ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (5)

ช่วงนี้พวกเราสามัคคีธรรมกันถึงแง่มุมแรกของการไล่ตามเสาะหาความจริง ซึ่งเป็นเรื่องของการปล่อยมือ  พวกเราพูดถึงส่วนแรกของหัวข้อนี้เป็นหลัก—ซึ่งก็คือการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ  พวกเราเสวนากันเรื่องการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ ไปกี่ครั้งแล้ว?  (สี่ครั้ง)  พวกเจ้ามีเส้นทางสำหรับการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบกันบ้างแล้วใช่หรือไม่?  ภาวะอารมณ์เชิงลบอันหลากหลายที่พวกเราสามัคคีธรรมและชำแหละกันไปดูผิวเผินเหมือนเป็นภาวะอารมณ์หรือความคิดอ่านชนิดต่างๆ แต่ที่จริงแล้วมูลเหตุของมันเกิดจากทัศนคติในชีวิตและระบบค่านิยมที่ไม่ถูกต้องของผู้คน ตลอดจนความคิดอ่านและมุมมองที่บกพร่องของพวกเขา  แน่นอนว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนานัปการของผู้คนย่อมพาให้เกิดความคิดอ่านและมุมมองต่างๆ ที่คลาดเคลื่อน ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ ตามมา  เพราะฉะนั้น การเกิดขึ้นของภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ จึงมีที่มาและสาเหตุของมันอยู่  ภาวะอารมณ์เชิงลบที่พวกเราเสวนากันไปนั้นไม่ใช่ความคิดชั่วแล่นหรือวู่วาม และไม่ใช่ความคิดและมุมมองในความหมายพื้นๆ ของคำเหล่านี้ หรือเป็นอารมณ์ชั่ววูบ  ภาวะอารมณ์เหล่านี้สามารถครอบงำวิถีชีวิตของผู้คน สิ่งที่พวกเขาปฏิบัติ ความคิดอ่านและมุมมองของพวกเขา รวมทั้งทัศนคติและท่าทีที่พวกเขาใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลายด้วย  ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ซ่อนตัวอยู่ลึกลงไปในหัวใจของผู้คน และในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา คอยติดตามพวกเขาตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน ส่งผลต่อมุมมองและจุดยืนของพวกเขาเวลามองดูผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ  ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้มีผลเชิงลบต่อชีวิตประจำวัน การวางตัว และเส้นทางที่ผู้คนเลือกเดินในชีวิตอย่างมาก  ก่อให้เกิดผลสืบเนื่องต่างๆ ที่มองไม่เห็นและไม่พึงประสงค์แก่ผู้คน  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจและแก้ไขภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง และปล่อยมือจากพวกมันอย่างค่อยเป็นค่อยไป  การปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ไม่เหมือนกับการทิ้งวัตถุสิ่งของที่เจ้าไม่ได้นึกถึงอีกต่อไป และหลังจากนั้นก็ไม่ได้มีความสำคัญต่อเจ้าอีก นี่ไม่ใช่เรื่องของการหยิบบางสิ่งขึ้นมาและปล่อยมือจากสิ่งนั้นตามความหมายพื้นๆ ของถ้อยคำเหล่านี้  ดังนั้นในบริบทเช่นนี้ คำว่า “ปล่อยมือ” หมายความว่าอย่างไร?  โดยมากแล้ว นี่หมายความว่าเจ้าต้องเปิดโปงและชำแหละความคิดอ่านและมุมมองที่ไม่ถูกต้องของตน รวมทั้งทัศนคติและท่าทีที่ไม่ถูกต้องที่เจ้าใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย จนกระทั่งเจ้านั้นเข้าใจความจริง  จากนั้นเจ้าก็จะสามารถทิ้งภาวะอารมณ์เชิงลบของตนได้อย่างแท้จริง  ไม่ว่าจะเกิดภาวะอารมณ์เชิงลบอันใดบ้างในตัวเจ้า เจ้าก็ต้องแก้ไขด้วยการแสวงหาความจริงที่เกี่ยวข้อง จนกระทั่งเจ้ามีหลักธรรมและเส้นทางของการปฏิบัติความจริง  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถเป็นอิสระจากการทรมาน พันธนาการ และอิทธิพลของภาวะอารมณ์เชิงลบได้อย่างสิ้นเชิง สามารถนบนอบความจริงและสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ได้ในท้ายที่สุด อันเป็นการตั้งมั่นในการเป็นพยานของเจ้า  เจ้าต้องมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า  ด้วยการทำเช่นนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบ ความคิดอ่านและมุมมองที่ไม่ถูกต้องของตนได้หมด  ทำไมถึงต้องใช้ขั้นตอนที่ซับซ้อนเช่นนี้เพื่อที่จะปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง?  สาเหตุก็คือภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้  ไม่ใช่ภาวะอารมณ์ที่ครอบงำหรือส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิดของคนเราเพียงชั่วครู่  นี่คือความคิดอ่านและมุมมองที่ก่อเกิดในตัวผู้คน ซึ่งปลูกฝังกันมา มีอยู่ก่อนแล้ว หรือถึงขั้นฝังแน่น และอิทธิพลที่สิ่งเหล่านี้มีในตัวผู้คนก็ร้ายแรงเป็นพิเศษ  ฉะนั้น การที่จะปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้จึงจำเป็นต้องมีวิธีการและขั้นตอนต่างๆ  ขั้นตอนของการปล่อยมือนี้เป็นขั้นตอนของการไล่ตามเสาะหาความจริงเช่นกันมิใช่หรือ?  (ใช่)  ขั้นตอนของการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้แท้จริงแล้วคือขั้นตอนของการไล่ตามเสาะหาความจริง  ดังนั้นการเผชิญหน้าภาวะอารมณ์เชิงลบจึงมีอยู่เพียงทางเดียวคือแสวงหาความจริงและแก้ไขภาวะอารมณ์เหล่านี้ตามพระวจนะของพระเจ้า  พวกเจ้าเข้าใจความหมายของคำกล่าวนี้หรือไม่?  (เข้าใจ)

ตอนแรกที่พวกเราเริ่มสามัคคีธรรมกันเรื่องภาวะอารมณ์เชิงลบนั้น ความจริงต่างๆ ที่พวกเราเคยสามัคคีธรรมกันไว้ก่อนหน้านี้โดยทั่วไปแล้วไม่ได้พูดถึงหัวข้อนี้ ดังนั้น นี่จึงเป็นหัวข้อที่พวกเจ้าทุกคนไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง  ผู้คนคิดกันไปว่าการมีภาวะอารมณ์เชิงลบเป็นเรื่องปกติ และนึกว่าเป็นคนละเรื่องกับอุปนิสัยที่เสื่อมทราม พวกเขาเชื่อว่าภาวะอารมณ์เชิงลบไม่ใช่อุปนิสัยที่เสื่อมทราม และสองอย่างนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน  นี่ไม่ถูกต้อง  บางคนเชื่อว่าภาวะอารมณ์เชิงลบเป็นเพียงความคิดอ่านหรือแนวคิดชั่วคราวที่ไม่ส่งผลต่อผู้คน ฉะนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่าพวกตนจะปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบหรือไม่ก็ไม่สำคัญ  บัดนี้ หลังจากสามัคคีธรรมและชำแหละกันมาหลายครั้งก็ย่อมพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แท้จริงแล้วภาวะอารมณ์เชิงลบส่งผลต่อผู้คน  ที่ผ่านมาพวกเราสามัคคีธรรมอยู่เสมอเรื่องการทำความเข้าใจและชำแหละอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และกล่าวถึงภาวะอารมณ์เชิงลบเพียงเล็กน้อยเฉพาะเวลาเปิดโปงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเท่านั้น แต่พวกเราไม่ได้สามัคคีธรรมเรื่องภาวะอารมณ์เชิงลบอย่างละเอียดนัก  บัดนี้ หลังจากเสวนาอย่างเป็นรูปธรรมกันมาหลายครั้ง เราก็หวังว่าพวกเจ้าจะสามารถมุ่งเน้นเรื่องนี้และเริ่มเรียนรู้ที่จะชำแหละและทำความเข้าใจภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ในชีวิตประจำวันของเจ้า  เมื่อพวกเจ้าเข้าใจแก่นแท้ของมันแล้ว พวกเจ้าก็จะสามารถปฏิเสธ ขบถ และค่อยๆ ปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เหล่านี้ได้  ต่อเมื่อปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ได้แล้วเท่านั้น พวกเจ้าจึงจะสามารถเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องของการไล่ตามเสาะหาความจริงและออกเดินไปบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เหล่านี้คือขั้นตอนที่พวกเจ้าต้องใช้ นี่ชัดเจนหรือไม่?  (ชัดเจน)  แม้ภาวะอารมณ์เชิงลบจะไม่ครอบงำและควบคุมผู้คนในระดับเดียวกับอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเมื่อเป็นเรื่องของชีวิต การดำรงอยู่ และเส้นทางที่ผู้คนใช้ แต่ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน  เวลาที่ภาวะอารมณ์เชิงลบพันธนาการความคิดอ่านและมีอิทธิพลต่อการยอมรับความจริงของผู้คน รวมทั้งการที่พวกเขาจะเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องหรือไม่นั้น ในบางสถานการณ์และในระดับหนึ่ง ผลลบที่เกิดจากภาวะอารมณ์เหล่านี้ไม่ได้มีนัยสำคัญน้อยไปกว่าผลลบที่เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนเลย  พวกเจ้าจะเริ่มค่อยๆ เข้าใจเรื่องนี้ในระหว่างที่ไล่ตามเสาะหา มีประสบการณ์ และลงมือปฏิบัติต่อไปภายหน้า  เนื่องจากพวกเจ้าเพิ่งจะพบพานหัวข้อนี้เอาตอนนี้เท่านั้น พวกเจ้าบางคนย่อมจะไม่ตระหนักหรือรู้เรื่องนี้ และยิ่งจะไม่เข้าใจด้วยซ้ำ  ต่อไปภายหน้าเมื่อพวกเจ้ามีประสบการณ์ในเรื่องนี้ เจ้าก็จะรู้สึกว่าภาวะอารมณ์เชิงลบไม่ใช่เรื่องพื้นๆ อย่างที่เห็นกันภายนอก  ภาวะอารมณ์เหล่านี้มีที่ทางและครองพื้นที่มากมายในความคิดอ่านของผู้คน ลึกลงไปในหัวใจของพวกเขา และแม้กระทั่งในจิตใต้สำนึกของพวกเขา  อาจกล่าวได้ว่าภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ผลักดันและขับเคลื่อนปัจเจกบุคคลให้กระทำการตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนอย่างมาก รวมทั้งเสริมสร้างและขับเคลื่อนการควบคุมและพันธนาการที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามมีต่อผู้คน  ภาวะอารมณ์เชิงลบทำให้ผู้คนใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนกันอย่างดื้อรั้นเมื่อเป็นเรื่องของการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตนและกระทำการ ดังนั้นพวกเจ้าไม่ควรประเมินภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ต่ำเกินไป  อันที่จริง ในแง่หนึ่งก็มีความคิดและมุมมองเชิงลบซ่อนตัวอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบเป็นอันมาก และในอีกแง่หนึ่ง ภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ ก็ซ่อนตัวอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนในระดับต่างๆ กัน  สรุปแล้ว ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ยึดครองหัวใจของผู้คน และมีแก่นแท้แบบเดียวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน  ทั้งสองอย่างนี้ต่างก็เป็นเหลี่ยมมุมของการคิดลบ และเป็นสิ่งที่เป็นลบ  ในที่นี้คำว่า “สิ่งที่เป็นลบ” หมายความว่าอย่างไร?  และหมายถึงอะไร?  ในแง่หนึ่ง นี่หมายความว่าภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ไม่ได้มีบทบาทเชิงบวกต่อการเข้าสู่ชีวิตของผู้คน  ภาวะอารมณ์เชิงลบไม่สามารถนำเจ้าหรือช่วยให้เจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แสวงหาเจตนารมณ์ของพระองค์อย่างแข็งขัน แล้วจากนั้นก็นบนอบพระองค์ได้  เมื่อมีภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ซ่อนเร้นอยู่ในตัวผู้คน หัวใจของพวกเขาย่อมไกลจากพระเจ้า คอยระแวดระวังและหลีกเลี่ยงพระองค์ และอาจถึงขั้นแอบระแวง ปฏิเสธ และตัดสินพระเจ้าโดยที่ไม่รู้ตัวและไม่ได้ตั้งใจ  เมื่อมองตามนี้ ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ใช่สิ่งที่เป็นบวกหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นั่นคือแง่หนึ่ง  อีกแง่หนึ่ง ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ไม่ได้นำผู้คนมาเบื้องหน้าพระเจ้าเพื่อนบนอบความจริง  กลับนำผู้คนให้เดินไปบนเส้นทางและมุ่งไปหาเป้าหมายและในทิศทางที่สวนทางและตรงข้ามกับความจริง  เรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยเลย  หน้าที่ของภาวะอารมณ์เชิงลบภายในตัวผู้คนก็คือทำให้พวกเขาปกป้องตัวเอง ปกป้องผลประโยชน์แห่งเนื้อหนังของตน และดำรงรักษาความไม่เป็นแก่นสาร ความภาคภูมิใจ และสถานะของตนเอาไว้  ภาวะอารมณ์เชิงลบควบคุมและพันธนาการเจ้าเอาไว้ตลอดเวลา ขัดขวางเจ้าไม่ให้ฟังพระวจนะของพระเจ้า ไม่ให้เป็นคนที่ซื่อสัตย์ และไม่ให้ปฏิบัติความจริง  ทำให้เจ้าเชื่อว่าเจ้าจะสูญเสียความได้เปรียบถ้าเจ้าปฏิบัติความจริง เจ้าจะเสียหน้าและสถานะ เจ้าจะถูกผู้อื่นเยาะหยัน และตัวตนที่แท้จริงของเจ้าก็จะถูกเปิดโปงให้โลกรู้  ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ควบคุมผู้คน ครอบงำความคิดอ่าน และทำให้พวกเขาคิดแต่เรื่องที่เป็นลบเท่านั้น  ทั้งนี้ แก่นแท้ของสิ่งที่เป็นลบเหล่านี้ตรงข้ามกับความจริงใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดังนั้น ระหว่างที่ภาวะอารมณ์เชิงลบคอยเตือนให้เจ้านึกถึงสิ่งเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง มันก็คอยขัดขวางตลอดเวลาไม่ให้เจ้าปฏิบัติและไล่ตามเสาะหาความจริงไปพร้อมกันด้วย  ภาวะอารมณ์เชิงลบทำหน้าที่เป็นกำแพงขวางการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า และเป็นเครื่องสะดุดบนเส้นทางแห่งการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงของเจ้า  เมื่อใดก็ตามที่เจ้าอยากปฏิบัติความจริง พูดจาด้วยความสัตย์จริง นบนอบอธิปไตยและการจัดเตรียมของพระเจ้า กระทำการตามหลักธรรม หรือสละตนเพื่อพระเจ้าด้วยความจริงใจ จ่ายราคา และแสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้า ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้จะปะทุขึ้นมาทันที คอยขัดขวางไม่ให้เจ้าปฏิบัติความจริง  ภาวะอารมณ์เชิงลบผุดขึ้นมาในความคิดอ่านของเจ้าและแวบผ่านความรู้สึกนึกคิดของเจ้าอย่างต่อเนื่อง คอยบอกเจ้าว่าเจ้าจะเสียอะไรบ้างถ้าทำอย่างนั้น เจ้าจะลงเอยอย่างไร ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด และเจ้าจะสามารถได้อะไรไว้บ้าง  ภาวะอารมณ์เชิงลบคอยย้ำเตือนเจ้าซ้ำๆ ขัดขวางไม่ให้เจ้ายอมรับและปฏิบัติความจริง ไม่ให้นบนอบพระเจ้า  แต่กลับทำให้เจ้านึกถึงตัวเอง คำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเอง และผลก็คือเจ้าไม่สามารถปฏิบัติความจริงหรือแม้แต่นบนอบพระเจ้าได้  ชั่วแวบเดียวความคิดของเจ้าก็ถูกภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้พันธนาการและควบคุมไว้  แม้ตอนแรกเจ้าจะอยากปฏิบัติความจริง และเต็มใจที่จะนบนอบพระเจ้า อยากทำให้พระองค์พอพระทัย แต่พอภาวะอารมณ์เชิงลบก่อเกิดขึ้นในตัวเจ้า เจ้าก็เดินตามและถูกมันควบคุมเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ  ภาวะอารมณ์เชิงลบจึงผนึกปากเจ้า มัดมือมัดเท้าของเจ้า และขัดขวางไม่ให้เจ้าทำสิ่งที่เจ้าควรทำและกล่าวคำที่เจ้าพึงพูด  สุดท้ายเจ้ากลับเอ่ยคำเท็จที่หลอกลวงและชอบตัดสิน ลงมือทำสิ่งที่ขัดกับความจริง  หัวใจของเจ้ามืดมนและติดอยู่ในกับดักของความทรมานทันที  เดิมทีแนวคิดและแผนการของเจ้านั้นดีงาม—เจ้าอยากปฏิบัติความจริงและมอบความจงรักภักดีเพื่อที่จะทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี เจ้ามีแรงขับ มีความปรารถนา และมีเจตจำนงที่จะปฏิบัติความจริง  แต่เมื่อถึงช่วงเวลาที่สำคัญยิ่ง ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้กลับควบคุมเจ้าไว้  เจ้าไม่มีความสามารถที่จะขบถหรือปฏิเสธมัน และในท้ายที่สุดเจ้าก็ทำได้เพียงยอมจำนนต่อภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้  เมื่อภาวะอารมณ์เชิงลบตามหลอกหลอนและก่อกวนผู้คน เมื่อมันควบคุมความคิดอ่านและขัดขวางไม่ให้ผู้คนปฏิบัติความจริง ผู้คนย่อมดูเหมือนไร้พลัง อับจนหนทาง และน่าเวทนา  ยามที่ไม่มีเรื่องใหญ่ๆ เกิดขึ้นและไม่มีหลักธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้คนก็นึกว่าตนนั้นแข็งแกร่งอย่างไร้ขีดจำกัด เข้มแข็งทั้งในปณิธานและความเชื่อ และรู้สึกว่าตนนั้นมีแรงจูงใจเต็มเปี่ยม  พวกเขาเชื่อว่าตนเองยังรักพระเจ้าได้ไม่มากพอ คิดไปว่าตนมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และตนนั้นไม่อาจทำสิ่งผิดได้ลงคอ ไม่อาจก่อให้เกิดการขัดขวางหรือก่อกวนได้ และแน่นอนว่าไม่อาจทำความชั่วโดยเจตนาได้  แต่เมื่อเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ทำไมพวกเขาถึงห้ามปฏิกิริยาของตัวเองไม่ได้?  การกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจของพวกเขานี้ไม่ได้มีการวางแผนหรือมีความอยากทำ แต่ก็ยังคงเกิดขึ้นและกลายเป็นจริงขึ้นมา ทั้งยังห่างไกลจากสิ่งที่ผู้คนเหล่านั้นอยากทำด้วย  ต้องกล่าวว่าการเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นและการเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ซ้ำๆ มีสาเหตุจากภาวะอารมณ์เชิงลบ  เห็นได้ชัดว่าผลที่ภาวะอารมณ์เชิงลบมีต่อผู้คน และการที่มันควบคุมผู้คนเอาไว้ ไม่ได้เป็นเรื่องพื้นๆ อย่างที่ผู้คนคิดกัน ไม่ได้แก้ไขง่าย และแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยมือหรือขบถกันโดยง่าย  ไม่ว่าปกติแล้วผู้คนจะป่าวประกาศคำพูดชวนเชื่อของตนกันดังขนาดไหน ไม่ว่าปณิธานของพวกเขาตามปกติแล้วจะแข็งแกร่งเพียงใด หรือความใฝ่ฝันของพวกเขาจะสูงส่งเช่นไร หรือหัวใจที่รักพระเจ้าและความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด เมื่อเผชิญความเป็นจริง เหตุใดปณิธานและความเชื่อ ความใฝ่ฝันและอุดมคติเหล่านั้น จึงไม่อาจส่งผลอะไรได้เลย?  ทั้งหมดนั้นถูกภาวะอารมณ์เชิงลบที่ไม่จีรังครอบงำและกีดขวางได้อย่างไร?  จากเรื่องนี้ย่อมเห็นได้ชัดว่าภาวะอารมณ์เชิงลบฝังรากอยู่ในชีวิตของผู้คนไปแล้ว อยู่ร่วมกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน สามารถครอบงำและควบคุมความคิดอ่านและมุมมองของผู้คนเหมือนกับที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามทำนั่นเอง  พร้อมกันนั้นและที่ยิ่งร้ายแรงกว่าก็คือ ภาวะอารมณ์เชิงลบยังควบคุมวาจาและการกระทำของผู้คน และยิ่งไปกว่านั้นยังควบคุมความคิดอ่านและแนวคิดทุกอย่างของพวกเขา ทุกการกระทำและพฤติกรรมของพวกเขาเวลาเผชิญสถานการณ์สารพัดอย่าง  ดังนั้น การแก้ไขภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้จึงสำคัญมากมิใช่หรือ?  (ใช่)  ภาวะอารมณ์เชิงลบไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก นี่สามารถอธิบายให้เห็นภาพได้สองทางคือ ประการแรก ภาวะอารมณ์เชิงลบไม่สามารถนำคนให้มาอยู่เบื้องหน้าพระเจ้าอย่างแข็งขันได้ ประการที่สอง ภาวะอารมณ์เชิงลบไม่สามารถทำให้คนปฏิบัติความจริงได้สำเร็จเมื่อเผชิญความเป็นจริง และเข้าสู่ความจริงอย่างที่พวกเขาต้องการ  ภาวะอารมณ์เชิงลบจึงเป็นเครื่องสะดุดในการไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้คน กีดขวางไม่ให้ผู้คนแสวงหาและปฏิบัติความจริง  เพราะฉะนั้นจึงต้องแก้ไขภาวะอารมณ์เชิงลบ  เมื่อมองดูผลและแก่นแท้ของภาวะอารมณ์เชิงลบแล้ว คนเราก็สามารถมองเห็นได้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก  นอกเหนือจากนั้นยังสามารถกล่าวได้ว่าตามแก่นแท้ของมันแล้ว ภาวะอารมณ์เชิงลบสามารถตีกรอบและควบคุมผู้คนได้มากกว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามในระดับหนึ่ง  ดังนั้น พวกเจ้าว่าการมีอยู่ของภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ใช่ปัญหาร้ายแรงหรือไม่?  (ใช่)  ถ้าภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไข ก็สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดผลเช่นใดตามมา?  พวกเจ้าสามารถแน่ใจได้ว่าภาวะอารมณ์เหล่านี้จะทำให้คนมีชีวิตอยู่กับการคิดลบไปอีกนาน และจะยิ่งสามารถตีกรอบและพันธนาการผู้คนเอาไว้มากขึ้น กีดขวางไม่ให้พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง  ปัญหาที่ร้ายแรงเช่นนี้ควรได้รับการแก้ไขหรือไม่?  นี่ควรมีการแก้ไข  ขณะที่จัดการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ผู้คนก็ควรแก้ไขภาวะอารมณ์เชิงลบของตนไปพร้อมกันด้วย  ถ้าผู้คนแก้ไขภาวะอารมณ์เชิงลบและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน การไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเขาย่อมจะราบรื่นขึ้นมาก และจะไร้ซึ่งอุปสรรคสำคัญ

อุปนิสัยอันเสื่อมทรามซ่อนตัวอยู่ในการพรั่งพรูและท่าทีบางอย่างที่ผู้คนแสดงออกมาภายนอก รวมทั้งในสภาวะบางอย่างด้วย แล้วพวกเจ้าจะใช้วิจารณญาณจับสังเกตภาวะอารมณ์เชิงลบกันอย่างไร?  พวกเจ้าจะแยกแยะภาวะอารมณ์เชิงลบออกจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้อย่างไร?  พวกเจ้าเคยตรึกตรองเรื่องนี้มาก่อนหรือไม่?  (ไม่เคย)  อุปนิสัยและภาวะอารมณ์ สองสิ่งนี้ต่างชนิดกัน  ถ้าพวกเราพูดถึงแต่อุปนิสัยและภาวะอารมณ์ การแยกสองสิ่งนี้ออกจากกันตามความหมายของตัวอักษรจะทำได้ง่ายหรือไม่?  อุปนิสัยหมายถึงสิ่งที่พรั่งพรูออกมาจากแก่นแท้ธรรมชาติของคนคนหนึ่ง ส่วนภาวะอารมณ์โดยทั่วไปแล้วคือสภาวะอย่างหนึ่งทางจิตใจที่เกิดขึ้นในตัวผู้คนเวลาทำอะไรบางอย่าง  ไม่ว่าพวกเราจะตีความคำศัพท์เหล่านี้ตามตัวอักษรกันอย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าภาวะอารมณ์ของผู้คน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะอารมณ์เชิงลบของพวกเขา—ย่อมบรรจุความคิดอ่านมากมายที่เป็นลบเอาไว้  เมื่อคนคนหนึ่งเก็บงำภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้เอาไว้ นี่ย่อมจะพาให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่เป็นลบภายใต้การครอบงำของความคิดและมุมมองที่ไม่ถูกต้องนานัปการได้ จริงไหม?  (จริง)  ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้สามารถซ่อนตัวอยู่ในหัวใจของผู้คนเป็นเวลานานๆ ได้ และถ้าผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาก็จะไม่มีวันตระหนักรู้หรือรู้สึกถึงการมีอยู่ของภาวะอารมณ์เหล่านี้ ภาวะอารมณ์เชิงลบอยู่ร่วมกับผู้คนตลอดเวลา เหมือนอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขานั่นเอง  มีหลายครั้งที่ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ซ่อนตัวอยู่ในความคิดอ่านและมุมมองต่างๆ ที่ไม่ถูกต้องของผู้คน แล้วความคิดอ่านและมุมมองที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้ก็ทำให้ผู้คนสงสัยพระเจ้า สูญเสียความเชื่อที่แท้จริงของตน ถึงกับยื่นข้อเรียกร้องที่ไร้เหตุผลสารพัดอย่างต่อพระเจ้า และสูญสิ้นสำนึกที่ปกติของตนเอง  ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ซ่อนเร้นอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนคนหนึ่ง ในความคิดอ่านและมุมมองต่างๆ ที่ไม่ถูกต้องของเขา ภายใต้การนำเสนอเหตุผล ความคิดอ่าน และมุมมองต่างๆ ให้ฟังดูดี ซึ่งแสดงให้เห็นแก่นแท้ธรรมชาติของคนคนนั้นอย่างเต็มที่  อุปนิสัยที่เสื่อมทรามสำแดงตนในสภาวะต่างๆ ที่เผยออกมาทางการวางตนและกระทำการของผู้คน—สภาวะต่างๆ เหล่านี้มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนอยู่ภายใน  แม้ภาวะอารมณ์เชิงลบและอุปนิสัยที่เสื่อมทรามจะแตกต่างกัน แต่ในบางด้านก็จำเป็นต้องเชื่อมโยงกัน และยังสามารถเกี่ยวกระหวัดจนมิอาจแยกออกจากกันได้อีกด้วย  ในบางด้าน สองสิ่งนี้สามารถสนับสนุนกัน เสริมสร้างกัน รวมทั้งพึ่งพาและอยู่ร่วมกันได้  ตัวอย่างเช่น ความทุกข์ใจ ความวิตกกังวล และความกระวนกระวายที่พวกเราเคยสามัคคีธรรมกันไปเมื่อตอนต้นนั้นก็เป็นภาวะอารมณ์เชิงลบอย่างหนึ่ง  ภาวะอารมณ์เชิงลบแบบนี้นี่เองที่ทำให้ผู้คนดำรงชีวิตอยู่ในความทุกข์ใจ ความวิตกกังวล และความกระวนกระวาย  เมื่อผู้คนติดอยู่ในกับดักของภาวะอารมณ์เหล่านี้ ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะเกิดความคิดอ่านและมุมมองบางอย่าง พาให้พวกเขาสงสัย คาดเดา ระแวดระวัง เข้าใจผิด และถึงขั้นตัดสินและโจมตีพระเจ้า และพวกเขาก็อาจยื่นข้อเรียกร้องเชิงซื้อขายแลกเปลี่ยนที่ไม่สมเหตุสมผลต่อพระเจ้าอีกด้วย  ถึงตรงนี้ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ย่อมจะหนักข้อจนกลายเป็นอุปนิสัยที่เสื่อมทรามไปแล้ว  แล้วพวกเจ้าเข้าใจอะไรจากตัวอย่างนี้บ้าง?  พวกเจ้าแยกแยะภาวะอารมณ์เชิงลบกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกจากกันได้หรือไม่?  จงบอกเรามาเถิด  (ภาวะอารมณ์เชิงลบทำให้เกิดความคิดอ่านและมุมมองบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง ส่วนอุปนิสัยที่เสื่อมทรามจะฝังลึกกว่า และทำให้ผู้คนเข้าใจพระเจ้าผิดและระแวดระวังพระเจ้า)  เราจะยกตัวอย่างให้ฟัง  จงดูภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความวิตกกังวล และความกระวนกระวายเถิด  สมมุติว่าคนคนหนึ่งล้มป่วย และครุ่นคิดถึงอาการเจ็บป่วยของตน ผลก็คือเขามีประสบการณ์เป็นความทุกข์ใจ ความวิตกกังวล และความกระวนกระวายขึ้นมา  สิ่งเหล่านี้เข้าควบคุมหัวใจของเขา ทำให้หวาดกลัวว่าโรคภัยของตนจะร้ายแรงขึ้นมาและนึกกลัวผลสืบเนื่องต่างๆ ที่จะมาพร้อมความตาย  จากนั้นเขาก็เริ่มกลัวตาย ปฏิเสธความตาย และอยากจะหนีให้พ้นความตาย  ความคิดอ่านและแนวคิดที่ต่อเนื่องนี้เกิดขึ้นเพราะความเจ็บป่วยของเขา  ในบริบทที่เป็นความเจ็บป่วยนี้ คนคนนี้คิดอะไรต่ออะไรขึ้นมามากมาย  ต้นตอของความคิดที่วิ่งไม่หยุดนี้อิงตามผลประโยชน์แห่งเนื้อหนังของตน และชัดเจนว่าไม่ได้เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงกำกับดูแลสรรพสิ่ง หรือเป็นไปตามความจริง  นั่นคือสาเหตุที่พวกเราจัดให้สิ่งเหล่านี้เป็นภาวะอารมณ์เชิงลบ  คนคนนั้นรู้สึกไม่ดีเพราะความเจ็บไข้ได้ป่วยของตน แต่ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็เกิดขึ้นแล้ว และเขาก็จำต้องเผชิญหน้า—ไม่สามารถหลีกหนีได้ ดังนั้นเขาจึงคิดไปว่า “แย่แล้ว ฉันควรเผชิญโรคภัยนี้อย่างไร?  ควรรักษาหรือไม่?  ถ้าฉันไม่รักษา จะเกิดอะไรขึ้น?  แล้วถ้ารักษาจะเกิดอะไรขึ้น?”  ขณะที่คิดไปไม่หยุด เขาก็เกิดความทุกข์ใจ  ความนึกคิดและมุมมองต่างๆ ที่เขามีเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของตนทำให้เขาติดอยู่ในกับดักของความทุกข์ใจ ความวิตกกังวล และความกระวนกระวาย  เมื่อเป็นเช่นนี้ ภาวะอารมณ์เชิงลบนี้ก็เริ่มส่งผลแล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  ตอนแรกที่เขาเริ่มมีประสบการณ์กับความเจ็บป่วยของตนนั้น เขาตั้งใจว่าจะพยายามรักษาอาการ แต่แล้วเขาก็รู้สึกว่าการทำเช่นนั้นไม่เหมาะสม จึงวางแผนที่จะดำเนินชีวิตตามความเชื่อของตนแทน ทำหน้าที่ของตนไปตามปกติ แต่ก็วิตกกังวลอยู่ดีว่าอาการป่วยจะกลายเป็นเรื่องร้ายแรง  วิธีที่เหมาะสมในการรับมือเรื่องนี้คืออะไร?  คนแบบนี้ไม่มีเส้นทาง  ภายใต้การครอบงำของภาวะอารมณ์เชิงลบของพวกเขา พวกเขารู้สึกทุกข์ใจ วิตกกังวล และกระวนกระวายในเรื่องนี้อยู่เสมอ และเมื่อความทุกข์ใจ ความวิตกกังวล และความกระวนกระวายเกิดขึ้นในตัวพวกเขาแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยมือจากมันได้  พวกเขารู้สึกว่าถูกโรคภัยตามรังควาน—พวกเขาควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้?  พวกเขาเริ่มคิดว่า “ไม่เป็นไร ฉันเชื่อในพระเจ้า  พระเจ้าจะทรงรักษาฉัน  ฉันมีความเชื่อ”  อย่างไรก็ดี ผ่านไประยะหนึ่ง อาการของโรคกลับไม่ดีขึ้น และพระเจ้าก็ไม่ได้ทรงรักษาพวกเขา  ผู้คนดังกล่าวจึงรู้สึกทุกข์ใจ วิตกกังวล และกระวนกระวายในเรื่องนี้ต่อไป พลางกล่าวว่า “พระเจ้าจะรักษาฉันหรือเปล่า?  ฉันแค่ต้องรอ แล้วพระเจ้าก็จะทรงรักษาฉัน  ฉันมีความเชื่อ”  พวกเขาบอกว่าตนเองมีความเชื่อ แต่ลึกลงไป แท้จริงแล้วพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของตน พลางคิดว่า “ถ้าพระเจ้าไม่ทรงรักษาฉัน แล้วฉันเกิดเจ็บป่วยร้ายแรงและตายไป จะเป็นเช่นไร?  ฉันจะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสูญเปล่าหรือไม่?  ฉันจะไม่สามารถได้รับพรอะไรเลยใช่ไหม?  ฉันควรขอให้พระเจ้ารักษาฉัน”  ดังนั้นพวกเขาจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ด้วยเหตุที่ข้าพระองค์ปฏิบัติหน้าที่ของตนมานานหลายปีแล้ว พระองค์จะทรงเอาความเจ็บป่วยไปจากข้าพระองค์ได้หรือไม่?”  เมื่อใคร่ครวญต่อไป พวกเขาจึงตระหนักว่า “การขอพระเจ้าแบบนั้นไม่ถูกต้อง  ฉันไม่ควรยื่นข้อเรียกร้องที่ฟุ้งเฟ้อเช่นนั้นต่อพระเจ้า  ฉันควรมีความเชื่อ”  เมื่อพวกเขามีความเชื่อ พวกเขาย่อมรู้สึกเหมือนว่าอาการของตนดีขึ้นบ้าง แต่ผ่านไประยะหนึ่ง พวกเขาก็คิดว่า “ฉันไม่รู้สึกว่าอาการของตัวเองดีขึ้นเลย  อันที่จริงดูเหมือนจะยิ่งแย่ลง  ฉันควรทำอย่างไร?  ฉันจะพยายามให้มากขึ้นและอุตสาหะในหน้าที่ของตนมากขึ้น ฉันจะสู้ทนความทุกข์ให้มากขึ้น จ่ายราคาให้สูงขึ้น และเพียรพยายามที่จะทำให้พระเจ้ารักษาฉัน  ฉันจะแสดงให้พระเจ้าเห็นความจงรักภักดีและความเชื่อของฉัน และแสดงให้พระองค์เห็นว่าฉันสามารถยอมรับบททดสอบนี้ได้”  ผ่านไประยะหนึ่ง ไม่เพียงอาการเจ็บป่วยของพวกเขาจะไม่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังแย่ลงอีกด้วย และพวกเขาก็รู้สึกเศร้าเสียใจมากขึ้นทุกที พลางคิดว่า “พระเจ้าไม่ได้ทรงรักษาฉัน  ฉันควรทำอย่างไรดี?  พระเจ้าจะทรงรักษาฉันหรือเปล่า?”  พวกเขายิ่งทุกข์ใจ วิตกกังวล และกระวนกระวายมากขึ้น  ในบริบทเช่นนี้ พวกเขาย่อมดำเนินชีวิตอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบ เช่น ความทุกข์ใจ ความวิตกกังวล และความกระวนกระวายต่อไปเพราะความเจ็บป่วยของตนเอง  บางครั้งพวกเขาก็เกิด “ความเชื่อ” บางอย่างในพระเจ้า มอบถวายความจงรักภักดีและความมุ่งมั่นของตนบ้างเป็นครั้งคราว  ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรหรือใช้แนวทางใดก็ตาม พวกเขาก็ติดอยู่ในกับดักของภาวะอารมณ์ที่ทุกข์ใจ วิตกกังวล และกระวนกระวายอย่างต่อเนื่อง  ถูกอาการเจ็บป่วยของตนพันธนาการเอาไว้อย่างแน่นหนา และทุกสิ่งที่พวกเขาทำก็เป็นไปเพื่อให้อาการของตนดีขึ้น เพื่อที่จะรักษาให้หายและเป็นอิสระจากโรคภัย  เมื่อคนคนหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้นึกถึงความเจ็บไข้ได้ป่วยของตนเพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่ภายใต้การครอบงำของภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านั้น การนึกคิดของพวกเขามักจะดำเนินไปไม่หยุด  เมื่อความนึกคิดที่วิ่งไม่หยุดเหล่านี้ไม่อาจผ่านพ้นไปได้ หรือเมื่อความเป็นจริงไม่เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ บางครั้งแนวคิดมากมายหรือแม้กระทั่งแนวทางต่างๆ ก็ผุดขึ้นมาในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาทั้งที่ไม่อยากคิด  พวกเขากล่าวว่า “ถ้าพระเจ้าไม่ทรงรักษาฉัน ฉันก็จะทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ดี แต่ถ้าพระเจ้าจะไม่ทรงรักษาฉันจริงๆ แบบนั้นความเชื่อที่ฉันมีในพระองค์ก็เปล่าประโยชน์ และฉันก็จะต้องรักษาโรคด้วยตัวเอง”  เจ้าดูเอาเถิด พวกเขาคิดในใจว่า “ถ้าพระเจ้าไม่ทรงรักษาฉัน ฉันก็จะยังคงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี—นี่คือการที่พระเจ้าทรงทดสอบฉัน” แต่พร้อมกันนั้นพวกเขาก็คิดไปด้วยว่า “ถ้าพระเจ้าจะไม่รักษาฉันจริงๆ แบบนั้นฉันก็จะต้องรักษาโรคเอาเอง  ถ้าฉันต้องรักษาโรคด้วยตนเอง เช่นนั้นแล้วฉันก็จะไม่ทำหน้าที่ของตน  ถ้าความเชื่อที่ฉันมีในพระเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะรักษาโรคภัยให้ฉัน ฉันควรที่จะเชื่อในพระเจ้าไปเพื่ออะไร?  ทำไมพระเจ้าถึงรักษาคนอื่น แต่ไม่รักษาฉัน?”  พวกเขาพัวพันอยู่กับภาวะอารมณ์เชิงลบของตนอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงพวกเขาจะไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงความคิดอ่านและมุมมองที่ไม่ถูกต้องของตนให้ถูกต้องเท่านั้น แต่ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ยังพาให้พวกเขาค่อยๆ เข้าใจพระเจ้าผิด พร่ำบ่นพระเจ้า และสงสัยพระเจ้าในระหว่างที่มีประสบการณ์กับอาการเจ็บป่วยของตนอีกด้วย  ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงภาวะอารมณ์เชิงลบของพวกเขาอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเป็นขั้นตอนที่พวกเขาเข้าสู่การทำตัวตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  เมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามเข้าควบคุมการกระทำของคนคนหนึ่ง คนคนนั้นก็จะไม่ได้มีแต่ภาวะอารมณ์เชิงลบเท่านั้นอีกต่อไป—ความคิดอ่านและมุมมองบางอย่าง หรือความคิดเห็นและคำตอบบางอย่างย่อมจะก่อเกิดในตัวพวกเขา และจะทำให้เกิดการกระทำบางอย่างขึ้นมา  เมื่อภาวะอารมณ์อย่างหนึ่งเปลี่ยนแปลงกลายเป็นสภาวะอย่างหนึ่ง นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องของภาวะอารมณ์เชิงลบ การนึกคิดบางเรื่อง หรือการดำเนินชีวิตอยู่ในสภาพการณ์บางอย่างเท่านั้นอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องที่สภาพการณ์นี้ก่อให้เกิดความคิด มุมมอง และคำตอบขึ้นมา ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวและการกระทำต่างๆ  แล้วอะไรที่ครอบงำความคิด มุมมอง ความเคลื่อนไหว และการกระทำเหล่านี้อยู่?  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามนั่นเองที่ครอบงำสิ่งเหล่านี้  คราวนี้ก็เข้าใจขั้นตอนทั้งหมดของการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ง่ายขึ้นแล้วใช่ไหม?  (ใช่)  เริ่มแรกผู้คนเกิดภาวะอารมณ์เชิงลบในบริบทบางอย่าง และภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ก็เป็นเพียงความคิด มุมมอง และแนวคิดธรรมดาๆ ไม่กี่อย่าง แต่แนวคิดเหล่านี้ล้วนเป็นลบทั้งสิ้น  แนวคิดที่เป็นลบเหล่านี้นอนนิ่งอยู่ในภาวะอารมณ์ของผู้คนและพลอยทำให้พวกเขาเกิดสภาวะต่างๆ ที่ไม่ถูกต้องขึ้นมา  เมื่อผู้คนดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะที่ไม่ถูกต้อง และตัดสินใจว่าจะทำอะไร ทำอย่างไร และจะใช้แนวทางใดบ้าง มุมมองและทฤษฎีที่ไม่ถูกต้องย่อมก่อเกิดในตัวพวกเขา จากนั้นก็ดึงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง  เรื่องก็ง่ายเช่นนี้เอง  คราวนี้ชัดเจนกันแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่ ชัดเจนแล้ว)  ถ้าอย่างนั้นก็จงบอกกล่าวความเข้าใจให้เราฟังเถิด  (ในบริบทบางอย่าง ผู้คนเกิดภาวะอารมณ์เชิงลบบางอย่างขึ้นมา  ตอนแรกภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ก่อให้เกิดแนวคิดเชิงลบเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น  เมื่อแนวคิดเชิงลบเหล่านี้ก่อให้เกิดสภาวะต่างๆ ที่ไม่ถูกต้อง และผู้คนก็เริ่มตัดสินใจว่าจะทำอะไรและเริ่มใช้แนวทางบางอย่าง พวกเขาก็ถูกความคิดอ่านและทฤษฎีบางอย่างครอบงำ  จากนั้นเรื่องนี้ก็ไปดึงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง)  จงตรึกตรองเรื่องนี้และดูว่าพวกเจ้าเข้าใจหรือไม่  ง่ายมิใช่หรือ?  (ใช่)  ฟังดูง่าย แต่พวกเจ้าแยกแยะภาวะอารมณ์เชิงลบออกจากอุปนิสัยที่เสื่อมทรามได้หรือไม่?  ไม่ว่าจะแยกแยะสองสิ่งนี้ในทางทฤษฎีได้ง่ายหรือไม่ก็ตาม พวกเจ้าเข้าใจความแตกต่างระหว่างภาวะอารมณ์เชิงลบกับอุปนิสัยที่เสื่อมทรามกันหรือยัง?  (เข้าใจแล้ว)

ถ้าภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ ที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปนั้นมีอยู่ในหัวใจของพวกเจ้า พวกเจ้าจะดูออกและชำแหละออกมาได้หรือไม่?  (พวกเราย่อมจะดูออกบ้าง)  ถ้าพวกเจ้ามีภาวะอารมณ์เชิงลบ พวกเจ้าก็ควรที่จะสามารถใช้วิจารณญาณจับสังเกตได้  จุดประสงค์ของการตระหนักรู้ภาวะอารมณ์เชิงลบไม่ใช่เพื่อให้เกิดความเข้าใจทั่วไปในทางทฤษฎีหรือเข้าใจความหมายของภาวะอารมณ์เชิงลบ แล้วก็จบกันเพียงเท่านั้น  จุดประสงค์คือเพื่อให้เป็นอิสระจากการถูกภาวะอารมณ์เชิงลบทรมานหลังจากที่มีวิจารณญาณจับสังเกตภาวะอารมณ์เชิงลบได้จริงแล้ว และปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ ที่ไม่ควรมีอยู่ในตัวผู้คน อย่างเช่นภาวะอารมณ์เชิงลบที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปในตอนต้น  คราวนี้ ตามที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันเรื่องความแตกต่างระหว่างภาวะอารมณ์เชิงลบกับอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าภาวะอารมณ์เชิงลบคือมูลเหตุหรือบริบทที่พาให้ผู้คนเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนออกมา?  ตัวอย่างเช่น ในกรณีของโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าเจ้าไม่เกิดภาวะอารมณ์เชิงลบอย่างความทุกข์ใจ ความวิตกกังวล และความกระวนกระวายขึ้นมาเพราะโรคภัย นั่นก็ย่อมพิสูจน์ว่าเจ้ามีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องนี้ เจ้ามีความคิดอ่านและมุมมองที่ถูกต้อง และนบนอบอย่างแท้จริง  ด้วยเหตุนี้ ความคิดอ่านและการกระทำของเจ้าในเรื่องนี้จึงควรที่จะสอดคล้องกับความจริง  ในทางกลับกัน ถ้าเจ้ามีประสบการณ์เป็นภาวะอารมณ์เชิงลบในเรื่องบางอย่างตลอดเวลา และยังคงติดอยู่ในกับดักของภาวะอารมณ์เชิงลบอย่างต่อเนื่องเพราะเหตุดังกล่าว ก็เป็นธรรมดาที่สภาวะที่เป็นลบต่างๆ จะก่อเกิดในตัวเจ้าอันเนื่องมาจากภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้  แล้วก็เป็นธรรมดาที่สภาวะที่เป็นลบเหล่านี้จะทำให้เจ้าเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าออกมาระหว่างที่เจ้าตกอยู่ในสภาวะที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้  และแล้วเจ้าก็จะกระทำการตามปรัชญาของซาตาน ละเมิดความจริงในทุกด้าน และใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพวกเราจะแยกแยะภาวะอารมณ์เชิงลบออกจากอุปนิสัยที่เสื่อมทรามกันอย่างไร สรุปแล้ว ทั้งสองสิ่งนี้ต่างก็เชื่อมโยงกัน และไม่อาจแยกจากกันได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สองสิ่งนี้ต่างก็มีแก่นแท้เดียวกันตรงที่ทั้งภาวะอารมณ์เชิงลบและอุปนิสัยที่เสื่อมทรามคือสิ่งที่เป็นลบ—มีแก่นแท้เหมือนกันและแฝงความคิดอ่านและมุมมองที่เหมือนกัน  ความคิดอ่านและมุมมองที่พาให้เกิดภาวะอารมณ์เชิงลบย่อมเป็นลบทั้งสิ้น ล้วนเป็นปรัชญาของซาตาน และสิ่งที่เป็นลบเหล่านี้ก็พาให้ผู้คนเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมา วางตนและกระทำการตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน  ย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)

คราวที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมกันเรื่องภาวะอารมณ์เชิงลบ เช่น ความทุกข์ใจ ความวิตกกังวล และความกระวนกระวาย  คราวนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมกันถึงแง่มุมอีกอย่างหนึ่งของภาวะอารมณ์เชิงลบ ซึ่งมีแก่นแท้เกือบจะเหมือนกับความทุกข์ใจ ความวิตกกังวล และความกระวนกระวาย แต่มีธรรมชาติที่เป็นลบยิ่งกว่าเสียอีก  ภาวะอารมณ์นี้คืออะไร?  คือสภาวะจิตใจที่ผู้คนพบเจอบ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน—นั่นคือความเก็บกด  พวกเจ้าทุกคนเคยได้ยินคำว่า “ความเก็บกด” กันแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จงแต่งประโยคหรือยกตัวอย่างโดยใช้คำว่า “ความเก็บกด” ให้ฟังหน่อยเถิด  เราจะเริ่มก่อนหนึ่งประโยค  บางคนกล่าวว่า “ฉันมักจะรู้สึกเก็บกดเวลาทำหน้าที่ของตนเอง และไม่สามารถพาตัวเองออกจากความรู้สึกนี้ได้”  ประโยคนี้เรียบเรียงถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  คราวนี้ก็ถึงตาพวกเจ้า  (ฉันเผยความเสื่อมทรามออกมาอยู่เสมอเวลาเกิดเรื่องกับตัวเอง และฉันก็ต้องทบทวนและพยายามรู้จักตัวเองตลอดเวลา ฉันเลยรู้สึกเก็บกด)  เจ้ารู้สึกเก็บกดเพราะเจ้าพยายามทำความรู้จักตัวเองมากเกินไป  บริบทของความเก็บกดแบบนี้คืออะไร?  อะไรทำให้เกิดความเก็บกดแบบนี้?  ก็คือเจ้ารู้ว่าเจ้านั้นสูญเปล่าจริงๆ และดูเหมือนจะไม่มีความสำเร็จหรือบั้นปลายรอเจ้าอยู่ข้างหน้า เจ้าไม่มีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดแต่อย่างใด ดังนั้นเจ้าจึงรู้สึกเก็บกด  มีใครที่อยากออกความเห็นอีก?  (ในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดง การเชื่อในพระเจ้าทำให้ผู้คนรู้สึกเก็บกด)  นี่คือการรู้สึกเก็บกดเพราะสภาพแวดล้อมของตน  (การถูกผู้นำของฉันคอยกำกับดูแลอย่างต่อเนื่องเวลาที่ฉันทำหน้าที่ของตนนั้น ทำให้ฉันรู้สึกเก็บกด)  พูดได้ดี นั่นแสดงถึงภาวะอารมณ์ที่เก็บกดได้อย่างเป็นรูปธรรมมาก  (เวลาทำหน้าที่ของตน ฉันประสบความล้มเหลวและพบเจอเรื่องติดขัดอยู่เสมอ นี่ทำให้ฉันรู้สึกเก็บกด)  เรื่องติดขัดและความล้มเหลวทำให้พวกเจ้ารู้สึกเก็บกดราวกับว่าไม่มีหนทางไปต่อ  เวลาที่งานของพวกเจ้าเดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า พวกเจ้ารู้สึกเก็บกดกันหรือไม่?  (รู้สึก)  นั่นแฝงความนัยที่ค่อนข้างเป็นบวก  จงบอกเรามาอีกเถิด  (ฉันรู้สึกเก็บกดเมื่อถูกตัดแต่งอยู่เสมอเวลาทำหน้าที่ของตนเอง)  นั่นคือความเป็นจริงใช่หรือไม่?  (ฉันรู้สึกเก็บกดเวลาไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีในหน้าที่ของตน)  สาเหตุของความเก็บกดแบบนี้คืออะไร?  เป็นเพราะเจ้าไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีจริงหรือ?  เจ้ากลัวว่าหน้าที่ของเจ้าจะถูกปรับเปลี่ยนหรือเจ้าจะถูกขับออกไปมิใช่หรือ?  (ใช่)  เหล่านี้คือสาเหตุที่เป็นรูปธรรมของความเก็บกดของเจ้า  มีความรู้สึกเก็บกดแบบอื่นอีกหรือไม่?  จงเล่าให้เราฟังเถิด  (คู่ทำงานทุกคนเก่งกว่าฉัน ดังนั้นฉันจึงรู้สึกเก็บกด)  ความเก็บกดแบบนั้น—เป็นปัญหาที่เกิดจากความอิจฉา  มีเรื่องเก็บกดอื่นๆ อีกหรือไม่?  (ฉันรู้สึกเก็บกดเพราะในสายงานของฉันไม่มีความคืบหน้ามานานแล้ว)  นี่คือความกดดันหรือความเก็บกด?  ออกจะเป็นความกดดัน  ถ้าอย่างนั้น การมีความกดดันแบบนี้ก็เป็นเรื่องดี  เพียงแต่เจ้าต้องเปลี่ยนความกดดันนี้ให้เป็นแรงจูงใจมิใช่หรือ?  เมื่อหน้าที่ของสมาชิกในแต่ละทีมถูกปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ พวกเจ้าย่อมจะรู้สึกเก็บกดใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าย่อมจะรู้สึกเก็บกดเช่นกัน  จากประโยคที่พวกเจ้าพูดมา ดูเหมือนว่าพวกเจ้ามีประสบการณ์กับภาวะอารมณ์ที่เก็บกดกันทุกคน  ดูเหมือนว่าตัวตนข้างในของผู้คนพะวักพะวนมาก กระสับกระส่ายตลอดเวลา และอยู่ภายใต้ความกดดันบางอย่างที่มองไม่เห็น ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดภาวะอารมณ์ที่เก็บกดในตัวพวกเขา แล้วจากนั้นพวกเขาก็ใช้ชีวิตอยู่กับภาวะอารมณ์เชิงลบที่เก็บกดนี้  นี่ใช่เรื่องดีหรือไม่?  (ไม่)  นี่ไม่ใช่เรื่องดี  เมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องนี้ก็ควรได้รับการแก้ไขมิใช่หรือ?  ในเมื่อไม่ใช่เรื่องดี ก็ควรได้รับการแก้ไข  เมื่อผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นภาวะอารมณ์เช่นใดก็ตาม  ในระดับที่เล็กลงมาย่อมสามารถให้ผลอันไม่พึงประสงค์ต่อร่างกายและจิตใจของพวกเขาได้ กีดกันไม่ให้พวกเขามีชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุขและเติบโตแข็งแรง  ในระดับที่ใหญ่ขึ้น ผลที่ภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ มีต่อผู้คนนั้นไม่ได้จำกัดอยู่ที่ความต้องการพื้นฐานที่พวกเขามีในชีวิตประจำวัน เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และการคมนาคมขนส่งเท่านั้น  ที่สำคัญกว่าก็คือยังส่งผลต่อลักษณะการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตนและกระทำการอีกด้วย  กล่าวให้เจาะจงลงไปอีกก็คือ มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพ ความก้าวหน้า และประสิทธิผลในหน้าที่ของพวกเขา  แน่นอนว่าที่ยิ่งสำคัญกว่านั้นคือนี่ส่งผลต่อสิ่งที่พวกเขาได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ของตนและประโยชน์ที่ผู้คนพึงเก็บเกี่ยวจากความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้า  ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนถูกภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ตามรังควานและพันธนาการเอาไว้ตลอดเวลา หัวใจของพวกเขามักจะถูกรบกวน และพวกเขาก็จมจ่อมอยู่ในความรู้สึกต่างๆ อยู่เนืองๆ เช่น ความกระสับกระส่าย ความไม่สบายใจ และความหุนหันพลันแล่น  เมื่อผู้คนถูกความรู้สึกเหล่านี้ดักจับเอาไว้ มโนธรรมและเหตุผลตามปกติของพวกเขา ชีวิตตามปกติและการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของพวกเขาย่อมถูกขัดขวาง ได้รับผลกระทบ และพังทลาย  เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจึงควรแก้ไขภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ทันที และป้องกันไม่ให้ส่งผลต่อชีวิตและการงานตามปกติของพวกเจ้าอีกต่อไป  แนวคิดเรื่องความเก็บกดที่พวกเราสามัคคีธรรมกันในวันนี้มีแก่นแท้เหมือนกับภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ ที่พวกเราพูดถึงในตอนต้น  ผู้คนมักจะวิตกกังวลและมีความเคลือบแคลงในเรื่องต่างๆ มากมาย หรือเก็บงำความไม่สบายใจเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจเป็นอันมาก ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเก็บกด  ถ้าภาวะอารมณ์ที่เก็บกดนี้ยังคงไม่ได้รับการแก้ไขเป็นเวลานานๆ ผู้คนก็จะยิ่งไม่สบายใจและทุรนทุรายอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ  ในสภาพแวดล้อมและบริบทจำเพาะบางอย่าง ผู้คนอาจถึงขั้นหลุดออกจากการควบคุมของมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ คิดใช้แนวทางบางอย่างที่สุดโต่งเพื่อให้ก้าวพ้นสถานการณ์ของตน  นี่เป็นเพราะความสามารถโดยสัญชาตญาณของร่างกายมนุษย์ในการที่จะทนทานต่อภาวะอารมณ์เชิงลบบางอย่างนั้นมีขีดจำกัด  เมื่อไปถึงขีดจำกัดและจุดสูงสุดที่จะทนได้ ผู้คนย่อมจะหลุดออกจากกรอบการควบคุมตามเหตุผลของความเป็นมนุษย์ และใช้แนวทางบางอย่างที่สุดโต่งเพื่อระบายภาวะอารมณ์ของตนออกมา ตลอดจนระบายแนวคิดที่ไม่สมเหตุสมผลสารพัดอย่างซึ่งทอดตัวอยู่ลึกลงไปในหัวใจของตนออกมา

พวกเจ้าเพิ่งกล่าวถึงสาเหตุบางอย่างที่แตกต่างกันผ่านทางการแต่งประโยคของตนว่าเหตุใดผู้คนจึงรู้สึกเก็บกด  วันนี้หลักๆ พวกเราจะสามัคคีธรรมกันถึงสาเหตุและเหตุผลสามข้อว่าเหตุใดภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความเก็บกดนี้จึงเกิดขึ้นในตัวผู้คน  ข้อแรกก็คือ ไม่ว่าจะในชีวิตประจำวันหรือในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของตน ผู้คนมากมายก็รู้สึกว่าตนนั้นไม่สามารถทำอะไรตามใจชอบ  นี่คือเหตุผลข้อแรก ซึ่งก็คือการไม่สามารถทำอะไรตามใจชอบ  การไม่สามารถทำอะไรตามใจชอบหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าไม่สามารถกระทำการตามความอยากทั้งปวงที่ผ่านล่วงเข้ามาในความรู้สึกนึกคิดของคนเราได้  การสามารถทำสิ่งที่ตนต้องการ เมื่อตนต้องการ และอย่างที่ตนต้องการได้นั้นคือข้อเรียกร้องที่ผู้คนเหล่านี้มีทั้งในการงานและในชีวิต  อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุผลอันหลากหลาย รวมถึงกฎหมาย สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิต หรือกฎเกณฑ์ ระบบ ระเบียบ และมาตรการทางวินัยของกลุ่ม เป็นต้น ผู้คนจึงไม่สามารถกระทำการตามความต้องการและความคิดฝันของตนได้  ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงรู้สึกเก็บกดอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ  กล่าวตามตรงก็คือ ความเก็บกดนี้เกิดขึ้นเพราะผู้คนรู้สึกเสียใจ—บางคนถึงกับรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม  การไม่สามารถทำตามใจชอบนั้น หากกล่าวอย่างตรงไปตรงมาก็คือการไม่สามารถกระทำการตามเจตจำนงของตนเอง—หมายความว่าคนเราไม่อาจดื้อรั้นเอาแต่ใจหรือตามใจตัวเองได้อย่างอิสระด้วยสาเหตุต่างๆ กันและด้วยข้อห้ามของสภาพแวดล้อมและภาวะต่างๆ ตามความเป็นจริง  ตัวอย่างเช่น บางคนสุกเอาเผากินและหาทางอู้งานอยู่เสมอเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน  บางครั้งงานของคริสตจักรก็จำต้องรีบเร่ง แต่พวกเขาก็เอาแต่อยากทำอะไรตามใจชอบ  ถ้าพวกเขาไม่รู้สึกว่าสุขภาพของตนดีมากๆ หรือถ้าพวกเขาอารมณ์ไม่ดีและรู้สึกแย่อยู่สองวัน พวกเขาย่อมจะไม่เต็มใจสู้ทนความลำบากและจ่ายราคาเพื่อที่จะทำงานของคริสตจักร  พวกเขาย่อมเกียจคร้านและอยากสะดวกสบายกันเป็นพิเศษ  เมื่อพวกเขาไม่มีแรงจูงใจ ร่างกายของพวกเขาก็จะเชื่องช้า และพวกเขาก็จะไม่เต็มใจที่จะขยับเขยื้อน แต่พวกเขาก็กลัวว่าจะถูกผู้นำตัดแต่งและถูกพี่น้องชายหญิงบอกว่าตนนั้นเกียจคร้าน ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ฝืนใจปฏิบัติงานไปพร้อมกับทุกคน  อย่างไรก็ดี พวกเขาย่อมจะรู้สึกไม่เต็มใจ ไม่มีความสุข และจำใจอย่างยิ่ง  พวกเขาย่อมจะรู้สึกว่าถูกกระทำ รู้สึกขัดเคือง หงุดหงิด และเหนื่อยล้า  พวกเขาอยากทำอะไรตามเจตจำนงของตนเอง แต่ก็ไม่กล้าแหวกหรือต่อต้านข้อกำหนดและกฎระเบียบแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้ พอนานเข้าจึงเริ่มมีภาวะอารมณ์อย่างหนึ่งก่อเกิดในตัวพวกเขา—ซึ่งก็คือความเก็บกด  เมื่อภาวะอารมณ์ที่เก็บกดนี้หยั่งรากลงไปในตัวพวกเขา พวกเขาก็เริ่มที่จะดูเซื่องซึมและไม่มีแรงไปเรื่อยๆ  พวกเขาไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจนอีกต่อไปว่าตนทำอะไรอยู่ แต่ก็ยังคงทำทุกสิ่งที่ได้รับการบอกกล่าวให้ทำไปทุกวัน ตามวิธีที่มีคนบอกให้ทำ เหมือนเป็นเครื่องจักร  แม้ภายนอกแล้วพวกเขาจะยังคงทำงานของตนต่อไปไม่หยุด ไม่พัก ไม่ก้าวออกจากสภาพแวดล้อมที่ตนปฏิบัติหน้าที่อยู่ แต่ในหัวใจนั้นพวกเขาย่อมจะรู้สึกเก็บกด และคิดไปว่าชีวิตของตนช่างเหนื่อยล้าและเต็มไปด้วยความคับข้องหมองใจ  ความต้องการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาในตอนนั้นคือสักวันหนึ่งตนจะไม่ถูกผู้อื่นควบคุมอีกต่อไป ไม่ถูกกฎระเบียบแห่งพระนิเวศของพระเจ้าห้ามปรามอีกต่อไป และเป็นอิสระจากการจัดแจงแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาอยากทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ เมื่อใดก็ตามที่อยากทำ ถ้ารู้สึกดีก็ทำงานบ้าง และถ้ารู้สึกไม่ดีก็ไม่ทำงาน  พวกเขาโหยหาที่จะเป็นอิสระจากความผิดใดๆ จากการถูกตัดแต่งอีก จากการดูแล สอดส่อง หรือจากการกำกับดูแลของใครๆ  พวกเขาคิดไปว่าเมื่อวันนั้นมาถึง ย่อมจะเป็นวันที่ยอดเยี่ยม พวกเขาจะรู้สึกเป็นอิสระและเสรีอย่างยิ่ง  อย่างไรก็ดี พวกเขายังคงไม่เต็มใจที่จะจากไปหรือล้มเลิก กลัวว่าถ้าไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน ถ้าวันหนึ่งพวกเขาทำตามใจชอบและเป็นอิสระเสรีเข้าจริงๆ เมื่อนั้นพวกเขาย่อมจะออกห่างจากพระเจ้าไปโดยปริยาย และพวกเขาก็กลัวว่าถ้าพระเจ้าไม่ทรงต้องการตนอีกต่อไป พวกตนก็จะไม่สามารถได้รับพรใดๆ  บางคนพบว่าตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก กล่าวคือ ถ้าพวกเขาพยายามบ่นให้พี่น้องชายหญิงฟัง พวกเขาก็จะพบว่ายากนักที่จะพูดออก  ถ้าพวกเขาหันไปอธิษฐานถึงพระเจ้า พวกเขาก็จะรู้สึกว่าไม่สามารถเปิดปากได้  ถ้าพวกเขาพร่ำบ่น พวกเขาก็รู้สึกว่าตนนั่นเองที่ผิด  ถ้าไม่บ่น พวกเขาก็จะรู้สึกอึดอัดใจ  พวกเขานึกสงสัยว่าทำไมชีวิตของตนถึงรู้สึกเหมือนเต็มไปด้วยความคับข้องเหลือเกิน สวนทางกับเจตจำนงของตนมาก และเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง  พวกเขาไม่อยากใช้ชีวิตอย่างนั้น ไม่อยากพร้อมเพรียงกับทุกคน พวกเขาอยากทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ อย่างที่อยากทำ และนึกสงสัยว่าทำไมตนถึงทำเช่นนั้นไม่ได้  พวกเขาเคยรู้สึกว่าตนนั้นเหนื่อยล้าแต่กาย แต่มาตอนนี้หัวใจของพวกเขาเองก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเช่นกัน  พวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน  จงบอกเราเถิดว่านี่เกิดจากภาวะอารมณ์ที่เก็บกดมิใช่หรือ?  (ใช่)

บางคนกล่าวว่า “ทุกคนบอกว่าผู้เชื่อมีอิสระและเสรี ผู้เชื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีสันติ และเบิกบานเป็นพิเศษ  ทำไมฉันถึงมีชีวิตที่เป็นสุขและมีสันติอย่างคนอื่นไม่ได้?  ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกเบิกบานเลย?  ทำไมฉันถึงรู้สึกเก็บกดและเหนื่อยล้าอย่างนี้?  คนอื่นใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขแบบนั้นได้อย่างไร?  ทำไมชีวิตของฉันถึงทุกข์ตรมอย่างนี้?”  จงบอกเราเถิดว่าอะไรคือสาเหตุของเรื่องนี้?  อะไรทำให้พวกเขาเกิดความเก็บกด?  (ร่างกายของพวกเขาไม่ได้รับการตอบสนองและเนื้อหนังของพวกเขาก็ทนทุกข์)  เมื่อร่างกายของคนเราทนทุกข์และพวกเขารู้สึกว่าร่างกายของตนถูกกระทำ ถ้าหัวใจและความรู้สึกนึกคิดของพวกเขารับได้ พวกเขาย่อมจะรู้สึกมิใช่หรือว่าความทุกข์ทางกายของตนนั้นไม่ได้หนักหนาขนาดนั้นอีกต่อไป?  ถ้าพวกเขาพบความชูใจ สันติสุข และความเบิกบานในหัวใจและความรู้สึกนึกคิดของตน พวกเขาจะยังคงรู้สึกเก็บกดอยู่หรือไม่?  (ไม่)  เพราะฉะนั้น การกล่าวว่าความเก็บกดเกิดจากความทุกข์ทางกายจึงฟังไม่ขึ้น  ถ้าความเก็บกดเกิดจากความทุกข์ที่หนักหนาสาหัสทางกาย เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าย่อมทนทุกข์อยู่มิใช่หรือ?  พวกเจ้ารู้สึกเก็บกดเพราะไม่สามารถทำอะไรได้ตามใจชอบกันหรือไม่?  พวกเจ้าติดอยู่ในกับดักของภาวะอารมณ์ที่เก็บกดเพราะไม่สามารถทำตามใจชอบกันหรือไม่?  (ไม่)  งานในแต่ละวันของพวกเจ้ายุ่งหรือไม่?  (ค่อนข้างยุ่ง)  พวกเจ้าค่อนข้างยุ่งกันทุกคน ทำงานตั้งแต่เช้ามืดจนพลบค่ำ  นอกจากนอนและกินแล้ว พวกเจ้าก็ใช้เวลาเกือบทั้งวันอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เหนื่อยล้าทั้งสายตาและสมอง ร่างกายก็อ่อนเพลีย แต่พวกเจ้ารู้สึกเก็บกดกันหรือไม่?  ความเหน็ดเหนื่อยนี้จะทำให้เจ้าเกิดความเก็บกดหรือไม่?  (ไม่)  อะไรทำให้ผู้คนเก็บกด?  แน่นอนว่าไม่ใช่ความอ่อนล้าทางกาย ดังนั้นอะไรคือสาเหตุ?  ถ้าผู้คนแสวงหาความสบายกายและความสุขอยู่เสมอ ถ้าพวกเขาไล่ตามไขว่คว้าความสุขกายและความสะดวกสบายกันตลอดเวลา และไม่อยากทนทุกข์ เช่นนั้นแล้วแม้แต่ความทุกข์กายเพียงนิดหน่อย ทนทุกข์มากกว่าผู้อื่นบ้าง หรือรู้สึกว่าทำงานมากกว่าปกติบ้าง ก็ย่อมจะทำให้พวกเขารู้สึกเก็บกด  นี่คือสาเหตุหนึ่งของความเก็บกด  ถ้าผู้คนไม่คิดว่าความทุกข์กายเล็กน้อยเป็นเรื่องสำคัญ และไม่ไล่ตามไขว่คว้าความสบายกาย แต่กลับไล่ตามเสาะหาความจริงและเสาะแสวงที่จะลุล่วงหน้าที่ของตนเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่ค่อยรู้สึกทุกข์กาย  ต่อให้พวกเขารู้สึกเป็นครั้งคราวว่างานยุ่ง รู้สึกเหน็ดเหนื่อย หรือเมื่อยล้าบ้าง พอได้ไปนอน พวกเขาก็จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อตื่นขึ้นมา แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะทำงานของตนต่อไป  ความสนใจของพวกเขาจะอยู่กับหน้าที่และงานของตน พวกเขาจะไม่คิดว่าการเหนื่อยกายเล็กน้อยเป็นปัญหาใหญ่  อย่างไรก็ดี เมื่อการคิดอ่านของผู้คนมีปัญหา และพวกเขาก็ไล่ตามไขว่คว้าความสบายกายอยู่เสมอ เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายของพวกเขาถูกกระทำเล็กน้อยหรือไม่อาจได้รับการตอบสนอง ภาวะอารมณ์เชิงลบบางอย่างย่อมจะก่อเกิดในตัวพวกเขา  แล้วเหตุใดคนประเภทที่อยากทำอะไรตามใจชอบ ปรนเปรอเนื้อหนังของตน และสุขสำราญกับชีวิตอยู่เสมอนี้ จึงมักจะติดกับดักของภาวะอารมณ์เชิงลบที่เก็บกดนี้ทุกครั้งที่พวกเขารู้สึกไม่พอใจ?  (เพราะพวกเขาไล่ตามไขว่คว้าความสะดวกสบายและความสุขสำราญทางกาย)  นั่นจริงสำหรับบางคน  ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ไล่ตามไขว่คว้าความสบายกาย  พวกเขาเสาะแสวงที่จะทำสิ่งต่างๆ ตามใจนึกและทำตามอารมณ์ของตนเอง  เวลาที่พวกเขามีความสุข พวกเขาก็สามารถสู้ทนความทุกข์ได้มากขึ้น สามารถทำงานต่อเนื่องกันไปทั้งวัน และถ้าเจ้าถามพวกเขาว่ารู้สึกเหนื่อยหรือไม่ พวกเขาก็จะตอบว่า “ไม่เหนื่อย การทำหน้าที่ของตัวเองจะทำให้ฉันเหนื่อยได้อย่างไร!”  แต่ถ้าวันใดพวกเขาไม่มีความสุข ต่อให้เจ้าขอให้พวกเขาทำอะไรต่ออีกเพียงนาทีเดียว พวกเขาก็จะฉุนเฉียว และถ้าเจ้าว่ากล่าวพวกเขาเล็กน้อย พวกเขาก็จะบอกว่า “หยุดพูดเลย!  ฉันรู้สึกเก็บกด  ถ้าคุณยังพูดต่อ ฉันจะไม่ทำหน้าที่ และนั่นก็จะเป็นความผิดของคุณ  ถ้าในอนาคตฉันไม่ได้รับพร นั่นก็จะเป็นความผิดของคุณ และคุณย่อมจะแบกรับความรับผิดชอบทุกอย่าง!”  เวลาผู้คนอยู่ในสภาวะที่ผิดปกติ อารมณ์ของพวกเขาย่อมแปรปรวน  บางครั้งพวกเขาก็จะสามารถทนทุกข์และจ่ายราคาได้ แต่บางครั้งพวกเขาก็จะพร่ำบ่นเรื่องความทุกข์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และแม้แต่เรื่องเล็กๆ ก็ทำให้พวกเขาขุ่นใจ  เวลาพวกเขาอารมณ์ไม่ดี พวกเขาจะไม่อยากทำหน้าที่ของตน อ่านพระวจนะของพระเจ้า ร้องเพลงนมัสการ หรือเข้าชุมนุมและฟังคำเทศนาอีกต่อไป  พวกเขาเอาแต่อยากอยู่คนเดียวสักระยะ และเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะช่วยเหลือหรือเกื้อหนุนพวกเขาได้  ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็อาจจะทำใจได้และรู้สึกดีขึ้น  อะไรก็ตามที่ไม่สามารถทำให้พวกเขาพอใจย่อมจะทำให้พวกเขารู้สึกเก็บกด  คนแบบนี้ดื้อรั้นเอาแต่ใจเป็นพิเศษมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาดื้อรั้นเอาแต่ใจเป็นพิเศษ  ตัวอย่างเช่น ถ้าอยากไปนอนเดี๋ยวนั้น พวกเขาย่อมยืนกรานที่จะทำเช่นนั้น  พวกเขาจะกล่าวว่า “ฉันเหนื่อย และอยากเข้านอนตอนนี้เลย  พอฉันหมดเรี่ยวหมดแรง ฉันต้องนอน!”  ถ้ามีคนบอกว่า “คุณทนอีกสักสิบกว่านาทีไม่ได้หรือ?  เดี๋ยวงานนี้ก็จะเสร็จแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราทุกคนก็จะพักผ่อนได้ เอาอย่างนั้นได้ไหม?” พวกเขาก็จะตอบว่า “ไม่ ฉันต้องไปนอนเดี๋ยวนี้!”  ถ้ามีใครเกลี้ยกล่อมพวกเขา พวกเขาก็จะจำใจอยู่ต่ออีกพักหนึ่ง แต่ก็จะรู้สึกเก็บกดและหงุดหงิด  พวกเขามักจะรู้สึกเก็บกดในเรื่องเหล่านี้และไม่เต็มใจที่จะยอมรับความช่วยเหลือจากพี่น้องชายหญิงหรือรับการกำกับดูแลจากผู้นำ  ถ้าทำอะไรผิดพลาดขึ้นมา พวกเขาก็จะไม่ยอมให้ผู้อื่นตัดแต่งตน  พวกเขาไม่อยากถูกกวดขันไม่ว่าจะในลักษณะใด  พวกเขาคิดว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้าเพื่อให้ตัวเองพบเจอความสุข แล้วฉันจะทำให้ตัวเองยุ่งยากไปเพื่ออะไร?  ทำไมชีวิตของฉันถึงเหน็ดเหนื่อยอย่างนี้?  ผู้คนควรใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข  พวกเขาไม่ควรสนใจข้อบังคับเหล่านี้และระบบเหล่านั้นกันมากนัก  การยึดปฏิบัติตามสิ่งเหล่านั้นอยู่เสมอมีประโยชน์อะไร?  เดี๋ยวนี้และตอนนี้ฉันจะทำทุกสิ่งที่ตัวเองอยากทำ  พวกคุณทุกคนไม่ควรคิดที่จะพูดอะไรกันทั้งนั้น”  คนแบบนี้เอาแต่ใจและเหลวไหลเป็นพิเศษ กล่าวคือ พวกเขาไม่ยอมให้ตัวเองทนทุกข์กับข้อจำกัดใดๆ และไม่อยากรู้สึกว่าถูกตีกรอบในสภาพแวดล้อมที่ตนทำงานอยู่  พวกเขาไม่อยากยึดปฏิบัติตามข้อบังคับและหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ไม่เต็มใจที่จะยอมรับหลักธรรมที่ผู้คนควรยึดมั่นในการวางตน และถึงกับไม่อยากปฏิบัติตามสิ่งที่มโนธรรมและเหตุผลบอกว่าตนควรทำ  พวกเขาอยากทำตามใจชอบ ทำทุกสิ่งที่ทำให้ตนเป็นสุข อะไรก็ได้ที่จะทำให้ตนได้ประโยชน์และสะดวกสบาย  พวกเขาเชื่อว่าการใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ข้อจำกัดเหล่านี้ย่อมจะละเมิดเจตจำนงของพวกเขา เป็นการทารุณกรรมตัวเองอย่างหนึ่ง เคี่ยวเข็ญตัวเองมากเกินไป และเชื่อว่าผู้คนไม่ควรใช้ชีวิตกันอย่างนั้น  พวกเขาคิดไปว่าผู้คนควรดำเนินชีวิตกันอย่างอิสระและเสรี ปรนเปรอเนื้อหนังและความอยากได้อยากมีของตน รวมทั้งอุดมคติและความปรารถนาของตนกันอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง  พวกเขานึกว่าพวกเขาควรทำตามแนวคิดทั้งหมดที่ตนมี พูดทุกสิ่งที่อยากพูด ทำทุกอย่างที่อยากทำ และไปทุกที่ที่อยากไป โดยไม่ต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมาหรือความรู้สึกของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตนเอง หรือหน้าที่ที่ผู้เชื่อพึงปฏิบัติ หรือความเป็นจริงความจริงที่พวกเขาพึงค้ำชูและใช้ดำเนินชีวิต หรือเส้นทางชีวิตที่พวกเขาควรเดิน  ผู้คนกลุ่มนี้อยากทำตามใจชอบในสังคมและในหมู่ผู้อื่นอยู่เสมอ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด ก็จะไม่สามารถได้อะไรแบบนั้นอย่างเด็ดขาด  พวกเขาเชื่อว่าพระนิเวศของพระเจ้าเน้นเรื่องสิทธิมนุษยชน ให้อิสระแก่ผู้คนอย่างเต็มที่ และใส่ใจเรื่องความเป็นมนุษย์ เรื่องการอดทนและอดกลั้นต่อผู้คน  พวกเขานึกว่าเมื่อมาที่พระนิเวศของพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็ควรที่จะสามารถปรนเปรอเนื้อหนังและความอยากได้อยากมีของตนได้อย่างเสรี แต่เพราะพระนิเวศของพระเจ้ามีกฏการปกครองและข้อบังคับอยู่ พวกเขาจึงไม่อาจทำตามใจอยากได้อยู่ดี  เพราะฉะนั้น ภาวะอารมณ์เชิงลบที่เก็บกดของพวกเขาจึงไม่อาจแก้ไขได้แม้พวกเขาจะเข้ามาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าแล้วก็ตาม  พวกเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อที่จะลุล่วงความรับผิดชอบประเภทใดหรือทำภารกิจใดๆ ให้เสร็จสมบูรณ์ หรือเพื่อที่จะกลายเป็นคนที่แท้จริง  การเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาไม่ใช่เพื่อที่จะลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ทำภารกิจของตนให้เสร็จสิ้น และได้รับความรอด  ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่กับผู้คนกลุ่มใด อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นใด หรือทำอาชีพอะไร สุดท้ายแล้วเป้าหมายของพวกเขาก็คือการค้นหาและทำให้ตนเองอิ่มเอมใจ  จุดมุ่งหมายของทุกสิ่งที่พวกเขาทำล้วนโคจรอยู่รอบๆ เป้าหมายนี้ และการทำให้ตนเองอิ่มเอมก็คือความอยากชั่วชีวิตของพวกเขาและเป็นเป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้า

พวกเจ้าบางคนรับผิดชอบเป็นเจ้าภาพดูแลพี่น้องชายหญิงและปรุงอาหารให้พวกเขา ในกรณีนั้น เจ้าจำเป็นต้องถามพี่น้องชายหญิงว่าพวกเขาชอบกินอะไร ถามตนเองว่าพระนิเวศของพระเจ้ามีหลักธรรมและข้อกำหนดอะไรบ้าง แล้วจากนั้นจึงเป็นเจ้าภาพดูแลพวกเขาตามหลักธรรมสองอย่างนี้  ถ้าเจ้าเป็นเจ้าภาพดูแลผู้คนจากภาคเหนือของจีน ก็จงทำอาหารที่ใช้ข้าวสาลีเป็นหลักให้มากขึ้น เช่น หมั่นโถว หมั่นโถวม้วน และซาลาเปาใส่ไส้  ในบางโอกาสเจ้าก็สามารถหุงข้าวหรือทำก๋วยเตี๋ยวที่คนจีนภาคใต้กินกันได้เช่นกัน  ทั้งหมดนี้ล้วนใช้ได้  สมมุติว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่เจ้าเป็นเจ้าภาพดูแลนั้นมาจากจีนตอนใต้  พวกเขาไม่ชอบอาหารที่ใช้ข้าวสาลีเป็นหลัก พวกเขาชอบข้าว และถ้าไม่ได้กินข้าว ก็ย่อมรู้สึกเหมือนตนยังไม่ได้กินอาหาร  ดังนั้น ถ้าเจ้าเป็นเจ้าภาพรับรองพวกเขา เจ้าก็ต้องหุงข้าวให้บ่อยขึ้นและดูให้แน่ใจว่าอาหารของเจ้าถูกปากผู้คนที่มาจากจีนตอนใต้  ถ้าเจ้าเป็นเจ้าภาพรับรองผู้คนจากทั้งทางใต้และทางเหนือของจีน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถปรุงอาหารสองแบบและให้ผู้คนเลือกสิ่งที่ตนอยากกิน ให้พวกเขามีอิสระที่จะเลือก  การเป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิงในลักษณะนี้ย่อมตรงตามหลักธรรม—นี่เป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมามาก  ตราบใดที่ผู้คนส่วนใหญ่พอใจ นั่นก็เพียงพอแล้ว  เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องคนไม่เข้าพวกที่รู้สึกไม่พอใจอยู่ไม่กี่คน  อย่างไรก็ดี ถ้าคนที่รับผิดชอบการเป็นเจ้าภาพนั้นไม่เข้าใจความจริงและไม่รู้ว่าจะรับมือเรื่องต่างๆ ตามหลักธรรมอย่างไร กระทำการตามความชอบส่วนตนอยู่เสมอ ทำอาหารที่ตนอยากจะทำโดยไม่คำนึงว่าผู้คนยินดีที่จะกินหรือไม่—นี่เป็นปัญหาเรื่องใด?  เป็นปัญหาเรื่องความเอาแต่ใจและเห็นแก่ตัวเกินควร  บางคนมาจากทางใต้ของจีน และผู้คนส่วนใหญ่ที่พวกเขารับรองก็มาจากทางเหนือ  พวกเขาหุงข้าวทุกวันโดยไม่คิดว่าพี่น้องชายหญิงจะคุ้นเคยหรือไม่ และเมื่อเจ้าพยายามตัดแต่งพวกเขาและให้คำแนะนำบ้าง พวกเขากลับเกิดภาวะอารมณ์บางอย่างขึ้นมา และหัวใจของพวกเขาก็ต้านทาน ไม่เชื่อฟัง และเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง แล้วพวกเขาก็พูดว่า “การหุงหาอาหารในพระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย  การรับใช้ผู้คนเหล่านี้ก็ยากเย็นนัก  ฉันทำงานหนักตั้งแต่เช้ามืดจนย่ำค่ำเพื่อหุงหาให้พวกคุณ แต่พวกคุณก็ยังเลือกกินแบบนี้  การกินข้าวผิดตรงไหน?  พวกเราคนใต้กินข้าวกันวันละสามมื้อไม่ใช่หรือ?  นี่เป็นวิถีชีวิตที่ดีมากไม่ใช่หรือ?  พวกเราแข็งแรงกว่าพวกคุณและมีเรี่ยวแรงมากกว่า  การกินก๋วยเตี๋ยวและหมั่นโถวอยู่เสมอมีดีอะไรนักหนา?  กินอย่างนั้นพวกคุณอิ่มท้องได้หรือ?  รสชาติก๋วยเตี๋ยวนี่ทำไมฉันกินแล้วไม่อร่อย?  ทำไมฉันกินแล้วไม่รู้สึกว่าอิ่ม?  เอาเถอะ ฉันทำอะไรไม่ได้  ฉันก็คงจะต้องทนฝืนใจตัวเองไปเวลาทำหน้าที่ของฉันในพระนิเวศของพระเจ้า  ถ้าไม่ฝืนใจ ฉันก็อาจจะถูกแทนที่หรือถูกขับออกไป  เมื่อเป็นอย่างนั้น ฉันก็มีแต่จะต้องทำก๋วยเตี๋ยวกับหมั่นโถวเท่านั้น!”  พวกเขาทำตามนี้ทุกวันอย่างขุ่นเคือง พลางคิดว่า “ฉันจะกินข้าวสักมื้อก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ  ฉันแค่อยากจะกินข้าวทุกมื้อเท่านั้น  ถ้าไม่มีข้าว ฉันก็อยู่ไม่ได้  ฉันอยากกินข้าว!”  แม้พวกเขาจะจำใจทำก๋วยเตี๋ยวและหมั่นโถวทุกวัน แต่อารมณ์ของพวกเขาก็หดหู่มาก  ทำไมพวกเขาถึงรู้สึกแย่เอามากๆ?  เพราะพวกเขารู้สึกเก็บกด  คิดไปว่า “ฉันต้องรับใช้คนอย่างพวกคุณ ทำอาหารที่พวกคุณชอบกิน และไม่ทำของที่ตัวเองอยากกิน  ทำไมฉันถึงต้องคอยเอาใจพวกคุณอยู่เสมอ แทนที่จะเอาใจตัวเอง?”  พวกเขารู้สึกเสียใจ เก็บกด และรู้สึกว่าชีวิตตนเองนั้นเหนื่อยล้า  พวกเขาไม่ยอมทำงานเพิ่ม และเมื่อลงมือทำงานบ้าง ก็จะทำอย่างสุกเอาเผากิน ถ้าไม่ทำงานอะไรเลย พวกเขาก็กลัวว่าจะถูกแทนที่หรือถูกเอาตัวออกไป  ด้วยเหตุนั้น สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้จึงเป็นการจำใจและฝืนใจลงมือและทำหน้าที่ของตนไปแบบนี้ ไม่มีประสบการณ์ที่เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ความเป็นอิสระ หรือมีเสรี  ผู้คนถามพวกเขาว่า “คุณรู้สึกอย่างไรที่ได้เป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิงและทำอาหาร?”  พวกเขาก็ตอบว่า “ที่จริงก็ไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น แต่ฉันรู้สึกเก็บกด”  ผู้คนจึงถามว่า “ทำไมคุณถึงรู้สึกเก็บกด?  คุณมีข้าว มีแป้ง มีผัก—คุณมีทุกอย่าง  คุณไม่ต้องออกเงินซื้อของเหล่านี้เองด้วยซ้ำ  คุณแค่ต้องเหนื่อยและทำงานมากกว่าคนอื่นบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น  นั่นคือสิ่งที่คุณพึงทำไม่ใช่หรือ?  การเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ของตนคือเรื่องที่ชวนให้เบิกบาน  เป็นเรื่องที่ทำโดยสมัครใจ  แล้วทำไมคุณถึงรู้สึกเก็บกด?”  พวกเขาก็ตอบว่า “ถึงฉันจะสมัครใจทำเรื่องเหล่านี้ แต่ฉันกลับกินข้าวบ่อยมากไม่ได้ และจะทำตามใจชอบ กินของที่ตัวเองชอบและของที่ฉันคิดว่าอร่อยก็ไม่ได้  ฉันกลัวว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ถ้ามีคนเห็นฉันพยายามทำอะไรอร่อยๆ ให้ตัวเองกิน ฉันก็เลยรู้สึกเก็บกด และไม่มีความสุขเลย”  ผู้คนแบบนี้ใช้ชีวิตอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เก็บกดเพราะพวกเขาไม่สามารถตอบสนองความอยากที่ตนมีต่ออาหารได้

บางคนปลูกผักในแปลงของคริสตจักร  พวกเขาควรทำเรื่องนี้อย่างไร?  พวกเขาควรปลูกพืชผักที่เหมาะสมกับฤดูกาล ภูมิอากาศ อุณหภูมิ และจำนวนคนที่พวกเขาจำเป็นต้องเลี้ยงดู  พระนิเวศของพระเจ้ามีข้อบังคับเรื่องการเพาะปลูกผักต่างๆ ซึ่งอาจเป็นเรื่องท้าทายได้สำหรับหลายๆ คน  มีผักบางชนิดที่ผู้คนชอบกินเป็นประจำทุกวันและมีบางชนิดที่ผู้คนไม่ชอบกิน  บางชนิดถูกจำกัดปริมาณ และบางชนิดก็มีให้บริโภคเป็นฤดูไป  เมื่อเป็นดังนี้ ปริมาณที่ผู้คนจะกินได้จึงมีจำกัด  บางคนนึกว่า “แย่เลย พวกเราไม่มีวันเพลิดเพลินกับการกินผักเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่  กินไปหน่อยเดียวก็หมดหน้าแล้ว  ไม่มีมากพอให้กินกันทุกคน!  อย่างมะเขือเทศราชินี พวกเราก็ได้ผลผลิตเพียงครั้งละหยิบมือหนึ่ง แล้วพวกมันก็หมดก่อนที่พวกเราจะทันได้ลิ้มรส  ถ้ามีให้กินเป็นชามๆ ก็จะเยี่ยมมาก!”  ดังนั้น ในสถานที่ที่มีผู้คนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสิบกว่าคน พวกเขาจึงปลูกมะเขือเทศราชินีกันสองร้อยต้น  พวกเขาเริ่มกินกันเป็นชามๆ ทันทีที่ตื่นนอนในตอนเช้าและกินไปเรื่อยๆ จนเข้านอนตอนกลางคืน  การกินมะเขือเทศราชินีและมะเขือเทศทั่วไปกันเป็นชามๆ และการกินแตงกวากันทีละตะกร้าเป็นเรื่องที่พวกเขาตื่นเต้นกันมาก  พวกเขารู้สึกว่าวันเวลาเหล่านั้นเหมือนอยู่บนสวรรค์ เป็นช่วงเวลาที่ผาสุก  ผู้คนแบบนี้เวลากระทำการย่อมไม่สามารถทำตามกฎระเบียบแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และไม่สามารถทำอะไรตามหลักวิทยาศาสตร์ได้  พวกเขาไม่ยอมฟังใคร ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ส่วนตนเป็นอันดับแรก คำนึงถึงแต่ตนเองในทุกเรื่อง และทำตามใจชอบ  ผลก็คือ ภายใต้การควบคุม กำกับดูแล และบริหารจัดการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ผู้คนที่อยากกินผลไม้กันอย่างเต็มปากเต็มคำเหล่านี้จึงถูกห้ามปราม และบ้างก็ถูกตัดแต่ง  จงบอกเราเถิดว่าพวกเจ้าคิดว่าถึงตอนนี้พวกเขารู้สึกอย่างไร?  พวกเขาย่อมรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  พวกเขาย่อมรู้สึกว่าโลกน่าหดหู่ และไม่มีความรักหรือความอบอุ่นในพระนิเวศของพระเจ้ามิใช่หรือ?  พวกเขาย่อมรู้สึกเก็บกดอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาคิดอยู่ตลอดเวลาว่า “การทำตามใจชอบมีอะไรผิด?  ฉันแค่มีความสุขกับการกินผักบางอย่างก็ทำไม่ได้หรือ?  พวกเขาถึงกับไม่ยอมให้ฉันกินมะเขือเทศราชินีเต็มๆ ชาม  ตระหนี่จริงๆ!  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ให้อิสระแก่ผู้คน  ถ้าพวกเราอยากกินมะเขือเทศราชินี พวกเขาก็ให้พวกเราปลูกตามจำนวนคนที่ต้องเลี้ยงดู  มีปัญหาอะไรกับการที่ฉันจะปลูกสักสองสามร้อยต้น?  ถ้ากินกันได้ไม่หมด พวกเราก็แค่เอาไปเลี้ยงสัตว์เท่านั้นเอง”  เหมาะควรหรือไม่ที่เจ้าจะกินเป็นชามๆ?  สิ่งที่เจ้าบริโภคนั้นควรมีความพอประมาณและมีขีดจำกัดมิใช่หรือ?  สัดส่วนที่ผู้คนกินอาหารต่างๆ ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมานั้นควรเป็นไปตามปริมาณผลผลิตและฤดูกาลที่ให้ผล  อาหารที่กินเป็นประจำควรเป็นอาหารที่ให้ผลผลิตสูง ส่วนที่ให้ผลผลิตต่ำ มีฤดูกาลสั้นๆ ช่วงเวลาเติบโตสั้น หรือให้ผลผลิตจำกัดก็ควรกินให้น้อยลง—ในพื้นที่จำเพาะบางแห่ง ผู้คนไม่ได้กินอาหารเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ และพวกเขาก็ไม่ได้พลาดโอกาสอะไร  นี่ก็สมเหตุสมผลแล้ว  ผู้คนเก็บงำความอยากได้อยากมีเอาไว้เสมอ และปรารถนาที่จะปรนเปรอความอยากอาหารของตนกันตลอดเวลา  นี่เหมาะควรหรือไม่?  การเก็บงำความอยากได้อยากมีและอยากอาหารเอาไว้อยู่เสมอย่อมไม่เหมาะควร  พระนิเวศของพระเจ้ามีกฎของตนเอง  มีข้อบังคับ การบริหารจัดการ และระบบที่เหมาะกับงานแต่ละด้านในพระนิเวศของพระเจ้า  ถ้าเจ้าอยากเป็นสมาชิกในพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าก็ควรปฏิบัติตามข้อบังคับของพระนิเวศอย่างเข้มงวด  เจ้าไม่ควรอวดดี แต่ควรเรียนรู้ที่จะนบนอบและกระทำการในหนทางที่ทุกคนพอใจ  ข้อนี้เป็นไปตามมาตรฐานของมโนธรรมและเหตุผล  ข้อบังคับในพระนิเวศของพระเจ้าไม่มีข้อใดที่กำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ของคนคนเดียว แต่กำหนดขึ้นเพื่อทุกคนที่อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า  และหมายที่จะปกป้องงานและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ข้อบังคับและระบบเหล่านี้ล้วนมีเหตุผล และถ้าผู้คนมีมโนธรรมและเหตุผล พวกเขาก็ควรปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม ในด้านหนึ่ง เจ้าต้องทำเรื่องนั้นตามข้อบังคับและตามระบบในพระนิเวศของพระเจ้า และในอีกด้านหนึ่ง เจ้าย่อมมีความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่จะค้ำชูทั้งหมดนี้อีกด้วย แทนที่จะลงมือทำอะไรโดยอิงตามผลประโยชน์และมุมมองส่วนตัวของเจ้าอยู่ตลอดเวลา  ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าเจ้ารู้สึกเก็บกดเป็นพิเศษเวลาใช้ชีวิตและทำงานในพระนิเวศของพระเจ้า นั่นไม่ใช่เพราะข้อบังคับ ระบบ หรือวิธีบริหารจัดการแห่งพระนิเวศของพระเจ้ามีปัญหา แต่เป็นเพราะปัญหาในส่วนของเจ้าเองต่างหาก  สมมุติว่าเจ้าอยากทำให้ตนเองอิ่มเอมใจและตอบสนองความอยากได้อยากมีของเจ้าเองในพระนิเวศของพระเจ้าอยู่เสมอ และรู้สึกเก็บกดอย่างยิ่ง ไม่เป็นอิสระ และไม่เสรีอยู่ตลอดเวลา ไร้ซึ่งสันติสุขหรือความเบิกบาน  สมมุติว่าเจ้ารู้สึกตลอดเวลาว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและรู้สึกไม่สบายใจ ทำอะไรตามใจชอบไม่ได้สักเรื่อง กินหรือแต่งตัวตามใจชอบไม่ได้ ไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งตัวตามแฟชั่นหรือแต่งกายเย้ายวน เจ้าจึงรู้สึกทุกข์ใจและไม่สบายใจเพราะเรื่องเหล่านี้อยู่ทุกวี่วัน  สมมุติเจ้ารู้สึกอยู่เสมอว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงของตนนั้นน่าอึดอัด และคิดไปว่า “คนเหล่านี้สามัคคีธรรมความจริงกับฉันอยู่เสมอ วุ่นวายเหลือเกิน!  ฉันไม่ได้อยากวางตัวแบบนี้  ฉันแค่อยากมีชีวิตอย่างมีความสุขความพอใจ และเป็นอิสระ  ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นสุขและเป็นอิสระอย่างที่นึกภาพเอาไว้ว่าตัวเองจะเป็นเมื่อมาเชื่อในพระเจ้า  ฉันไม่อยากให้ใครมาตีกรอบ  มีผู้คนคอยบริหารจัดการและตีกรอบฉันอยู่เสมอ และฉันก็รู้สึกเก็บกด”  ผู้คนแบบนี้ไม่ชอบและรู้สึกรังเกียจสภาพแวดล้อมในการดำเนินชีวิตเช่นนี้  อย่างไรก็ดี เพื่อที่จะได้รับพร พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ต่อไป  พวกเขาไม่มีที่ให้ระบายความไม่พอใจ ไม่กล้าป่าวร้องออกมา และมักจะรู้สึกเก็บกด  ทางออกเพียงทางเดียวซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการผู้คนแบบนี้ก็คือการบอกพวกเขาว่า “คุณสามารถจากไปได้  ไปกินของที่คุณอยากกิน ใส่เสื้อผ้าที่คุณอยากใส่ มีชีวิตอย่างที่คุณต้องการ ทำสิ่งที่คุณปรารถนา มีอาชีพการงานที่คุณอยากมี และไล่ตามไขว่คว้าเป้าหมายในทิศทางที่คุณอยากไล่ตามไขว่คว้า  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้รั้งตัวคุณไว้  มือเท้าของคุณมีเสรีและเป็นอิสระ หัวใจของคุณก็เช่นกัน  ไม่มีใครพันธนาการคุณไว้  นอกจากตัวคุณเองตัดสินใจที่จะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่าง ย่อมไม่มีใครบังคับให้คุณทำตามข้อบังคับเหล่านี้โดยบอกว่าคุณจำต้อง จำเป็นต้อง หรือต้องอยู่ที่พระนิเวศของพระเจ้า มิฉะนั้นพระนิเวศของพระเจ้าจะทำบางสิ่งบางอย่างกับคุณ”  เราขอบอกความจริงแก่เจ้าว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ทำอะไรเจ้าเลย  ถ้าเจ้าอยากไป เจ้าก็สามารถจากไปได้ทุกเมื่อ  เพียงคืนหนังสือพระวจนะของพระเจ้าให้คริสตจักรและส่งมอบงานใดก็ตามที่เจ้ามีอยู่ในมือคืนมาเท่านั้น  เจ้าสามารถจากไปได้ทุกเมื่อที่เจ้าอยากไป  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ห้ามเจ้า นี่ไม่ใช่คุก หรือห้องขัง  พระนิเวศของพระเจ้าเป็นสถานที่อิสระ และประตูของพระนิเวศก็เปิดกว้าง  ถ้าเจ้ารู้สึกเก็บกด นั่นก็เป็นเพราะเจ้าทำตามใจชอบไม่ได้ ซึ่งหมายความว่าที่แห่งนี้ไม่เหมาะกับเจ้า  ไม่ใช่บ้านแสนสุขที่เจ้าอยากพบเจอ หรือที่ที่เจ้าควรอยู่  ถ้าเจ้าใช้ชีวิตในแบบที่ขัดกับเจตจำนงของเจ้ามากนัก เจ้าก็ควรไปเสีย  เข้าใจไหม?  พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยบังคับผู้ไม่มีความเชื่อหรือผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ถ้าเจ้าอยากทำธุรกิจ อยากมั่งคั่ง มีอาชีพการงาน หรือออกไปเผชิญโลกและสร้างชื่อให้ตนเอง เช่นนั้นแล้วนั่นก็คือสิ่งที่เจ้าไล่ตามไขว่คว้า และเจ้าก็ควรกลับไปหาสังคมทางโลก  พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยจำกัดอิสรภาพของผู้คน  ประตูแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเปิดกว้าง  ผู้ไม่มีความเชื่อและผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงสามารถเดินออกไปจากพระนิเวศของพระเจ้าได้ทุกเมื่อ

บางคนมีแต่ความไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตน ไม่เต็มใจที่จะสามัคคีธรรมความจริง  พวกเขาไม่ปรับตัวให้เข้ากับชีวิตคริสตจักร พวกเขาปรับตัวไม่ได้ รู้สึกทุกข์ตรมและอับจนหนทางเป็นพิเศษอยู่เสมอ  จะว่าไป เราขอกล่าวแก่ผู้คนเหล่านั้นว่า เจ้าควรเร่งจากไปเสีย  จงไปอยู่ในสังคมทางโลกเพื่อมองหาเป้าหมายและทิศทางของเจ้า มีชีวิตที่เจ้าพึงมีเถิด  พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยบังคับใคร  ข้อบังคับ ระบบ หรือกฎการปกครองของคริสตจักร ไม่มีข้อใดเลยที่พุ่งเป้าไปที่เจ้าเป็นคนๆ ไป  ถ้าเจ้าพบว่ากฎเหล่านั้นยาก ปฏิบัติตามไม่ได้ รู้สึกทุกข์ใจและเก็บกดเป็นพิเศษ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เลือกที่จะจากไปได้  ผู้ที่สามารถยอมรับความจริงและค้ำชูหลักธรรมคือผู้ที่เหมาะที่จะอยู่ในคริสตจักรต่อไป  แน่นอน ถ้าเจ้ารู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะที่จะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าต่อไป แล้วจะมีสถานที่อีกแห่งที่เหมาะกับเจ้าหรือไม่?  ย่อมมี โลกกว้างใหญ่ไพศาล และย่อมจะมีที่ที่เหมาะกับเจ้า  สรุปแล้ว ถ้าเจ้ารู้สึกเก็บกดเมื่ออยู่ที่นี่ ถ้าเจ้าไม่สามารถหาทางปลดเปลื้องมันได้ ถ้าเจ้ามักจะอยากระบายและมีความเป็นไปได้อยู่ตลอดเวลาที่ธรรมชาติของเจ้าจะระเบิดออกมา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีภัยและไม่เหมาะที่จะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า  โลกกว้างใหญ่นัก และย่อมจะมีที่ที่เหมาะกับเจ้าอยู่เสมอ  จงค่อยๆ ค้นหาไปด้วยตนเองเถิด  นี่ย่อมเป็นวิธีที่เหมาะควรสำหรับการรับมือเรื่องนี้มิใช่หรือ?  สมเหตุสมผลแล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าผู้คนเหล่านี้รู้สึกอึดอัดขนาดนั้น และเจ้ายังคงอยากให้พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อไป เจ้าก็โง่เขลามิใช่หรือ?  พวกเราจงปล่อยให้พวกเขาจากไปเถิด มาอวยพรให้พวกเขาประสบความสำเร็จในการทำให้ฝันของตนเป็นจริงกันดีไหม?  แล้วความฝันของพวกเขาคืออะไร?  (การกินมะเขือเทศราชินีเป็นชามๆ)  พวกเขาอยากกินข้าวกินปลากันทุกมื้อและตลอดทั้งปีอีกด้วย  ความฝันอื่นๆ ของพวกเขามีอะไรอีก?  การตื่นขึ้นมาเองทุกวัน ทำงานเมื่ออยากทำ และไม่มีคนมาบริหารจัดการหรือกำกับดูแลพวกเขาเวลาที่พวกเขาไม่อยากทำงาน  นี่คือความฝันของพวกเขามิใช่หรือ?  (ใช่)  ช่างเป็นความฝันอันยิ่งใหญ่!  เป็นความฝันที่สูงส่งยิ่ง!  จงบอกเราเถิด ผู้คนแบบนี้มีโอกาสดีๆ รออยู่ข้างหน้าหรือไม่?  พวกเขาทำงานที่ถูกควรของตนหรือไม่?  (ไม่)  สรุปแล้ว ผู้คนแบบนี้รู้สึกเก็บกดตลอดเวลา  กล่าวตามตรงก็คือ ความปรารถนาของพวกเขาคือการปรนเปรอเนื้อหนังและตอบสนองความอยากได้อยากมีของตนเอง  พวกเขาเห็นแก่ตัวเกินไป อยากทำทุกสิ่งตามใจนึกและตามใจชอบ ไม่สนใจกฎเกณฑ์และไม่จัดการเรื่องต่างๆ ตามหลักธรรม แค่ทำสิ่งทั้งหลายไปตามความรู้สึก ความชอบส่วนตน และความอยากได้อยากมีของตนเองเท่านั้น และกระทำการโดยดูที่ผลประโยชน์ของตน  พวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และผู้คนแบบนี้ก็ไม่ทำงานที่ถูกควรของตน  ผู้คนที่ไม่ทำงานที่ถูกควรของตนย่อมรู้สึกเก็บกดในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ ทุกที่ที่พวกเขาไป  ต่อให้พวกเขาใช้ชีวิตตามลำพัง พวกเขาก็จะรู้สึกเก็บกด  พูดให้สวยงามก็คือ ผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่คนที่มีแววว่าจะประสบความสำเร็จ และพวกเขาก็ไม่ทำงานที่ถูกควรของตน  กล่าวให้แน่ชัดลงไปอีกก็คือ ความเป็นมนุษย์ของพวกเขานั้นผิดปกติ และพวกเขาก็ออกจะคิดอะไรง่ายๆ  ผู้คนที่ทำงานที่ถูกควรของตนนั้นเป็นคนเช่นไร?  พวกเขาเป็นคนที่มองความต้องการพื้นฐานของตนอย่างเรียบง่าย เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่พักอาศัย และการคมนาคมขนส่ง  ตราบใดที่สิ่งเหล่านี้ได้มาตรฐานปกติทั่วไป นั่นย่อมดีพอสำหรับพวกเขา  พวกเขาใส่ใจเส้นทางชีวิต ภารกิจของตนในฐานะมนุษย์ ทัศนคติและคุณค่าในชีวิตของตนมากกว่า  ผู้คนที่ไม่มีวี่แววว่าจะประสบความสำเร็จนั้นครุ่นคิดเรื่องอะไรตลอดวัน?  พวกเขาคิดอยู่เสมอว่าจะอู้งานอย่างไร จะใช้เล่ห์บ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบได้อย่างไร จะกินดีและสนุกสนานได้อย่างไร จะใช้ชีวิตอย่างสะดวกและสบายกายได้อย่างไร ไม่มีการคำนึงถึงเรื่องที่ถูกควร  เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงรู้สึกเก็บกดในสถานที่และสภาพแวดล้อมที่พวกเขาทำหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้า  พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้ผู้คนศึกษาหาความรู้ทั่วไปและความรู้บางอย่างในสายงานที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของตน เพื่อให้พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดีขึ้น  พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้ผู้คนกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าบ่อยครั้ง เพื่อให้พวกเขาเข้าใจความจริงดีขึ้น เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และรู้ว่าหลักธรรมสำหรับการกระทำแต่ละอย่างมีอะไรบ้าง  ทุกสิ่งที่พระนิเวศของพระเจ้าสามัคคีธรรมและกล่าวถึงย่อมเชื่อมโยงกับหัวข้อ เรื่องราวที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และอื่นๆ ที่อยู่ในขอบข่ายชีวิตของผู้คนและการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา และหมายที่จะช่วยให้ผู้คนทำงานที่ถูกควรของตนและเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง  คนที่ไม่ทำงานที่ถูกควรของตนและทำอะไรตามใจชอบเหล่านี้ ย่อมไม่อยากทำเรื่องที่ถูกควรเหล่านี้  เป้าหมายสูงสุดที่พวกเขาอยากไปให้ถึงด้วยการทำทุกอย่างที่อยากทำก็คือความสุขกาย ความหรรษา และความสบายใจ ไม่ต้องถูกกวดขันหรือได้รับความไม่เป็นธรรมในทางใดเลย  ซึ่งก็คือการสามารถกินสิ่งที่อยากกินได้มากพอและทำตามใจชอบได้  เหตุที่พวกเขามักจะรู้สึกเก็บกดก็เป็นเพราะคุณภาพความเป็นมนุษย์ของพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าอยู่ภายในนั่นเอง  ไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็จะไม่เปลี่ยนแปลง และความเก็บกดของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการแก้ไข  พวกเขาเพียงแค่เป็นคนแบบนั้น เป็นเพียงสิ่งที่ไม่ทำงานที่ถูกควรของตน  แม้ดูภายนอกพวกเขาจะไม่ได้ทำความชั่วอะไรใหญ่โตหรือว่าเป็นคนไม่ดี และแม้ว่าดูๆ แล้วพวกเขาเพียงแต่ไม่สามารถค้ำชูหลักธรรมและข้อบังคับได้ แต่ในความเป็นจริง แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาก็คือการไม่ทำงานที่ถูกควรของตนหรือเดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง  ผู้คนแบบนี้ไม่มีมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และพวกเขาก็ไม่สามารถมีเชาวน์ปัญญาตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้  พวกเขาไม่ได้นึกถึง ใคร่ครวญ หรือไล่ตามเสาะหาเป้าหมายซึ่งผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงไล่ตามเสาะหา หรือท่าทีในชีวิตและวิธีการดำรงอยู่ที่ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรใช้  ทุกวี่วันความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาเต็มไปด้วยความคิดว่าจะหาความสบายกายและความหรรษาได้อย่างไร  อย่างไรก็ดี ในสภาพแวดล้อมของการดำรงชีวิตในคริสตจักร พวกเขาไม่อาจทำตามความชอบของร่างกายได้ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกอึดอัดและเก็บกด  นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาเกิดภาวะอารมณ์เหล่านี้  จงบอกเราเถิดว่าผู้คนแบบนี้ย่อมมีชีวิตที่เหนื่อยล้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  ชีวิตของพวกเขาน่าเวทนาหรือไม่?  (ไม่น่าเวทนา)  ถูกต้อง ชีวิตของพวกเขาไม่น่าเวทนา  กล่าวง่ายๆ ก็คือ นี่คือผู้คนประเภทที่ไม่ทำงานที่ถูกควรของตน  ในสังคม ผู้คนที่ไม่ทำงานที่ถูกควรของตนมีใครบ้าง?  มีคนที่ไม่ทำงานทำการ คนเขลา พวกอู้งาน อันธพาล นักเลงโต และคนที่เกียจคร้าน—ผู้คนแบบนั้น  พวกเขาไม่อยากเรียนรู้ทักษะหรือความสามารถใหม่ๆ และไม่อยากไล่ตามอาชีพการงานที่จริงจังหรือหางานเพื่อให้ตัวเองอยู่ได้  พวกเขาคือคนที่ไม่ทำงานและคนที่เกียจคร้านในสังคม  พวกเขาแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักร แล้วจากนั้นก็อยากได้บางสิ่งบางอย่างโดยที่ไม่ต้องทำอะไร และอยากได้พรเป็นของตนบ้าง  พวกเขาคือนักฉวยโอกาส  นักฉวยโอกาสเหล่านี้ไม่เคยเต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตน  ถ้าสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่คิดไว้แม้เพียงนิดเดียว พวกเขาก็รู้สึกเก็บกด  พวกเขาอยากใช้ชีวิตอย่างอิสระอยู่เสมอ ไม่อยากปฏิบัติงานใดๆ ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงอยากกินอาหารดีๆ และสวมเสื้อผ้าสวยๆ กินทุกสิ่งที่อยากกินและนอนเมื่ออยากนอน  พวกเขานึกว่าเมื่อวันนั้นมาถึง ก็ย่อมจะวิเศษแน่นอน  พวกเขาไม่อยากทนลำบากแม้แต่นิดเดียว และอยากมีชีวิตที่ตามใจตนเอง  ผู้คนเหล่านี้ย่อมเห็นว่าการดำรงชีวิตนั้นเหนื่อยล้าด้วยซ้ำไป พวกเขาถูกภาวะอารมณ์เชิงลบพันธนาการเอาไว้ มักจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและสับสนเพราะไม่สามารถทำตามใจชอบ  พวกเขาไม่อยากทำงานที่ถูกควรของตนหรือจัดการกิจธุระที่ถูกควรของตน  พวกเขาไม่อยากทำงานหนึ่งๆ ให้เสร็จและทำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนจบเหมือนว่านั่นคืออาชีพและหน้าที่ของตนเอง เป็นภาระผูกพันและความรับผิดชอบของตน พวกเขาไม่อยากทำงานให้เสร็จและสัมฤทธิ์ผล หรือทำให้ได้มาตรฐานสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้  พวกเขาไม่เคยคิดแบบนี้ เอาแต่อยากทำอย่างสุกเอาเผากินและใช้หน้าที่ของตนเป็นลู่ทางหากิน  เมื่อเผชิญความกดดันบ้างหรือการควบคุมในบางรูปแบบ หรือเมื่อถูกนำไปเทียบเคียงกับมาตรฐานที่สูงกว่าหน่อย หรือให้แบกรับความรับผิดชอบสักนิด พวกเขาก็รู้สึกอึดอัดและเก็บกด  ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้เกิดขึ้นในตัวพวกเขา พวกเขาจึงรู้สึกว่าการดำรงชีวิตนั้นเหนื่อยล้า แล้วพวกเขาก็ทุกข์ใจ  สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่พวกเขารู้สึกว่าการดำรงชีวิตนั้นเหนื่อยล้าก็เพราะผู้คนเช่นนี้ไม่มีเหตุผล  เหตุผลของพวกเขาบกพร่อง พวกเขาใช้เวลาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเพ้อฝันทั้งวัน มีชีวิตอยู่ในความฝัน ในหมู่เมฆ จินตนาการอยู่เสมอถึงเรื่องที่โลดโผนโจนทะยานอย่างที่สุด  นั่นคือสาเหตุที่แก้ไขความเก็บกดของพวกเขาได้ยากมาก  พวกเขาไม่สนใจความจริง เป็นผู้ไม่มีความเชื่อ  สิ่งเดียวที่พวกเราสามารถทำได้ก็คือขอให้พวกเขาออกจากพระนิเวศของพระเจ้า กลับสู่ทางโลก และค้นหาสถานที่ที่พวกเขาสุขกายสบายใจ

ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงคือคนทั้งปวงที่ทำงานที่ถูกควรของตน พวกเขาเต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนกันทุกคน สามารถรับงานและทำงานชิ้นหนึ่งให้ดีตามขีดความสามารถของตนและข้อบังคับแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  แน่นอนว่าตอนแรกการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตเช่นนี้อาจเป็นเรื่องท้าทาย  เจ้าอาจรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ  อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้ามีความตั้งใจแน่วแน่จริงๆ ที่จะให้ความร่วมมือและเต็มใจที่จะกลายเป็นคนที่ปกติและดีงาม เป็นคนที่ได้รับความรอด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องจ่ายราคาบ้างและยอมให้พระเจ้าบ่มวินัย  เมื่อเจ้านึกอยากเอาแต่ใจ เจ้าก็ต้องขบถและปล่อยมือจากแรงอยากนั้น ค่อยๆ ลดความเอาแต่ใจและความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัวของเจ้า  เจ้าต้องแสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้าในเรื่องที่สำคัญยิ่ง ในห้วงเวลาที่สำคัญยิ่ง และและในงานที่สำคัญยิ่ง  ถ้าเจ้ามีความแน่วแน่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรขอให้พระเจ้าสั่งสอน บ่มวินัย และประทานความรู้แจ้งแก่เจ้า เพื่อให้เจ้าเข้าใจความจริง เมื่อทำเช่นนั้นเจ้าย่อมจะได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น  ถ้าเจ้ามีความแน่วแน่อย่างแท้จริง และอธิษฐานถึงพระเจ้าในการสถิตของพระองค์และวอนขอพระองค์ พระเจ้าย่อมจะทรงลงมือ  พระองค์จะทรงเปลี่ยนสภาวะและความคิดอ่านของเจ้า  ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจสักนิด ดลใจเจ้าสักหน่อย และประทานความรู้แจ้งแก่เจ้าบ้าง หัวใจของเจ้าย่อมจะเปลี่ยนไป และสภาวะของเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลง  เมื่อการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้น เจ้าก็จะรู้สึกว่าการใช้ชีวิตแบบนี้ไม่เก็บกด  สภาวะและอารมณ์ที่เก็บกดของเจ้าย่อมจะเปลี่ยนแปลง บรรเทาเบาบาง  และต่างไปจากเมื่อก่อน  เจ้าจะรู้สึกว่าการใช้ชีวิตแบบนี้ไม่ชวนให้เหน็ดเหนื่อย  เจ้าจะสนุกกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้า  รู้สึกว่าการใช้ชีวิต การวางตน การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าแบบนี้ การสู้ทนความทุกข์ยากและจ่ายราคา การทำตามกฎเกณฑ์และทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรม เป็นเรื่องดี  เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือชีวิตในแบบที่คนปกติควรมี  เมื่อเจ้าใช้ชีวิตตามความจริงและปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี เจ้าจะรู้สึกว่าหัวใจของเจ้ามั่นคงและมีสันติสุข และชีวิตของเจ้าก็มีความหมาย  เจ้าย่อมจะคิดว่า “ทำไมเมื่อก่อนฉันถึงไม่รู้เรื่องนี้?  ทำไมฉันถึงเอาแต่ใจนัก?  เมื่อก่อนนี้ฉันใช้ชีวิตตามปรัชญาและอุปนิสัยของซาตาน ดำรงชีวิตแบบลูกผีลูกคน ยิ่งฉันใช้ชีวิต ก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด  บัดนี้เมื่อฉันเข้าใจความจริงแล้ว ฉันย่อมจะทิ้งอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตัวเองได้บ้าง และสามารถรู้สึกถึงสันติสุขและความเบิกบานที่แท้จริงของการใช้ชีวิตเพื่อลุล่วงหน้าที่ของตนและปฏิบัติความจริง!”  ถึงตอนนั้นอารมณ์ของเจ้าย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเจ้าตระหนักว่าเพราะเหตุใดชีวิตของเจ้าก่อนหน้านี้จึงรู้สึกเก็บกดและทุกข์ตรม เมื่อเจ้าค้นพบมูลเหตุแห่งความทุกข์ของตนและแก้ปัญหา เจ้าย่อมมีความหวังที่จะเปลี่ยนแปลง  ตราบใดที่เจ้าเพียรพยายามเพื่อความจริง มุมานะกับพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น สามัคคีธรรมความจริงมากขึ้น และฟังคำพยานจากประสบการณ์ของพี่น้องชายหญิงของเจ้าไปด้วย เจ้าย่อมจะมีเส้นทางที่ชัดเจนขึ้น และแล้วสภาวะของเจ้าก็ย่อมจะดีขึ้นมิใช่หรือ?  ถ้าสภาวะของเจ้าดีขึ้น ภาวะอารมณ์ที่เก็บกดของเจ้าก็จะค่อยๆ คลายและไม่คอยพัวพันเจ้าอีกต่อไป  แน่นอนว่าในรูปการณ์หรือบริบทที่พิเศษ ความรู้สึกเก็บกดและเจ็บปวดอาจเกิดขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว แต่ตราบใดที่เจ้าแสวงหาความจริงมาแก้ไข ภาวะอารมณ์ที่เก็บกดเหล่านี้ย่อมจะหมดไป  เวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้าก็จะสามารถมอบความจริงใจ พละกำลังทั้งปวง และความจงรักภักดีได้ และเจ้าย่อมจะมีหวังในความรอด  ถ้าเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ดังนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องออกจากพระนิเวศของพระเจ้า  การที่เจ้ามีการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ได้ย่อมจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้ายังมีหวัง—นั่นคือ มีหวังที่จะเปลี่ยนแปลง มีหวังที่จะได้รับความรอด  ซึ่งย่อมจะพิสูจน์ว่าเจ้ายังคงเป็นสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระเจ้า แต่เจ้าถูกแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัวและความคิดคำนึงส่วนตัวต่างๆ นานา หรือนิสัยใจคอและแนวคิดที่ไม่ดีต่างๆ ครอบงำมากเกินไปและนานเกินไป ทำให้มโนธรรมของเจ้าด้านชาและไม่รู้สึกรู้สา บั่นทอนการใช้เหตุผลของเจ้า และกัดกร่อนสำนึกละอายแก่ใจของเจ้า  ถ้าเจ้าสามารถก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ได้ พระนิเวศของพระเจ้าก็จะยินดีให้เจ้าอยู่ ให้เจ้าลุล่วงหน้าที่ของตน ทำภารกิจของตนให้สำเร็จ และทำงานที่เจ้ามีอยู่ในมือให้เสร็จเรียบร้อย  แน่นอนว่าการช่วยเหลือผู้คนที่มีภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ย่อมจะทำได้ด้วยหัวใจที่เปี่ยมรักเท่านั้น  ถ้าคนคนหนึ่งไม่ยอมรับความจริงอย่างต่อเนื่องและยังคงไม่กลับใจแม้จะได้รับการว่ากล่าวตักเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเราก็ควรกล่าวอำลาพวกเขา  แต่ถ้ามีคนเต็มใจจริงๆ ที่จะเปลี่ยนแปลง กลับตัว แก้ไขแนวทางของตนให้ถูกต้อง พวกเราก็ยินดีต้อนรับอย่างอบอุ่นให้พวกเขาอยู่ด้วย  ตราบใดที่พวกเขาเต็มใจโดยแท้ที่จะอยู่ด้วยและเปลี่ยนแปลงแนวทางและวิถีชีวิตแต่ก่อนของตน สามารถก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน และยิ่งปฏิบัติหน้าที่ ก็ยิ่งทำได้ดีขึ้น เช่นนั้นแล้วพวกเราก็ยินดีให้ผู้คนแบบนี้อยู่ด้วยและหวังว่าพวกเขาจะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ  นอกจากนี้พวกเรายังจะกล่าวแสดงความปรารถนาอันยิ่งใหญ่เพื่อพวกเขาว่า พวกเราขอให้พวกเขาหลุดพ้นจากภาวะอารมณ์เชิงลบของตน ขอให้พวกเขาไม่ถูกภาวะอารมณ์เชิงลบเกาะเกี่ยวหรืออยู่ใต้เงื้อมเงาของภาวะอารมณ์เชิงลบอีกต่อไป แต่ขอให้พวกเขาทำงานที่ถูกควรของตนและเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง กระทำการและใช้ชีวิตตามสิ่งที่ผู้คนปกติพึงทำ อย่างสอดคล้องกับข้อกำหนดของพระเจ้า และลุล่วงหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอโดยเป็นไปตามข้อกำหนดของพระองค์ ไม่ล่องลอยในชีวิตอีกต่อไป  พวกเราขอให้พวกเขามีอนาคตที่สดใส ไม่ทำอะไรตามใจชอบ หรือคิดแต่จะแสวงหาความหรรษาและความสำราญทางกายเท่านั้นอีกต่อไป แต่คิดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของตน เส้นทางชีวิตที่ตนเดิน และการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติให้มากขึ้น  และด้วยหัวใจทั้งดวงนี้ พวกเราขอให้พวกเขาดำรงชีวิตอย่างมีความสุข อิสระและเสรี ในพระนิเวศของพระเจ้า มีประสบการณ์กับสันติสุขและความเบิกบานทุกวัน รู้สึกอบอุ่นและสำราญใจในชีวิตของตนเมื่ออยู่ที่นี่  นี่ย่อมเป็นความปรารถนาที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  เรากล่าวแสดงความปรารถนาของเราจบแล้ว เชิญพวกเจ้าทุกคนแสดงความปรารถนาเพื่อพวกเขาจากหัวใจของตนเถิด  (ความปรารถนาจากหัวใจของพวกเราก็คือขอให้พวกเขาดำรงชีวิตอย่างมีความสุข อิสระและเสรี ในพระนิเวศของพระเจ้า มีประสบการณ์กับสันติสุขและความเบิกบานทุกวัน รู้สึกอบอุ่นและสำราญใจในชีวิตของพวกเขาที่นี่)  มีอะไรอีก?  ถ้าขอจากหัวใจให้พวกเขาไม่ดำรงชีวิตอยู่ในเงื้อมมือของภาวะอารมณ์เชิงลบอีกต่อไป จะดีหรือไม่?  (ดี)  นั่นคือความปรารถนาของเรา  พวกเจ้ามีความปรารถนาอื่นๆ ให้พวกเขาอีกบ้างหรือไม่?  (ความปรารถนาจากหัวใจของฉันคือขอให้พวกเขาสามารถทำงานที่ถูกควรของตนได้ ลุล่วงหน้าที่ของตนได้ดีขึ้นเรื่อยๆ)  นี่ใช่ความปรารถนาดีหรือไม่?  (ใช่)  มีความปรารถนาอย่างอื่นอีกไหม?  (ความปรารถนาจากหัวใจของฉันคือการที่พวกเขาสามารถเริ่มใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้ในเร็ววัน)  ความปรารถนานี้อาจไม่สูงส่งนัก แต่เราคิดว่าสัมพันธ์กับชีวิตจริง  มนุษย์ควรใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติและไม่รู้สึกเก็บกด  ทำไมพวกเราถึงไม่อาจสู้ทนความทุกข์ยากที่ผู้อื่นสามารถสู้ทนได้?  ถ้าคนคนหนึ่งมีมโนธรรม เหตุผล และสำนึกละอายแก่ใจตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ รวมทั้งการไล่ตามเสาะหา วิธีการดำรงอยู่ และเป้าหมายที่ถูกควรในการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาดังที่ผู้คนที่ปกติพึงมี พวกเขาก็จะไม่รู้สึกเก็บกด  นี่จึงเป็นความปรารถนาที่ดีมากมิใช่หรือ?  (ใช่)  มีอะไรอื่นอีก?  (ความปรารถนาจากหัวใจของฉันก็คือขอให้พวกเขาร่วมมือกับพี่น้องชายหญิงอย่างสมัครสมาน รู้สึกถึงความรักของพระเจ้าในพระนิเวศของพระองค์ และกระทำการตามหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้า)  ข้อเรียกร้องนี้สูงส่งหรือไม่?  (ไม่)  ในเมื่อไม่สูงส่ง แล้วสัมฤทธิ์ได้ง่ายหรือไม่?  การรู้สึกถึงความรักแห่งพระนิเวศของพระเจ้าค่อนข้างสอดคล้องกับความเป็นจริง—นี่คือสิ่งที่ผู้คนเหล่านี้ต้องการใช่หรือไม่?  (ใช่)  ข้อเรียกร้องที่มีต่อผู้คนแบบนี้ไม่ได้สูงส่ง  ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาต้องมีมโนธรรมและเหตุผลตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ไม่ควรปล่อยเวลาให้สูญเปล่าหรือใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอย พวกเขาควรเรียนรู้การดำเนินชีวิต เรียนรู้ที่จะทำงานที่ถูกควรของตน แบกรับความรับผิดชอบและหน้าที่ของตน  จากนั้นพวกเขาก็ต้องเรียนรู้วิธีดำรงชีวิต เรียนรู้ว่าจะใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างไร และจะลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ของตนให้ดีได้อย่างไร  เมื่อทำเช่นนี้ พวกเขาจึงจะสามารถรู้สึกชูใจ มีสันติสุข และเบิกบานในพระนิเวศของพระเจ้า และย่อมเต็มใจที่จะดำรงชีวิตและปฏิบัติหน้าที่ของตนที่นี่  หลังจากเป็นอิสระจากภาวะอารมณ์เชิงลบที่เก็บกดของตนแล้ว พวกเขาก็จะค่อยๆ สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงและให้ความร่วมมือกับผู้อื่นอย่างสมัครสมานได้  นี่คือข้อเรียกร้องที่มีต่อผู้คนแบบนี้  ไม่ว่าพวกเขาจะอายุเท่าใด พวกเราก็ไม่ได้มีความปรารถนาอันยิ่งใหญ่หรือข้อเรียกร้องที่สูงส่งต่อพวกเขา มีเพียงส่วนที่พวกเราเพิ่งพูดถึงนี้เท่านั้น  ประการแรก พวกเขาจำต้องเรียนรู้ที่จะทำงานที่ถูกควรของตน แบกรับความรับผิดชอบและภาระผูกพันของคนที่โตแล้วและคนที่ปกติคนหนึ่ง จากนั้นจึงเรียนรู้ที่จะทำตามกฎเกณฑ์ ยอมรับการบริหารจัดการ การกำกับดูแล และการตัดแต่งจากพระนิเวศของพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี  นี่คือท่าทีที่ถูกต้องซึ่งคนที่มีมโนธรรมและเหตุผลควรใช้  ประการที่สอง พวกเขาควรมีความเข้าใจและความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับความรับผิดชอบ ภาระผูกพัน รวมทั้งความคิดอ่านและมุมมองที่เกี่ยวพันกับมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เจ้าควรขจัดภาวะอารมณ์เชิงลบและความเก็บกดของตน เผชิญหน้าความลำบากต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเจ้าอย่างถูกต้อง  สำหรับเจ้าแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ภาระ พันธนาการ หรืออะไรที่เพิ่มเติมเข้ามา แต่เป็นสิ่งที่เจ้าควรแบกรับในฐานะผู้ใหญ่ที่ปกติคนหนึ่ง  นี่หมายความว่าผู้ใหญ่ทุกคน ไม่ว่าจะเพศอะไร มีขีดความสามารถเท่าใด มีความสามารถเช่นไร หรือมีความสามารถพิเศษเป็นอะไรบ้าง ย่อมต้องแบกรับทุกสิ่งที่ผู้ใหญ่พึงแบกรับ รวมถึงสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ผู้ใหญ่ต้องปรับตัวเข้าหา ความรับผิดชอบ ภาระผูกพัน และภารกิจที่เจ้าควรทำ และงานที่เจ้าควรแบกรับ  แน่นอนว่าเจ้าควรยอมรับสิ่งเหล่านี้อย่างแน่ชัดเสียก่อน แทนที่จะคาดหวังให้ผู้อื่นคอยหาเสื้อผ้าและอาหารให้เจ้า หรือพึ่งพาดอกผลจากการลงแรงของผู้อื่นเพื่อให้ตัวเองอยู่ได้  นอกจากนี้เจ้าควรเรียนรู้ที่จะปรับตัวและยอมรับกฎเกณฑ์ การบริหารจัดการ และข้อบังคับต่างจำพวกกัน เจ้าควรยอมรับกฎการปกครองแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับชีวิตและการอยู่ร่วมกับผู้อื่น  เจ้าควรมีมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ มีท่าทีที่ถูกต้องต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายรอบตัวเจ้า รับมือและแก้ปัญหาต่างๆ ที่เจ้าพบเจออย่างถูกต้อง  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรจัดการ อาจกล่าวได้ว่านี่คือชีวิตและสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ผู้ใหญ่พึงเผชิญ  ตัวอย่างเช่น ในฐานะผู้ใหญ่ เจ้าควรพึ่งพาความสามารถของตนในการเกื้อหนุนและหาเลี้ยงครอบครัวของเจ้า ไม่ว่าชีวิตของเจ้าจะยากลำบากเพียงใด  นี่คือความทุกข์ยากที่เจ้าควรสู้ทน ความรับผิดชอบที่เจ้าควรลุล่วง และภาระผูกพันที่เจ้าควรทำให้สมบูรณ์  เจ้าควรแบกรับความรับผิดชอบที่ผู้ใหญ่พึงรับไว้  ไม่ว่าเจ้าจะสู้ทนความทุกข์มากเพียงใดหรือจ่ายราคาสูงเท่าใด ไม่ว่าเจ้าจะรู้สึกเศร้าเพียงใด เจ้าก็ควรกล้ำกลืนความคับข้องหมองใจของตนและไม่ควรเกิดภาวะอารมณ์เชิงลบหรือพร่ำบ่นใคร เพราะนี่คือสิ่งที่ผู้ใหญ่พึงแบกรับ  ในฐานะคนที่โตแล้ว เจ้าต้องแบกรับสิ่งเหล่านี้—ไม่พร่ำบ่นหรือต้านทาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่หลีกหนีหรือปฏิเสธ  การใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอย ไม่ทำงานทำการ ทำสิ่งต่างๆ ตามใจชอบ เอาแต่ใจหรือทำตัวคุ้มดีคุ้มร้าย ทำสิ่งที่ตนอยากทำและไม่ทำสิ่งที่ตนไม่อยากทำ—นี่ไม่ใช่ท่าทีที่คนโตแล้วควรมีในชีวิต  ผู้ใหญ่ทุกคนต้องแบกรับความรับผิดชอบของผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเผชิญความกดดันมากเพียงใด เช่น ความทุกข์ยาก ความเจ็บป่วย และแม้กระทั่งความลำบากต่างๆ—เหล่านี้คือสิ่งที่ทุกคนควรมีประสบการณ์และทนรับเอาไว้  นี่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนปกติ  ถ้าเจ้าไม่สามารถทนรับความกดดันหรือสู้ทนความทุกข์ได้ นั่นก็หมายความว่าเจ้าเปราะบางเกินไปและไร้ประโยชน์  ใครก็ตามที่มีชีวิตอยู่ย่อมต้องทนรับความทุกข์เช่นนี้ และไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้  ไม่ว่าจะในสังคมหรือในพระนิเวศของพระเจ้าก็เป็นเหมือนกันทุกคน  นี่คือความรับผิดชอบที่เจ้าควรแบกรับ ภาระอันหนักอึ้งที่ผู้ใหญ่ควรแบกรับ สิ่งที่พวกเขาควรรับผิดชอบ และเจ้าก็ไม่ควรหลีกหนี  ถ้าเจ้าพยายามหนีหรือทิ้งทั้งหมดนี้อยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว ภาวะอารมณ์ที่เก็บกดของเจ้าก็จะเผยตัวออกมา และเจ้าก็จะถูกภาวะอารมณ์เหล่านี้เข้ามาพัวพันด้วยร่ำไป  อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าสามารถทำความเข้าใจได้อย่างถูกควร ยอมรับทั้งหมดนี้ได้ และมองว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นต่อชีวิตและการดำรงอยู่ของเจ้า เช่นนั้นแล้วเรื่องเหล่านี้ก็ไม่ควรเป็นเหตุให้เจ้าเกิดภาวะอารมณ์เชิงลบขึ้นมา  ในด้านหนึ่ง เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะแบกรับความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่ผู้ใหญ่พึงมีและพึงทำ  ในอีกด้านหนึ่ง เจ้าควรเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสมัครสมานและด้วยความเป็นมนุษย์ที่ปกติภายในสภาพแวดล้อมที่เจ้าใช้ดำรงชีวิตและทำงาน  จงอย่าเอาแต่ทำตามใจชอบ  จุดประสงค์ของการอยู่ร่วมกันอย่างสมัครสมานคืออะไร?  คือการทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ได้ดีขึ้น และทำให้ภาระผูกพันและความรับผิดชอบที่เจ้าพึงทำให้เสร็จลุล่วงในฐานะผู้ใหญ่นั้นลุล่วงได้ดีขึ้น ลดความเสียหายอันเกิดจากปัญหาที่เจ้าพบเจอในงานของตน และเพิ่มผลงานและประสิทธิผลในงานของเจ้า  นี่คือสิ่งที่เจ้าพึงสัมฤทธิ์  ถ้าเจ้ามีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เจ้าก็ควรทำเรื่องนี้ให้สำเร็จเวลาทำงานร่วมกับผู้คน  ส่วนความกดดันในการทำงานนั้น ไม่ว่าจะมาจากเบื้องบนหรือจากพระนิเวศของพระเจ้า หรือถ้าเป็นความกดดันที่เกิดจากพี่น้องชายหญิงของเจ้า ก็เป็นสิ่งที่เจ้าควรทนรับเอาไว้  เจ้าไม่อาจกล่าวได้ว่า “นี่กดดันกันมากไปแล้ว ฉะนั้นฉันจะไม่ทำงาน  ฉันจะเอาแต่หาอะไรทำสนุกๆ แสวงหาความสุข ความสะดวก และความสบายเท่านั้นเวลาทำหน้าที่ของตนและทำงานในพระนิเวศของพระเจ้า”  นี่ย่อมจะไม่ได้ผล นี่ไม่ใช่ความคิดที่ผู้ใหญ่ปกติควรมี และพระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะทำตัวสุขสบาย  ในชีวิตและในงานของตน ทุกคนย่อมมีความกดดันและความเสี่ยงอยู่ระดับหนึ่ง  และไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าควรพากเพียรเพื่อผลเลิศ  ในระดับที่ใหญ่ขึ้น นี่คือหลักคำสอนและข้อกำหนดของพระเจ้า  ในระดับที่เล็กลงมา นี่คือท่าที มุมมอง มาตรฐาน และหลักธรรมที่ทุกคนควรใช้ในการวางตนและกระทำการ  เวลาที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะปฏิบัติตามข้อบังคับและระบบของพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะคล้อยตาม เรียนรู้กฎเกณฑ์ และต้องวางตนด้วยการทำตัวดีๆ  นี่คือส่วนสำคัญในการวางตนของคนเรา  เจ้าไม่ควรใช้เวลาทั้งหมดของตนปรนเปรอตัวเองแทนที่จะทำงาน ไม่คิดอะไรจริงจัง และปล่อยวันเวลาให้ผ่านไปเปล่าๆ หรือทำสิ่งที่ผิด และพยายามใช้ชีวิตในแบบของเจ้าเองเหมือนที่ผู้ไม่เชื่อทำ  จงอย่าทำให้ผู้อื่นดูหมิ่นเจ้า อย่ากลายเป็นตะปูทิ่มแทงดวงตาของพวกเขาหรือหนามยอกอกของพวกเขา จงอย่าทำให้ทุกคนหลบเลี่ยงหรือปฏิเสธเจ้า และอย่าเป็นอุปสรรคหรือเครื่องสะดุดของงานชิ้นใด  นี่คือมโนธรรมและเหตุผลซึ่งผู้ใหญ่ที่ปกติควรมี และเป็นความรับผิดชอบที่ผู้ใหญ่ที่ปกติควรแบกรับ  เหล่านี้คือส่วนหนึ่งของสิ่งที่เจ้าต้องทำในการแบกรับความรับผิดชอบนี้  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)

ถ้าเจ้าเป็นคนที่มีความแน่วแน่ ถ้าเจ้าสามารถทำให้ความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่ผู้คนควรแบกรับ สิ่งที่ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติต้องสัมฤทธิ์ รวมทั้งสิ่งที่คนที่โตแล้วต้องทำให้สำเร็จลุล่วง กลายเป็นจุดมุ่งหมายและเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของเจ้า และถ้าเจ้าสามารถแบกรับความรับผิดชอบของตนได้ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะจ่ายราคาเป็นอะไร และสู้ทนความเจ็บปวดอันใด เจ้าก็จะไม่พร่ำบ่น และตราบใดที่เจ้าตระหนักว่านี่คือข้อกำหนดและเจตนารมณ์ของพระเจ้า เจ้าก็จะสามารถสู้ทนความทุกข์และลุล่วงหน้าที่ของเจ้าได้ดี  ถึงเวลานั้นสภาวะจิตใจของเจ้าย่อมจะเป็นเช่นไร?  ย่อมจะแตกต่างออกไป เจ้าจะรู้สึกมีสันติสุขและความมั่นคงในหัวใจของเจ้า และเจ้าจะมีประสบการณ์กับความสำราญใจ  เจ้าจงดูเถิด เพียงเสาะแสวงที่จะใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และไล่ตามความรับผิดชอบ ภาระผูกพัน และภารกิจที่ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงแบกรับและพึงทำเท่านั้น ผู้คนก็รู้สึกมีสันติสุขและเบิกบานในหัวใจของตนแล้ว และมีประสบการณ์กับความสำราญใจ  พวกเขายังไปไม่ถึงขั้นที่จะทำกิจธุระตามหลักธรรมและได้รับความจริงด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างแล้ว  ผู้คนแบบนี้คือผู้ที่มีมโนธรรมและเหตุผล พวกเขาเป็นคนเที่ยงตรงที่สามารถเอาชนะความยากลำบากและทำงานใดก็ได้  พวกเขาคือทหารดีของพระคริสต์ ผ่านการฝึกฝนมาแล้ว และไม่มีความยากลำบากอันใดที่จะสามารถเอาชนะพวกเขาได้  จงบอกเราเถิดว่าพวกเจ้าคิดอย่างไรกับการวางตนเช่นนี้?  ผู้คนเหล่านี้มีความเข้มแข็งมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขามีความเข้มแข็ง และผู้คนก็เลื่อมใสในตัวพวกเขา  แล้วคนแบบนี้จะยังรู้สึกเก็บกดหรือไม่?  (ไม่)  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาเปลี่ยนแปลงภาวะอารมณ์ที่เก็บกดเหล่านี้กันอย่างไร?  เพราะอะไรภาวะอารมณ์ที่เก็บกดเหล่านี้จึงไม่สร้างปัญหาให้พวกเขาหรือเกิดขึ้นในตัวพวกเขาเลย?  (เพราะพวกเขารักสิ่งที่เป็นบวกและเอาธุระในหน้าที่ของตน)  ถูกต้อง นี่คือเรื่องของการทำงานที่ถูกควรของตน  เมื่อผู้คนจดจ่อในเรื่องที่ถูกควร เมื่อมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ รวมทั้งสำนึกรับผิดชอบและสำนึกในภารกิจที่พวกเขามี ล้วนเข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะให้พวกเขาไปอยู่ที่ใด พวกเขาย่อมจะทำได้ดี  สามารถทำงานใดก็ได้ให้สำเร็จ โดยไม่มีความเก็บกด ความทุกข์ใจ หรือความหดหู่  เจ้าคิดว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรผู้คนแบบนี้หรือไม่?  ผู้คนที่มีมโนธรรม เหตุผล และความเป็นมนุษย์ที่ปกติเช่นนี้จะเผชิญความลำบากยากเย็นในการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่)  เมื่อดูการไล่ตามเสาะหา มุมมอง และวิธีการดำรงชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติแล้ว พวกเขาย่อมจะไล่ตามเสาะหาความจริงได้ไม่ยากเท่าใดนัก  เมื่อผู้คนมาถึงจุดนี้ พวกเขาก็อยู่ไม่ไกลจากการเข้าใจความจริง การปฏิบัติความจริง การลงมือทำตามหลักธรรมความจริง และการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว  คำว่า “ไม่ไกล” ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่ามุมมองที่พวกเขามีต่อการวางตน และวิธีการดำรงชีวิตที่พวกเขาเลือกใช้ ย่อมเป็นบวกและเป็นไปในเชิงรุกทั้งสิ้น มีแก่นแท้ที่สอดคล้องกับความเป็นมนุษย์ที่ปกติดังที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้  นี่หมายความว่าพวกเขาทำได้ถึงมาตรฐานที่พระเจ้าทรงวางไว้  เมื่อพวกเขาทำได้ตามมาตรฐานเหล่านี้ คนแบบนี้ย่อมจะสามารถเข้าใจความจริงเมื่อได้ฟังความจริง และการปฏิบัติความจริงก็จะไม่ค่อยยากสำหรับพวกเขา  พวกเขาจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและกระทำการตามหลักธรรมความจริงได้ง่าย  สรุปแล้ว สิ่งที่ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงทำมีอยู่กี่ข้อ?  มีอยู่ประมาณสามข้อ  ได้แก่อะไรบ้าง?  จงบอกเรามาเถิด  (ข้อแรกคือการเรียนรู้ที่จะแบกรับความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่ผู้ใหญ่ควรมีและควรแบกรับ  ข้อสองคือการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสมัครสมานตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ในสภาพแวดล้อมที่ตนใช้ชีวิตและทำงานอยู่ และไม่ทำอะไรตามใจชอบ  ข้อสามคือการเรียนรู้ที่จะปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระเจ้าภายในขอบข่ายที่เป็นเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และยึดมั่นในท่าที มุมมอง มาตรฐาน และหลักธรรมที่คนเราพึงมีในการวางตน ซึ่งหมายถึงการทำตามกฎเกณฑ์)  สามข้อนี้คือสิ่งที่ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงมี  ถ้าผู้คนเริ่มคิดและมุ่งเน้นเรื่องเหล่านี้ พยายามกับเรื่องเหล่านี้ให้มาก พวกเขาก็จะเริ่มทำงานที่ถูกควรของตน—ถึงตอนนั้นพวกเขาจะยังมีประสบการณ์กับภาวะอารมณ์เชิงลบอยู่หรือไม่?  พวกเขาจะยังคงรู้สึกเก็บกดหรือไม่?  เมื่อพวกเจ้าทำงานที่ถูกควรของตนและจัดการกิจธุระที่ถูกควรของเจ้า แบกรับความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่ผู้ใหญ่พึงแบกรับ เจ้าก็จะมีอะไรมากมายให้ทำและให้คิดจนตัวเจ้าจะสาละวนวุ่นวายอย่างมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าในตอนนี้ มีเวลาให้พวกเขารู้สึกเก็บกดกันหรือไม่?  ย่อมไม่มีเวลา  ดังนั้น เกิดอะไรขึ้นกับคนที่รู้สึกเก็บกด อารมณ์ไม่ดี และรู้สึกแย่หรือหดหู่ทุกครั้งที่พบเจอเรื่องไม่ชอบใจนิดหน่อย?  ก็คือพวกเขาไม่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ถูกต้องและพวกเขาก็ไม่ทำอะไร  พวกเขาไม่ทำงานที่ถูกควรของตนและไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่ตนพึงทำนั่นเอง ดังนั้นจิตใจของพวกเขาจึงเลื่อนลอยไร้จุดหมายและความคิดของพวกเขาก็ฟุ้งซ่าน  พวกเขาคิดแล้วคิดเล่า ไร้เส้นทางให้เดิน ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเก็บกด  ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ใจ ไม่มีทางออกและยิ่งไร้เส้นทาง ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตของตนนั้นไร้ค่าและทุกข์ตรม และพวกเขาก็ยิ่งเศร้า  พวกเขาไม่มีแรงที่จะพาตัวเองเป็นอิสระ แล้วในที่สุดพวกเขาก็ติดอยู่ในกับดักของภาวะอารมณ์ที่เก็บกด  เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  อันที่จริง ปัญหานี้แก้ง่ายเพราะมีสิ่งต่างๆ มากมายที่เจ้าควรทำ มีเรื่องที่ถูกควรมากมายที่เจ้าควรคิดและพิจารณา จนเจ้าย่อมจะไม่มีเวลาคิดเรื่องไร้ประโยชน์เหล่านั้น กิจกรรมที่แสวงหาความหรรษาเหล่านั้น  ผู้คนที่ความรู้สึกนึกคิดไร้จุดหมายมากพอที่จะคิดเรื่องเช่นนั้นได้ ย่อมชอบผ่อนคลายมากกว่าทำงาน พวกเขาเป็นคนเกียจคร้านที่เห็นแก่ได้ ไม่ทำงานที่ถูกควรของตน  คนที่ไม่ทำงานที่ถูกควรของตนมักจะติดกับอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เก็บกด  ผู้คนเหล่านี้ไม่จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ถูกต้องเวลามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำกองอยู่ และไม่ได้นึกถึงหรือลงมือทำเรื่องเหล่านั้น  พวกเขากลับหาเวลาปล่อยให้ความรู้สึกนึกคิดของตนเตลิดไปเรื่อย พร่ำบ่นและโอดครวญเรื่องร่างกายของตนเอง วิตกกังวลถึงอนาคต และมัวพะวงถึงความเจ็บปวดที่ตนสู้ทนและราคาที่ตนจ่ายไป  เมื่อพวกเขาแก้ไขทั้งหมดนี้ไม่ได้ ทนรับไม่ไหว หรือหาทางระบายความอึดอัดขัดใจเหล่านี้ไม่ได้ พวกเขาก็รู้สึกเก็บกด  พอคิดจะออกจากพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็กลัวว่าตนจะไม่ได้รับพร ถ้าจะทำความชั่วก็กลัวจะไปนรก และพวกเขาก็ไม่เต็มใจเช่นกันที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงหรือลุล่วงหน้าที่ของตนอย่างถูกควร  ผลก็คือพวกเขารู้สึกเก็บกด  เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  ถูกต้องแล้ว  ถ้าคนคนหนึ่งทำงานที่ถูกควรของตนและเดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง ภาวะอารมณ์เหล่านี้ย่อมจะไม่เกิดขึ้น  ต่อให้พวกเขามีประสบการณ์กับภาวะอารมณ์ที่เก็บกดในบางครั้งเพราะรูปการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นชั่วคราว นั่นก็จะเป็นเพียงอารมณ์ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเท่านั้น เพราะผู้คนที่มีหนทางชีวิตที่ถูกต้อง มีมุมมองที่ถูกต้องในเรื่องของการดำรงอยู่ ย่อมจะระงับภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้โดยเร็ว  ผลก็คือเจ้าจะไม่ติดกับอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เก็บกดบ่อยนัก  นี่หมายความว่าภาวะอารมณ์ที่เก็บกดแบบนี้จะไม่กวนใจเจ้า  เจ้าอาจมีประสบการณ์กับอารมณ์ที่ไม่ดีชั่วครู่ชั่วคราว แต่เจ้าจะไม่ติดอยู่ในกับดักของอารมณ์เหล่านั้น  นี่ย้ำให้เห็นความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาความจริง  ถ้าเจ้าเสาะแสวงที่จะทำงานที่ถูกควรของตน ถ้าเจ้าแบกรับความรับผิดชอบที่ผู้ใหญ่ควรแบกรับ และเสาะแสวงที่จะมีวิถีการดำรงอยู่ที่ปกติ ดีงาม เป็นบวก และดำเนินไปในเชิงรุก เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่เกิดภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้  ภาวะอารมณ์ที่เก็บกดเหล่านี้จะไม่ก่อเกิดในตัวเจ้าหรือเกาะกุมเจ้าเอาไว้

ทีนี้ พวกเราก็จบการสามัคคีธรรมเรื่องปัญหาและความยากลำบากในการแก้ไขความเก็บกดกันแล้ว ซึ่งมีอยู่สามข้อดังที่กล่าวไปเมื่อครู่  ด้วยหัวใจทั้งดวง พวกเราขอให้ผู้ที่ถูกภาวะอารมณ์ที่เก็บกดพัวพันอยู่และผู้ที่ถูกภาวะอารมณ์ที่เก็บกดดักจับเอาไว้ แต่ก็อยากเป็นอิสระจากภาวะอารมณ์ดังกล่าว ไม่ถูกภาวะอารมณ์เหล่านี้ควบคุมเอาไว้อีกต่อไป  พวกเราหวังว่าพวกเขาจะหลุดพ้นจากภาวะอารมณ์เชิงลบที่เก็บกดและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนของคนปกติได้ในเร็ววัน มีวิถีความเป็นอยู่ที่ปกติและถูกควร  นี่ใช่ความปรารถนาดีหรือไม่?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าก็ควรปรารถนาตามนี้ด้วย  (พวกเราขอให้ผู้ที่ถูกภาวะอารมณ์ที่เก็บกดพัวพันอยู่และผู้ที่ติดกับอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เก็บกด แต่ก็อยากเป็นอิสระจากภาวะอารมณ์ดังกล่าว ไม่ถูกภาวะอารมณ์เหล่านี้ควบคุมเอาไว้อีกต่อไป  พวกเราหวังว่าพวกเขาจะหลุดพ้นจากภาวะอารมณ์เชิงลบที่เก็บกดและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนของคนปกติได้ในเร็ววัน มีวิถีความเป็นอยู่ที่ปกติและถูกควร)  ความปรารถนานี้ตั้งอยู่บนความเป็นจริง  บัดนี้เมื่อพวกเรากล่าวแสดงความปรารถนาแล้ว การที่ผู้คนเหล่านี้จะสามารถเป็นอิสระจากภาวะอารมณ์ที่เก็บกดได้หรือไม่นั้น ท้ายที่สุดแล้วย่อมขึ้นอยู่กับสิ่งที่พวกเขาเลือกด้วยตนเอง—นี่ควรเป็นเรื่องง่าย  อันที่จริง นี่คือเรื่องที่ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี  ถ้าคนคนหนึ่งมีความแน่วแน่และมีความเต็มใจมากพอที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและสิ่งที่เป็นบวก เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะเป็นอิสระจากภาวะอารมณ์ที่เก็บกดโดยง่าย  นี่ย่อมจะไม่ใช่งานยาก  ถ้าใครสักคนไม่สนุกกับไล่ตามเสาะหาความจริงและสิ่งที่เป็นบวก และไม่ชอบสิ่งที่เป็นบวก เช่นนั้นแล้วก็จงปล่อยให้พวกเขาติดอยู่ในกับดักของภาวะอารมณ์ที่เก็บกดต่อไปเถิด  ปล่อยพวกเขาไป  พวกเราไม่จำเป็นต้องกล่าวแสดงความปรารถนาเพื่อพวกเขาอีกต่อไป เข้าใจไหม?  (เข้าใจ)  นี่เป็นวิธีรับมือสถานการณ์อีกแบบหนึ่ง  ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ และทุกสิ่งก็สามารถจัดการและแก้ไขได้ตามหลักธรรมความจริงและตามรูปการณ์ที่แท้จริงของผู้คน  วันนี้พวกเราตั้งความปรารถนากันเสร็จแล้ว และสามัคคีธรรมถึงสถานการณ์ต่างๆ มากมายกันอย่างรอบด้าน  พวกเราพูดทุกสิ่งที่จำเป็นต้องพูดเกี่ยวกับคนแบบนี้ไปหมดแล้ว ดังนั้นพวกเราก็จบการเสวนาครั้งนี้กันเท่านี้เถิด

12 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (4)

ถัดไป: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (6)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger