการตื่นรู้นี้?  เป็นการตระหนักว่าสิ่งที่พวกเขาทุ่มเทอุทิศพลังงานแห่งชีวิตของตนให้นั้นเป็นสิ่งที่ว่างเปล่าซึ่งไม่สามารถคว้าด้วยมือหรือรู้สึกด้วยหัวใจ  ยิ่งพวกเขาพยายามคว้าหรือยึดมั่นสิ่งนั้นมากขึ้นเท่าใด สิ่งนั้นก็ยิ่งหลุดลอดออกไปมากขึ้นเท่านั้น ทิ้งพวกเขาให้อยู่กับสำนึกถึงความสูญเสียและความว่างเปล่าที่มากขึ้น และแน่นอนว่ารวมถึงความรู้สึกถึงความกลัวและความเสียใจที่มากขึ้น  เพราะผู้คนมีความสนใจและงานอดิเรก พวกเขาจึงเริ่มมีอุดมคติและความอยาก และอุดมคติและความอยากเหล่านี้สร้างภาพลวงตาที่ทำให้ผู้คนเชื่อว่าพวกเขามีความสามารถที่จะควบคุมชีวิตของตน กำกับทิศทางเส้นทางแห่งชีวิตของตน รวมทั้งกำหนดพิจารณาวิธีการและวัตถุประสงค์ในการดำรงอยู่ของตนได้  ต้นตอของภาพลวงตานี้ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาไม่มีความรักที่มีให้กับความจริง และแน่นอนว่าคนเราอาจจะกล่าวว่าภาพลวงตานี้เกิดขึ้นจากการที่ผู้คนไม่เข้าใจความจริง  เมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาจึงมักจะไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทั้งหลายที่สามารถทำให้เนื้อหนังหรือจิตวิญญาณของตนรู้สึกพึงพอใจไปตามสัญชาตญาณ  ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะมีระยะห่างจากพวกเขาเพียงใด ตราบที่พวกเขารู้สึกว่าตนสามารถบรรลุและรั้งสิ่งเหล่านี้ได้ พวกเขาย่อมเต็มใจที่จะยอมลำบาก ถึงขั้นใช้พลังงานและเวลาชั่วชีวิต  เพราะผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาจึงเข้าใจผิดอย่างง่ายดายว่าความสนใจและงานอดิเรกของตนเป็นรากฐานที่สำคัญหรือเป็นคุณสมบัติหรือต้นทุนอย่างหนึ่งในการไล่ตามไขว่คว้าเป้าหมายในชีวิตของตน และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเต็มใจที่จะยอมลำบาก  เจ้าไม่ตระหนักว่าทันทีที่เจ้ายอมลำบากเช่นนี้ ทันทีที่เจ้าเริ่มเข้าสู่เส้นทางนี้ เจ้าย่อมถูกลิขิตให้เดินบนเส้นทางที่ซาตานรวมทั้งกระแสนิยมของโลกและกฎแห่งเกมควบคุม  ในเวลาเดียวกัน เจ้าก็ถูกลิขิตให้ดื่มด่ำอยู่ในถังย้อมของสังคม ในเครื่องบดเนื้อของสังคมโดยไม่รู้ตัว  ไม่สำคัญว่าเจ้าย้อมสีใด ไม่สำคัญว่าเครื่องบดนั้นบดเจ้าเข้าไปอยู่ในสิ่งใด ไม่สำคัญว่าความเป็นมนุษย์ของเจ้ากลายเป็นบิดเบือนเพียงใด เจ้าย่อมปลอบใจตัวเองโดยกล่าวว่า “เพื่อที่จะทำให้อุดมคติและความอยากของฉันเป็นจริงขึ้นมา และเพื่อประโยชน์แห่งอนาคตของฉัน ฉันต้องสู้ทน!”  เจ้ายังบอกตัวเองอยู่เป็นนิตย์อีกด้วยว่า “ฉันต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมนี้ ไม่สำคัญว่าฉันย้อมสีใด ฉันต้องยอมรับและปรับตัวให้เข้ากับสังคมนี้”  ขณะที่เจ้ากำลังปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันเหล่านี้ทั้งหมด เจ้าก็กำลังปรับตัวให้เข้ากับสีที่แตกต่างกันที่เจ้ากำลังถูกย้อมอยู่ด้วย รวมทั้งยอมรับตัวเองในแบบฉบับที่แตกต่างกันด้วยรูปแบบที่แตกต่างกันและลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันอยู่เป็นนิตย์  ในหนทางนี้ ผู้คนกลายเป็นด้านชามากขึ้นเรื่อยๆ ปราศจากสำนึกละอายแก่ใจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว อีกทั้งมโนธรรมและเหตุผลของพวกเขาก็ไม่สามารถชี้นำหรือควบคุมความคิด ความอยาก และทางเลือกของพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ  ในท้ายที่สุดแล้วผู้คนส่วนใหญ่สัมฤทธิ์อุดมคติและความอยากของตนขณะที่กำลังไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ในระดับที่แตกต่างกัน  แน่นอนว่าไม่สำคัญว่าพวกเขาไล่ตามไขว่คว้าอย่างไร หรือพวกเขาก้าวผ่านความพยายามและความยากลำบากมากเพียงใด มีบุคคลไม่กี่คนที่ยังคงไม่สามารถทำให้อุดมคติและความอยากของตนเป็นจริงได้  ไม่ว่าจุดจบสุดท้ายเป็นอย่างไร มนุษย์ได้รับสิ่งใด?  บรรดาผู้ที่ประสบความสำเร็จได้รับชื่อเสียงและผลตอบแทน ขณะที่พวกที่ล้มเหลวอาจไม่สามารถได้รับชื่อเสียงและผลตอบแทนนี้ แต่สิ่งที่พวกเขารับไว้ก็เหมือนกับคนที่ประสบความสำเร็จ—พวกเขารับอันตรายและความคิดที่เป็นลบต่างๆ ซึ่งแทรกซึมโดยซาตาน โดยความเป็นมนุษย์ที่ชั่วนี้ และโดยกลไกทางสังคมและอิทธิพลชั่วจากสังคมทั้งหมด  มิฉะนั้นเหตุใดผู้คนจึงจะใช้วลีต่างๆ อยู่เนืองนิจเช่น “มีประสบการณ์มามาก” “ฉลาดแกมโกงเหมือนสุนัขจิ้งจอก” “คนกลับกลอกที่ช่ำชองและเจ้าเล่ห์” หรือ “ฝ่าวิกฤติมามากมาย” และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน?  เป็นเพราะขณะที่เจ้าไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากของตน เจ้าก็ “เรียนรู้” มากมายในถังย้อมขนาดใหญ่ใบนี้และเครื่องบดเนื้อเครื่องนี้ของสังคมด้วย  เจ้า “เรียนรู้” สิ่งต่างๆ ที่ไม่มีอยู่ในสัญชาตญาณทางกายภาพของตน—คำว่า “เรียนรู้” ในที่นี้ควรอยู่ในเครื่องหมายคำพูด  “เรียนรู้” หมายถึงสิ่งใด?  หมายถึงสังคม ซาตาน และมวลมนุษย์ที่ชั่วซึ่งสั่งสอนเจ้าด้วยความคิดต่างๆ ที่ท้าทายมโนธรรมและเหตุผลปกติของมนุษย์ ทำให้เจ้าใช้ชีวิตด้วยมโนธรรมและเหตุผลที่น้อยลงทุกที ไร้ซึ่งความละอายแก่ใจมากขึ้นเรื่อยๆ และดูหมิ่นคนปกติธรรมดารวมทั้งบรรดาผู้ที่เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องมากขึ้นเรื่อยๆ  ในเวลาเดียวกัน ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดเป็นอย่างไร?  ไม่เพียงแต่เจ้าจะดูแคลนคนที่มีความเป็นมนุษย์ มโนธรรม และเหตุผลปกติเท่านั้น แต่ในเวลาเดียวกันเจ้ายังจะอิจฉาและเลื่อมใสการกระทำอันน่ารังเกียจของพวกที่ทรยศมโนธรรมและศีลธรรมของตนอีกด้วย รวมทั้งอิจฉาวัตถุอันมั่งคั่งหรือประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่พวกเขาได้รับจากการกระทำอันน่ารังเกียจและพฤติกรรมที่แย่ของตน  นี่ไม่ใช่ผลที่ตามมาหรอกหรือ?  (ใช่)  นี่คือผลที่ตามมาที่น่าหวาดกลัวมากขึ้น กล่าวคือ ขณะที่ผู้คนไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติและความอยากของตนเป็นจริงขึ้นมา โฉมหน้าของพวกเขาก็กลายเป็นร้ายกาจและน่าหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ มโนธรรมและเหตุผลของพวกเขาค่อยๆ หายไป และทัศนะทางศีลธรรม ทัศนะเกี่ยวกับชีวิต และพฤติกรรมของพวกเขาก็กลายเป็นเลวทราม น่าเกลียด น่ารังเกียจ และโสโครกมากขึ้นทุกที

จากชั่วขณะที่คนคนหนึ่งเริ่มมีความสนใจและงานอดิเรกจนไปถึงการทำให้อุดมคติและความอยากของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมา ในระหว่างขั้นตอนนี้ คนเราอาจจะกล่าวว่าเส้นทางที่พวกเขาเดินและกิจกรรมที่พวกเขาเข้าร่วม—กล่าวคือ สถานการณ์ของชีวิตปัจจุบันทั้งหมดของพวกเขา—ก็คือสถานการณ์ของชีวิตซึ่งอยู่ในความควบคุมของสังคมและกระแสนิยมชั่ว  ที่จริงแล้วนั่นยังเป็นกระบวนการซึ่งในระหว่างนั้นผู้คนยอมรับการบงการ การเหยียบย่ำ และการฉวยผลประโยชน์ของซาตานอย่างเต็มใจในขณะที่กำลังไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติและความอยากของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมาด้วย  แน่นอนว่านั่นยังเป็นกระบวนการซึ่งในระหว่างนั้นซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามมากขึ้นและที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นก็คือทำให้ผู้คนเสื่อมทรามในทุกสิ่งด้วย  ในทุกสถานการณ์ที่เจ้าเผชิญ ซาตานปลูกฝังแนวคิดในตัวเจ้าอย่างต่อเนื่องว่า เพื่อที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายของเจ้า เจ้าต้องใช้ทุกวิถีทางที่จำเป็น โดยละทิ้งสิ่งต่างๆ ที่เป็นบวกและสิ่งต่างๆ ที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงค้ำจุน เช่น ศักดิ์ศรีของมนุษย์ ความสัตย์ซื่อส่วนบุคคล ขอบเขตทางศีลธรรม มโนธรรมของคนเรา และกฎเกณฑ์สำหรับการวางตน  เนื่องจากแนวคิดนี้ชักพาเจ้าให้หลงผิดให้ค่อยๆ ละทิ้งสิ่งเหล่านี้ แนวคิดนี้ยังท้าทายมโนธรรม เหตุผล และขอบเขตทางศีลธรรมของเจ้า ตลอดจนความละอายแก่ใจเล็กน้อยที่เจ้ามีเหลืออยู่ด้วย  หลังจากเสร็จสิ้นการท้าทายสิ่งเหล่านี้ แนวคิดนี้ก็นำเจ้าไปสู่การโอนอ่อนผ่อนปรนอย่างต่อเนื่องท่ามกลางการชักพาให้หลงผิด การทดลอง การควบคุม และการเหยียบย่ำจากกระแสนิยมชั่ว  ในขั้นตอนของการโอนอ่อนผ่อนปรนอยู่เป็นนิตย์ เจ้าเลือกที่จะนำความคิดและทัศนคติที่ซาตานปลูกฝังเกี่ยวกับวิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายรวมทั้งวิธีวางตนและปฏิบัติตนมาใช้ และเจ้าก็ปฏิบัติความคิดและทัศนคติที่ซาตานได้แบ่งให้กับเจ้าตลอดจนหนทางและวิธีการในเรื่องวิธีวางตนและปฏิบัติตนอย่างแข็งขัน  เจ้าเข้าร่วมในเรื่องทั้งหมดนี้อย่างไม่เต็มใจนักและโดยไม่รู้ตัว แต่ในเวลาเดียวกันเจ้าก็ทำเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยท่าทีที่เป็นการอำนวยความสะดวกมากอย่างเต็มใจและแข็งขัน เพื่อที่จะสัมฤทธิ์อุดมคติและความอยากของเจ้า  สรุปสั้นๆ ก็คือ ในระหว่างขั้นตอนนี้ ผู้คนยังคงนิ่งเฉย แต่จากมุมมองอื่น พวกเขากำลังทำตามการควบคุมและความเสื่อมทรามของซาตานอย่างแข็งขัน  ขณะที่กำลังไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติและความอยากของตนเป็นจริงขึ้นมา พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในถังย้อมขนาดใหญ่ในกระแสนิยมชั่วของสังคม อยู่ในความควบคุมของกระแสนิยมชั่วเหล่านี้ตลอดเวลา  ในทำนองเดียวกัน พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในกรอบความคิดที่ซับซ้อนและขัดแย้งซึ่งเป็นทั้งการเต็มใจและไม่เต็มใจ รวมทั้งในสภาพแวดล้อมจริงที่ทั้งซับซ้อนและขัดแย้ง  ผ่านทางขั้นตอนนี้ ขณะที่ผู้คนเข้าใกล้อุดมคติ ความอยาก และเป้าหมายในชีวิตที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าเรื่อยมา พวกเขากลายเป็นดังเช่นมนุษย์น้อยลงทุกที มโนธรรมของพวกเขาด้านชามากขึ้นเรื่อยๆ และเหตุผลของพวกเขาก็ลดน้อยถอยลง  อย่างไรก็ตาม ลึกลงไปนั้นผู้คนเชื่อว่าพวกเขามีอุดมคติและความอยาก บางคนถึงขั้นพูดว่าอุดมคติและความอยากของพวกเขาก็คือความเชื่อมั่นของพวกเขา การมีความเชื่อมั่นในหัวใจของพวกเขาหมายความว่าพวกเขามีการเชื่อ และคนเราควรมีการเชื่อในชีวิต  พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ปกติธรรมดาเพราะพวกเขามีการเชื่อ และดังนั้นพวกเขาจึงควรดำเนินการไล่ตามไขว่คว้าของตนต่อไปตามวิธีการและกฎแห่งการมีชีวิตรอดแต่เดิมของตน และตราบที่ผลลัพธ์จากการนี้ดี และการนี้ทำให้พวกเขาเข้าใกล้อุดมคติและเป้าหมายของตนมากขึ้น เช่นนั้นความลำบากใดๆ ที่พวกเขาต้องยอมทนก็ควรค่ากับการนี้ ต่อให้นั่นหมายความถึงการสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างก็ตาม  ด้วยเหตุนี้ภายในกรอบความคิดที่ขัดแย้งซึ่งเป็นทั้งการเต็มใจและไม่เต็มใจ ผู้คนย่อมจะยังยอมรับการควบคุมของซาตาน ความคิดของมัน รวมทั้งการบงการและเล่ห์เหลี่ยมของมันต่อไป  แม้ในยามที่ผู้คนตระหนักเป็นอย่างดีว่าพวกเขาถูกสังคมและกระแสนิยมชั่วทำให้เสื่อมทราม ในสภาพการณ์ประเภทเหล่านี้ พวกเขาจะยังคงตามทันการไล่ตามไขว่คว้าที่ไม่ลดละเพื่อที่จะทำให้อุดมคติของตนเป็นจริงขึ้นมาและสัมฤทธิ์เป้าหมายในชีวิตของตน  พวกเขาอาจถึงขั้นแสดงความยินดีกับตัวเองบนข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถหันไปพึ่งวิถีทางใดๆ ที่จำเป็นและไม่เคยล้มเลิกเลย ชื่นบานในความสามารถของตนที่จะยืนกรานจนถึงบัดนี้  เมื่อมองพฤติกรรมที่ผู้คนแสดงออกมาให้เห็นในระหว่างการไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากของตน ตลอดจนเส้นทางที่พวกเขาใช้รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของพวกเขา เส้นทางแห่งการไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติและความอยากของผู้คนเป็นจริงขึ้นมามีลักษณะอย่างไร?  (เป็นเส้นทางที่นำไปสู่การทำลายล้าง)  เป็นเส้นทางที่ปราศจากการหวนกลับ ที่ซึ่งมีผู้คนมากขึ้นเดินบนนั้น พวกเขาล่องลอยห่างออกไปจากพระเจ้ามากขึ้น  คนเราอาจจะกล่าวว่านี่คือเส้นทางแห่งการทำลายล้าง  เป้าหมายในชีวิตซึ่งอุดมคติและความอยากที่ผู้คนกำหนดขึ้นนำไปสู่เป้าหมายนั้นมีซาตานรอคอยพวกเขาอยู่ที่นั่น  และระหว่างทางไปสู่เป้าหมายในชีวิตเหล่านี้ สิ่งที่ติดตามและอยู่ร่วมกับพวกเขาไม่ใช่ความจริง นั่นไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้า  เช่นนั้นนั่นเป็นใคร?  (มันก็คือซาตาน พร้อมด้วยกระแสนิยมชั่วของมันและปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกนานา)  สิ่งเหล่านี้มาพร้อมกับซาตาน การควบคุม ความเสื่อมทราม เล่ห์เหลี่ยมของมัน และการทดลองซ้ำๆ  นี่คือเส้นทางที่ไม่หวนกลับ เส้นทางแห่งการทำลายล้างไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะขณะที่ผู้คนกำลังไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากของตน อันที่จริงแล้วสิ่งที่พวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้าอยู่นั้นไม่ใช่การการทำให้อุดมคติและความอยากของตนเป็นเป้าหมาย ตรงกันข้ามพวกเขาใช้การไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้เป็นกำลังขับเคลื่อนและรากฐานของตนให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงและผลตอบแทน  นั่นคือแก่นแท้และความจริงของเรื่องนี้  เส้นทางนี้มีแต่จะทำให้ผู้คนโหยหาชื่อเสียงและผลตอบแทน โหยหากระแสนิยมชั่วของโลก  เส้นทางนี้มีแต่จะนำผู้คนให้จมดิ่งลึกลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พวกเขาต่ำทรามมากขึ้นเรื่อยๆ และไร้ซึ่งความมีเหตุผลและสิ้นไร้ซึ่งมโนธรรมมากขึ้น อยู่ห่างจากสิ่งที่เป็นบวก  ในเวลาเดียวกันเส้นทางนี้ก็นำพวกเขาให้ห่างออกไปมากขึ้นจากวิถีการดำเนินชีวิตและเป้าหมายในชีวิตที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นซึ่งคนที่มีความเป็นมนุษย์ปกติควรมี  เส้นทางนี้สามารถทำได้เพียงทำให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนกลายเป็นหยั่งรากอย่างดิ่งลึกมากขึ้นเท่านั้น และสามารถทำได้เพียงทำให้พวกเขาอยู่ห่างจากอธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  แน่นอนว่าเส้นทางนี้ยังทำให้เป็นเรื่องยากมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ผู้คนจะแยกแยะระหว่างสิ่งที่เป็นบวกและสิ่งที่เป็นลบ  นี่คือข้อเท็จจริง  แล้วพวกเราสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร?  ทันทีที่พวกเราเข้าใจแก่นแท้ของการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของมนุษย์ พวกเราควรสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งใด?  นั่นควรเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของผู้คน ไม่ถูกต้องหรอกหรือ?  (ถูกต้อง)

พวกเราเพิ่งจะสามัคคีธรรมการที่การไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติและความอยากของตนเองเป็นจริงขึ้นมาเป็นเส้นทางแห่งการไม่หวนกลับ เป็นถนนที่นำไปสู่การทำลายล้าง—เช่นนั้นผู้คนควรละทิ้งหนทางในชีวิตเช่นนี้หรือไม่?  (ควร)  พวกเขาควรเปลี่ยนแปลงและปล่อยมือจากหนทางที่พวกเขาใช้ชีวิต กล่าวคือ นี่ไม่ใช่ทั้งแนวทางที่ถูกต้องและเส้นทางที่เหมาะสมในชีวิต  เนื่องจากหนทางดังกล่าวไม่ถูกต้อง คนเราจึงควรปล่อยมือจากหนทางดังกล่าว เปลี่ยนแปลงหนทางที่พวกเขาใช้ชีวิต และนำแนวทางในการใช้ชีวิตและการดำรงอยู่ที่ถูกต้องมาใช้  แน่นอนว่าพวกเขาควรนำแนวทางที่ถูกต้องในเรื่องวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อความสนใจและงานอดิเรกของผู้คนรวมทั้งวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของผู้คนมาใช้  ความสามารถพิเศษและพรสวรรค์ของผู้คนควบคู่ไปกับความสนใจและงานอดิเรกเหล่านี้ทำให้พวกเขากำหนดการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของตน และในเวลาเดียวกันสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้พวกเขาเริ่มมีเป้าหมายที่ตนจะไล่ตามไขว่คว้าด้วย   เป้าหมายเหล่านี้ไม่ถูกต้อง และจะนำทางผู้คนไปอยู่บนเส้นทางแห่งการไม่หวนกลับ ทำให้พวกเขาห่างออกไปมากขึ้นจากพระเจ้าและในท้ายที่สุดแล้วก็นำพวกเขาไปสู่การทำลายล้าง  ในเมื่อเป้าหมายเหล่านี้ไม่ถูกต้อง แนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องเป็นอย่างไร?  ก่อนอื่นพวกเรามาดูกันว่าการที่ผู้คนมีความสนใจและงานอดิเรกเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ กล่าวคือ ความสนใจและงานอดิเรกของพวกเขาสามารถระบุอยู่ในหมวดหมู่ของสิ่งที่เป็นลบได้หรือไม่?  (ไม่ได้ ไม่สามารถระบุเช่นนั้นได้)   ความสนใจและงานอดิเรกของผู้คนโดยเนื้อแท้แล้วไม่ผิด และแน่นอนว่าคนเราย่อมไม่สามารถกล่าวได้อย่างแน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เป็นลบ  สิ่งเหล่านั้นไม่ควรถูกกล่าวโทษหรือวิพากษ์วิจารณ์  การที่ผู้คนมีความสนใจ งานอดิเรก และความสามารถพิเศษในบางด้านนั้นเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ปกติ—ทุกคนมีสิ่งเหล่านี้  บางคนชอบเต้นรำ บางคนเพลิดเพลินกับการขับร้อง การวาดรูป การแสดง กลศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ วิศวกรรม การแพทย์ เกษตรกรรม การแล่นเรือใบ หรือกีฬาบางอย่าง ผู้อื่นชอบศึกษาภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา หรือการบิน และแม้กระนั้นแน่นอนว่าผู้อื่นอาจจะเพลิดเพลินกับการศึกษาวิชาที่คลุมเครือยิ่งไปกว่านั้นอีก  ไม่ว่าความสนใจและงานอดิเรกของคนคนหนึ่งจะเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์และชีวิตที่ปกติของมนุษย์  สิ่งเหล่านี้ไม่ควรถูกสบประมาทว่าเป็นสิ่งที่เป็นลบ และไม่ควรถูกวิพากษ์วิจารณ์ และยิ่งไม่ควรถูกห้ามอีก  กล่าวคือ ความสนใจและงานอดิเรกใดๆ ที่เจ้าอาจมีนั้นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม  ในเมื่อความสนใจหรืองานอดิเรกใดๆ นั้นถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและควรได้รับอนุญาตให้ดำรงอยู่ อุดมคติและความอยากที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ควรได้รับการปฏิบัติอย่างไร?  ตัวอย่างเช่น บางคนเพลิดเพลินกับเสียงเพลง  พวกเขากล่าวว่า “ฉันต้องการเป็นนักดนตรีหรือวาทยกร” แล้วก็ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไปศึกษาและพัฒนาตัวเองในเรื่องดนตรี กำหนดเป้าหมายในชีวิตและทิศทางในการครอบครองตำแหน่งนักดนตรีของตน  นี่ใช่สิ่งที่ถูกต้องที่จะทำหรือไม่?    (นี่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องที่จะทำ)  หากเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า หากเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของโลกและใช้ชีวิตของตนในการทำให้อุดมคติและความอยากซึ่งกำหนดขึ้นจากความสนใจและงานอดิเรกของตนเป็นจริงขึ้นมา พวกเราก็ไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้น  บัดนี้ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า หากเจ้ามีความสนใจและงานอดิเรกดังกล่าวและต้องการทุ่มเทอุทิศทั้งชีวิตของตน ยอมลำบากชั่วชีวิตเพื่อทำให้อุดมคติและความอยากซึ่งกำหนดขึ้นจากความสนใจและงานอดิเรกของตัวเองเป็นจริงขึ้นมา เส้นทางนี้ดีหรือแย่?  เส้นทางนี้ควรค่าที่จะส่งเสริมหรือไม่?  (เส้นทางนี้ไม่ควรค่าที่จะส่งเสริม)  พวกเราอย่าเพิ่งพูดถึงว่าเส้นทางนี้ควรค่าที่จะส่งเสริมหรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างควรที่จะจัดการอย่างเคร่งขรึม แล้วเพื่อที่จะพิจารณาว่าเรื่องนี้ถูกหรือผิด เจ้าทำการนั้นอย่างไร?  เจ้าจำเป็นต้องคำนึงถึงว่าการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากที่เจ้ากำหนดขึ้นมานั้นมีความเชื่อมโยงใดๆ กับคำสอนของพระเจ้าและความรอดของพระองค์และความคาดหวังสำหรับเจ้า เจตนารมณ์ของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ภารกิจของเจ้า และหน้าที่ของเจ้าหรือไม่ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เจ้าทำภารกิจของเจ้าจนเสร็จสิ้นและลุล่วงหน้าที่ของเจ้าได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้นหรือไม่ หรือสิ่งเหล่านี้จะเพิ่มโอกาสที่เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอดและช่วยให้เจ้าสัมฤทธิ์ความพึงพอใจจากเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่  ในฐานะบุคคลธรรมดาสามัญ การไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากของเจ้าเป็นสิทธิของเจ้า แต่ขณะที่เจ้าตระหนักถึงอุดมคติและความอยากของตัวเองและไล่ตามไขว่คว้าเส้นทางนี้ สิ่งเหล่านี้จะนำทางเจ้าลงไปบนเส้นทางแห่งความรอดหรือไม่?  สิ่งเหล่านี้จะนำทางเจ้าลงไปบนเส้นทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่?  ในท้ายที่สุดแล้วสิ่งเหล่านี้จะนำทางเจ้าไปสู่ผลลัพธ์จากการนบนอบและการนมัสการพระเจ้าโดยสมบูรณ์หรือไม่?  (สิ่งเหล่านี้จะไม่นำทางข้าพระองค์ไปสู่ผลลัพธ์ดังกล่าว)  เรื่องนั้นมั่นใจได้  ในเมื่อสิ่งเหล่านี้จะไม่นำทางเจ้าไปสู่ผลลัพธ์ดังกล่าว เช่นนั้นในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า อุดมคติและความอยากที่กำหนดขึ้นเนื่องจากความสนใจของเจ้า งานอดิเรกของเจ้า และแม้กระทั่งความสามารถพิเศษและพรสวรรค์ของเจ้านั้น เป็นบวกหรือเป็นลบ?  เจ้าควรมีสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  (สิ่งเหล่านี้เป็นลบ พวกเราไม่ควรมีสิ่งเหล่านี้)  เจ้าไม่ควรมีสิ่งเหล่านี้  แล้วธรรมชาติของอุดมคติและความอยากของคนเรากลายเป็นสิ่งใด?  สิ่งเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่เป็นบวกหรือเป็นลบ?  สิ่งเหล่านี้กลายเป็นสิทธิที่เจ้าควรมีหรือบางสิ่งที่เจ้าไม่ควรมีหรือไม่?  (สิ่งเหล่านี้กลายเป็นลบ เป็นบางสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่ควรมี)  สิ่งเหล่านี้กลายเป็นบางสิ่งที่เจ้าไม่ควรมี  บางคนพูดว่า “เช่นนั้นหากข้าพระองค์ไม่ควรมีสิ่งเหล่านี้ นั่นต้องหมายความว่าพระองค์กำลังทรงเอาสิทธิของข้าพระองค์ไป!”  เราไม่ได้กำลังเอาสิทธิของเจ้าไป เรากำลังพูดถึงว่าผู้คนควรใช้เส้นทางประเภทใดและจะไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร  เราไม่ได้กำลังเอาสิทธิของเจ้าไป อิสรภาพในการเลือกเป็นของเจ้า เจ้าได้รับอนุญาตให้เลือก  แต่ในเรื่องที่ว่าธรรมชาติของเรื่องนี้เป็นอย่างไรและควรตัดสินเรื่องนี้อย่างไรนั้น พวกเรามีพื้นฐานสำหรับการโต้แย้งของพวกเราและไม่ได้กำลังพูดโดยไร้แผนการ  หากเจ้ารับเอาพระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานของเจ้าและพูดจากมุมมองของความจริง เช่นนั้นอุดมคติและความอยากของคนเราย่อมไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก  พูดอย่างชัดเจนมากขึ้นก็คือ ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า แน่นอนว่าหากเจ้าปรารถนาจะไล่ตามเสาะหาความจริงและบรรลุความรอด หากเจ้าปรารถนาจะไล่ตามเสาะหาความจริงและสัมฤทธิ์การยำเกรงพระเจ้า หลบเลี่ยงความชั่ว และนบนอบพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรมีอุดมคติและความอยากเดียวกันกับที่ผู้คนทางโลกมี  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากเจ้าต้องการไล่ตามเสาะหาความจริงและบรรลุความรอด เช่นนั้นเจ้าก็ควรปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของตัวเอง  พูดให้แตกต่างออกไปก็คือ หากเจ้าต้องการไล่ตามเสาะหาความจริงและบรรลุความรอด เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากของตัวเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าไม่ควรใช้การไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากเหล่านี้เพื่อจุดประสงค์ในการรวบรวมชื่อเสียงและผลตอบแทน  สามารถพูดเช่นนี้ได้หรือไม่?  (ได้)  ตอนนี้ทุกอย่างชัดเจนแล้ว  ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า ในเมื่อเจ้าเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและปรารถนาจะบรรลุความรอด เช่นนั้นเจ้าก็ควรปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของเจ้า เจ้าควรละทิ้งเส้นทางนี้ ซึ่งเป็นเส้นทางแห่งการแสวงหาชื่อเสียงและผลตอบแทน และปล่อยมือจากอุดมคติและความอยากเหล่านี้  เจ้าไม่ควรเลือกการทำให้อุดมคติและความอยากของเจ้าเป็นจริงขึ้นมาเป็นเป้าหมายในชีวิตของเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เป้าหมายดังกล่าวควรเป็นการไล่ตามเสาะหาความจริงและบรรลุความรอด

บางคนถามว่า “ในเมื่อฉันไม่สามารถทำให้การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของฉันเป็นจริงขึ้นมาได้ และฉันก็ปล่อยสิ่งเหล่านี้ไปหมดแล้ว ฉันควรทำอย่างไรเกี่ยวกับความสนใจและงานอดิเรกของฉัน?”  นั่นเป็นกิจธุระของเจ้าเอง  แม้เจ้าอาจมีความสนใจและงานอดิเรก แต่ตราบที่สิ่งเหล่านี้ไม่ก่อกวนการไล่ตามเสาะหาปกติของเจ้า ไม่แทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและการทำให้ภารกิจของเจ้าเสร็จสิ้น และไม่กระทบต่อเป้าหมายในชีวิตของเจ้าหรือเส้นทางที่เจ้ากำลังเดิน เช่นนั้นเจ้าย่อมสามารถเก็บความสนใจและงานอดิเรกเหล่านี้เอาไว้  แน่นอนว่าเรื่องนี้ยังสามารถเป็นที่เข้าใจดังนี้ได้อีกด้วยว่า ในเมื่อความสนใจและงานอดิเรกเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ของเจ้า เช่นนั้นคนเราก็อาจกล่าวได้อีกด้วยว่าพระเจ้าประทานสิ่งเหล่านี้ให้เจ้า  แง่มุมทั้งหมด เช่น รูปลักษณ์ ครอบครัว ภูมิหลัง และถิ่นอาศัยในการมีชีวิตรอดของคนคนหนึ่งนั้น ถูกพระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้า  ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานความสนใจและงานอดิเรกที่เจ้ามีเช่นกัน  ข้อเท็จจริงนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ นี่เป็นสิ่งที่แน่นอน  ตัวอย่างเช่น บางคนมีทักษะในภาษา ในการวาดเขียน ในดนตรี ในการแยกแยะเสียง สี ฯลฯ  ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นทักษะพิเศษหรือความสนใจและงานอดิเรกของเจ้า คนเราอาจจะกล่าวได้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์  เหตุใดพระเจ้าจึงประทานความสนใจและงานอดิเรกบางอย่างให้ผู้คน?  ก็เพื่อทำให้ชีวิตมนุษย์ของเจ้าอุดมและมีสีสันมากขึ้นเล็กน้อย เพื่อที่ชีวิตของเจ้าจะได้ไปพร้อมกับองค์ประกอบบางอย่างของความบันเทิงและความสบายโดยไม่กระทบต่อการที่เจ้าเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต ทำให้ชีวิตของเจ้าแห้งแล้งน้อยลง จืดชืดและซ้ำซากจำเจน้อยลง  ตัวอย่างเช่น เมื่อถึงเวลาที่จะขับร้องเพลงนมัสการในการชุมนุม คนที่สามารถเล่นเครื่องดนตรีได้ย่อมสามารถเล่นดนตรีประกอบการขับร้องด้วยการเล่นเปียโนหรือกีตาร์  หากไม่มีใครสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้ เช่นนั้นทุกคนย่อมจะถูกลิดรอนความปีติยินดีนี้ไป  หากมีใครบางคนที่จะจัดเตรียมการเล่นดนตรีประกอบ เช่นนั้นผลลัพธ์ย่อมจะดีกว่าการขับร้องโดยไม่มีการเล่นดนตรีประกอบมาก และทุกคนย่อมจะชื่นชมยินดีกับการนี้  ในเวลาเดียวกัน การนี้ขยายโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น ทำให้ประสบการณ์อุดมสมบูรณ์ ชีวิตได้รับสาระสำคัญมากขึ้น ผู้คนรู้สึกว่าชีวิตสวยงามมากขึ้น และอารมณ์ของพวกเขาก็เบิกบานยิ่งขึ้น  นี่เป็นประโยชน์ต่อทั้งความเป็นมนุษย์ปกติของพวกเขาและเส้นทางที่พวกเขาใช้ในการเชื่อในพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าเพลิดเพลินกับการวาดภาพ เช่นนั้นในยามที่ชีวิตสำหรับพี่น้องชายหญิงซ้ำซากจำเจมากขึ้น เจ้าย่อมสามารถวาดภาพที่ชวนหัว และพรรณนาการแสดงออกและใบหน้าที่เป็นลบรวมทั้งคำพูดที่เป็นลบของบางคนเป็นการ์ตูนที่หลักแหลมและชวนหัว แล้วจึงรวบรวมสิ่งเหล่านี้ไว้ในหนังสือเล่มเล็กและแบ่งปันหนังสือเล่มนี้กับทุกคน รวมทั้งพวกที่มีความคิดติดลบเหล่านั้น  เมื่อพวกเขาเห็นหนังสือเล่มนี้และกล่าวว่า “อะไรกัน นี่ภาพวาดฉันเหรอเนี่ย?” พวกเขาก็จะหัวเราะเบาๆ และรู้สึกมีความสุข และจะไม่คิดลบอีกต่อไป  นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีหรอกหรือ?  นี่ไม่ต้องใช้ความพยายามมากเกินไป กระนั้นกลับช่วยให้พวกเขาออกมาจากความคิดลบของตนค่อนข้างง่ายดาย  ในเวลาว่างของคนเรา การวาดภาพ การเล่นเครื่องดนตรี การเสวนาศิลปะ หรือการสำรวจการแสดงและการแสดงเป็นตัวละครต่างๆ รวมถึงคนที่คิดลบประเภทต่างๆ บุคคลที่โอหังประเภทต่างๆ และการสำแดงต่างๆ ของศัตรูของพระคริสต์ซึ่งปฏิบัติตนตามอำเภอใจ สามารถช่วยให้ผู้คนปรับปรุงวิจารณญาณของตนรวมทั้งขยายโลกทัศน์ของตนให้กว้างขึ้น  นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีหรอกหรือ?  ความสนใจและงานอดิเรกเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ได้อย่างไรกัน?  สิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อผู้คน  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าทำให้เกิดอุดมคติและความอยากเนื่องจากความสนใจและงานอดิเรกของเจ้า และสิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อการกำกับทิศทางเจ้าไปสู่เส้นทางแห่งการไม่หวนกลับ เช่นนั้นสิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ดีสำหรับเจ้า  แต่หากเจ้านำความสนใจและงานอดิเรกของเจ้ามาใช้กับชีวิตของเจ้าในหนทางที่มีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกต่อความเป็นมนุษย์ของเจ้า ทำให้ชีวิตของเจ้ามั่งคั่งและมีสีสันมากขึ้น และทำให้เจ้าหลักแหลมและเบิกบานยิ่งขึ้น ใช้ชีวิตโดยได้รับการบำรุงเลี้ยง หลุดพ้น และเป็นอิสระมากขึ้น เช่นนั้นความสนใจและงานอดิเรกของเจ้าย่อมจะมีผลกระทบเชิงบวก เป็นประโยชน์ต่อทุกคนและจัดเตรียมการศึกษาให้เจ้า ขณะที่ไม่กระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและการทำให้ภารกิจของเจ้าเสร็จสิ้น  แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยเจ้าในการลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในขอบข่ายหนึ่ง  เมื่อเจ้ากำลังรู้สึกแย่หรือท้อแท้ การขับร้องบทเพลง การเล่นเครื่องดนตรี หรือการเล่นดนตรีที่มีชีวิตชีวาและมีจังหวะลีลาสามารถยกอารมณ์ของเจ้าขึ้นสูง ช่วยให้เจ้าสามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในการอธิษฐานได้  เจ้าจะไม่เก็บงำความคิดลบ ไม่พร่ำบ่น และไม่ต้องการเลิกล้มอีกต่อไป  ในเวลาเดียวกัน เจ้าก็จะค้นพบจุดอ่อนและข้อเสียของเจ้า ตระหนักว่าเจ้าบอบบางเกินไปและไม่สามารถทนต่อการกล่อมเกลาหรือการชะงักงัน  การเล่นเครื่องดนตรีจะช่วยเจ้าปรับปรุงอารมณ์ของเจ้า นี่เรียกว่าการรู้จักวิธีใช้ชีวิต  ความสนใจและงานอดิเรกเหล่านี้ไม่ได้มีผลกระทบเชิงบวกหรอกหรือ?  (มี)  ความสนใจและงานอดิเรกอาจมองได้ว่าเป็นเครื่องมือที่เมื่อใช้อย่างถูกควรสามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของเจ้า อำนวยให้เจ้าดำเนินชีวิตที่เป็นปกติและมีเหตุผลมากขึ้น  สิ่งเหล่านี้สามารถเร่งหรืออำนวยความสะดวกให้กับการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงของเจ้ารวมทั้งจัดเตรียมเครื่องมือเพิ่มเติมที่จะช่วยเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ในขอบเขตหนึ่ง  แน่นอนว่าความเป็นมนุษย์ของบางคนนั้นแย่และชั่ว พวกเขาทะเยอทะยานอยู่เสมอ มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ หรือไม่พวกเขาก็เป็นศัตรูของพระคริสต์  สำหรับพวกเขาแล้ว การมีความสนใจและงานอดิเรกอาจเป็นปัญหาได้ เนื่องจากพวกเขาอาจจะใช้สิ่งเหล่านี้เป็นต้นทุนและคิดถึงแต่ตัวเองไม่สิ้นสุด ซึ่งเป็นการหล่อเลี้ยงความก้าวร้าวและความอาจหาญในการทำความชั่วอย่างไม่ต้องสงสัย  ดังนั้นโดยเนื้อแท้แล้วความสนใจและงานอดิเรกในตัวมันเองจึงไม่แย่และไม่ใช่สิ่งที่เป็นลบ  คนดีและคนปกติธรรมดาใช้สิ่งเหล่านี้สำหรับสิ่งที่เป็นบวก ขณะที่บุคคลที่แย่ ชั่ว และคิดลบใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อทำความชั่วและความประพฤติที่แย่  ดังนั้นความสนใจและงานอดิเรกสามารถทำให้เจ้าดีขึ้นหรือไม่ก็เลวลงได้ ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ?  (เป็นเช่นนั้น)  พวกเรากลับมาที่หัวข้อหลักเกี่ยวกับวิธีปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของผู้คนกันเถิด  หลังจากเข้าใจแก่นแท้ของความสนใจและงานอดิเรก ผู้คนไม่ควรมองความสนใจและงานอดิเรกของใครบางคนผ่านทางแว่นตาที่มีสี และแน่นอนว่าพวกเขาไม่ควรปฏิเสธผู้คนที่มีความสนใจหรืองานอดิเรกใดๆ  ความสนใจและงานอดิเรกเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ปกติ และผู้คนควรปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้อย่างถูกต้อง  เว้นเสียแต่ว่าความสนใจและงานอดิเรกของเจ้าเริ่มกระทบต่อชีวิตของผู้อื่นหรือเป็นเหตุให้เกิดความไม่สบายกับผู้อื่น หรือหากเจ้าปกปักรักษาความสนใจและงานอดิเรกของเจ้าโดยแลกกับการก่อกวนหรือการกระทบต่อผู้อื่น เช่นนั้นนี่ย่อมไม่ถูกต้องเหมาะสม  นอกจากนี้ ความสนใจและงานอดิเรกของเจ้าก็ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม และเป็นที่หวังว่าผู้คนจะสามารถปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกควรรวมทั้งใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้และนำสิ่งเหล่านี้มาใช้อย่างมีเหตุผล  แน่นอนว่าหนทางที่ดีที่สุดและถูกต้องที่สุดที่จะใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้และนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ก็คือให้ความสนใจและงานอดิเรกของเจ้ามีผลกระทบที่ใหญ่หลวงที่สุดต่องานที่เจ้าทำและหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติ รวมทั้งนำสิ่งเหล่านี้มาใช้อย่างกว้างไกลที่สุดโดยไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้สูญไปเปล่าๆ  บางคนพูดว่า “ความสนใจและงานอดิเรกของฉันสามารถมีบทบาทอันมีนัยสำคัญในการทำหน้าที่ของฉัน แต่ฉันรู้สึกว่าความรู้ของฉันในด้านนี้ไม่เพียงพอและไม่ครอบคลุมมากพอในขณะนี้  ฉันต้องการพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้าต่อไปและดำเนินการศึกษาเรื่องหัวข้อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านนี้ให้ดีขึ้นและเป็นระบบมากขึ้น จากนั้นจึงนำความรู้นี้มาใช้กับหน้าที่ของฉัน  ฉันสามารถทำเช่นนั้นได้หรือไม่?”  ทำได้ เจ้าสามารถทำได้  พระนิเวศของพระเจ้าหนุนใจพวกเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้คอยเรียนรู้อยู่เสมอ  ความรู้เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง และหากความรู้นั้นไม่มีสิ่งใดที่กัดกร่อนหรือกัดเซาะความคิดของคนเรา เจ้าย่อมสามารถศึกษาและทำให้ความเข้าใจความรู้นั้นของเจ้าลึกซึ้ง  เจ้าสามารถใช้ความรู้นั้นเป็นเครื่องมือเชิงบวกและเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เป็นการเปิดโอกาสให้ความรู้นั้นมีประสิทธิผลและมีผลกระทบ  นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องเหมาะสมหรอกหรือ?  (ใช่)  แน่นอนว่าวิธีการปฏิบัตินี้ยังเป็นหนทางที่ถูกควรในการรับมือกับความสนใจและงานอดิเรกของเจ้าอีกด้วย และในเวลาเดียวกันก็เป็นหนทางที่ถูกต้องในการละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คนเช่นกัน  เจ้ากำลังใช้ความสนใจและงานอดิเรกของเจ้าและนำสิ่งเหล่านี้มาใช้อย่างถูกต้อง โดยไม่ใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายส่วนบุคคลหรือเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายในการไล่ตามไขว่คว้าความพึงพอใจจากความทะเยอทะยานและการใฝ่หาส่วนบุคคล  เช่นนั้นนี่จึงเป็นหนทางแห่งการปฏิบัติที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและถูกต้องแม่นยำ และแน่นอนว่ายังเป็นหนทางแห่งการปฏิบัติที่ถูกต้องและเป็นบวกด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังทำหน้าที่เป็นเส้นทางที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับวิธีปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากด้วย

พวกเราได้อธิบายอย่างชัดเจนแล้วถึงประเด็นปัญหาเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติต่อความสนใจและงานอดิเรกอย่างถูกต้อง ทีนี้การปล่อยมือที่จริงแล้วหมายถึงสิ่งใด?  พวกเราไม่ได้กำลังวิพากษ์วิจารณ์หรือกล่าวโทษความสนใจและงานอดิเรก ตรงกันข้ามพวกเขากำลังชำแหละการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากที่ผู้คนกำหนดโดยมีความสนใจและงานอดิเรกเป็นรากฐานและต้นทุนของตน  ด้วยเหตุนี้สิ่งที่ต้องถูกปล่อยมือไปอย่างแท้จริงก็คือการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากเหล่านี้นี่เอง  ก่อนหน้านี้พวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการปล่อยให้ความสนใจและงานอดิเรกของเจ้ามีบทบาทเชิงบวกและสร้างผลกระทบที่เป็นบวก—นี่เป็นวิธีการปฏิบัติอันแข็งขันในการละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน   ในอีกแง่มุมหนึ่ง ผู้คนไม่ควรไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากของตนเองเพราะพวกเขามีความสนใจและงานอดิเรก—นี่เป็นรูปแบบที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นในการปล่อยมือ  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ แง่มุมหนึ่งคือการใช้ความสนใจและงานอดิเรกของเจ้าให้ดี ขณะที่อีกแง่มุมหนึ่งก็คือเจ้าไม่ควรไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากซึ่งกำหนดขึ้นเพราะความสนใจและงานอดิเรกของตัวเอง กล่าวคือ จงอย่าไล่ตามไขว่คว้าเป้าหมายในชีวิตที่เจ้ามีเพราะความสนใจและงานอดิเรกของเจ้า  แล้วเจ้าอาจจะพิจารณาอย่างไรว่าเจ้ากำลังใช้ความสนใจและงานอดิเรกตามปกติและไม่ได้กำลังไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยาก?  หากเจ้ามีความสนใจและงานอดิเรก และเจ้านำสิ่งเหล่านี้ไปใช้กับงานของเจ้า กับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และกับชีวิตประจำวันของตัวเองอย่างถูกต้อง หากเป้าหมายของการไล่ตามไขว่คว้าของเจ้าไม่ใช่เพื่ออวดตัวหรือเป่าแตรของตัวเอง แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อเพิ่มความนิยมของตัวเองหรือได้รับการเคารพนับถือ การกล่าวชมเชย และความเลื่อมใสจากผู้อื่น และแน่นอนว่าที่พิเศษกว่านั้นก็คือไม่ใช่เพื่อทำให้ผู้คนมีตำแหน่งแห่งที่ในหัวใจของพวกเขาสำหรับเจ้าเพราะความสนใจและงานอดิเรกของเจ้า รวมทั้งกำหนดและติดตามเจ้าโดยการนั้น เช่นนั้นเจ้าย่อมนำความสนใจและงานอดิเรกของเจ้าไปใช้อย่างเป็นไปในเชิงบวก ถูกควร ถูกต้องเหมาะสม และมีเหตุผลแล้ว ซึ่งตรงกับความเป็นมนุษย์ปกติและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า และเจ้าย่อมกำลังใช้สิ่งเหล่านี้โดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง  แต่ขณะที่กำลังใช้ความสนใจและงานอดิเรกหรือนำสิ่งเหล่านี้ไปใช้ หากเจ้าบังคับผู้อื่นให้เลื่อมใสและยอมรับเจ้า โดยมีจุดประสงค์อันแรงกล้าเป็นพิเศษในการอวดตัว หากเจ้าให้ผู้อื่นรับฟังและยอมรับเจ้าอย่างไม่มีหลักศีลธรรม ไร้ยางอาย และใช้กำลังบังคับ โดยตอบสนองความถือดีที่เจ้าได้จากการอวดความสนใจและงานอดิเรกของเจ้าไม่ว่าผู้อื่นรู้สึกอย่างไร ในท้ายที่สุดแล้วก็ใช้ความสนใจและงานอดิเรกของเจ้าเป็นต้นทุนเพื่อควบคุมผู้อื่น ได้รับตำแหน่งแห่งที่ในหัวใจของผู้คนเหล่านั้น และสถาปนาเกียรติยศท่ามกลางผู้คน และหากในท้ายที่สุดแล้วเจ้าสัมฤทธิ์ชื่อเสียงและผลตอบแทนอันเป็นผลจากความสนใจและงานอดิเรกของตัวเอง เช่นนั้นนี่ย่อมไม่ใช่การใช้ความสนใจและงานอดิเรกที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและไม่ใช่การนำความสนใจและงานอดิเรกของเจ้ามาใช้ตามปกติ  การกระทำดังกล่าวควรถูกกล่าวโทษ ควรถูกผู้อื่นแยกแยะและปฏิเสธ และแน่นอนว่าควรถูกผู้คนปล่อยมือไปเช่นกัน  เมื่อเจ้าใช้โอกาสในการปฏิบัติหน้าที่ของตน หรือเจ้าใช้ข้ออ้างของการเป็นผู้นำ บุคคลที่เป็นผู้ควบคุมดูแล หรือใครบางคนที่มีความสามารถพิเศษอันเป็นเลิศ เพื่อที่จะแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าเจ้ามีความสามารถพิเศษและทักษะบางอย่าง และแสดงให้พวกเขาเห็นว่าความสนใจและงานอดิเรกของเจ้าอยู่เหนือของพวกเขา การทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้ย่อมไม่ถูกต้องเหมาะสม  การนี้เกี่ยวข้องกับการนำความสนใจและงานอดิเรกของเจ้ามาใช้เป็นข้ออ้างเพื่อสถาปนาเกียรติยศท่ามกลางผู้คนรวมทั้งสนองความทะเยอทะยานและความอยากของตัวเอง   พูดให้ชัดเจนก็คือ กระบวนการหรือแนวทางปฏิบัตินี้เทียบกับการฉวยผลประโยชน์จากความสนใจและงานอดิเรกของเจ้ารวมทั้งความเลื่อมใสของผู้คนเพื่อที่สิ่งเหล่านี้จะได้ทำให้การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของเจ้าเป็นจริงขึ้นมา  นี่คือสิ่งที่เจ้าควรปล่อยมือไป  บางคนพูดว่า “หลังจากได้ยินเช่นนี้ ฉันยังคงไม่รู้วิธีปล่อยมือ”  ในความเป็นจริงแล้ว การปล่อยมือนั้นง่ายหรือไม่?  เมื่อเจ้ามีความสนใจและงานอดิเรกบางอย่างที่โดดเด่น หากเจ้าไม่ทำอะไรเลย ความสนใจและงานอดิเรกเหล่านี้ย่อมอยู่ภายในความเป็นมนุษย์ของเจ้าและไม่เกี่ยวข้องกับอะไรกับเรื่องที่ว่าเจ้าใช้เส้นทางใด  อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เจ้าอวดความสนใจและงานอดิเรกของเจ้าอยู่เป็นนิตย์ โดยพยายามที่จะให้ได้ชื่อเสียงมาท่ามกลางผู้คนหรือเพิ่มความนิยมของเจ้า ทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นรู้จักเจ้า และดึงดูดความใส่ใจมากขึ้น กระบวนการนี้และแนวทางปฏิบัตินี้ย่อมไม่ใช่หนทางที่เรียบง่ายในการทำสิ่งทั้งหลาย  เมื่อนำการกระทำและพฤติกรรมทั้งหมดเหล่านี้มารวมกันแล้ว สิ่งเหล่านี้ก่อรูปเส้นทางที่คนคนหนึ่งใช้  แล้วเส้นทางนี้เป็นอย่างไร?  เป็นความพยายามที่จะไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติและความอยากของคนเราเป็นจริงขึ้นมาภายในพระนิเวศของพระเจ้า ไล่ตามไขว่คว้าการเลื่อมใสจากผู้อื่น และสัมฤทธิ์ความพึงพอใจจากความทะเยอทะยานและความอยากของตนเอง  ทันทีที่เจ้าเริ่มการไล่ตามไขว่คว้าประเภทนี้ เส้นทางที่เจ้าอยู่ก็กลายเป็นเส้นทางแห่งการไม่หวนกลับ เป็นเส้นทางที่นำไปสู่การทำลายล้าง  เจ้าไม่ควรกลับตัว ย้อนการกระทำเหล่านี้ และปล่อยมือจากการกระทำ ความทะเยอทะยาน และความอยากเหล่านี้อย่างรวดเร็วหรอกหรือ?  บางคนอาจพูดว่า “ฉันยังคงไม่รู้ว่าจะปล่อยมืออย่างไร”  เช่นนั้นก็จงอย่าปล่อยมือ  “จงอย่าปล่อยมือ” หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเจ้าควรซ่อนเร้นความสนใจและงานอดิเรกของเจ้าเอาไว้และพยายามให้ดีที่สุดที่จะไม่อวดสิ่งเหล่านี้  บางคนอาจถามว่า “แต่หากการทำหน้าที่ของฉันพึงต้องมีการปล่อยมือ ฉันควรแสดงให้เห็นสิ่งเหล่านี้หรือไม่?”  ในยามที่เจ้าควร ในยามที่เจ้าต้องแสดงให้เห็นสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็ควรทำเช่นนั้น—นั่นเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับเรื่องนั้น  อย่างไรก็ตาม หากในขณะนี้เจ้าอยู่บนเส้นทางแห่งการไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากของเจ้า เช่นนั้นก็จงอย่าเผยให้เห็นสิ่งเหล่านั้น  เมื่อเจ้ารู้สึกถึงแรงเร้าที่จะอวดสิ่งเหล่านี้ เจ้าควรอธิษฐานถึงพระเจ้า ตั้งปณิธานอันมั่นคง ยับยั้งความอยากเหล่านี้ และในเวลาเดียวกันก็ยอมรับการพินิจพิเคราะห์และการบ่มวินัยของพระเจ้า ควบคุมหัวใจของเจ้า และจำกัดขอบเขตความทะเยอทะยานและความอยากของเจ้าให้อยู่ในที่ที่เริ่มต้นสิ่งเหล่านี้ ทำให้สิ่งเหล่านี้ปลาสนาการไป และไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นความเป็นจริงเป็นอันขาด—นี่ดีหรือไม่?  (ดี)  เรื่องนี้ง่ายที่จะทำหรือไม่?  เรื่องนี้ไม่ง่ายที่จะทำใช่ไหม?  ใครเล่ามีความสามารถพิเศษเล็กน้อยแต่ไม่ต้องการอวดความสามารถพิเศษนี้?  จงอย่าแม้แต่กล่าวถึงบรรดาผู้ที่มีทักษะพิเศษบางอย่าง  บางคนสามารถทำอาหารและจัดเตรียมอาหารได้ และพวกเขาต้องการอวดตัวไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด ถึงขั้นเรียกตัวเองว่า “คนงามเต้าหู้” หรือ “ราชินีบะหมี่”  ทักษะเล็กน้อยเหล่านี้ควรค่าที่จะอวดหรือไม่?  หากพวกเขาจะมีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม ความโอหังของพวกเขาจะกลายเป็นเกินเลยเพียงใด?  พวกเขาจะลงเอยบนเส้นทางแห่งการไม่หวนกลับอย่างไม่ต้องสงสัย  แน่นอนว่านอกจากการที่ผู้คนใช้เส้นทางที่ผิด หรือเส้นทางแห่งการไม่หวนกลับเนื่องจากความสนใจและงานอดิเรกของตน พวกเขาส่วนใหญ่มักจะมีความคิดที่แข็งขันเพราะความสนใจและงานอดิเรกของพวกเขาในขั้นตอนของการเชื่อในพระเจ้า  ขณะที่กำลังเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของพวกเขา ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขานั้น พวกเขากำลังเริ่มต้นอุดมคติและความอยากที่พวกเขากำหนดขึ้นอยู่เป็นนิตย์ หรือไม่ก็พวกเขาอาจเตือนตัวเองอย่างต่อเนื่องถึงอุดมคติและความอยากที่ยังไม่ได้เป็นจริงขึ้นมาของพวกเขา บอกตัวเองในหัวใจของพวกเขาอยู่เสมอว่าพวกเขายังคงมีอุดมคติและความอยากเหล่านี้ที่ยังไม่เคยถูกทำให้เป็นจริงขึ้นมา  แม้พวกเขาไม่เคยยอมลำบากใดๆ เป็นพิเศษและไม่เคยนำการปฏิบัติพิเศษใดๆ ต่อสิ่งเหล่านี้มาใช้ อุดมคติและความอยากเหล่านี้ได้หยั่งรากลึกในหัวใจของพวกเขาแล้ว และพวกเขาก็ไม่เคยปล่อยสิ่งเหล่านี้ไป

ก่อนหน้านี้พวกเราชำแหละและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติและความอยากเป็นจริงขึ้นมา ตลอดจนการติดตามเส้นทางของโลกนี้ เป็นเส้นทางที่ไม่หวนกลับ เป็นถนนที่นำไปสู่การทำลายล้าง  การไล่ตามไขว่คว้านี้กับการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเหมือนเส้นขนานสองเส้น จะไม่มีวันมีจุดที่สองเส้นนี้ตัดกัน และแน่นอนว่าสองเส้นนี้ย่อมจะไม่มีวันตัดกันเช่นกัน  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้าและปรารถนาจะไล่ตามเสาะหาความจริงและบรรลุความรอด เช่นนั้นเจ้าต้องปล่อยมือจากอุดมคติและความอยากใดๆ ที่เจ้ามีอยู่ในหัวใจของตนก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง  จงอย่าปกปักรักษาหรือทะนุถนอมสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ควรถูกละทิ้ง  การไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติและความอยากของเจ้ากับการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเหมือนเส้นทางของน้ำมันกับน้ำ  หากเจ้ามีอุดมคติและความอยากและปรารถนาจะทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงขึ้นมา เจ้าย่อมจะไม่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้  หากเจ้าปรารถนาจะกำหนดความรู้สึกนึกคิดของตนเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาความจริงในลักษณะที่มีเหตุผลผ่านทางความเข้าใจความจริงและประสบการณ์หลายปีเหลือเกิน เช่นนั้นเจ้าก็ควรละทิ้งอุดมคติและความอยากในอดีตของตน โดยถอนสิ่งเหล่านี้ออกจากจิตสำนึกหรือห้วงลึกของดวงจิตของตนอย่างสิ้นเชิง  หากเจ้าปรารถนาจะไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นอุดมคติและความอยากของเจ้าย่อมจะไม่มีวันมาเกิดดอกออกผล  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น สิ่งเหล่านั้นจะขัดขวางการไล่ตามเสาะหาความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงของเจ้า ในขณะที่ดึงเจ้าให้ตกต่ำและทำให้เส้นทางในการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้าตรากตรำและท้าทาย  ในเมื่อเจ้ารู้ว่าเจ้าจะไม่สามารถทำให้อุดมคติและความอยากของตนเป็นจริงขึ้นมาได้ ย่อมเป็นการดีกว่าที่จะตัดเยื่อใยกับสิ่งเหล่านี้อย่างเด็ดขาดและปล่อยสิ่งเหล่านี้ไปโดยสิ้นเชิง ไม่คิดถึงสิ่งเหล่านี้อีก และไม่ยึดมั่นในภาพลวงตาใดๆ เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้  หากเจ้าพูดว่า “ฉันยังคงไม่สนใจเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงและการบรรลุความรอดเท่าไหร่  ฉันยังคงไม่รู้ว่าฉันสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่ ฉันเป็นผู้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่  ฉันยังคงไม่เข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับเส้นทางแห่งการบรรลุความรอดนี้  ในทางกลับกัน ฉันมีเส้นทางสู่การไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากทางโลกที่เป็นรูปธรรมมาก รวมทั้งแผนการและกลยุทธ์ที่เป็นรูปธรรมมาก”  หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมสามารถปล่อยมือจากเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงและการทำหน้าที่ของตนเพื่อไปทำให้อุดมคติและความอยากของตนเป็นจริงขึ้นมา  แน่นอนว่า หากเจ้าไม่แน่ใจว่าจะไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากของตัวเองหรือความจริง เราแนะนำให้เจ้าใจเย็นเข้าไว้เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง  บางทีอาจจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าต่ออีกหนึ่งหรือสองปี ยิ่งเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งมีประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมที่มากขึ้นเท่านั้น มุมมองและแนวทางของเจ้าในเรื่องวิธีที่เจ้ามองสิ่งทั้งหลายยิ่งเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น อารมณ์และสภาวะของเจ้าย่อมจะปรับปรุง ซึ่งจะเป็นพรอันยิ่งใหญ่ไพศาลสำหรับเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย  บางทีหลังจากสองปี เจ้าอาจทำความเข้าใจความจริงบางอย่าง โดยได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่ครบถ้วนเกี่ยวกับโลกและความเป็นมนุษย์ จากนั้นเจ้าจะสามารถปล่อยมือจากอุดมคติและความอยากของตนได้อย่างสิ้นเชิงและติดตามพระเจ้าอย่างเต็มใจไปจนตลอดชีวิตที่เหลือของเจ้า โดยยอมรับการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์  ไม่สำคัญว่าเจ้าอาจเผชิญกับความยากลำบากที่ใหญ่หลวงเพียงใดในพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าย่อมจะสามารถยืนกรานในการลุล่วงหน้าที่ของตนและทำให้ภารกิจของตนเสร็จสิ้น  และที่สำคัญที่สุดก็คือ เจ้าจะปลงใจและตัดสินใจอย่างมั่นคงที่จะละทิ้งอุดมคติและความอยากก่อนหน้านี้ของตน เป็นการอำนวยให้เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างมีเหตุผลโดยไม่หวั่นไหว  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่สามารถมั่นใจได้ในขณะนี้และปรารถนาจะประเมินอีกครั้งว่าเจ้าสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่ในอีกหนึ่งหรือสองปี พระนิเวศของพระเจ้าย่อมจะไม่บังคับเจ้าและไม่กล่าวว่า “เจ้าไม่แน่วแน่และไม่หนักแน่น”  หลังจากหนึ่งหรือสองปี เมื่อเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น รับฟังคำเทศนามากขึ้น เข้าใจความจริงเล็กน้อย และความเป็นมนุษย์ของเจ้าเป็นผู้ใหญ่ มุมมองที่เจ้ามีเกี่ยวกับวิธีที่เจ้ามองสิ่งทั้งหลาย ทัศนะที่เจ้ามีต่อชีวิต รวมทั้งโลกทัศน์ของเจ้าย่อมจะเปลี่ยนแปลง  เมื่อถึงตอนนั้น ทางเลือกของเจ้าย่อมจะถูกต้องเหมาะสมมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้บ้าง หรือหากจะใช้วลีจากผู้ไม่มีความเชื่อ เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าย่อมจะรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เจ้าต้องใช้เส้นทางใด และเจ้าต้องเป็นคนประเภทใด  นี่คือแง่มุมหนึ่ง  สมมติว่าเจ้าไม่มีความสนใจในการเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงแท้และทำเช่นนั้นเพียงเพราะบิดามารดาหรือเพื่อนร่วมงานของเจ้านำเสนอข่าวประเสริฐต่อเจ้า และเจ้ายอมรับก็เพราะต้องการรักษาหน้าหรือเพราะความสุภาพ เจ้าเข้าร่วมการชุมนุมและทำหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างอิดออด ขณะที่คิดว่าพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรไม่ได้แย่และอย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ไม่กลั่นแกล้งผู้คน และพระนิเวศของพระเจ้าคือสถานที่แห่งเหตุผล ที่ซึ่งความจริงครองสิทธิอำนาจ และที่ซึ่งผู้คนไม่ถูกกดขี่หรือถูกผู้อื่นกลั่นแกล้ง และเจ้ารู้สึกว่าพระนิเวศของพระเจ้าดีกว่าโลกของผู้ไม่มีความเชื่อ แต่อุดมคติและความอยากของเจ้าไม่เคยถูกปล่อยมือไปหรือมีการเปลี่ยนแปลง และในทางกลับกัน อุดมคติและความอยากที่ถือครองไว้ก่อนหน้าเหล่านี้ก็แข็งแกร่งมากขึ้นและชัดเจนมากขึ้นเรื่อยมาในห้วงลึกของหัวใจ จิตใจ และจิตวิญญาณของเจ้า และเมื่อสิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นแน่ชัดมากขึ้น เมื่อเป็นเรื่องของความเชื่อในพระเจ้า เจ้าพบว่าความจริงที่กำลังสามัคคีธรรมอยู่นั้น ตลอดจนคำพูด การกระทำ และหนทางในชีวิตประจำวัน ฯลฯ จืดชืดและแห้งแล้งมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้ารู้สึกอึดอัด และการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เจ้าไม่มีความสนใจในการไล่ตามเสาะหาความจริงแต่อย่างใด รวมทั้งไม่มีความเห็นที่ดีในความรู้สึกนึกคิดของเจ้าเกี่ยวกับการเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต วิธีประพฤติปฏิบัติตนอย่างถูกควร หรือสิ่งที่ถือเป็นสิ่งที่เป็นบวก หากเจ้าเป็นใครบางคนเช่นนี้ เช่นนั้นเราขอบอกเจ้าว่าจงรีบไปไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากของตัวเองเถิด!  มีสถานที่แห่งหนึ่งในโลกนี้สำหรับเจ้า เป็นสถานที่ท่ามกลางกระแสแห่งความชั่วที่ซับซ้อนและสับสนอลหม่าน  เจ้าจะทำให้อุดมคติและความอยากของตนเป็นจริงขึ้นมาเหมือนที่เจ้าเคยหวังไว้อย่างไม่ต้องสงสัย และจะได้มาซึ่งสิ่งต่างๆ ที่เจ้าปรารถนาจะให้ได้มา  พระนิเวศของพระเจ้าไม่เหมาะสมให้เจ้าอยู่ต่อ ไม่ใช่สถานที่ในอุดมคติของเจ้า และแน่นอนว่าเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการเดิน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการ   จงฉวยประโยชน์ในขณะนี้ ขณะที่อุดมคติและความอยากของเจ้ากำลังก่อตัวขึ้น และขณะที่เจ้ายังเยาว์วัยและยังมีพลังงานหรือทรัพยากรที่จะไปเพียรพยายามในโลก จงเร่งรีบและผละจากพระนิเวศของพระเจ้า จงไปทำให้อุดมคติและความอยากของตนเป็นจริงขึ้นมา  พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ยับยั้งเจ้า  จงอย่ารอจนถึงวันที่เจ้าสูญสิ้นความหวังที่จะได้รับพรและเจ้าไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับคำพยานจากประสบการณ์ของตน เมื่อเจ้ายังไม่ได้เสร็จสิ้นการลุล่วงหน้าที่ของตนอย่างถูกควร และในที่สุดก็ตื่นขึ้นมาเมื่ออายุห้าสิบ หกสิบ เจ็ดสิบ หรือแปดสิบปี ปรารถนาจะไล่ตามเสาะหาความจริง—ถึงตอนนั้นย่อมจะสายเกินไปแล้ว  หากเจ้าไม่ปรารถนาจะอยู่ต่อในพระนิเวศของพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าย่อมจะปล่อยตัวเองให้อยู่ในความล่มจม  สำหรับคนเยี่ยงเจ้า ไม่มีความจำเป็นต้องต่อต้านเจตจำนงของเจ้าและปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของเจ้า  เพราะข้อสนับสนุนที่เราเสวนาเกี่ยวกับการละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คนก็คือ เจ้าเป็นคนคนหนึ่งที่ไล่ตามเสาะหาความจริง หรือแม้ในขณะนี้เจ้ายังไม่ได้เริ่มไล่ตามเสาะหาความจริง แต่เจ้าก็ได้กำหนดหัวใจของตนที่จะเป็นหัวใจที่ไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว และเจ้าก็จะไม่ผละจากพระนิเวศของพระเจ้าไม่สำคัญว่าเจ้าบรรลุความรอดหรือไม่ ไม่ว่าเจ้ามีชีวิตอยู่หรือตาย  เรากำลังกล่าวถึงคนเช่นนี้  แน่นอนว่าเราควรเพิ่มการกล่าวออกตัว กล่าวคือ เนื่องจากในวันนี้เราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหัวข้อ “การละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน” เรื่องนี้จึงมีข้อสนับสนุนที่ว่าผู้คนเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและบรรลุความรอด  นี่มุ่งหมายไปที่ผู้คนที่เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและบรรลุความรอดโดยเฉพาะ  นอกจากผู้คนเหล่านี้ พวกที่ไม่สนใจเส้นทาง ทิศทาง ความเต็มใจ หรือความตั้งใจแน่วแน่ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและบรรลุความรอดไม่จำเป็นต้องฟังหัวข้อในวันนี้  นี่คือการกล่าวออกตัวที่เราเพิ่มเข้าไป เป็นการกล่าวออกตัวที่จำเป็นมิใช่หรือ?  (จำเป็น)  พวกเราให้อิสรภาพแก่ผู้คน พวกเราไม่บีบบังคับใคร  ผู้คนได้รับหลักธรรมความจริงใดๆ คำสอน การจัดเตรียม การสนับสนุน หรือความช่วยเหลือใดๆ บนพื้นฐานของความมีเหตุผลและตามเงื่อนไขที่พวกเขาเต็มใจ  หากเจ้าเต็มใจที่จะรับฟัง เจ้าย่อมสามารถปิดหูรวมทั้งไม่รับฟังและไม่ยอมรับการสามัคคีธรรมในวันนี้ หรือเจ้าอาจผละจากไปได้เช่นกัน—ทั้งสองอย่างนั้นยอมรับได้  ไม่มีผู้ใดถูกบีบบังคับให้ยอมรับการสามัคคีธรรมความจริงในพระนิเวศของพระเจ้า  พระเจ้าประทานอิสรภาพให้ผู้คนและไม่ทรงฝืนใจใคร  จงบอกเราทีว่านี่ใช่สิ่งที่ดีหรือไม่?  (ใช่)  มีความจำเป็นต้องบีบบังคับพวกเขาหรือไม่?  (ไม่มี)  ไม่มีความจำเป็นต้องบีบบังคับ  ความจริงนำมาซึ่งชีวิต ชีวิตนิรันดร์   หากเจ้าเต็มใจที่จะรับความจริงไว้ อีกทั้งเจ้ายอมรับและนบนอบความจริง เช่นนั้นเจ้าย่อมจะรับความจริงไว้  หากเจ้าไม่ยอมรับความจริง แต่ปฏิเสธและต่อต้าน เช่นนั้นเจ้าย่อมจะไม่บรรลุความจริง  ไม่ว่าเจ้าสามารถบรรลุความจริงหรือไม่ก็ตาม เจ้าต้องยอมรับผลที่ตามมา  ไม่เป็นเช่นนี้หรอกหรือ?  (เป็นเช่นนี้)

เหตุผลที่ทำไมพวกเราจึงสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจำเป็นต้องปล่อยมือจากบางสิ่งขณะที่กำลังไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเพราะการไล่ตามเสาะหาความจริงและการบรรลุความรอดนั้นคล้ายกับเวลาที่ผู้คนเข้าร่วมในการแข่งวิ่งมาราธอน  ผู้แข่งขันที่เข้าร่วมในการแข่งวิ่งมาราธอนไม่ต้องการพละกำลังของร่างกายพิเศษเหนือธรรมดาหรือทักษะอันเป็นเลิศ แต่พวกเขาพึงต้องมีความทนทานและความมานะบากบั่นในระดับหนึ่ง และพวกเขาพึงต้องมีความเชื่อตลอดจนความมุ่งมั่นที่จะบากบั่น  แน่นอนว่าในขั้นตอนของการเข้าร่วมในการแข่งวิ่งมาราธอน นอกจากองค์ประกอบฝ่ายวิญญาณเหล่านี้ ผู้คนยังพึงต้องค่อยๆ ปล่อยมือจากภาระบางอย่างเพื่อที่จะไปให้ถึงบั้นปลายของตนได้ง่ายยิ่งขึ้น เป็นอิสระมากขึ้น หรือในหนทางที่ไปเป็นตามความปรารถนาของพวกเขามากขึ้นเช่นกัน  การแข่งวิ่งมาราธอนในฐานะกีฬาไม่สนใจเรื่องอันดับของผู้เข้าร่วมแข่งขันที่กำลังไปให้ถึงจุดหมายปลายทางของตน ตรงกันข้ามกลับสนใจเรื่องผลงานของบุคคลในช่วงการแข่งขัน ความมานะบากบั่น ความทนทานของพวกเขา และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาก้าวผ่านในระหว่างการแข่งขัน  ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ?  (เป็นเช่นนั้น)  เมื่อเป็นเรื่องของการเชื่อในพระเจ้า การไล่ตามเสาะหาความจริง และท้ายที่สุดการบรรลุความรอดคล้ายกับการแข่งวิ่งมาราธอน เรื่องนี้พึงต้องมีขั้นตอนที่ยาวนานมาก และในขั้นตอนนี้พึงต้องมีการปล่อยมือจากหลายสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาความจริงเช่นกัน  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ไม่เกี่ยวข้องกับความจริง แต่ที่สำคัญมากกว่าก็คือ สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการไล่ตามความจริงของเจ้า  ด้วยเหตุนี้ในขั้นตอนของการปล่อยมือจากการแก้ไขสิ่งเหล่านี้ คนเราอาจได้รับประสบการณ์กับความเจ็บปวดอยู่บ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้รวมทั้งจำเป็นต้องละทิ้งบางสิ่งและทำการเลือกที่ถูกต้อง  การไล่ตามเสาะหาความจริงพึงต้องให้ผู้คนปล่อยมือจากหลายสิ่งเพราะสิ่งเหล่านี้แยกออกจากเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงและเป็นปฏิปักษ์ต่อเป้าหมายและทิศทางในชีวิตที่ถูกต้องซึ่งพระเจ้าทรงนำผู้คนไปสู่เป้าหมายและทิศทางดังกล่าว  สิ่งใดก็ตามที่เป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงและเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้คนเราไล่ตามเสาะหาความจริงและรับเอาเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตเป็นสิ่งที่เป็นลบ ทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์แห่งการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลตอบแทน หรือเพื่อสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เช่นทรัพย์สินและเงินทองอันอุดม  เส้นทางแห่งการไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติและความอยากของตัวเองเป็นจริงขึ้นมานี้อาศัยความสามารถของผู้คน ตลอดจนความรู้ ความคิดและทัศนคติที่ลวงหลอก และปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกต่างๆ ของพวกเขา รวมทั้งวิธีการ เล่ห์เหลี่ยม และกลอุบายต่างๆ ของพวกเขา  ยิ่งคนเราไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติและความอยากของตัวเองเป็นจริงขึ้นมามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งล่องลอยห่างออกไปจากความจริง จากพระวจนะของพระเจ้า และจากเส้นทางที่ถูกต้องซึ่งพระเจ้าทรงชี้บอกสำหรับพวกเขามากขึ้นเท่านั้น  สิ่งที่เรียกกันว่าอุดมคติและความอยากในหัวใจของคนเราอันที่จริงแล้วเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถสอนให้เจ้ารู้วิธีวางตน วิธีนมัสการและเข้าใจพระเจ้า หรือวิธีนบนอบพระเจ้า น้ำพระทัยของพระเจ้า และอธิปไตย รวมถึงสิ่งที่เป็นบวกเช่นนี้  เมื่อเจ้าไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากของตน เจ้าจะไม่ได้รับสิ่งใดที่เหมือนสิ่งที่เป็นบวกและมีคุณค่าเหล่านี้ซึ่งตรงกับความจริงเลย  เส้นทางชีวิตทุกเส้นทางที่กำหนดทิศทางสู่การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากของผู้คนมีเป้าหมาย แก่นแท้ และธรรมชาติสุดท้ายเดียวกัน—สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปฏิปักษ์ต่อความจริง  อย่างไรก็ตาม เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นแตกต่างออกไป  เส้นทางดังกล่าวนี้จะนำทางเส้นทางชีวิตของเจ้าอย่างถูกต้อง—นี่คือการพูดในลักษณะที่กว้างอยู่บ้าง  ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นก็คือ เส้นทางดังกล่าวนี้จะเปิดโปงความคิดและทัศนคติที่ไม่ถูกต้องและบิดเบือนต่อวิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายต่างๆ นานา  ในเวลาเดียวกัน เส้นทางดังกล่าวนี้จะแจ้งให้เจ้ารู้ นำทางเจ้า จัดหาและสอนให้เจ้ารู้จักความคิดและทัศนคติที่ถูกต้องและถูกต้องแม่นยำ  แน่นอนว่าเส้นทางดังกล่าวนี้ยังจะบอกให้เจ้ารู้ถึงลักษณะของความคิดและทัศนคติที่จะมีขณะที่เจ้ามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตน และปฏิบัติตนเช่นกัน  เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงนี้บอกให้เจ้ารู้ถึงวิธีวางตน วิธีใช้ชีวิตภายในขอบเขตของความเป็นมนุษย์ปกติและวางตนตามหลักธรรมความจริง  อย่างน้อยที่สุด เจ้าไม่ควรลดลงต่ำกว่ามาตรฐานของมโนธรรมและเหตุผล—เจ้าควรใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์และในฐานะมนุษย์  นอกจากนี้ ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นก็คือเส้นทางนี้ยังแจ้งให้เจ้ารู้เรื่องความคิด ทัศนคติ มุมมอง และจุดยืนที่เจ้าควรมีขณะที่เจ้ามองทุกเรื่องและทำทุกสิ่ง  ความคิด ทัศนคติ มุมมอง และจุดยืนที่ถูกต้องเหล่านี้ในเวลาเดียวกันก็คือกฎเกณฑ์และหลักธรรมเกี่ยวกับการวางตนและการปฏิบัติตนซึ่งคนเราควรค้ำจุน  เมื่อคนเราสัมฤทธิ์หรือเข้าสู่ความเป็นจริงในการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตน และการปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้าทั้งสิ้น โดยมีความจริงเป็นกฎเกณฑ์ของตน คนคนนั้นย่อมกลายเป็นได้รับการช่วยให้รอดไปแล้ว  ทันทีที่คนเราได้รับการช่วยให้รอดและได้รับความจริง มุมมองที่พวกเขามีต่อสิ่งทั้งหลายย่อมจะเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง ตรงกับพระวจนะของพระเจ้าและสอดคล้องกับพระเจ้าโดยแท้  เมื่อไปถึงช่วงระยะนี้ คนเราย่อมจะไม่กบฏต่อพระเจ้าอีกต่อไป และพระเจ้าย่อมจะไม่ทรงตีสอนหรือพิพากษาพวกเขาอีกต่อไป และพระองค์ย่อมจะไม่ทรงรังเกียจพวกเขา  เป็นเพราะคนคนนี้ไม่ใช่ศัตรูของพระเจ้าอีกต่อไป พวกเขาไม่ยืนต่อต้านพระเจ้าอีกต่อไป และพระเจ้าทรงกลายเป็นพระผู้สร้างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ไปแล้วอย่างแท้จริงและชอบธรรม  ผู้คนหวนกลับมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า และพระเจ้าทรงชื่นชมการนมัสการ การนบนอบ และความยำเกรงที่ผู้คนควรถวายแด่พระองค์  ทุกสิ่งทุกอย่างเข้าร่องเข้ารอยไปตามธรรมชาติ  สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นก็เพื่อมวลมนุษย์ และมวลมนุษย์ก็บริหารจัดการสรรพสิ่งภายใต้อธิปไตยของพระเจ้าต่อไป  สรรพสิ่งอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของมวลมนุษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกฎเกณฑ์และกฎที่พระเจ้าทรงกำหนด โดยคืบหน้าและดำเนินต่อไปในลักษณะที่เป็นระเบียบ  มวลมนุษย์ชื่นชมสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น และสรรพสิ่งดำรงอยู่ในลักษณะที่เป็นระเบียบภายใต้การบริหารจัดการของมวลมนุษย์  สรรพสิ่งนั้นก็เพื่อมวลมนุษย์ และมวลมนุษย์ก็เพื่อสรรพสิ่ง  ทั้งหมดนี้กลมเกลียวและเป็นระเบียบมากเหลือเกิน ทั้งหมดมาจากอธิปไตยของพระเจ้าและการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระองค์  นี่ช่างเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์จริงๆ  นี่คือหนึ่งในความหมายสูงสุดของการละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมี  เจ้าเข้าใจไหมว่า แม้เจ้าปล่อยมือจากอุดมคติและความอยากชั่วคราวของตนในขณะนี้ แต่ในท้ายที่สุดเจ้าก็มองว่าสิ่งที่เจ้าได้รับคือความจริง นั่นเป็นชีวิต เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด   เมื่อเปรียบเทียบกับอุดมคติและความอยากที่ไร้ค่าซึ่งเจ้าปล่อยมือไป ใครจะไปรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มีคุณค่ามากกว่านี้กี่พันเท่าหรือแม้กระทั่งกี่หมื่นเท่า  สิ่งเหล่านี้แทบจะไม่อาจเปรียบเทียบได้  ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ?  (เป็นเช่นนั้น)  แน่นอนว่ามีสิ่งหนึ่งที่ควรทำให้เป็นที่เข้าใจชัดเจน กล่าวคือ ผู้คนควรเข้าใจว่าการไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากจะไม่มีวันสอนให้เจ้ารู้วิธีการวางตน  ตั้งแต่วันที่เจ้าถือกำเนิด บิดามารดาของเจ้าบอกเจ้าว่า “ลูกต้องเรียนรู้ที่จะโกหก เรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเอง และจงอย่าปล่อยให้ผู้อื่นกลั่นแกล้งลูก  เมื่อใครบางคนกลั่นแกล้งลูก ลูกต้องเข้มแข็ง จงอย่าอ่อนแอ จงอย่าปล่อยให้ผู้อื่นคิดว่าลูกกลั่นแกล้งง่ายขนาดนั้น  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าต้องได้มาซึ่งความรู้และเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง เพื่อที่เจ้าจะได้สามารถตั้งมั่นในสังคม  เจ้าต้องไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลตอบแทน ผู้หญิงควรที่จะเป็นอิสระ และผู้ชายควรแบกน้ำหนักของโลก”  ตั้งแต่วัยเยาว์ บิดามารดาของเจ้าให้การศึกษาเจ้าในหนทางนี้ ราวกับว่าพวกเขาสอนให้เจ้ารู้ถึงวิธีวางตน แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาเพียรพยายาม ทำทุกอย่างที่จำเป็น และถึงขั้นดูเหมือนเสี่ยงชีวิตเพื่อที่จะผลักดันเจ้าเข้าสู่โลกใบนี้ เข้าสู่กระแสชั่วนี้ เพื่อทิ้งเจ้าให้ไม่รู้ความว่าสิ่งใดเป็นบวกและสิ่งใดเป็นลบ ไม่รู้ความวิธีจำแนกความต่างระหว่างความยุติธรรมกับความชั่ว วิธีแยกแยะสิ่งที่เป็นบวกกับสิ่งที่เป็นลบ  ในเวลาเดียวกัน บิดามารดาของเจ้ายังสอนเจ้าอีกด้วยว่า “จงทำทุกอย่างที่จำเป็น จงอย่าสุภาพกับผู้อื่นเกินไป  ความยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่นเป็นความโหดร้ายต่อตัวเจ้าเอง”  พวกเขาให้การศึกษาเจ้าเช่นนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจ้าเริ่มเข้าใจสิ่งต่างๆ จากนั้นก็ที่โรงเรียน และในสังคม ทุกคนสอนสิ่งเดียวกันให้กับเจ้า   พวกเขาไม่ได้สอนเรื่องนี้ให้กับเจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้วางตนในฐานะมนุษย์ แต่เพื่อที่เจ้าจะได้กลายเป็นปีศาจ โกหก ทำชั่ว และพินาศ  มีเพียงหลังจากเจ้าเชื่อในพระเจ้าแล้วเท่านั้นเจ้าจึงมารู้ว่าคนเราต้องวางตนในฐานะคนที่ซื่อสัตย์รวมทั้งกล่าวความจริงและข้อเท็จจริง  เจ้าต้องรวบรวมความกล้าและกล่าวความจริงได้สำเร็จในท้ายที่สุด เจ้ายึดมั่นในมโนธรรมและขอบเขตทางศีลธรรมของตนเพื่อที่จะกล่าวความจริงครั้งเดียว แต่เจ้าก็ถูกสังคมรังเกียจเดียดฉันท์ ถูกครอบครัวของเจ้าติเตียน ถึงขั้นถูกเพื่อนๆ ของเจ้าเยาะเย้ยถากถาง และในท้ายที่สุดแล้วเกิดอะไรขึ้น?  เจ้าถูกกระหน่ำเต็มที่ เจ้าไม่สามารถทนรับเรื่องนี้ได้ เจ้าก็ไม่รู้ว่าจะวางตนอย่างไรอีกต่อไป  เจ้ารู้สึกว่าการวางตนในฐานะมนุษย์เป็นเรื่องยากเกินไป การเป็นปีศาจนั้นง่ายกว่า  แค่เป็นปีศาจและทำตามกระแสชั่วของสังคมนี้—ไม่มีใครที่จะพูดอะไร  ไม่มีใครในมวลมนุษย์ทั้งปวงสอนเจ้าให้รู้วิธีการวางตน  หลังจากเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าได้ยินว่าทุกวจนะที่พระเจ้าตรัสและทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำคือการสอนให้เจ้ารู้วิธีวางตน วิธีปฏิบัติความจริง เพื่อที่เจ้าจะได้สามารถเป็นมนุษย์ที่แท้จริง  มีเพียงในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นเจ้าจึงสามารถหาคำตอบที่ถูกต้องในเรื่องที่ว่าชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร  ด้วยเหตุนี้วิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายรวมทั้งวิธีวางตนและกระทำการจึงต้องมีพื้นฐานอยู่บนพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์  นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการปฏิบัติตนเยี่ยงบุคคล  เมื่อเจ้าเข้าใจพื้นฐานของการวางตนตามพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งจับความเข้าใจและเข้าสู่หลักธรรมความจริง เช่นนั้นเจ้าย่อมจะรู้วิธีวางตน และเจ้าย่อมจะเป็นมนุษย์ที่แท้จริง  นี่คือรากฐานสำหรับการวางตน และมีเพียงชีวิตของคนเช่นนี้เท่านั้นที่เป็นสิ่งที่คุ้มค่า มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่และไม่ควรตาย  ในทางกลับกัน พวกที่ปฏิบัติตนเยี่ยงปีศาจ พวกศพเดินได้เหล่านั้นซึ่งสวมผิวหนังมนุษย์ คนเหล่านั้นไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่  เพราะเหตุใด?  เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นได้ถูกจัดเตรียมสำหรับมวลมนุษย์ สำหรับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระเจ้า ไม่ใช่สำหรับประเภทเยี่ยงปีศาจ  เช่นนั้นเหตุใดคนเหล่านั้นจึงยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในวันนี้?  พวกเขาไม่ได้กำลังได้รับประโยชน์ของคนเหล่านั้นซึ่งพระเจ้าตั้งพระทัยจะช่วยให้รอดไปด้วยหรอกหรือ?  หากไม่เป็นเพราะพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้าในช่วงระยะนี้ การใช้พวกมารและซาตานให้ทำงานรับใช้ การปล่อยให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแยกแยะสิ่งที่เป็นลบ และการมองออกถึงแก่นแท้ของพวกมาร พระเจ้าก็คงจะทรงทำลายพวกเขาไปนานแล้ว เพราะคนเหล่านี้ไม่ควรค่ากับการชื่นชมทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง และพวกเขาก็ผลาญและพังทลายสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงทำขึ้น  เจ้าคิดว่าพระเจ้าจะทรงรู้สึกอย่างไรเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเรื่องนี้?  พระองค์จะทรงอารมณ์ดีหรือไม่?  (ไม่)  ดังนั้นพระเจ้าจึงต้องประสงค์จะช่วยกลุ่มผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ปกติซึ่งเป็นมนุษย์ที่แท้จริงให้รอดอย่างเร่งด่วน รวมทั้งสอนให้พวกเขารู้วิธีวางตน  เมื่อคนเหล่านี้บรรลุความรอด กลายเป็นมีคุณสมบัติที่จะคงอยู่และไม่ถูกทำลายล้าง—เช่นนั้นพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าย่อมจะสำเร็จลุล่วง  กล่าวคือ ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้บรรลุระดับของความถูกต้องแม่นยำและความถูกต้องหรือไม่ก็ตาม ในเมื่อกฎแห่งการมีชีวิตรอดของพวกเขา ทัศนะที่พวกเขามีต่อชีวิต เส้นทางที่พวกเขาใช้ ตลอดจนการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา และท่าทีซึ่งพวกเขาใช้ปฏิบัติต่อพระเจ้า ความจริง และสิ่งที่เป็นบวกอย่างน้อยที่สุดไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อความจริง และแน่นอนว่าไม่ไปไกลมากจนถึงขั้นที่ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า ในเมื่อคนเหล่านี้ไม่จะถูกทำลายล้าง เพราะพวกเขาสามารถนบนอบพระเจ้าในหนทางที่เป็นพื้นฐาน—เช่นนั้นพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าย่อมจะสำเร็จลุล่วง  การที่พระราชกิจอันยิ่งใหญ่นี้จะสำเร็จลุล่วงหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดสามารถดำรงอยู่ได้ตลอดกาล สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ตลอดกาล  กล่าวเป็นภาษามนุษย์ก็คือ นั่นหมายความว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้จะมีผู้สืบทอด บรรพบุรุษของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างจะมีผู้สืบทอด และจะมีมนุษย์ที่สามารถบริหารจัดการสรรพสิ่งได้  เมื่อถึงตอนนั้นพระเจ้าย่อมจะทรงรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อถึงตอนนั้นพระองค์ย่อมจะทรงพักผ่อน และพระองค์จะไม่ทรงจำเป็นต้องสนพระทัยสิ่งทั้งหลายอีกต่อไป  สรรพสิ่งมีกฎเกณฑ์และกฎของตนเองซึ่งพระเจ้าทรงจัดตั้งขึ้น และพระเจ้าไม่ทรงจำเป็นต้องประทานความคิด แนวคิด หรือโครงการสักอย่างเดียวให้พวกเขา  สรรพสิ่งดำรงอยู่ภายในกฎเกณฑ์และกฎตามลำดับของพวกเขา มนุษย์เพียงแค่ต้องบริหารจัดการและธำรงไว้ซึ่งกฎเกณฑ์และกฎเหล่านี้  ด้วยเผ่าพันธุ์มนุษย์เช่นนี้ เจ้าคิดว่าพระเจ้าจะยังทรงจำเป็นต้องวิตกกังวลหรือไม่?  พระองค์จะยังทรงจำเป็นต้องสาละวนวุ่นวายหรือไม่?  พระเจ้าจะทรงพักผ่อน และเมื่อพระองค์ทรงพักผ่อน เวลาที่พระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์จะสำเร็จลุล่วงย่อมจะมาถึง  แน่นอนว่านี่ย่อมจะเป็นเวลาที่มนุษย์เฉลิมฉลองเช่นกัน—กล่าวคือ ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะบรรลุความรอดบนรากฐานของเส้นทางแห่งการไล่ตาเสาะหาความจริง ไม่กบฏต่อพระเจ้าอีกต่อไป แต่ตรงกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  มนุษย์จะได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้า และพวกเขาจะไม่ต้องลิ้มรสความตายอีกต่อไป—เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะรับความรอดไว้แล้ว  นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่ควรค่าที่จะเฉลิมฉลองหรอกหรือ?  (ใช่)  ทีนี้ในเมื่อจะมีประโยชน์มหาศาลเช่นนั้น และเจ้าก็รู้ว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคือสิ่งเหล่านี้ การที่ผู้คนปล่อยมือจากอุดมคติและความอยากเล็กๆ น้อยๆ ที่พวกเขามีก่อนหน้านี้ไม่ใช่สิ่งที่ควรค่าหรอกหรือ?  (ใช่)  เรื่องนี้ถูกต้องเหมาะสมไม่ว่าเจ้าจะประเมินวัดเรื่องนี้ในหนทางใด  แล้วในเมื่อเรื่องนี้ถูกต้องเหมาะสม เจ้าไม่ควรปล่อยมือหรอกหรือ?  (ควร)  ในทางทฤษฎีแล้ว ทุกคนรู้ว่าพวกเขาควรปล่อยมือ แต่การปล่อยมือนั้นทำอย่างไรอย่างเจาะจง?  อันที่จริงแล้วเรื่องนี้ค่อนข้างเรียบง่าย  นี่หมายความว่าเจ้าไม่ลงมือกระทำการใดๆ ไม่ทุ่มเทความพยายามใดๆ และไม่ยอมลำบากเพื่อประโยชน์แห่งอุดมคติและความอยากของตนอีกต่อไป  เจ้าไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้ครอบงำความรู้สึกนึกคิดของตนหรือทำการพลีอุทิศใดๆ เพื่อสิ่งเหล่านี้  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าหันกลับมาหาพระเจ้า ปล่อยมือจากอุดมคติและความอยากส่วนบุคคลของตน หยุดย้ำคิดเรื่องสิ่งเหล่านี้ และถึงขั้นหยุดฝันถึงสิ่งเหล่านี้เวลาที่เจ้าฝัน  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าเปลี่ยนทิศทางและแนวโน้มไปสู่เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงและการบรรลุความรอดไปในทีละน้อยในหัวใจของตน  วันแล้ววันเล่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ ความคิด พลังงาน และความลำบากที่เจ้ายอมสู้ทน ล้วนกระทำไปเพื่อประโยชน์แห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงและการบรรลุความรอด—นี่คือวิธีที่เจ้าค่อยๆ ปล่อยมือ

ในเรื่องของสามัคคีธรรมในวันนี้เกี่ยวกับหัวข้อ “การละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน” เราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างครอบคลุมหรือไม่?  เจ้ารู้วิธีปล่อยมือหรือไม่?  บางคนอาจจะพูดว่า “โอ ข้าพระองค์ปล่อยมืออยู่แล้วก่อนที่พระองค์จะทรงกล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยซ้ำ”  แต่นั่นไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องจริง  ในข้อเท็จจริงแล้ว มีเพียงผ่านทางขั้นตอนของการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น ผู้คนจึงค่อยๆ มองทะลุปรุโปร่งถึงกระแสชั่วของโลก รวมทั้งค่อยๆ มองทะลุปรุโปร่งและปล่อยมือจากเส้นทางแห่งการไขว่คว้าชื่อเสียงและผลตอบแทนที่ผู้ไม่มีความเชื่อใช้เช่นกัน  หากเจ้ายังไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าเพียงแค่กำลังคิดถึงการปล่อยมือในหัวใจของตน นั่นย่อมไม่ใช่อย่างเดียวกับการปล่อยมืออย่างแท้จริงแม้แต่น้อย  การที่เจ้าจัดเตรียมที่จะปล่อยมือกับการปล่อยมืออย่างแท้จริงเป็นสองสิ่งที่แยกจากกัน—ยังมีความแตกต่างอยู่  ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเริ่มไล่ตามเสาะหาความจริง และนั่นไม่ควรเปลี่ยนแปลงไม่สำคัญว่าเมื่อใด—นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  ทันทีที่เจ้าเริ่มไล่ตามเสาะหาความจริง การปล่อยมือจากอุดมคติและความอยากย่อมกลายเป็นง่ายขึ้น  หากเจ้าไม่ยอมรับความจริงแต่กล่าวว่า “ฉันต้องการปล่อยมือจากอุดมคติและความอยากเหล่านี้จริงๆ  ฉันไม่ต้องการถูกย้อมในถังย้อมขนาดใหญ่หรือถูกบดในเครื่องบดเนื้อ” และหากเจ้ายังคงต้องการมีชีวิตรอด เรากำลังบอกเจ้าว่านั่นเป็นไปไม่ได้  ไม่มีทาง เจ้าจะไม่ได้ข้อตกลงที่ดีเช่นนั้น!  หากเจ้าไม่ปรารถนาจะไล่ตามเสาะหาความจริงแต่ยังคงต้องการปล่อยมือจากอุดมคติและความอยาก นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้  คนปกติธรรมดาทุกคนมีอุดมคติและความอยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มีพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษไม่กี่อย่าง  ที่ไหนหนอที่มีคนที่มีความสุขกับการโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาและยอมจำนนต่อการดำเนินชีวิตที่เป็นธรรมดาโลกอย่างเต็มใจ?  ไม่มีที่ใดที่มีคนเช่นนี้  ทุกคนต้องการโดดเด่น ประสบความสำเร็จ ดูเฉิดฉาย และทำให้ชีวิตของตนสุขสบายมากขึ้น  หากเจ้าต้องการปล่อยมือจากอุดมคติและความอยากส่วนบุคคล บรรลุความรอด และดำเนินชีวิตอย่างมีความหมาย เช่นนั้นเจ้าต้องยอมรับความจริง ไล่ตามเสาะหาความจริง และนบนอบพระราชกิจของพระเจ้า—ในหนทางนี้เจ้าย่อมจะมีความหวัง  การรับฟังพระวจนะของพระเจ้าและการติดตามพระเจ้าเป็นหนทางเดียวเท่านั้น  ดังนั้นแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่ปรากฏชัด โดยแก่นสารแล้วสิ่งหนึ่งยังคงเป็นเหมือนเดิม—การไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่คือหัวข้อที่สำคัญที่สุดมิใช่หรือ?  (ใช่)  เอาล่ะ พวกเรามาจบสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหัวข้อของพวกเราตรงนี้กันเถิด  สวัสดี!

17 ธันวาคม ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (7)

ถัดไป: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (9)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger