ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (7)
ในระหว่างฤดูกาลนี้ หัวข้อหลักของสามัคคีธรรมของพวกเราก็คือ “ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร” ก่อนหน้านี้พวกเราได้สรุปหลักธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติสองประการสำหรับการไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว หลักธรรมแรกคืออะไร? (หลักธรรมแรกคือการปล่อยมือ และหลักธรรมที่สองคือการทุ่มเทอุทิศ) หลักธรรมแรกคือการปล่อยมือ และหลักธรรมที่สองคือการทุ่มเทอุทิศ พวกเรายังไม่เสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหัวข้อ “การปล่อยมือ” ประเด็นหลักแรกเกี่ยวกับ “การปล่อยมือ” คืออะไร? (การปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ) พวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งใดเป็นหลักในแง่ของการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ? โดยหลักแล้วพวกเราเผยและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับภาวะอารมณ์เชิงลบที่ผู้คนมีประสบการณ์ กล่าวคือ ภาวะอารมณ์เชิงลบประเภทใดติดตามไปกับผู้คนในชีวิตประจำวันและบนเส้นทางชีวิตของตน ตลอดจนวิธีปล่อยมือจากภาวะอารมณ์ดังกล่าว ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้สำแดงเป็นความรู้สึกประเภทหนึ่งภายในตัวผู้คน แต่ในความเป็นจริงแล้วภาวะอารมณ์เหล่านี้ถูกกระตุ้นด้วยความคิดและทัศนคติที่ลวงหลอกนานาซึ่งผู้คนถือครอง ภาวะอารมณ์เชิงลบนานาถูกกระตุ้นเนื่องจากความคิดและทัศนคติที่แตกต่างกันในตัวผู้คนและถูกเผยออกมาและแสดงออกมาให้เห็นในตัวพวกเขา ตามประเด็นปัญหาเกี่ยวกับภาวะอารมณ์เชิงลบที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปก่อนหน้านี้ พฤติกรรมนานาของผู้คน รวมทั้งความคิดและทัศนคตินานาของพวกเขา พวกเจ้ามองเห็นปัญหาใดบ้าง? กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ด้วยการชำแหละการสำแดงภายนอกถึงภาวะอารมณ์เชิงลบนานาประการ พวกเจ้าสามารถรับรู้แก่นแท้อันเป็นรากฐานบางอย่างเกี่ยวกับความคิดของผู้คนได้หรือไม่? เมื่อภาวะอารมณ์เชิงลบแสดงออกมาให้เห็นในคนคนหนึ่ง หากพวกเราเจาะลึกมากขึ้นและชำแหละภาวะอารมณ์เหล่านั้นอย่างรอบคอบ พวกเราสามารถเฝ้าสังเกตทรรศนะ มุมมอง และท่าทีที่ไม่ถูกต้องนานาที่พวกเขามีต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ซ่อนเร้นภายในภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านั้น และแม้กระทั่งมองเห็นแนวทางที่พวกเขารับมือและคัดแยกผู้คน เรื่องทั้งหลาย และสิ่งทั้งหลายจากภายในตัวพวกเขา ถูกหรือไม่? (ถูก) ดังนั้นจากช่วงเวลาต่างๆ ที่เราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการชำแหละภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ พวกเราสามารถพูดได้หรือไม่ว่าความคิดและทัศนคติที่ผิดพลาด ลวงหลอก มีอคติ เป็นลบ และส่งผลร้ายนานาประการของผู้คนถูกปกปิดไว้ภายในภาวะอารมณ์เชิงลบของพวกเขา? พวกเราสามารถพูดเช่นนั้นได้หรือไม่? (ได้ พวกเราสามารถพูดได้) เราเพิ่งกล่าวอะไรไปหรือ? (พระเจ้าเพิ่งตรัสว่าความคิดและทัศนคติที่ผิดพลาด ลวงหลอก มีอคติ เป็นลบ และส่งผลร้ายนานาประการของผู้คนถูกปกปิดไว้ภายในภาวะอารมณ์เชิงลบของพวกเขา) พวกเจ้าเข้าใจเราชัดเจนแล้วหรือยัง? (เข้าใจแล้ว ข้าพระองค์เข้าใจพระองค์แล้ว) หากพวกเราไม่สามัคคีธรรมเกี่ยวกับภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ ผู้คนก็อาจไม่ใส่ใจต่อภาวะอารมณ์เชิงลบชั่วคราวหรือระยะยาวที่ถูกเผยออกมามากนัก อย่างไรก็ตาม หลังจากชำแหละความคิดและทัศนคตินานาประการที่ซ่อนเร้นภายในภาวะอารมณ์เชิงลบ ผู้คนยอมรับข้อเท็จจริงนี้หรือไม่? ความคิดและทัศนคตินานาประการถูกซ่อนเร้นภายในภาวะอารมณ์เชิงลบที่แตกต่างกันของผู้คน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อคนคนหนึ่งมีประสบการณ์กับภาวะอารมณ์เชิงลบ ภายนอกนั้นภาวะอารมณ์เหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นความรู้สึกบางอย่าง พวกเขาอาจจะระบายภาวะอารมณ์ของตนโดยกล่าวสิ่งที่น่าหดหู่ แพร่กระจายความไร้ชีวิตชีวา และเป็นเหตุให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นลบบางอย่าง หรือทำสิ่งทั้งหลายที่ค่อนข้างสุดโต่ง นี่คือสิ่งที่ถูกเผยให้เห็นภายนอก อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังการสำแดงถึงภาวะอารมณ์เชิงลบและพฤติกรรมสุดโต่งเหล่านี้ อันที่จริงแล้วมีความคิดและทัศนคติที่เป็นลบนานาประการในตัวผู้คน ดังนั้นแม้ว่าพวกเราเสวนาภาวะอารมณ์เชิงลบมาตลอดในระหว่างช่วงระยะเวลานี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเรากำลังชำแหละความคิดและทัศนคติที่เป็นลบนานาประการของผู้คนด้วยการเปิดโปงและชำแหละภาวะอารมณ์เชิงลบที่แตกต่างกันของพวกเขา เหตุใดพวกเราจึงเปิดโปงความคิดและทัศนคติเหล่านี้? ความคิดและทัศนคติที่เป็นลบเหล่านี้กระทบต่อภาวะอารมณ์ของผู้คนเท่านั้นหรือไม่? เป็นเพราะความคิดและทัศนคติที่เป็นลบเหล่านี้ทำให้เกิดภาวะอารมณ์เชิงลบในตัวผู้คนเพียงอย่างเดียวหรือไม่? ไม่ใช่ ความคิดและทัศนคติที่ผิดพลาดเหล่านี้ไม่เพียงแค่มีอิทธิพลต่อภาวะอารมณ์และการไล่ตามเสาะหาของคนเราเท่านั้น แต่ภาวะอารมณ์และพฤติกรรมภายนอกของพวกเขาคือสิ่งที่ผู้คนสามารถมองเห็นและรับรู้ได้ด้วย ดังนั้นพวกเราจึงใช้วิธีการที่ง่ายและสะดวกในการชำแหละภาวะอารมณ์เชิงลบเพื่อเปิดโปงความคิดและทัศนคติที่เป็นลบ ส่งผลร้าย และไม่เหมาะไม่ควรนานาประการของผู้คน พวกเราเปิดโปงความคิด ทัศนคติ และภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้เนื่องจากความคิดและทัศนคติเหล่านี้เกี่ยวข้องกับมุมมองและจุดยืนที่ผู้คนมีต่อการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตัว และการกระทำในชีวิตจริง ความคิดและทัศนคติเหล่านี้ยังเกี่ยวข้องกับเป้าหมายและทิศทางในการมีชีวิตรอดของผู้คนอีกด้วย และโดยธรรมชาติแล้วก็เกี่ยวข้องกับทรรศนะที่พวกเขามีต่อชีวิตด้วย ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงดำเนินการเปิดโปงภาวะอารมณ์เชิงลบบางอย่างนี้ ไม่ว่าจะอย่างไร จุดประสงค์หลักของการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับภาวะอารมณ์เชิงลบนานาก็คือการเปิดโปง ชำแหละ และแก้ไขความคิดและทัศนคติที่ลวงหลอก เป็นลบ และส่งผลร้ายนานาประการของผู้คน ด้วยการที่พวกเราเผยความคิดและทัศนคติที่เป็นลบเหล่านี้ออกมา ผู้คนจะสามารถระลึกถึงทรรศนะ ท่าที และมุมมองที่ไม่ถูกต้องซึ่งดำรงอยู่ในความคิดที่พวกเขามีต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายได้อย่างชัดเจน การนี้จะช่วยแก้ไขภาวะอารมณ์เชิงลบนานาซึ่งเกิดจากความคิดและทัศนคติที่เป็นลบเหล่านี้ และด้วยเหตุนี้จึงเป็นการอำนวยให้ผู้คนระลึกถึงและมองเห็นความคิดและทัศนคติที่ลวงหลอกเหล่านี้อย่างทะลุปรุโปร่ง ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาจะสามารถแสวงหาเส้นทางที่ถูกต้อง ปล่อยมือจากความคิดและทัศนคติเหล่านี้ และละทิ้งความคิดและทัศนคติเหล่านี้ได้อย่างสิ้นเชิง เป้าหมายสูงสุดคือการพัฒนาความสามารถในการเผชิญ จัดการ รับมือ และแก้ไขผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายนานาที่คนเราเผชิญในชีวิตประจำวันหรือในช่วงชีวิตของตนด้วยความคิดและทัศนคติที่ถูกต้อง โดยสรุปแล้วผลสุดท้ายที่พึงปรารถนาเป็นอย่างไร? คือการทำให้ผู้คนสามารถระลึกถึงและมองเห็นความคิดที่เป็นลบนานาประการซึ่งมีอยู่ภายในตัวพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง รวมทั้งเปลี่ยนแปลงและแก้ไขความคิดและทัศนคติที่ผิดพลาดเหล่านี้ในชีวิตและเส้นทางชีวิตของพวกเขาอย่างต่อเนื่องหลังจากระลึกถึงความคิดเหล่านี้ แสวงหา ยอมรับ หรือนบนอบความคิดและทัศนคติที่ถูกต้องที่สอดคล้องกับความจริง และใช้ชีวิตและวางตนด้วยความคิดและทัศนคติที่ถูกในท้ายที่สุด นั่นคือจุดประสงค์ พวกเจ้าเห็นด้วยหรือไม่? (เห็นด้วย) ภายนอกนั้นพวกเราเปิดโปงภาวะอารมณ์เชิงลบของผู้คน แต่ในข้อเท็จจริงแล้วพวกเราเปิดโปงความคิดและทัศนคติที่ลวงหลอกที่พวกเขามีต่อผู้คนเหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่แตกต่างกัน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ผู้คนสามารถใช้ความคิดและทัศนคติที่ถูกต้องในเวลาที่เผชิญกับผู้คนเหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายนานา เพื่อเผชิญและรับมือกับสิ่งเหล่านี้ และกระทำการโดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงในเวลาที่มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตน และกระทำการในท้ายที่สุด นี่ไม่กลับมาที่ประเด็นหลักที่ว่า “ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร” หรอกหรือ? (กลับมา)
การสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ ในท้ายที่สุดแล้วยังคงกลับมาที่หัวข้อที่กว้างขวางกว่าที่ว่า “ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร” โดยไม่เบี่ยงเบนจากประเด็นหลักใช่ไหม? (ใช่) ตอนแรกนั้นบางคนอาจคิดว่า “การปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาความจริงมากนัก ภาวะอารมณ์เชิงลบเป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่วคราวหรือความคิดและแนวคิดชั่วขณะ” หากเป็นความคิดชั่วขณะหรืออารมณ์ชั่วคราว นั่นย่อมไม่ตกอยู่ภายในขอบเขตของภาวะอารมณ์เชิงลบที่เรากำลังสามัคคีธรรมกันอยู่ ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาเรื่องหลักธรรมและสาระสำคัญเกี่ยวกับวิธีที่คนคนหนึ่งมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวิธีที่พวกเขาวางตนและกระทำการ ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้เกี่ยวข้องกับทัศนคติ จุดยืน และหลักธรรมที่ถูกต้องซึ่งผู้คนควรค้ำจุนในชีวิต ตลอดจนทรรศนะเกี่ยวกับชีวิตและวิถีการดำเนินชีวิตของพวกเขา จุดประสงค์สูงสุดของการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อช่วยให้ผู้คนไม่ต้องรับมือกับเรื่องเหล่านี้ด้วยความเป็นธรรมชาติหรือความใจร้อนของตนและไม่ต้องจัดการกับประเด็นปัญหาเหล่านี้โดยใช้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนอีกต่อไปเมื่อเผชิญกับเรื่องต่างๆ ในชีวิต แน่นอนว่านี่ยังหมายความอีกด้วยว่าพวกเขาจะไม่รับมือกับปัญหาเหล่านี้บนพื้นฐานของปรัชญาเยี่ยงซาตานสารพัดที่สังคมปลูกฝังไว้ในตัวพวกเขา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับจะจัดการกับปัญหาเหล่านั้นในหนทางที่ถูกต้อง ด้วยมโนธรรมและเหตุผลที่อย่างน้อยที่สุดคนคนหนึ่งควรมีเมื่อจัดการกับปัญหาที่เผชิญในชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้เงื่อนไขพื้นฐานของมโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์ที่ปกติ พวกเขาจะปฏิบัติต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายต่างๆ นานาที่เกี่ยวข้องและเผชิญในชีวิตรวมทั้งการดำรงอยู่ตามพระวจนะของพระเจ้า ความจริง และหลักธรรมนานาที่พระเจ้าทรงสอน การสามัคคีธรรมและการชำแหละภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ นั้นมุ่งหมายเพื่อประโยชน์แห่งการสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์นี้ เจ้าเข้าใจไหม? (เข้าใจ ข้าพระองค์เข้าใจ) จงบอกเราที (วัตถุประสงค์ของพระเจ้าในการสามัคคีธรรมและการชำแหละภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ก็เพื่อช่วยให้ผู้คนสามารถแยกแยะและเปลี่ยนความคิดและทัศนคติที่ผิดพลาดภายในภาวะอารมณ์เชิงลบของตนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ด้วยการนั้นจึงเป็นการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้รวมทั้งพึ่งพามโนธรรมและเหตุผลในการรับมือและจัดการกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายต่างๆ นานาที่พวกเขาเผชิญในชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริงอย่างถูกต้อง การนี้อำนวยให้พวกเขาค่อยๆ เปลี่ยนแปลงทรรศนะที่พวกเขามีต่อชีวิต มองผู้คนและสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของความจริง วางตนและกระทำการไปตามความจริง และใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติของตน) หากเราไม่ได้สามัคคีธรรมหรือชำแหละภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ หากเราทั้งไม่ได้สามัคคีธรรมและไม่ได้เปิดโปงความคิดและทัศนคติเชิงลบต่างๆ ของผู้คน เช่นนั้นเมื่อผู้คนเผชิญปัญหาในชีวิตประจำวันของตน พวกเขาก็มักจะมีจุดยืนและมุมมองที่ผิด โดยเผชิญ รับมือ และแก้ไขเรื่องเหล่านี้ด้วยความคิดและทัศนคติที่ลวงหลอก ในหนทางนี้ ผู้คนจำนวนมากมักจะถูกความคิดเชิงลบเหล่านี้ตีกรอบ พันธนาการ และควบคุม ไม่สามารถรับมือกับปัญหาต่างๆ ในชีวิตได้ตามข้อกำหนดของพระเจ้าหรือหลักธรรมและวิธีการที่พระวจนะของพระเจ้าเผยให้เห็น แน่นอนว่าหากคนคนหนึ่งมีความคิดและทัศนคติที่ถูกต้องต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายต่างๆ นานา ตลอดจนมุมมองและจุดยืนที่ถูกต้อง เมื่อพวกเขาเผชิญกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ การนั้นย่อมจะช่วยพวกเขาอย่างมากในการรับมือกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายดังกล่าวด้วยมุมมองที่ถูกต้องหรือภายในขอบเขตของมโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์ที่ปกติเป็นอย่างน้อยที่สุด รวมทั้งหลีกเลี่ยงการรับมือกับประเด็นปัญหาต่างๆ ด้วยความใจร้อนหรือตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ซึ่งสามารถนำไปสู่ปัญหาที่ไม่จำเป็นและเป็นเหตุให้เกิดผลที่ตามมาซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น วิธีที่คนคนหนึ่งจัดการกับอนาคต ความเจ็บป่วย ครอบครัว การสมรส ความรักใคร่ เงินทอง สัมพันธภาพระหว่างผู้คน และความสามารถพิเศษของตนเอง ตลอดจนสถานะและคุณค่าทางสังคมของตน อีกทั้งประเด็นปัญหาอื่นๆ ที่คล้ายกันนั้น อยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่พวกเขาได้ยิน เรียนรู้ หรือได้รับอิทธิพลและผลกระทบในครอบครัวหรือสังคมของตนก่อนมาเข้าใจความจริง นี่ยังไม่ได้พูดถึงประสบการณ์หรือวิธีการบางอย่างที่พวกเขาคิดหาด้วยตัวเอง แต่ละคนมีหนทางอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองในการจัดการกับสิ่งทั้งหลาย และแต่ละคนก็เน้นย้ำท่าทีเฉพาะบางอย่างเมื่อจัดการกับเรื่องทั้งหลาย แน่นอนว่ามีปัจจัยร่วมในหนทางอันแตกต่างกันที่ผู้คนจัดการกับสิ่งทั้งหลาย ในเรื่องที่ว่าพวกเขาล้วนถูกความคิดและทัศนคติเชิงลบ ที่ส่งผลร้าย ลวงหลอก หรือมีอคติครอบงำและควบคุม จุดมุ่งหมายสูงสุดของพวกเขาก็เพื่อสัมฤทธิ์ชื่อเสียง โชคลาภ และผลประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง หากพูดให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ความคิดและทัศนคติเหล่านี้มาจากการปลูกฝังและคำสอนของซาตาน อาจกล่าวได้อีกด้วยว่าสิ่งเหล่านี้มีจุดเริ่มต้นมาจากความคิดและทัศนคติที่ลวงหลอกต่างๆ ที่ซาตานแพร่กระจาย สนับสนุน และบำรุงเลี้ยงตลอดทั่วหมู่มวลมนุษย์ ภายใต้ทิศทางของความคิดและทัศนคติที่ลวงหลอกต่างๆ เหล่านี้ ผู้คนใช้สิ่งเหล่านี้ปกป้องตัวเองและทำให้มั่นใจได้ถึงการเพิ่มผลประโยชน์ของตนเองให้ได้สูงสุดโดยไม่รู้ตัว พวกเขาพยายามใช้ความคิดและทัศนคติต่างๆ เหล่านี้ซึ่งมีจุดกำเนิดจากสังคมและโลกให้ดีที่สุด เพื่อปกป้องตัวเองและแสวงหาการเพิ่มผลประโยชน์ของตนเองให้ได้สูงสุดเพื่อที่จะบรรลุผลประโยชน์ของตนเอง แน่นอนว่าการแสวงหาความสำเร็จนี้จะไม่หยุดยั้งเลยและไปพ้นขอบเขตทางศีลธรรมตลอดจนมโนธรรมและเหตุผล ดังนั้นภายใต้ทิศทางของภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้รวมทั้งความคิดและทัศนคติเชิงลบ ผลลัพธ์สุดท้ายของวิธีที่คนคนหนึ่งมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย และวิธีที่พวกเขาวางตนและกระทำการ ทำได้เพียงนำไปสู่การฉวยผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน การหลอกลวง ความเสียหาย และความขัดแย้งในหมู่ผู้คนเท่านั้น ในที่สุดแล้วภายใต้ทิศทาง พันธนาการ หรือการชักนำของความคิดและทัศนคติเชิงลบต่างๆ ผู้คนจะล่องลอยห่างออกไปมากขึ้นจากข้อกำหนดของพระเจ้าหรือแม้กระทั่งหลักธรรมเกี่ยวกับวิธีวางตนและกระทำการดังเช่นที่พระเจ้าทรงสอน อาจกล่าวได้อีกด้วยว่าภายใต้ทิศทางและการชักนำของความคิดเชิงลบต่างๆ ผู้คนจะไม่มีวันได้รับความจริงหรือเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งการปฏิบัติความจริงดังเช่นที่พระเจ้าทรงกำหนดอย่างแท้จริง การที่พวกเขาจะยึดปฏิบัติตามหลักธรรมแห่งการใช้ผู้คนและสิ่งทั้งหลายรวมทั้งการวางตนและการกระทำของตนตามพระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานในทรรศนะของตนก็กลายเป็นเรื่องที่ยากด้วยเช่นกัน ดังนั้นขณะที่ผู้คนแก้ไขภาวะอารมณ์เชิงลบของตนเอง ที่จริงแล้วพวกเขาก็พึงต้องปล่อยมือจากความคิดและทัศนคติเชิงลบต่างๆ เช่นกัน มีเพียงเมื่อผู้คนรับรู้ถึงความคิดและทัศนคติที่ผิดพลาดต่างๆ ภายในตัวพวกเขาเองเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบทุกจำพวกได้ แน่นอนว่าขณะที่ผู้คนปล่อยมือจากความคิดและทรรศนะเชิงลบต่างๆ ภาวะอารมณ์เชิงลบ ของพวกเขาโดยส่วนใหญ่แล้วก็ได้รับการแก้ไขเช่นกัน ตัวอย่างเช่น พวกเรามาพิจารณาภาวะอารมณ์ที่หดหู่ซึ่งพวกเราสามัคคีธรรมไปแล้วก่อนหน้านี้กันเถิด ในแง่มุมที่เรียบง่าย หากคนคนหนึ่งทำให้เกิดภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้เพราะพวกเขารู้สึกอยู่เป็นนิตย์ว่าชะตากรรมของตนไม่ดี เช่นนั้นเมื่อพวกเขายึดมั่นในความคิดและทัศนคติว่าชะตากรรมของตนไม่ดี พวกเขาย่อมจมดิ่งลงสู่ภาวะอารมณ์ของความหดหู่โดยไม่รู้ตัว ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกตัวส่วนตัวของพวกเขาก็สนับสนุนการเชื่อที่ว่าชะตากรรมของตนไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเผชิญบางสิ่งที่ลำบากยากเย็นหรือท้าทายเล็กน้อย พวกเขาก็คิดว่า “โอ้ ชะตากรรมของฉันไม่ดี” พวกเขาเชื่อว่าชะตากรรมที่ไม่ดีของตนเป็นเพราะสิ่งนั้น ผลก็คือ พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบของความท้อแท้ การละทิ้งตัวเอง และความหดหู่ หากผู้คนสามารถเผชิญกับความลำบากยากเย็นต่างๆ ที่พวกเขาเผชิญในชีวิตหรือแสวงหาความจริงได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดความคิดและทัศนคติเชิงลบขึ้น โดยพึ่งพาพระวจนะของพระเจ้าในการเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ รับรู้ว่าโชคชะตาของมนุษย์เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งใด และเชื่อว่าชะตากรรมของตนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าและพระองค์ทรงเป็นผู้ควบคุม เช่นนั้นพวกเขาย่อมสามารถจัดการกับความทุกข์ยาก ความท้าทาย อุปสรรคกีดขวาง และความลำบากยากเย็นในชีวิตเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง หรือเข้าใจการดิ้นรนต่อสู้เหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง ในการทำเช่นนี้ ความคิดและทัศนคติเกี่ยวกับการมีชะตากรรมที่ไม่ดีของพวกเขาเปลี่ยนแปลงบ้างหรือไม่? ในเวลาเดียวกัน พวกเขาได้รับจุดยืนที่ถูกควรในการเผชิญกับปัญหาเหล่านี้หรือไม่? (ได้รับ) เมื่อผู้คนมีจุดยืนที่ถูกต้องในการเผชิญหน้ากับประเด็นปัญหาเหล่านี้ ความรู้สึกหดหู่ของตนก็ค่อยๆ ดีขึ้น เปลี่ยนจากรุนแรงเป็นปานกลาง เปลี่ยนผ่านจากปานกลางเป็นเล็กน้อย จนกระทั่งความรู้สึกเหล่านั้นเหือดหายไปอย่างสิ้นเชิงจากสภาวะเล็กน้อยและปลาสนาการไปจากการดำรงอยู่ ด้วยเหตุนี้ความรู้สึกหดหู่ของพวกเขาจึงสูญสิ้นไป อะไรคือเหตุผลสำหรับการนี้? เป็นเพราะความคิดและทัศนคติที่พวกเขายึดถือก่อนหน้านี้ที่ว่า “ชะตากรรมของฉันไม่ดี” ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลง หลังจากการนี้ได้รับการแก้ไข พวกเขาก็ไม่มองชะตากรรมของตนด้วยความรู้สึกหดหู่อีกต่อไปแต่กลับจัดการกับประเด็นปัญหาทั้งหลายด้วยท่าทีที่เป็นไปในเชิงรุกและมองโลกในแง่ดี วิธีการแห่งคำสอนของพระเจ้า และมุมมองของแก่นแท้ของโชคชะตาที่พระองค์ทรงเผยต่อมนุษยชาติ ดังนั้นเมื่อเผชิญกับปัญหาเดียวกับที่พวกเขาเผชิญก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่มองโชคชะตาของตนผ่านทางความคิดและทัศนคติกับการมีชะตากรรมที่ไม่ดีอีกต่อไป และพวกเขาก็ไม่ต่อต้านหรือขัดขืนประเด็นปัญหาเหล่านี้ด้วยความรู้สึกหดหู่อีกต่อไป แม้เดิมทีนั้นพวกเขาอาจเมินเฉยหรือจัดการกับประเด็นปัญหาเหล่านี้ด้วยความไม่แยแส แต่เมื่อเวลาผ่านไปขณะที่พวกเขาเจาะลึกเข้าไปในการไล่ตามเสาะหาความจริงมากขึ้นและเติบโตทางวุฒิภาวะ ขณะที่มุมมองและจุดยืนของพวกเขาในการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายกลายเป็นถูกต้องมากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกหดหู่ของพวกเขาไม่เพียงแต่ปลาสนาการไปเท่านั้น แต่พวกเขายังกลายเป็นแข็งขันและมองโลกในแง่ดีมากขึ้นด้วย ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ได้รับความเข้าใจที่ครบถ้วนและความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่ชัดเจนเกี่ยวกับธรรมชาติของโชคชะตามนุษย์ พวกเขาสามารถรับมือและจัดการกับเรื่องเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องด้วยท่าทีหรือความเป็นจริงแห่งการนบนอบการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า ณ จุดนั้น พวกเขาย่อมปล่อยมือจากความรู้สึกหดหู่ของตนอย่างสิ้นเชิงแล้ว การปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบก็เป็นขั้นตอนเช่นนั้น เป็นหัวข้อที่มีนัยสำคัญในชีวิต โดยสรุปแล้วเมื่อภาวะอารมณ์เชิงลบหยั่งรากลึกภายในหัวใจของคนคนหนึ่งหรือมีอิทธิพลต่อวิธีที่พวกเขามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวิธีที่พวกเขาวางตนและกระทำการ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นเป็นมากกว่าแค่ภาวะอารมณ์เชิงลบที่เรียบง่าย เบื้องหลังภาวะอารมณ์เชิงลบเช่นนั้นมีความคิดหรือทัศนคติที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรื่องนั้น หรือเรื่องอื่น ในกรณีดังกล่าว สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องทำคือไม่เพียงแค่วิเคราะห์ต้นตอของภาวะอารมณ์เชิงลบเท่านั้น แต่ที่สำคัญมากกว่าก็คือตรวจสอบตัวทำลายที่ซ่อนเร้นภายในภาวะอารมณ์เชิงลบของเจ้า องค์ประกอบที่ซ่อนเร้นนี้คือความคิดและทัศนคติเชิงลบที่หยั่งรากตัวมันเองอย่างดิ่งลึกภายในหัวใจของเจ้าผ่านช่วงเวลาที่ยาวนาน ซึ่งก็คือความคิดหรือทัศนคติที่ผิดหรือลวงหลอกต่อการจัดการกับสิ่งทั้งหลาย ในด้านของแง่มุมที่ลวงหลอกและเป็นลบ ความคิดหรือทัศนคตินี้ขัดแย้งกับความจริงและตรงกันข้ามกับความจริงอย่างแน่นอน ณ จุดนี้ งานของเจ้าคือไม่เพียงแค่คิดถึง ชำแหละ และทำความคุ้นเคยกับความคิดหรือทัศนคติที่ว่านี้เท่านั้น แต่กลับเข้าใจอย่างถ้วนทั่วถึงความเสียหายที่ความคิดหรือทัศนคติที่ว่านี้ก่อให้เกิดกับเจ้า การควบคุมและพันธนาการที่ความคิดหรือทัศนคติที่ว่านี้มีอิทธิพลต่อเจ้า รวมทั้งผลกระทบเชิงลบที่ความคิดหรือทัศนคติที่ว่านี้มีต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า ดังนั้นสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องทำก็คือเปิดโปง ชำแหละ และรับรู้ถึงความคิดและทัศนคติเชิงลบต่างๆ ในเวลาเดียวกันเจ้าต้องแสวงหาพระวจนะของพระเจ้าเพื่อแยกแยะและมองความคิดและทัศนคติเชิงลบดังกล่าวให้ออกตามหลักธรรมความจริงที่พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมไว้ แทนที่ความคิดและทัศนคติที่ผิดพลาดหรือเป็นเชิงลบของเจ้าด้วยความจริง และแก้ไขภาวะอารมณ์เชิงลบที่พัวพันยุ่งเหยิงกับเจ้าอย่างหมดจด นี่คือเส้นทางสู่การแก้ไขภาวะอารมณ์เชิงลบ
บางคนพูดว่า “ฉันไม่ได้สังเกตเห็นภาวะอารมณ์เชิงลบใดๆ ในตัวฉันเลยจนถึงตอนนี้” จงอย่ากังวลไปเลย ไม่ช้าก็เร็ว ในเวลาที่เหมาะสม ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม หรือเมื่อเจ้าถึงอายุที่เหมาะสมหรือหัวเลี้ยวหัวต่อที่มีนัยสำคัญเป็นพิเศษในชีวิต ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้จะปรากฏออกมาตามธรรมชาติ เจ้าไม่จำเป็นต้องมองหาหรือขุดคุ้ยหาภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้อย่างตั้งใจ ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้มีอยู่ในหัวใจของทุกคนในขอบข่ายหนึ่งไม่มากก็น้อย นั่นเป็นเพราะผู้คนใช้ชีวิตในโลกมนุษย์ ไม่มีใครจัดการกับสิ่งใดๆ เหมือนที่คอมพิวเตอร์จะจัดการ หากปราศจากการนำความคิดและทัศนคติของตนไปพิจารณา และความคิดของผู้คนยังทำงานอยู่ พวกเขาก็เป็นเหมือนภาชนะที่สามารถรับสิ่งที่เป็นบวกและสิ่งที่เป็นลบ น่าเสียดายที่นานก่อนผู้คนจะเริ่มยอมรับความคิดและทัศนคติเชิงบวก พวกเขายอมรับความคิดและทัศนคติที่ผิดพลาดและไม่ถูกต้องต่างๆ จากซาตาน สังคมและมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามอยู่แล้ว ความคิดและทัศนคติที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้ได้เติมเต็มห้วงลึกของจิตวิญญาณของผู้คน กระทบและแทรกแซงชีวิตประจำวันและเส้นทางชีวิตของพวกเขาอย่างร้ายแรง ดังนั้นในเวลาเดียวกันขณะที่ความคิดและทัศนคติเชิงลบต่างๆ ติดตามไปกับชีวิตของผู้คนและการดำรงอยู่ของพวกเขา ภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ ก็ติดตามไปกับชีวิตของพวกเขาและเส้นทางแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขาเช่นกัน ดังนั้นไม่ว่าแต่ละบุคคลจะเป็นอย่างไร วันหนึ่งเจ้าจะค้นพบว่าไม่เพียงแต่เจ้ามีภาวะอารมณ์เชิงลบชั่วคราวไม่กี่อย่างเท่านั้น แต่เจ้ายังมีมากมายด้วย ไม่เพียงแต่เจ้ามีความคิดหรือทัศนคติเชิงลบอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ความคิดและทัศนคติเชิงลบเหลือล้นมีอยู่ในตัวเจ้าในเวลาเดียวกันด้วย แม้สิ่งเหล่านี้ยังไม่ได้ถูกเผยออกมา แต่ก็เป็นเพียงเพราะไม่มีสภาพแว้อมที่เหมาะสม เวลาตามที่เหมาะที่ควร หรือตัวกระตุ้นที่อาจจะเป็นเหตุให้เจ้าเปิดโปงความคิดและทัศนคติที่ผิดพลาดของตนหรือระบายและเผยภาวะอารมณ์เชิงลบของตนออกมา หรือสภาพแวดล้อมหรือเวลานั้นยังมาไม่ถึง หากปัจจัยหนึ่งปัจจัยใดเหล่านี้เข้ามามีบทบาท นั่นจะทำหน้าที่เป็นฟิวส์ จุดระเบิดภาวะอารมณ์เชิงลบและความคิดและทัศนคติเชิงลบของเจ้าเพื่อให้สิ่งเหล่านี้ระเบิดออกมา เจ้าจะถูกสิ่งเหล่านี้ส่งอิทธิพล ควบคุม และพันธนาการไว้โดยไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้อาจถึงขั้นกลายเป็นอุปสรรคกีดขวางสำหรับเจ้าและมีอิทธิพลต่อทางเลือกของเจ้า รอไม่นานหรอก เป็นเพราะภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ ที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปนั้นเป็นประเด็นปัญหาที่อาจเผชิญกันได้ในชีวิตของผู้คนหรือบนเส้นทางของการดำรงอยู่ของพวกเขา และเป็นปัญหาที่เป็นจริงซึ่งทุกคนเผชิญในชีวิตหรือการดำรงอยู่ของตน ภาวะอารมณ์เหล่านี้ไม่ว่างเปล่าแต่เป็นรูปธรรม เพราะภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับหลักธรรมที่คนเราควรค้ำจุนและทัศนคติที่มีต่อการมีชีวิตรอดที่พวกเขาควรมี จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่พวกเราจะต้องชำแหละและขุดเข้าไปในประเด็นปัญหาเหล่านี้อย่างรอบคอบ
ก่อนหน้านี้ พวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับภาวะอารมณ์เชิงลบจาก “การข่มปราม” พวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับประเด็นปัญหาว่าด้วย “การข่มปราม” กี่ครั้ง? (พวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับประเด็นปัญหานี้สองครั้ง) ครั้งแรกนั้นพวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับอะไร? (ครั้งแรกนั้นพวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการที่ผู้คนมักจะไม่สามารถทำตามที่พวกเขาพอใจ ซึ่งทำให้เกิดภาวะอารมณ์เชิงลบจากการข่มปราม ครั้งที่สองพวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการที่ผู้คนไม่สามารถใช้ความเชี่ยวชาญของตนและมักจะใช้ชีวิตในสภาวะของภาวะอารมณ์เชิงลบที่ถูกข่มปราม) พวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสองแง่มุมนี้ จากสามัคคีธรรมสองครั้งนี้ พวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าเบื้องหลังการข่มปรามสองประเภทนี้ มีความคิดและทัศนคติที่ซ่อนเร้นคล้ายๆ กันเกี่ยวกับวิธีที่ผู้คนจัดการกับชีวิต? ประเภทแรก ซึ่งมีต้นตอมาจากความไม่สามารถทำตามที่คนเราพอใจ แสดงถึงความคิดหรือทัศนคติแบบใด? เป็นกรอบความคิดของการต้องการเป็นคนดื้อรั้นและไร้ความรับผิดชอบเสมอ ทำสิ่งทั้งหลายตามแรงผลักดัน อารมณ์ ความรู้สึก และความสนใจ โดยไม่ทำความเข้าใจความจำเป็นที่จะต้องเข้ารับความรับผิดชอบ นี่มิใช่ท่าทีเฉพาะบางอย่างที่ผู้คนนำมาใช้กับชีวิตหรอกหรือ? (ใช่) ยังเป็นวิธีการในการมีชีวิตรอดอีกด้วย นี่ใช่ท่าทีเชิงบวกและวิธีการในการมีชีวิตรอดหรือไม่? (ไม่ใช่) ไม่ใช่เชิงบวก ผู้คนต้องการใช้ชีวิตตามที่พวกเขาพอใจเสมอ ทำสิ่งทั้งหลายโดยจงใจตามอารมณ์ ความสนใจ และงานอดิเรก นี่ไม่ใช่หนทางแห่งการดำรงชีวิตที่ถูกต้อง นี่เป็นเชิงลบและจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข แน่นอนว่าภาวะอารมณ์เชิงลบที่เกิดจากท่าทีเชิงลบและวิธีการในการมีชีวิตรอดนี้ควรได้รับการแก้ไขยิ่งมากไปกว่านั้นอีก อีกประเภทคือภาวะอารมณ์เชิงลบจากการข่มปรามที่ผุดขึ้นมาจากการไม่สามารถใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองได้ เมื่อผู้คนไม่สามารถแสดงให้เห็นความเชี่ยวชาญของตน อวดตัว ทบทวนคุณค่าของแต่ละบุคคลของตน รับการยืนยันความถูกต้องจากผู้อื่น หรือตอบสนองความชอบของตนเอง พวกเขาก็รู้สึกไม่มีความสุข หดหู่ และถูกข่มปราม นี่ใช่วิธีการและมุมมองของการดำรงอยู่ที่ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ใช่) สิ่งที่ไม่ถูกต้องควรที่จะมีการเปลี่ยนแปลงรวมทั้งควรแสวงหาความจริงเพื่อที่จะแก้ไขและแทนที่สิ่งเหล่านั้นด้วยหนทางที่ถูกต้องซึ่งตรงกับความจริงและความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ก่อนหน้านี้พวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสองเหตุผลนี้ซึ่งอยู่เบื้องหลังการปรากฏออกมาของภาวะอารมณ์แบบข่มปราม เช่น การไม่สามารถทำตามที่คนเราพอใจและการไม่สามารถใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองได้ มีอีกเหตุผลสำหรับการปรากฏออกมาของภาวะอารมณ์แบบข่มปราม พวกเจ้าคิดได้หรือไม่ว่าเหตุผลนั้นคืออะไร? สิ่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับทัศนคติแห่งการดำรงอยู่ของตัวเองซึ่งสามารถทำให้ผู้คนรู้สึกถูกข่มปรามได้คืออะไร? ไม่แน่ใจใช่ไหม? อีกเหตุผลคือการรู้สึกถูกข่มปรามและการทำให้เกิดภาวะอารมณ์เชิงลบจากการข่มปรามเพราะคนเราไม่สามารถทำให้อุดมคติและความอยากของตนลุล่วง จงคิดถึงการนี้สักชั่วขณะหนึ่ง ประเด็นปัญหาการข่มปรามนี้มีอยู่หรือไม่? ใช่ปัญหาที่แท้จริงสำหรับมนุษย์หรือ? (ใช่) ผู้คนที่พวกเราเสวนาถึงก่อนหน้านี้ซึ่งปรารถนาจะทำตามที่พวกเขาพึงพอใจนั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นห่วงแต่เรื่องของตัวเองและดื้อรั้นมากกว่า ท่าทีที่พวกเขามีต่อชีวิตแสดงลักษณะโดยการกระทำตามแรงผลักดันของตนและการทำสิ่งใดก็ตามที่ตนต้องการ พวกเขาชอบแสดงความเป็นนายเหนือผู้อื่นและไม่เหมาะที่จะใช้ชีวิตในชุมชน วิธีการในการมีชีวิตรอดของพวกเขาคือการทำให้ผู้อื่นที่เหลือหมุนรอบพวกเขา และพวกเขาก็เห็นแก่ตัวและไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างกลมเกลียวหรือร่วมมือกับผู้อื่นอย่างปรองดอง คนประเภทที่สองที่ทำให้เกิดการข่มปรามคือคนที่ต้องการโอ้อวดอยู่เสมอ ทำให้ผู้คนมองเห็นแต่ตัวเอง คิดว่าพวกเขาก็คือทั้งหมดที่จำเป็น และไม่เคยให้พื้นที่ผู้อื่นได้ดำรงอยู่เลย ตราบที่พวกเขามีความเชี่ยวชาญหรือความสามารถพิเศษเล็กน้อย พวกเขาจะต้องการแสดงความเชี่ยวชาญหรือความสามารถพิเศษนี้ออกมาให้เห็นไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเหมาะสมหรือไม่ หรือความเชี่ยวชาญของพวกเขาจะมีคุณค่าหรือสามารถใช้ในพระนิเวศของพระเจ้าได้หรือไม่ คนประเภทนี้ก็มีแนวโน้มที่จะเน้นย้ำปัจเจกนิยมด้วยใช่ไหม? สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับวิธีการในการมีชีวิตรอดของผู้คนหรือไม่? (เกี่ยวข้อง) วิธีการในการดำรงชีวิตและการมีชีวิตรอดทั้งสองอย่างนี้ไม่ถูกต้อง ตอนนี้พวกเรากลับมาที่ภาวะอารมณ์เชิงลบจากการข่มปรามที่พวกเราเสวนากันก่อนหน้านี้ซึ่งเกิดขึ้นจากการไม่สามารถทำให้อุดมคติและความอยากของคนเราลุล่วงกันเถิด ไม่ว่าจะเป็นโอกาส สภาพแวดล้อม หรือช่วงเวลาใด และไม่สำคัญว่าพวกเขาเข้าร่วมในงานประเภทใด พวกเขาใส่ใจอยู่เสมอกับเป้าหมายในการทำให้อุดมคติและความอยากของตนเองเป็นจริงขึ้นมา ทำให้เป้าหมายนั้นเป็นมาตรฐานของตน หากพวกเขาไม่สามารถสำเร็จลุล่วงหรือทำให้จุดประสงค์นี้เป็นจริงขึ้นมาได้ พวกเขาก็รู้สึกถูกข่มปรามและโศกเศร้า นี่ไม่ใช่วิธีการในการมีชีวิตรอดสำหรับคนเฉพาะประเภทด้วยหรอกหรือ? (ใช่) นี่ก็เป็นวิธีการในการมีชีวิตรอดสำหรับบางคนด้วย แล้วความคิดหรือทัศนคติหลักของพวกที่ใช้ชีวิตตามวิธีการในการมีชีวิตรอดนี้เป็นอย่างไร? นั่นก็คือตราบที่พวกเขามีอุดมคติและความอยาก ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนหรือกำลังทำสิ่งใด จุดประสงค์ของพวกเขาก็คือการทำให้อุดมคติและความอยากของตนเองเป็นจริงขึ้นมา นี่คือวิธีการในการมีชีวิตรอดและเป้าหมายของพวกเขา ไม่ว่าผู้อื่นจะต้องยอมลำบากอย่างไรหรือต้องทำการพลีอุทิศอย่างไร ไม่ว่าผู้คนจำนวนเท่าใดจำเป็นต้องแบกรับภาระหรือสละผลประโยชน์ของตนเองเพื่ออุดมคติและความอยากของตน พวกเขาย่อมจะไล่ตามไขว่คว้าเป้าหมายในการทำให้อุดมคติและความอยากของตนเองเป็นจริงขึ้นมาโดยไม่เลิกล้ม พวกเขาถึงขั้นเต็มใจที่จะเหยียบผู้อื่นขึ้นไปหรือสละผลประโยชน์ของผู้อื่นโดยไม่ลังเล หากพวกเขาไม่สามารถสัมฤทธิ์เป้าหมายนี้ได้ พวกเขาก็รู้สึกถูกข่มปราม ความคิดหรือทัศนคติแบบนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่) มีอะไรที่ผิด? (เห็นแก่ตัวเกินไป!) คำว่า “เห็นแก่ตัว” เป็นเชิงบวกหรือเป็นเชิงลบ? (เป็นเชิงลบ) ความคิดหรือทัศนคติแบบนี้เป็นสิ่งที่เป็นลบและส่งผลร้าย ดังนั้นจึงต้องได้รับการแก้ไขตามความจริง
คนเราควรแก้ไขภาวะอารมณ์ที่ถูกข่มปรามเหล่านี้ซึ่งเกิดขึ้นจากการไม่สามารถทำให้อุดมคติและความอยากของตนลุล่วงอย่างไร? ก่อนอื่นพวกเรามาตรวจสอบอุดมคติและความอยากต่างๆ ที่ผู้คนมีกัน พวกเรามาเริ่มต้นสามัคคีธรรมจากตรงนั้นกันดีไหม? (ดีเลย) การเริ่มต้นสามัคคีธรรมของพวกเราจากเรื่องที่ว่าผู้คนมีอุดมคติและความอยากอะไรทำให้ง่ายยิ่งขึ้นที่ผู้คนจะเข้าใจและติดตามกระแสความคิดที่ชัดเจน ดังนั้นก่อนอื่นพวกเรามาดูอุดมคติและความอยากที่ผู้คนมีกัน อุดมคติและความอยากบางอย่างเป็นไปได้ ขณะที่อย่างอื่นๆ เป็นไปไม่ได้ บางคนมีอุดมคติที่เพ้อฝัน ขณะที่ผู้อื่นมีอุดมคติที่เป็นไปได้ พวกเราควรสามัคคีธรรมเกี่ยวกับอุดมคติของนักอุดมคติหรืออุดมคติของผู้นิยมความจริงกันก่อนดี? (อุดมคติที่เป็นไปได้) อุดมคติที่เป็นไปได้ แล้วอุดมคติที่ไม่เป็นไปไม่ได้ล่ะ? พวกเราควรสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้หรือไม่? หากพวกเราไม่สามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ ผู้คนจะตระหนักรู้ถึงสิ่งเหล่านี้หรือไม่? (พวกเขาจะไม่ตระหนักรู้) หากพวกเขาจะไม่ตระหนักรู้ถึงสิ่งเหล่านี้โดยไม่สามัคคีธรรม เช่นนั้นพวกเราก็จำเป็นต้องสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริง บ่อยครั้งที่ผู้คนสามารถรับรู้อุดมคติของผู้นิยมความจริงได้แม้ปราศจากการสามัคคีธรรม สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในความคิดและความรู้สึกตัวของทุกคน อุดมคติและความอยากบางอย่างยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ ไม่ว่าอุดมคติและความอยากเหล่านั้นจะเป็นจริงขึ้นมาหรือไม่ ขณะที่อย่างอื่นๆ เปลี่ยนแปลงไปตามวัย เมื่อผู้คนอายุมากขึ้นและความรู้ โลกทัศน์ และประสบการณ์ของพวกเขาขยายขอบเขต อุดมคติและความอยากของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิตย์ พวกเขากลายเป็นอยู่กับความเป็นจริงมากขึ้น เข้าใกล้ชีวิตจริงมากขึ้น และมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ตัวอย่างเช่น บางคนต้องการเป็นนักร้องเมื่อพวกเขาเยาว์วัย แต่เมื่อเติบโตขึ้นพวกเขาก็ตระหนักว่าตนไม่สามารถร้องให้ตรงจังหวะได้ ดังนั้นการเป็นนักร้องจึงไม่น่าจะเป็นจริงได้ จากนั้นพวกเขาก็คิดถึงการเป็นนักแสดง หลายปีถัดมาพวกเขามองในกระจกแล้วก็ตระหนักว่าตนไม่มีเสน่ห์เอาเสียเลย แม้พวกเขาจะสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ก็ไม่เก่งเรื่องการแสดง และการแสดงออกของพวกเขาก็ดูไม่เป็นธรรมชาติเลย การเป็นนักแสดงก็ไม่น่าจะเป็นจริงได้เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงคิดถึงการเป็นผู้กำกับการแสดงแทน เพื่อที่พวกเขาจะสามารถกำกับภาพยนตร์ให้กับนักแสดงได้ เมื่อย่างเข้าวัยยี่สิบปีและจำเป็นต้องเลือกวิชาเอกในมหาวิทยาลัย อุดมคติของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเป็นการเป็นผู้กำกับการแสดง หลังจากจบการศึกษา เมื่อพวกเขาได้รับประกาศนียบัตรสำหรับการกำกับการแสดงและเข้าสู่โลกจริง พวกเขาก็ตระหนักว่าการเป็นผู้กำกับการแสดงพึงต้องมีชื่อเสียงและเกียรติยศ พึงต้องมีคุณสมบัติ ตลอดจนทรัพยากรทางการเงิน ซึ่งพวกเขาขาดพร่องด้วยประการทั้งปวง ไม่มีใครที่จะจ้างพวกเขาเป็นผู้กำกับการแสดง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องลดเพดานความหวังลงและหาหนทางของตนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ บางทีอาจจะเป็นผู้ดูแลบทภาพยนตร์หรือผู้ประสานงานการผลิต เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาคิดว่า “การเป็นผู้อำนวยการสร้างอาจจะเหมาะกับฉัน ฉันเพลิดเพลินกับการยุ่งระดมทุน ฉันพูดได้ดีและดูดีพอสมควร ผู้คนไม่เห็นว่าฉันน่ารำคาญ และฉันก็สื่อสารกับผู้อื่นและเอาชนะใจพวกเขาได้ดี การอำนวยการสร้างอาจจะเหมาะกับฉันเป็นอย่างดี” เจ้าจะเห็นว่าอุดมคติของพวกเขาค่อยๆ เปลี่ยนไป เหตุใดอุดมคติของพวกเขาจึงเปลี่ยน? สิ่งนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงเนื่องจากความคิดของพวกเขาค่อยๆ เป็นผู้ใหญ่ การรับรู้ถึงสิ่งทั้งหลายของพวกเขากลายเป็นถูกต้องแม่นยำมากขึ้น อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น เช่นนั้นบนพื้นฐานของสภาพแวดล้อมในชีวิตจริงและความจำเป็นและความกดดันของชีวิตซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริง เมื่อดำรงชีวิตอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง อุดมคติก่อนหน้าของพวกเขาก็ค่อยๆ ถูกปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมนั้น เมื่อถึงทางตัน ไม่สามารถเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ได้ พวกเขาก็เลือกที่จะเป็นผู้อำนวยการสร้างแทน แต่การเป็นผู้อำนวยการสร้างที่จริงแล้วทำให้อุดมคติของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมาหรือไม่? พวกเขาไม่สามารถหาคำตอบด้วยตัวเองได้จริงๆ แต่ถึงอย่างไรทันทีที่เริ่มต้น พวกเขาก็ทำงานนี้เป็นเวลาประมาณสิบปี หรือจนกระทั่งเกษียณอายุด้วยซ้ำ นี่คือภาพรวมทั่วไปของอุดมคติของผู้นิยมความจริง
พวกเราเพิ่งเสวนาวิธีที่อุดมคติของผู้คนสามารถแบ่งออกเป็นอุดมคติของนักอุดมคติและอุดมคติของผู้นิยมความจริง สองหมวดหมู่เหล่านี้ พวกเรามาเริ่มพูดถึงอุดมคติของนักอุดมคติกันเถิด อุดมคติของผู้นิยมความจริงน่าจะง่ายที่จะจำแนกความต่าง ในทางกลับกัน อุดมคติของนักอุดมคติไม่เป็นรูปธรรมนักและห่างจากชีวิตจริงอยู่บ้าง อุดมคติเหล่านี้ก็อยู่ห่างจากเรื่องที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงซึ่งเกี่ยวข้องกับการมีชีวิตรอดของมนุษย์มากเช่นกัน เช่น สิ่งจำเป็นพื้นฐานในชีวิตประจำวัน อุดมคติเหล่านี้มีมโนทัศน์ที่เป็นรูปธรรมแต่ขาดพร่องจุดลงจอดที่เฉพาะเจาะจง เจ้าอาจพูดได้ว่าอุดมคติและความอยากเหล่านี้คือความเพ้อฝัน ค่อนข้างว่างเปล่าและแยกออกจากธรรมชาติของมนุษย์ บางอย่างอาจพิจารณาได้ว่าเป็นนามธรรม และบางอย่างก็ถึงขั้นเป็นอุดมคติและความอยากที่เกิดขึ้นจากบุคลิกภาพแบบแตกแยก อุดมคติของนักอุดมคติเป็นอย่างไร? อุดมคตินิยมน่าจะง่ายที่จะเข้าใจ อุดมคตินิยมคือการฝันกลางวัน ความเพ้อฝัน ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเกี่ยวกับสิ่งจำเป็นพื้นฐานในชีวิตประจำวันในชีวิตจริง ตัวอย่างเช่น การเป็นกวี กวีที่เป็นอมตะ ร่อนเร่ไปในแผ่นดินโลก หรือการเป็นนักดาบ อัศวินที่เที่ยวผจญภัย ร่อนเร่ไปในแผ่นดินโลกเช่นกัน ยังคงไม่ได้สมรสและไม่มีบุตร เป็นอิสระจากสิ่งพัวพันยุ่งเหยิงเกี่ยวกับสิ่งสัพเพเหระของชีวิต เป็นอิสระจากความกังวลเรื่องสิ่งจำเป็นพื้นฐานในชีวิตประจำวัน ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและผ่อนคลาย ล่องลอยไปตรงนั้นตรงนี้ มุ่งมาดปรารถนาที่จะกลายเป็นอมตะและหลีกหนีจากชีวิตจริงอยู่เสมอ นี่ใช่อุดมคติของนักอุดมคติหรือไม่? (ใช่) พวกเจ้าคนใดมีความคิดดังกล่าวหรือไม่? (ไม่มี) แล้วกวีที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นในอดีตของประเทศจีนที่เคยเมามายและเขียนบทกวีล่ะ? พวกเขาเป็นนักอุดมคติหรือผู้นิยมความจริง? (นักอุดมคติ) แนวคิดที่พวกเขาสนับสนุนเป็นความเพ้อผันและฝันกลางวันของนักอุดมคติ พวกเขาล่องลอยไปตรงนั้นตรงนี้และพูดด้วยคำศัพท์ที่คลุมเครือและไม่แน่นอนอยู่เสมอ จินตนาการว่าโลกสวยงามเพียงใด มวลมนุษย์จะมีสันติสุขได้อย่างไร ผู้คนจะอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองได้อย่างไร พวกเขาแยกตัวเองออกจากมโนธรรม เหตุผล และสิ่งจำเป็นพื้นฐานในชีวิตประจำวันของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พวกเขาตัดขาดจากประเด็นปัญหาในชีวิตจริงเหล่านี้และจิตนาการอาณาจักรแห่งอุดมคติหรือในจินตนาการซึ่งตัดจากความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง พวกเขาวาดมโนภาพตัวเองดังเช่นสิ่งมีชีวิตภายในอาณาจักรนั้น ใช้ชีวิตในพื้นที่นั้น นี่ไม่ใช่อุดมคติของของนักอุดมคติหรอกหรือ? มีบทกวีบทหนึ่งจากอดีต และมีบรรทัดหนึ่งที่มีใจความว่า “ฉันอยากจะขี่ลมแล้วบินกลับบ้าน” บทกวีบทนั้นชื่อว่าอะไร? (“ทำนองแห่งน้ำ”) จงอ่านใจความของบทกวีนั้น (“ฉันอยากจะขี่ลมแล้วบินกลับบ้าน ฉันกลัวว่าบนท้องฟ้าจะเย็นเกินไป ด้วยพระราชวังหยกที่อยู่สูงเกินไป เมื่อเต้นรำกับเงาของฉัน ฉันไม่รู้สึกถึงพันธะของมนุษย์อีกต่อไป”) เขาหมายความว่าอย่างไรด้วยการกล่าวว่า “เมื่อเต้นรำกับเงาของฉัน ฉันไม่รู้สึกถึงพันธะของมนุษย์อีกต่อไป”? สองบรรทัดนี้สื่อถึงภาวะอารมณ์แบบข่มปรามและขุ่นเคืองของนักอุดมคติซึ่งมีอุดมคติที่ไม่สามารถทำให้สัมฤทธิ์ผลหรือเป็นจริงขึ้นมาได้หรือไม่? ใช่บางสิ่งที่แสดงออกภายใต้ภาวะอารมณ์แบบข่มปรามนี้หรือไม่? จุดสนใจของเรื่องนี้คืออะไร? ประโยคไหนบ่งชี้สภาพแวดล้อมและภูมิหลังที่เขามีอยู่ในเวลานั้น? ใช่ “ฉันกลัวว่าบนท้องฟ้าจะเย็นเกินไป” หรือไม่? (ใช่) เขากำลังเปิดโปงความมืดมิดและความชั่วของวงการราชการ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เสื่อมทรามที่จะอยู่ เขาต้องการเป็นดังเช่นผู้เป็นอมตะ หลีกหนีสภาพแวดล้อมและสถานการณ์เช่นนั้น การที่เขาแค่เลิกเป็นข้าราชการก็เพียงพอสำหรับเขาแล้วไม่ใช่หรือ? อาจเป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาต้องการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมนี้? เขาไม่พึงพอใจกับสภาพแวดล้อมเช่นนั้น รู้สึกว่านั่นไม่ตรงกับสภาพแวดล้อมของชีวิตในอุดมคติที่เขาวาดมโนภาพไว้ และเขาก็รู้สึกถูกข่มปรามลึกลงไปภายใน นี่คืออุดมคติประเภทหนึ่งที่นักอุดมคติมี อุดมคติของนักอุดมคติส่วนใหญ่แล้วโน้มเอียงมาทางความเพ้อฝัน ไม่เป็นจริงและเป็นนามธรรม ตัดขาดจากชีวิตจริง เป็นราวกับว่าพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกอื่นภายนอกอาณาจักรทางวัตถุ ในที่ว่างที่เป็นอิสระและเป็นส่วนตัว ปล่อยใจไปกับความเพ้อฝันและแยกออกจากความเป็นจริง เหมือนกันไม่มีผิดบางคนที่ใช้ชีวิตในสังคมสมัยใหม่ พวกเขาต้องการแต่งกายด้วยเครื่องนุ่งห่มแบบโบราณ ทำผมแบบโบราณ และพูดเป็นภาษาโบราณอยู่เสมอ พวกเขาคิดว่า “อ้า ชีวิตแบบนั้นวิเศษเหลือเกิน! เหมือนกันไม่มีผิดกับผู้เป็นอมตะ ล่องลอยและร่อนเร่ เป็นอิสระจากปัญหาเกี่ยวกับร่างทางกายภาพ เป็นอิสระจากความยากลำบากนานาของชีวิตจริง ในสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตแบบนั้นย่อมไม่มีการกดขี่ ไม่มีการฉวยผลประโยชน์ ไม่มีความกังวล ผู้คนเท่าเทียมกัน ช่วยเหลือกันและใช้ชีวิตอย่างปรองดองร่วมกัน สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตในอุดมคติเหล่านั้นช่างสวยงามและน่าพึงปรารถนาเสียจริง!” ท่ามกลางผู้ไม่มีความเชื่อมีบางคนที่ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ บางคนขับร้องเพลงคล้ายๆ กันหรือเขียนบทกวีคล้ายๆ กัน หรือทำการแสดงคล้ายๆ กัน ผลก็คือ ผู้คนโหยหาโลกอื่นที่ว่านั้นซึ่งนักอุดมคติฝันถึงมากยิ่งขึ้น และเมื่อบางคนขับร้องบทเพลงเหล่านี้หรือทำการแสดงเหล่านี้ ยิ่งพวกเขาก็ขับร้องมากขึ้นเท่าใด อารมณ์ของพวกเขาก็ยิ่งกลายเป็นหดหู่มากขึ้นเท่านั้น และพวกเขายิ่งถวิลหาและยึดมั่นในโลกในอุดมคติที่ว่านั้นมากขึ้น สุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้น? บางคนรู้สึกว่าตนไม่สามารถหลีกหนีความกังวลของตนได้หลังจากขับร้องเป็นเวลานาน ไม่สำคัญว่าพวกเขาขับร้องมากเพียงใด พวกเขายังคงไม่สามารถรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของโลกมนุษย์ ไม่สำคัญว่าพวกเขาขับร้องมากเพียงใด พวกเขายังคงรู้สึกว่าอาณาจักรที่จินตนาการแห่งอุดมคตินิยมของพวกเขานั้นดีกว่า พวกเขากลายเป็นผิดหวังเมื่อเห็นความเป็นจริงของโลก ไม่ต้องการดำรงชีวิตอยู่ในอาณาจักรของมนุษย์นี้อีกต่อไป และในท้ายที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะไปยังโลกในอุดมคติที่ว่านั้นในหนทางของตนเอง บางคนกลืนยาพิษ บางคนกระโดดจากอาคาร บางคนแขวนคอตัวเองด้วยถุงน่อง และบางคนกลายเป็นพระสงฆ์และไล่ตามเสาะหาการปฏิบัติฝ่ายวิญญาณ ในถ้อยคำของพวกเขานั้น พวกเขามองเห็นภาพลวงตาของความผูกพันทางโลกอย่างทะลุปรุโปร่ง ที่จริงแล้วไม่มีความจำเป็นต้องหันไปพึ่งมาตรการและวิธีการสุดโต่งเช่นนั้นเพื่อแก้ไขความผิดหวังเมื่อเห็นความเป็นจริงของโลกของพวกเขา มีหนทางมากมายในการจัดการแก้ไขปัญหาและความลำบากยากเย็นเช่นนั้น แต่เพราะพวกเขาล้มเหลวในการรับรู้แก่นแท้ที่เป็นรากฐานของประเด็นปัญหาเหล่านี้ ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจึงเลือกวิธีการสุดโต่งในการจัดการแก้ไขและหลบหนีจากความลำบากยากเย็นเหล่านี้ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์จุดประสงค์ในการทำให้อุดมคติของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมา นี่แสดงถึงนักอุดมคติบางคนที่อาศัยอยู่ท่ามกลางผู้ไม่มีความเชื่อและปัญหาของตน
ในพระนิเวศของพระเจ้า ในคริสตจักร มีคนที่มีอุดมคติคล้ายๆ กันหรือไม่? แน่นอน พวกเจ้าแค่ยังไม่ได้ค้นพบพวกเขา ดังนั้นเราจะบอกเจ้าเรื่องพวกเขา มีบุคคลที่ขณะอยู่ในโลกปุถุชนก็โหยหาสังคมในอุดมคติแห่งสันติสุข การปรองดอง ความสุขสงบ และความเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน ดังเช่นที่นักอุดมคติท่ามกลางผู้ไม่มีความเชื่อโหยหา อย่างไรก็ตามสังคมในอุดมคตินี้ก็เป็นเหมือนยูโทเปียที่กวีหรือผู้ประพันธ์บางคนพรรณนา แน่นอนว่าปกติแล้วนั่นก็เป็นเหมือนที่ว่าง หนทางแห่งชีวิต หรือสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตบางอย่างซึ่งมีอยู่ภายในโลกในอุดมคติของผู้คน คนเหล่านี้ซึ่งได้รับการขับเคลื่อนโดยความต้องการที่จำเป็นและอุดมคติดังกล่าว แสวงหาให้พบความเชื่อของตนเองเพื่อที่จะทำให้อุดมคติของตนเป็นจริงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ขณะค้นหา พวกเขาค้นพบว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นเส้นทางที่ดีและเป็นทางเลือกแห่งความเชื่อที่พอใช้ได้ พวกเขามาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าโดยนำอุดมคติติดตัวไปด้วย หวังจะได้รับประสบการณ์กับความอบอุ่น การใส่ใจ และการได้รับการหวงแหนราวสมบัติล้ำและดูแลท่ามกลางผู้คน และแน่นอนว่าพวกเขาย่อมหวังมากขึ้นไปอีกที่จะรู้สึกถึงความรักและการคุ้มครองที่ยิ่งใหญ่จากพระเจ้า พวกเขาเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้าด้วยอุดมคติของตน และไม่ว่าพวกเขาทำหน้าที่ของตนหรือไม่ ไม่ว่าในกรณีใด อุดมคติของพวกเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง—พวกเขานำอุดมคติของตนติดตัวไปด้วยและเก็บอุดมคติเหล่านี้ไว้ภายในตัวพวกเขา ตั้งแต่ต้นจนจบ อุดมคติของพวกเขาสามารถอธิบายได้ดังต่อไปนี้ เมื่อเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาหวังว่านั่นเป็นที่ที่พวกเขาสามารถรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น ที่ที่พวกเขาสามารถชื่นชมความอบอุ่น ความสุข และการอยู่ดีมีสุข พวกเขาหวังว่านั่นเป็นที่ที่ปราศจากการทะเลาะวิวาท ความสงสัย หรือการเลือกปฏิบัติระหว่างผู้คน ที่ที่ไม่มีการกลั่นแกล้ง การหลอกลวง ความเสียหายที่กระทำไป หรือการกีดกันออกจากกลุ่มที่เกิดขึ้นท่ามกลางผู้คน โดยพื้นฐานแล้วเหล่านี้ล้วนเป็นอุดมคติซึ่งพบได้ในความรู้สึกนึกคิดของนักอุดมคติดังกล่าว กล่าวคือ พวกเขาวาดมโนภาพสถานที่ที่ผู้คนปฏิบัติต่อกันดังเช่นเครื่องจักร ไร้ซึ่งชีวิตและความคิดใดๆ โดยยิ้ม พยักหน้า และโค้งคำนับอย่างเครื่องจักรเมื่อพวกเขาพบกัน เพื่อแสดงความเป็นมิตร เพื่อแสดงว่าไม่มีความไม่เป็นมิตร ในสถานที่ในอุดมคตินี้มีความรักอันยิ่งใหญ่ระหว่างผู้คน และพวกเขาสามารถใส่ใจ หวงแหนราวสมบัติล้ำค่า ดูแล ช่วยเหลือ เข้าใจ และอำนวยความสะดวกซึ่งกันและกัน และแม้กระทั่งเป็นโล่กำบังและปิดบังให้กันและกันได้ เหล่านี้ล้วนเป็นบางสิ่งที่นักอุดมคติทำไปตามอุดมคติและฝันถึง ตัวอย่างเช่น เมื่อนักอุดมคติเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้า อุดมคติและความหวังของพวกเขาก็คือคนที่สูงวัยกว่าอาจจะได้รับการเคารพ การหวงแหนราวสมบัติล้ำค่า การดูแล รวมทั้งได้รับการใส่ใจและการเอาใจใส่อย่างละเอียดลออจากคนที่อ่อนวัยกว่า นอกจากความเคารพ พวกเขายังหวังด้วยว่าผู้คนจะใช้ชื่อเรียกขานที่เป็นการให้เกียรติ ทักทายพี่น้องชายว่า “คุณปู่คนนั้นคนนี้” “คุณลุงชื่อนั้นชื่อนี้” หรือ “คุณลุงคนนั้นคนนี้” และทักทายพี่น้องหญิงว่า “คุณย่าคนนั้นคนนี้” “คุณป้าคนนั้นคนนี้” หรือ “พี่น้องหญิงคนนั้นคนนี้”—โดยที่โดยพื้นฐานแล้วทุกคนมีรูปแบบการทักทายของตนเอง พวกเขาหวังว่าภายนอกนั้นผู้คนจะอบอุ่นและเป็นมิตร ปรองดอง และสุภาพนอบน้อมต่อกันเป็นพิเศษ และไม่มีใครที่จะมีความบาดหมางหรือสิ่งที่ไม่ดีหรือชั่วใดๆ ทั้งเพียงผิวเผินและลึกลงไปในหัวใจของตน พวกเขาหวังว่าหากใครก็ตามทำความผิดพลาดหรือเผชิญความลำบากยากเย็น ทุกคนสามารถหยิบยื่นความช่วยเหลือเพื่อช่วยพวกเขาได้ และยิ่งไปกว่านั้นยังจัดหาให้พวกเขาด้วยการเอาใจใส่และความยอมผ่อนปรนอย่างลึกซึ้งด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของพวกที่อ่อนแอ รวมทั้งเรื่องของผู้คนที่ค่อนข้างไร้เล่ห์มายาเหล่านั้นซึ่งถูกผู้อื่นในโลกกลั่นแกล้งหรือกดขี่อย่างง่ายดาย—พวกเขาหวังมากขึ้นไปอีกเพื่อที่ว่าเมื่อผู้คนดังกล่าวมาอยู่ในคริสตจักร มาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาจะสามารถรับการเอาใจใส่ ความใส่ใจ และการปฏิบัติเป็นพิเศษอย่างละเอียดลออ ดังเช่นนักอุดมคติเหล่านี้กล่าว เมื่อพวกเขามาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาปรารถนาว่าทุกคนจะมีความสุขและอยู่ดี และหวังว่าเนื่องจากพวกเขาล้วนเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็น่าจะเป็นครอบครัวใหญ่และพี่น้องร่วมกันได้ พวกเขาคิดว่าไม่ควรมีการกลั่นแกล้ง ไม่ควรมีการลงโทษ ไม่ควรมีการกระทำให้เสียหาย พวกเขาเชื่อว่าหากเกิดปัญหาขึ้นก็ไม่ควรมีข้อพิพาทหรือความโกรธเคืองท่ามกลางผู้คน และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นทุกคนควรปฏิบัติต่อกันอย่างใจเย็นและด้วยความอดทนและความช่วยเหลือเกื้อกูลอย่างมาก พวกเขาควรทำให้ผู้อื่นรู้สึกสบายใจอยู่เสมอ และแต่ละคนควรแสดงด้านที่ดีที่สุดและใจดีที่สุดของตนต่อผู้อื่น ขณะที่เก็บด้านที่ชั่วหรือไม่ดีของตนไว้กับตัวเอง พวกเขาเชื่อว่าผู้คนควรปฏิบัติต่อกันดังเช่นเครื่องจักร พวกเขาไม่ควรมีทรรศนะหรือความคิดเห็นที่เป็นลบใดๆ เกี่ยวกับคนอื่น และยิ่งไม่ทำสิ่งใดๆ ที่เป็นลบต่อกัน พวกเขาคิดว่าผู้คนควรมีเจตนาที่ดีต่อกัน และสุภาษิตนี้ก็กล่าวไว้ดีแล้วว่า “คนดีมีชีวิตที่เปี่ยมสันติสุข” พวกเขาคิดว่ามีเพียงการนี้เท่านั้นที่เป็นพระนิเวศที่แท้จริงของพระเจ้าและคริสตจักรที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม อุดมคติของนักอุดมคติเหล่านี้ยังไม่ได้ถูกทำให้เป็นจริงขึ้นมา ในสถานที่ของพวกเขา พระนิเวศของพระเจ้ามุ่งความสนใจไปที่หลักธรรม เน้นย้ำความช่วยเหลือและการสนับสนุนร่วมกันท่ามกลางผู้คน และพึงกำหนดให้ทุกคนปฏิบัติต่อผู้คนทุกรูปแบบบนพื้นฐานของหลักธรรมความจริงและพระวจนะของพระเจ้า พระนิเวศของพระเจ้าถึงขั้นเสนอแนะข้อกำหนดบางอย่างซึ่ง “ไม่มีลักษณะของการคำนึงถึง” ต่อผู้คน เช่น การจำแนกความต่างระหว่างคนประเภทต่างๆ และการปฏิบัติต่อพวกเขาแตกต่างกัน พระนิเวศของพระเจ้ายังกำหนดให้ผู้คนลุกขึ้นเปิดโปงและตัดแต่งใครก็ตามที่พวกเขามองว่าทำความเสียหายต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ละเมิดการจัดการเตรียมการงาน หรือต่อต้านหลักธรรม เพื่อที่ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าอาจได้รับการปกป้อง รวมทั้งไม่อนุญาตให้ผู้คนเป็นโล่กำบังหรือปิดบังให้ใครก็ตามบนพื้นฐานของความรู้สึก แน่นอนว่าพระนิเวศของพระเจ้ายังได้กำหนดความเป็นผู้นำระดับต่างๆ เช่นกัน ในแง่มุมหนึ่งนั้น พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้ผู้นำทุกระดับดูแลเอาใจใส่งานในชีวิตประจำวันของคริสตจักร ในอีกแง่มุมหนึ่งก็กำหนดให้พวกเขากำกับดูแล จัดการ และติดตามงานต่างๆ อย่างเข้มงวด ขณะที่ยังคงรับทราบข้อมูล เข้าใจ และใส่ใจต่อสภาวะและชีวิตคริสตจักรของบุคคลประเภทต่างๆ ตลอดเวลาอีกด้วย โดยเฝ้าสังเกตท่าทีและแนวโน้มที่พวกเขามีขณะทำหน้าที่ของตน และทำการปรับเปลี่ยนที่สมเหตุสมผลและที่เหมาะที่ควรเมื่อจำเป็น แน่นอนว่าพระนิเวศของพระเจ้าก็กำหนดให้ผู้นำและคนทำงานตัดแต่งบุคคลใดๆ ที่พวกเขาค้นพบว่าต่อต้านการจัดการเตรียมการงานของพระนิเวศของพระเจ้าหรือละเมิดหลักธรรมและขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรอีกด้วย โดยออกคำเตือนสำหรับการล่วงเกินเล็กน้อย และรับมือกับกรณีที่ร้ายแรงมากกว่าอย่างถูกต้องเหมาะสม ในบริบทนี้ บางคนถูกชำระออก ถูกขับไล่ หรือถูกขีดฆ่าชื่อออก แน่นอนว่าเมื่อผู้คนมาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อทำหน้าที่ต่างๆ และเข้าร่วมในงานต่างๆ พวกเขาหลายคนได้ยิน มองเห็น หรือได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาที่มาจากพระวจนะของพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาได้รับประสบการณ์กับการถูกตัดแต่งจากผู้นำในลำดับที่แตกต่างกัน สภาพแวดล้อมและเรื่องที่แตกต่างกันเหล่านี้ซึ่งผู้คนเผชิญในพระนิเวศของพระเจ้าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจากพระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักรในอุดมคติที่นักอุดมคติวาดมโนภาพไว้ ในระดับที่สิ่งเหล่านี้อยู่นอกความคาดหวังของพวกเขาเป็นอย่างมาก และการนี้เป็นเหตุให้พวกเขารู้สึกถึงความกดดันในปริมาณที่มีนัยสำคัญลึกลงไปในหัวใจของพวกเขา ในแง่มุมหนึ่งนั้น พวกเขาพบว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นในคริสตจักร หรือวิธีการและหลักธรรมสำหรับการรับมือกับปัญหาต่างๆ ของคริสตจักรนั้นเหลือเชื่อ ในอีกแง่มุมหนึ่ง ภาวะอารมณ์แบบข่มปรามเกิดขึ้นภายในห้วงลึกของหัวใจของพวกเขาเนื่องจากอุดมคติและความเข้าใจที่ลวงหลอกของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นบวก คริสตจักร และพระนิเวศของพระเจ้า หลังจากภาวะอารมณ์แบบข่มปรามเหล่านี้เกิดขึ้น เพราะพวกเขาล้มเหลวที่จะแก้ไขความคิดและทัศนคติที่ผิดพลาดของตนหรือมองออกและรับรู้ถึงปัญหาทั้งหลายอย่างชัดเจนด้วยอุดมคติของตนในทันที ด้วยเหตุนี้มโนคติอันหลงผิดมากมายจึงเริ่มปรากฏออกมาภายในตัวพวกเขา นอกจากนี้ เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถเข้าใจความจริงหรือใช้ความจริงแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้จึงเริ่มหยั่งรากลึกในความคิดของพวกเขาหรือในห้วงลึกของจิตวิญญาณของพวกเขา เป็นเหตุให้ภาวะอารมณ์แบบข่มปรามของพวกเขาเพิ่มขึ้นอยู่เป็นนิตย์และกลายเป็นรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในความเป็นจริงแล้วพระเจ้า พระนิเวศของพระเจ้า คริสตจักร ผู้เชื่อ และคริสตชนล้วนเข้ากันไม่ได้กับแดนสุขาวดีอันงดงาม สวรรค์ หรือยูโทเปียที่นักอุดมคติจินตนาการในอุดมคติของตน ผลก็คือ ความเก็บกดที่อยู่ลึกภายในหัวใจของพวกเขายังคงสั่งสมต่อไปอยู่เป็นนิตย์ และพวกเขาก็ไม่มีทางที่จะเป็นอิสระจากความเก็บกดนี้เลย ในคริสตจักรมีผู้คนเช่นนี้หรือไม่? (มี)
บางคนพูดว่า “โอ้ เหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงพูดถึงการยอมรับการพิพากษาและการตีสอนอยู่เสมอ? ผู้เชื่อในพระเจ้ายังคงสามารถเผชิญกับการถูกตัดแต่งได้อย่างไร? โอ้ เหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงขับไล่ผู้คน? ในพระนิเวศของพระเจ้าไม่มีความรักเลยแม้แต่น้อย! สิ่งทั้งหลายดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นใน ‘สวรรค์บนแผ่นดินโลก’ ได้อย่างไร? ศัตรูของพระคริสต์สามารถปรากฏในคริสตจักรได้อย่างไร? จะมีเหตุการณ์ที่ศัตรูของพระคริสต์ข่มปรามและลงโทษผู้อื่นได้อย่างไร? ในคริสตจักร ในพระนิเวศของพระเจ้า ผู้คนสามารถเปิดโปงและชำแหละกันและกันได้อย่างไร? จะมีข้อพิพาทได้อย่างไร? จะมีความอิจฉาริษยาและความขัดแย้งได้อย่างไร? เกิดอะไรขึ้นหรือ? เนื่องจากพวกเราได้มาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า จึงควรมีความรักท่ามกลางพวกเรา และพวกเราทั้งหมดก็ควรสามารถช่วยเหลือกันและกันได้ สิ่งเหล่านี้ยังคงเกิดขึ้นได้อย่างไร?” ผู้คนที่มีแนวคิดเหล่านี้มีมากหรือไม่? หลายคนมองพระนิเวศของพระเจ้าผ่านทางเลนส์แห่งความคิดฝันของตน ทีนี้จงบอกเราที ความคิดฝันและการตีความเหล่านี้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงหรือไม่? (ไม่ สิ่งเหล่านี้ไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง) พวกเขาขาดพร่องการมองตามความเป็นจริงตรงไหน? (มนุษยชาติเสื่อมทรามอย่างดิ่งลึก และพวกที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดล้วนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ดังนั้นพวกเขาย่อมจะเผยความเสื่อมทรามของตนออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จะมีความอิจฉาริษยาและความขัดแย้ง และจะมีอุบัติการณ์เกี่ยวกับการกลั่นแกล้งและการกดขี่ สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่แคล้วที่จะเกิดขึ้น สิ่งทั้งหลายที่นักอุดมคติจินตนาการเช่นนี้ไม่มีอยู่จริง ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อที่จะปกป้องชีวิตและงานของคริสตจักร คริสตจักรจะตัดแต่งผู้คนตามหลักธรรมความจริง หรือปรับแต่งและแทนที่ผู้คน หรือขับไล่และเอาคนชั่วและผู้ไม่เชื่อออกไป—การนี้สอดคล้องกับหลักธรรม นั่นเป็นเพราะเมื่อผู้คนกระทำการตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน พวกเขาย่อมขัดขวางและรบกวนงานของคริสตจักร คงจะไม่มีความเป็นจริงหากคริสตจักรไม่ได้ใช้มาตรการต่างๆ เช่น การตัดแต่ง การแทนที่ หรือการย้ายผู้คนดังกล่าวออก) นั่นไม่มีความเป็นจริง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมแนวคิดของคนเหล่านี้จึงเป็นอุดมคติของนักอุดมคติ แนวคิดเหล่านี้ไม่มีแนวคิดใดที่มีความเป็นจริง แต่ล้วนว่างเปล่าและจินตนาการขึ้นใช่ไหม? แม้กระทั่งตอนนี้ผู้คนดังกล่าวก็ยังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาจึงควรเชื่อในพระเจ้า บางคนพูดว่า “การเชื่อในพระเจ้านั้นดี การเชื่อในพระเจ้าหมายถึงการทำสิ่งที่ดีและการเป็นคนดี” คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ ไม่ถูกต้อง) “ผู้เชื่อในพระเจ้าควรมีเจตนาที่ดีในหัวใจของตน” คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ ไม่ถูกต้อง) การมีเจตนาที่ดีในหัวใจของตน—นี่เป็นคำกล่าวแบบใด? เจ้าสามารถมีเจตนาที่ดีได้โดยเพียงแค่ต้องการมีหรือ? เจ้ามีเจตนาที่ดีหรือไม่? การมีเจตนาที่ดีในหัวใจของตนใช่หลักธรรมแห่งการวางตนของมนุษย์หรือไม่? นั่นเป็นแค่คำขวัญ เป็นคำสอน เป็นสิ่งที่ว่างเปล่า เมื่อผลประโยชน์ของเจ้าเองไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง เจ้าอาจพูดเช่นนี้ได้ค่อนข้างดี โดยคิดว่า “ฉันมีเจตนาที่ดีในหัวใจของฉัน ฉันไม่กลั่นแกล้ง ทำความเสียหาย ฉ้อโกง หรือฉวยโอกาสจากผู้อื่น” แต่เมื่อผลประโยชน์ สถานะ และความภาคภูมิใจของเจ้าเองเข้ามาเกี่ยวข้อง คำกล่าวที่ว่า “การมีเจตนาที่ดีในหัวใจของตน” จะสามารถยับยั้งเจ้าได้หรือไม่? คำกล่าวที่ว่านี้สามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าได้หรือไม่? (ไม่ ไม่สามารถ) ดังนั้นคำกล่าวนี้จึงว่างเปล่า ไม่ใช่ความจริง ความจริงสามารถเปิดโปงแก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า สามารถเปิดโปงและชำแหละแก่นแท้และธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลายประเภทที่เจ้าทำ รวมทั้งพิจารณาและกล่าวโทษแก่นแท้ของสิ่งเหล่านี้ที่เจ้าทำและแก่นแท้ของอุปนิสัยที่เจ้าเผยให้เห็น เช่นนั้นความจริงย่อมจัดเตรียมเส้นทางและหลักธรรมที่เหมาะที่ควรให้กับเจ้าเพื่อเปลี่ยนแปลงหนทางแห่งการดำรงชีวิตของเจ้าและหนทางที่เจ้าวางตนและกระทำการ ในหนทางนี้ หากผู้คนสามารถยอมรับความจริงและเปลี่ยนแปลงหนทางแห่งการดำรงชีวิตของตน เช่นนั้นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนก็ย่อมสามารถได้รับการแก้ไข ไม่ใช่การเร่งเร้าให้ผู้คนมีเจตนาที่ดีในหัวใจของตนที่สามารถทำเช่นนี้ได้ มีเพียงความจริงเท่านั้นที่สามารถ ความจริงแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราไม่ใช่ด้วยการให้คำขวัญ คำสอน หรือข้อบังคับและกฎ แต่ด้วยการให้หลักธรรม กฎเกณฑ์ และทิศทางสำหรับการวางตนกับพวกเขา ความจริงใช้หลักธรรม กฎเกณฑ์ และทิศทางเหล่านี้เพื่อเข้ามาแย่งตำแหน่งและแทนที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน เมื่อหลักธรรม กฎเกณฑ์ และทิศทางของผู้คนสำหรับการวางตนเปลี่ยนแปลงและได้รับการแก้ไข แนวคิดที่บิดเบือนและความคิดที่ผิดต่างๆ ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยตามธรรมชาติ เมื่อคนคนหนึ่งเข้าใจและได้รับความจริง ความคิดของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไปตามนั้น นั่นไม่ใช่เรื่องของการมีเจตนาที่ดีในหัวใจของคนเราแต่เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงในต้นตอแห่งความคิดของพวกเขา ในอุปนิสัยของพวกเขา และในแก่นแท้ของพวกเขา สิ่งที่คนเช่นนั้นเผยให้เห็นและดำรงชีวิตไปกลับกลายเป็นเชิงบวก ทิศทาง ลักษณะ และต้นตอเกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาวางตนล้วนผ่านการเปลี่ยนแปลง คำพูดและการกระทำของพวกเขามีพระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานและกฎเกณฑ์ของพวกเขา และพวกเขาก็สามารถใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แล้วยังจำเป็นหรือไม่ที่จะแค่บอกให้พวกเขา “มีเจตนาที่ดีในหัวใจของตน”? นั่นเป็นประโยชน์หรือไม่? คำกล่าวนั้นว่างเปล่า ไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดได้แม้แต่น้อย หลังจากนักอุดมคติเข้ามาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งก็คือคริสตจักร อุดมคติของพวกเขาก็ยังคงไม่สามารถทำให้เป็นจริงขึ้นมาได้ และพวกเขาก็รู้สึกเก็บกดในหัวใจของตนเพราะเรื่องนี้ ก็เหมือนวิธีที่นักอุดมคติบางคนลงลึกภายในรัฐบาลหรือสังคมและแล้วก็พบว่าอุดมคติของตนไม่สามารถทำให้เป็นจริงขึ้นมาหรือลุล่วงได้ ผลก็คือ พวกเขามักจะรู้สึกท้อใจ หลังจากบางคนกลายเป็นข้าราชการหรือจักรพรรดิ พวกเขารู้สึกยินดีกับตัวเองมากและกลายเป็นโอหังอย่าดิ่งลึก เหมือนกันไม่มีผิดกับบรรทัดนั้นในบทกวีบทหนึ่งที่ว่า “ลมพัดแรงกล้า เมฆกระจัดกระจาย” บรรทัดถัดไปว่าอย่างไร? (“ด้วยบัดนี้พละกำลังของฉันปกครองทั้งหมดภายในท้องทะเล ฉันก็หวนคืนสู่บ้านเกิดของฉัน”) เจ้าเห็นไหมว่าถ้อยคำของพวกเขาฟังดูประหลาด พวกเขามีภาวะอารมณ์ประเภทที่ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์และเหตุผลที่ปกติพบว่ายากที่จะเข้าใจ นักอุดมคติเหล่านี้พูดด้วยน้ำเสียงที่สูงส่งอยู่เสมอ การพูดด้วยน้ำเสียงที่สูงส่งหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าพวกเขาไม่เคยเผชิญกับความเป็นจริงหรือแก้ไขปัญหาที่แท้จริงในสิ่งอันใดที่พวกเขาทำ พวกเขาไม่เข้าใจว่าความเป็นจริงคืออะไร พวกเขาได้รับการขับเคลื่อนโดยภาวะอารมณ์ เมื่อคนเหล่านี้มาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าพวกเขาได้ยินความจริงมากเพียงใด พวกเขาไม่เข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าหรือนัยสำคัญของการเชื่อในพระเจ้าหมายถึงสิ่งใด พวกเขาไม่จับใจความคุณค่าของความจริง นับประสาอะไรที่จะจับใจความคุณค่าของการไล่ตามเสาะหาความจริง สิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาอยู่เสมอคืออุดมคติของนักอุดมคติ ความฝันของพวกเขาคือให้พระนิเวศของพระเจ้าวันหนึ่งเป็นดังเช่นพวกเขาวาดมโนภาพ โดยที่ผู้คนปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพ ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างปรองดอง เข้ากันได้เป็นอย่างดีมาก และหวงแหนราวสมบัติล้ำค่า ดูแล ทะนุถนอม ช่วยเหลือ และขอบคุณกันและกัน โดยที่ผู้คนกล่าวสิ่งที่ดีและถ้อยคำที่อวยพรต่อกัน โดยปราศจากถ้อยคำใดๆ ที่ไม่น่ายินดีหรือทำร้ายจิตใจ หรือถ้อยคำที่เปิดโปงแก่นแท้อันเสื่อมทรามของผู้คน หรือข้อพิพาทใดๆ หรือการที่ผู้คนเปิดโปงและตัดแต่งกันและกัน ไม่สำคัญว่าพวกเขาได้ยินความจริงมากเพียงใด คนเหล่านี้ยังคงไม่เข้าใจความหมายของการเชื่อในพระเจ้า หรือสิ่งที่เป็นข้อกำหนดของพระเจ้า รวมทั้งพระเจ้าต้องประสงค์ให้ผู้คนเป็นคนประเภทใด ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้เท่านั้น แต่พวกเขายังหวังมากขึ้นไปอีกด้วยว่าวันหนึ่งพวกเขาจะสามารถชื่นชมการปฏิบัติในอุดมคติที่ตนพึงปรารถนาในพระนิเวศของพระเจ้า หากพวกเขาไม่ได้รับการปฏิบัติดังกล่าว พวกเขาก็รู้สึกว่าไม่มีที่ในพระนิเวศของพระเจ้าที่อุดมคติของพวกเขาอาจเป็นจริงขึ้นมาได้ อีกทั้งยังไม่มีโอกาสที่จะทำให้อุดมคติเหล่านี้เป็นจริงขึ้นมา ดังนั้นบางคนจึงมักจะคิดถึงการล้มเลิกขณะที่รู้สึกเก็บกด โดยกล่าวว่า “การเชื่อในพระเจ้ารู้สึกน่าเบื่อและว่างเปล่า ผู้เชื่อในพระเจ้าไม่ช่วยเหลือ ทะนุถนอม และเคารพกันและกันในลักษณะเดียวกับบรรดาผู้ที่เชื่อในศาสนาพุทธช่วยเหลือ ทะนุถนอม และเคารพกันและกัน และผู้เชื่อในพระเจ้าก็เสวนาความจริงและหลักธรรมอยู่เสมอ พวกเขามักจะพูดถึงวิจารณญาณในสัมพันธภาพส่วนบุคคล มีการเปิดโปงและคำวิพากษ์วิจารณ์เป็นครั้งคราว และพวกเขาถึงขั้นเผชิญกับการถูกตัดแต่งอยู่เนืองนิจ นี่ไม่ใช่ชีวิตประเภทที่ฉันต้องการ” หากพวกเขาไม่อุดมคติของตนรวมทั้งสายใยแห่งความหวังว่าพวกเขาจะได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ นักอุดมคติเช่นนี้คงจะผละจากคริสตจักรได้ทุกเวลาและค้นหาเส้นทางอื่น แล้วคนเหล่านี้ใช่คนของพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่ จงบอกเราที? พวกเขาเหมาะสมที่จะยังคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? (ไม่ พวกเขาไม่เหมาะสม) พวกเจ้าคิดว่าพวกเขาควรไปที่ใด? (พวกเขาเหมาะสมที่จะเข้าร่วมชีวิตในวัดวาอาราม) พวกเขาสามารถไปยังวัดพุทธหรือวัดเต๋า ไม่ว่าอย่างไหนก็น่าจะพอได้อยู่ พวกเขาไม่รู้สึกเก็บกดในโลกปุถุชนแต่รู้สึกถูกข่มปรามเป็นพิเศษในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขารู้สึกว่าตนไม่มีโอกาสที่จะทำให้อุดมคติของตนเป็นจริงขึ้นมาและไม่มีพื้นที่ที่จะนำอุดมคติเหล่านั้นไปใช้ ดังนั้นคนเหล่านี้จึงเหมาะสมยิ่งนักกับสถานที่ที่เต็มไปด้วยควันอันอบอวลและการเผากำยานอย่างต่อเนื่อง สถานที่เหล่านั้นเงียบสงบ และพวกเขาไม่สอนเจ้าถึงวิธีที่เจ้าควรที่จะวางตน พวกเขาไม่เปิดโปงความคิดและทัศนคติที่ลวงหลอกต่างๆ ของเจ้า และไม่เปิดโปงหรือตัดแต่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า มีระยะห่างและความเคารพระหว่างผู้คนที่นั่น ผู้คนคุยกันไม่กี่คำในแต่ละวัน และก็ไม่มีข้อพิพาทใดๆ เจ้าไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลหรือข้อบังคับของใครเลย ที่นั่นเจ้าจะใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตัวเอง แทบจะไม่เผชิญกับคนแปลกหน้าตลอดทั้งปี เจ้าจะไม่ต้องกังวลเรื่องกิจธุระในชีวิตประจำวัน หากเจ้าต้องการบางสิ่งสำหรับเสบียงอาหารทางกายภาพ เจ้าสามารถนำชามใบเล็กหรือบาตรพระไปขอของบริจาคจากประชาชนทั่วไป แล้วก็ได้อาหารบางส่วนมากิน โดยไม่จำเป็นต้องหาเงิน ในสถานที่เหล่านั้น ปัญหาทางโลกทั้งหมดปลาสนาการไป ผู้คนปฏิบัติต่อกันอย่างใจดีมาก และไม่มีใครโต้แย้งกับคนอื่น หากมีความคิดเห็นไม่ตรงกันเรื่องใดๆ ความคิดเห็นไม่ตรงกันเหล่านั้นก็อยู่ในหัวใจของผู้คน วันเวลาถูกใช้ไปอย่างสบายใจและชูใจ นี่คือสิ่งที่รู้จักกันในนามดินแดนแห่งความเบิกบานสูงสุด เป็นสถานที่ในอุดมคติของนักอุดมคติ และเป็นสถานที่ที่นักอุดมคติสามารถทำให้อุดมคติของตนเป็นจริงขึ้นมาได้ คนเหล่านี้ควรใช้ชีวิตในสถานที่แห่งการจินตนาการของตน ไม่ใช่ในคริสตจักร สำหรับคนเช่นพวกเขา มีหลายสิ่งที่ต้องทำมากเกินไปในคริสตจักร ทุกวันพวกเขาต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้า เข้าร่วมการชุมนุม เรียนรู้หลักธรรมแต่ละประการ และสามัคคีธรรมความจริงและการเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนตลอดเวลา บางคนที่กระทำการตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและละเมิดหลักธรรม เผชิญกับการถูกตัดแต่ง และมีคนไม่กี่คนถึงขั้นเผชิญกับการนี้อยู่เนืองนิจ คนเหล่านี้รู้สึกเก็บกดและไม่มีความสุขเป็นพิเศษ ณ ที่นี้ คริสตจักรไม่ใช่สภาพแวดล้อมในอุดมคติของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าแทนที่จะใช้เวลาของตนให้หมดไปหรือสูญเสียความเยาว์วัยของตนไปเปล่าๆ ในสถานที่นี้ การไปใช้ชีวิตในสถานที่ที่พวกเขาชอบเร็วขึ้นอีกสักหน่อยน่าจะดีกว่า พวกเขาคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องใช้เวลาของตนให้หมดไป ณ ที่นี้ รู้สึกเก็บกดและดำเนินชีวิตที่ไม่สะดวกสบาย ไร้ความชื่นบานยินดี และไม่มีความสุขอยู่เป็นนิตย์ นี่คือการสำแดงแบบฉบับเฉพาะอย่างเดียวถึงอุดมคติของนักอุดมคติที่พวกเราได้กินความครอบคลุมมา ไม่มีอะไรให้พูดถึงมากนักเกี่ยวกับคนเหล่านี้ ไม่สำคัญว่าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขามากเพียงใด พวกเขาจะไม่ฟังสามัคคีธรรมนั้น พวกเขาปล่อยใจไปกับความเพ้อฝันตลอดวัน และสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาคิดถึงล้วนไม่มีความจริงและคลุมเครือมาก และอยู่ห่างจากความเป็นมนุษย์ที่เป็นปกติมากเกินไปจริงๆ พวกเขาคิดถึงสิ่งเหล่านี้ตลอดทั้งวันและไม่สามารถสื่อสารกับคนปกติธรรมดาได้ คนปกติธรรมดาก็ไม่สามารถเข้าใจอะไรต่ออะไรที่ประกอบเป็นโลกของพวกเขาเช่นกัน ดังนั้นไม่สำคัญว่าคนเหล่านี้มีความคิดและทัศนคติประเภทใด อุดมคติของพวกเขานั้นกลวงเปล่า เพราะอุดมคติของพวกเขากลวงเปล่า ความคิดและทัศนคติของพวกเขาจึงกลวงเปล่าไปด้วยเป็นธรรมดา ความคิดและทัศนคติของพวกเขาไม่ควรค่าที่จะชำแหละหรือขุดคุ้ยอย่างดิ่งลึกมาก ในเมื่อความคิดและทัศนคติของพวกเขากลวงเปล่า ก็จงปล่อยให้เป็นอย่างนั้นต่อไป คนเหล่านี้สามารถไปที่ไหนก็ได้ที่ตนต้องการ และพระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่แทรกแซง หากพวกเขาเต็มใจที่จะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนหรือลงแรงเล็กน้อย ตราบที่พวกเขาไม่เป็นเหตุให้เกิดการก่อกวนหรือทำชั่ว พวกเราจะตอบสนองความต้องการของพวกเขาและให้โอกาสแก่พวกเขาที่จะกลับใจ สรุปสั้นๆ ก็คือ ตราบที่พวกเขายังคงเป็นมิตรต่อพี่น้องชายหญิง ต่อพระนิเวศของพระเจ้า และต่อคริสตจักร ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกเราต้องรับมือกับคนประเภทนี้ เว้นเสียแต่ว่าตัวพวกเขาเองจะแสดงความอยากที่จะผละจากไป หากเป็นเช่นนั้น พวกเรามาอ้าแขนต้อนรับการนี้อย่างเต็มอกเต็มใจกันเถิดดีไหม? (ดีเลย) ตกลงตามนั้น
อุดมคติของนักอุดมคติมีแนวโน้มที่จะกลวงเปล่า ขณะที่อุดมคติของผู้นิยมความจริงสัมพันธ์กับชีวิตจริงกว่าและตรงกับชีวิตและสภาพแวดล้อมที่เป็นจริงของผู้คนอย่างใกล้ชิดกว่ามาก แน่นอนว่าอุดมคติเหล่านี้ก็เกี่ยวข้องกับคำถามเรื่องชีวิตและการดำรงอยู่ของมนุษย์อย่างเป็นรูปธรรมมากกว่าเช่นกัน รวมถึงคำถามเรื่องการลงหลักปักฐานและการเริ่มต้นชีวิตของคนเรา การลงหลักปักฐานและการเริ่มต้นชีวิตของคนเราเกี่ยวข้องกับทักษะ ความสามารถ และความสามารถพิเศษที่ผู้คนได้มา การศึกษาประเภทต่างๆ ที่พวกเขาได้รับ รวมทั้งพรสวรรค์ ความสามารถ และความเชี่ยวชาญ อุดมคติของผู้นิยมความจริงครอบคลุมแง่มุมเหล่านี้ ในอาณาจักรของอุดมคติของผู้นิยมความจริง ไม่ว่าจะมุ่งเป้าหมายไปที่การปรับปรุงภาวะในการดำรงชีวิตของพวกเขาหรือการตอบสนองโลกฝ่ายวิญญาณของตนเอง อุดมคติเหล่านี้สำแดงออกมาอย่างเป็นรูปธรรมในชีวิตจริงของผู้คน ตัวอย่างเช่น บางคนมีความสามารถในการเป็นผู้นำและเพลิดเพลินกับการเป็นจุดสนใจของผู้คน พวกเขาอาจเป็นเลิศในการพูดในที่สาธารณะหรือการสื่อสารทางวาจา หรือมีความเข้าใจอันเฉียบคมเกี่ยวกับผู้คนและความเก่งกาจในการใช้สอยพวกเขา ซึ่งสามารถอธิบายได้อย่างเหมาะเจาะมากยิ่งขึ้นว่าเป็นการชี้นิ้วออกคำสั่งผู้คน ด้วยเหตุนี้ผู้คนเช่นนี้จึงชื่นชอบการมีตำแหน่งใหญ่โต เข้ารับบทบาทผู้นำ หรือทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลเป็นพิเศษ ทันทีที่ตระหนักถึงความถนัดของตนในด้านเหล่านี้ พวกเขาก็มุ่งมาดปรารถนาที่จะเป็นผู้นำหรือผู้จัดท่ามกลางผู้คน กำกับดูแลงานและบุคลากรหรือแม้กระทั่งชี้นำงานเฉพาะบางอย่าง อุดมคติหลักของพวกเขาคือการเป็นผู้นำ แน่นอนว่านี่คือวิธีที่พวกเขาปฏิบัติตนในสังคม เมื่อพวกเขาเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้า พวกเขารับรู้พระนิเวศของพระเจ้าเป็นองค์กรทางศาสนา องค์กรที่เป็นเอกลักษณ์ในเรื่องดังกล่าว หลังจากเข้าร่วมคริสตจักร อุดมคติของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง อุดมคติของพวกเขาไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมหรือภูมิหลังที่พวกเขาใช้ชีวิต พวกเขานำอุดมคติเดียวกับผู้นำติดตัวเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้า ความอยากของพวกเขาคือมีตำแหน่งผู้นำในพระนิเวศของพระเจ้า เช่น การนำคริสตจักร การรับผิดชอบต่อระดับที่เฉพาะจง หรือการนำกลุ่ม นี่คืออุดมคติของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เพราะการจัดการเตรียมการงานในพระนิเวศของพระเจ้ามีหลักธรรมและข้อบังคับสำหรับการเลือกผู้นำและคนทำงาน และคนเหล่านี้ก็ทำไม่ได้ตามคุณสมบัติที่กำหนด ต่อให้พวกเขาเข้าร่วมในกระบวนการเลือกผู้นำสำหรับระดับที่เฉพาะเจาะจงเป็นครั้งคราว ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถสัมฤทธิ์อุดมคติของตนและเป็นผู้นำที่ตนมุ่งมาดปรารถนาที่จะเป็นได้ ยิ่งพวกเขาไม่สามารถบรรลุความเป็นผู้นำหรือทำหน้าที่ในอุดมคติของตนมากขึ้นเท่าใด อุดมคติของพวกเขาก็ยิ่งปลุกเร้าภายในตัวพวกเขามากขึ้นเท่านั้น เป็นการเพิ่มความเข้มข้นของความถวิลหาภาวะการเป็นผู้นำของตน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงทุ่มเทความพยายามอย่างมากในความมุมานะบากบั่นนานา ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางพี่น้องชายหญิงของตนหรืออยู่ต่อหน้าผู้นำระดับสูง เพื่ออวดตัว ทำให้ตัวเองดูโดดเด่นและยอดเยี่ยม และทำให้มั่นใจได้ว่าความสามารถพิเศษของตนเป็นที่รับรู้ พวกเขาอาจถึงขั้นอะลุ้มอล่วยมโนธรรมของตนเองเพื่อจัดสนองต่อความชอบของพี่น้องชายหญิงของตน ทำหรือพูดบางสิ่งและสำแดงพฤติกรรมบางอย่างมีจุดประสงค์เพื่อที่จะทำตามข้อพึงประสงค์ของผู้นำซึ่งกำหนดโดยการจัดการเตรียมการงานของพระนิเวศของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ทั้งๆ ที่มีความพยายามแบบไม่ลดละ พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถสัมฤทธิ์อุดมคติที่จะเป็นผู้นำของตนได้ มีพวกที่รู้สึกท้อใจ สับสน และตัดขาดจากตัวเอง ภาวะอารมณ์เชิงลบจากความเก็บกดที่พวกเขาได้รับประสบการณ์ก่อนหน้านี้เพิ่มความเข้มข้นเมื่อพวกเขาเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่สามารถยอมรับความจริงหรือหาวิธีแก้ปัญหาของตนได้ พวกเขาอยากมีตำแหน่งใหญ่โตและเป็นผู้นำตลอดมา และอุดมคติเหล่านี้ก็แตกหน่อในหัวใจของพวกเขาไปแล้วก่อนหน้าพวกเขามาเชื่อในพระเจ้าด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาไม่สามารถทำให้อุดมคติของตนเป็นจริงขึ้นมาได้ จึงมีสำนึกถึงความเก็บกดที่ไม่ปรากฏแก่ตาลึกในตัวพวกเขาเสมอ แม้ภายหลังจากเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้า ที่ทีอุดมคติของพวกเขายังคงไม่สามารถเป็นจริงขึ้นมาได้ ความรู้สึกถึงความเก็บกดภายในตัวพวกเขาก็แรงกล้าขึ้นและหนักขึ้นเรื่อยๆ คนเหล่านี้ขุ่นเคืองเพราะความสามารถในการเป็นผู้นำของตนไม่ได้ถูกนำไปใช้ และรู้สึกอาภัพอับโชค ผิดหวัง และเก็บกดเพราะอุดมคติของตนไม่สามารถถูกทำให้สัมฤทธิผลได้ เนื่องจากอุดมคติของตนยังคงไม่ได้รับการทำให้ลุล่วง พวกเขาจึงรู้สึกถึงสำนึกของความอยุติธรรมภายในตัวเอง เมื่อไม่มีช่องทางระบายออกความสามารถของตน พวกเขาจึงกลายเป็นท้อใจเกี่ยวกับชีวิตและเส้นทางข้างหน้า ด้วยเหตุนี้ในชีวิตประจำวันของพวกเขา พวกเขาจึงมักจะเก็บความรู้สึกถึงความเก็บกดไว้ขณะที่กำลังทำงานต่างๆ แม้ภายหลังจากความมานะและความพยายามหลายครั้ง บางคนก็ยังคงไม่สามารถเป็นผู้นำหรือสัมฤทธิ์อุดมคติของตนได้ ในสถานการณ์ดังกล่าว พวกเขาเริ่มหันไปพึ่งวิธีการต่างๆ เพื่อระบายภาวะอารมณ์ของตนและปลดปล่อยหรือสื่อความเก็บกดของตน แน่นอนว่าบางคนที่เชื่อในพระเจ้าขณะที่ยังคงยึดมั่นใจอุดมคติของตนที่จะมีตำแหน่งใหญ่โตได้มาซึ่งความอยากของหัวใจของตนและกลายมาเป็นผู้นำในคริสตจักร อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะผู้นำตามข้อกำหนดของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้า ในเวลาเดียวกันพวกเขาพบว่าตัวเองกำลังลุล่วงบทบาทการเป็นผู้นำเหล่านี้ภายใต้ข้อเรียกร้องและการกำกับดูแลของพระนิเวศของพระเจ้าและพี่น้องชายหญิงของตนอย่างไม่เต็มใจนัก แม้พวกเขาสัมฤทธิ์อุดมคติของตนแล้วและกำลังทำสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาปรารถนาจะทำในเชิงอุดมคติ แต่พวกเขาก็ยังคงรู้สึกเก็บกด นี่เป็นเพราะพวกเขากำลังเป็นผู้นำบนรากฐานของการทำให้อุดมคติส่วนตัวของตนเป็นจริงขึ้นมา และแม้ภายนอกหรือในทางผิวเผินนั้นพวกเขาอาจดูเหมือนกำลังลุล่วงงานที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนด แต่อุดมคติของพวกเขาก็ไปไกลเกินกว่าความรับผิดชอบเหล่านี้มาก ความทะเยอทะยาน อุดมคติ ความอยาก และวิสัยทัศน์ของพวกเขาขยายออกไปไกลเกินกว่าขอบเขตของบทบาทปัจจุบันของพวกเขามาก เนื่องจากการจัดการเตรียมการงานของพระนิเวศของพระเจ้าและข้อกำหนดของพระเจ้า การกระทำและความคิดของพวกเขาตลอดจนแผนการและเจตนาของพวกเขาจึงถูกพันธนาการและจำกัดห้าม ดังนั้นแม้ภายหลังจากเข้ารับตำแหน่งผู้นำ พวกเขาก็ยังคงรู้สึกเก็บกด อะไรคือสาเหตุของปัญหาเหล่านี้? เป็นเพราะพวกเขายังไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติของตนเองและคำสัญญาที่พวกเขาทำไว้ในอุดมคติของตนเองเป็นจริงขึ้นมาอยู่ต่อไป ทั้งๆ ที่กลายมาเป็นผู้นำแล้ว อย่างไรก็ตาม การรับใช้ในฐานะผู้นำในพระนิเวศของพระเจ้าหรือในคริสตจักรไม่ทำให้อุดมคติและความอยากของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมา และความรู้สึกของพวกเขาก็กลายเป็นผสมปนเปและขัดแย้งกัน เนื่องจากความขัดแย้งเหล่านี้รวมทั้งการที่พวกเขาไม่สามารถปล่อยมือจากอุดมคติและการไล่ตามไขว่คว้าของตนเอง ลึกภายในพวกเขามักจะรู้สึกเก็บกดและหาที่ปลดปล่อยไม่เจอ นี่คือคนประเภทหนึ่ง ในพระนิเวศของพระเจ้า ท่ามกลางนักอุดมคติเหล่านี้มีพวกที่ต่อสู้เพื่ออุดมคติของตนแต่ยังคงไม่สามารถสัมฤทธิ์อุดมคติเหล่านั้นได้ และยังมีพวกที่ต่อสู้เพื่ออุดมคติของตนและทำให้อุดมคติของตนเป็นจริงขึ้นมาในท้ายที่สุดแต่ก็ยังคงรู้สึกเก็บกดเช่นกัน ไม่ว่าพวกเขาจะพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ใด คนเหล่านี้คือคนที่ยังไม่ได้ละทิ้งอุดมคติของตนและยังคงไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติดังกล่าวต่อไปขณะที่กำลังทำหน้าที่ของตนและดำเนินชีวิตในพระนิเวศของพระเจ้า
ยังมีผู้อื่นที่มีความสามารถพิเศษในการเขียน การสื่อสารด้วยวาจา และวรรณกรรมด้วย พวกเขาหวังที่จะแสดงความคิดของตนผ่านทางทักษะในวรรณกรรมของตน และในเวลาเดียวกันก็โอ้อวดทักษะเหล่านี้และทำให้ผู้คนสังเกตเห็นความสามารถ คุณค่า และการมีส่วนร่วมแบ่งปันของพวกเขาต่อพระนิเวศของพระเจ้า อุดมคติของพวกเขาคือการไล่ตามไขว่คว้าการเป็นนักเขียนและปัญญาชนที่โดดเด่นและมีคุณสมบัติเหมาะสม เมื่อพวกเขาเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้าและเริ่มทำหน้าที่เชิงข้อเขียน พวกเขาก็รู้สึกว่าได้ค้นพบสถานที่ให้ใช้ความสามารถของตนแล้ว พวกเขาแสดงให้เห็นจุดแข็งและความสามารถพิเศษของตนที่จะทำให้อุดมคติของตนในการเป็นนักเขียนและปัญญาชนเป็นจริงขึ้นมา แม้พวกเขายังทำหน้าที่ของตนต่อไป แต่พวกเขาก็ไม่ละทิ้งอุดมคติของตน ในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขานั้น อาจกล่าวได้ว่าร้อยละ 80 ถึง 90 ของการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวมีพื้นฐานอยู่บนอุดมคติของพวกเขา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ แรงจูงใจในการทำหน้าที่ของพวกเขามาจากการไล่ตามไขว่คว้าและความหวังสำหรับอุดมคติเหล่านี้ของพวกเขา ด้วยเหตุนี้การปฏิบัติหน้าที่สำหรับคนเช่นนี้จึงค่อนข้างมีการปลอมปน ทำให้เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะทำได้ตามมาตรฐานในการลุล่วงหน้าที่ตามหลักธรรมความจริงและมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนด พวกเขาไม่ได้เข้ามาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าเพียงเพื่อลุล่วงหน้าที่ของตนอย่างเดียว ตรงกันข้าม พวกเขาหวังจะฉวยประโยชน์จากโอกาสที่จะทำหน้าที่ของตนเพื่อแสดงความสามารถพิเศษของตน ถวิลหาที่จะสัมฤทธิ์อุดมคติของตนและแสดงให้เห็นคุณค่าของตนผ่านทางการแสดงความสามารถพิเศษของตนออกมาให้เห็น ด้วยเหตุนี้อุปสรรคกีดขวางใหญ่หลวงที่สุดในการลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาให้ได้มาตรฐานก็คืออุดมคติของพวกเขา กล่าวคือ ขั้นตอนในการทำหน้าที่ของพวกเขาผสมปนเปกับความชอบส่วนบุคคลรวมทั้งความคิดและมุมมองของพวกเขาเกี่ยวกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายต่างๆ นานา บางคนมีความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะเชิงวิชาชีพบางอย่างหรือมีความสามารถพิเศษบางอย่าง ตัวอย่างเช่น บางคนเข้าใจเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเพลิดเพลินกับการทำงานเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ พวกเขาสวมแว่นตา แต่งกายตามวิชาชีพ และที่มีลักษณะเฉพาะที่สุดก็คือ พกแล็ปท็อปที่เป็นเอกลักษณ์หรือที่ผู้อื่นไม่ค่อยเห็น ไม่สำคัญว่าพวกเขาไปที่ใด พวกเขานั่งอยู่ตรงนั้นพร้อมแล็ปท็อปของพวกเขาแล้วก็เปิดขึ้นมาเพื่อตรวจสอบข้อมูลบนหน้าเว็บต่างๆ และรับมือกับปัญหาต่างๆ ด้วยคอมพิวเตอร์ ทั้งหมดนั้นด้วยความถนัดเชิงวิชาชีพ สรุปสั้นๆ ก็คือ มุมมองเชิงวิชาชีพ บุคลิกประจำตัว การพูด และกิริยามารยาทคือสิ่งที่พวกเขาเรียกร้องต่อตัวเองและอวดตนต่อหน้าผู้อื่น เพียรพยายามที่จะเป็นมืออาชีพในอุตสาหกรรมวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ หลังจากเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้า ในที่สุดแล้วคนเหล่านี้ก็ทำให้อุดมคติของตนเป็นจริงขึ้นมาและปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ พวกเขาศึกษาเทคโนโลยีและปรับปรุงทักษะของตนอยู่เป็นนิตย์ ระบุและแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างขะมักเขม้น โดยมีจุดประสงค์ที่จะตามให้ทันแนวโน้มในอุตสาหกรรมรวมทั้งการส่งเสริมและการเผยแพร่ข้อมูลใหม่ๆ ในสาขาของตน คนเช่นนี้มีความสนใจเฉพาะและความเข้าใจในทักษะเชิงวิชาชีพที่เฉพาะเจาะจง ทำให้พวกเขาเป็นมืออาชีพและผู้เชี่ยวชาญ ด้วยเหตุนี้อุดมคติของพวกเขาก็คือการเป็นมืออาชีพ และพวกเขาก็หวังว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะวางพวกเขาไว้ในตำแหน่งที่สำคัญ เคารพนับถือพวกเขา และวางใจในตัวพวกเขา แน่นอนว่าในพระนิเวศของพระเจ้าและในช่วงเวลาปัจจุบัน จริงๆ แล้วคนส่วนใหญ่เช่นนี้ได้ใช้จุดแข็งของตนและสัมฤทธิ์อุดมคติของตนแล้ว อย่างไรก็ตาม ขณะที่กำลังทำให้อุดมคติของตนเป็นจริงขึ้นมานั้น คนเหล่านี้ได้พิจารณาหรือไม่ว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือกำลังไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติของตนเองในการทำงานของตน? ไม่ชัดเจนโดยสิ้นเชิงใช่ไหม? งานที่พวกเขามีส่วนร่วมนั้นเป็นเรื่องเฉพาะทาง ซับซ้อน และต้องใช้ความมานะอุตสาหะ อย่างไรก็ตาม ทักษะที่พวกเขามีนั้นยังห่างไกลข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้าสำหรับงานนี้อยู่มาก ดังนั้นขณะที่กำลังไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติของตนเองและกำลังทำหน้าที่ของตน พวกเขาจึงรู้สึกถูกยับยั้งและถูกควบคุมอยู่บ้าง คนเหล่านี้อาจรู้สึกถึงความเก็บกดในระดับหนึ่งเมื่อเผชิญกับความจริงต่างๆ แห่งการเชื่อในพระเจ้าและหลักธรรมแห่งการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากอุดมคติที่พวกเขามีในหัวใจของตน คนส่วนหนึ่งเป็นเช่นนี้
มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเขามุ่งมาดปรารถนาที่จะเป็นผู้นำในการประกาศข่าวประเสริฐ เป็นที่หนึ่ง รวมทั้งเป็นผู้นำและเป็นเลิศในคริสตจักรใดๆ ที่พวกเขาเป็นส่วนหนึ่ง ไม่พอใจเลยที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แม้พวกเขาทำหน้าที่และดำเนินงานของตน แต่การไล่ตามไขว่คว้าของพวกเขาก็เป็นเรื่องของอุดมคติของตนเองและเป้าหมายที่พวกเขาวางแผนและวาดมโนภาพไว้ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความเชื่อในพระเจ้าหรือความจริง เมื่อเป้าหมายและอุดมคติเหล่านี้ถูกเปิดโปงและติดป้ายกำกับ หรือพวกเขาเผชิญกับอุปสรรคกีดขวางบางอย่าง และคนเหล่านี้ตระหนักว่าอุดมคติของตนไม่สามารถเป็นจริงขึ้นมาได้และคุณค่าของอุดมคติเหล่านี้ไม่สามารถแสดงให้เห็นได้ พวกเขาก็รู้สึกเก็บกดและไม่พึงพอใจเป็นพิเศษ พวกเขาหลายคนปรารถนาที่จะได้รับการยืนยันและการยืนยันความถูกต้องขณะที่กำลังไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติของตน เมื่อพวกเขาไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้ หรือเมื่อต้นทุนจากความพยายามของพวกเขาไม่นำผลตอบแทนแบบทันด่วนมาให้ พวกเขาก็รู้สึกว่านั่นไม่ควรค่าเลย ไม่เป็นธรรม และดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเก็บกด พวกเขาไม่ได้แสดงพฤติกรรมดังกล่าวออกมาให้เห็นหรอกหรือ? (แสดงให้เห็น พวกเขาแสดงพฤติกรรมดังกล่าวออกมาให้เห็น) ท่ามกลางพวกที่เกี่ยวข้องกับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ มีบางคนที่ต้องการเป็นผู้ประกาศหรือผู้ประกาศข่าวประเสริฐที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและน่าเป็นแบบอย่างมาตลอด เมื่อพวกเขาได้ยินคนนั้นคนนี้ ผู้ประกาศหรือผู้ประกาศข่าวประเสริฐที่มีชื่อเสียง พวกเขาก็เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและความหวังว่าวันหนึ่งพวกเขาก็สามารถเป็นเช่นนี้ได้เช่นกัน โดยได้รับการรำลึกถึงและการสรรเสริญจากคนรุ่นอนาคต และเป็นที่จดจำโดยพระเจ้า พวกเขาต้องการประกาศในหนทางอันเป็นอุดมคติของตนเองอยู่เสมอ โดยใช้อุดมคติเป็นเป้าหมายและแรงจูงใจของตนที่จะเป็นผู้ประกาศและได้รับชื่อเสียงหรือเป็นที่จดจำโดยคนรุ่นอนาคตในพระนิเวศของพระเจ้า นี่คืออุดมคติของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ในพระนิเวศของพระเจ้ามีข้อกำหนดที่เข้มงวดสำหรับงานใดๆ รวมทั้งหลักธรรมซึ่งพระเจ้าตรัสบอกผู้คนให้ใช้เพื่อทำงานนี้ ด้วยเหตุนี้บุคคลเหล่านี้จึงรู้สึกเก็บกดเพราะพวกเขาไม่สามารถเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐประเภทที่พวกเขาทำให้เป็นอุดมคติได้ พวกเขามักจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลและข้อบังคับ และมีการติดตามงานและการสอบสวนจากผู้นำและคนทำงานเกี่ยวกับงานของตน ยังมีพวกที่คอยไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติของตนเรื่อยไปหลังจากเข้ามาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าอีกด้วย เพราะพวกเขามีทักษะพิเศษหรือความสามารถพิเศษ ตัวอย่างเช่น ท่ามกลางบรรดาผู้ที่เป็นนักแสดง บางคนมีทักษะในการแสดงและมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับเทคนิคการแสดง พวกเขามุ่งมาดปรารถนาที่จะเป็นนักแสดงในอุดมคติ โดยหวังว่าวันหนึ่งพวกเขาอาจจะเป็นดังเช่นนักแสดงผู้มีชื่อเสียงซึ่งได้รับความนิยมท่ามกลางผู้ไม่มีความเชื่อ ได้แก่ คนใหญ่โต ดารา เช่นกษัตริย์และราชินี อย่างไรก็ตาม ในพระนิเวศของพระเจ้า อุปนิสัยและการสำแดงถึงความเสื่อมทรามในแง่มุมนี้ถูกเปิดโปงอยู่เสมอ และมีข้อกำหนดและหลักธรรมที่เฉพาะเจาะจงสำหรับนักแสดง แม้ภายหลังจากได้รับกิตติศัพท์ในฐานะนักแสดงอยู่บ้าง พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ผู้คนเคารพบูชาและติดตาม ซึ่งนำพวกเขาไปสู่การรู้สึกเก็บกด พวกเขาพูดว่า “พระนิเวศของพระเจ้าเป็นปัญหา พวกเขาจำกัดห้ามผู้คนในทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เสมอ มีอะไรผิดหรือกับการติดตามตัวอย่างของบุคคลที่มีชื่อเสียง? มีอะไรผิดหรือกับการแต่งกายอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะ กับบุคลิกภาพและข้อกำหนดเล็กน้อย?” เนื่องจากข้อกำหนดสำหรับเครื่องแต่งกายของนักแสดงและการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจงในพระนิเวศของพระเจ้า ในสายตาของพวกเขาจึงมีความขัดแย้งและความเข้ากันไม่ได้ระหว่างข้อกำหนดเหล่านี้กับอุดมคติที่จะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและคนใหญ่โตของพวกเขาอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงรู้สึกเสียใจอย่างดิ่งลึกในหัวใจของตน โดยคิดว่า “เหตุใดการทำให้อุดมคติของฉันเป็นจริงขึ้นมาจึงเป็นเรื่องยากเหลือเกิน? เหตุใดฉันจึงเผชิญกับอุปสรรคกีดขวางในพระนิเวศของพระเจ้าในทุกโอกาส?” เมื่อพวกเขามีประสบการณ์กับความคิดดังกล่าวหรือไม่เป็นไปตามความคาดหวังเหล่านี้ พวกเขาก็รู้สึกเก็บกด เบื้องหลังความรู้สึกเก็บกดนี้คือการเชื่อของพวกเขาว่าอุดมคติของตนนั้นถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและมีคุณค่า พวกเขายังเชื่ออีกด้วยว่าไม่มีอะไรผิดกับการไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติของตน เป็นสิทธิของพวกเขาที่จะทำเช่นนั้น และด้วยเหตุนี้ภาวะอารมณ์แบบข่มปรามจึงเริ่มปรากฏออกมาภายในตัวพวกเขา ตัวอย่างเช่น ผู้กำกับภาพยนตร์บางคนรู้สึกว่า ภายหลังจากกำกับภาพยนตร์หลายเรื่องพวกเขาได้รับประสบการณ์ไปมากทีเดียว พวกเขาเชื่อว่าภาพยนตร์ของพวกเขาคู่ควรกับการนำไปแสดง และมีการปรับปรุงในแง่ของการถ่ายภาพยนตร์ การตัดต่อ การแสดงของนักแสดง และการบริหารจัดการที่คล้ายๆ กันทุกรูปแบบ เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อก่อน หลังจากได้รับคำแนะนำจากเบื้องบน ภาพยนตร์ของพวกเขาในท้ายที่สุดก็ได้มาตรฐานที่ถูกต้องเหมาะสมและเข้าฉายตรงเวลา เรื่องนี้ดูเหมือนยืนยันว่าการไล่ตามไขว่คว้าการเป็นผู้กำกับที่มีคุณสมบัติเหมาะสมของพวกเขานั้นเป็นความมุ่งมาดปรารถนาที่เหมาะสม ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม และเป็นเรื่องจำเป็น อย่างไรก็ตาม ขณะที่กำลังไล่ตามไขว่คว้าเป้าหมายที่จะเป็นผู้กำกับที่มีคุณสมบัติเหมาะสมของพวกเขานั้น แนวคิด ทัศนคติ และการกระทำที่ไร้หลักธรรมบางอย่างของพวกเขามักจะถูกปฏิเสธ ถูกล้มล้าง หรือไม่เป็นที่รับรู้ พวกเขาอาจถึงขั้นเผชิญกับการตัดแต่งบ่อยครั้ง นี่เป็นสำนึกถึงความเก็บกดลึกในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาก็พูดว่า “เหตุใดการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ในพระนิเวศของพระเจ้าจึงเป็นเรื่องยากเหลือเกิน? ดูที่ผู้กำกับภาพยนตร์เหล่านั้นในโลกของผู้ไม่มีความเชื่อสิ พวกเขาช่างน่าหลงใหลเสียจริง พวกเขามีคนเสิร์ฟชาให้พวกเขา รินเครื่องดื่มให้พวกเขา และถึงขั้นล้างเท้าพวกเขา ในพระนิเวศของพระเจ้า การเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ขาดพร่องสถานะและการแต่งตัวสวยงาม และไม่มีใครคำนึงถึงหรือเลื่อมใสพวกเรา เหตุใดพวกเราจึงถูกตัดแต่งตลอดเวลา? ไม่สำคัญว่าพวกเราทำสิ่งใด นั่นไม่เคยถูกต้อง ช่างเป็นการข่มปรามเสียจริง! พวกเรามีแนวคิด ทัศนคติ และความสามารถเชิงวิชาชีพของตนเอง แล้วเหตุใดพวกเราจึงถูกตัดแต่งตลอดเวลา? การไล่ตามไขว่คว้าแนวคิดของตนเองเป็นเรื่องผิดหรือไม่ หรือเป็นไปได้หรือไม่ว่าการไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติของพวกเรานั้นไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม? เหตุใดการทำให้อุดมคติของพวกเราเป็นจริงขึ้นมาจึงเป็นเรื่องยากเหลือเกิน? เป็นการข่มปรามเหลือเกิน!” ไม่สำคัญว่าพวกเขาคิดถึงการนี้ในหนทางใด พวกเขายังคงรู้สึกเก็บกด ยังมีนักร้องบางคนที่พูดว่า “ในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันไม่ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใดนอกไปจากการเป็นนักร้องที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ขับร้องได้ดี อวดสไตล์ของตัวเอง และเป็นที่รักของทุกคนที่รับฟังฉัน” อย่างไรก็ตาม พระนิเวศของพระเจ้ามักจะวางข้อกำหนดและหลักธรรมนานาสำหรับการขับร้องเพลงสรรเสริญ และนักร้องเหล่านี้มักจะถูกตัดแต่งด้วยเหตุที่ละเมิดข้อกำหนดเหล่านั้นอยู่เนืองนิจ เวลาที่พวกเขาไม่ได้กำลังถูกตัดแต่ง พวกเขารู้สึกว่าสามารถทำให้อุดมคติของตนเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างราบรื่น แต่เวลาที่พวกเขาถูกตัดแต่งและมีประสบการณ์กับอุปสรรคขัดขวางไม่กี่อย่าง พวกเขารู้สึกว่าความพยายามและความสำเร็จของตนในระหว่างช่วงเวลานั้นดูเหมือนถูกทำให้ไร้ผลไปแล้ว และพวกเขาก็กลับมาที่จุดเริ่มต้น การนี้ทำให้เกิดความรู้สึกถึงความเก็บกดลงในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาก็พูดว่า “อ้า การทำให้อุดมคติของฉันเป็นจริงขึ้นมาเป็นเรื่องยากอย่างแท้จริง! โลกนั้นกว้าง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีที่สำหรับฉัน ในพระนิเวศของพระเจ้าก็เป็นเหมือนกัน เหตุใดการไล่ตามไขว่คว้าอาชีพการงานของฉันเองจึงเป็นเรื่องยากเหลือเกิน? เหตุใดจึงเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะทำสิ่งทั้งหลายที่ฉันต้องการทำ? ไม่มีใครให้ไฟเขียวกับฉัน ฉันเผชิญกับอุปสรรคกีดขวางในทุกโอกาสและกำลังถูกตัดแต่งอยู่เนืองนิตย์ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายและมีลักษณะข่มปรามอย่างแท้จริง! ในโลกของผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาวางอุบายและต่อสู้กันตลอดเวลา รวมทั้งมีอุปสรรคกีดขวางต่ออาชีพการงานทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกเก็บกด แต่เหตุใดฉันจึงยังคงรู้สึกเก็บกดเมื่อเข้ามาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าพร้อมด้วยอุดมคติของฉัน?” พวกที่มีส่วนร่วมกับงานต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้ามักจะเผชิญกับอุปสรรคขัดขวางในขั้นตอนของการไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติของตน ถูกทำให้ไร้ผลอยู่เนืองนิจ ถูกตัดแต่งบ่อยครั้ง และมักจะล้มเหลวที่จะรับการระลึกได้ หลังจากได้รับประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้อย่างตั้งรับ พวกเขาก็ตกอยู่ในจิตวิญญาณที่ต่ำโดยไม่รู้ตัว รู้สึกดังเช่นชีวิตของตนก็อาจจะจบเห่ไปด้วยและเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้อุดมคติของตนเป็นจริงขึ้นมา ก่อนมาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าพวกเขาเคยคิดว่า “ฉันเก็บอุดมคติและความมุ่งมาดปรารถนาของตัวเองไว้กับฉัน ฉันมีความอยากของตัวเอง และในพระนิเวศของพระเจ้าก็มีความเป็นไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด ฉันสามารถเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ นักแสดง นักเขียนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม หรือแม้กระทั่งนักเต้น นักร้อง หรือนักดนตรีที่มีคุณสมบัติเหมาะสม” ขณะที่พวกเขาไม่สามารถแสดงให้เห็นความสามารถพิเศษและไม่สามารถสัมฤทธิ์อุดมคติของตน พวกเขาเชื่อว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะจัดเตรียมเวทีของพวกเขาเองให้กับพวกเขา โดยมีพื้นที่กว้างใหญ่ที่ซึ่งอุดมคติ ความฝัน และความมุ่งมาดปรารถนาของพวกเขาอาจกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ พวกเขารู้สึกว่าเวทีในพระนิเวศของพระเจ้านั้นใหญ่เป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปหลายปีเหลือเกิน พวกเขาก็สงสัยว่า “เหตุใดฉันจึงรู้สึกเหมือนเวทีกำลังหดตัวใต้เท้าของฉัน? เหตุใดโลกของฉันจึงหดตัว? ความเป็นไปได้ในการทำให้อุดมคติของฉันเป็นจริงขึ้นมาดูเหมือนห่างไกลและถึงขั้นเป็นไปไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ เกิดอะไรขึ้น?” ณ จุดนี้ คนเหล่านี้จะยังไม่ละทิ้งอุดมคติของตนและจะไม่ตั้งคำถามกับความถูกต้องของอุดมคติและความอยากเหล่านี้ พวกเขายังคงทำให้อุดมคติและความอยากเหล่านี้เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของตน ด้วยเหตุนี้ภาวะอารมณ์แบบข่มปรามของผู้คนจึงไปพร้อมกับพวกเขาทุกหนแห่ง ไม่ว่าขณะที่กำลังไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากของตนหรือขณะที่พวกเขาทำหน้าที่ที่แท้จริงของตน สำหรับพวกที่เก็บภาวะอารมณ์แบบข่มปรามเอาไว้หรือผู้ที่ไม่สามารถปล่อยมือจากภาวะอารมณ์แบบข่มปรามเหล่านี้ ความขัดแย้งระหว่างสองพวกนี้ไม่สามารถปรับให้เข้ากันได้ พวกเขาทำให้สำนึกถึงความเก็บกดเป็นทั้งการไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากและการปฏิบัติหน้าที่ของตน ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไรผู้คนก็ปรับตัวเองอยู่เป็นนิตย์ ไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความฝันของตนอยู่เป็นนิตย์ขณะที่กำลังทำหน้าที่ของตน เจ้าก็พูดได้เช่นกันว่าผู้คนทำหน้าที่ของตนด้วยท่าที่ที่ขัดแย้ง รู้สึกเก็บกดและลังเลตลอดเวลา แต่เพื่อที่จะทำให้อุดมคติและความอยากของตนเป็นจริงขึ้นมา เพื่อแสดงให้เห็นคุณค่าของตนและไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากเหล่านี้ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะทำหน้าที่ของตน พวกเขาไม่แน่ใจว่าเหตุใดพวกเขาจึงกำลังทำหน้าที่นั้น พวกเขากำลังเสาะแสวงที่จะได้รับสิ่งใด พวกเขากำลังพยายามสัมฤทธิ์จุดประสงค์ใด กำลังพยายามไล่ตามไขว่คว้าจุดประสงค์ใด หรือกำลังพยายามทำให้จุดประสงค์ใดเป็นจริงขึ้นมา นั่นกลายเป็นไม่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับพวกเขา และถนนข้างหน้าก็ดูเหมือนไม่ชัดเจนมากขึ้นทุกที ในสภาวะเช่นนั้น การที่พวกเขาจะแก้ไขหรือปล่อยมือจากภาวะอารมณ์แบบข่มปรามของตนไม่เป็นเรื่องยากหรอกหรือ? (เป็นเรื่องยาก)
เมื่อได้สามัคคีธรรมมาถึงจุดนี้แล้ว พวกเรามาสามัคคีธรรมเกี่ยวกับวิธีที่ผู้คนควรเข้าใจและรับรู้สัมพันธภาพระหว่างอุดมคติและความอยากของตนกับหน้าที่ของตนกันต่อเถิด ก่อนอื่น พวกเรามาพูดถึงอุดมคติกันเถิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุดมคติของคนเหล่านั้นที่พวกเรากล่าวถึงก่อนหน้านี้ การที่ผู้คนจะไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติของตนเองเป็นจริงขึ้นมาในพระนิเวศของพระเจ้าเป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่? (ไม่ ไม่ถูกต้องเหมาะสม) ธรรมชาติของประเด็นปัญหานี้เป็นอย่างไร? เหตุใดจึงไม่ถูกต้องเหมาะสม? (ด้วยการไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติของตนเป็นจริงขึ้นมาขณะที่กำลังทำหน้าที่ของตน พวกเขากำลังอวดตัวและสถาปนาอาชีพการงานของตนเอง แทนที่จะไล่ตามไขว่คว้าการลุล่วงหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง) จงบอกเราที การไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติและความอยากของคนเราเป็นจริงขึ้นมาไม่ถูกควรใช่หรือไม่? (ใช่แล้ว ไม่ถูกควร) หากพวกเจ้ากล่าวว่าไม่ถูกควร นี่ลิดรอนสิทธิมนุษยชนไปจากคนเราหรือไม่? (ไม่ ไม่ลิดรอน) เช่นนั้นอะไรคือปัญหา? (เมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้า พวกเขาควรไล่ตามเสาะหาความจริงและเดินตามเส้นทางที่พระวจนะของพระเจ้าชี้บอกให้พวกเขาไล่ตามเสาะหา หากพวกเขาเพียงไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติและความอยากของตนเองเป็นจริงขึ้นมาเท่านั้น พวกเขาย่อมกำลังไล่ตามไขว่คว้าสิ่งที่เนื้อหนังของตนอยาก ซึ่งเป็นอุดมการณ์ที่ซาตานปลูกฝัง) ในโลกนี้ การไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติของตนเองเป็นจริงขึ้นมาถือว่าถูกควร ไม่ว่าเจ้าไล่ตามเสาะหาอุดมคติใด นั่นย่อมดีอยู่แล้วตราบที่อุดมคติเหล่านั้นถูกกฎหมายและไม่ก้าวล้ำขอบเขตทางศีลธรรม ไม่มีใครตั้งคำถามอะไร และเจ้าก็ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของความถูกผิด เจ้าไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใดก็ตามที่เจ้าอาจชอบเป็นการส่วนตัว และหากเจ้าได้สิ่งนั้น หากเจ้าไปถึงเป้าหมายของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ประสบความสำเร็จ แต่หากเจ้าพลาด หากเจ้าล้มเหลว นั่นก็เป็นกิจธุระของเจ้าเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้าเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้า สถานที่พิเศษ ไม่ว่าเจ้าเก็บอุดมคติและความอยากใดไว้กับตัวเจ้า เจ้าควรปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น? การไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยาก ไม่ว่าเจ้าไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใดเป็นพิเศษ—พวกเรามาพูดถึงตัวการไล่ตามเสาะหาเองกัน—แนวทางปฏิบัติ และเส้นทางที่การไล่ตามไขว่คว้าดังกล่าวใช้ ล้วนวนเวียนอยู่กับการถือตัว ผลประโยชน์ของตัวเอง สถานะ และความมีหน้ามีตา การไล่ตามไขว่คว้าดังกล่าววนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อผู้คนไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติของตนเป็นจริงขึ้นมา ผู้รับประโยชน์เพียงผู้เดียวก็คือตัวพวกเขาเอง การที่คนคนหนึ่งจะไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติของตนเป็นจริงขึ้นมาเพื่อประโยชน์แห่งสถานะ ความมีหน้ามีตา ความฟุ้งเฟ้อ และผลประโยชน์ทางกายภาพนั้นใช่เรื่องยุติธรรมหรือไม่? (ไม่ ไม่ใช่เรื่องยุติธรรม) เพื่อประโยชน์แห่งอุดมคติ ความคิด และความอยากส่วนบุคคลและเป็นการส่วนตัว วิธีการและแนวทางทั้งหลายที่พวกเขานำมาใช้ล้วนเป็นห่วงแต่เรื่องของตัวเองและมุ่งความสนใจไปที่ผลตอบแทนส่วนบุคคล หากพวกเราเปรียบเทียบสิ่งเหล่านั้นกับความจริง สิ่งเหล่านั้นย่อมทั้งไม่ยุติธรรมและไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ผู้คนควรปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้น นั่นไม่แน่นอนหรอกหรือ? (ใช่ แน่นอน) พวกเขาควรปล่อยมือ ปล่อยมือจากการถือตัว ปล่อยมือจากอุดมคติและความอยากส่วนบุคคล การนี้เห็นได้จากมุมมองของแก่นแท้ของเส้นทางที่ผู้คนใช้—การไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติและความอยากของตนเป็นจริงขึ้นมาไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก การกระทำเช่นนี้ถูกทำให้ไม่เป็นผล นั่นคือแง่มุมหนึ่ง ทีนี้พวกเรามาเสวนาอีกแง่มุมหนึ่งกัน พระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งก็คือคริสตจักร เป็นสถานที่พบปะประเภทไหน ไม่ว่าชื่อของสถานที่แห่งนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม? นี่เป็นสถานที่ประเภทไหนกัน? อะไรคือแก่นแท้ของคริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้า? อันดับแรกเลยก็คือ จากมุมมองเชิงทฤษฎี นั่นไม่ใช่โลก สังคม บริษัทหรือองค์กรของมนุษย์ใดๆ ในสังคม สถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกหรือของมวลมนุษย์ เหตุใดสถานที่แห่งนี้จึงถูกสถาปนาขึ้น? อะไรคือเหตุผลสำหรับการปรากฏและการดำรงอยู่ของสถานที่แห่งนี้? เหตุผลนั้นเป็นเพราะพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ใช่ไหม? (ใช่) คริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้า ดำรงอยู่เพราะการสถิตของพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ ดังนั้นคริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้า ใช่สถานที่ที่จะอวดความสามารถพิเศษส่วนบุคคลและทำให้อุดมคติ ความมุ่งมาดปรารถนา และความอยากส่วนบุคคลลุล่วงหรือไม่? (ไม่ ไม่ใช่) เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่ใช่ คริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้า ดำรงอยู่เพราะการสถิตของพระเจ้าและการปรากฏอยู่แห่งพระราชกิจของพระองค์ เมื่อเป็นเช่นนั้น นั่นจึงไม่ใช่สถานที่ที่จะแสดงให้เห็นความสามารถพิเศษส่วนบุคคลหรือทำให้อุดมคติ ความมุ่งมาดปรารถนา และความอยากส่วนบุคคลเป็นจริงขึ้นมา สถานที่แห่งนี้ไม่วนเวียนอยู่กับชีวิตในเนื้อหนัง ความสำเร็จในอนาคตทางเนื้อหนัง ชื่อเสียงและโชคลาภ สถานะ ความมีหน้ามีตา และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน—สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ทำงานเพื่อสิ่งเหล่านี้ และสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้ปรากฏออกมาหรือดำรงอยู่เพราะชื่อเสียงทางวัตถุ สถานะ ความชื่นบานยินดี หรือความสำเร็จในอนาคตของมนุษย์ แล้วนี่เป็นสถานที่ประเภทไหนกัน? เนื่องจากคริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้า ถูกสถาปนาขึ้นเพราะการสถิตของพระเจ้าและการปรากฏอยู่แห่งพระราชกิจของพระองค์ คริสตจักรไม่ควรที่จะดำเนินการตามน้ำพระทัยพระเจ้า กล่าวประกาศพระวจนะของพระองค์ และเป็นพยานให้พระองค์หรอกหรือ? (ควรที่จะทำเช่นนั้น) นี่ไม่ใช่ความจริงหรอกหรือ? (ใช่) คริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้า ดำรงอยู่เพราะการสถิตของพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ ดังนั้นคริสตจักรจึงสามารถทำได้เพียงดำเนินการตามน้ำพระทัยพระเจ้า กล่าวประกาศพระวจนะของพระองค์ และเป็นพยานให้พระองค์เท่านั้น คริสตจักรไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสถานะ ชื่อเสียง ความสำเร็จในอนาคต หรือผลประโยชน์ส่วนบุคคลอื่นใด หลักธรรมที่คอยควบคุมงานทั้งหมดซึ่งกระทำไปโดยคริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้า ควรมีพื้นฐานอยู่บนพระวจนะของพระเจ้า ข้อกำหนดของพระองค์ และคำสอนของพระองค์ กล่าวอย่างกว้างๆ ก็คือ พูดได้ว่าคริสตจักรนั้นมุ่งสนใจที่น้ำพระทัยของพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์เป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มุ่งสนใจที่การขยายขอบเขตข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร รวมทั้งการกล่าวประกาศและเป็นพยานให้พระวจนะของพระองค์ นั่นถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง) นอกจากการดำเนินการตามน้ำพระทัยพระเจ้า การกล่าวประกาศพระวจนะของพระองค์ และการเป็นพยานให้พระองค์ มีบางสิ่งหรือไม่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นต่อคริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้า? (นี่คือสถานที่ที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ รับการชำระให้บริสุทธิ์ และได้มาซึ่งความรอด) เจ้าพูดได้ตรงประเด็นทีเดียว คริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้า คือสถานที่ที่น้ำพระทัยของพระเจ้าได้รับการดำเนินการจนเสร็จสิ้น พระวจนะของพระองค์ได้รับการกล่าวประกาศ พระองค์ทรงมีพยานแล้ว และที่สำคัญที่สุดก็คือ นี่เป็นสถานที่ที่ผู้คนสามารถรับความรอดไว้ เจ้าจำการนั้นได้ไหม? (จำได้ ข้าพระองค์จำได้) จงอ่านที (คริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้า คือสถานที่ที่น้ำพระทัยของพระเจ้าได้รับการดำเนินการจนเสร็จสิ้น พระวจนะของพระองค์ได้รับการกล่าวประกาศ พระองค์ทรงมีพยานแล้ว และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรรับการชำระให้บริสุทธิ์และความรอดไว้) คริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้า คือสถานที่ที่น้ำพระทัยของพระเจ้าได้รับการดำเนินการจนเสร็จสิ้น พระวจนะของพระองค์ได้รับการกล่าวประกาศ พระองค์ทรงมีพยานแล้ว และประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรรับการชำระให้บริสุทธิ์และความรอดไว้ นี่คือสถานที่เช่นนั้น ในสถานที่เช่นนี้ มีงานหรือโครงการใดหรือไม่ที่ตรงกับการทำให้อุดมคติและความอยากส่วนบุคคลลุล่วง โดยไม่สำคัญว่างานหรือโครงการดังกล่าวอาจเป็นสิ่งใด? ไม่มีงานหรือโครงการที่รับใช้จุดประสงค์ในการทำให้อุดมคติและความอยากส่วนบุคคลลุล่วง และไม่มีแง่มุมใดของงานหรือโครงการเหล่านี้ดำรงอยู่สำหรับการทำให้อุดมคติและความอยากส่วนบุคคลเป็นจริงขึ้นมา ดังนั้นอุดมคติและความอยากส่วนบุคคลควรดำรงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? (ไม่ควร) ไม่ควร เพราะอุดมคติและความอยากส่วนบุคคลขัดแย้งกับงานใดๆ ที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะทำในคริสตจักร อุดมคติและความอยากส่วนบุคคลขัดแย้งกับงานใดๆ ที่กระทำไปในคริสตจักร ขัดแย้งกับความจริง เบี่ยงเบนจากน้ำพระทัยของพระเจ้า จากการกล่าวประกาศพระวจนะของพระองค์ จากการเป็นพยานให้พระองค์ และจากพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์และความรอดสำหรับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ไม่ว่าอุดมคติของคนเราจะเป็นอย่างไร ตราบที่อุดมคติเหล่านั้นเป็นอุดมคติและความอยากส่วนบุคคล ก็ย่อมจะขัดขวางไม่ให้ผู้คนติดตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และขัดขวางหรือกระทบต่อการกล่าวประกาศพระวจนะของพระองค์และการเป็นพยานให้พระองค์ แน่นอนว่าตราบที่อุดมคติเหล่านั้นเป็นอุดมคติและความอยากส่วนบุคคล ก็ย่อมไม่สามารถอำนวยให้ผู้คนได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และความรอดไว้ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของความขัดแย้งระหว่างทั้งสองด้าน แต่สองด้านนี้โดยพื้นฐานแล้ววิ่งสวนทางกันด้วย ขณะที่กำลังไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติและความอยากของเจ้าเองเป็นจริงขึ้นมา เจ้าเป็นอุปสรรคขัดขวางการดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระเจ้า งานแห่งการกล่าวประกาศพระวจนะของพระองค์และการเป็นพยานให้พระองค์ ตลอดจนความรอดของผู้คนและแน่นอนความรอดของเจ้าเอง สรุปสั้นๆ ก็คือ ไม่สำคัญว่าอุดมคติของผู้คนเป็นอย่างไร อุดมคติเหล่านี้ย่อมจะไม่ติดตามน้ำพระทัยของพระเจ้าและไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่เป็นจริงของการนบนอบพระเจ้าโดยสมบูรณ์ เมื่อผู้คนไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากของตน จุดประสงค์สูงสุดของพวกเขาไม่ใช่เพื่อเข้าใจความจริง หรือเข้าใจวิธีวางตน วิธีสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า และวิธีปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีและลุล่วงบทบาทของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไม่ใช่เพื่อให้ผู้คนมีความยำเกรงและการนบนอบที่แท้จริงต่อพระเจ้า ตรงกันข้าม ยิ่งอุดมคติและความอยากของคนเราถูกทำให้เป็นจริงขึ้นมามากขึ้นเท่าใด คนเราก็ยิ่งล่องลอยห่างออกไปจากพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และคนเราก็ยิ่งเข้าใกล้ซาตานมากขึ้น ในทำนองเดียวกัน ยิ่งคนเราไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติของตนและสัมฤทธิ์อุดมคติเหล่านั้นมากขึ้นเท่าใด หัวใจของคนเราก็ยิ่งกลายเป็นกบฏต่อพระเจ้ามากขึ้น และคนเราก็ยิ่งเคลื่อนห่างออกไปจากพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และในท้ายที่สุดเมื่อคนเราสามารถทำให้อุดมคติของตนลุล่วงตามแต่ตนจะปรารถนารวมทั้งทำให้ความอยากของตนเป็นจริงขึ้นมาและตอบสนองความอยากของตน พวกเขาก็ยิ่งชอบดูถูกพระเจ้า อธิปไตยของพระองค์ และทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาอาจถึงขั้นเดินบนเส้นทางของการไม่ยอมรับ การต่อต้าน และการยืนอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า นี่คือจุดจบสุดท้าย
หลังจากเข้าใจว่าพระนิเวศของพระเจ้าหรือคริสตจักรคืออะไร ผู้คนก็ควรเข้าใจด้วยว่าจะนำท่าทีและจุดยืนใดมาใช้ เนื่องจากพวกเขาดำรงชีวิตและมีชีวิตรอดในพระนิเวศของพระเจ้าในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของพระนิเวศของพระเจ้า บางคนพูดไว้ว่า “พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้พวกเราไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติของพวกเราเองเป็นจริงขึ้นมาหรือทำให้ความอยากของพวกเราเองเป็นจริงขึ้นมา” เราไม่ได้กำลังจำกัดห้ามไม่ให้พวกเจ้าไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติของตนเอง เรากำลังบอกเจ้าถึงวิธีดำรงชีวิตอย่างถูกต้องเหมาะสมในพระนิเวศของพระเจ้า วิธีแสดงจุดยืนที่ถูกควรและลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างถูกต้องเหมาะสม หากเจ้ายืนกรานที่จะไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติของตนเองเป็นจริงขึ้นมา เชนนั้นเราก็ซื่อตรงเปิดเผยได้และพูดว่า โปรดผละจากไป! คริสตจักรไม่ใช่สถานที่ให้เจ้าไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติของตนเป็นจริงขึ้นมา ภายนอกพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าทำอะไรก็ได้ในอุดมคติที่เจ้าต้องการทำรวมทั้งไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความมุ่งมาดปรารถนาของตนเอง ทั้งหมดที่เจ้าต้องทำคือผละจากพระนิเวศของพระเจ้า และจะไม่มีใครแทรกแซงสิ่งที่เจ้าทำ อย่างไรก็ตาม คริสตจักรหรือพระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมให้เจ้าไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติของตนเป็นจริงขึ้นมา กล่าวอย่างชัดเจนมากขึ้นก็คือ เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากของตนเองในสถานที่แห่งนี้ หากเจ้าอยู่ต่อในพระนิเวศของพระเจ้าหรือคริสตจักรเป็นเวลาแม้กระทั่งหนึ่งวัน จงอย่าแม้กระทั่งคิดถึงการไล่ตามไขว่คว้าหรือทำให้อุดมคติของตนเป็นจริงขึ้นมา หากเจ้าพูดว่า “ฉันละทิ้งอุดมคติของตัวเอง ฉันเต็มใจที่จะทำหน้าที่ของฉันตามข้อกำหนดของพระเจ้าและเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติเหมาะสม” เช่นนั้นนี่ก็น่าจะยอมรับได้ เจ้าสามารถทำหน้าที่ของตนตามสถานที่ของตนและตามกฎในพระนิเวศของพระเจ้า แต่หากเจ้ายืนกรานที่จะไล่ตามไขว่คว้าและทำให้อุดมคติของตนเป็นจริงขึ้นมา มุ่งเป้าหมายที่จะไม่ดำเนินชีวิตของตนอย่างสูญเปล่า เช่นนั้นเจ้าก็สามารถละทิ้งหน้าที่ของตนและผละไปจากพระนิเวศของพระเจ้าได้ หรือเจ้าสามารถเขียนคำกล่าวว่า “ฉันขอถอนตัวจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์โดยสมัครใจ เพื่อไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติและความอยากของตัวเองเป็นจริงขึ้นมา โลกนั้นกว้าง และ ณ ที่นั้นต้องมีสถานที่สักแห่งสำหรับฉัน ลาก่อน” ในหนทางนั้น เจ้าสามารถผละจากไปในลักษณะที่ถูกควรและเหมาะควร รวมทั้งไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติของตนเองได้ อย่างไรก็ตาม หากเจ้าพูดว่า “ฉันสู้ละทิ้งอุดมคติของตัวเอง ลุล่วงหน้าที่ของฉันในพระนิเวศของพระเจ้า เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และไล่ตามเสาะหาความรอดเสียดีกว่า” เช่นนั้นพวกเราย่อมสามารถหาหลักความเห็นร่วมกันระหว่างพวกเราได้ ในเมื่อเจ้าปรารถนาที่จะยังคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างสันติสุขในฐานะสมาชิก เจ้าก็ควรเรียนรู้วิธีเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ดีและลุล่วงหน้าที่ของเจ้าตามตำแหน่งแห่งที่ของเจ้าเสียก่อน ในพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าย่อมจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ทำได้ดีสมกับชื่อ สิ่งมีชีวิตทรงสร้างคืออัตลักษณ์ภายนอกและฉายานามของเจ้า และควรมาพร้อมกับการสำแดงและเนื้อแท้ที่เฉพาะเจาะจง นั่นไม่ใช่แค่เรื่องเกี่ยวกับการมีฉายานาม แต่เนื่องจากเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าก็ควรลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ในเมื่อเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าก็ควรลุล่วงความรับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แล้วอะไรคือหน้าที่และความรับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง? พระวจนะของพระเจ้ากำหนดหน้าที่ ภาระผูกพัน และความรับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างไว้อย่างชัดเจนมิใช่หรือ? ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นสมาชิกที่จริงแท้ของพระนิเวศของพระเจ้า กล่าวคือ เจ้ารับรู้ตัวเองเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่วันนี้ เจ้าก็ควรพิจารณาแผนการชีวิตของเจ้าใหม่ เจ้าไม่ควรไล่ตามไขว่คว้าอีกต่อไปแต่ควรปล่อยมือจากอุดมคติ ความอยาก และเป้าหมายที่เจ้ากำหนดไว้ก่อนหน้านี้สำหรับชีวิตของเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าควรเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์และมุมมองของเจ้าเพื่อที่จะวางแผนเป้าหมายและทิศทางในชีวิตที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี สิ่งสำคัญที่สุดอย่างแรกคือ เป้าหมายและทิศทางในชีวิตของเจ้าไม่ควรเป็นการเป็นผู้นำ หรือการชี้นำหรือการเป็นเลิศในอุตสาหกรรมใดๆ หรือการเป็นบุคคลสำคัญที่เป็นที่เลื่องลือซึ่งดำเนินงานบางอย่างหรือเชี่ยวชาญทักษะเฉพาะ เป้าหมายของเจ้าควรเป็นการยอมรับหน้าที่ของตนจากพระเจ้า กล่าวคือ การรู้ว่าเจ้าควรกำลังทำงานใดอยู่ในตอนนี้ ณ ชั่วขณะนี้ รวมทั้งการเข้าใจว่าเจ้าต้องปฏิบัติหน้าที่ใด เจ้าต้องถามว่าพระเจ้าทรงประสงค์สิ่งใดจากเจ้า และมีการจัดการเตรียมการหน้าที่ใดสำหรับเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าควรเข้าใจและได้รับความชัดเจนเกี่ยวกับหลักธรรมที่ควรเป็นที่เข้าใจ ยึดถือ และติดตามเกี่ยวกับหน้าที่นั้น หากเจ้าจำหลักธรรมเหล่านี้ไม่ได้ เจ้าสามารถเขียนลงบนกระดาษหรือบันทึกไว้บนคอมพิวเตอร์ของเจ้า ใช้เวลาทบทวนและไตร่ตรองหลักธรรมเหล่านี้ ในฐานะสมาชิกของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เป้าหมายหลักในชีวิตของเจ้าควรเป็นการลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติเหมาะสม นี่คือเป้าหมายในชีวิตอันเป็นรากฐานที่สุดที่เจ้าควรมี สิ่งสำคัญอย่างที่สองและมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นคือวิธีลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติเหมาะสม แน่นอนว่า เป้าหมายหรือทิศทางใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมีหน้ามีตา สถานะ ความฟุ้งเฟ้อ อนาคต และอื่นๆ ในทำนองเดียวกันก็ควรถูกละทิ้ง บางคนอาจถามว่า “เหตุใดพวกเราจึงควรละทิ้งเป้าหมายหรือทิศทางเหล่านั้น?” นั่นเรียบง่าย การไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ความมั่งคั่ง และสถานะจะขัดขวางการดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ขัดขวางงานบางอย่างในพระนิเวศของพระเจ้าหรือคริสตจักร และถึงขั้นบ่อนทำลายงานบางอย่างของคริสตจักร นั่นจะส่งผลกระทบต่อการเผยแผ่พระวจนะของพระเจ้า การเป็นพยานให้พระเจ้า และที่ร้ายแรงที่สุดคือ ผู้คนที่รับความรอดไว้ เพื่อที่จะลุล่วงหน้าที่ของเจ้าให้ได้มาตรฐานและเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เจ้าสามารถตั้งเป้าหมายและสรุปย่อประสบการณ์ของเจ้าในลักษณะใดก็ได้ที่เจ้าต้องการ แต่เจ้าไม่ควรไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติของตนเองเป็นจริงขึ้นมาเป็นอันขาด อุดมคติของเจ้าไม่ควรกลายเป็นผสมปนเปในหลักธรรมหรือแนวทางอย่างหนึ่งอย่างใดที่เจ้าใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ของตน เพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีและให้ได้มาตรฐานและเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ดี เจ้าควรแสวงหาหลักธรรมภายในพระวจนะของพระเจ้าและเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น แทนที่จะสรุปแนวคิดส่วนบุคคลของตัวเองและโอกาสภายนอกพระวจนะของพระเจ้า หลักธรรมแห่งการปฏิบัติเหล่านี้ในท้ายที่สุดแล้วก็มุ่งสนใจไปที่วิธีเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ดีและลุล่วงหน้าที่ของเจ้าเป็นหลัก แก่นของทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่การเข้าใจความจริง การลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และการเข้าใจหลักธรรมที่จะยึดปฏิบัติตามเมื่อเผชิญกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายต่างๆ นานาในขั้นตอนของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือในชีวิตประจำวันของเจ้าในท้ายที่สุด นี่ชัดเจนหรือไม่? (ชัดเจน) แน่นอนว่าหากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนตามข้อกำหนดและหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และเพียรพยายามที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เจ้าย่อมสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เหล่านี้ได้ อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติของตนเองเป็นจริงขึ้นมา เจ้าย่อมจะไม่มีวันได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า
หากผู้คนไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติของตนเองเป็นจริงขึ้นมาอย่างไม่ลดละโดยไม่เดินตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาย่อมจะกลายเป็นโอหัง เห็นแก่ตัว ก้าวร้าว ดุร้าย และละโมบมากขึ้น อะไรอีก? พวกเขาก็จะลำพองและหลงตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้คนละทิ้งการไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติและความอยากของตนเองเป็นจริงขึ้นมา และกลับไล่ตามเสาะหาความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงนานาตลอดจนแง่มุมต่างๆ ของพระวจนะของพระเจ้าและเกณฑ์ประเมินของความจริงเกี่ยวกับวิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตน และลงมือกระทำการ พวกเขาย่อมจะดำรงชีวิตด้วยสภาพเสมือนมนุษย์มากขึ้น ขณะดำเนินการงานต่างๆ หรือมีประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างออกไป พวกเขาจะไม่รู้สึกสิ้นหวังและสับสนเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะไม่ติดกับดักในภาวะอารมณ์เชิงลบอย่างที่พวกเขาเคยติดอยู่บ่อยๆ ไม่อาจหลุดพ้นออกมา ถูกความคิดและภาวะอารมณ์เชิงลบจำกัดควบคุมและพันธนาการ และนำไปสู่การถูกภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ ควบคุมและครอบคลุมเอาไว้ในท้ายที่สุดอีกต่อไป การไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติและความอยากของตนเองเป็นจริงขึ้นมามีแต่จะนำผู้คนให้ห่างออกไปจากหลักธรรมเกี่ยวกับทั้งพระวจนะของพระเจ้าและการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติอย่างถูกต้องเหมาะสมมากขึ้น พวกเขาไม่ตระหนักถึงวิธีนบนอบการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และไม่มีความเข้าใจว่าชีวิตมนุษย์ ความแก่ชรา ความเจ็บป่วย และความตายทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร พวกเขาไม่รู้วิธีรับมือกับความเกลียดชังหรือจัดการกับภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ แน่นอนว่าพวกเขาก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยเกี่ยวกับวิธีนำทางผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เข้ามาสู่ชีวิตพวกเขาเช่นกัน เมื่อเผชิญกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายต่างๆ นานา พวกเขาก็หมดหนทาง เต็มไปด้วยความสับสน และจนปัญญา ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาสามารถทำได้เพียงปล่อยให้ภาวะอารมณ์รวมทั้งความคิดและทัศนคติเชิงลบแพร่กระจายและก่อเกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขา ปล่อยให้ตัวเองถูกสิ่งเหล่านี้ควบคุมและพันธนาการเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อถูกภาวะอารมณ์หรือความคิดและทัศนคติเชิงลบเหล่านี้นำทาง พวกเขาก็อาจทำพฤติกรรมสุดโต่ง หรือทำสิ่งทั้งหลายที่สร้างความเสียหายต่อตัวเองและผู้อื่นด้วย เป็นการสร้างผลสืบเนื่องอันไม่อาจจินตนาการได้ การกระทำเช่นนี้เป็นอุปสรรคขัดขวางการไล่ตามเสาะหาที่ถูกทำนองคลองธรรมของผู้คนและสร้างความเสียหายต่อมโนธรรมและเหตุผลที่พวกเขาควรมี ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการให้ผู้คนตรวจสอบลึกในหัวใจของตนว่าอะไรคือสิ่งที่พวกเขายังคงโหยหา และอะไรคือสิ่งที่เป็นของเนื้อหนัง ของโลก และของผลประโยชน์แห่งเนื้อหนัง เช่น ชื่อเสียง เกียรติยศ ความมีหน้ามีตา สถานะ ความมั่งคั่ง และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ที่พวกเขายังคงโหยหา ยังคงจำเป็นต้องมี และไม่สามารถมองอย่างทะลุปรุโปร่งได้ อีกทั้งที่พันธนาการและทดลองพวกเขาอยู่เนืองนิจ พวกเขาอาจถึงขั้นติดกับดักอย่างดิ่งลึกจากสิ่งเหล่านี้หรือมีความเลื่อมใสที่ลึกซึ้งให้กับสิ่งเหล่านี้ และด้วยการก้าวพลาดเล็กน้อย พวกเขาก็อาจถูกสิ่งเหล่านี้จับเป็นเชลยอย่างง่ายดายได้ทุกที่ทุกเวลา ในกรณีนั้น สิ่งเหล่านี้ก็คืออุดมคติของพวกเขา ทันทีที่พวกเขาสัมฤทธิ์อุดมคติเหล่านี้ นั่นคือเวลาที่อุดมคติเหล่านี้กลายมาเป็นความหายนะและต้นตอของอวสานของพวกเขา พวกเจ้ามองเรื่องนี้อย่างไร? (ผู้คนควรตรวจสอบลึกในหัวใจของตนว่าพวกเขายังคงโหยหาอะไร พวกเขาจำเป็นต้องมองสิ่งทั้งหลาย เช่น ชื่อเสียงทางเนื้อหนังและทางโลก เกียรติยศ ความมีหน้ามีตา สถานะ ความมั่งคั่ง และอื่นๆ ในทำนองเดียวกันอย่างทะลุปรุโปร่ง มิเช่นนั้น พวกเขาก็อาจถูกสิ่งเหล่านี้จับเป็นเชลยอย่างง่ายดาย) พวกเขาถูกสิ่งเหล่านี้จับเป็นเชลยได้ใช่ไหม? ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของเนื้อหนังจึงอันตรายมาก หากเจ้าไม่สามารถมองสิ่งเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจ้าย่อมจะตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกสิ่งเหล่านี้ส่งอิทธิพลหรือแม้กระทั่งจับเป็นเชลยตลอดเวลา ดังนั้นสิ่งที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดที่พวกเจ้าต้องทำในตอนนี้ก็คือชำแหละและเข้าใจสิ่งทางเนื้อหนังเหล่านี้ที่เราเอ่ยถึงไปก่อนหน้าบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้าและความจริง ทันทีที่เจ้าสามารถขุดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาและใช้วิจารณญาณแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้ เจ้าก็ควรปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้และลงทุนร่างกาย จิตใจและพลังงานของเจ้าให้กับการกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างธรรมดาสามัญ ตลอดจนให้กับหน้าที่และงานปัจจุบันของเจ้า จงหยุดมองตัวเองเป็นคนพิเศษหรือคนที่ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้ หรือคนที่มีพรสวรรค์หรือความสามารถที่เหนือธรรมดา เจ้าเป็นแค่บุุคคลที่ไร้นัยสำคัญ ไร้นัยสำคัญอย่างไร? ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหมดและสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง เจ้าเป็นเพียงแค่หนึ่งในบรรดาสิ่งเหล่านั้น เป็นสิ่งธรรมดาสามัญที่สุด เจ้าธรรมดาสามัญจนถึงระดับใด? เจ้าธรรมดาพอๆ ใบหญ้าใดๆ พอๆ กับต้นไม้ ภูเขา หยดน้ำ หรือเม็ดทรายใดๆ บนชายฝั่งด้วยซ้ำ ไม่มีสิ่งใดให้เจ้าโอ้อวด ไม่มีสิ่งใดคู่ควรกับความเลื่อมใส เจ้าธรรมดาสามัญอย่างนั้นนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น หากยังคงมีภาพของรูปเคารพ บุคคลสำคัญใหญ่โต คนเด่นคนดัง คนที่ยืนตระหง่านอยู่ในห้วงลึกของหัวใจของเจ้า หรือบางสิ่งที่เจ้าอิจฉา เจ้าควรปล่อยมือและเอาบุคคลเหล่านี้ออกไป เจ้าควรมองให้ทะลุปรุโปร่งถึงแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา และหวนคืนสู่เส้นทางแห่งการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างธรรมดาสามัญ การเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างธรรมดาสามัญและการลุล่วงหน้าที่ของเจ้าเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุดที่เจ้าควรทำ เช่นนั้นเจ้าก็ควรกลับไปที่หัวข้อการไล่ตามเสาะหาความจริงนี้และทุ่มเทความพยายามให้กับความจริงมากขึ้น จงพยายามลดการสัมผัสกับข่าวสาร ข้อมูล เหตุการณ์ภายนอก และเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังของคนเด่นคนดัง เป็นการดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งใดก็ตามที่สามารถจุดประกายความอยากทำให้อุดมคติของตนเองเป็นจริงขึ้นมา ทีนี้เจ้าจำเป็นต้องอยู่ห่างจากผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าและเป็นลบ จงแยกตัวเองออกจากสิ่งเหล่านั้นและพยายามหลีกให้พ้นจากทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่ซับซ้อนและสับสนอลหม่านใบนี้ ต่อให้สิ่งเหล่านั้นไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามหรือเป็นการทดลองสำหรับเจ้า เจ้าก็ยังคงควรอยู่ห่างจากสิ่งเหล่านั้นอยู่ดี เหมือนกันไม่มีผิดกับที่โมเสสใช้ชีวิตในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาสี่สิบปี เขายังคงสามารถใช้ชีวิตด้วยดีไม่ใช่หรือ? ในท้ายที่สุดแล้ว ทั้งๆ ที่เขามีความสามารถในการพูดที่แย่ พระเจ้าก็ยังทรงเลือกเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่มีเกียรติที่สุดในชีวิตของเขา นั่นไม่ใช่อะไรที่แย่ ดังนั้นสิ่งสำคัญอันดับแรกสุดก็คือ จงฟื้นฟูหัวใจของเจ้าที่อยู่ลึกภายในความคิดของเจ้า และลึกในความคิดของเจ้านั้น เจ้าควรก็มีกรอบความคิดของการหิวและการกระหายความชอบธรรมที่ไล่ตามเสาะหาความจริงในความเชื่อของเจ้า เจ้าจำเป็นต้องมีแผนการเช่นนั้น เจตจำนงและความอยากเช่นนั้น แทนที่จะเป็นการอาศัยอุดมคติของเจ้าอยู่เป็นนิตย์หรือทุ่มเทความพยายามและการใคร่ครวญอย่างต่อเนื่องให้กับการที่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านั้นได้หรือไม่ เจ้าควรตัดความผูกพันกับอุดมคติและความอยากก่อนหน้าของเจ้าอย่างสิ้นเชิง และเพียรพยายามที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติและปกติธรรมดา การเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างปกติธรรมดาไม่ใช่สิ่งที่แย่ เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? ที่จริงแล้วนั่นเป็นสิ่งที่ดี จากชั่วขณะที่เจ้าเริ่มปล่อยมือจากอุดมคติและความอยากทางเนื้อหนังของตน จากชั่วขณะที่เจ้าตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างปกติธรรมดาโดยไม่มีสถานะ ตำแหน่ง หรือคุณค่าพิเศษใดๆ นั่นหมายความว่าเจ้ามีความเต็มใจและความตั้งใจแน่วแน่ที่จะยอมจำนนอย่างเต็มเปี่ยมต่ออำนาจครอบครองของพระเจ้า ต่ออำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง เป็นการอำนวยให้พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงและทรงปกครองชีวิตของเจ้า เจ้ามีความเต็มใจที่จะนบนอบ ละทิ้งและปัดทิ้งอุดมคติและความอยากส่วนบุคคล ให้พระเจ้าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้าและทรงปกครองโชคชะตาของเจ้า เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติที่มีกรอบความคิดเช่นนั้น และลุล่วงหน้าที่ของเจ้าให้ดีด้วยกรอบความคิดและท่าทีเช่นนั้น นี่คือทัศนะเกี่ยวกับชีวิตที่เจ้าควรมี การนี้ถูกต้องใช่หรือไม่? การนี้ใช่ความจริงหรือไม่? (ใช่) เป้าหมายในชีวิตของเจ้าและทิศทางชีวิตของเจ้ามีศูนย์กลางอยู่บนสิ่งใด? (การลุล่วงหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง) นี่คือสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด อะไรอีก? (การไล่ตามไขว่คว้าการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างปกติธรรมดา) มีอะไรอีกไหม? (การไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อบรรลุความรอด) นั่นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง มีอะไรอีกไหม? (การมีศูนย์กลางอยู่บนพระวจนะของพระเจ้าและการทุ่มเทความพยายามให้กับความจริงมากขึ้น) นั่นเป็นรูปธรรมมากขึ้นเล็กน้อยมิใช่หรือ? เป้าหมายในชีวิตของเจ้าและทิศทางชีวิตของเจ้าทั้งหมดควรมุ่งไปที่พระวจนะของพระเจ้า และเจ้าควรทุ่มเทความพยายามให้กับความจริงมากขึ้น จงใช้ความมีใจกระตือรือร้นที่เจ้ามีในการไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติอันคลุมเครือก่อนหน้านี้และเปลี่ยนทิศทางความมีใจกระตือรือร้นนี้ไปสู่การอ่านพระวจนะของพระเจ้าและการไตร่ตรองความจริง แล้วดูว่าเจ้าจะก้าวหน้าสู่ความจริงหรือไม่ หากเจ้าก้าวหน้าสู่ความจริงแล้วอย่างแท้จริงก็ย่อมจะมีการสำแดงที่เฉพาะเจาะจงในตัวเจ้าเอง กล่าวคือ เมื่อเผชิญกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายต่างๆ นานาที่เกี่ยวข้องกับความคิดและทัศนคติของมนุษย์ ตลอดจนหลักธรรม เจ้าย่อมจะไม่รู้สึกตกอยู่ในความสูญสิ้น สับสน งุนงงสงสัย หรือว้าวุ่นอีกต่อไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าจะอธิษฐานถึงพระเจ้า ได้รับการชี้นำจากพระวจนะของพระองค์ มีหัวใจที่ใจเย็นและหนักแน่นมั่นคง และรู้วิธีปฏิบัติตนในหนทางที่นบนอบพระเจ้าและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระองค์ นั่นคือเวลาที่เจ้าจะอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตอย่างแท้จริง หลายคนก้าวหน้าช้าในชีวิตของพวกเขาเพราะในขณะที่กำลังทำหน้าที่ของพวกเขาอยู่นั้น พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติ ชื่อเสียง สถานะของตนเอง รวมทั้งเป้าหมายในชีวิตที่พวกเขาจินตนาการตลอดเวลา และปรารถนาที่จะรับพรขณะที่กำลังตอบสนองความอยากทางเนื้อหนังของตน ผลก็คือ พวกเขาไม่สามารถลุล่วงหน้าที่ของตนในลักษณะที่อยู่กับความเป็นจริง และพวกเขาก็ไม่มีประสบการณ์กับการเข้าสู่ชีวิตที่แท้จริง ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ พวกเขาไม่สามารถแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์อันจริงแท้ได้ ด้วยเหตุนี้ไม่สำคัญว่าพวกเขาได้ทำหน้าที่ของตนมานานเท่าใด ความก้าวหน้าในการเข้าสู่ชีวิตและความจริงของพวกเขายังคงเป็นขั้นต่ำ และออกผลเล็กน้อย หากเจ้าอุทิศตนในการทำหน้าที่ของตนอย่างแท้จริง ทุ่มเทพลังงานทั้งหมดของตนให้กับการไล่ตามเสาะหาความจริงและการทำงานหนักสู่ความจริง พวกเจ้าจะไม่พบตัวเองในสภาวะ วุฒิภาวะ และภาวะปัจจุบันที่เจ้าอยู่ เป็นเพราะโดยปกติแล้วผู้คนมุ่งความสนใจไปที่งานที่เป็นธรรมดาโลก งานวิชาชีพ และงานในมือ และแก่นแท้ที่เป็นรากฐานของกิจกรรมเหล่านี้ก็คือการทำให้ความอยากและความมุ่งมาดปรารถนาส่วนบุคคลลุล่วงขณะที่กำลังทำให้อุดมคติของตนเองเป็นจริงขึ้นมา อุดมคติเหล่านี้คืออะไร? นั่นก็คือว่าผู้คนต้องการค้นพบอาชีพของตัวเอง และประสบความสำเร็จบางอย่าง ได้ผลลัพธ์บางอย่าง และเป็นที่รู้จักของผู้อื่น ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ต้องการทำให้ความฝันและเป้าหมายในการไล่ตามไขว่คว้าของตนเป็นจริงขึ้นมาตลอดเวลาเพื่อที่จะแสดงให้เห็นคุณค่าของตนเอง เช่นนั้นพวกเขาย่อมรู้สึกลุล่วง อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริง เป็นเพียงแค่การตอบสนองความว่างเปล่าภายในตัวเองและการใช้งานเพื่อทำให้ชีวิตของพวกเขาอุดมสมบูรณ์ นี่ไม่ใช่หนทางที่เป็นอยู่หรอกหรือ? (ใช่) ดังนั้นไม่สำคัญว่าคนคนหนึ่งทำงานมานานเท่าใดหรือพวกเขาทำงานมามากเพียงใด ทั้งหมดล้วนไม่เกี่ยวข้องกับความจริง พวกเขายังคงไม่เข้าใจความจริงและห่างไกลจากการไล่ตามเสาะหาความจริง ในแง่ของหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบในงานของพวกเขา ผู้คนยังคงไม่มีการเข้าสู่หรือความเข้าใจ ด้วยเหตุนี้พวกเจ้าจึงรู้สึกเหนื่อยล้าและสงสัยว่า “เหตุใดพวกเราจึงถูกตัดแต่งตลอดเวลา? พวกเราทุ่มเทความพยายามมาก สู้ทนความยากลำบากมาก และยอมลำบากมาก เหตุใดพวกเราจึงยังคงถูกตัดแต่ง?” เป็นเพราะเจ้าไม่เข้าใจหลักธรรม เจ้าไม่เคยเข้าใจหรือรู้ซึ้งในหลักธรรมเลย และเจ้าก็ไม่เคยทุ่มเทความพยายามใดๆ ให้กับหลักธรรมเลย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เจ้ายังไม่ได้ทุ่มเทความพยายามให้กับความจริง ให้กับพระวจนะของพระเจ้า เจ้าเพียงแค่ทำตามกฎไม่กี่อย่างและกระทำการไปตามความคิดฝันของตนเอง เจ้าใช้ชีวิตในโลกของอุดมคติและมโนคติอันหลงผิดของตนเองตลอดเวลา และทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำก็ไม่เกี่ยวข้องกับความจริง เจ้ากำลังไล่ตามไขว่คว้าอาชีพการงานของตนเอง ไม่ใช่การติดตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงยังคงไม่เข้าใจหลักธรรมในพระวจนะของพระเจ้า และในท้ายที่สุดแล้วบางคนก็ถูกติดป้ายกำกับว่าเป็นคนลงแรง และบางคนก็รู้สึกว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม อะไรคือเหตุผลที่พวกเขารู้สึกว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม? เป็นเพราะพวกเขาคิดว่าการทนทุกข์และการยอมลำบากของพวกเขาเทียบเท่ากับการปฏิบัติความจริง ที่จริงแล้วการทนทุกข์และการยอมลำบากของพวกเขาเป็นเพียงแค่การสู้ทนความยากลำบากอยู่บ้าง นั่นไม่ใช่การปฏิบัติความจริงหรือการติดตามหนทางของพระเจ้า ที่ถูกต้องแม่นยำมากขึ้นก็คือ นั่นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการปฏิบัติความจริง เป็นแค่การทุ่มเทความพยายามและการทำงาน เพียงแค่ทุ่มเทความพยายามและการทำงานใช่การลุล่วงหน้าที่ของเจ้าให้ได้มาตรฐานหรือไม่? นั่นใช่การเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติหรือไม่? (ไม่ใช่) มีระยะห่างและช่องว่างระหว่างสองอย่างนี้
ในส่วนที่เกี่ยวกับหัวข้อของการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบจากความเก็บกดนั้น พวกเรามาหยุดสามัคคีธรรมของพวกเราไว้ตรงนี้สำหรับวันนี้กันเถิด เจ้าสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนถึงปัญหาเหล่านี้ที่เกิดขึ้นกับคนเหล่านั้นซึ่งรู้สึกเก็บกดเพราะพวกเขาไม่สามารถสัมฤทธิ์อุดมคติและความอยากของตนเองได้หรือไม่? (สามารถ เรื่องนี้ชัดเจน) อะไรที่ชัดเจน? พวกเรามาสรุปย่อกันสักเล็กน้อยเถิด ก่อนอื่นพวกเรามาพูดคุยกันเถิดว่าอุดมคติคืออะไร อุดมคติที่กำลังถูกชำแหละในที่นี้เป็นเชิงลบ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมหรือเป็นเชิงบวก อุดมคติคืออะไร? จงใช้ภาษาที่แม่นยำในการให้คำนิยามสำหรับคำว่า “อุดมคติ” เถิด (อุดมคติคือความคิดที่ว่างเปล่าซึ่งเบี่ยงเบนจากมโนธรรมและเหตุผลปกติของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์จินตนาการขึ้นด้วยตัวเองแต่ไม่ตรงกับความเป็นจริง อุดมคติไม่มีอยู่จริง) สิ่งที่เจ้ากล่าวถึงไปนั้นคืออุดมคติของนักอุดมคติ เจ้าจะให้นิยามอุดมคติโดยทั่วไปว่าอย่างไร? พวกเจ้าสามารถให้นิยามอุดมคติได้หรือไม่? อุดมคติยากที่จะให้นิยามหรือไม่? อะไรคือเป้าหมายที่มีการไล่ตามไขว่คว้าซึ่งผู้คนกำหนดเพื่อสถานะ ความมีหน้ามีตา และความสำเร็จในอนาคตของตนเอง? (เป้าหมายที่มีการไล่ตามไขว่คว้าซึ่งผู้คนกำหนดเพื่อสถานะ ความมีหน้ามีตา และความสำเร็จในอนาคตของตนเองคืออุดมคติ) คำนิยามนี้ถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง) เป้าหมายที่มีการไล่ตามไขว่คว้าซึ่งกำหนดขึ้นเพื่อสถานะ ความมีหน้ามีตา และความสำเร็จในอนาคต และผลประโยชน์ของผู้คนเองคืออุดมคติและความอยาก นี่ใช่คำนิยามแบบกว้างของอุดมคติดังที่ผู้ไม่มีความเชื่ออ้างอิงถึงหรือไม่? พวกเรากำลังให้นิยามอุดมคติบนพื้นฐานของแก่นแท้ที่เป็นรากฐานของอุดมคติเหล่านี้ใช่หรือไม่? (ใช่) ไม่ว่าจะเป็นอุดมคติประเภทเฉพาะเจาะจงแบบใด ไม่ว่าจะสูงส่ง ต่ำต้อย หรือทั่วไป อุดมคติล้วนเป็นเป้าหมายที่มีการไล่ตามไขว่คว้าซึ่งผู้คนกำหนดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เป้าหมายเหล่านี้คืออุดมคติและความอยากของพวกเขา นี่ไม่ใช่อุดมคติของพวกที่พวกเราสามัคคีธรรมและชำแหละไปในตัวอย่างก่อนหน้านี้หรอกหรือ? เป้าหมายที่มีการไล่ตามไขว่คว้าซึ่งผู้คนกำหนดขึ้นเพื่อสถานะ ความมีหน้ามีตา และความสำเร็จในอนาคต ผลประโยชน์ และอื่นๆ ในทำนองเดียวกันของตนเองคืออุดมคติและความอยาก พวกที่ไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากแต่ไม่สามารถทำให้อุดมคติและความอยากเป็นจริงขึ้นมาได้มักจะรู้สึกเก็บกดภายในคริสตจักร คนเหล่านี้รู้สึกเก็บกด จงคิดสักประเดี๋ยวหนึ่ง เจ้าก็อยู่ในสภาวะและสถานการณ์เช่นนั้นด้วยใช่หรือไม่? เจ้าก็มักจะใช้ชีวิตในภาวะเช่นนั้น ด้วยภาวะอารมณ์เช่นนั้นใช่หรือไม่? หากเจ้ามีภาวะอารมณ์เหล่านี้ เจ้ากำลังเพียรพยายามเพื่อให้ได้อะไร? นั่นก็เพื่อสถานะ ความมีหน้ามีตา ความสำเร็จในอนาคต และผลประโยชน์ของตนเอง อุดมคติและเป้าหมายที่มีการไล่ตามไขว่คว้าซึ่งเจ้าได้กำหนดขึ้นมักจะถูกความจริงและสิ่งที่เป็นบวกจำกัดห้ามและขัดขวาง—สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเป็นจริงขึ้นมาได้ ผลก็คือ เจ้ารู้สึกไม่มีความสุขและใช้ชีวิตด้วยภาวะอารมณ์จากความเก็บกด ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ? (ใช่) นี่คือประเด็นปัญหาเกี่ยวกับอุดมคติของมนุษย์ ประการแรก พวกเราชำแหละอุดมคติของมนุษย์ จากนั้นพวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับอะไร? พวกเราสามัคคีธรรมว่าคริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้า ไม่ใช่สถานที่ให้ผู้คนลุล่วงอุดมคติของตน จากนั้นพวกเราก็สามัคคีธรรมเกี่ยวกับเป้าหมายที่ถูกต้องซึ่งผู้คนควรไล่ตามไขว่คว้าในความเชื่อในพระเจ้าของตน วิธีเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติ และวิธีลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ? (ใช่) จุดประสงค์หลักของการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้คือเพื่อบอกผู้คนถึงวิธีเลือกและวิธีปฏิบัติต่ออุดมคติและหน้าที่ของตน ผู้คนควรละทิ้งอุดมคติที่ไม่ถูกควรของตน ในขณะที่สิ่งที่พวกเขาควรใส่ใจในชีวิตนี้และทุ่มเทอุทิศทั้งชีวิตของตนให้ก็คือหน้าที่ของตน หน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเป็นสิ่งที่เป็นบวก ในขณะที่อุดมคติของมนุษย์ไม่ใช่และไม่ควรยึดมั่นนอกจากจะละทิ้ง สิ่งที่ผู้คนควรยึดมั่นและไล่ตามเสาะหาคือการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติและลุล่วงหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติ แล้วผู้คนควรทำอย่างไรเมื่ออุดมคติขัดแย้งกับหน้าที่ของตน? (พวกเขาควรละทิ้งและปล่อยมือจากอุดมคติของตนเอง) พวกเขาควรละทิ้งอุดมคติของตนและยึดมั่นในหน้าที่ของตน ไม่สำคัญว่าพวกเขาอาจมีชีวิตอยู่ถึงเมื่อใดหรืออายุเท่าใด สิ่งที่ผู้คนควรทำและสิ่งที่พวกเขาควรไล่ตามเสาะหาต้องมุ่งไปที่วิธีลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างรวมทั้งสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้า พระวจนะของพระองค์ และความจริง มีเพียงการปฏิบัติเช่นนี้เท่านั้นคนเราจึงจะสามารถดำเนินชีวิตที่มีความหมายและมีคุณค่าได้ใช่ไหม? (ใช่) เอาล่ะ พวกเรามาสรุปสามัคคีธรรมของพวกเราตรงนี้สำหรับวันนี้กันเถิด ลาก่อน!
10 ธันวาคม ค.ศ. 2022