ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (21)

หัวข้อสามัคคีธรรมกันตลอดมาในช่วงนี้นั้นค่อนข้างกว้าง  พวกเจ้าจดจำกันได้มากแค่ไหน?  พวกเจ้าสามารถจับความเข้าใจได้มากแค่ไหน?  (หลังจากที่พระเจ้าสามัคคีธรรมเสร็จ พวกเราก็จดจำได้บ้างนิดหน่อย  ในส่วนอื่นของสามัคคีธรรม พวกเราก็พอมีภาพจำขึ้นมาได้เล็กน้อยเนื่องจากกำลังได้รับประสบการณ์กับสภาพการณ์ที่คล้ายคลึงกันอยู่ในตอนนี้พอดี  และสำหรับส่วนอื่นที่พวกเราไม่เคยได้รับประสบการณ์กับสถานการณ์เช่นนั้น พวกเราก็จำได้ไม่มากนัก)  เวลาที่เจ้าเผชิญกับสภาพการณ์ต่างๆ เจ้ามีภาพจำอันใดเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่สามัคคีธรรมถึงกันไปแล้วหรือไม่?  (มีนิดหน่อย  เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่คล้ายกัน ข้าพระองค์สามารถนึกความจริงแง่มุมนี้ที่พระเจ้าได้ทรงสามัคคีธรรมไปแล้วขึ้นได้ พระวจนะของพระองค์สักหนึ่งหรือสองประโยคที่สอดรับกัน แล้วหลังจากนั้นข้าพระองค์ก็ค้นหาพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าเพื่อกินและดื่ม และข้าพระองค์ก็รู้สึกเหมือนว่าข้าพระองค์พอมีทิศทางขึ้นมาบ้าง)  เจ้าจับความเข้าใจหลักธรรมทั้งหลายได้หรือไม่?  (ในแง่นี้ ข้าพระองค์ขาดพร่องไปมากทีเดียว  ข้าพระองค์ยังคงค่อนข้างไม่สามารถจับความเข้าใจหลักธรรมได้ ข้าพระองค์แค่สามารถเชื่อมโยงกับพระวจนะของพระเจ้าและมีความเข้าใจบ้างเล็กน้อย)  เจ้ารู้หรือไม่ว่าโดยเบื้องต้นแล้ว การเข้าใจความจริงและการมีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริงได้นั้นอ้างอิงถึงอะไร?  เมื่อใครบางคนขาดความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริง ก็มักพูดกันบ่อยๆ ว่า “บุคคลผู้นี้ไม่เข้าใจความจริง” หรือ “พวกเขายังจับความเข้าใจแง่มุมนี้ของหลักธรรมความจริงไม่ได้” ไม่ใช่หรือ?  พวกเจ้าพูดแบบนั้นอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อพูดถึงใครบางคนว่าเข้าใจความจริงและมีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริง นี่อ้างอิงถึงอะไร?  นี่อ้างอิงถึงการเข้าใจคำสอนในแง่ของความจริงใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่  การตีความของข้าพระองค์ก็คือว่า หลังจากที่ฟังสามัคคีธรรมของพระเจ้าแล้ว หากบุคคลนี้มีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริง พวกเขาย่อมสามารถเชื่อมโยงความจริงเข้ากับตัวเองและได้มาซึ่งความรู้เกี่ยวกับตัวเอง อีกทั้งพบหลักธรรมสำหรับการปฏิบัติความจริง)  โดยเบื้องต้นแล้ว การเข้าใจความจริงและการมีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริงอ้างอิงถึงการที่บุคคลหนึ่งมีความสามารถที่จะเข้าใจหลักธรรมความจริง  นั่นก็คือเมื่อความจริงบางอย่างถูกสามัคคีธรรมถึง ไม่ว่าเนื้อหาและรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงคืออะไร ไม่ว่าตัวอย่างถูกยกมากี่รายการ หรือเรื่องและสภาวะทั้งหลายถูกเสวนาไปมากมายเท่าไร—ภายในทั้งหมดนี้มีหลักธรรมความจริงอยู่หนึ่งประการ  หากเจ้าสามารถทำความเข้าใจและจับความเข้าใจหลักธรรมความจริงนี้ได้ เช่นนั้นเจ้าก็มีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริง  การมีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริงอ้างอิงถึงอะไร?  นั่นหมายถึงการมีความสามารถที่จะเข้าใจหลักธรรมความจริง และการมีความสามารถที่จะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งสามารถวางตัวและปฏิบัติตนบนพื้นฐานของหลักธรรมความจริงได้ในยามที่เผชิญกับเรื่องทั้งหลาย  นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการมีความสามารถที่จะจับความเข้าใจความจริง  คนบางคนนั้น ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขามากเพียงใด ยกตัวอย่างให้เห็นมากเพียงใด เสวนาสภาวะต่างๆ ไปมากเพียงใด หรือการเสวนานั้นเฉพาะเจาะจงเพียงใด พวกเขาก็ยังคงไม่รู้ว่าความจริงอะไรที่กำลังถูกเสวนาถึงอยู่ตรงนี้ และพวกเขาก็ไม่มีความสามารถที่จะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและปฏิบัติตนบนพื้นฐานของหลักธรรมความจริง  นั่นก็คือพวกเขาไม่สามารถนำความจริงนั้นมาเชื่อมโยงกับตัวเองหรือประยุกต์ใช้ความจริงนั้นได้  ถึงแม้ว่าพวกเขาสามารถพูดคุยเกี่ยวกับบางพระวจนะและคำสอนเป็นเวลาหลายชั่วโมง โดยเสวนาได้อย่างชัดเจนและมีตรรกะ แต่ก็น่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถประยุกต์ใช้พระวจนะของพระเจ้าได้ ไม่สามารถประยุกต์ใช้หลักธรรมความจริงทั้งหลายเพื่อจัดการแก้ไขหรือรับมือกับปัญหา  นี่ไม่ใช่การเข้าใจหลักธรรมความจริง หรือการมีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริง  ไม่ว่าพวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับคำสอนมากมายเพียงใด นั่นก็ไร้ประโยชน์  หลักธรรมความจริงทั้งหลายคือเกณฑ์ประเมินการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจงสำหรับทุกเรื่องและทุกหมวดหมู่ของสิ่งที่สัมพันธ์กับความจริง  เนื่องจากหลักธรรมความจริงเหล่านี้คือเกณฑ์ประเมินการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง จึงแน่ใจได้ว่าหลักธรรมความจริงเหล่านี้คือเจตนารมณ์ของพระเจ้า  หลักธรรมความจริงเหล่านี้คือมาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากเจ้าในเรื่องทั้งหลายที่เฉพาะเจาะจง และเป็นเส้นทางแห่งการปฏิบัติอันเฉพาะเจาะจงซึ่งเจ้าควรใช้เดิน  เหล่านี้คือหลักธรรมความจริง  หลักธรรมความจริงเหล่านี้ไม่เพียงเป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้าเท่านั้น แต่เป็นมาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากผู้คนอีกด้วย  สมมุติว่าเจ้าได้จับความเข้าใจหลักธรรมความจริงแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็มีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริง  หากเจ้ามีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริงในยามที่เผชิญหน้ากับเรื่องทั้งหลาย เจ้าย่อมจะปฏิบัติบนพื้นฐานของหลักธรรมความจริง  เจ้าจะสามารถเดินหน้าไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า และเจ้าก็จะสามารถทำได้ตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า  ในทางกลับกัน หากเจ้าไม่เข้าใจหลักธรรมความจริง—นั่นก็คือ หากเจ้าขาดความสามารถที่จะจับความเข้าใจความจริง—เช่นนั้นแล้ว สิ่งใดก็ตามที่เจ้าทำย่อมจะไม่มีพื้นฐานอยู่บนหลักธรรมความจริงหรืออยู่บนพระวจนะของพระเจ้า  การกระทำของเจ้าขาดหลักเกณฑ์และเกณฑ์การประเมิน นั่นก็คือ เจ้าไม่มีมาตรฐานที่แน่นอนเลย  เพราะฉะนั้นเจ้าจึงไม่อาจทำได้ตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า  การที่จะประเมินว่าใครบางคนมีความสามารถที่จะทำงานจริงได้หรือไม่นั้น จงดูว่าพวกเขามีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริงหรือไม่  หากพวกเขาทำได้ พวกเขาก็สามารถแก้ไขปัญหาจริงได้  หากพวกเขาไม่มีความสามารถนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถพ่นคำสอนออกมาได้มากเท่าใด ทั้งหมดนั้นก็ไร้ประโยชน์  คนคนหนึ่งซึ่งชอบการเสวนาพระวจนะและคำสอนแต่ไม่จัดการแก้ไขประเด็นปัญหาจริงก็คือฟาริสีเคร่งตำราคนหนึ่ง  ไม่ว่าเจ้าสามารถจำพระวจนะของพระเจ้ากี่บทตอนอันนับไม่ถ้วน นั่นก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย  พวกฟาริสีสามารถท่องบทคัมภีร์ได้อย่างลื่นไหล จากนั้นพวกเขาก็ไปอธิษฐานอยู่ตามมุมถนน ทุกสิ่งที่พวกเขาทำก็เป็นไปเพื่อให้ผู้คนเห็น เพื่อโอ้อวดตัวเอง ไม่ใช่เพื่อจัดการแก้ไขปัญหาจริง  ผู้คนเช่นนั้นจดจ่ออยู่กับการสะสมความรู้ คำสอน คำพูดและคำขวัญฝ่ายวิญญาณทุกประเภทที่ลุ่มลึกและเข้าใจยาก เป็นที่ยอมรับและสรรเสริญในระดับสากล และกล่าวประกาศสิ่งเหล่านี้ในทุกหนทุกแห่ง  พวกเขาถึงกับแสดงให้เห็นพฤติกรรมที่ดีบางอย่างภายนอก ชักพาผู้คนให้หลงผิดไปกับพฤติกรรมนั้น เพื่อที่ผู้คนอาจจะเลื่อมใสและเคารพบูชาพวกเขา  แต่พอมาถึงประเด็นปัญหาจริง นอกเหนือจากการค้ำจุนตัวบทกฎหมายทั้งหลาย รวมถึงการยกคำพูดและคำสอนบางอย่างมาอ้างแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถจัดการแก้ไขปัญหาจริงอันใดได้เลย  เมื่อคำนึงถึงแก่นแท้หรือสภาวะภายในของผู้คน อีกทั้งวิธีที่พวกเขาจัดการแก้ไขและปฏิบัติต่อเรื่องเหล่านี้ พวกเขาล้มเหลวที่จะทำใจความสิ่งใดหรือเข้าใจความจริงใด  พวกเขาเพียงสามารถพูดจาเลื่อนลอยเกี่ยวกับคำพูดและคำสอนบางอย่างได้เท่านั้น  นี่คือสิ่งที่เรียกว่าฟาริสีเคร่งตำรา  เหตุผลที่พวกฟาริสีสามารถเสวนาเกี่ยวกับคำพูดและคำสอน แต่ไม่สามารถจัดการแก้ไขประเด็นปัญหาจริงได้นั้นเป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง และพวกเขาไม่สามารถทำความเข้าใจแก่นแท้ของประเด็นปัญหานี้นับจากจุดเริ่มต้นจนถึงตอนจบได้  ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่จะจัดการแก้ไขประเด็นปัญหา พวกเขาก็อาศัยการพูดความเท็จและการประกาศแถลงมุมมองที่น่าขัน  พวกเขาไม่สามารถรู้เท่าทันบุคคลใดหรือแก่นแท้ของเรื่องใดเลย  ผลที่ตามมาก็คือ พวกเขาไม่สามารถแก้ไขประเด็นปัญหาใดได้  พวกเขาไม่มีความสามารถในการจับใจความเลยแม้แต่น้อย  ไม่สำคัญว่าพวกเขาได้ยินคำเทศนามามากเท่าไร หรือพวกเขาได้เสวนาเกี่ยวกับคำสอนมามากเท่าไร พวกเขาข้าใจว่าอะไรคือหลักธรรมความจริงหรือเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ทั้งที่ย่ำแย่และน่าสมเพช พวกเขาก็ยังคงเชื่อว่าตัวเองเข้าใจความจริงและภาคภูมิใจว่าตนเองเป็นผู้คนฝ่ายวิญญาณ  นั่นน่าเวทนาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นั่นน่าเวทนาและน่าผะอืดผะอม  พวกเขาสามารถเสวนาเกี่ยวกับคำพูดและคำสอนมากมายเหลือเกิน และถึงกับทำตามกฎเกณฑ์บางอย่างด้วยซ้ำ กระนั้นพวกเขากลับไม่สามารถแก้ไขประเด็นปัญหาที่เป็นรูปธรรมอันใดได้เลย  พวกเขาแค่อาศัยเลียนแบบวิธีที่ผู้อื่นอาจจะพูด โดยกล่าวว่า “โอ มีบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่แล้ว  ดูเถิดว่าพัฒนาการของกิจธุระนี่แสดงออกมาอย่างวกวน พิลึกและผิดปกติอย่างไร  โอ บุคคลผู้นี้ไม่มีมโนธรรมและเหตุผลเลย ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็แย่และพวกเขาก็ไม่รู้จักตัวเอง  พอเกิดบางอย่างขึ้นกับพวกเขาทีไร พวกเขาก็ประพฤติตัวอย่างบุ่มบ่าม”  เจ้าจึงถามพวกเขาว่า “กับพฤติกรรมแบบนี้ คุณจะปฏิบัติหรือจัดการกับบุคคลนี้อย่างไร?  คุณจะรับมือกับพวกเขาบนพื้นฐานของหลักธรรมใด?  แก่นแท้ของพฤติกรรมของพวกเขาคืออะไร?  บุคคลชนิดนี้เป็นศัตรูของพระคริสต์หรือกำลังเดินตามเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์อยู่ใช่หรือไม่?  พวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ หรือนั่นก็แค่การที่พวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี หรือว่ารากฐานความเชื่อของพวกเขานั้นตื้นเขิน?”  แต่พวกเขากลับพูดว่า “แบบนี้อ่านยาก”  พวกเขาไม่รู้ว่าจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร และเมื่อเผชิญกับเรื่องต่างๆ นานา พวกเขาก็มองตรงปรากฏการณ์และภาวะภายนอกเท่านั้น  เมื่อพูดถึงพฤติกรรม การสำแดง คำพูด และการกระทำบางอย่างของบางคนอย่างเฉพาะเจาะจง พวกเขาก็เพียงสามารถบรรยายหรือจาระไนสิ่งเหล่านี้ได้เท่านั้น หรือไม่พวกเขาก็อาจทำการกำหนดพิจารณาเบื้องต้นและเรียบง่ายบางอย่างเท่านั้น แต่พวกเขาไม่สามารถจับใจความแก่นแท้ของประเด็นปัญหาได้  พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะปฏิบัติหรือรับมือกับผู้คนดังกล่าว วิธีที่จะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงเพื่อให้ผู้คนเหล่านั้นทบทวน รู้จักตัวเอง รวมทั้งเชื่อมโยงตัวพวกเขาเองกับพระวจนะของพระเจ้า วิธีช่วยเหลือผู้คนเหล่านั้นในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา หรือวิธีจัดวางตำแหน่งผู้คนเหล่านี้อย่างเหมาะควรเมื่อเป็นเรื่องของการบริหารจัดการและบุคลากร  พวกเขาเพียงสามารถพูดคุยเกี่ยวกับพฤติกรรมและภาวะต่างๆ นานาของผู้คนในหมวดหมู่นี้หมวดหมู่นั้น  พอเจ้าถามพวกเขาว่า “คุณรับมือกับคนเหล่านี้ไปแล้วหรือยัง?”  พวกเขาก็ตอบว่า “ยังหรอก ฉันยังสังเกตการณ์อยู่”  นี่คือผลที่ออกมา  นี่บ่งชี้ถึงการขาดพร่องความสามารถในการแก้ปัญหามิใช่หรือ?  (ใช่)  การขาดพร่องความสามารถในการแก้ปัญหาบ่งชี้ถึงการไร้ความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อปราศจากความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริง ผู้คนเหล่านี้ย่อมไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจหลักธรรมความจริงมิใช่หรือ?  ที่พวกเขาไม่เข้าใจหลักธรรมความจริงนั้นไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่ได้ฟังคำเทศนามามากพอ แต่นั่นเป็นเพราะพวกเขาขาดความสามารถที่จะจับใจความความจริง—พวกเขาไม่มีขีดความสามารถนั้น  เช่นนั้นแล้วเหตุใดพวกเขาจึงสามารถพูดคุยและสร้างวาทกรรมได้อย่างคมคาย?  เพราะพวกเขาได้ยินมามากและได้รับประสบการณ์มามาก และพวกเขาก็กำหนดจดจำคำสอนเหล่านี้ทั้งหมดไว้ในความทรงจำของตัวเอง ธรรมดาแล้วพวกเขาสามารถเสวนาคำพูดและคำสอนบางอย่างได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาผู้ที่รับใช้ในฐานะผู้นำหรือคนทำงานมาหลายปี  พวกเขาได้ขัดเกลาตัวเองผ่านทางการปฏิบัติเป็นประจำ พวกเขาจึงสามารถเสวนาและพูดคุยเกี่ยวกับคำพูดและคำสอนนานาสารพัน อีกทั้งพวกเขาก็สามารถพูดจาลื่นไหลเป็นพิเศษ ราวกับเป็นการถ่ายทอดสุนทรพจน์และเรียงความ  แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีวุฒิภาวะหรือมีความเป็นจริง และนี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้าใจหลักธรรมความจริง  พวกเจ้าต้องเก่งในการใช้วิจารณญาณและต้องไม่ถูกผู้คนเช่นนั้นชักพาให้หลงผิด  เมื่อเจ้าเห็นใครบางคนที่สามารถพูดจาต่อเนื่องได้เป็นวันสองวันระหว่างการชุมนุมโดยพูดไม่ซ้ำกันเลย เจ้าก็ประทับใจในตัวพวกเขาอย่างมากจนถึงกับทึ่ง นี่ไม่ได้แสดงให้เห็นการขาดวิจารณญาณหรอกหรือ?  นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่เข้าใจความจริงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่เข้าใจความจริง  หากเจ้าเข้าใจความจริงแล้ว เจ้าก็คงสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะว่ามีเนื้อหาใดในวาทะของพวกเขาที่มีหลักธรรมแห่งการปฏิบัติอันเฉพาะเจาะจงเพื่อจัดการแก้ไขภาวะหรือปัญหาทั้งหลายบ้างหรือไม่  สมมุติว่าเจ้าฟังอย่างตั้งใจและพบว่าไม่มีแม้สักประโยคที่เป็นการจัดการแก้ไขภาวะหรือปัญหาตามจริงของผู้คน พบว่าสิ่งที่พวกเขากำลังพูดอยู่ก็เป็นแค่คำขวัญกระจุกหนึ่ง คำพูดกระจุกหนึ่ง คำสอนกระจุกหนึ่งที่ปราศจากหลักธรรม วิธีแก้ปัญหาที่เฉพาะเจาะจง และเส้นทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม และต่อให้พวกเขาพูดอยู่นานสองหรือสามวัน ทั้งหมดนั่นก็เป็นคำสอนที่ไม่มีแก่นสารเลย  และสมมุติว่าคำพูดนั้นดูมีคุณประโยชน์และเกิดดอกผล ณ ตอนที่เจ้าได้ยิน แต่พอมาทบทวน เจ้าก็คิดว่า “ฉันจะแก้ไขประเด็นปัญหานี้ยังไง?  ถึงตอนนี้ก็ดูเหมือนพวกเขาไม่ได้จัดการแก้ไขประเด็นปัญหานี้เลย”  และพอเจ้าถามพวกเขาอีก พวกเขาก็แค่ได้พ่นคำสอนกระจุกหนึ่งออกมา ซึ่งก็ยังคงทิ้งให้เจ้าไม่รู้ว่าจะไปต่ออย่างไรอยู่ดี  นี่เป็นการเสียรู้และถูกหลอกลวงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  แม้ว่าเจ้ายังคงไม่รู้วิธีที่จะเดินหน้าต่อ แต่เจ้าก็ยังคงเลื่อมใสและเคารพยกย่องพวกเขา นั่นก็คือการเสียรู้และถูกหลอกลวง  พวกเจ้าถูกทำให้หลงกลในหนทางนี้บ่อยครั้งไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้ว ในฐานะผู้นำและคนทำงาน พวกเจ้ากำลังหลอกลวงผู้อื่นในหนทางนี้อยู่บ่อยครั้งมิใช่หรือ?  (ใช่)  ตอนนี้พวกเจ้ามีความเข้าใจมากขึ้นเล็กน้อยใช่หรือไม่ว่าการมีความสามารถในการทำความเข้าใจความจริงหมายถึงอะไรและหลักธรรมความจริงคืออะไร?  (ข้าพระองค์เข้าใจสิ่งเหล่านี้มากขึ้นเล็กน้อย)  หลักธรรมความจริงคืออะไร?  (หลักธรรมความจริงคือเกณฑ์ประเมินเฉพาะสำหรับการปฏิบัติยามที่กำลังเผชิญกับเรื่องต่างๆ อยู่จริงๆ  หลักธรรมความจริงเหล่านี้บรรจุไปด้วยเจตนารมณ์ของพระเจ้ารวมถึงมาตรฐานและเส้นทางเฉพาะทั้งหลายที่ควรนำมาปฏิบัติ  หากคนเราจับความเข้าใจในหลักธรรมความจริง พวกเขาย่อมมีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริงได้)  การมีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริงเปิดโอกาสให้คนเราจับความเข้าใจหลักธรรมความจริง  นี่คือสัมพันธภาพระหว่างสองสิ่งนี้  นี่ไม่ใช่การที่เมื่อเจ้าเข้าใจหลักธรรมความจริง เจ้าก็มีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริง  แต่กลับกัน เมื่อเจ้ามีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริง เจ้าย่อมสามารถเข้าใจหลักธรรมความจริง  การนั้นเป็นไปแบบนั้นใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดังนั้นพวกเจ้าส่วนใหญ่มีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริงหรือไม่?  พวกเจ้าสามารถเข้าใจหลักธรรมความจริงที่อยู่ภายในหัวเรื่องที่เราสามัคคีธรรมถึงในแต่ละครั้งหรือไม่?  หากเจ้าสามารถเข้าใจหลักธรรมความจริงเหล่านี้ เช่นนั้นเจ้าก็มีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริง และเจ้าก็มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  หากว่าหลังจากที่ฟัง เจ้าจำได้เพียงบางสิ่ง พฤติกรรมเฉพาะบางอย่าง หรือหนทางของการทำสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับผู้คนบางคน หรือบางหมวดหมู่ของผู้คนที่ถูกเสวนาในช่วงระหว่างสามัคคีธรรมเท่านั้น แต่เจ้าไม่เข้าใจว่าอะไรคือหลักธรรมความจริงที่กำลังถูกสามัคคีธรรมอยู่ตรงนี้กันแน่ และเมื่อเผชิญกับเรื่องทั้งหลาย เจ้าก็ไม่รู้วิธีเชื่อมโยงเรื่องเหล่านั้นเข้ากับข้อเท็จจริงอันเฉพาะเจาะจงที่สามัคคีธรรมกันไป หรือวิธีที่จะปฏิบัติตนบนพื้นฐานของหลักธรรมความจริง เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  การไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหมายถึงการขาดความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริง  ไม่ว่าเจ้าได้ยินคำเทศนามามากเท่าไร เจ้าก็ไม่เข้าใจหลักธรรมความจริง และเมื่อเรื่องทั้งหลายเกิดขึ้น เจ้าก็รู้สึกว้าวุ่น เจ้าสามารถมองเห็นภาวะต่างๆ การสำแดงต่างๆ และสิ่งต่างๆ ในทำนองเดียวกันที่ระดับผิวเผินเท่านั้น  เจ้าไม่สามารถมองเห็นแก่นแท้ของปัญหา และเจ้าก็ไม่สามารถค้นพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติหรือหนทางที่จะจัดการแก้ไขประเด็นปัญหาทั้งหลาย  นี่แสดงนัยสำคัญของการขาดความเข้าใจหลักธรรมความจริง และการไร้ความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริง  ผู้คนแบบนี้ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  พวกเจ้าจงใช้เวลาไตร่ตรองและเจาะเข้าไปในประเด็นปัญหาเหล่านี้ และเจ้าก็จะมาถึงข้อสรุป  หากเจ้าไม่เคยไตร่ตรองประเด็นปัญหาเหล่านี้ หากหัวสมองของเจ้าเลอะเลือน เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่มีความเข้าใจที่แท้จริง

พวกเรามาสามัคคีธรรมกันต่อเกี่ยวกับเนื้อหาที่พวกเราสามัคคีธรรมกันอย่างต่อเนื่องมาตลอดในช่วงนี้  ในการชุมนุมก่อนหน้านี้ พวกเราเสวนากันถึงตอนที่สี่ของการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน—เนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงในส่วนของ “อาชีพการงาน”  เมื่อคำนึงถึงเนื้อหาเฉพาะเจาะจงที่รวมอยู่ใน “อาชีพการงาน” ความเข้าใจอันถูกต้องที่ผู้คนควรมีเกี่ยวกับอาชีพการงาน หรือเส้นทางอันเฉพาะเจาะจงของการปฏิบัติและเกณฑ์ประเมินที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากผู้คนในแง่ของอาชีพการงานแล้ว พวกเราได้แจงรายการไว้สี่ประเด็น  ประเด็นเหล่านี้คืออะไรบ้าง?  (1. การไม่ร่วมทำการกุศล 2. การพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า 3. การอยู่ห่างจากกองกำลังทางสังคมนานาสารพัน 4. การอยู่ห่างจากการเมือง)  พวกเราได้เสวนากันไปแล้วสองในสี่ประเด็นเหล่านี้  ประเด็นแรกก็คือการไม่ร่วมทำการกุศล และประเด็นที่สองคือการพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า  การใช้คำอันเฉพาะเจาะจงของแต่ละประเด็นในสี่ประเด็นนี้ประกอบด้วยหลักธรรมแห่งการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมสำหรับการปล่อยมือจากอาชีพการงานไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  หลักธรรมแห่งการปฏิบัติอันเฉพาะเจาะจงทั้งสี่นี้ประกอบด้วยมาตรฐานทั้งหลายที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมวลมนุษย์ในแง่ของการปล่อยมือจากอาชีพการงาน  แน่นอนว่า มาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมวลมนุษย์ก็คือหลักธรรมความจริงของการปล่อยมือจากอาชีพการงาน และหลักธรรมความจริงเหล่านี้ก็คือเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจงยามที่ผู้คนเผชิญเรื่องเหล่านี้ นั่นก็คือ ด้วยการทำสิ่งที่เจ้าพึงกระทำภายในขอบเขตนี้ เจ้าย่อมสัมฤทธิ์ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า  แต่หากเจ้าไปเกินเลยขอบเขตนี้ เจ้าย่อมขัดต่อหลักธรรม ขัดต่อความจริง และขัดต่อข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า  เมื่อคำนึงถึงหัวข้อของอาชีพการงาน พวกเราก็ได้สามัคคีธรรมกันถึงหลักธรรมแห่งการปฏิบัติไปแล้วสองข้อ หลักธรรมแรกก็คือการไม่ร่วมทำการกุศล และหลักธรรมที่สองก็คือการพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า  เกี่ยวกับประเด็นแรกของการไม่ร่วมทำการกุศลนั้น พวกเราก็ได้ให้ตัวอย่างที่เฉพาะเจาะจงบางอย่างและเสวนาถึงสถานการณ์พิเศษบางสถานการณ์กันไปแล้ว  โดยหลักแล้ว หัวข้อนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาใดหรือ?  หัวข้อนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้คนควรทำยามที่กำลังเลือกวิชาชีพหรือในแง่ของอาชีพการงาน  อย่างน้อยที่สุด ประเด็นแรกก็คือการไม่ร่วมทำเรื่องที่เกี่ยวกับการกุศล เพียงการไปเกี่ยวข้องกับอาชีพการงานที่สัมพันธ์กับชีวิตหรือความเป็นอยู่ของตัวเราเองเท่านั้นก็มากพอแล้ว  หากมีองค์กรการกุศลที่เจ้าถูกจ้างงานและทำงานเพียงเพราะเจ้าสมัครผ่านทางประกาศรับสมัครงาน นี่ไม่เหมือนกับการที่เจ้าร่วมทำการกุศล—นี่เป็นสถานการณ์พิเศษ  เจ้าสามารถถูกจ้างงานที่นี่และรับค่าจ้าง แต่เจ้าก็เป็นแค่คนทำงาน ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่ลูกจ้างคนหนึ่งที่ได้รับเงินเดือน  สำหรับสิ่งที่องค์กรการกุศลนั้นทำ ไม่ว่าจะเป็นมูลนิธิ สวัสดิการสังคม การอุปถัมภ์เด็กกำพร้าหรือสัตว์ การช่วยเหลือผู้คนในพื้นที่ยากไร้หรือประสบภัยพิบัติ การรับผู้อพยพ เป็นต้น ความพยายามส่วนใหญ่เหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า  เจ้าไม่ใช่ผู้รับผิดชอบหลัก และเจ้าก็จะต้องไม่ร่วมสมทบเวลาและพลังงานของเจ้าให้กับงานการกุศลนี้  นี่เป็นคนละเรื่องกันทั้งหมดเลย  เจ้าไม่ได้กำลังทำการกุศล เจ้ากำลังถูกจ้างงานโดยองค์กรการกุศล  สิ่งเหล่านี้มีธรรมชาติที่ต่างกันไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  สองสิ่งนี้มีธรรมชาติที่ต่างกัน และสถานการณ์พิเศษนี้ไม่ได้ละเมิดหลักธรรม  นอกเหนือจากการนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการกุศลขนาดเล็กหรือใหญ่ ไม่สำคัญว่างานการกุศลนั่นอยู่ในแวดวงใดก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าเลย  นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้เจ้าทำ  เจ้าไม่ได้กำลังละเมิดความจริงเพราะการไม่ทำสิ่งนั้น และต่อให้เจ้าทำสิ่งนั้น พระเจ้าก็ไม่ทรงรำลึกถึง  ในเมื่อเจ้ามีจุดมุ่งหมายที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและความรอด  เจ้าไม่ควรลงทุนพลังงานและเวลาของเจ้าในเรื่องที่ไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับความรอด การไล่ตามเสาะหาความจริง หรือการนบนอบพระเจ้า เพราะการทำการกุศลไม่มีคุณค่าหรือความหมายเลย  เหตุใดการทำสิ่งนี้จึงไม่มีคุณค่าหรือความหมาย?  ไม่สำคัญว่าเจ้าช่วยเหลือหรือช่วยใครให้รอด นั่นก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้  นั่นไม่สามารถปรับเปลี่ยนโชคชะตาของผู้ใดหรือแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับโชคชะตาของพวกเขา และการที่เจ้าช่วยเหลือผู้คนเป็นบางโอกาสก็ไม่ใช่เป็นการช่วยให้พวกเขารอดอย่างแท้จริง  ผลที่ตามมาคือ สุดท้ายแล้วความอุตสาหะพยายามเช่นนั้นก็ไม่เป็นผลและปราศจากคุณค่าหรือความหมายอันใด  ตัวอย่างเช่น คนบางคนอุปการะสุนัขป่า พวกเขาเริ่มจากหนึ่งหรือสองตัวและสุดท้ายแล้วก็ฟูมฟักเป็นร้อยหรือพันตัว  พวกเขาทำการนี้เป็นอาชีพการงานของตน ลงทุนด้วยเงินเก็บทั้งหมด ดึงทั้งครอบครัวของตนมาเกี่ยวข้อง และอุทิศพลังงานทั้งหมดของตนในหลายปีต่อมา  พลังงานและชีวิตทั้งหมดของพวกเขาวนเวียนอยู่กับสิ่งเดียวนี้ และผลลัพธ์สุดท้ายก็คือการที่พวกเขาได้สิ้นเปลืองเวลาไปมากมายหลายปีเหลือเกินกับเรื่องนี้ แม้ว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการปกป้องและช่วยสุนัขป่าให้รอดก็ตาม  พวกเขาไม่มีเวลาหรือพลังงานเพิ่มเติมที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของตน  เพราะฉะนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับการทำหน้าที่และการได้รับความรอด ภาระรับผิดชอบใดก็ตามซึ่งต่อให้ได้รับการยอมรับชื่นชมจากผู้คนมากมายและได้รับการสรรเสริญจากสังคม ก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาความรอด ความจริง และการทำหน้าที่ของตน  นั่นไม่มีความหมายหรือมีคุณค่าเท่ากับการไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านี้  มีอีกเรื่องที่สำคัญคือ หากเจ้าได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า และเจ้าเป็นหนึ่งในประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร แน่นอนที่สุดว่าพระเจ้าจะไม่มีวันไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าดำเนินอาชีพการงานในการกุศลที่อาจได้รับการยอมรับชื่นชมจากทางโลกหรือสังคม  พระเจ้าจะไม่มีวันไว้วางพระทัยมอบหมายเรื่องแบบนั้นให้เจ้าทำอย่างแน่นอนที่สุด  หากเจ้าเป็นหนึ่งในประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ความหวังอันยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้าที่มีต่อเจ้าคืออะไร?  นั่นก็คือเพื่อให้เจ้าทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ให้สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงและหวนคืนสู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ อีกทั้งสามารถรับความรอดและคงอยู่ต่อไปได้  นี่คือสิ่งที่สนองเจตนารมณ์ของพระเจ้ามากที่สุด สิ่งที่สนองเจตนารมณ์ของพระองค์ดีที่สุด แทนที่จะเป็นการแสดงการกระทำที่ผู้คนในโลกหรือสังคมนี้พิจารณาว่ามีนัยสำคัญ เปี่ยมความหมาย หรือเฉิดฉาย  หากเจ้าเป็นบุคคลที่พระเจ้าทรงเลือกสรร สิ่งที่พระองค์ไว้วางพระทัยมอบหมายให้กับเจ้าก็คือหน้าที่ซึ่งเจ้าควรทำ อันสัมพันธ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและงานของคริสตจักรโดยเฉพาะเท่านั้น  สิ่งใดที่เกินเลยไปจากงานของคริสตจักรและการบริหารจัดการของพระเจ้านั้นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องกังวลสนใจ  ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใด ต่อให้เจ้าเชื่อว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีและเจ้าเต็มใจที่จะทำ นั่นก็ไม่มีคุณค่าอะไรเลย นั่นไม่คุ้มค่าแก่การรำลึกถึง และพระเจ้าก็ไม่ทรงรำลึกถึงสิ่งนั้น  ไม่ว่านั่นจะกลายเป็นมรดกตกทอดข้ามกาลเวลา ถูกจดจำชั่วกาล หรือได้รับการสรรเสริญจากผู้คนร่วมสมัยหรือไม่ แต่ทั้งหมดล้วนไม่สำคัญ  ไม่สำคัญว่ามีผู้คนมากมายเท่าไรยอมรับรู้ถึงสิ่งนั้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นได้รับการชมเชยจากพระเจ้าหรือได้รับการรำลึกถึงของพระองค์  นั่นไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นเปี่ยมความหมายและมีคุณค่า  ความคิดเห็นและการประเมินค่าของโลกนี้และสังคมนี้ไม่ได้เป็นตัวแทนการประเมินค่าของพระเจ้าที่มีต่อเจ้า  เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นเรื่องของอาชีพการงาน เจ้าก็ไม่ควรสิ้นเปลืองเวลาอันจำกัดและพลังงานอันล้ำค่าของเจ้าให้กับความอุตสาหะพยายามอันไร้ความหมาย  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น จงมุ่งเน้นพลังงานและเวลาของเจ้าให้กับหน้าที่ซึ่งพระเจ้าทรงมอบแก่เจ้า และให้กับเรื่องของการไล่ตามเสาะหาความจริงและความรอด  นี่คือสิ่งที่มีคุณค่าและความหมายอย่างแท้จริง  การใช้ชีวิตในหนทางนี้จะทำให้ชีวิตของเจ้าเป็นชีวิตที่มีคุณค่าและเปี่ยมความหมาย  บางคนอุปการะสุนัขหลายพันตัวและทุกวันก็มุ่งจุดศูนย์กลางไปที่การเอาใจใส่และการดำเนินชีวิตเพื่อสุนัขเหล่านี้ที่ตัวเองอุปการะไว้  พวกเขาแทบไม่มีเวลาเพียงพอที่จะกินและนอน ไม่ต้องพูดเลยว่าจะมีเวลาพอที่จะซักเสื้อผ้าของตัวเองหรือพูดคุยกับผู้คน  กิจที่เขารับมาทำนั้นเกินเลยขอบเขตความสามารถของตัวเอง  พวกเขาใช้ชีวิตอันเหนื่อยล้าน่าสงสาร  นี่โง่เขลาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าไม่ใช่ผู้ช่วยให้รอด จงอย่าพยายามที่จะเป็น  แนวคิดใดก็ตามที่ต้องการช่วยโลกให้รอด เปลี่ยนแปลงโลก หรือใช้เรี่ยวแรงกำลังของเจ้าเองเพื่อปรับเปลี่ยนสภาวะปัจจุบันหรือโลกนี้นั้นโง่เขลา  แน่นอนว่าความพยายามเช่นนั้นยิ่งโง่เขลาไปใหญ่ และผลสืบเนื่องที่ตามมาจะทำให้เจ้าตกไปอยู่ในสภาวะที่เลวร้าย ทำให้เจ้าเหนื่อยล้า ทำให้เจ้ามีความทุกข์เวทนาแบบบอกไม่ถูก และทำให้เจ้าไม่รู้ว่าตัวเองควรหัวเราะหรือร้องไห้  ผู้คนไม่มีพลังงานมากขนาดนั้น อีกทั้งสมรรถภาพและความสามารถของพวกเขาก็ไม่ยิ่งใหญ่พอที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้  พลังงานและเวลาอันน้อยนิดที่เจ้ามีควรถูกมอบและใช้ไปกับการทำหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้าง  แน่นอนว่าที่สำคัญกว่านั้นก็คือ นั่นควรถูกใช้และอุทิศให้กับการไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อบรรลุความรอดและการนบนอบพระเจ้า  นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ความอุตสาหะพยายามอื่นใดก็ไร้ความหมาย  อาชีพการงานเป็นบางสิ่งที่ต้องทำในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทางกายภาพของบุคคล  ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะมีความหมาย แค่จำเป็นสำหรับชีวิตทางกายและความอยู่รอดเท่านั้น  เพื่อที่จะดำรงชีวิตและอยู่รอด เจ้าต้องประกอบอาชีพ อาชีพนี้เป็นแค่การงานที่เปิดโอกาสให้เจ้าเกื้อหนุนชีวิตตัวเอง  ไม่ว่าสายอาชีพนี้อยู่ในระดับชั้นล่างหรือชั้นบนของสังคม นั่นก็เป็นเพียงหนทางที่จะดำรงความเป็นอยู่เท่านั้นเอง ไม่ต้องถามถึงความสูงศักดิ์หรือนัยสำคัญของการนั้นเลย  ยิ่งไปกว่านั้น ไม่สำคัญว่าอาชีพนั้นจะมีนัยสำคัญอะไร ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์ก็คือสิ่งนี้ที่ว่า หากเจ้าปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและเดินบนเส้นทางแห่งความรอด เช่นนั้นแล้ว มาตรฐานสำหรับการเลือกสายอาชีพเพื่อดำรงความเป็นอยู่ก็คือการพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า  จงอย่าหมดเปลืองพลังงานและเวลาในปริมาณที่เกินความจำเป็นไปกับการทำงานหัวหมุนและการมีธุระยุ่งอยู่กับอาหาร เสื้อผ้า ที่พักพิง และการสัญจรของตัวเอง—การสัมฤทธิ์สิ่งจำเป็นพื้นฐานทั้งหลายนั้นเพียงพอแล้ว  เมื่อท้องของเจ้าอิ่ม อีกทั้งร่างกายของเจ้าก็อบอุ่นและมีสิ่งปกคลุม เมื่อเจ้าสัมฤทธิ์ภาวะพื้นฐานสำหรับความอยู่รอดเหล่านี้ เจ้าก็ควรทำหน้าที่ของเจ้าในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง มอบพลังงานและเวลาอันล้ำค่าของเจ้าให้กับหน้าที่ของตัวเอง ให้กับสิ่งที่พระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้าและมอบหัวใจของเจ้า  ประเด็นสำคัญยิ่งยวดที่สุดก็คือว่า ขณะกำลังทำหน้าที่ของเจ้า เจ้าต้องทุ่มความพยายามให้กับความจริง ไล่ตามเสาะหาความจริง และเดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง—จงอย่าแค่ล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย  นี่คือหลักธรรม  พระเจ้าไม่ทรงพึงประสงค์ให้เจ้าแค่ทุ่มเทเรี่ยวแรงกำลังทั้งหมดของเจ้าแค่เพื่อให้อยู่รอดและดำรงชีวิตไว้  พระเจ้าไม่ทรงจำเป็นต้องให้เจ้าใช้ชีวิตที่สวยหรูและถวายพระเกียรติพระองค์ผ่านทางการนั้น และพระองค์ก็ไม่พึงประสงค์ให้เจ้าสำเร็จลุล่วงกิจการยิ่งใหญ่อันใดในโลกนี้ แสดงปาฏิหาริย์ ร่วมสมทบสิ่งใดให้แก่มวลมนุษย์ ให้การช่วยเหลือผู้คนจำนวนใดก็ตาม หรือแก้ปัญหาการจ้างงานของผู้คนจำนวนใดก็ตาม  ไม่จำเป็นที่เจ้าต้องมีอาชีพการงานที่หรูหรา กลายเป็นมีชื่อเสียงทั่วโลก และจากนั้นก็ใช้สิ่งเหล่านี้มาถวายพระเกียรติพระนามของพระเจ้า กล่าวประกาศต่อโลกว่า “ฉันเป็นคริสเตียน ฉันเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์”  พระเจ้าทรงหวังเพียงให้เจ้าสามารถเป็นบุคคลธรรมดาและเป็นปัจเจกชนทั่วไปในโลกนี้  เจ้าไม่จำเป็นต้องแสดงปาฏิหาริย์ใด เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นเลิศในวิชาชีพหรือสาขาวิชาอันหลากหลาย หรือกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือบุคคลสำคัญผู้ยิ่งใหญ่  เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นใครบางคนที่กอบโกยความเลื่อมใสหรือความเคารพของผู้คน และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องมีความสำเร็จหรือรางวัลเกียรติยศในหลากหลายด้าน  แน่นอนว่าไม่มีความจำเป็นเลยที่เจ้าจะต้องทำการร่วมสนับสนุนใดๆ ในสายอาชีพสารพัดเพื่อที่จะถวายพระเกียรติพระเจ้า  ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อเจ้านั้นก็เพียงให้เจ้าดำเนินชีวิตให้ดี มีสิ่งจำเป็นพื้นฐาน ไม่หิวโหย แต่งกายอย่างอบอุ่นในฤดูหนาวและอย่างเหมาะสมในฤดูร้อน  ตราบที่ชีวิตของเจ้าเป็นปกติและเจ้ามีความสามารถที่จะอยู่รอด นั่นก็พอแล้ว—นั่นคือข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อเจ้า  ไม่สำคัญว่าเจ้ามีของประทาน พรสวรรค์ หรือความสามารถที่พิเศษใดๆ พระเจ้าก็ไม่ทรงปรารถนาให้เจ้าใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อให้ได้รับความสำเร็จทางโลก  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงต้องประสงค์ให้เจ้าประยุกต์ใช้ของประทานหรือขีดความสามารถใดก็ตามที่เจ้ามีเข้ากับการทำหน้าที่ของเจ้าซึ่งพระองค์ไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่เจ้า และเข้ากับการไล่ตามเสาะหาความจริง และบรรลุความรอดในท้ายที่สุด  นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด และพระเจ้าไม่ได้ทรงพึงประสงค์สิ่งใดที่เกินกว่านั้น  หากเจ้าดำเนินชีวิตได้ดี พระเจ้าจะไม่ตรัสว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่ถวายพระเกียรติพระองค์  หากชีวิตเจ้าธรรมดาและเจ้าอยู่ในชั้นล่างของสังคม การนี้ก็ไม่ใช่การปรามาสพระเจ้า  หากครอบครัวของเจ้าค่อนข้างยากจน แต่เจ้าทำได้ตามมาตรฐานของพระเจ้าเกี่ยวกับการพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า การนี้ก็ไม่ใช่การปรามาสพระองค์เช่นกัน  ขณะที่เจ้าดำเนินชีวิตและอยู่รอด เป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของเจ้าก็คือเพื่อที่จะพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า มีสิ่งจำเป็นพื้นฐานและดำเนินชีวิตอย่างเป็นปกติ การสามารถดำรงมื้ออาหารรายวันของเจ้าและการดูแลครอบคลุมรายจ่ายประจำวันไว้ได้—นั่นก็พอแล้ว  เมื่อเจ้าพอใจ พระเจ้าก็พึงพอพระทัยเช่นกัน—นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงขอจากผู้คน  พระองค์ไม่ทรงขอให้เจ้าเป็นบุคคลที่ร่ำรวย มีชื่อเสียงและเลิศหรู และพระองค์ก็ไม่ทรงปล่อยให้เจ้าเป็นขอทาน  พวกขอทานไม่ทำงานอะไร ทั้งวันพวกเขาเอาแต่ขออาหาร ดูน่าเวทนา กินของเหลือจากผู้คน แต่งกายด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่น สวมเสื้อผ้าที่มีรอยปะชุน หรือถึงกับใช้กระสอบผ้าป่านหยาบห่อพันตัวเองด้วยซ้ำ—คุณภาพชีวิตของพวกเขาต่ำมากเป็นพิเศษ  พระเจ้าไม่ทรงร้องขอให้เจ้าดำรงชีวิตเหมือนขอทาน  ในเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตฝ่ายกายภาพนั้น พระเจ้าไม่ทรงพึงประสงค์ให้เจ้าถวายพระเกียรติพระองค์ และพระองค์ก็ไม่ทรงนิยามบางสถานการณ์ว่าเป็นการไม่ให้เกียรติพระองค์  พระเจ้าไม่ทรงพิพากษาบุคคลหนึ่งบนพื้นฐานของการที่พวกเขากำลังดิ้นรนขัดสนหรือว่ากำลังดำรงชีวิตอยู่ในความอุดมสมบูรณ์  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงประเมินค่าเจ้าบนพื้นฐานของวิธีที่เจ้าปฏิบัติและการที่เจ้าสนองข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าในแง่ของการไล่ตามเสาะหาความจริงและหลักธรรมที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากเจ้าหรือไม่  ก็แค่นั้นเอง  เจ้าเข้าใจและจับความเข้าใจหลักธรรมแห่งการปฏิบัติสองประการนี้ที่สัมพันธ์กับอาชีพการงานแล้วใช่หรือไม่?  หลักธรรมแรกคือการไม่ร่วมทำการกุศล และหลักธรรมที่สองคือการพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า  หลักธรรมทั้งสองนี้เข้าใจได้ง่าย

ในคริสตจักรนั้น บางคนยังเชื่ออย่างหนักแน่นว่าการทำการกุศลเป็นสิ่งที่ดี  พวกเขาคิดว่า “ที่ใดก็ตามที่มีความต้องการอันจำเป็น พวกเราควรยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ  โดยส่วนตัวแล้วสำหรับฉันนั้น ฉันได้บริจาคเสื้อผ้าและเงินไปบ้างแล้ว และฉันก็ถึงกับไปยังพื้นที่ประสบภัยพิบัติและเป็นจิตอาสาด้วยซ้ำ”  พวกเจ้าประเมินค่าเรื่องนี้อย่างไร?  การนี้ควรถูกหยุดยั้งหรือแทรกแซงหรือไม่?  (ไม่ควรถูกแทรกแซง)  ยังมีพวกคนที่พูดว่า “พอฉันเห็นใครบางคนกำลังขอทาน โดยเฉพาะพวกเด็กๆ ที่หิวโหย ฉันรู้สึกสงสารพวกเขา”  พวกเขารีบพาผู้คนเหล่านั้นเข้ามาในบ้านของตัวเองอย่างรวดเร็ว ทำอาหารดีๆ ให้คนเหล่านั้น แล้วก็ส่งคนเหล่านั้นกลับพร้อมเสื้อผ้าและสิ่งของที่ดีๆ และถึงกับไปเยี่ยมเยียนคนเหล่านั้นเป็นครั้งคราว  พวกเขาเต็มใจที่จะแสดงบทบาทแห่งความใจดีเหล่านี้และวางตัวในหนทางนี้ โดยเชื่อว่าการวงตัวในหนทางนี้ค้ำจุนความยุติธรรม และเชื่อว่าโดยการทำเช่นนั้น พวกเขาจะได้รับการรำลึกถึงจากพระเจ้าและกลายเป็นผู้คนที่น่ารักที่สุดในโลก  พูดถึงผู้คนแบบนี้ คริสตจักรหยุดยั้งหรือแทรกแซงพวกเขาหรือไม่?  (คริสตจักรไม่แทรกแซง)  พวกเราแบ่งปันคำเทศนาซึ่งควรแบ่งปันกับพวกเขา อีกทั้งอธิบายเจตนารมณ์ของพระเจ้าและหลักธรรมความจริงแก่พวกเขา  หากหลังจากเข้าใจและมีความรู้เกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว พวกเขายังคงยืนกรานที่จะทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของตน ปฏิบัติตนไปตามเจตจำนงของตัวเอง พวกเราก็จะไม่สอดแทรก  ปัจเจกชนทุกคนต้องรับผิดชอบต่อคำพูดและการกระทำของตัวเอง และผู้คนก็เป็นผู้รับผิดชอบต่อจุดจบสุดท้ายและวิธีที่พระเจ้าตีตราพวกเขาด้วยตัวเอง  ผู้อื่นไม่จำเป็นต้องแบกความรับผิดชอบนั้น ผู้อื่นไม่จำเป็นต้องจ่ายมากขนาดนั้น  หากพวกเราเผชิญกับผู้คนแบบนี้ที่เข้าใจทุกสิ่งแต่ยังคงยืนกรานที่จะทำการกุศล พวกเราก็จะไม่แก้ไขความคิดและมุมมองของพวกเขา และพวกเราก็จะไม่แทรกแซง และแน่นอนว่าพวกเราก็จะไม่กล่าวโทษพวกเขา  ยังคงมีผู้คนบางคนที่ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทางโลก ความร่ำรวย ตำแหน่งในรัฐบาล หรืออาชีพการงานหลังจากที่เชื่อในพระเจ้า  พวกเราแทรกแซงพวกเขาหรือไม่?  (พวกเราไม่แทรกแซง)  จงสามัคคีธรรมกับพวกเขาเกี่ยวกับความจริงที่เกี่ยวข้องเพื่อให้พวกเขาเข้าใจ และหลังจากที่เจ้าสามัคคีธรรมเสร็จแล้ว พวกเขาสามารถเลือกเองได้  นั่นขึ้นอยู่กับพวกเขาที่จะตัดสินใจว่าจะเลือกเดินไปตามครรลองใด  สิ่งที่พวกเขาเลือก สิ่งที่พวกเขาต้องการทำ และวิธีที่พวกเขาทำสิ่งนั้น—พวกเราไม่สอดแทรกในเรื่องเหล่านี้  ความรับผิดชอบของพวกเราก็คือการสามัคคีธรรมกับพวกเขาเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง  หากพวกเขาเข้าใจและจับใจความได้ เจ้าก็อาจถามพวกเขาว่า “แล้ว ขั้นตอนถัดไปของคุณควรเป็นอะไร?  เมื่อไรคุณจะเริ่มเผยแผ่ข่าวประเสริฐ?”  แล้วพวกเขาก็จะพูดว่า “รอหน่อยนะ ฉันมีการขนส่งสินค้าทางเรือที่ต้องนำเข้ามา ฉันมีธุรกิจบางอย่างกับโครงการหนึ่งที่ฉันจำเป็นต้องเข้ารับช่วงกิจการ บางสิ่งที่ฉันสามารถทำเงินได้มากมายทันทีที่เสร็จสมบูรณ์  พวกเราค่อยกลับมาคุยเรื่องการเผยแผ่ข่าวประเสริฐกันทีหลังเถิดนะ?”  เจ้าก็เลยพูดว่า “ฉันควรรอนานแค่ไหน?”  พวกเขาก็ตอบว่า “อาจจะสักสองหรือสามปี”  ถ้าอย่างนั้นก็สวัสดีเลย  เจ้าไม่จำเป็นต้องไปวุ่นวายกับผู้คนแบบนั้นอีกต่อไป  การนี้สามารถถูกจัดการแก้ไขด้วยวิธีนี้ นั่นง่ายดายใช่หรือไม่?  (นั่นง่ายดาย)  นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการรู้จักหนทางที่แท้จริงและแต่ก็จงใจทำบาปอยู่ดี  ผู้คนเช่นนั้นจะไม่มีเครื่องบูชาลบล้างบาป  พระเจ้าไม่ทรงหยุดยั้งหรือแทรกแซงผู้คนแบบนี้ แม้แต่ในชั่วขณะนั้น พระองค์ก็ไม่ทรงประเมินค่าพวกเขาในหนทางใดเลย  พระองค์ทรงปล่อยให้พวกเขาเลือกอย่างมีอิสระ  พวกเจ้าก็จำเป็นต้องเรียนรู้หลักธรรมนี้  ไม่สำคัญว่าพวกเขาสามารถเข้าใจได้มากเพียงใด กล่าวสั้นๆ ได้ว่า ความรับผิดชอบของพวกเราก็คือการสื่อสารเจตนารมณ์ของพระเจ้าให้แก่พวกเขาอย่างชัดเจน  สิ่งที่พวกเขาเลือกหลังจากนั้น สิ่งที่ควรเป็นขั้นตอนถัดไปของพวกเขานั้นเป็นกิจธุระของพวกเขาเองและเป็นอิสรภาพของพวกเขา  ไม่ควรมีใครแทรกแซงและก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอธิบายข้อดีและข้อเสียเพื่อที่จะกดดันพวกเขา  นี่คือการเข้าจัดการที่เหมาะควรหรือไม่?  (นั่นเหมาะควร)  หากนั่นเหมาะควร เช่นนั้นก็ควรทำแบบนี้  จงอย่างไปขัดต่อหลักธรรมและจงอย่างบังคับพวกเขาให้ขัดต่อเจตจำนงของพวกเขาเอง  นี่เป็นหลักธรรมสองข้อแรกของการปล่อยมือจากอาชีพการงานของคนเรา สองสิ่งนี้ค่อนข้างง่ายแก่การเข้าใจและง่ายดายที่จะจับใจความ

เมื่อพูดถึงหัวข้อการปล่อยมือจากอาชีพการงาน อะไรคือหลักธรรมข้อที่สามที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนปฏิบัติ?  นั่นคือการอยู่ห่างจากกองกำลังนานาทางสังคม  หลักธรรมนี้เข้าใจยากขึ้นมาอีกนิดใช่หรือไม่?  (ใช่)  แม้ว่าหลักธรรมนี้อาจจะเข้าใจยากขึ้นสักหน่อย แต่ก็เป็นหนึ่งในหลักธรรมทั้งหลายเช่นกัน  นี่เป็นหลักธรรมที่ผู้คนควรถือปฏิบัติโดยสัตย์จริงเพื่อที่จะอยู่รอดในสังคมนี้  ทั้งหลักธรรมนี้ก็ยังเป็นท่าที การเข้าหา และลักษณะของความอยู่รอดที่ผู้คนต้องมีเพื่อที่จะอยู่รอดในสังคมนี้ด้วยเช่นกัน และอาจพูดได้ไม่ผิดอย่างแน่นอนว่า นี่เป็นปัญญาอย่างหนึ่งสำหรับการอยู่รอดในสังคม  การอยู่ห่างจากกองกำลังนานาทางสังคมอาจจะดูภายนอกว่าเป็นประเด็นที่ห่างไกลจากแต่ละตัวบุคคล แต่ในข้อเท็จจริงนั้น กองกำลังนานาทางสังคมเหล่านี้แอบซ่อนอยู่รอบตัวทุกคน  สิ่งเหล่านี้เป็นกองกำลังที่จับต้องไม่ได้ เป็นสิ่งสรรพ์อันจับต้องไม่ได้ที่มีอยู่จริงรอบตัวทุกคน  เมื่อเจ้าเลือกสายอาชีพ ไม่สำคัญว่าสายอาชีพนั้นอยู่ในสังคมชั้นไหน สายอาชีพนั้นก็ถูกห้อมล้อมด้วยกองกำลังที่มากพอสมควรทีเดียวจากสายอาชีพที่สัมพันธ์กัน  ไม่ว่าเจ้าทำสายอาชีพชั้นสูงหรือชั้นต่ำ ภายในสายอาชีพนั้นก็มีกลุ่มคนที่เกี่ยวข้อง  หากกลุ่มเหล่านี้ภายในสังคมมีประสบการณ์มาบ้างหลายปี มีคุณวุฒิบางอย่าง หรือมีรากฐานทางสังคมบางอย่าง เช่นนั้นกลุ่มเหล่านี้ก็ก่อเป็นกองกำลังอันจับต้องไม่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย  ตัวอย่างเช่น วิชาชีพของการสอนอาจจะไม่ถูกมองว่าเป็นสายอาชีพชั้นสูง แต่ก็ไม่ใช่ชั้นต่ำเช่นกัน  วิชาชีพนี้ค่อนข้างสูงส่งกว่าสายอาชีพอย่างการทำไร่ทำสวน หรือการใช้แรงงานสารพัดประเภท แต่ก็ค่อนข้างต่ำต้อยกว่าวิชาชีพชั้นสูงอย่างแท้จริงทั้งหลายในสังคม  ภายในสายอาชีพนี้ นอกเหนือจากงานอันเรียบง่ายที่เจ้าทำ ก็ยังมีผู้คนอื่นอีกมากมายท่วมทั้งอุตสาหกรรมนี้  ดังนั้น ในอุตสาหกรรมนี้ ผู้คนจึงถูกแยกความแตกต่างโดยความอาวุโสและความลึกซึ้งของประสบการณ์ของพวกเขา  ระดับบนของวิชาชีพนี้ประกอบขึ้นเป็นชนชั้นที่ควบคุมสิ่งต่างๆ อาทิ บุคลากร กระแสนิยม การเมือง ข้อบังคับ และกฎเกณฑ์ ชนชั้นนี้เป็นรูปแบบหนึ่งของกองกำลังที่สอดรับกันภายในวิชาชีพนั้น  ยกตัวอย่างเช่น ในวิชาชีพของการสอน ใครหรือที่เป็นหัวหน้า เป็นนายใหญ่ที่นำทางและควบคุมวิชาชีพ และใครควบคุมความเป็นอยู่และเงินเดือนของเจ้า?  ในบางประเทศ อาจจะมีสหภาพครู ในประเทศจีนก็เป็นสำนักการศึกษาและกระทรวงศึกษาธิการ  สถาบันเหล่านี้เป็นตัวแทนเขตปกครองของกองกำลังที่สอดรับกับวิชาชีพทางการสอนในสังคม  ในทำนองเดียวกัน สำหรับชาวไร่ชาวนาแล้ว ใครเล่าที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของพวกเขา?  นั่นอาจจะเป็นหัวหน้าทีม ผู้ใหญ่บ้าน หรือนายกเทศมนตรี และปัจจุบันนี้ก็กำลังมีการนำเสนอให้มีคณะกรรมการบริหารจัดการการเกษตรด้วยซ้ำ  นี่คือเขตปกครองของกองกำลังที่สอดรับกับวิชาชีพนี้ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  อาจพูดได้ว่าเขตปกครองที่แตกต่างกันไปของกองกำลังเหล่านี้ส่งผลต่อความคิด คำพูด และการกระทำของเจ้า และแม้แต่ความเชื่อของเจ้ากับเส้นทางที่เจ้าเดินในชีวิต  เขตปกครองเหล่านี้ไม่ใช่แค่ควบคุมความเป็นอยู่ของเจ้า แต่ยังควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเจ้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดง พวกผู้ไม่มีความเชื่อมักจัดงานสัมมนาเชิงอุดมการณ์ โดยรายงานความคิดและตรวจสอบว่ามีปัญหาใดกับความคิดของพวกเขาบ้างหรือไม่ ว่าความคิดของพวกเขามีองค์ประกอบเชิงต่อต้านพรรค ต่อต้านรัฐ หรือต่อต้านมนุษย์รวมอยู่หรือไม่  ไม่สำคัญว่าเจ้าทำวิชาชีพอะไร ไม่ว่านั่นจะค่อนไปทางสายอาชีพตามวัฒนธรรมดั้งเดิม หรือค่อนไปทางสายอาชีพสมัยใหม่ ก็จะมีกองกำลังนานาที่สอดรับกันปรากฏอยู่ในแวดวงวิชาชีพรอบตัวเจ้า  บางกองกำลังเป็นพวกผู้บังคับบัญชาโดยตรงของเจ้า พวกที่รับผิดชอบการออกเงินเดือนและค่าครองชีพของเจ้าโดยตรง  กองกำลังอื่นอาจจะจับต้องไม่ได้  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าเป็นลูกจ้างที่ไม่โดดเด่นอะไรในที่ทำงาน ก็จะมีกองกำลังนานาที่มีบทบาทอยู่ภายในแวดวงวิชาชีพของเจ้า  บางคนก็ตีสนิทกับผู้จัดการและคอยพันแข้งพันขาพวกเขาเสมอ—นี่ก็เป็นกองกำลังประเภทหนึ่ง  แล้วก็มีกลุ่มของกองกำลังหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับประธานกรรมการบริหาร และอุทิศตนให้กับการรับมือกับเรื่องทั้งหลายของประธานกรรมการบริหาร  อีกกลุ่มก็อาจจะใกล้ชิดกับผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด  กองกำลังนานาเหล่านี้ล้วนมีอยู่จริง  อะไรคือจุดประสงค์ของกองกำลังเหล่านี้?  กองกำลังเหล่านี้มามีอยู่ได้อย่างไร?  นั่นก็คือการที่ปัจเจกชนแต่ละคนรับเอาสิ่งที่พวกเขาต้องการ ตลอดจนการเลือกข้างและการเลียแข้งเลียขาพวกที่มีอำนาจเพื่อสัมฤทธิ์จุดประสงค์ของตัวเองและอยู่รอด ซึ่งนำไปสู่การก่อตัวของกองกำลังนานาขึ้นมาหลังจากนั้น  บางกองกำลังสนับสนุนการเข้าหาแบบหนึ่ง ขณะที่กองกำลังอื่นสนับสนุนการเข้าหาที่ต่างไป  บางกองกำลังอาจจะตั้งใจทำสิ่งทั้งหลายไปตามตำราและปฏิบัติตามบรรทัดฐานของที่ทำงาน ในขณะที่กองกำลังอื่นปฏิบัติตนอย่างน่าดูหมิ่น เพิกเฉยทั้งต่อกฎหมายและจรรยาบรรณวิชาชีพ  เมื่อดำเนินชีวิตในสภาพแวดล้อมที่กองกำลังนานาเหล่านี้คละเคล้าอยู่ เจ้าควรเลือกอย่างไร?  เจ้าควรอยู่รอดอย่างไร?  เจ้าควรเข้าใกล้องค์กรพรรค หรือผู้จัดการสักคน หรือประธานกรรมการบริหารใช่หรือไม่?  เจ้าควรเลียแข้งเลียขาผู้อำนวยการหรือหัวหน้าแผนกสักคน หรือเจ้าควรทำตัวคล้อยตามหัวหน้าสำนักงานหรือผู้อำนวยการโรงงาน?  (ไม่ควรเลยสักอย่าง)  อย่างไรก็ตาม เพื่อความอยู่รอด บ่อยครั้งที่ผู้คนละทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเอง ละทิ้งหลักธรรมแห่งการประพฤติปฏิบัติของตน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ละทิ้งขอบเขตสำหรับวิธีที่พวกเขาควรวางตน  ภายในผังภูมิอันซับซ้อนของกองกำลังเหล่านี้ ผู้คนจะเลือกที่จะเลือกข้าง ไหลตามน้ำ และคล้อยตามกองกำลังนานาไปโดยไม่รู้ตัว  พวกเขามองหากองกำลังที่จะยอมรับและคุ้มครองพวกเขา หรือไม่พวกเขาก็มองหากองกำลังที่ตัวพวกเขาเองอาจยอมรับได้ง่ายกว่า กองกำลังที่พวกเขาควบคุมได้ แล้วพวกเขาก็เอาตัวเข้าไปใกล้หรือถึงกับซึมแทรกเข้าไปในกองกำลังนั้น  นี่คือสัญชาตญาณมนุษย์ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นี่เป็นวิธีการหรือทักษะทางความอยู่รอดชนิดหนึ่งไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ไม่ว่านี่จะเป็นสัญชาตญาณที่ติดตัวมาแต่กำเนิด หรือเป็นทักษะสำหรับผู้คนในการปรับตัวเข้ากับสังคมนี้ และเข้ากับกลุ่มสารพัด นี่ใช่หลักธรรมแห่งการปฏิบัติที่คนเราควรมีเพื่อการประพฤติปฏิบัติตนหรือไม่?  (ไม่ใช่)  บางคนอาจจะพูดว่า “ถึงแม้คุณกำลังพูดอยู่ตอนนี้ว่านั่นไม่ใช่ แต่พอคุณพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์นั้นจริงๆ ในชีวิตจริงคุณก็จะเลือกที่จะเลือกข้าง และแสวงหาที่หลบภัยกับกองกำลังใดก็ตามที่ให้ประโยชน์กับคุณและเปิดโอกาสให้คุณอยู่รอด  และลึกลงไปคุณอาจรู้สึกว่าผู้คนต้องพึ่งพากองกำลังเหล่านี้เพื่อที่จะดำรงชีวิต รู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องขึ้นกับใคร เพราะการดำรงชีวิตอยู่โดยไม่ขึ้นกับใครทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการถูกรังแก  คุณไม่สามารถอยู่โดยไม่ขึ้นกับใครและเชิดหน้าทระนงได้ตลอดเวลา คุณต้องเรียนรู้ที่จะอ่อนข้อและอยู่ใกล้ชิดกับกองกำลังนานา  คุณต้องช่างสังเกต เคล้าแข้งเคล้าขาผู้คน และเล่นละครไปตามที่วาระโอกาสเรียกร้อง  คุณต้องไหลตามน้ำ ต้องยกยอปอปั้นให้เก่ง ต้องประเมินแนวโน้มสถานการณ์ และมีลางสังหรณ์ที่เฉียบคม  คุณจำเป็นต้องหาให้เจอและกลายเป็นคุ้นเคยกับสิ่งที่หัวหน้าของคุณชอบและไม่ชอบ พื้นอารมณ์และบุคลิกภาพของพวกเขา ภูมิหลังทางครอบครัวของพวกเขา สิ่งประเภทที่พวกเขาชอบที่จะได้ยิน อายุของพวกเขา วันเกิดของพวกเขา ยี่ห้อชุดสูท รองเท้า กระเป๋าหนังที่พวกเขาเลือกชอบ ร้านอาหาร ยี่ห้อรถ ยี่ห้อคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือที่พวกเขาเลือกชอบ ซอฟท์แวร์ชนิดที่พวกเขาชอบให้มีติดตั้งในคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ความบันเทิงประเภทที่พวกเขาสุขสำราญในเวลาพักผ่อนหย่อนใจ ผู้ที่พวกเขาเลือกชอบที่จะสมาคมด้วย และหัวข้อที่พวกเขาเสวนากัน”  เพื่อเห็นแก่ความอยู่รอด เจ้าจะเข้าใกล้พวกเขาไปโดยธรรมชาติและโดยไม่รู้ตัว รวมตัวเข้ากับพวกเขา โอนอ่อนผ่อนตามจนมากเกินไปและทำในสิ่งที่เจ้าฝืนใจที่จะทำ รวมทั้งพูดในสิ่งที่เจ้าไม่เต็มใจพูด ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้พวกหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานของเจ้าพึงพอใจ และทำให้ตัวเองสัมฤทธิ์เป้าหมายด้วยทักษะอันยิ่งใหญ่ และควบคุมทุกสิ่งในที่ทำงานของตัวเอง อันเป็นการทำให้มั่นใจว่าชีวิตและความอยู่รอดของเจ้ามีความปลอดภัยมั่นคง  โดยไม่สำคัญว่าการกระทำของเจ้าละเมิดจริยธรรมและขอบเขตของการประพฤติปฏิบัติตนหรือไม่ หรือต่อให้นั่นหมายถึงการละทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเอง เจ้าก็ไม่สนใจ  แต่ความแตกต่างนี้นี่เองที่เป็นเครื่องหมายแสดงจุดเริ่มต้นแห่งความเสื่อมถอยของเจ้า และเป็นสัญญาณว่าตัวเจ้านั้นเกินกว่าจะช่วยได้แล้ว  เพราะฉะนั้นโดยภายนอกแล้ว คนเราไม่สามารถตำหนิผู้คนที่ไม่มีทางเลือกนอกจากการเข้าใกล้กองกำลังนานาทางสังคมเพื่อเห็นแก่ชีวิตและความอยู่รอดของตัวเอง  อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมที่ผู้คนแสดงออกมาให้เห็น สิ่งที่พวกเขาเลือก และเส้นทางที่พวกเขาเลือกเดินบิดเบือนความเป็นมนุษย์และบุคลิกลักษณะของพวกเขา  ในเวลาเดียวกัน เมื่อผู้คนเข้าใกล้หรือรวมตัวเข้ากับกองกำลังนานา พวกเขาก็เรียนรู้อย่างต่อเนื่องที่จะนำกลอุบายและกลวิธีสารพัดมาใช้ในการทำให้กองกำลังเหล่านี้ยินดีและพึงพอใจ ที่จะปรับปรุงชีวิตของตัวเองและทำให้ภาวะความอยู่รอดของตนน่าโปรดปรานยิ่งขึ้น  ยิ่งพวกเขาทำแบบนั้นมากขึ้นเท่าไร พวกเขายิ่งจำเป็นต้องมีพลังงานและเวลามากขึ้นเพื่อดำรงสภาวะปัจจุบันและสัมพันธภาพเหล่านี้เอาไว้  เพราะฉะนั้น ภายในวันและเวลาอันจำกัดของเจ้า ทุกคำที่เจ้าพูด ทุกการกระทำที่เจ้าทำ และทุกวันที่เจ้าดำเนินชีวิตผ่านไปไม่ใช่แค่ขาดความหมาย แต่สิ่งเหล่านั้นเน่าเปื่อยผุผังไปหมดแล้ว  ที่ว่าสิ่งเหล่านั้นเน่าเปื่อยผุพังหมายถึงอะไร?  นั่นหมายความว่า วันทุกวันทำให้เจ้ายิ่งเสื่อมลงจนถึงจุดที่ไม่มีความคล้ายคลึงทั้งมนุษย์และผี  โดยบริบทนี้ เจ้าจึงขาดหัวใจอันสงบนิ่งที่จะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเจ้าย่อมไม่มีเวลาเหลือเฟือพอที่จะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแน่นอน  เป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะสามารถลงทุนทั้งร่างกายและหัวใจให้กับการทำหน้าที่ของตัวเอง และในเวลาเดียวกันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะสามารถลงทุนทั้งร่างกายและหัวใจให้กับการไล่ตามเสาะหาความจริง  เมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสแห่งความรอดในอนาคตของเจ้าก็เลือนลาง ความหวังของเจ้าก็ริบหรี่  เพราะเจ้าได้ลงทุนไปในกองกำลังนานาทางสังคม เลือกแล้วที่จะใกล้ชิดกองกำลังเหล่านั้น และเลือกที่จะเข้าร่วมกับพวกเขาและยอมรับพวกเขา ผลสืบเนื่องของตัวเลือกนี้ก็คือ เจ้าต้องอุทิศทั้งร่างกายและจิตใจของเจ้าให้กับการดำรงสภาวะปัจจุบันนี้ พลางวันเวลาของเจ้าไปอย่างเปล่าประโยชน์  เจ้ารู้สึกอ่อนล้าทั้งกายและใจ ราวกับว่าเจ้ากำลังใช้เวลาแต่ละวันในเครื่องบดเนื้อ แต่กระนั้น ตัวเลือกของเจ้าก็ทำให้เจ้าต้องดำเนินต่อไปแบบนั้นวันแล้ววันเล่า  ภายในสภาพแวดล้อมอันซับซ้อนของกองกำลังนานา เมื่อเจ้าเข้าร่วมกับพวกเขา ทุกคำที่พวกเขาพูด กระแสนิยมทั้งหลายที่อยู่ในคำพูด ตลอดจนเรื่องต่างๆ ที่เข้ามา ความประพฤติของแต่ละคนและความคิดในส่วนลึกสุดของพวกเขา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของเจ้า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของกองกำลังเหล่านี้กำลังคิด—สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เจ้าต้องประเมินและรวบรวมข้อมูลให้ทันกำหนดเวลา  เจ้าไม่อาจเพิกเฉยหรือหย่อนยานในเรื่องนี้ได้  สิ่งที่พวกเขากำลังคิด การกระทำที่พวกเขากำลังทำอยู่หลังฉาก แผนการและเจตนารมณ์ที่พวกเขามี แม้แต่สิ่งที่พวกเขากำลังวางแผนและคิดคำนวนสำหรับแต่ละบุคคล สิ่งที่พวกเขากำลังตัดสินใจเพื่อบุคคลเหล่านั้นและท่าทีที่พวกเขามีต่อบุคคลเหล่านั้น—หากเจ้าปรารถนาที่จะรู้สิ่งเหล่านี้ดีเหมือนเป็นหลังมือของตัวเอง เช่นนั้นเจ้าก็ต้องมีความเข้าใจลึกๆ ในหัวใจเกี่ยวกับสถานการณ์และสภาพการณ์ทั่วไปที่เชื่อมโยงกับพวกเขา  หากเจ้าต้องการเข้าใจสิ่งเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง เจ้าก็ต้องอุทิศพลังงานทั้งหมดของเจ้าให้กับการศึกษาและการแตกฉานในสิ่งเหล่านี้  เจ้าต้องร่วมรับประทานอาหารกับพวกเขา พูดคุยกับพวกเขา โทรศัพท์หาพวกเขา มีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาให้มากขึ้นในที่ทำงาน และแม้แต่เข้าใกล้พวกเขาในช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์และเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเขา  ผลลัพธ์ก็คือ ไม่สำคัญว่าวันเวลาของเจ้าเป็นอย่างไร ไม่ว่าวันเวลาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความชื่นบานยินดีหรือความเจ็บปวด ต่อให้เจ้าได้มีหัวใจที่จะทำหน้าที่ของเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว เจ้าจะสามารถหาเวลาทำให้ตัวเองสงบพอที่จะลุล่วงหน้าที่ของเจ้าด้วยทั้งร่างกายและหัวใจหรือไม่?  (พวกเราจะไม่สามารถ)  ในภาวะประเภทนี้ ความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าก็จะไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่างานอดิเรกประเภทหนึ่งที่เจ้าทำยามว่าง  ไม่สำคัญว่าข้อพึงประสงค์และความพึงปรารถนาทั้งหลายสำหรับความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าในภาวะปัจจุบันของเจ้าจะเป็นอะไร แต่ก็น่าจะเป็นไปได้ว่า การเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ของเจ้านั้นเป็นเพียงสิ่งสุดท้ายในรายการความพึงปรารถนาทั้งหลายของเจ้าเท่านั้น  สำหรับในส่วนของการไล่ตามเสาะหาความจริงและการรับความรอดนั้น เจ้าอาจจะไม่กล้านึกถึงหรืออาจจะไม่สามารถนึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยซ้ำ—นั่นถูกต้องใช่หรือไม่?  (ใช่)  เพราะฉะนั้นสำหรับเจ้าคนใดก็ตาม ไม่สำคัญว่าเจ้าพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพแวดล้อมทางการทำงานแบบใด หากเจ้าปรารถนาที่จะใกล้ชิดหรือเข้าร่วมกับกองกำลังนานา หรือหากเจ้าใกล้ชิดหรือเข้าร่วมกับพวกเขาไปแล้ว ไม่ว่าอะไรคือเหตุผลหรือข้อแก้ตัวของเจ้า ผลสืบเนื่องในท้ายที่สุดก็เป็นได้เพียงว่าความหวังของเจ้าสำหรับความรอดย่อมระเหยกลายเป็นอากาศไปเท่านั้นเอง  ความสูญเสียที่ตรงตัวที่สุดของการนี้ก็คือการที่เจ้าจะหาเวลาได้ยากเต็มทีเพื่อที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือทำหน้าที่ของเจ้า  เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่เจ้าจะสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรืออธิษฐานอย่างจริงใจต่อพระเจ้า—เจ้าย่อมจะไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้แม้ขั้นต่ำที่สุดนี้  เพราะเจ้าตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความซับซ้อนไปด้วยผู้คนและเหตุการณ์ทั้งหลายมากเกินไป ครั้นเจ้าได้ซึมแทรกเข้าไปในกองกำลังนานาแล้ว นั่นก็คล้ายกับการก้าวลงไปในปลักตม—ครั้นเจ้าอยู่ในนั้นแล้ว ก็ไม่ง่ายเลยที่จะดึงตัวเองกลับออกมา  ที่ว่าไม่ง่ายที่จะดึงตัวเองออกมานั้นหมายความว่าอะไร?  นั่นหมายความว่าครั้นเจ้าก้าวเข้าไปในเขตปกครองของกองกำลังนานาแล้ว เจ้าจะพบว่าตัวเองไม่สามารถหลบหนีเรื่องสารพัดที่พัวพันยุ่งเหยิงอยู่ในกองกำลังเหล่านี้ และจากกรณีพิพาททุกประเภทที่เกิดขึ้นจากเรื่องเหล่านั้น  เจ้าจะพบว่าตัวเองพัวพันกับผู้คนและเหตุการณ์แตกต่างกันไป และเจ้าก็จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้นได้ต่อให้เจ้าพยายามก็ตาม เพราะเจ้าได้กลายเป็นหนึ่งในพวกเขาไปแล้ว  ดังนั้นทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเขตปกครองของกองกำลังเหล่านี้เชื่อมโยงกับเจ้าและจะดึงเจ้าไปเกี่ยวข้อง เว้นแต่ว่าเกิดสถานการณ์บางอย่างขึ้น นั่นก็คือ เจ้ายังคงไม่แยแสต่อคุณประโยชน์และข้อเสียเปรียบรวมทั้งกรณีพิพาททั้งหลาย และเจ้าก็สังเกตการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างจากมุมมองของผู้มุงดูคนหนึ่ง  ในกรณีเช่นนั้นก็เป็นไปได้ที่เจ้าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีพิพาทสารพัดเหล่านี้หรือความโชคร้ายใดที่มีโอกาสเป็นไปได้  อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เจ้าเข้าร่วมกับกองกำลังเหล่านี้ ทันทีที่เจ้าใกล้ชิดพวกเขา ทันทีที่เจ้าเข้าไปมีส่วนร่วมในทุกเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในหมู่พวกเขาอย่างสุดใจ เจ้าก็จะกลายเป็นติดกับอย่างไม่ต้องสงสัยเลย  เจ้าจะไม่สามารถยังคงเป็นผู้สังเกตการณ์อยู่ได้ เจ้าเป็นได้เพียงผู้มีส่วนร่วมเท่านั้น  และในฐานะผู้มีส่วนร่วม เจ้าจะตกเป็นเหยื่อในเขตปกครองของกองกำลังเหล่านี้

คนบางคนพูดว่า “ไม่ว่าคุณจะอยู่จะในแขนงใดของสายอาชีพหรืออยู่ในกลุ่มใด การถูกคนอื่นชี้นิ้วสั่งไม่ใช่เรื่องใหญ่—สิ่งที่สำคัญยิ่งยวดก็คือการที่คุณสามารถอยู่รอดได้หรือไม่  หากคุณไม่ทำตัวคล้อยตามองค์กรหรือกองกำลังนานา ไม่มีใครหนุนหลังในสังคมหรือภายในกลุ่มต่างๆ คุณก็จะไม่สามารถอยู่ต่อไปได้”  สิ่งทั้งหลายเป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ?  (ไม่เป็นเช่นนั้น)  ในกลุ่มทางสังคมอันหลากหลาย จุดประสงค์เบื้องหลังการที่ผู้คนเลียแข้งเลียขากองกำลังต่างๆ ก็เพื่อ “หาร่มเงาใต้ต้นไม้ใหญ่” หากองกำลังที่จะหนุนหลังตัวเอง  นี่คือความต้องการพื้นฐานที่สุดของผู้คน  นอกจากนั้น ผู้คนก็ปรารถนาที่จะอาศัยข้อได้เปรียบของกองกำลังเหล่านี้เพื่อยกระดับขึ้นไป เพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนในการแสวงหาผลประโยชน์หรืออำนาจ  หากว่าในแวดวงวิชาชีพของเจ้า เจ้าแค่กำลังทำมาหากิน และแค่พอใจกับการมีอาหารและเสื้อผ้าเท่านั้น เช่นนั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องใกล้ชิดกองกำลังใด  หากเจ้าใกล้ชิดพวกเขาจริงๆ ก็หมายความว่านั่นไม่ใช่เพียงการทำมาหากินหรือสนองความจำเป็นพื้นฐานเรื่องอาหารและเสื้อผ้าเท่านั้น—เจ้ามีเจตนารมณ์อื่นอย่างแน่นอน ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงก็เพื่อผลกำไร  มีใครบ้างไหมที่พูดว่า “นอกจากการทำมาหากิน ฉันก็ต้องการพิสูจน์ตัวเอง”?  นี่จำเป็นหรือไม่?  (นี่ไม่จำเป็น)  ครั้นเจ้าหาเงินมาได้แล้ว สามารถมั่นใจว่าจะมีอาหารสามมื้อต่อวัน และมีเสื้อผ้าให้สวมใส่ นั่นก็พอแล้ว—การพากเพียรเพื่อความภาคภูมิใจมีประโยชน์อะไร?  เจ้ากำลังพากเพียรเพื่อใคร?  นั่นเพื่อประเทศของเจ้า บรรพบุรุษของเจ้า พ่อแม่ของเจ้า หรือเพื่อตัวเจ้าเอง?  จงบอกเราทีว่าการพากเพียรเพื่อความภาคภูมิใจหรือการพอใจกับอาหารและเสื้อผ้าสำคัญกว่ากัน?  (การพอใจกับอาหารและเสื้อผ้าสำคัญกว่า)  การพากเพียรเพื่อความภาคภูมิใจเป็นอุปนิสัยที่เต็มไปด้วยความคะนอง ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดก็เป็นไปเพื่อความภาคภูมิใจนี้  นั่นเป็นมโนคติที่เป็นนามธรรมและว่างเปล่า  สิ่งที่เป็นจริงเชิงปฏิบัติมากที่สุดก็คือการหาเงินเพื่อให้เจ้าสามารถดำรงความเป็นอยู่เอาไว้ได้  เจ้าควรคิดถึงการนั้นเช่นนี้ว่า “ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง ไม่ว่าใครจะอยู่ฝ่ายไหน หรือใครใกล้ชิดกับผู้นำหรือข้าราชการระดับไหน ไม่มีอะไรสำคัญเลย  ใครก็ตามที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งหรือถูกลดตำแหน่ง ได้รับการขึ้นเงินเดือน หรือใช้วิถีทางใดก็ตามให้กลายเป็นข้าราชการระดับสูง ทั้งหมดล้วนไม่เกี่ยวอะไร  ฉันก็แค่กำลังทำงานเพื่อให้มีอาหารกิน  อะไรก็ตามที่พวกคุณกำลังพากเพียรอยู่นั้นไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน  ไม่ว่าในกรณีใด ฉันก็อุทิศเวลาวันละแปดชั่วโมง ฉันได้รับค่าจ้างตามที่ฉันสมควรได้ และตราบที่ฉันสามารถเกื้อหนุนตัวเองและครอบครัวของฉันได้ ฉันก็พอใจ  ทั้งหมดก็มีแค่นั้นเอง ฉันขอเล็กน้อยเท่านี้เอง”  จงทำในสิ่งที่พึงต้องทำในการงานของเจ้าและทำมันให้ดี แล้วก็รับเงินเดือนและเงินเพิ่มพิเศษใดก็ตามด้วยมโนธรรมอันชัดเจน—นั่นก็พอแล้ว  ท่าที่นี้ที่มีต่อความอยู่รอดและสายอาชีพของคนคนหนึ่งนี้ถูกต้องใช่หรือไม่?  (ใช่)  ถูกต้องอย่างไร?  (เพราะพวกเขาดำรงชีวิตด้วยท่าทีที่สอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์  ประการแรกหมายถึงการไม่ทำการงานของคนเราในลักษณะสุกเอาเผากินและการสามารถทำงานของวิชาชีพของคนคนหนึ่งให้ดี  ประการที่สองหมายความว่าการไม่ประจบประแจงหรือแสวงหาที่หลบภัยกับกองกำลังใด การดำรงไว้ซึ่งสิ่งจำเป็นทั้งหลายของชีวิตปกตินั้นก็เพียงพอแล้ว  การนี้เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า)  แน่นอนว่าการนี้เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า  พระเจ้าทรงพึงประสงค์การนี้เพื่อที่จะคุ้มครองเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่)  เพื่อที่จะคุ้มครองเจ้าจากอะไรหรือ?  (จากการถูกซาตานทำอันตราย  มิฉะนั้น ครั้นพวกเราได้พัวพันกับกรณีพิพาทเช่นนี้แล้ว ชีวิตก็กลายเป็นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดมาก และยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็จะไม่มีเวลาเหลือมากนักสำหรับการเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ของพวกเรา)  นี่เป็นแง่มุมหนึ่ง  โดยหลักแล้วอีกแง่มุมหนึ่งคืออะไร?  เมื่อเจ้าไปเกี่ยวข้องกับกองกำลังนานา ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดก็คือการที่ตัวเจ้าจะย่อยยับ  นั่นไม่คุ้มค่าเลย!  ประการแรกคือเจ้าจะไม่สามารถคุ้มครองตัวเองได้  ประการที่สองคือเจ้าจะไม่ค้ำจุนและส่งเสริมความยุติธรรม  ประการที่สามคือเจ้าจะสมคบคิดกับกองกำลังนานาในการก่อบาปของเจ้า  เพราะฉะนั้นการเข้าใกล้กองกำลังเหล่านี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลยทั้งสิ้น  ต่อให้เจ้าได้ขึ้นเงินเดือนหรือการเลื่อนตำแหน่งจริงโดยการเลียแข้งเลียขากองกำลังนานา เจ้าจะต้องเข้าร่วมการพูดโกหกกับพวกเขาสักกี่เรื่อง?  เจ้าจะจำเป็นต้องทำความประพฤติที่ไม่ดีมากมายเพียงใดเบื้องหลังฉาก?  เจ้าจะจำต้องลงโทษผู้คนมากมายเท่าไรเบื้องหลังบานประตูที่ปิดอยู่?  ในสังคมนี้ เหตุใดผู้คนทุกประเภทและอุตสาหกรรมอันหลากหลายจึงจำเป็นต้องมีกองกำลังเหล่านี้?  นี่เป็นเพราะสังคมนี้ขาดความเป็นธรรมและความยุติธรรม  ผู้คนเพียงปกป้องตัวเองได้ก็โดยการพึ่งพิงกองกำลังนานาให้ลงมือจัดการ และทำได้เพียงรักษาความมั่นคงให้กับที่ทางของตนโดยการพึ่งพาการพูดและการกระทำของกองกำลังเหล่านี้  มีความเป็นธรรมอยู่ตรงนี้หรือไม่?  (ไม่มี)  ไม่มีความเป็นธรรมในเรื่องนี้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับกองกำลังเหล่านี้  ใครก็ตามที่มีกำลังบังคับที่ยิ่งใหญ่กว่าย่อมได้เป็นผู้ชี้ขาด ในขณะที่พวกที่ไม่มีกำลังบังคับหรือกำลังบังคับน้อยกว่าย่อมไม่มีสิทธิ์มีเสียง  แม้แต่การสร้างกฎหมายก็ทำงานแบบนี้ หากเจ้ามีกำลังบังคับที่มากพอสมควร กฎหมายทั้งหลายที่เจ้าสร้างก็สามารถถูกบัญญัติและบังคับใช้ได้  หากเจ้ามีกำลังบังไม่คับมาก ย่อมไม่มีกฎหมายและข้อบังคับใดที่เจ้าเสนอจะสำเร็จรอดไปได้ อีกทั้งกฎหมายและข้อบังคับเหล่านั้นก็ไม่สามารถเข้าสู่นิติบัญญัติแห่งชาติ  นี่จริงแท้ไม่ว่าในผู้คนกลุ่มใด หากเจ้ามีกำลังบังคับที่มากพอ เจ้าสามารถต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและทำให้ผลประโยชน์เหล่านั้นมากที่สุด หากเจ้าไม่มีกำลังบังคับ ผลประโยชน์ของเจ้าก็อาจจะถูกริบหรือถูกยึดเอาไปจากเจ้า  จุดประสงค์เบื้องหลังการก่อตัวของกองกำลังนานาก็คือเพื่อควบคุมสถานการณ์โดยใช้กองกำลังแบบเดียวกันเหล่านั้น แม้แต่การลบล้างประชามติ กฎหมาย และศีลธรรมมนุษย์  พวกเขาสามารถก้าวล่วงกฎหมาย ความมีศีลธรรม และความเป็นมนุษย์—พวกเขาสามารถก้าวล่วงทุกสิ่งทุกอย่าง  ยิ่งใครมีกำลังบังคับมากกว่า พวกเขาก็ยิ่งมีอิทธิพลมากกว่า และพวกเขาก็จะมีโอกาสทำตามความพอใจของตัวเองมากกว่า ที่จะสั่งการเรื่องต่างๆ  นี่เป็นธรรมหรือไม่?  (ไม่)  ไม่มีความเป็นธรรม  อำนาจและกำลังบังคับแสดงถึงอัตลักษณ์ของพวกเขาและบ่งชี้ส่วนแบ่งของผลประโยชน์ที่พวกเขาสามารถได้มา  หากเจ้าอยู่ในสังคมกลุ่มหนึ่งและทั้งหมดที่เจ้าต้องการก็คือการดำรงความเป็นอยู่และมีอาหารกับเสื้อผ้า และเจ้าก็ไม่ได้ไล่ตามไขว่คว้าสถานะหรือความมีหน้ามีตา หรือสนองความอยากได้อยากมีของตัวเอง เช่นนั้นก็ดูเหมือนว่านั่นคงไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องใกล้ชิดกองกำลังนานา  หากเจ้าต้องการอุทิศเวลาทั้งหมดของเจ้าให้กับการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง หากเจ้าต้องการเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงและบรรลุความรอดในท้ายที่สุด แต่เจ้าก็ปรารถนาที่จะเลียแข้งเลียขากองกำลังนานา สองสิ่งนี้ย้อนแย้งกันเอง  สองสิ่งนี้ไม่อาจเสริมสร้างกันและกันเพราะเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกันคนละขั้ว เข้ากันไม่ได้เหมือนน้ำกับน้ำมัน  การใกล้ชิดกองกำลังนานาจะไม่ส่งผลใดที่จะช่วยเหลือเจ้าในการเชื่อในพระเจ้าหรือการไล่ตามเสาะหาความจริง  การนั้นจะไม่ช่วยให้เจ้าระบุชี้โฉมหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวของซาตานได้ชัดเจนขึ้น ทั้งยังจะไม่ช่วยในการตัดสินใจของเจ้ามากขึ้นหรือยอมให้เจ้าเชื่อในพระเจ้าโดยไม่ถูกโลกปฏิเสธและถูกทางการข่มเหง  คนบางคนดำรงชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แต่ในหัวใจมีออกแบบวางแผนอันสวยหรู  พวกเขาคิดว่า “ฉันเกิดในชนบท  ฉันเป็นชาวไร่ชาวนา  ถึงแม้ฉันถูกปฏิบัติแบบไม่ดี ฉันก็ยังสามารถดำรงชีวิตด้วยการปลูกข้าวและพืชผักบางอย่าง เลี้ยงไก่ ปศุสัตว์และแกะได้  หากฉันเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง  ภาวะเหล่านี้ก็ค่อนข้างดีทีเดียว ฉันมีภาวะพื้นฐานที่ฉันจำเป็นต้องมีเพื่อความอยู่รอด  แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกอยู่เสมอว่ามีบางสิ่งที่ขาดหายไปจากการดำเนินชีวิตและการอยู่รอดในสังคมนี้และในหมู่คนเหล่านี้?”  อะไรหรือที่ขาดหายไป?  พวกเขาไม่มีสิ่งหนุนหลังที่ทรงอำนาจ  ดูวิธีที่ผู้คนเลือกบ้านเรือนสิ พวกเขาเลือกชอบบ้านหลังที่มีภูเขาใหญ่อยู่ด้านหลังเสมอ  พวกเขาถือว่าภูเขาคือสิ่งหนุนหลังของตัวเอง และนั่นทำให้พวกเขารู้สึกมั่นคงปลอดภัยในการดำรงชีวิตอยู่ที่นั่น  หากบ้านหลังนั้นได้มีหน้าผาอยู่ด้านหลัง พวกเขาก็จะไม่รู้สึกปลอดภัยในการดำรงชีวิตอยู่ที่นั่น ราวกับว่าพวกเขาจะร่วงดิ่งลงจากหน้าผานั้นได้ทุกเมื่อ  ในทำนองเดียวกัน เมื่อดำรงชีวิตอยู่ในหมู่บ้าน หากคนคนหนึ่งไม่สร้างสัมพันธภาพกับใครบางคนที่มีหน้ามีตาหรือมีสถานะ และคอยหมั่นเยี่ยมเยียนคนเหล่านั้นให้บ่อยเพื่อชนะใจพวกเขา พวกเขาก็จะรู้สึกค่อนข้างโดดเดี่ยวเสมอกับการดำรงชีวิตอยู่ในหมู่บ้านนั้นและจะเสี่ยงต่อการตกเป็นเบี้ยล่างและไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้อย่างเพียงพอ  นั่นเป็นเหตุผลให้พวกเขาต้องการเลียแข้งเลียขาผู้ใหญ่บ้านอยู่เสมอ  นี่เป็นแนวคิดที่ดีหรือไม่?  (ไม่ใช่)  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของการเชื่อในพระเจ้า ในบางประเทศที่เผชิญการข่มเหงของรัฐบาล บางคนพูดว่า “ถ้าพวกเราประกาศข่าวประเสริฐแก่ผู้ใหญ่บ้านและเขาไม่เชื่อ แต่แม่ ย่า ภรรยา หรือลูกสาวของเขาเชื่อ นั่นจะเป็นการเข้าใกล้ผู้ใหญ่บ้านไม่ใช่หรือ?  หากพี่น้องชายหรือหญิงคนหนึ่งในคริสตจักรของพวกเรามีตำแหน่งซึ่งโดดเด่นในหมู่บ้านหรือเป็นญาติกับผู้ใหญ่บ้าน คริสตจักรย่อมจะมีการปักหลักมั่นคงที่นั่นไม่ใช่หรือ?  คริสตจักรจะมีสถานะไม่ใช่หรือ?  พี่น้องชายหญิงของพวกเราที่เชื่อในพระเจ้าย่อมจะสามารถกินอาหารและทำไร่ทำนาในหมู่บ้านโดยที่เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาไม่ใช่หรือ?  ไม่เพียงเท่านั้น แต่เมื่อพญานาคใหญ่สีแดงหรือฝ่ายปฏิบัติงานแนวร่วมแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาสืบค้น ก็จะมีใครบางคนคอยหนุนหลังพวกเรา  นั่นคงยอดเยี่ยมไปเลย!”  เจ้าต้องการอยู่เสมอที่จะใกล้ชิดกับบางองค์กรหรือกองกำลังบางกลุ่มเพื่อให้มั่นใจว่าตัวเจ้าไม่ต้องตกไปอยู่ในสภาพการณ์อันตรายใดๆ เพื่อให้มั่นใจว่าเจ้าสามารถเชื่อในพระเจ้าได้อย่างปลอดภัยและปลอดจากการถูกข่มเหง—นั่นช่างยอดเยี่ยม!  ในเวลาเดียวกัน การปะปนอยู่กับผู้คนที่ทรงอิทธิพลก็ทำให้เจ้ารู้สึกเหมือนเป็นใครบางคนที่มีอิทธิพลใช่หรือไม่?  นั่นเป็นความคิดที่วิเศษไปเลย ว่าแต่ผู้ใหญ่บ้านถึงกับต้องการให้เจ้าใกล้ชิดกับเขาเลยหรือ?  ผู้ใหญ่บ้านเป็นใครบางคนที่เจ้าสามารถฉวยประโยชน์ได้หรือ?  ผู้ใหญ่บ้านจะยอมให้เจ้าอาศัยประโยชน์จากเขาหรือ?  เจ้าซึ่งเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งต้องการใกล้ชิดกับองค์กรหรือผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าก็คิดว่าแค่การประกาศข่าวประเสริฐเฉยๆ ก็จะทำสำเร็จหรือ?  เจ้าจำเป็นต้องเสนอของขวัญที่ดีพร้อมบางอย่างหรือสำเร็จลุล่วงในกิจสำคัญบางอย่างเพื่อให้ได้ใกล้ชิดผู้ใหญ่บ้านไม่ใช่หรือ?  พวกเจ้ามีประสบการณ์อย่างไร?  การใกล้ชิดผู้ใหญ่บ้านนั้นง่ายดายหรือ?  แม้แต่การใกล้ชิดกับสุนัขที่เขาเลี้ยงก็ลำบากยากเย็นแล้ว!  และการให้ของขวัญแก่ผู้ใหญ่บ้านโดยตรงก็คงใช้ไม่ได้ผล เจ้าคงจำเป็นที่จะต้องใกล้ชิดกับภรรยาของเขา แม่ของเขา ป้าของเขา หรือย่าของเขา โดยเริ่มจากเป้าหมายที่ค่อนข้างง่ายกว่า  เหตุใดจึงต้องใกล้ชิดกับย่าของผู้ใหญ่บ้าน?  ผู้ใหญ่บ้านมีสัมพันธภาพใกล้ชิดกับเธอมากกว่า ดังนั้นเจ้าจงเริ่มที่นาง และโดยผ่านทางย่าของเขา ผู้อาวุโสในครอบครัวที่สามารถพูดถึงเจ้าในทางที่ดีได้ เจ้าจึงใกล้ชิดผู้ใหญ่บ้านมากขึ้นทีละน้อย  นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “การเข้าหาทางอ้อม” ใช่หรือไม่?  หากเจ้าให้ของขวัญแก่ผู้ใหญ่บ้านโดยตรง เขาอาจถามว่า “คุณเป็นใคร?”  และเจ้าก็จะตอบว่า “ฉันเป็นคนนั้นคนนี้จากตระกูลหลี่ทางตะวันออกของหมู่บ้าน”  “ตระกูลหลี่ไหน?  ทำไมผมไม่รู้จักพวกเขา?”  หากเขาถึงกับนึกไม่ออกเกี่ยวกับเจ้า การได้ใกล้ชิดเขานั้นง่ายดายหรือไม่?  (ไม่ จะไม่ง่าย)  และหากเจ้าให้ของขวัญเขา ของขวัญประเภทไหนที่จะได้รับความสนใจจากเขา?  ทองแท่งหรือทองแผ่น—เจ้ามีสิ่งเหล่านี้บ้างหรือไม่?  ปลิงทะเล—เขาถึงกับต้องการสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า?  เขาก็จะมองว่าปลิงทะเลของเจ้าเป็นแบบนำเข้าหรือในประเทศ เขามีสิ่งเหล่านี้อยู่เองอย่างเหลือเฟือ  เจ้ารัดกระเป๋าตัวเองและเขม็ดแขม่อยู่หลายวันเพื่อที่จะซื้อสิ่งนั้น ตัวเจ้าเอง—ไม่กล้ากินสิ่งนั้น—หรือแม้แต่จะแตะต้อง  เจ้ามอบให้เขาและเขาก็ไม่ชายตามองด้วยซ้ำ  เจ้าให้เข็มขัดเขา และเขาก็พูดว่า “นี่ของในประเทศไม่ใช่หรือ?”  เจ้าก็พูดว่า “นั่นเป็นหนังวัวดิบ”  แล้วเขาก็พูดว่า “ใครเขาใช้หนังวัวดิบกันทุกวันนี้?  ไม่มีใครใช้แล้ว  คนเขาใช้เข็มขัดหนังสัตว์แท้ที่มีตราสัญลักษณ์ยี่ห้อทางยุโรปหรือไม่ก็เข็มขัดฝังเพชร  คุณมีของพวกนั้นไหมล่ะ?”  เจ้าก็พูดว่า “ของพวกนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรหรือ?  ฉันไม่เคยเห็นเลย”  เขาก็พูดว่า “หากคุณไม่เคยเห็นก็ไม่ต้องยุ่งยากมาที่นี่หรอก  คุณกำลังพยายามเอาเข็มขัดนี่มาให้ขอทานหรือยังไง?”  เจ้าสามารถเป็นที่โปรดปรานของบุคคลเช่นนั้นได้หรือไม่?  เจ้าคิดว่าเจ้ามีแผนการเล็กๆ ที่แยบยล ว่าเจ้าได้ทำทุกอย่างสำเร็จไปตามแผน แต่เขากลับแค่ดูแคลนของขวัญของเจ้าเท่านั้นเอง เขาดูแคลนของขวัญของเจ้าแต่ทว่าเจ้าก็ยังยืนกรานที่จะเลียแข้งเลียขาเขา  นี่เหมาะควรหรือไม่?  ต่อให้เขามองของขวัญของเจ้าสูงค่า แต่การเลียแข้งเลียขาเขานั้นเหมาะควรหรือ?  (ไม่เหมาะควร)  แค่เพื่อจะมีกิน แค่เพื่อให้มีผู้มีอำนาจในหมู่บ้านหนุนหลัง เจ้าก็จะเต็มใจทำสิ่งที่ลดคุณค่าตัวเอง  พวกเจ้าไม่รู้สึกว่านี่น่าละอายหรอกหรือ?  (รู้สึก)  การเข้าหาทางย่าของผู้ใหญ่บ้าน การไล่ตามภรรยาของเขาและพี่สะใภ้ของเขา อาศัยประโยชน์จากวิธีการแบบขอไปทีทุกชนิด ให้ของขวัญและพยายามใกล้ชิด  คนอื่นๆ บอกเจ้าว่า “การที่คุณให้ของขวัญพวกนี้นั้นไม่มีประโยชน์ ตัวคุณต่างหากที่ผู้ใหญ่บ้านจับตามอง”  แล้วอย่างนี้เจ้ายังจะพยายามใกล้ชิดอยู่หรือไม่?  ไม่มีของขวัญชิ้นใดที่เจ้าอาจสามารถให้ได้จะมีความเหมาะสม  ผู้ใหญ่บ้านจะไม่ชายตามองของเหล่านั้นซ้ำสองโดยคิดว่าของขวัญเหล่านั้นทั้งหมดไม่ดีพอสำหรับตัวเขา  ที่แย่ที่สุดคือเจ้าจะจำเป็นต้องตกไปอยู่ในการต่อรอง  เจ้าจะพยายามใกล้ชิดกับเขาอยู่หรือไม่?  (ไม่)  เจ้าจะยังคงมองหาผู้หนุนหลังประเภทนี้หรือไม่?  ผู้ใหญ่บ้านคนนี้มีบุคลิกลักษณะประเภทใด?  เขาเป็นใครบางคนที่ปล่อยให้เจ้าใกล้ชิดเขาตามสบายหรือไม่?  (ไม่)  ต่อให้เจ้าได้สร้างสัมพันธภาพกับเขาและใกล้ชิดเขาแล้วจริงๆ แล้วยังไง?  เขาสามารถควบคุมชะตากรรมของเจ้า หรือช่วยให้เจ้าบรรลุความรอดได้หรือไม่?  หรือว่าเมื่อถึงเวลาที่เผชิญกับสถานการณ์และการข่มเหงจริง เมื่อพระเจ้าทรงอนุญาตและจัดวางเรียบเรียงสถานการณ์เหล่านี้ เจ้าสามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าสิ่งเหล่านั้นหรือไม่?  ผู้ใหญ่บ้านมีสิทธิ์ชี้ขาดในเรื่องนี้หรือไม่?  (ไม่มี)  เมื่อมองในภาพรวมของสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียง ไม่มีกำลังบังคับใดที่มีสิทธิ์ชี้ขาด ไม่ต้องพูดถึงผู้ใหญ่บ้าน—ไม่มีกำลังบังคับใดซึ่งคุ้มค่าที่จะเอ่ยถึงในแง่นี้ด้วยซ้ำ  เพราะฉะนั้นการอยู่ในโลกนี้ ไม่ว่าเจ้าอยู่ในหมู่บ้าน มณฑล เมืองใหญ่ หรือประเทศใด แม้แต่ลงไปถึงอุตสาหกรรมใดก็ตามที่เจ้าร่วมทำภายในประเทศใดก็ตาม กองกำลังนานาทั้งหมดที่มีอยู่ล้วนไม่สามารถนำสิทธิอำนาจมาใช้เหนือชะตากรรมของเจ้าและพวกเขาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเจ้า  ไม่มีแม้แต่กองกำลังเดียวที่เป็นนายชะตากรรมของเจ้า นับประสาอะไรที่จะเป็นอธิปไตยเหนือชะตากรรมของเจ้า และก็ไม่ใช้ผู้ตีกรอบโชคชะตาของเจ้า  ในทางตรงข้าม ทันทีที่เจ้าเข้าร่วมกับกองกำลังนานาที่มีอยู่ในสังคม ตอนนั้นเองที่หายนะมาถึงเจ้าและความโชคร้ายของเจ้าก็เริ่มต้น  ยิ่งเจ้าใกล้ชิดพวกเขามากเท่าไร เจ้าก็ยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากเท่านั้น ยิ่งเจ้าเข้าร่วมกับพวกเขามากเท่าไร เจ้าก็ยิ่งปลีกตัวเองออกมาได้ยากเท่านั้น  กองกำลังนานาเหล่านี้ไม่เพียงไม่นำพาคุณประโยชน์ใดมาสู่เจ้าเท่านั้น แต่ในขณะที่เข้าร่วมกับพวกเขา พวกเขาก็ย่ำยีและเหยียบย่ำเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำให้จิตวิญญาณและจิตใจของเจ้าบิดเบี้ยว ทำให้เจ้าสูญสิ้นสันติสุข เพื่อให้เจ้าไม่เชื่อว่าความเป็นธรรมและความยุติธรรมในโลกนี้มีอยู่จริงอีกต่อไป  พวกเขาจะทำให้ความพึงปรารถนาอันสวยงามที่สุดของเจ้าที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและความรอดเป็นอันย่อยยับ  ดังนั้น ไม่สำคัญว่าเจ้าอยู่ในชนชั้นสังคมใด สิ่งแวดล้อมใด หรือกลุ่มใด หรือเจ้าพบว่าตัวเองอยู่ในอุตสาหกรรมใดก็ตาม การแสวงหากองกำลังหนึ่งเพื่อพึ่งพา เพื่อรับบทเป็นร่มคุ้มกันของตัวเจ้าเองให้อยู่รอดในสังคมนี้ก็เป็นความคิดและทัศนะที่คลาดเคลื่อนและสุดโต่ง  หากเจ้ากำลังพยายามที่จะอยู่รอดเท่านั้น เจ้าก็ควรอยู่ให้ห่างไกลจากกองกำลังเหล่านี้  ต่อให้กองกำลังเหล่านี้แค่กำลังปกป้องสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายของเจ้า นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลหรือข้อแก้ตัวสำหรับเจ้าที่จะไปเกี่ยวข้องกับพวกเขา  ไม่สำคัญว่าสภาวะความอยู่รอดในสังคมของกองกำลังนานาเหล่านี้เป็นอย่างไร อะไรคือเป้าหมายในการเคลื่อนไปข้างหน้าของพวกเขา หรือทิศทางการกระทำของพวกเขา พูดสั้นๆ ก็คือ ในฐานะใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้า ในฐานะใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าไม่ควรกลายเป็นหนึ่งในพวกเขา และก็ไม่ควรกลายเป็นผู้สนับสนุนภายในกองกำลังนานาเหล่านี้  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าควรอยู่ให้ไกลจากพวกเขา หนีห่างพวกเขา หลีกเลี่ยงกรณีพิพาทสารพันที่พัวพันพวกเขา หลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์การละเล่นสารพันที่พวกเขาตั้งขึ้นมา และหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นอันตรายและคำพูดอันตรายที่พวกเขาพึงให้คนคนหนึ่งทำและพูดภายในขอบเขตวิชาชีพของคนเราหรือภายในขอบเขตของกองกำลังเหล่านี้  เจ้าไม่ควรกลายเป็นหนึ่งในพวกเขา และแน่นอนว่าเจ้าไม่ควรกลายเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดของพวกเขา  นี่คือข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อเจ้าภายในอุตสาหกรรมและวิชาชีพอันหลากหลายที่มีกองกำลังต่างๆ อยู่ กล่าวคือ ให้อยู่ห่างและหนีห่างจากพวกเขา ไม่กลายเป็นเบี้ยทิ้งของพวกเขา ไม่กลายเป็นวัตถุให้พวกเขาใช้ประโยชน์ และไม่กลายเป็นขี้ข้าหรือกระบอกเสียงของพวกเขา

แน่นอนว่าในสังคมนี้ นอกเหนือจากผู้บังคับบัญชาโดยตรงในสารพัดอุตสาหกรรมและวิชาชีพของคนเรา และนอกเหนือจากองค์กรพลเรือนทั้งหลายแล้ว ก็ยังมีกลุ่มสังคมซึ่งผิดกฎหมายบางกลุ่มที่ผู้คนควรหลีกเลี่ยงอีกด้วย—จงอย่าไปเกี่ยวข้องกับคนเหล่านี้หรือคบค้าสมาคมกับพวกเขาไม่ว่าในหนทางใด  ตัวอย่างเช่นพวกที่ออกเงินกู้นอกระบบ  คนบางคนขาดเงินทุนสำหรับธุรกิจของตนและพวกเขาก็ไม่มีหลักประกันสำหรับเงินกู้ปกติ แต่มีหนทางหนึ่งที่จะอำนวยให้พวกเขาเกิดสภาพคล่องของเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งก็คือโดยผ่านทางการให้ยืมแบบโก่งดอกเบี้ย  การให้ยืมแบบโก่งดอกเบี้ยไม่ใช่แค่เกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญด้วย  เพื่อที่จะหาเงินให้ได้มากๆ และเลี่ยงไม่ให้ธุรกิจของพวกเขาล้มละลาย สุดท้ายคนบางคนก็อาศัยขั้นตอนนี้ การให้ยืมแบบโก่งดอกเบี้ย  พวกที่ออกเงินกู้นอกระบบใช่บุคคลที่ยึดปฏิบัติตามกฎหมายในสังคมหรือไม่?  (ไม่ พวกเขาไม่ใช่)  พวกเขาเป็นองค์กรทางสังคมที่ผิดกฎหมาย และควรถูกหลีกเลี่ยงตลอดเวลา  ไม่สำคัญว่าความอยู่รอดหรือสถานะของกิจการในปัจจุบันจะนำพาเจ้าไปสู่สถานการณ์ใด เจ้าก็ไม่ควรพิจารณาเส้นทางนี้โดยเด็ดขาด แต่ควรหลีกเลี่ยงและอยู่ให้ห่างไกลจากเส้นทางนี้  ไม่ว่าจะเกิดปัญหาใดขึ้นในชีวิตและความเป็นอยู่ของเจ้า อย่าแม้แต่จะคิดถึงกลุ่มสังคมที่ผิดกฎหมายพวกนั้นหรือพิจารณาที่จะใช้เส้นทางนี้  ผู้คนกลุ่มนี้คล้ายกับองค์กรพรรคไม่ใช่หรือ?  ระหว่างสิ่งที่เรียกกันว่าสังคมซึ่งปฏิบัติตามกฎหมายนี้กับโลกใต้ดินนั้นมีความคล้ายคลึงบางอย่างอยู่  จงอย่าคิดว่าพวกเขาสามารถให้ทางออกหรือจุดพลิกผันแก่ความเป็นอยู่ของเจ้า นี่คือฝันกลางวัน  ครั้นเจ้าเลือกที่จะเดินหมากตานี้ ครั้นเจ้าเลือกที่จะเดินไปตามถนนสายนี้ เจ้าย่อมจะมีชีวิตที่แย่ลงรออยู่ข้างหน้า  แน่นอนว่ายังมีสิ่งที่เรียกกันว่าสังคมซึ่งปฏิบัติตามกฎหมายอยู่อีกหนึ่งประเภทที่พวกเราไม่ต้องการเอ่ยนาม ซึ่งเจ้าต้องไม่เข้าไปใกล้โดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าเผชิญกับปัญหาบางอย่างที่พิเศษและเต็มไปด้วยขวากหนาม เมื่อเจ้าเผชิญกับสภาพแวดล้อมพิเศษหรือเมื่อเจ้าพบว่าตัวเองตกไปอยู่ในสภาพการณ์ที่อันตรายเป็นพิเศษ  จงอย่าคิดถึงการใช้วิถีทางแบบสุดขั้วเพื่อคุ้มครองตัวเอง เพื่อออกไปจากภยันตราย และเพื่อหลีกหนีความลำบากยากเย็น  ในสถานการณ์เช่นนั้น การติดกับอยู่ในสถานการณ์นั้นยังดีกว่าการไปคบค้าสมาคมกับผู้คนประเภทนั้น หรือการเข้าไปข้องแวะกับผู้คนเหล่านั้นไม่ว่าในหนทางใด  เหตุใดเจ้าจึงจะทำเช่นนี้?  นี่ใช่สิ่งที่เรียกว่าการมีความสุจริตหรือไม่?  นี่ใช่ความสุจริตแบบที่คริสตชนควรมีหรือไม่?  (นี่ไม่ใช่ความสุจริตแบบที่คริสตชนควรมี)  เช่นนั้นแล้วนี่คืออะไร?  (การเข้าไปใกล้พวกนี้ไม่ถูกต้องเลย)  เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง?  (การเข้าไปใกล้พวกจะนำไปสู่ชีวิตที่แย่กว่าในภายหน้า และภยันตรายอันใหญ่หลวงกว่าในอนาคต)  นี่แค่เพื่อหลีกหนีภยันตรายในอนาคตเท่านั้นเองหรือ?  เช่นนั้นแล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่ฝ่าให้รอดจากภยันตรายตรงหน้าเสียก่อน?  เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถเข้าใกล้กองกำลังเหล่านี้?  ในพระคัมภีร์ ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกทดลอง พระองค์ตรัสตอบซาตานไปว่าอย่างไร?  (องค์พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’” (มัทธิว 4:10))  องค์หนึ่งเดียวที่ผู้คนควรนมัสการก็คือพระเจ้า และพระองค์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวเท่านั้นที่ผู้คนควรรับใช้  ในเวลาเดียวกัน ผู้คนควรมีชีวิตอยู่เพื่อองค์หนึ่งเดียวซึ่งก็คือพระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น  หากพระเจ้าทรงอนุญาตให้ชีวิตของเจ้าถูกพรากไป เจ้าควรทำเช่นไร?  (นบนอบ)  เจ้าควรนบนอบพระเจ้าและสรรเสริญพระองค์  พระนามของพระเจ้าควรได้รับการยกย่องและผู้คนควรนบนอบพระเจ้าโดยปราศจากการแสวงหาชีวิตของตัวเอง  อย่างไรก็ตาม หากพระเจ้าทรงมีเจตนารมณ์ที่จะให้เจ้ามีชีวิตอยู่ ใครหรือที่จะสามารถพรากชีวิตของเจ้าไปได้?  ไม่มีใครเลยสามารถพรากชีวิตของเจ้าไปได้  ดังนั้นไม่ว่าเจ้าเผชิญสภาพการณ์หรือภยันตรายอะไร แม้แต่ยามเผชิญหน้ากับความตาย หากมีสักกองกำลังที่สามารถช่วยเจ้าให้รอดจากความตาย เช่นนั้นกองกำลังนี้ก็ไม่ใช่กองกำลังที่ถูกควร แต่เป็นกองกำลังของซาตาน  เจ้าควรพูดว่าอะไร?  “ไปให้พ้นเจ้าซาตาน!  ฉันยอมตายเสียจะดีกว่ามีการคบค้าสมาคมใดๆ กับเจ้า!”  นี่เป็นเรื่องของหลักธรรมไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  “เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะมีชีวิตอยู่เพราะกองกำลังของพวกคุณ และฉันก็จะไม่ตายเพราะพระเจ้าได้ทรงทอดทิ้งฉันไป  ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า  เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะพึ่งพากำลังบังคับใดและยอมโอนอ่อนเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป”  นี่เป็นหลักธรรมซึ่งผู้คนควรค้ำจุน  หากเจ้าพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และใครบางคนพูดว่ามีกองกำลังหนึ่งในสังคมที่สามารถช่วยเจ้าให้รอด หากกองกำลังนี้อาจช่วยเจ้าให้รอดได้สำเร็จ แต่นั่นก็จะนำพาความเสื่อมเสียมาสู่เจ้า สู่คริสตชน สู่คริสตจักร และสู่พระนิเวศของพระเจ้า หากนั่นจะทำลายความน่าเชื่อถือของพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าจะตอบสนองอย่างไร?  เจ้าจะยอมรับหรือปฏิเสธ?  (ปฏิเสธ)  เจ้าควรปฏิเสธ  โดยหลักธรรมแล้ว พวกเราไม่พึ่งพากองกำลังใดเพื่อให้อยู่รอด  ดังนั้นไม่สำคัญว่าพวกเราเผชิญสภาพการณ์ใดหรือสถานการณ์เสี่ยงภัยแบบใด นอกจากการนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าแล้ว สิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดก็คือการที่พวกเราไม่ควรแม้แต่จะเพลิดเพลินไปกับแนวคิดของการใช้วิถีทางอันสุดโต่งสารพัดเพื่อหลบหนีจากสถานการณ์อันตราย  ครั้นผู้คนได้ลุล่วงความรับผิดชอบทั้งหลายและใช้ความพยายามของพวกเขาตามที่ควรแล้ว ที่เหลือก็ควรฝากไว้กับการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า  หากใครบางคนพูดว่ามีองค์กรสังคมซึ่งผิดกฎหมายที่ช่วยเจ้าให้รอดได้ เจ้าจะตกลงด้วยหรือไม่?  (ข้าพระองค์จะไม่ตกลงด้วย)  เหตุใดเจ้าจึงจะไม่ตกลงด้วย?  เจ้าไม่ต้องการที่จะมีชีวิตหรือ?  เจ้าไม่ต้องการหลบหนีจากสถานการณ์ลำบากของเจ้าอย่างรวดเร็วหรือ?  แม้แต่ตอนที่เจ้าพยายามหลบหนีจากสถานการณ์ลำบากของเจ้าและมีชีวิตอยู่ต่อ เจ้าก็ต้องมีหลักธรรมสำหรับการวางตัว  เจ้าจำเป็นต้องรู้สิ่งที่เจ้าควรและไม่ควรทำ  เจ้าควรชัดเจนในหัวใจและไม่สูญสิ้นหลักธรรมของเจ้า

เมื่อคำนึงถึงเรื่องการอยู่ห่างจากกองกำลังนานาทางสังคม นอกจากกองกำลังต่างๆ ที่ผู้คนเผชิญในชีวิตของพวกเขาแล้ว ก็ยังมีกองกำลังนานาที่ปรากฏขึ้นในสังคมอยู่เนืองๆ คนเราก็ควรอยู่ให้ห่างจากกองกำลังเหล่านี้ด้วยเช่นกัน  ไม่ว่าในชีวิตหรือที่ทำงาน จงหลีกเลี่ยงการมีความเชื่อมโยงหรือปฏิสัมพันธ์กับกองกำลังเหล่านั้น  จงรับมือกับชีวิตและงานของเจ้าเอง และในเวลาเดียวกันก็จงไม่รู้สึกถูกข่มขวัญโดยลักษณะภายนอกที่น่ากริ่งเกรงของกองกำลังเหล่านี้  ขณะที่ในหัวใจของเจ้ากำลังปฏิเสธและอยู่ห่างจากกองกำลังเหล่านั้น จงใช้ปัญญาในการรับมือกับสัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพวกเขาและคอยรักษาระยะห่างจากพวกเขาไว้  นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าควรทำ  จงชัดเจนในหัวใจของเจ้าว่าเจ้ากำลังทำการงานนี้เพื่ออาหารมื้อถัดไปของเจ้า เพื่อความเป็นอยู่ของเจ้าเท่านั้น  จุดประสงค์ของเจ้านั้นเรียบง่ายเพื่อมีอาหารและเสื้อผ้า ไม่ใช่สู้กับพวกเขาเพื่อผลลัพธ์เฉพาะอันใด  ต่อให้พวกเขาพูดหลายสิ่งหลายอย่างใส่เจ้าหรือพูดจาเผ็ดร้อน ต่อให้เจ้าอยู่ในประเทศที่ความเชื่อทางศาสนาต้องอยู่ภายใต้การข่มเหง ในสถานที่ซึ่งศาสนาคริสต์อยู่ภายใต้การข่มเหงและคนบางคนก็เย้ยหยันความเชื่อของเจ้า ให้ความเห็นแบบประชดประชัน หรือแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับความเชื่อของเจ้า เจ้าก็ทำได้เพียงสู้ทนไปเท่านั้น  จงคุ้มครองตนเอง รักษาความเยือกเย็นเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า อธิษฐานต่อพระองค์อยู่เนืองๆ มาอยู่ในการสถิตของพระองค์ให้เป็นนิจ และอย่ายอมให้ความอลังการภายนอกหรือความดุดันของกองกำลังเหล่านี้มาข่มขวัญเจ้า  นอกจากในหัวใจของเจ้าต้องใช้วิจารณญาณกับกองกำลังเหล่านี้แล้ว เจ้าก็ยังต้องอยู่ให้ห่างจากพวกเขาด้วย  จงระวังคำพูดของเจ้า รอบคอบกับวิธีที่เจ้าจะก้าวไป ดำรงการอยู่ร่วมกันแบบสันติสุขและใช้ปัญญาในการจัดการกับพวกเขา  เจ้าควรปฏิบัติตามหลักธรรมแห่งการปฏิบัติเหล่านี้ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  แน่นอนว่า ไม่ว่าในหัวใจของเจ้าต้องการอยู่ห่างจากพวกเขา ปฏิเสธพวกเขา หรือถึงกับดูหมิ่นพวกเขาหรือไม่ เจ้าก็ควรมีปัญญาเกี่ยวกับวิธีที่เจ้าจะแสดงออกมาภายนอก  เจ้าไม่ควรปล่อยให้พวกเขารู้สึกได้ถึงสิ่งนั้นหรือมองเห็นสิ่งนั้น  จงชัดเจนในหัวใจของเจ้าว่าเจ้าเพียงแต่กำลังทำงานเพื่อการยังชีพเท่านั้น และการดำรงชีวิตอยู่ในหมู่พวกเขาก็เป็นทางเลือกสุดท้าย  ก่อนอื่นจงพยายามอยู่ห่างจากพวกเขา  ยามที่พวกเขากำลังรวมกลุ่มกันทำพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายอันใดก็ตาม เจ้าควรหลีกเลี่ยงและอยู่ห่างจากพวกเขา และจงอย่ามีส่วนร่วมกับอาชญากรรมของพวกเขา  ในเวลาเดียวกันก็จงคุ้มครองตัวเองและไม่ปล่อยให้ตัวเองตกไปอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนของการถูกรุมโจมตีหรือใส่ความ  การนี้สำเร็จลุล่วงได้ง่ายหรือไม่?  คนบางคนที่อายุน้อยและไร้เดียงสาอาจจะรู้สึกลำบากยากเย็นในตอนแรกที่พวกเขาเข้าสู่สภาพแวดล้อมทางสังคมที่ซับซ้อนแบบนี้  หรือบางที ปัจเจกชนบางคนก็ขาดขีดความสามารถหรือความสามารถในการปรับตัว และไม่มีทักษะมากนักในการรับมือกับสัมพันธภาพระหว่างบุคคล อันเป็นการเพิ่มความลำบากยากเย็นให้กับการนี้  แต่ไม่ว่าในกรณีใด สิ่งหนึ่งซึ่งชัดเจนก็คือว่า เป็นการเพียงพอแล้วที่เจ้าจะใช้ความสามารถส่วนตัวของเจ้าทำงานที่เป็นกิจในมือให้เสร็จลง  จงอย่าล่วงเกินผู้ใด จงอย่าเรียกร้องจากผู้ใดก็ตามที่ขาดความเชื่อ ขาดขอบเขตทางศีลธรรม ขาดมโนธรรมและเหตุผลมากเกินไป  จงอย่าประกาศหลักธรรมชั้นสูงหรือพูดคุยถึงเรื่องต่างๆ อย่างเช่น ความเชื่อในพระเจ้า วิธีวางตน หรือมโนธรรมและธรรมชาติมนุษย์แก่พวกเขาเพราะคำพูดเพียงคำเดียวหรือเหตุการณ์เดียวที่บังเอิญมากระทบ  นั่นไม่จำเป็น จงประหยัดคำแนะนำดีๆ ของเจ้าไว้ให้กับบรรดาผู้ที่เข้าใจ  จงอย่าแม้แต่จะใช้สุนทรพจน์แบบมนุษย์กับพวกที่ไม่ได้ดีไปกว่าสัตว์เดรัจฉาน ไม่ต้องเอ่ยถึงการพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวกับความจริง  นี่เป็นครรลองของการกระทำที่โง่เขลา  หากพวกเขาเป็นกองกำลังที่มีอำนาจ เช่นนั้นแล้วในหนทางที่เจ้าเข้าหาพวกเขา ขณะที่ในหัวใจของเจ้ากำลังออกห่างและปฏิเสธพวกเขา ภายนอกนั้นเจ้าก็ควรดำรงอากัปกิริยาอันกลมเกลียวและเป็นมิตรต่อพวกเขาไว้  จงเพียรพยายามที่จะสัมฤทธิ์ผลของการค้ำชูความเป็นอยู่ของตัวเจ้าเองที่มีอาหารและเสื้อผ้า—นั่นก็พอแล้ว  ในสภาพแวดล้อมเพื่อการดำรงชีพที่ซับซ้อนเช่นนั้นซึ่งมีกองกำลังนานาเกาะเกี่ยวกันอยู่ พระเจ้าไม่ทรงจำเป็นต้องให้เจ้ามีส่วนร่วมในสิ่งใดเพื่อพิสูจน์ว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่ติดตามพระเจ้า เป็นผู้ซึ่งไล่ตามเสาะหาความจริง หรือเป็นคนดีและซื่อสัตย์  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงต้องประสงค์ให้เจ้าไม่มีพิษมีภัยเหมือนนกพิราบและเฉลียวฉลาดเหมือนงู อยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในทุกชั่วขณะ สงบจิตใจอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระองค์ เพื่อให้พระเจ้าทรงคุ้มครองเจ้าและเพื่อสำเร็จลุล่วงเป้าหมายของการคุ้มครองตัวเจ้าเอง  อะไรคือผลลัพธ์เฉพาะเจาะจงที่เจ้าควรสัมฤทธิ์?  นั่นควรเป็นการที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกคนชั่วฉ้อฉล หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกกองกำลังอันหลากหลายดึงไปพัวพัน และไม่กลายเป็นกระสอบทราย เบี้ยทิ้ง แพะรับบาป หรือตัวตลกของพวกนั้น  เมื่อพวกเขาพบว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็จะหัวเราะเยาะเจ้าพลางพูดว่า “ดูสิ พวกเขาเป็นผู้เชื่อทางศาสนา” หรือ “ดูคนเคร่งศาสนานั่นสิ พระเจ้าของพวกเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พวกเขากำลังอธิษฐานถึงพระเจ้าของพวกเขาอีกแล้ว และพวกเขาก็พูดว่าเงินที่พวกเขาทำได้นั้นได้มาจากพระเจ้า”  เพราะฉะนั้น จงอย่าร่วมทำการเสวนาที่เกี่ยวกับความเชื่อกับพวกเขา  จงอย่าให้พวกเขามีข้องัดค้านอันใด เจ้าไม่จำเป็นต้องลงทุนพลังงานใดของเจ้าในการเข้าสังคมกับพวกเขา ในการดำรงสัมพันธภาพกับพวกเขา ในการให้พวกเขาพูดว่าเจ้าดีเพียงใด เจ้าเป็นบุคคลที่ดีเพียงใด หรือไม่ก็ให้ได้รับการเห็นชอบจากพวกเขา  เจ้าไม่จำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้  จงดูแลธุระที่เป็นทางการในลักษณะที่มีหลักธรรม เจ้าเป็นลูกจ้างธรรมดา แค่เป็นสมาชิกอีกคนของอุตสาหกรรมนั้น  พระเจ้าไม่ทรงพึงประสงค์ให้เจ้าเผยแผ่พระวจนะของพระองค์ในหมู่พวกเขา ให้สามัคคีธรรมกับพวกเขาเกี่ยวกับความจริงของพระองค์  พระองค์ทรงขอให้เจ้าอยู่ห่างจากพวกเขา คุ้มครองตัวเอง และไม่ติดกับอยู่ในปลักตมของพวกเขาหรือในการทดลองใดๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ถูกโยงไปเกี่ยวข้องในกรณีพิพาทสารพัด ในความโกลาหลที่คนเหล่านั้นสร้างขึ้น ในกับดักและกลอุบายของพวกเขา หรือในสถานการณ์อันซับซ้อน  เจ้าควรตระหนักในจุดประสงค์ของตัวเองในวิชาชีพนี้ตลอดเวลา นี่ไม่เกี่ยวกับความก้าวหน้า การขึ้นสู่ระดับสูง การกลายเป็นบุคคลที่มีฐานะมั่งคั่ง หรือการอวดแสดงคุณค่าของตัวเองในสังคม  นี่ไม่เกี่ยวกับการทำสิ่งใดก็ตามให้ประทับใจผู้นำหรือผู้บังคับบัญชาของเจ้า  จุดประสงค์ของเจ้าก็คือเพื่อหาขนมปังรายวันของเจ้า หาเลี้ยงชีพของเจ้า และสามารถอยู่รอดในโลกนี้และในสังคมนี้ได้ แล้วจากนั้นก็มีเวลาและภาวะทั้งหลายที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริง และบรรลุความรอด  เมื่อเป็นเช่นนั้น ในสถานที่ทำงานใดก็ตาม เจ้าไม่จำเป็นต้องเพียรพยายามเพื่อโอกาสแห่งความก้าวหน้า การศึกษาต่อ การไปเรียนต่างประเทศ ความเห็นเชิดชูจากผู้บังคับบัญชาของเจ้า หรือแม้แต่ความสนใจของผู้นำระดับสูงขึ้นไป  เจ้าไม่จำเป็นต้องมีอะไรในนั้นเลย  หากเจ้ากำลังพยายามที่จะอยู่รอด ที่จะค้ำชูความเป็นอยู่ เช่นนั้นก็สามารถปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นไปจากชีวิตของเจ้าได้เลย  เจ้าเพียงจำเป็นต้องคุ้มครองตัวเองภายในขอบเขตวิชาชีพของเจ้าเท่านั้น—นั่นมากพอแล้ว  พระเจ้าไม่ทรงขอให้เจ้าทำมากมาย  หลักธรรมที่เจ้าควรยึดปฏิบัติตามก็คือจงอยู่ห่างจากกองกำลังนานา หลีกเลี่ยงการเอาตัวเองไปวางในเครื่องบดเนื้อหรือทำให้ตัวเองเสื่อมสุขภาพไปในสภาพแวดล้อมอันค่อนข้างเรียบง่ายที่เจ้าสามารถค้ำชูความเป็นอยู่ของตัวเองได้  นี่เป็นครรลองของการกระทำที่โง่เขลา  ชัดเจนอยู่แล้วว่าเจ้าสามารถค้ำชูความเป็นอยู่ของเจ้าผ่านทางวิธีการทำงานอันเรียบง่ายที่สุด ทว่าบ่อยครั้งที่เจ้ากลับเต็มใจเข้าร่วมในกรณีพิพาท แกว่งเท้าหาเสี้ยนหรือเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องที่ไม่สัมพันธ์กับวิชาชีพและความเป็นอยู่ของเจ้า ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้เป็นเหตุให้เจ้าตกไปอยู่ในกิจธุระสารพัดอันซับซ้อนของมนุษย์ ตกไปอยู่ในความพัวพันซับซ้อนและความขัดแย้งของกองกำลังนานาทางสังคม  ดังนั้นเจ้าจึงไม่อาจติเตียนพระเจ้าสำหรับการจัดการเตรียมสภาพการณ์ทั้งหลายให้กับเจ้า เจ้ามีเพียงตัวเจ้าเองให้ติเตียน ความตกต่ำของเจ้ามาจากการกระทำของเจ้าเอง  เจ้าพูดอยู่เป็นนิจว่าเจ้ามีธุระยุ่งและอ่อนล้ามากกับการทำงาน และว่าเจ้าไม่มีเวลาสำหรับการชุมชุมและการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง  ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอะไร หากเจ้าพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพการณ์เช่นนั้น เจ้าย่อมจะถูกพระนิเวศของพระเจ้ากำจัดออกไปในเร็ววัน  ความหวังแห่งความรอดของเจ้าก็จะอันตรธานไป  นั่นเป็นเส้นทางที่เจ้าเคยใช้ เส้นทางที่เจ้าเคยเลือก และนี่คือจุดจบที่เจ้าจะได้รับในที่สุด  หากในสภาพแวดล้อมที่เจ้าปฏิบัติตามหลักธรรมทั้งหลายที่พระเจ้าได้สามัคคีธรรมไป เจ้าคุ้มครองตัวเจ้าได้ดี และเจ้าก็สามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยหัวใจอันสงบนิ่ง เช่นนั้นแล้วแม้แต่ขณะที่กำลังสร้างสมดุลระหว่างงานกับการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง เจ้าก็จะยังคงมีโอกาสในความรอด  แต่ภาวะเบื้องต้นที่ต้องมีสำหรับการนี้ก็คือ เจ้าต้องอยู่ห่างจากกองกำลังนานาในสังคม สงบใจ และในเวลาเดียวกันก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและเดินไปตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงภายในขอบเขตความสามารถและวิถีทางอันจำกัดของเจ้า  ในหนทางนั้น ไม่ว่าสภาพแวดล้อมทางครอบครัวของเจ้าอาจท้าทายเพียงใด หรือวิถีทางส่วนบุคคลของเจ้าถูกจำกัดเพียงใด ภายใต้การทรงสงวน พระพร และการทรงนำของพระเจ้า เจ้าย่อมจะก้าวหน้าขึ้นทีละขั้นไปตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง  เช่นนั้นความหวังแห่งความรอดของเจ้าก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น  บางทีเนื่องจากการไล่ตามเสาะหา ความพยายาม และการจ่ายราคาส่วนบุคคลของเจ้า เจ้าจะบรรลุความรอดในที่สุด  อย่างไรก็ตาม บางคนอาจจะถอดใจเพียงครึ่งทาง  พวกเขามองว่าชีวิตนี้จำเจเกินไป ว่าพวกเขากลายเป็นถูกโลกโดดเดี่ยวไปแล้ว ว่าชีวิตของพวกเขานั้นสันโดษและลำพัง อีกทั้งพวกเขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรทำหากไม่ผสมโรงไปกับกรณีพิพาทนานาสารพัน และว่าพวกเขาก็ไม่สามารถค้นพบคุณค่าของตัวเอง หรือมองเห็นคุณค่าและอนาคตของตัวเอง  ดังนั้นพวกเขาจึงทิ้งหลักธรรมทั้งหลายที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ต่อพวกเขาโดยการเลือกที่จะไม่อยู่อย่างเงียบเชียบหรืออยู่ตามลำพัง แต่กลับผสมโรงไปกับกองกำลังนานาในสังคม  พวกเขาจู้จี้จุกจิกในทุกรายละเอียด เข้าร่วมในการดิ้นรนและความพัวพันยุ่งเหยิงทั้งหลาย อีกทั้งทะเลาะเบาะแว้งและต่อสู้กับคนเหล่านั้น  พวกเขาตกไปอยู่ในกรณีพิพาทสารพัด รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองกลายเป็นสมบูรณ์ มีคุณค่า และมีความสุข—พวกเขาไม่เดียวดายอีกต่อไป  อะไรคือสิ่งที่ผู้คนเช่นนั้นได้เลือกไป?  พวกเขาได้เลือกเส้นทางแห่งการเพิกเฉยต่อหน้าที่ของตนและการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่คือปลายทาง เมื่อไปถึงจุดนี้ของถนนแล้ว ย่อมไม่มีความหวังสำหรับความรอดอีกต่อไปแล้ว  เป็นกรณีนั้นไม่ใช่หรือ?  แม้หลังจากที่ฟังพระวจนะเหล่านี้แล้ว ผู้คนมากมายรู้สึกดีต่อพระวจนะเหล่านั้นและพบว่าการนำไปปฏิบัติไม่ท้าทายจนเกินไป  อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ปฏิบัติตามพระวจนะเหล่านั้นมาสักระยะหนึ่ง พวกเขาก็คิดว่า “การดำเนินชีวิตแบบนี้ไม่เหนื่อยล้าเกินไปหรอกหรือ?  บ่อยครั้งที่ผู้คนมองว่าฉันผิดแผกแหวกแนว ฉันไม่มีเพื่อน ไม่มีมิตรสหาย เดียวดายเกินไป โดดเดี่ยวเกินไป และชีวิตประจำวันของฉันให้ความรู้สึกหม่นหมอง  ฉันรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ชีวิตที่ดีหรือมีความสุขจริงๆ”  ว่าแล้วพวกเขาก็หวนคือสู่ชีวิตก่อนหน้าอีกครั้ง และผู้คนเช่นนั้นก็ถูกกำจัดออกไป  ความหวังแห่งความรอดของพวกเขาอันตรธานไป  พวกเขาไม่สามารถสู้ทนความเดียวดาย และพวกเขาก็ไม่สามารถทนยอมรับความยากลำบากแห่งการถูกเยาะเย้ยและถูกโดดเดี่ยวเพราะการดำเนินชีวิตตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าท่ามกลางผู้คนกลุ่มนี้  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาสุขสำราญกับการดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางกองกำลังนานาที่กำลังต่อสู้กันเอง และพวกเขาก็ซึมแทรกเข้าไปในกองกำลังต่างๆ ตกกระไดพลอยโจนไปกับพวกเขา ทะเลาะเบาะแว้งกับพวกเขา และดิ้นรนต่อสู้พวกเขา  พูดได้ว่าผู้คนเช่นนั้นไม่ใช่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  ต่อให้พวกเขารู้สึกดีหลังจากที่ฟังคำเทศนาเหล่านี้ พวกเขาก็ยังคงเลือกที่จะเข้าร่วมกับกองกำลังนานาทางสังคมมากกว่าที่จะอยู่ห่างจากกองกำลังเหล่านั้น ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่าผู้คนเช่นนั้นไม่ใช่พวกที่อยู่ในเจตนารมณ์ของการช่วยให้รอดโดยสิ้นเชิง  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าเลือกเส้นทางแห่งการอยู่ห่างจากกองกำลังนานาในสังคม และภายใต้ภาวะของการค้ำจุนความเป็นอยู่ของเจ้า เจ้าปฏิบัติหน้าที่ในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เช่นนั้นอย่างน้อยที่สุดบนพื้นฐานของทางเลือกนี้ เจ้าก็มีความหวังสำหรับความรอด  เจ้ามีข้อพึงประสงค์พื้นฐาน ผลที่ตามมาก็คือความหวังสำหรับความรอดนี้จึงมีอยู่

เคยมีใครบางคนในคริสตจักรที่กลายเป็นคนรู้จักของคนขาวคนหนึ่งซึ่งมีบิดาเป็นสมาชิกรัฐสภา  อันที่จริงแล้วการเป็นสมาชิกรัฐสภาก็ไม่ใช่ตำแหน่งที่ใหญ่โตอะไรนัก แต่คนผู้นี้รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้คุยกันฉันมิตรกับบุตรชายของสมาชิกรัฐสภาต่างประเทศ  เขาคิดว่าตัวเองเป็นบุคคลที่มีสถานะ  ต่อมาภายหลัง เขาก็ได้พาบุตรชายของสมาชิกรัฐสภาคนนี้อวดไปทั่ว โดยพูดแนะนำเขาให้ใครก็ตามที่พวกเขาพบเจอว่า “นี่คือลูกชายของสมาชิกรัฐสภา”  เราจึงถามไปว่า “บุตรชายของสมาชิกรัฐสภาหรือ?  บิดาของเขาเป็นสมาชิกรัฐสภาระดับไหนหรือ?  เขาทำอะไรให้เจ้าได้หรือ?”  เขาตอบว่า “พ่อของเขาเป็นสมาชิกรัฐสภานะ!”  เราจึงพูดว่า “การที่บิดาของเขาเป็นสมาชิกรัฐสภาเกี่ยวอะไรกับเจ้าหรือ?  เจ้าไม่ใช่สมาชิกรัฐสภา แล้วเจ้าอวดโอ้ไปเพื่ออะไร?”  คนผู้นั้นช่างพึงพอใจกับตัวเอง  แค่เพราะเขาได้สร้างสัมพันธ์กับบุตรชายของสมาชิกรัฐสภา เขาก็ทำท่าทะนงตนในทุกแห่งหนที่เขาไป และมองเมินใบหน้าที่คุ้นเคยยามพบเจอกันตามท้องถนน  ผู้คนถามว่า “ทำไมคุณไม่ทักทายพวกเราเลย?”  เขาก็ตอบไปว่า “ฉันกำลังเดินอยู่กับลูกชายของสมาชิกรัฐสภาน่ะ!”  เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าเขาช่างถือดีได้ถึงขนาดนั้น?  นี่คือผู้ไม่เชื่อใช่หรือไม่?  (ใช่)  อะไรคือจุดจบในท้ายที่สุดของผู้คนเช่นนี้ในพระนิเวศของพระเจ้า?  (พวกเขาจะถูกกำจัดออกไป)  บุคคลผู้นี้ต้องถูกกำจัดออกไปจากคริสตจักร เพราะเขาเป็นผู้ไม่เชื่อและนักฉวยโอกาส  ใครก็ตามที่ดูมียศตำแหน่งและกำลังบังคับ เขาเอาตัวไปผูกพันกับบุคคลนั้น และหากเขาเห็นว่ามีกำลังบังคับอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า เขาก็เอาตัวไปผูกพันกำลังบังคับนั้น  ผลลัพธ์ก็คือ หลังจากที่อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้ามาช่วงเวลาหนึ่ง เขาก็ตระหนักว่าไม่มีทางทำเงินได้ที่นี่ ดังนั้นเขาจึงหางานรับจ้างส่งอาหาร  แต่งานนั้นก็ไม่ทำให้เขารู้สึกมีศักดิ์ศรีมากพอ และต่อมาเขาก็ประจบประแจงบุตรชายของสมาชิกรัฐสภา โดยคิดว่าตอนนี้เขามีสถานะและไม่จำเป็นต้องรับจ้างส่งอาหารอีกต่อไป  จงบอกเราทีว่านี่โง่เขลาไม่ใช่หรือ?  มีผู้คนส่วนหนึ่งที่เป็นแบบนี้อยู่ในคริสตจักรไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  คนบางคนรู้สึกภาคภูมิใจแค่เพราะพวกเขารู้จักใครบางคนที่มียศตำแหน่งหรือกำลังบังคับ  พวกเขาคิดว่าตัวเองมีค่าและแตกต่างจากคนอื่นที่เหลือ  คนบางคนมีตำแหน่งราชการเล็กๆ และมีกำลังบังคับเล็กน้อยมาพร้อมกับตำแหน่งนั้น ทว่าพวกเขาก็ยังเชื่อว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่นในคริสตจักรและพวกเขาควรมีอำนาจชี้ขาด  ผู้คนเหล่านี้เป็นผู้ไม่เชื่อไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วก็ยังมีพวกที่ไม่มีอิทธิพลจริง แต่พวกเขาก็พูดจาคุยโวตลอดเวลาว่า “ฉันรู้จักท่านประธานาธิบดี!”  หรือ “ฉันรู้จักลูกพี่ลูกน้องของเลขานุการของท่านประธานาธิบดี!”  เจ้าดูเถิดพวกเขาสร้างการความเชื่อมโยงที่วกวนอ้อมค้อมและยังกล้าพูดสิ่งเช่นนั้นอีก  เหตุใดพวกเขาจึงหน้าด้านเช่นนั้น?  เรื่องราวของพวกเขาจึงวกวนซับซ้อนเสียจนไม่มีใครรู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงใคร และผู้อื่นก็ไม่สนใจที่จะฟังเลย เพราะคนเหล่านั้นไม่ใส่ใจในสิ่งเหล่านี้  บุคคลเหล่านี้เท่านั้นที่คำนึงถึงเรื่องต่างๆ เช่นนั้นว่าสำคัญที่สุด มีนัยสำคัญที่สุด และน่าประทับใจที่สุด  คนบางคนพูดบ่อยว่าพวกเขารู้จักกับพวกรัฐมนตรี พวกผู้อำนวยการ หรือพวกข้าราชการชั้นสูง  บ้างก็ไปไกลจนถึงขั้นอ้างว่า “ฉันรู้จักผู้คนทั้งสองฝ่าย ทั้งในสังคมที่ยึดปฏิบัติตามกฎหมายและโลกใต้ดิน ฉันเดินบนเส้นทางทั้งสองอย่างง่ายดายพอๆ กับบนพื้นราบ”  คนอื่นอาจจะพูดว่า “ฉันรู้จักพี่สะใภ้ของหัวหน้าเขต”  และก็มีพวกที่ยืนยันว่า “ฉันรู้จักเพื่อนของแม่ของนายกเทศมนตรีจากคริสตจักร”  พวกเขายกสิ่งเหล่านี้มาเป็นสิทธิ์คุยโว  การรู้จักผู้คนเหล่านี้มีประโยชน์อะไร?  พวกเขาสามารถช่วยให้เจ้าสัมฤทธิ์สิ่งใดได้บ้าง?  ต่อให้เขาเป็นนายกเทศมนตรี ผู้อำนวยการ ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือแม้แต่แม่หรือพ่อของผู้ว่าฯ คนนั้น สถานะของเจ้ามีประโยชน์ใช้การได้อันใดในคริสตจักร?  (ไม่มี)  พวกนายกเทศมนตรี พวกผู้มีอำนาจปกครอง และอะไรทำนองนี้เป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ใช่หรือ?  พวกเขาสามารถกลายเป็นยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าได้หรือ?  การที่พวกผู้ไม่เชื่อเหล่านี้ให้ค่ากับกองกำลังเช่นนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่น่าขยะแขยงไม่ใช่หรือ?  (นั่นน่าขยะแขยง)  คนบางคนถึงกับกล่าวอ้างว่ารู้จักอธิบดีกรมตำรวจและคนอื่นก็พูดว่า “ฉันเคยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุมชนและเป็นผู้กำกับการที่สถานีตำรวจในท้องที่” ในขณะที่คนอื่นพูดว่า “ฉันเคยเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเขตและได้สวมปลอกแขนแดง”  พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินพวกเขาพูดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่ากองกำลังเหล่านี้?  ผู้ไม่เชื่อบางคน พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และเป็นผู้เชื่อแต่ในนามเท่านั้นช่างโง่เขลานักที่พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ผู้คนเหล่านั้นกำลังพูดอยู่นั้นจริงแท้หรือไม่  พวกเขาจึงรับมันไว้เป็นข้อเท็จจริงและให้ความเคารพนับถือคนเหล่านั้นอย่างสูง  แต่สำหรับบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาคิดอะไรอยู่ในใจเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งเหล่านี้?  พวกเขาประเมินค่าผู้คนเหล่านั้นอย่างไร?  แวบแรกพวกเจ้าสามารถบอกได้ว่าคนพวกนั้นเป็นผู้ไม่เชื่อ ว่าทั้งหมดที่คนพวกนั้นพูดถึงก็คือกองกำลังและเรื่องทางโลกสารพัด และว่าคนพวกนั้นได้เข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าก็เพื่อโอ้อวดสิ่งเหล่านี้  ไม่ต้องพูดถึงข้อเท็จจริงด้วยซ้ำว่าพวกเขารู้จักญาติห่างๆ ของข้าราชการหรือคนเด่นคนดังบางคน ต่อให้ตัวพวกเขาเองเป็นข้าราชการหรือคนเด่นคนดัง แต่พวกเขาก็ไม่มีค่าอะไรเลยในพระนิเวศของพระเจ้า ยศหรือตำแหน่งของพวกเขาไม่มีค่าอะไรเลย แล้วอะไรเล่าที่พวกเขากำลังโอ้อวด?  พวกเขามีความจริงหรือไม่?  พวกเขากำลังทำหน้าที่ของตัวเองไปตามหลักธรรมหรือไม่?  พวกเขาไม่มีความหมายอะไรเลย แต่พวกเขากลับกล้าดีที่จะโอ้อวด!  นี่น่าละอายไม่ใช่หรือ?  นี่น่าคลื่นไส้ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  น่าคลื่นไส้อย่างไรหรือ?  การมีความเชื่อมโยงกับทั้งสองฝ่ายของกฎหมายเป็นบางสิ่งที่พวกเขาถึงกับจะคุยโว—ผู้คนที่คุยโวเกี่ยวกับสิ่งนี้เบาปัญญาหรือไม่?  พวกเขาโง่เขลาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาไม่กลัวว่าจะทำให้ตัวเองเดือดร้อนด้วยซ้ำ  การคบค้าสมาคมกับทั้งสองฝ่ายของกฎหมาย ใครบางคนที่เป็นแบบนี้ก็คือนักเลงอันธพาลไม่ใช่หรือ?  นักเลงอันธพาลกับผู้ประกอบกิจการที่กะล่อนไม่มีค่าในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของผู้ไม่เชื่อและควรถูกขับไล่!  ทว่าพวกเขาก็ยังคงยกสิ่งนี้มาเป็นสิทธิ์คุยโว  นี่ไม่ใช่สมองทึบหรอกหรือ?  นี่เป็นบางสิ่งให้ภาคภูมิใจหรือ?  พวกเขาถึงกับเอาสิ่งนี้มาคุยโม้!  คนบางคนสวมสร้อยข้อมือเส้นโตและพอพวกเขาเมามายก็พูดโอ้อวดกับคนอื่นว่า “บรรพบุรุษของฉันเป็นนักขุดสุสานหาสมบัติ ทักษะนี้สืบทอดในตระกูลฉันมาหลายรุ่นแล้ว  ดูสร้อยข้อมือเส้นใหญ่ของฉันนี่สิ ฉันเจอมันในหลุมศพใหญ่ที่ไหนสักแห่งเมื่อตอนดึกของคืนวันที่เท่าไรสักอย่าง ก็เลยเอามาเป็นของฉันเสียเลย  เป็นยังไง?  น่าทึ่งสินะ?”  คนบางคนได้ยินเรื่องนี้แล้วแจ้งจับพวกเขา และพวกเขาก็ถูกจับกุมโดยไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดกฎหมายอะไรด้วยซ้ำ  ผู้คนถามพวกเขาว่า “สร้อยทองบนข้อมือคุณมาจากยุคนี้ใช่หรือไม่?  มันเป็นศิลปวัตถุ!”  พวกเขาหาข้อหาเข้าตัวเองอย่างเบาปัญญา  จงอย่าคุยโม้อย่างมืดบอดเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น เจ้าจงระมัดระวังที่จะไม่ดึงดูดความสนใจของตำรวจจนเกิดเรื่องเดือดร้อน  การคุยโม้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ นั้นง่ายที่จะเกิดเรื่องเดือดร้อน หากเจ้าเล่นกับไฟ เจ้าก็มีแววที่จะถูกไฟลวก และเจ้าก็จะจบเห่ด้วยการทำลายตัวเอง—เจ้าทำตัวเองแบบนั้น  เจ้าไม่รู้กระทั่งสิ่งที่เจ้าพูด เจ้าไม่รู้ที่มาที่ไปของสิ่งนั้น—นี่ไม่ใช่สมองทึบหรอกหรือ?  (ใช่)  หากเจ้าคุยโม้เกี่ยวกับการสามารถที่จะนั่งกินขนมปังยี่สิบก้อนได้หมดรวดเดียว นั่นก็ไม่เป็นไร นั่นไม่ใช่เรื่องของการทำผิดหลักธรรม  อย่างมากที่สุด ผู้คนก็แค่จะคิดว่าเจ้าโง่เขลาและจะไม่ใส่ใจเจ้าอย่างจริงจัง แต่นั่นไม่ผิดกฎหมาย  หลักธรรมของการอยู่ห่างจากกองกำลังนานาทางสังคมนั้นสำคัญยิ่งเกี่ยวกับการจำเป็นต้องมีปัญญาในทุกซอกมุมของสังคมและในกลุ่มใดก็ตามที่เจ้าเข้าไปอยู่  นั่นก็เหมือนกับที่พระเจ้าตรัสไว้ในระหว่างยุคพระคุณว่า “จงเฉลียวฉลาดเหมือนงู และไม่มีพิษมีภัยเหมือนนกพิราบ” (มัทธิว 10:16)  จงคุ้มครองตัวเองให้ดี ตราบที่เจ้าสามารถค้ำชูความเป็นอยู่ของตัวเองได้ นั่นก็มากพอแล้ว  จงอย่าพยายามหรือมีความหลงผิดเกี่ยวกับการอาศัยประโยชน์จากกองกำลังทางสังคมเพื่อสถาปนาตัวเจ้าเองขึ้นมาในสังคม กลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา ได้รับการยอมรับและการรับเข้าเป็นพวก  เหล่านี้คือแนวคิดที่โง่เขลากับความคิดที่เสื่อมถอย  มุมมองของมนุษย์ควรได้รับการแก้ไข  ไม่ว่าพวกเขาพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพแวดล้อมทางสังคมหรือชุมชนที่เป็นอย่างไร หากพวกเขาเดินตามทางของพระเจ้า นั่นจะนำไปสู่การถูกสังคมหรือถูกมนุษยชาติปฏิเสธ  แต่ตราบที่พระเจ้าทรงมอบลมปราณให้แก่เจ้า เจ้าจะไม่ถูกทิ้งให้ปราศจากหนทางที่จะอยู่รอด  เจ้าต้องมีความมั่นใจแบบนี้  ชีวิตของผู้คนไม่ได้ขึ้นอยู่กับกองกำลังนานาที่จะรับประกันความปลอดภัย ความเป็นอยู่ อนาคต และทุกสิ่งที่พวกเขาเป็นเจ้าของ  พวกเขาพึ่งพาทุกพระวจนะจากพระเจ้า พึ่งพาการเจิมตั้ง การทรงนำ และการคุ้มครองของพระองค์—เจ้าต้องมีความมั่นใจนี้  เพราะฉะนั้นเพื่ออยู่รอดในสังคม วิถีทางพื้นฐานแห่งความอยู่รอดของเจ้าควรเป็นการเลือกวิชาชีพที่จะค้ำชูความเป็นอยู่มากกว่าที่จะพึ่งพากำลังบังคับประเภทอื่นใด  การพึ่งพาวิชาชีพเพื่อเกื้อหนุนตัวเอง นี่คือหลักธรรมซึ่งผู้คนชื่นชมยินดีกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้แก่พวกเขา ซึ่งรวมไปถึงสมบัติพัสถานทางวัตถุและเงินทอง ภายใต้การทรงนำและการเจิมตั้งของพระเจ้า—ไม่ใช่การพึ่งพาทานบริจาคหรือการแจกจ่ายจากกองกำลังนานาทางสังคมเพื่อสนองความเป็นอยู่ส่วนบุคคลของพวกเขา  สิ่งของและเงินทองที่เจ้าพึ่งพาในทุกวันที่เจ้าอยู่รอดนั้นเหมือนกับลมปราณที่เจ้าสูดเข้าไปอย่างมาก ทั้งหมดมาจากพระเจ้า พระองค์ทรงมอบให้มา และไม่มีใครสามารถพรากสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้เจ้าแล้วไปได้  เช่นเดียวกับลมปราณ สิ่งของ สิ่งใดก็ตามที่อยู่นอกกายเจ้าไม่ได้ถูกมอบให้เจ้าโดยการให้ทานของใครอื่น และแน่นอนว่าไม่มีใครสามารถพรากสิ่งเหล่านี้ไปได้  หากพระเจ้าทรงมอบให้กับเจ้าแล้ว ก็ไม่มีใครพรากไปได้  พวกเรามองเห็นข้อเท็จจริงนี้ได้จากประสบการณ์ของโยบและเจ้าก็ควรมีความมั่นใจนี้  ด้วยความมั่นใจอันจริงแท้นี้ เจ้าจะมีพื้นฐานและแรงจูงใจที่จะค้ำจุนหลักธรรมแห่งการอยู่ห่างจากกองกำลังนานาทางสังคม  เช่นนั้นแล้วบนรากฐานนี้ ร่างกายและจิตใจของเจ้าย่อมสามารถสงบลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์และถวายร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณของเจ้า ลุล่วงหน้าที่ของเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริง และได้มาซึ่งผลลัพธ์อันงดงามของความรอด  เจ้าควรมีความรู้นี้และเข้าใจความจริงเหล่านี้  เพราะฉะนั้นในขณะที่วลีที่ว่า “อยู่ห่างจากกองกำลังนานาทางสังคม” อาจจะฟังดูง่าย แต่ยามที่เผชิญกับเรื่องต่างๆ เจ้าต้องชั่งน้ำหนักการตัดสินใจของเจ้าไปบนพื้นฐานของหลักธรรมนานาประการและสถานการณ์จริง  พูดสั้นๆ ก็คือ เป้าหมายสูงสุดไม่ใช่แค่เอาตัวเองออกห่างและฝ่าให้พ้นจากกองกำลังเหล่านั้นเท่านั้น แต่ให้ใช้วิธีการและเส้นทางแห่งการปฏิบัติของการอยู่ห่างจากกองกำลังนานาทางสังคมเพื่อสัมฤทธิ์การสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เพื่อถวายร่างกายและจิตใจของเจ้าแด่พระองค์ และเพื่อมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เริ่มออกเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง และในที่สุดก็บรรลุความหวังสำหรับความรอดและการทำให้ความพึงปรารถนาทั้งหลายของเจ้าเป็นจริง  เจ้าต้องปฏิบัติตามหลักธรรมแห่งการอยู่ห่างจากกองกำลังนานาทางสังคมเพื่อให้สัมฤทธิ์ความรอดขั้นสุดท้ายนี้อย่างเป็นผลที่ตามมา  นี่คือเส้นทางที่จำเป็น หนึ่งในเส้นทางอันสำคัญยิ่งต่อการบรรลุความรอด  เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  หลักธรรมแห่งการอยู่ห่างจากกองกำลังนานาทางสังคมได้ถูกสามัคคีธรรมไปแล้วอย่างชัดเจน  มีสิ่งใดเกี่ยวกับหลักธรรมนี้ที่ยังคงไม่ชัดเจนสำหรับพวกเจ้าหรือไม่?  เมื่อเป็นเรื่องของสถานการณ์พิเศษบางอย่าง เจ้ารู้วิธีที่จะเข้าหาสถานการณ์เหล่านั้นหรือไม่?  หากการเข้าร่วมกำลังบังคับบางอย่างเป็นแค่พิธีการหรือความจำเป็นของบางวิชาชีพ การนี้ขัดกับหลักธรรมแห่งการอยู่ห่างจากกองกำลังนานาทางสังคมหรือไม่?  หากนั่นเป็นความจำเป็นหรือพิธีการภายในวิชาชีพของเจ้าเท่านั้น เช่นนั้นก็เป็นที่ยอมรับได้  กองกำลังที่พวกเราพูดถึงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการนี้ กับองค์กรหรือกลุ่มซึ่งผิวเผิน กล่าวคือ ตรงนี้พวกเรากำลังเสวนากันถึงกองกำลัง  “กองกำลัง” หมายถึงสิ่งใดหรือ?  กองกำลังหมายถึงผู้มีอำนาจ ความแข็งแกร่งในกลุ่ม และความแข็งแกร่งที่สิ่งเหล่านี้ใช้ปฏิบัติการหรือถึงกับเกะกะระรานในสังคม เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  หากเจ้าได้เข้าใจหลักธรรมนี้ของการปฏิบัติแล้ว พวกเราขยับไปสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหลักธรรมข้อถัดไปกันเถิด

หลักธรรมข้อที่สี่ก็คือการอยู่ห่างจากการเมือง  การเมืองเป็นหัวข้อที่อ่อนไหว  เมื่อสามสิบปีที่แล้ว การเสวนาเกี่ยวกับผู้นำคนนี้คนนั้น นโยบายนี่นั่น หรือกิจธุระทางการเมืองในขณะนั้นบางอย่างแม้แต่ภายในคริสตจักร ก็จะนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนจำนวนมาก  หลายคนคงหาข้อแก้ตัวที่จะผละไปทันทีที่มีการยกเรื่องการเมืองขึ้นมา และไม่กล้าที่จะเสวนาหัวข้อดังกล่าวโดยพูดว่า  “การยกเรื่องการเมืองมาพูดหมายถึงการที่คุณกำลังต่อต้านพรรคและชาติ คุณเป็นนักปฏิวัติซ้อนและคุณจะถูกจับกุม  หากไม่เห็นแก่การเป็นผองเพื่อนพี่น้องชายหญิงด้วยกัน ฉันคงแจ้งจับคุณ”  สมัยก่อนผู้คนอ่อนไหวกับเรื่องการเมืองเป็นพิเศษ  ตอนนี้ก็ยังคงเหมือนเดิมหรือไม่?  หากภายในคริสตจักรมีการเสวนาหรือเปิดโปงการเมือง หากพญานาคใหญ่สีแดงกับซาตานถูกเปิดเผย หรือหัวข้อที่ดูเป็นเชิงการเมืองถูกยกมาพูดคุย ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงมีท่าทีแบบนี้หรือไม่?  มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ในการชุมนุมในอดีต เมื่อพวกเราพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ อย่างเช่นการที่ปีศาจต่อต้านพระเจ้าหรือข่มเหงคริสตชน คนบางคนก็จะกระแอมไอราวกับมีอะไรติดคอ และพวกเขาก็ออกไปข้างนอกเพื่อทำให้ลำคอโล่ง  หลังจากนั้นสักพักพวกเขาก็จะรับฟังเล็กน้อยและคิดในใจว่า “อ้อ การเสวนาเรื่องปฏิวัติซ้อนหยุดแล้ว” และพวกเขาก็จะกลับมา  แต่พอพวกเขากลับมาแล้วเห็นว่าเจ้ายังคงเสวนาเรื่องนี้อยู่ พวกเขาก็จะเริ่มกระแอมไออีก แล้วก็ผละจากไป  เรานึกฉงนว่าเหตุใดพวกเขาจึงเอาแต่กระแอมไอ?  พวกเรากำลังเสวนากันถึงวิธีใช้วิจารณญาณแยกแยะซาตาน และกำลังเปิดเผยแก่นแท้กับโฉมหน้าที่ชั่วช้าของมัน  นี่ใช่การเสวนาเชิงการเมืองหรือไม่?  (ไม่ใช่)  คนโง่เขลาบางคน พวกที่เรียกกันว่าผู้คนฝ่ายวิญญาณซึ่งขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณนั้น ได้ต่อต้านหัวข้อเหล่านี้อย่างรุนแรง  พวกเขาไม่อาจแยกความแตกต่างระหว่างความจริงกับการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองตามจริง หรือเข้าใจได้ว่า พรรคคอมมิวนิสต์หมายความว่าอย่างไรกับคำว่า “พวกผู้ปฏิวัติซ้อน”  พวกเขาไม่รู้ความ ถูกพรรคคอมมิวนิสต์ล้างสมอง และกลัวว่าตัวเองอาจจะถูกพิจารณาว่าเป็นผู้ปฏิวัติซ้อนไปด้วย  พวกเขาไม่กล้าที่จะเสวนาหรือเอ่ยถึงหัวข้อของการเปิดโปงพญานาคใหญ่สีแดง  การเปิดโปงพญานาคใหญ่สีแดงคือการมีส่วนร่วมในการเมืองหรือ?  การกบฏต่อพญานาคใหญ่สีแดงเป็นการปฏิวัติซ้อนหรือ?  (ไม่ นั่นไม่ใช่)  ตอนนี้พวกเจ้าไม่กล้าพูดเรื่องนี้ แต่พวกเจ้าจะกล้าพูดสิ่งเดียวกันนี้ในจีนแผ่นดินใหญ่หรือไม่?  บรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าใช่อาชญากรทางการเมืองผู้กระทำการต่อต้านพรรคและรัฐหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เหตุใดเจ้าจึงบอกว่าไม่ใช่?  อาชญากรทางการเมืองคืออะไร?  เจ้าได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเมืองแล้วหรือ?  (พวกเราไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม)  หากเจ้าไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเมือง แล้วเจ้ากลายเป็นอาชญากรทางการเมืองได้อย่างไร?  (พญานาคใหญ่สีแดงเป็นผู้ที่นำการตราหน้านั้นมาใช้)  หากเจ้าเข้าไปมีส่วนร่วมในการลักขโมย เจ้าก็คือขโมย  หากเจ้าเข้าไปมีส่วนร่วมในการฆาตกรรม เจ้าก็คือฆาตกร  หากเจ้าเข้าไปมีส่วนร่วมในการปล้น เจ้าก็เป็นนักปล้น  ข้อหาเหล่านี้ถูกตั้งขึ้นบนพื้นฐานใด?  นั่นก็คือตอนที่เจ้าร่วมทำกิจกรรมเชิงอาชญากรรมเหล่านี้ และเจ้ากลายเป็นผู้กระทำความผิดในพฤติกรรมเชิงอาชญากรรม  แต่หากเจ้าไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม อาชญากรรมนี้และข้อหานี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า  หากเจ้าไม่ติดตามซาตานหรือพรรค หากเจ้าต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ ต่อต้านพญานาคใหญ่สีแดง รวมทั้งเกลียดพญานาคใหญ่สีแดง และหากเจ้าติดตามพระเจ้า เจ้ากำลังเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองหรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นหากพวกเขาตัดสินความผิดให้เจ้าเป็นผู้ปฏิวัติซ้อนหรืออาชญากรทางการเมือง ข้อกล่าวหานั้นฟังขึ้นหรือไม่?  (ไม่ นั่นฟังไม่ขึ้น)  นั่นฟังไม่ขึ้น นั่นเหลวไหลไร้สาระ  นั่นก็เหมือนชาวไร่ชาวนาคนหนึ่งที่ไม่มีวิชาชีพ ผู้ซึ่งแค่ทำไร่ทำนาไปบนแผ่นดินผืนเล็กๆ เก็บเกี่ยวพืชผลแล้วไปขายที่ตลาด  จากนั้นก็มีใครบางคนที่มีตราสัญลักษณ์สีแดงที่แขนเสื้อก็มาหาเขาและพูดว่า “เฮ้ย นายมีใบอนุญาตทำงานไหม?  นายมีใบรับรองสุขภาพไหม?”  ชาวนาจึงตอบว่า “ผมจะไปเอาใบอนุญาตทำงานมาจากไหน?  ผมไม่มีอาชีพ ผมไม่ได้ถูกจ้างงาน ทำไมผมจึงจะจำเป็นต้องใช้ใบอนุญาตทำงาน?”  ชาวนาคนนั้นไม่มีตำแหน่งหรือวิชาชีพ  แต่เขาก็ยังถูกถามหาใบอนุญาตทำงานของเขาแค่เพื่อที่จะขายอะไรบางอย่าง—นั่นไม่เหลวไหลไร้สาระหรอกหรือ?  เมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ พญานาคใหญ่สีแดงกล่าวหาว่าเจ้าเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมือง  รัฐธรรมนูญแห่งชาติข้อไหนที่เจ้าช่วยบัญญัติ?  การเคลื่อนไหวทางการเมืองใดที่เจ้าช่วยวางแผนการ?  เจ้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ระดับใด?  เจ้าได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการขัดแย้งภายในที่ระดับใดของรัฐบาลบ้างหรือไม่?  การประชุมสภาแห่งชาติหรือการประชุมใหญ่ของรัฐครั้งใดที่เจ้าได้เข้าไปมีส่วนร่วม?  (ไม่มีเลย)  เจ้าไม่มีการเข้าถึงข้อมูลด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงการเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมือง แต่สุดท้ายเจ้าก็ได้ถูกตัดสินความผิดให้เป็นอาชญากรทางการเมือง—นั่นเป็นข้อหาที่ยกเมฆขึ้นมาไม่ใช่หรือ?  จงบอกเราทีว่าประเทศนี้เหลวไหลไร้สาระไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  คนบางคนยังคงเบาปัญญา  พวกเขาคิดว่า “โอ ไม่นะ การถูกตัดสินความผิดว่าเป็นอาชญากรทางการเมืองหรือนักปฏิวัติซ้อนเป็นความเสื่อมเสียอย่างใหญ่หลวงต่อบรรดาผู้เชื่อในพระเจ้า!”  นั่นโง่เขลาไม่ใช่หรือ?  ถึงกับมีคนบางคนซึ่งเมื่อได้ถูกตัดสินความผิดว่าเป็นนักปฏิวัติซ้อนหรืออาชญากรทางการเมืองเพราะการเชื่อในพระเจ้าและได้ถูกตัดสินโทษจำคุก 15 หรือ 20 ปี พอพวกเขาได้รับการปล่อยตัวออกมาก็รู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องอื้อฉาวที่ทำให้เสื่อมเสีย  พวกเขาคิดว่าพวกเขาไม่สามารถสู้หน้าผู้ใดได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน มิตรสหาย และครอบครัว  โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่ผู้คนกำลังชี้นิ้วและซุบซิบลับหลังพวกเขา พวกเขารู้สึกว่าตัวเองได้ทำบางสิ่งที่น่าอับอาย  นั่นโง่เขลาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ยุคสมัยนี้ปฏิเสธเจ้า และพญานาคใหญ่สีแดงก็ข่มแหงเจ้า—พวกเขาเป็นธรรมหรือไม่?  หากมนุษยชาติทั้งปวงลุกขึ้นมาข่มเหงเจ้า นั่นหมายความว่าความจริงไม่ใช่ความจริงอีกต่อไปหรือ?  ความจริงก็คือความจริงเสมอ ไม่ว่าผู้คนมากมายเท่าไรลุกขึ้นมาต่อต้าน  แก่นแท้แห่งความจริงก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนกับที่แก่นแท้แห่งความชั่วของซาตานก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  ต่อให้ไม่มีใครตระหนักรู้หรือยอมรับความจริง นั่นก็ยังคงเป็นความจริง และข้อเท็จจริงนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  หากมนุษยชาติทั้งปวงจะลุกขึ้นมาต่อต้านพระเจ้าและปฏิเสธพระวจนะของพระองค์ นั่นคงแสดงให้เห็นว่ามนุษยชาติยังชั่วอยู่  กำลังบังคับแห่งความชั่วของซาตานไม่สามารถกลายมาเป็นความชอบธรรมแค่เพราะมีผู้คนมากมายหรือกองกำลังอันยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลัง  คำโกหกที่ถูกพูดซ้ำหมื่นครั้งกลายเป็นความจริง นั่นเป็นเหตุผลวิบัติของซาตาน ตรรกะของซาตาน ไม่ใช่ความจริง  หากเหล่าผู้เชื่อได้รับประสบการณ์กับการปฏิเสธจากทั้งโลกกับการข่มเหงและการทำลายชื่อเสียงจากพญานาคใหญ่สีแดง พวกเขาควรรู้สึกอับอายหรือไม่?  (ไม่ควร)  พวกเขาไม่ควรรู้สึกอับอาย  เมื่อเจ้าทนทุกข์กับการข่มเหงเพื่อเห็นแก่ความชอบธรรม นั่นพิสูจน์ว่าโลกนี้ชั่วอย่างแท้จริง และนั่นยืนยันพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า ทั้งโลกอยู่ในอำนาจของมารร้าย  เมื่อเจ้าถูกข่มเหงเพื่อเห็นแก่ความชอบธรรม ไม่ว่าเส้นทางของเจ้าอาจถูกควรและการกระทำของเจ้าอาจเป็นธรรมเพียงใด ไม่มีใครจะยืนขึ้นและปรบมือให้เจ้า  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น สำหรับการจัดการแบบสกปรกอันใดที่ผู้คนในโลกนี้ทำขึ้น ตราบที่พวกเขาปั้นแต่งและส่งเสริมการจัดการเหล่านั้น เมื่อการจัดการเหล่านั้นถูกนำเสนอต่อสาธารณะ การจัดการเหล่านั้นก็กลายเป็นสิ่งซึ่งเป็นบวก  ผู้คนเหล่านั้นเป็นพวกคนชั่ว ความประพฤติของพวกเขาล้วนเป็นเล่ห์เหลี่ยมสกปรกทั้งสิ้น

พวกเรามาสามัคคีธรรมต่อเกี่ยวกับเรื่องของการอยู่ห่างจากการเมืองนี่กันเถิด  การเมืองคืออะไร?  เจ้าจำเป็นต้องรู้ว่าการเมืองคืออะไรก่อนที่เจ้าจะสามารถเข้าใจวิธีที่จะตัวเจ้าออกห่างจากมัน  การเมืองคืออะไร?  ในระดับพื้นฐานที่สุดนั้น การเมืองเกี่ยวข้องกับความอยากที่จะครองตำแหน่งที่มีอำนาจและมีอาชีพการงานเป็นข้าราชการคนหนึ่ง  นี่เป็นด้านหนึ่งของการเมือง  การเมืองหมายถึงการครองตำแหน่งและการมีอาชีพการงานเป็นข้าราชการ  จากข้าราชการระดับบนถึงระดับล่าง นับจากหัวหน้าแผนกเล็กๆ และหัวหน้าส่วนในสถานที่ราชการ ไปจนถึงเลขานุการพรรคสาขาและเลขาธิการคณะกรรมการพรรค ผู้อำนวยการ หัวหน้าสำนักงาน รัฐมนตรี และบรรดาหัวหน้าในหลากหลายระดับ—ทั้งหมดนี้ตกอยู่ภายใต้หมวดหมู่ของการเมือง คำว่าการเมืองหมายถึงอะไร?  การพูดถึงการเมืองแบบตรงไปตรงมาที่สุดก็คือ การเมืองคือกำลังบังคับและสิทธิอำนาจ การเมืองเป็นสัญลักษณ์ของสิทธิอำนาจประเภทหนึ่งในสังคม  นี่เป็นหน้าฉากหนึ่งของการเมือง  อะไรอีกที่จัดอยู่ในหมวดของการเมือง?  (ข้าแต่พระเจ้า การเมืองไม่ใช่เกี่ยวข้องกับการดิ้นรนเพื่อยึดครอง สถาปนา หรือสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับอำนาจทางการเมืองของรัฐหรอกหรือ?)  ทั้งความขัดแย้งของบุคลากรและการดิ้นรนเพื่ออำนาจล้วนเป็นการเมือง  มีอะไรอื่นอีกหรือไม่?  กลอุบาย กลยุทธ์ และวิธีการที่ใช้ในการดิ้นรนเหล่านี้ ตลอดจนการเลือกตั้ง การรณรงค์ และความพยายามด้านการโฆษณาเผยแพร่ที่สัมพันธ์กับการเมืองนานาสารพัด—ทั้งหมดนี้จัดอยู่ในหมวดการเมือง  นี่คือความเข้าใจแบบตรงไปตรงมาที่สุดเกี่ยวกับการเมืองที่พวกเรามีได้  การใกล้ชิดองค์กรและพรรคให้มากขึ้น รวมทั้งการเพียรพยายามเพื่อความก้าวหน้า—สำหรับผู้คนธรรมดาแล้ว การเมืองคือสิ่งนี้ไม่ใช่หรือ?  พวกเขาเรียกการนี้ว่า “คนตัวเล็กที่สามารถมองภาพใหญ่ได้”  เจ้าจงดูเถิด แม้ว่าผู้คนเหล่านั้นต่ำต้อย พวกเขาก็มีมุมมองที่กว้างไกล  พวกเขาจึงเข้าไปใกล้องค์กรและพรรค เพียรพยายามเพื่อความก้าวหน้า  พวกเขาเริ่มโดยการเข้าร่วมสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ แล้วจากนั้นก็พรรคคอมมิวนิสต์  พวกเขาค่อยๆ ใกล้ชิดกับพรรคมากขึ้นทีละน้อย ฟังคำแนะนำของพรรค ปฏิบัติตามนโยบายนำทางและการกำหนดเป้าหมายของมัน  พวกเขายึดติดอย่างเคร่งครัดอยู่กับแนวทางที่พรรคบ่งชี้ไว้ นำแนวทางเหล่านั้นมาดำเนินการให้เป็นผล และแสดงคุณสมบัติของสมาชิกพรรคคนหนึ่งอย่างครบถ้วน  พวกเขาพูดและกระทำการเพื่อพรรค ปกป้องผลประโยชน์ของพรรค กฎเกณฑ์ของพรรค สถานะของพรรค และภาพลักษณ์ของพรรคในจิตใจของประชาชน  พวกเขาปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพรรค  นี่ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าปกป้องผลประโยชน์ขององค์กร องค์กรนั้นที่เป็นพรรค  ไม่สำคัญว่าพรรคนี้ตั้งพรรคการเมืองหรือองค์กรใดขึ้นมา ทันทีที่เจ้าเริ่มเข้าไปมีส่วนร่วม เจ้าก็กำลังมีส่วนร่วมในการเมือง  พวกเจ้าคนใดได้เข้าไปมีส่วนร่วมแล้วบ้างหรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นเจ้าก็มั่นใจได้ เจ้าไม่ใช่อาชญากรทางการเมือง และเจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเรียกตัวเองแบบนั้น  อย่างน้อยที่สุด อาชญากรทางการเมืองคงต้องไปต่างประเทศและก่อตั้งองค์กรหรือกลุ่มสิทธิมนุษยชนขึ้นมา ร่วมทำกิจกรรมทางสิทธิมนุษยชนนานาสารพัน ต่อต้านนโยบายและกฎเกณฑ์ของรัฐบาลปัจจุบัน ตลอดจนการกระทำทั้งหลายที่รัฐบาลทำ  นอกจากนั้นแล้วพวกเขายังจำเป็นต้องจัดทำข้อบังคับ ระบบ กฎเกณฑ์ทั้งหลาย และรัฐธรรมนูญขึ้นมา ร่วมไปกับมาตราสารพัดที่สมาชิกขององค์กรต้องยึดปฏิบัติตาม  การนั้นต้องถูกจัดระบบและวางระเบียบวินัย พร้อมด้วยพวกผู้นำระดับสูงและสมาชิกที่เป็นคนทำงานระดับล่าง อันเป็นการสร้างรูปแบบโครงสร้างทางองค์กรแบบเป็นระบบและสมบูรณ์ตั้งแต่ระดับบนสุดจนถึงล่างสุด  ถึงตอนนั้นเท่านั้นจึงจะเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มการเมือง และมีเพียงกิจกรรมที่ประพฤติปฏิบัติภายในกลุ่มการเมืองนั้นเท่านั้นจึงจะถูกพิจารณาว่าเป็นการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง  พวกเจ้าคนใดเข้าไปมีส่วนร่วมในการนี้บ้างแล้วหรือไม่?  หากไม่มี เจ้ามีเจตนารมณ์ใดต่อการเข้าไปมีส่วนรวมหรือไม่ หรือเจ้าวางแผนที่จะเข้าร่วมพรรคการเมือง และอย่างน้อยที่สุดก็ถือตำแหน่งเช่น ผู้ออกกฎหมายหรือที่ปรึกษาหรือไม่?  มีใครเข้ากันได้พอดีกับคำบรรยายนี้หรือไม่?  หากเจ้ามีแผนการเช่นนั้น นั่นก็หมายความว่า เจ้าได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองเรียบร้อยแล้ว ต่อให้เจ้ายังไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม แต่เจ้าก็มีเจตนารมณ์ที่จะทำเช่นนั้น  แต่หากเจ้าไม่มีเจตนารมณ์เช่นนั้น นั่นก็ดีเลยทีเดียว  การเข้าไปมีส่วนร่วมในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในฐานะพลเมืองคนหนึ่งนับว่าเป็นการเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่?  หากระบบของประเทศหนึ่งมีพื้นฐานอยู่บนอิสรภาพและประชาธิปไตย อีกทั้งพลเมืองทั้งหลายก็มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง การลงคะแนนเสียงสำหรับผู้สมัครคนนี้คนนั้นนับเป็นการเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมืองหรือไม่?  (ไม่ นั่นไม่นับ)  นั่นไม่นับ นี่เป็นนโยบายและระบบของประเทศนั้นที่ผู้คนมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง  นี่ไม่นับเป็นการเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมือง  เจ้าแค่กำลังแสดงการเลือกชอบส่วนบุคคลโดยการเลือกสรรบุคคลบางคน แต่เจ้าไม่ได้กำลังเกี่ยวข้องในการดิ้นรนเพื่ออำนาจทางการเมืองของพวกเขา  ไม่มีกิจกรรมทางการเมืองใดเลยที่เกี่ยวพันกับเจ้า เจ้าเพียงกำลังลงคะแนนเสียงสำหรับคนนี้คนนั้นในฐานะพลเมืองของประเทศนั้นเท่านั้นเอง  การกระทำนี้ก็แค่เป็นการที่เจ้าใช้สิทธิของพลเมืองแบบตรงไปตรงมา และไม่ใช่รูปแบบหนึ่งของพฤติกรรมหรือกิจกรรมทางการเมือง

ในแง่ที่ว่าการเมืองคืออะไร หัวเรื่องนี้ได้ถูกสามัคคีธรรมไปแล้วไม่มากก็น้อย ดังนั้นก็ควรชัดเจนพอสมควรว่าจะอยู่ห่างจากการเมืองอย่างไร  เจ้าอยู่ห่างจากการเมืองอย่างไรหรือ?  ก่อนอื่น พวกเราจงมาพูดคุยเกี่ยวกับวิธีที่จะอยู่ห่างจากการเมืองกัน แล้วจากนั้นพวกเราก็จะเสวนากันว่าเหตุใดพวกเราต้องทำเช่นนั้น  พวกเราเพิ่งเสวนากันไปว่าการเมืองคืออะไร  การเมืองคืออะไร?  อย่างแรกสุดเลยก็คือ การเมืองคือการเข้าไปมีส่วนร่วมในการดิ้นรนเพื่ออำนาจ—นี่เทียบเท่ากับการเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมือง  พวกเราทุกคนเป็นคนธรรมดา ดังนั้นพวกเราอย่าไปพูดคุยเกี่ยวกับผู้คนอย่างพวกประธานาธิบดี ประธานพรรค หรือพวกที่ครองตำแหน่งในกลุ่มการเมืองแห่งชาติระดับสูงกันเลย  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเรามาพูดคุยเกี่ยวกับบางสิ่งที่ผู้คนธรรมดาสามารถเชื่อมโยงได้ เช่น เลขานุการพรรคสาขาในหน่วยงานรัฐ  เลขานุการพรรคสาขาใช่บุคคลสำคัญทางการเมืองหรือไม่?  การครองตำแหน่งทางพรรคภายในหน่วยงานรัฐทำให้คนคนหนึ่งเป็นบุคคลสำคัญโดดเด่นทางการเมือง  ดังนั้นเจ้าอยู่ห่างจากการเมืองอย่างไร?  การอยู่ห่างหมายความว่าอย่างไร?  (การไม่ผูกพันกับบุคคลสำคัญทางการเมืองเหล่านี้)  การไม่ผูกพันกับพวกเขาหรือ?  แต่เจ้าไม่อาจหลีกเลี่ยงพวกเขาได้จริงในที่ทำงานของเจ้า  หากเจ้าหลีกเลี่ยงพวกเขา พวกเขาอาจจะมาจับผิดเจ้าโดยพูดว่า “ทำไมคุณไม่พูดกับฉัน?  ทำไมคุณหลบหน้าหลบตาฉัน?  คุณไม่ชอบฉันที่เป็นเลขานุการพรรคหรือ?  ถ้าคุณมีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับฉัน นั่นก็แปลว่ากระบวนการความคิดของคุณมีปัญหาไม่ใช่หรือ?  มาคุยกันดีกว่า”  พวกเขาจะต้องการดื่ม “น้ำชา” กับเจ้า  น้ำชานั้นน่ารื่นรมย์หรือไม่?  เจ้ากล้าเข้าร่วมหรือไม่?  ตัวอย่างเช่น เลขานุการพรรคสาขาเข้ามาหาเจ้าและถามว่า “นี่ เสี่ยวจาง คุณทำงานที่นี่มานานเท่าไรแล้ว?”  เจ้าจึงพูดว่า “หลายปีเลย ประมาณห้าปี”  แล้วพวกเขาก็ตอบว่า “คุณดูเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี  คุณเข้าร่วมพรรคหรือยัง?”  เจ้าจะตอบกลับอย่างไร?  อะไรคือคำตอบที่เหมาะควรเพื่อที่จะอยู่ห่างจากการเมือง?  (แค่พูดว่า “ตอนนี้ ฉันไม่ตรงตามเกณฑ์ประเมินที่จะกลายเป็นสมาชิกพรรค”)  นั่นช่างมีปัญญา  คำแถลงนี้จริงแท้หรือไม่?  (ไม่)  อันที่จริงนั่นก็แค่หนทางของการปัดพวกเขาไปให้พ้นตัว  เจ้าคิดว่า “แกมันจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ แกมันมารเฒ่า การที่ฉันเข้าร่วมกับพรรคหรือไม่นั้นสำคัญอะไรกับแกหรือ?  แกต้องการให้ฉันเข้าร่วมพรรค  เอาเถอะ จะว่าไปแล้ว พรรคสำคัญอะไรหรือ?”  นั่นคือสิ่งที่เจ้ากำลังคิดอยู่ แต่เจ้าพูดสิ่งนั้นออกมากับมารเฒ่านั่นไม่ได้  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าจำเป็นต้องทำอากัปกิริยาภายนอกให้ดูสุภาพ  เจ้าพูดว่า “อ๋อ คุณสมาชิกพรรคสูงวัย คุณไม่เข้าใจการดิ้นรนที่คนหนุ่มสาวอย่างพวกเราเผชิญ  พวกเรามีประสบการณ์จำกัดและงานของพวกเราก็ยังไม่เห็นผลลัพธ์ พวกเราจึงยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมพรรค  พรรคมีความศักดิ์สิทธิ์ พวกเราไม่สามารถแค่เข้าร่วมโดยปราศจากเหตุผลที่ดี  ฉันก็พิจารณาแนวคิดเรื่องการเข้าร่วมพรรคมาตลอด…” จงตอบเขาไปแค่สองสามคำ  ในหัวใจเจ้าต้องการเข้าร่วมพรรคหรือไม่?  (ไม่)  ต่อให้พวกเขาเสนอเงื่อนไขที่น่าเลือกให้กับเจ้า และหลังจากเข้าร่วม เจ้าก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งหรือได้ตำแหน่งราชการ เจ้าก็ไม่สนใจ ถูกต้องหรือไม่?  ภาวะพื้นฐานสำหรับการครองตำแหน่งและการมีอาชีพการงานเป็นข้าราชการก็คือการที่เจ้าต้องเข้าร่วมองค์กร เข้าร่วมพรรค หรือใกล้ชิดกับพรรคเสียก่อน  เจ้าจำเป็นต้องเข้าไปใกล้พรรคก่อนที่เจ้าจะสามารถครองตำแหน่งที่มีหรือขยับฐานะขึ้น  เพื่ออยู่ห่างจากการเมือง ขั้นตอนแรกก็คืออยู่ไกลจากพรรคการเมืองทั้งหลาย  คนบางคนอาจพูดว่า “นั่นหมายถึงการอยู่ห่างจากพรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้นใช่หรือไม่?  ไม่ใช่ นั่นหมายถึงการอยู่ห่างจากพรรคทุกประเภท  พรรคเป็นตัวแทนของอะไร?  เป็นตัวแทนของกองกำลังทางการเมือง  กลุ่มหนึ่งกลุ่มซึ่งมีคำแถลงนโยบาย กำหนดแผนงานและเป้าหมายของพรรคเป็นจุดมุ่งหมายของตนนั้นเรียกว่าพรรค  ไม่สำคัญว่าเป็นจุดมุ่งหมายหรือกำหนดแผนงานใดของพรรค เป้าหมายเดียวของพวกเขาก็คือเพื่อสร้างกองกำลัง และเพื่อใช้กำลังบังคับและความแข็งแกร่งของพวกเขาปลุกปล้ำให้ได้มาซึ่งกำลังบังคับและอำนาจที่มากขึ้นในสังเวียนและภูมิทัศน์ทางการเมือง  นี่คือจุดประสงค์แห่งการดำรงอยู่ของพรรคการเมือง  จุดประสงค์แห่งการดำรงอยู่ของพรรคการเมืองไม่ว่าพรรคใดก็ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของประชาชน แต่เพื่อกำลังบังคับและอำนาจ  พูดอีกอย่างได้ว่า นั่นเป็นไปเพื่อเห็นแก่การครองอำนาจและมีกองกำลังหนึ่งเป็นของตัวเอง  เป็นกรณีนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะฉะนั้น ขั้นตอนแรกของการอยู่ห่างจากการเมืองก็คือการไม่เข้าร่วมพรรคการเมืองใดอย่างเป็นทางการ  คนบางคนอาจถามว่า “แล้วถ้าฉันเคยเป็นสมาชิกพรรคนี่นั่นล่ะ?”  นั่นก็ลำบากยากเย็นนิดหน่อย  หากเจ้าเต็มใจวางมือจากพรรค นั่นย่อมจะเป็นการดีที่สุด และเจ้าก็ตัดสายสัมพันธ์กับพวกเขาอย่างเป็นทางการ  หากเจ้าไม่เต็มใจที่จะวางมือจากพรรคหรือหากเป็นการเดือดร้อนที่จะวางมือ เช่นนั้นเจ้าก็ควรพิจารณาเอาเองว่าจะทำอย่างไร  ไม่ว่าเป็นกรณีใด ไม่ว่าจะอย่างเป็นทางการหรือในจิตวิญญาณ เจ้าก็ควรอยู่ห่างจากประเด็นปัญหาหลักประเด็นแรกที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งก็คือการอยู่ห่างจากพรรคทั้งหลาย  ครั้นเจ้าอยู่ไกลจากพรรคทั้งหลาย เจ้าก็จะกลายเป็นปัจเจกบุคคลซึ่งไม่ขึ้นกับใคร  เจ้าจะไม่ถูกโน้มน้าวโดยกำลังบังคับใดทางการเมือง และเจ้าก็จะไม่ทำงานเพื่อกำลังบังคับใดทางการเมือง  การไม่เข้าร่วมพรรคใดคือเส้นทางเฉพาะพื้นฐานที่สุดที่ควรปฏิบัติเพื่ออยู่ห่างจากการเมือง  นอกจากนั้นแล้ว เมื่อเป็นเรื่องของกำลังบังคับใดทางการเมืองก็ตาม เช่น เลขานุการพรรคสาขา ผู้อำนวยการ หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคลากร หลักธรรมสำหรับการจัดการกับกำลังบังคับเหล่านั้นก็คือรักษาระยะห่างของเจ้า  ตัวอย่างเช่น หากเลขานุการพรรคสาขาพูดกับเจ้าว่า “เสี่ยวจาง คุณพอมีเวลาสักครู่ไหม?  เลิกงานแล้วพวกเราไปรับประทานมื้อค่ำด้วยกันนะ  พรุ่งนี้ก็สุดสัปดาห์แล้ว พวกเราไปเล่นบาสเก็ตบอลด้วยกันนะ” เจ้าสามารถพูดไปว่า “โอ บังเอิญว่าลูกของฉันป่วยพอดี เขามีไข้เมื่อวาน  เพราะงาน ฉันเลยไม่มีเวลาพาเขาไปหาหมอ  ฉันจำเป็นต้องพาเขาไปโรงพยาบาลพรุ่งนี้”  ในโอกาสอื่น เลขานุการพูดว่า “เสี่ยวจาง พวกเราคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันไปสักพักแล้ว  พวกเรามาเปิดใจกันสักนิดหน่อย คุณว่ายังไง?”  จุดมุ่งหมายของเขาคืออะไร?  เขาต้องการปั้นเจ้าให้เป็นตัวตายตัวแทนของเขา  หากเจ้ายังคิดไม่ออก เจ้าก็จำเป็นต้องใคร่ครวญถึงสิ่งที่เขาเจตนาจะทำจริงๆ  หากเจ้าคิดออกแล้ว เจ้าก็จำเป็นต้องเร่งรีบและหลบลี้จากพวกเขาพลางพูดว่า “โอ เมื่อวานนี้แม่ของฉันพูดว่าท่านรู้สึกไม่ค่อยดีและต้องการให้ฉันพาท่านไปโรงพยาบาล  บังเอิญโชคไม่ดีเลยใช่ไหม?”  เจ้าผลักเขาออกห่างครั้งแล้วครั้งเล่า และเมื่อเลขานุการเห็นแบบนี้ เขาก็จะคิดว่า “ทุกครั้งที่ฉันเชิญเขา ก็บังเอิญเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ทุกครั้งที่ฉันเข้าไปใกล้เขา บางสิ่งก็เกิดขึ้น เขาไม่รู้จักการซาบซึ้งในความเอื้อเฟื้อ ฉันจะไปหาคนอื่นก็แล้วกัน!”  เขาสามารถมองหาใครก็ตามที่เขาต้องการ แต่ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็จะไม่เข้าไปใกล้เขา  โดยปกติแล้ว เจ้าค่อนข้างเป็นมิตรกับเขา แต่เมื่อเขาต้องการปั้นและส่งเสริมเจ้า เจ้าจงหาข้อแก้ตัวเพื่อหลีกเลี่ยงเขา และเจ้าจงอย่ามีความกระตือรือร้น ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เขาจับได้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร  ในข้อเท็จจริงนั้น เจ้ารู้อย่างชัดเจนในหัวใจราวกับกระจกใสว่า “ฉันไม่ต้องการใกล้ชิดแก เจ้ามาร!  ฉันมีพระเจ้าอยู่ในหัวใจ พระเจ้าตรัสบอกให้ฉันอยู่ห่างจากการเมือง  แกเป็นบุคคลทางการเมือง และฉันก็จะอยู่ห่างจากแก  แกต้องการส่งเสริมฉันไปสู่ตำแหน่งราชการ และใช้พรสวรรค์ของฉันรับใช้แก แต่ฉันจะไม่ให้โอกาสแกแม้แต่ครั้งเดียว!  ต่อให้ฉันแค่กำลังกวาดพื้นหรือเอาขยะไปทิ้งอยู่ในสถานที่ราชการนี้ ฉันก็จะไม่เป็นข้าราชการ!  ฉันก็แค่หาเงินได้มากพอที่จะเกื้อหนุนตัวเอง ฉันจะไม่รับใช้พวกแก!”  แต่ในความเป็นจริง เจ้าต้องพูดอย่างนี้แทน “พวกคุณที่เป็นผู้นำมีชาติอยู่ในหัวใจ พวกคุณรับมือกับกิจธุระนับไม่ถ้วน และรับใช้ประชาชน ดูแลสามัญชน!  พวกเราประชาชนธรรมดามีความตระหนักรู้เล็กน้อย และใส่ใจเกี่ยวกับปากท้องของพวกเราเท่านั้น พวกเราอยู่คนละระดับกัน และพวกเราก็ไม่สามารถทำในสิ่งที่ผู้นำอย่างพวกคุณทำได้”  เจ้าทำตัวโง่ทึ่มต่อหน้าเขาเสมอ เพื่อไม่ให้เขาสามารถนึกได้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่  ต่อให้เจ้ามีพรสวรรค์ เจ้าก็อย่าแสดงพรสวรรค์เหล่านั้นออกมา  เฉพาะชั่วขณะอันวิกฤติเท่านั้น เจ้าจึงแสดงพรสวรรค์เหล่านั้นออกมาเล็กน้อย และเขาเห็นว่าเจ้ามีพรสวรรค์จริงๆ  โดยปกติแล้ว เจ้าจงทำข้อผิดพลาดเล็กน้อยสักสองสามอย่างเพื่อให้เขาคิดว่าเจ้าไม่ได้มีความสามารถไปเสียทุกอย่าง แต่เขาก็ยังคงขาดเจ้าไม่ได้ในที่ทำงาน  นี่เรียกว่าปัญญา  เจ้าเล่นกับมาร ใช้ประโยชน์เขาเพื่อทำงานปรนนิบัติ และหารายได้จากเงินของเขา แต่เจ้าจงอย่าเข้าไปใกล้เขา และจงดูหมิ่นเขาในหัวใจของเจ้า นั่นถูกต้องใช่หรือไม่?  นี่คือความหมายของการไม่เข้าไปใกล้  เจ้าทำได้หรือไม่?  (ได้)  ตอนเที่ยง ผู้นำคนนั้นก็ขับรถยนต์ซีดานและมองหาร้านอาหารที่ขึ้นชื่อในทุกหนแห่งเพื่อที่จะหาอะไรกิน  เขาโทรศัพท์หาเจ้า “เสี่ยวจาง ออกไปกินอะไรข้างนอกกันเถอะ คุณอยากกินอะไรล่ะวันนี้?”  เจ้าจงพูดว่า “ฉันไม่ได้กินผัดหมี่ซั่วมาหลายวันแล้ว และฉันก็ไม่ได้กินหมั่นโถวมานานแล้ว นั่นแหละที่ฉันอยากกิน  ฉันกำลังจะกลับไปกินมื้อเที่ยงที่บ้าน คุณอยากได้บ้างไหม?”  เจ้าจงตอบเขาแบบนี้ และพอเขาได้ยิน เขาก็พูดว่า “กินอะไรนะ?  นั่นมันเศษอาหารเลี้ยงหมู ผู้คนไม่กินของแบบนั้นกันหรอก!”  เขาไม่ต้องการรับประทานสิ่งใดที่เจ้าบอกเขา และเขาก็คิดในใจว่า “คนคนนี้เป็นเหมือนที่พวกเขาพูดไม่มีผิด—เขาผู้ที่เกิดมาโง่เขลานั้นไม่อาจเยียวยา  ทุกวันนี้ใครกันที่กินหมั่นโถวกับผัดหมี่ซั่ว?  ข้าราชการกินดีกว่านั้นเยอะ!”  ข้าราชการเหล่านี้ไปร้านอาหารและใช้จ่ายเงินทุนของประชาชน พวกเขาสุขสำราญกับความรุ่งโรจน์และความเลิศหรูของการเป็นข้าราชการ และกินเฉพาะอาหารหรูเท่านั้น มื้อเดียวราคาเกินหนึ่งพันหยวน  พวกเขากินสมองลิงและหนังเม่นแคระ  อสูรและมารพวกนี้กินอะไรก็ได้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาไม่สามารถกินและดื่มได้  เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ?  “ฉันจะไม่มีส่วนร่วมกับบาปของพวกแก ฉันจะอยู่ห่างจากพวกแกเสมอ พวกแกเป็นเชื้อสายของมาร พวกแกเป็นตัวซวยที่กินเนื้อหนังมนุษย์และดื่มเลือดมนุษย์!  ฉันจะกลับไปกินผัดหมี่ซั่วกับหมั่นโถวเสียยังดีกว่าสุขสำราญไปกับวิถีชีวิตอันฟุ้งเฟ้อของพวกแก  ต่อให้ฉันจำเป็นต้องกินอาหารปันส่วนหยาบๆ ฉันก็ยังคงจะไม่เข้าไปใกล้แกไม่ว่าตรงไหน ฉันจะไม่ถูกความเลวของแกจับเป็นเชลย หรือมีส่วนร่วมใดในบาปของแก  การกินเนื้อหนังมนุษย์และการดื่มเลือดมนุษย์เป็นสิ่งที่พวกมารทำกัน ไม่ใช่มนุษย์  จุดจบในท้ายที่สุดจะเป็นอะไร?  แกจะไปนรกและเผชิญการลงโทษอย่างแน่นอน!  ฉันยอมโอนอ่อนและประนีประนอม อีกทั้งทำมาหากินอยู่ภายใต้อำนาจของแก แต่เป้าหมายของฉันก็เพื่อค้ำชูความเป็นอยู่ของตัวเอง ติดตามพระเจ้า และทำหน้าที่ของตัวเอง  ฉันไม่ได้กำลังพยายามเพื่อได้รับการเลื่อนตำแหน่งหรือไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ฉันชังแกจากก้นบึ้งของหัวใจ!”  ดังนั้นไม่ว่าผู้นำคนนั้นหว่านล้อมเจ้าให้ชื่นชมยินดีกับอาหารมื้อใหญ่อย่างไรก็ตาม เจ้าก็ไม่ไป  ตลอดสุดสัปดาห์นั้น หากพวกเขาชวนเจ้าไปร้องคาราโอเกะ มีสาวงามรายล้อม และดื่มไวน์ชั้นดี หากพวกเขาชวนเจ้าไปโรงน้ำชาเพื่อการผ่อนคลายและความบันเทิง หรือดูการแสดงศิลปะข้ามเพศ เจ้าจะไปหรือไม่ไป?  หากเจ้าต้องการเข้าไปใกล้องค์กรหรือพรรค เช่นนั้นเจ้าก็จำเป็นต้องไปสถานที่เหล่านี้  แต่หากชั่วขณะแบบนี้ เจ้าพูดว่า “ฉันปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ฉันอยู่ห่างจากการเมือง ฉันจะไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในสิ่งใดๆ เหล่านี้ ฉันจะไม่มีส่วนร่วมในบาปของพวกเขา”  วันต่อมา เมื่อพวกเขาชุมนุมกัน พวกเขาก็คุยกันว่านางสาวคนนี้คนนั้นสวยขนาดไหน เธอเป็นดาวเด่นแค่ไหน เธอมีพรสวรรค์เพียงใดในการร้องเพลง ไวน์ฝรั่งเศสจากบางยุคมีรสอร่อยเพียงใด จะไปหาความบันเทิงได้ที่ไหน จะไปแช่น้ำอุ่นได้ที่ไหน…  พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้—เจ้าอิจฉาพวกเขาหรือไม่?  เจ้าริษยาหรือไม่?  เจ้าต้องสวมหูฟัง อุดหู จงอย่าฟังการกล่าวคำพูดเยี่ยงมารของมารพวกนี้ อยู่ห่างพวกเขา สงบใจไว้ จงอย่ามีส่วนร่วมในบาปของพวกคนบาป อยู่ห่างจากชีวิตอันโสมมของพวกเขา และอย่าถูกความเลวของพวกเขาจับเป็นเชลย  จุดประสงค์ของเจ้าก็เพื่ออยู่ห่างจากการเมือง  พวกที่แสวงหาความก้าวหน้า ผู้ที่ต้องการเข้าไปใกล้องค์กร และปรารถนาที่จะได้รับการส่งเสริม อันที่จริงแล้ว จุดประสงค์ของพวกเขาในการดำเนินชีวิตเช่นนั้นก็คือเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมือง เพื่อเดินตรงเข้าไปสู่การเมืองพร้อมด้วยจุดมุ่งหมายของการได้มาซึ่งตำแหน่งในวงการการเมือง และดำเนินชีวิตที่เป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่อสูรก็ไม่เชิง  อย่างไรก็ตาม เจ้าอยู่ตรงข้ามกับพวกเขาพอดี  เจ้าต้องอยู่ห่างจากชีวิตอันโสมมเช่นนั้น  จุดประสงค์ของการอยู่ห่างจากชีวิตประเภทนี้ก็เพื่อไม่ให้อยากได้อยากมีหรือใส่ใจเกี่ยวกับโอกาสใดในอนาคตทางการเมือง  อนาคตของเจ้าก็คือการไล่ตามเสาะหาความจริงและบรรลุความรอด  เพราะฉะนั้นเจ้าควรชัดเจนในหัวใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ากำลังทำอยู่ตอนนี้นั้นเปี่ยมความหมายและมีคุณค่า  เป็นไปเพื่อการไล่ตามเสาะหาความจริง เพื่อเห็นแก่การบรรลุความรอด  นั่นไม่ใช่การพลีอุทิศที่ไร้ความหมาย และเจ้าก็ไม่ได้กำลังปฏิบัติตนในแบบสมัยนิยม  ยิ่งไปกว่านั้นคือเจ้าไม่ได้อยู่ลำพัง  ดังนั้นอันที่จริงแล้ว จุดประสงค์สูงสุดของการอยู่ห่างจากชีวิตที่เปี่ยมบาปเหล่านี้ก็คือเพื่อแยกตัวเจ้าออกจากผู้คนเหล่านี้ เพื่อแยกตัวเจ้าออกจากสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าการเมือง  นี่คือหลักธรรมข้อที่สองของการอยู่ห่างจากการเมือง—จงไม่เข้าไปใกล้

การไม่เข้าไปใกล้พวกนักการเมืองคือขั้นต่ำสุดที่ควรทำ และที่นอกเหนือจากนั้นก็คือการไม่เข้าไปมีส่วนร่วม  ตัวอย่างเช่น หากมีโอกาสที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าส่วน ผู้อำนวยการ หรือหัวหน้าสำนักงาน ทุกคนกระหายเร่งร้อนที่จะอวดตัวเอง ปรับปรุงผลการปฏิบัติงานของตน ให้ของกำนัลผู้นำ ใช้เส้นสาย คิดหาลู่ทาง และพยายามทุกวิถีทางที่จะให้พวกหัวหน้าและผู้บังคับบัญชาได้มองเห็นพรสวรรค์ ความสามารถ และคุณค่าของตน และแม้กระทั่งคุณค่าที่ให้ใช้ประโยชน์ได้ของตน  พวกเขาค่อนข้างเป็นพวกยกยอปอปั้น ค่อนข้างเคล้าแข้งเคล้าขาพวกหัวหน้าและผู้บังคับบัญชา และทำสิ่งใดก็ตามที่คนพวกนั้นสั่งให้ทำ ต่อให้พวกเขาไม่ต้องการทำก็ตาม  บางคนให้เงิน บ้างก็ถึงกับเสนอร่างกายเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในการดิ้นรนทางการเมือง ในการดิ้นรนเหล่านี้ คนบางคนร่วมเครือข่ายกับพวกหัวหน้า คนอื่นๆ ก็ให้เงินและของกำนัลมากมายแก่พวกหัวหน้า และบางคนก็เสนอร่างกายของตัวเองให้กับพวกหัวหน้าโดยมีเป้าหมายสูงสุดเป็นการได้รับการเลื่อนตำแหน่งหรือมีหัวหน้าพวกนี้เป็นพี่เลี้ยง รวมทั้งการได้เดินบนเส้นทางการเมือง  ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า หากเจ้ารู้ว่าการปฏิบัติเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมือง เช่นนั้นเจ้าก็ควรอยู่ห่าง  ก่อนอื่นเลยก็คือ จงอย่าให้ของกำนัลหรือร่วมเครือข่ายเพื่อเห็นแก่ตำแหน่งข้าราชการหรือโอกาสในอนาคตทางการเมืองของตัวเจ้าเอง  รวมทั้งจงอย่าแข็งขันเผยจุดแข็งของเจ้าให้พวกหัวหน้ารู้ด้วยเช่นกัน และที่แน่ๆ ก็คือ จงอย่าแข่งขันอย่างออกนอกหน้าแต่อย่างใดให้เป็นที่สังเกตเห็นของคนพวกนั้น  ให้คนอื่นแข่งขันกันไปโดยไม่มีเจ้า  ทุกครั้งที่เจ้านายเสนอชื่อเจ้า จงพูดว่า “งานนี้ฉันว่าจะขอผ่าน ฉันไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ”  เจ้าเพียงจำเป็นต้องพูดว่าเจ้าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอและให้คนอื่นทำไปเลย มีคนมากมายที่จะเสนอตัวเข้าแข่งขัน  เมื่อเจ้านายพูดว่า “เสี่ยวจาง คราวนี้ตาคุณนะ” จงพูดไปว่า “ฉันยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอเลยนาย กรุณายกโทษให้ฉันด้วย  ฉันไร้ความสามารถ  ให้เสี่ยวลี่ไปก่อนเถอะ และถ้าเสี่ยวลี่ไม่มีความสามารถ ก็ให้เสี่ยวหวางไปก็แล้วกัน  ให้พวกเขาทำไปเถอะ”  เจ้านายก็จะพูดว่า “คุณโง่หรือเปล่า?  ถ้าพวกนั้นได้ตำแหน่งไป คุณจะไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลยนะ คุณจะไม่ได้บ้าน หรือเงินพิเศษหรือการขึ้นเงินเดือนใดๆ”  เช่นนั้นเจ้าจงพูดว่า “ถ้าฉันไม่ได้อะไร เช่นนั้นก็คือไม่ได้  ฉันมีพอกินและมีเงินพอใช้ ดังนั้นขอให้นายวางใจได้  หากนายยังคงไม่มั่นใจ ก็ให้โบนัสฉันเล็กน้อยสิ้นปีนี้ก็พอ”  จงอย่าเข้าไปมีส่วนร่วมในการดิ้นรนของพวกเขา  ใครก็ตามที่ต้องการแข่งขัน ก็ปล่อยให้พวกเขาทำไป  เจ้าจงอย่าอาศัยวิถีทางใด หมดเปลืองพลังงานใด หรือจ่ายราคาใด  เจ้าจงอย่าใช้จ่ายสักสตางค์ พูดสักคำ ทำสิ่งใดพิเศษ หรือไปไกลขึ้นสักไมล์เพื่อการเลื่อนตำแหน่ง  ต่อให้เจ้ามีภาวะ เส้นสาย และมีผู้คนเป็นฐานที่เหมาะสม เจ้าก็จงยังคงไม่เข้าไปมีส่วนร่วม  นี่เรียกว่าการปล่อยมืออย่างแท้จริง การอยู่ห่างอย่างแท้จริง  ผู้คนทางโลกเหล่านั้นมองเจ้าด้วยความเวทนาตลอดมาและเอาแต่พูดว่า “เธอมันโง่ เธอคิดอะไรง่ายๆ!”  แต่เจ้าจงพูดว่า “พูดอะไรก็ได้เกี่ยวกับฉันตามแต่คุณต้องการ ยังไงฉันก็ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ดี”  ผู้คนถามว่า “ทำไมคุณถึงจะไม่เข้าไปมีส่วนร่วม?”  เจ้าจงพูดว่า “ฉันหาเงินได้มากพอใช้จ่าย  ฉันไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ  พวกคุณทุกคนดีกว่าฉัน ดังนั้นพวกคุณก็ไปกันเถอะ”  เจ้าสามารถละเว้นไม่เข้าไปมีส่วนร่วมได้หรือไม่?  (ได้)  แน่นอนว่า หากเจ้ามีโอกาสที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าส่วนหรือรองผู้อำนวยการ เจ้าสามารถปฏิเสธได้ แต่หากเจ้าถูกเสนอตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานหรือผู้ว่าราชการจังหวัดให้ เจ้าทำแบบเดียวกันได้หรือไม่?  นั่นอาจไม่ง่าย ตำแหน่งยิ่งสูงก็ยิ่งยั่วใจ และยิ่งตำแหน่งนั้นมีสิทธิอำนาจมากขึ้นเท่าไร การทดลองก็ยิ่งใหญ่หลวงขึ้นเท่านั้น เพราะเมื่อเจ้ามีสิทธิอำนาจมากขึ้น เจ้าจะได้รับการปฏิบัติที่ดีขึ้น คำพูดของเจ้ากลายเป็นมีอิทธิพลมากขึ้น และความสุขสำราญทางกายของเจ้าก็เติบโตขึ้น  เจ้าดูเถิด นายกเทศมนตรี ผู้ว่าราชการ และประธานาธิบดีล้วนมีบ้านพักข้าราชการของตัวเอง  ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นการออกไปข้างนอกหรืออยู่ที่บ้านก็อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐ  เพราะฉะนั้นยิ่งเจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับชนชั้นสูงมากขึ้นเท่าไร การทดลองที่พวกเขามีต่อเจ้าก็จะกลายเป็นมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งเจ้ามีโอกาสมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขามากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งยากที่จะตัดใจจากโอกาสเหล่านี้มากขึ้นเท่านั้น  เพื่อหลีกเลี่ยงการทดลอง เจ้าจงทำงานที่ระดับรากหญ้า ไม่ย่างเท้าเข้าไปในวงการชนชั้นสูง  เจ้าจงละเว้นจากการก้าวเข้าไปในวงการเหล่านี้ไม่ว่าด้วยเท้าข้างใด  นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการอยู่ห่าง  ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าพูดหรือทำที่เกี่ยวข้องกับการเมือง  ทั้งหมดเป็นเรื่องของการอยู่ห่างจากสิ่งเหล่านี้  ใครก็ตามประสบความสำเร็จได้รับการเลือกตั้งให้เป็นข้าราชการระดับสูงในการประกวดเฉพาะแต่ละด้าน ใครก็ตามที่มาครองอำนาจยิ่งใหญ่ เจ้าจงอย่าอิจฉาพวกเขา เจ้าจงอย่าเจ็บปวด และเจ้าจงอย่าเสียดาย เพราะในอีกการทดลองหนึ่งหรือในสภาพการณ์หนึ่งที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงนั้น เจ้าได้ปฏิบัติหลักธรรมแห่งการอยู่ห่างจากการเมืองตามที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์แล้ว  เจ้าได้สนองข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าแล้ว และต่อหน้าซาตาน เจ้ามีชัยเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าคือผู้ชนะคนหนึ่งและพระเจ้าทรงเห็นชอบในตัวเจ้า  บางคนพูดว่า “หากพระเจ้าทรงเห็นชอบในตัวฉัน พระองค์จะทรงทำให้เงินเดือนของฉันขยับขึ้นสักเล็กน้อยหรือไม่?”  ไม่ การเห็นชอบและการยอมรับที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้าในฐานะผู้ชนะนั้นหมายความว่า เจ้าเข้าใกล้ความรอดไปอีกก้าว และพระเจ้าทอดพระเนตรมาที่เจ้าด้วยความโปรดปรานมากขึ้นทุกที—นี่เป็นเกียรติอันใหญ่หลวง  เป็นการง่ายหรือไม่ที่จะละเว้นจากการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจธุระทางการเมือง?  ใครก็ตามที่สุขสำราญกับการแข่งขันก็ปล่อยให้พวกเขาแข่งขันไป  ใครก็ตามที่ชอบพูดจาสนับสนุนกิจธุระเช่นนั้นก็ปล่อยพวกเขาทำไป  ใครก็ตามรักที่จะเอาตัวเองไปยุ่งวุ่นวายกับคนเหล่านั้นก็ปล่อยพวกเขายุ่งไป  ไม่ว่าจะเป็นในกรณีใดก็ตาม เจ้าจงอย่าใส่ใจและไม่ต้องเอาตัวไปยุ่งกับสิ่งเหล่านี้ เพราะเจ้าไม่ได้กำลังแสวงหาความก้าวหน้า และเจ้าก็ไม่มีเป้าหมายต่ออาชีพการงานทางการเมือง  นี่คือหลักธรรมข้อที่สามแห่งการอยู่ห่างจากการเมือง—การไม่เข้าไปมีส่วนร่วม

หลักธรรมข้อที่สี่แห่งการอยู่ห่างจากการเมืองก็คือการไม่เลือกข้าง  “การเลือกข้าง” เป็นศัพท์แสงประเภทหนึ่งที่ผู้คนทางการเมืองใช้กัน และการเลือกข้างเป็นปรากฏการณ์ทั่วไปในโลกการเมือง  เมื่อเจ้าเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมือง เจ้าต้องชัดเจนในจุดยืนของตัวเองว่าเจ้ายืนข้างพรรค ก หรือพรรค ข  ทันทีที่เจ้าไปเกี่ยวข้องในการเมือง เจ้าก็จำเป็นต้องเลือกข้าง  หากเจ้าไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเลือกข้าง หรือเจ้าสามารถพูดได้ว่าเจ้าไม่เลือกข้าง  หากเจ้าคงความเป็นกลางและไม่ให้ความสนใจต่อกรณีพิพาทของพวกเขาหรือต่อเหตุผลที่สองฝ่ายกำลังต่อสู้กันอยู่ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ได้กำลังเลือกข้าง  ไม่ว่าเจ้าเกื้อหนุนพรรค ก หรือ พรรค ข ก็ไม่มีผลลัพธ์หรือคำตอบจากเจ้า  เจ้าพูดว่า “ฉันไม่ยืนอยู่ข้างไหนเลย ฉันงดออกเสียง  ฉันมีสัมพันธภาพที่ดีกับทั้ง ก และ ข แต่ฉันไม่เข้าไปใกล้ใครเลยในหมู่พวกเขา  ฉันไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในการต่อสู้ใดๆ ของพวกเขา”  ผู้คนเหล่านี้งุนงงสงสัย จะว่าไปแล้วคุณอยู่พรรค ก หรือ พรรค ข?  พวกเขาพยายามที่จะชนะใจเจ้าเสมอ แต่ก็ไม่มีใครทำได้  ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือพวกเขาเข้าใจว่าเจ้าไม่เลือกข้างกับพรรคใด  ในที่สุด ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของเจ้าก็พูดว่า  “คุณเป็นเพื่อนร่วมงานที่ปลิ้นปล้อน ทำไมคุณไม่สนับสนุนฉันตอนที่ฉันกำลังวิกฤติ?”  เจ้าจงพูดว่า “นาย ฉันไม่กล้าใฝ่สูงที่จะได้รับเกียรติขนาดนั้น ฉันไม่มีเชาว์ปัญญาที่ลึกซึ้งแบบนั้น และฉันก็ไม่ได้มีสมรรถภาพมากนักในการงานของฉัน ฉันเกรงจะทำให้นายผิดหวัง  นายได้โปรดยกเว้นฉันเถิด ฉันก็แค่คนไม่สำคัญซึ่งก้มเก็บเหรียญที่ทำหล่น ฉันเป็นแค่คนธรรมดา ฉันไม่กล้าเลือกข้างหรอก  ขอความเมตตาปล่อยฉันไป คราวหน้าฉันจะสนับสนุนนายแน่นอน”  ในความเป็นจริง เจ้ากำลังปัดเป่าเขาไปให้พ้น  เจ้าไม่ได้ล่วงเกินเขา และเขาก็ทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้  พวกเขาสามารถต่อสู้และโต้เถียงกันอย่างไรก็ได้ตามแต่พวกเขาต้องการ นั่นไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าเป็นคนนอก  เหตุใดเราจึงพูดว่าเจ้าเป็นคนนอก?  เจ้าไม่ได้กำลังไล่ตามไขว่คว้าอาชีพการงานทางราชการ วงการข้าราชการ การขึ้นไปสู่ความโดดเด่น การนำพาสง่าราศีมาสู่บรรพบุรุษของเจ้า หรือการก้าวเข้าสู่วงการเมือง  เจ้าไม่ได้กำลังไล่ตามไขว่คว้าโอกาสในอนาคตทางการเมือง เป้าหมายของเจ้าคือเพื่ออยู่ห่างจากอาชีพการงานทางราชการและจากบุคคลสำคัญทางการเมืองเหล่านี้  ดังนั้นเจ้าจึงจงใจที่จะไม่เลือกข้าง ไม่เลือกพรรค ก หรือ พรรค ข และใครอยู่ฝ่ายใดก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า  เมื่อใดก็ตามที่ใครบางคนพยายามเกลี้ยกล่อมเจ้า เจ้าก็แค่หัวเราะปัดไปและทำท่าไม่รู้เรื่องรู้ราวพูดไปว่า “ฉันไม่รู้ว่าใครคือคนที่ใช่ พวกคุณทุกคนเป็นเพื่อนที่ดีของฉัน ไม่ว่าใครชนะ ฉันย่อมจะดีใจ”  พวกเขาพูดว่า “คุณเป็นเพื่อนที่ปลิ้นปล้อนจริงๆ”  และเจ้าก็พูดว่า “ฉันไม่ได้ปลิ้นปล้อน ฉันแค่โง่เขลา พวกคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญ!”  เจ้าแสร้งทำเป็นสับสนกับพวกเขา  เป็นอะไรไหมหากไม่เลือกข้าง?  จงอย่าไร้เดียงสา อย่าคล้อยตามพวกที่พยายามใช้ประโยชน์จากเจ้า  ไม่ว่าที่การเมืองระดับไหน น้ำก็ขุ่นเป็นโคลนเสมอ—เจ้าไม่สามารถมองเห็นก้นบึ้ง นี่ไม่เหมือนกับน้ำพุใสแจ๋วที่เจ้าสามารถมองเห็นก้นบึ้งได้ นี่คือน้ำโคลน ปลักตม  หากหัวหน้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี เจ้าก็จะเข้าไปใกล้เขาและอยู่ฝ่ายเขา แต่เจ้าไม่รู้ว่าการนี้จะนำพาสิ่งดีๆ หรือสิ่งที่แย่มาสู่เจ้า  เจ้าไม่อาจรู้ได้ว่าอนาคตของเขาจะเป็นอย่างไร ว่าเขาจะจบลงในโซ่ตรวนหรือขึ้นไปโดดเด่น  ผู้คนพวกนั้นล้วนเป็นจระเข้ในหนองน้ำ มีตัวใหญ่และตัวเล็ก  ในฐานะของบุคคลที่ไม่สำคัญคนหนึ่ง เจ้าจะไม่สามารถบอกได้ว่าทุกคำที่พวกเขาพูดนั้นเป็นจริงหรือเป็นเท็จ ใครที่พวกเขาปฏิบัติดีด้วยและใครที่พวกเขาไม่ปฏิบัติดีด้วย และอะไรคือจุดประสงค์แห่งการกระทำรายวันของพวกเขา—เจ้าก็แค่บอกไม่ได้เท่านั้นเอง  เพราะฉะนั้นหากเจ้าต้องการคุ้มครองตัวเอง หลักธรรมสูงสุดและตรงไปตรงมาที่สุดคือการไม่เลือกข้าง  หากพวกเขาดีกับเจ้า ก็จงกระตือรือร้นไปกับพวกเขา หากพวกเขาไม่ดีกับเจ้า ก็ยังคงกระตือรือร้นไปกับพวกเขา แต่แค่อย่าเข้าข้างพวกเขา  เมื่อบางสิ่งเกิดขึ้น ก็แค่หัวเราะขำไปและแสร้งทำเป็นสับสน พอพวกเขาถามอะไรเจ้า จงพูดว่าเจ้าไม่รู้ เจ้าไม่ชัดเจน หรือเจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน  เจ้าตอบกลับแบบนี้ได้หรือไม่?  (ได้ ตอนนี้ข้าพระองค์ทำได้แล้ว)  เป็นการเหมาะควรหรือไม่ที่จะนำหลักธรรมเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ในคริสตจักร?  (ไม่เหมาะควร)  เล่ห์เหลี่ยมเหล่านี้เหมาะสมกับสถานที่ซึ่งพวกมารอาศัยอยู่เท่านั้น จงอย่าใช้ท่ามกลางพี่น้องชายหญิง  นี่คือปัญญา  ในสถานที่ที่พวกมารอาศัยอยู่ เจ้าจำเป็นต้องเฉลียวฉลาดเหมือนงู เจ้าโง่เขลาไม่ได้ เจ้าต้องมีปัญญา  ใครก็ตามที่ดึงเจ้าเข้าไปหาพวกเขา จงอย่าไปยืนข้างพวกเขา  ใครก็ตามที่สร้างความขัดแย้งกับเจ้าหรือไม่ชอบเจ้า จงอย่าต่อต้านพวกเขาหรือยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม  จงทำให้พวกเขาเชื่อว่าเจ้าไม่ได้ต่อต้านพวกเขา  สิ่งเหล่านี้ประกอบด้วยปัญญา  จงอย่าแข่งขันกับกองกำลังทางการเมืองใดๆ อย่าเข้าไปใกล้ใครในพวกเขา และอย่าสมคบคิดหรือแสดงให้เห็นเจตจำนงที่ดีอันใดต่อพวกเขา นี่คือปัญญา นี่คือการไม่เลือกข้าง  เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าได้เรียนรู้วิธีทำการนี้แล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  ในเวลาวิกฤติ เจ้าจำเป็นต้องแสร้งหูหนวกและโง่ทึ่ม สติไม่ดีและโง่เขลา แล้วปล่อยให้พวกเขามองเจ้าเป็นคนโง่ที่ไม่รู้ความคนหนึ่ง  หากพวกเขาบอกให้เจ้าทำบางสิ่งก็จงทำ จงยอมรับคำแนะนำของพวกเขาโดยไม่มีคำถาม และปล่อยให้พวกเขาเห็นว่าเจ้าเชื่อฟังขนาดไหน  เชื่อฟังจนถึงขอบเขตไหน?  เหมือนคนสอพลอคนหนึ่งที่รับฟังเสมอไม่เคยพูดสวนกลับเลย ไม่เคยตั้งคำถามเกี่ยวกับข่าวของเจ้านาย หรือเกี่ยวกับข้อมูลเรื่องนั้นเรื่องนี้—จงเชื่อฟังเป็นพิเศษ  แต่เจ้าไม่ควรเผยความคิดที่แท้จริงของเจ้าให้พวกเขารู้ ทันทีที่เจ้าเผยความคิดและเจตนารมณ์ที่แท้จริงของเจ้าออกไป พวกเขาจะลงโทษเจ้าและสอนบทเรียนแก่เจ้า  หากเจ้าไม่ได้อยู่ข้างพวกเขา เจ้าปล่อยให้พวกเขาล่วงรู้ไม่ได้—ต่อให้เจ้าปฏิเสธพวกเขา เจ้าก็ให้พวกเขารู้เข้าไม่ได้  เหตุใดเจ้าจึงควรทำแบบนี้?  เพราะในสายตาของพวกเขา หากเจ้าไม่ใช่เพื่อนของพวกเขา เช่นนั้นเจ้าก็เป็นฝ่ายตรงข้ามกับพวกเขา  ครั้นเจ้ากลายเป็นฝ่ายตรงข้ามในสายตาของพวกเขา เจ้าย่อมจะเป็นคนที่พวกเขามุ่งหมายจะลงโทษ กล่าวคือ พวกเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนหนามยอกอกของพวกเขา หอกข้างแคร่ของพวกเขา และพวกเขาก็จะต้องลงโทษเจ้า  ดังนั้นเจ้าต้องใช้ปัญญาและแสร้งทำเป็นโง่เขลา  จงอย่าอวดแสดงความสามารถของเจ้า หากเจ้าแสดงความคิด มุมมอง จุดยืน หรือท่าทีที่มีต่อสิ่งใด เช่นนั้นเจ้าก็โง่เขลา  เข้าใจแล้วใช่หรือไม่?  (เข้าใจแล้ว)  ต่อหน้าซาตานและพวกมาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าเข้าไปใกล้กลุ่มในโลกการเมือง เจ้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คุ้มครองตัวเอง อย่าคิดว่าตัวเองฉลาดแยบยลหรือแสดงท่าฉลาดเฉลียว จงอย่าเดินอวดตัวเองไปทั่ว จงอย่าพยายามพิสูจน์คุณค่าของตัวเอง—เจ้าต้องทำตัวสงบเสงี่ยม  หากเจ้าต้องการมั่นใจในความอยู่รอดของเจ้าในสภาพแวดล้อมอันซับซ้อนเช่นนั้น และเจ้าก็ต้องการเชื่อในพระเจ้า ทำหน้าที่ของเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริง และบรรลุความรอดด้วยเช่นกัน เช่นนั้นสิ่งแรกที่เจ้าพึงทำคือคุ้มครองตัวเอง  หนทางหนึ่งที่จะคุ้มครองตัวเองก็คือไม่ยั่วยุกองกำลังทางการเมืองใดๆ และไม่กลายเป็นเป้าของการโจมตีและการลงโทษของพวกเขา—นี่คือวิธีที่เจ้าสามารถอยู่อย่างปลอดภัยกว่าเล็กน้อย  หากตลอดเวลาเจ้าไม่ยอมฟังพวกเขา ไม่เชื่อฟังพวกเขา หรือไม่เข้าไปใกล้พวกเขา พวกเขาจะไม่ชอบเจ้าและต้องการลงโทษเจ้า  พูดได้อีกอย่างว่า หากพวกเขาเห็นว่าเจ้ามีพรสวรรค์และมีความสามารถในการทำงาน และหากพวกเขาเห็นว่าเจ้าให้ผลกำไรพวกเขาได้ และเห็นว่าหากเจ้าเข้ารับช่วงต่อจากพวกเขา เจ้าจะไม่เปิดโปงความลับของพวกเขาหรือทำลายความมีหน้ามีตาในอนาคตของพวกเขา เช่นนั้นพวกเขาก็จะต้องการเป็นพี่เลี้ยงให้เจ้า  การที่พวกเขาเป็นพี่เลี้ยงให้เจ้าเป็นสิ่งดีหรือไม่?  (ไม่)  หากพวกเขาจับตามองเจ้าและต้องการเป็นพี่เลี้ยงให้เจ้า เช่นนั้นจงบอกเราที นี่ก็เหมือนกับการถูกวิญญาณชั่วครอบงำไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  หากพวกเขาจับตาดูเจ้า เจ้าย่อมตกอยู่ในความเดือดร้อน  ดังนั้นก่อนที่เจ้าจะอยู่ในสายตาของพวกเขา เจ้าจะให้พวกเขามาชื่นชอบเจ้าไม่ได้ เจ้าจำเป็นต้องแสร้งทำเป็นโง่เขลา ราวกับว่าเจ้าไม่สามารถทำสิ่งใดให้ดีได้อย่างเหลือเชื่อ  จงทำงานแบบพอใช้ได้กับสิ่งต่างๆ โดยมาก  แม้พวกเขาอาจไม่พึงพอใจกับการนี้ แต่พวกเขาก็จะไม่สามารถจับผิดเจ้าได้ หรือหาเหตุผลที่จะกำจัดเจ้าไม่ได้  นั่นเพียงพอแล้วและนั่นย่อมสัมฤทธิ์ผลที่พึงปรารถนา  หากเจ้าทำสิ่งต่างๆ ดีเกินไป หากทุกสิ่งทุกอย่างถูกทำไปอย่างราบรื่นและพวกเขาพึงพอใจในตัวเจ้าเป็นพิเศษและชื่นชมเจ้า นั่นไม่เป็นการดี  ในแง่หนึ่งนั้น พวกเขาจะมองเจ้าเป็นตัวอันตรายต่อวิถีโคจรทางการเมืองของพวกเขา และในอีกแง่ พวกเขาก็อาจต้องการที่จะเป็นพี่เลี้ยงให้เจ้า ซึ่งไม่มีอย่างไหนดีต่อเจ้าเลย  ดังนั้นเพื่อที่จะสถาปนาตัวเจ้าเองขึ้นในสังคมนี้ นอกเหนือจากการหลีกเลี่ยงและการอยู่ห่างจากกองกำลังนานา มีบางสิ่งที่สำคัญมากยิ่งกว่า ซึ่งก็คือการรับมือกับสัมพันธภาพและกิจธุระทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับกองกำลังนานาหรือผู้บังคับบัญชาโดยตรงของเจ้าอย่างมีสมรรถภาพ  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าอวดตัวมากเกินไป หากเจ้าต้องการพิสูจน์ตัวเองมากเกินไป หรือหากเจ้าทำสิ่งต่างๆ โดยปราศจากปัญญา เจ้าอาจตกที่นั่งลำบากซึ่งเจ้าไม่สามารถผลักไสสิ่งใดออกไปได้เลย หรือจำเป็นต้องทำในสิ่งที่เจ้าไม่ต้องการทำ  เรื่องนี้ทำอะไรไม่ได้เลยใช่หรือไม่?  เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ลำบากยากเย็นที่จะเผชิญให้ผ่านไป  เจ้าจำเป็นต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่เป็นนิจ สงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระองค์ ปล่อยให้พระเจ้าทรงนำเจ้า ประทานปัญญาให้เจ้า ประทานคำพูดให้เจ้าพูด ทรงนำในสิ่งที่เจ้าควรทำ และทรงช่วยให้เจ้ารู้วิธีที่จะเผชิญสถานการณ์นั้นจนผ่านไปได้ เพื่อให้เจ้าสามารถคุ้มครองตัวเองและได้รับการพิทักษ์โดยพระเจ้าในวงการอันซับซ้อนเช่นนั้น  เฉพาะเมื่อเจ้าได้รับการทรงพิทักษ์ของพระเจ้าและสามารถคุ้มครองตัวเองได้แล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถมีภาวะพื้นฐานที่จะสงบนิ่งอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ไตร่ตรองพระวจนะเหล่านั้น และไล่ตามเสาะหาความจริงได้  เจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  (ข้าพระองค์เข้าใจ)  นี่คือหลักธรรมแห่งการไม่เลือกข้าง

มีหลักธรรมอีกข้อหนึ่งของการอยู่ห่างจากการเมือง นั่นก็คือการไม่ทำให้ผู้ใดรู้จุดยืนของตน  ไม่ว่าจะเกี่ยวกับมุมมอง ท่าที หรือกระแสนิยมทางการเมือง หรือเจตนารมณ์และจุดประสงค์ของพวกผู้นำ การแสดงออกของพวกเขา ความคิดของพวกเขา หรือว่าพวกเขาถูกหรือผิด เจ้าไม่ควรทำให้ผู้ใดรู้จุดยืนของตน  เมื่อเจ้านายถามเจ้า “คุณเห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันพูดหรือไม่?  จุดยืนของคุณคืออะไร?”  เจ้าจงพูดไปว่า “นายพูดอะไรไปนะ?  หูฉันไม่ดี ฉันไม่ได้ยินที่นายพูดเลย”  เจ้านายโกรธเมื่อได้ยินเช่นนี้และหยุดคุยกับเจ้า  เจ้าคิดในใจว่า “เยี่ยมเลย ยังไงฉันก็ไม่ได้อยากพูดอะไรอยู่แล้ว!”  เจ้าควรแสร้งทำเป็นหูหนวกและโง่ทึ่ม และเจ้าก็ไม่ควรทำให้ผู้ใดรู้จุดยืนของตนหรือแสดงให้เห็นว่าเจ้าฉลาดเฉลียวอย่างไรอยู่ตลอดเวลาโดยพูดว่า “นาย ฉันมีข้อคิดเห็นบางอย่าง ฉันมีแนวคิดบางอย่าง”  หากเจ้ายกมือและแสดงจุดยืนเสมอ นั่นโง่เขลาแน่  เจ้าไม่ควรพูดขึ้นมาในเวลาที่เจ้ามีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเจ้านาย และยามที่เจ้ามีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับผู้ร่วมงานคนนี้คนนั้น หรือเห็นเจ้านายของเจ้าทำบางสิ่งที่ผิด ก็จงอย่าส่งเสียงไป  ทีนี้ถ้าหากหัวหน้าถามเจ้าเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ เจ้าพูดว่าอะไร?  “นายทำงานนี้ได้ยอดเยี่ยม นายอยู่คนละระดับกับพวกเราคนทำงานตัวเล็กๆ  นายช่างคิดจริงๆ!”  เจ้าควรสรรเสริญพวกเขา พูดกับพวกเขาในน้ำเสียงที่ยกยอปอปั้นแบบนั้นจนพวกเขาเริ่มรู้สึกปลาบปลื้ม  และพอเจ้าเห็นว่าเจ้าสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของเจ้าแล้ว ก็จงหยุดสรรเสริญพวกเขาเสีย เพราะเจ้าแทบสะอิดสะเอียนตัวเองแล้ว  ไม่สำคัญว่าที่เจ้านายของเจ้ากำลังพูดอยู่นั้นเป็นเรื่องของการเมือง ข้อคิดเห็น งานจากเบื้องบนที่ต้องนำมาดำเนินการให้เป็นผล หรือท่าทีของพวกเขาที่มีต่อสิ่งใดก็ตาม เจ้าก็จงทำท่าโง่ทึ่มและพูดประโยคคลุมเครือสักสองสามประโยค  พอเจ้านายของเจ้าได้ยิน พวกเขาจะพูดว่า “เพื่อนร่วมงานคนนี้สับสนตลอดเวลา นั่นก็ปกติอยู่แล้วที่พวกเขาสับสนเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย”  ดีละ เจ้าประสบความสำเร็จผ่านมาได้ภายใต้การแสร้งลวง  ไม่ว่าเจ้านายของเจ้าพูดอะไร เจ้าไม่ควรทำให้ผู้ใดรู้จุดยืนของตน  หากเจ้ากำลังร่วมมื้ออาหารกับเจ้านายของเจ้าและพวกเขาก็ต้องการให้เจ้าแถลงจุดยืนของเจ้าที่มีต่อบางสิ่ง เจ้าจงพูดว่า “โอ้ ดูสิฉันกินเข้าไปเท่าไร น้ำตาลในเลือดสูงและฉันรู้สึกมึนหัวนิดหน่อย ฉันเลยได้ยินที่นายเพิ่งพูดไปไม่ค่อยชัด  พวกเราไว้คุยเรื่องนี้ใหม่กันคราวหน้าได้ไหมนาย?”  จงแค่คลุมเครือใส่พวกเขา  หากเจ้านายส่งใครบางคนมาหาคำตอบเกี่ยวกับทัศนะของเจ้าที่มีต่อพวกเขา ต่อคณะกรรมการพรรค หรือนโยบายแห่งชาติ เจ้าควรแสดงทัศนะใดหรือไม่?  (ไม่)  ท่าทีต่อสาธารณะของเจ้าควรเป็นว่าเจ้าไม่มีทัศนะ แต่ท่าทีที่แท้จริงของเจ้าเป็นอย่างไรหรือ?  ต่อให้เจ้ามีทัศนะก็จงอย่าบอกพวกเขา นี่เรียกว่าการหลอกผี  มีคำกล่าวอุปมาว่า “การวางดอกไม้พลาสติกบนหลุมศพใครบางคน—การหลอกผี” นั่นถูกต้องไม่ใช่หรือ?  ยามที่เผชิญกับประเด็นปัญหาใหญ่ของเรื่องถูกและผิด แม้ว่าเจ้ามีท่าทีและมุมมอง เจ้าก็ไม่ควรแสดงออกไป  เหตุใดหรือ?  สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับความจริง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของโลกแห่งมาร และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเราเหล่าผู้เชื่อเลย  ไม่สำคัญว่าพวกเรามีท่าทีอย่างไร ที่สำคัญก็คือสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราเลย แม้พวกเราอาจมีท่าทีอย่างหนึ่ง แต่ในความเป็นจริง นั่นก็คือการเข้าใจและวิจารณญาณที่มีต่อแก่นแท้ของพวกเขา ท่าทีของพวกเราและหลักธรรมแห่งการปฏิบัติของพวกเราก็คือการอยู่ห่างจากพวกเขา ปฏิเสธพวกเขา และปฏิเสธอิทธิพลและการควบคุมของพวกเขา  ส่วนท่าทีของผู้คนอื่นนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา นี่คือเรื่องของโลกแห่งมาร และไม่เกี่ยวอะไรกับเหล่าผู้เชื่อในพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่เกี่ยวกับความรอด นับประสาอะไรที่จะเกี่ยวกับท่าทีใดที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องมีท่าทีใด และเจ้าไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทีใดออกไป  เจ้าอาจแค่หัวเราะทีเล่นทีจริงและพูดว่า “นาย กระบวนความคิดของฉันตื้นเขิน จิตใจของฉันก็ขุ่นมัว ฉันศึกษาการเมืองมานานแล้ว แต่ในความคิดของฉัน ฉันไม่เคยมีประสบการณ์กับการปฏิวัติทางการเมืองใดๆ เลย ดังนั้นในฐานะบุคคลธรรมดาคนหนึ่ง ฉันก็ยังคงไม่เข้าใจความหมายของนายหรือนโยบายจากเบื้องบนอยู่ดี  ขอให้นายยกโทษให้ฉันด้วย”  นี่เป็นคำตอบที่เพียงพอ  นี่ใช่การหลอกผีหรือไม่?  (ใช่)  หรือไม่เจ้าก็สามารถพูดได้เช่นกันว่า “ดวงตาของนายสดใส และดวงตาของผู้คนก็กระจ่างชัด แต่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่ดูมีความสับสนในดวงตา ฉันไม่สามารถมองเห็นหรือเข้าใจอะไรเลย!  ฉันไม่ใช่สมาชิกพรรค ดังนั้นฉันจึงไม่มีจิตวิญญาณของพรรค  ฉันไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้  พูดกับพวกเราเถิดนาย นายมีสิทธิลำดับแรกเหนือพวกเรา  สิ่งที่นายพูด พวกเราจะฟังและดำเนินการ  นั่นดีพอแล้วสำหรับฉัน”  นี่เรียบง่ายหรือไม่?  นี่สัมฤทธิ์หลักธรรมของการไม่ทำให้ผู้ใดรู้จุดยืนของตนหรือไม่?  (ใช่)  การแสร้งทำท่าพอเป็นพิธีและการทำให้จุดยืนของตนไม่ชัดเจนเปิดโอกาสให้เจ้าคุ้มครองตนเอง  เจ้านายรู้หรือไม่ว่าเจ้าหมายถึงอะไร?  พวกเขาไม่รู้  พวกเขาก็แค่คิดว่าเจ้าปัญญาอ่อนโดยคิดว่า “เพื่อนร่วมงานคนนี้ไม่แสวงหาความก้าวหน้า  ด้วยภาวะที่เป็นใจเช่นนั้น ผู้คนส่วนใหญ่คงได้รับการเลื่อนขั้นไปสู่ตำแหน่งที่สูงกว่าเรียบร้อยแล้ว บางทีอาจถึงขั้นนายกเทศมนตรีด้วยซ้ำ  เพื่อนร่วมงานคนนี้อาจสามารถเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดได้ แต่พวกเขาก็แค่ไม่ต้องการที่จะก้าวหน้า พวกเขาเอาแต่แสดงตัวโง่ทึ่มและไม่ใกล้ชิดองค์กร—พวกเขาโง่เขลาเป็นพิเศษเลย!”  เจ้าจะคิดอะไรอยู่ในหัวใจ?  “ในสายตาคุณ ฉันเป็นคนโง่  แต่ในสายตาพระเจ้า ฉันเป็นนกพิราบที่ไม่มีพิษมีภัย  ฉันมีค่ามากกว่าคุณ  คุณเป็นมารเฒ่า คุณครองตำแหน่งราชการและเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมืองไม่น้อย และคุณคิดว่านั่นทำให้ตัวเองเหนือกว่าคนอื่น  ในสายตาของฉัน คุณก็ไม่ได้ดีไปกว่าตั๊กแตนตัวเล็กๆ เลย!”  เจ้าพูดแบบนั้นได้หรือไม่?  (ไม่ พวกเราพูดไม่ได้)  เจ้าพูดแบบนั้นไม่ได้  จงระมัดระวังเพราะหน้าต่างมีหูประตูมีตา เจ้าสามารถคุยกับสุนัขที่บ้าน แล้วทิ้งไว้ตรงนั้น  มีไม่กี่คนในโลกนี้ที่เจ้าสามารถไว้ใจหรือปรับทุกข์ด้วยได้ ดังนั้นเมื่อเผชิญกับประเด็นปัญหาใหญ่เกี่ยวกับหลักธรรม ไม่ว่าจะเป็นในวงการการเมืองหรือในกลุ่มสังคมใด เจ้าควรเรียนรู้ที่จะไม่ทำให้ผู้ใดรู้จุดยืนของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการเมือง อำนาจ หรือการเลือกข้าง  แน่นอนว่าเจ้าต้องไม่ทำให้จุดยืนของเจ้าชัดเจน  หากเจ้าทำ ก็เหมือนการเอาตัวเจ้าเองไปย่างเหนือเปลวไฟ  การถูกเอาไปย่างเหนือเปลวไฟนั้นเหมือนอะไรหรือ?  หากเจ้าต้องการรู้คำตอบ ก็แค่ลองแสดงจุดยืนดู  นั่นเป็นแบบนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เป็นไปได้หรือไม่ที่จะไม่ทำให้ผู้ใดรู้จุดยืนของตน?  นั่นขึ้นอยู่กับสิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาอยู่ในหัวใจของเจ้า  หากว่าแท้จริงแล้วเจ้ากำลังไล่ตามไขว่คว้าอาชีพการงานทางราชการ หากเจ้าต้องการกลายเป็นข้าราชการ เจ้าไม่เพียงแต่จะแสดงจุดยืน แต่เจ้าจะแสดงตำแหน่งของเจ้าออกมาอย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน และทำเช่นนั้นต่อหน้าเจ้านายของเจ้า รวมทั้งทำการไต่ระดับขึ้นไป—หากเป็นกรณีนั้น เจ้าก็จะจบลงด้วยการเป็นตัวอย่างของบุคคลที่แย่มาก  เจ้าไม่ได้กำลังอยู่ห่างจากการเมือง เจ้ากำลังเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมือง  หากเจ้าเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมือง เช่นนั้นก็แค่ทำไปเลยแล้วออกไปเสีย  จงอย่าอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า  เจ้าเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ เจ้าเป็นของทางโลก ของมาร ไม่ใช่ของพระนิเวศของพระเจ้า—เจ้าไม่ได้อยู่ในหมู่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  แม้ตอนนี้เจ้ากำลังอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า แต่เจ้าก็แอบเข้ามา เจ้าต้องการมาคว้าของกินนิดหน่อย มารับพระพร—คนแบบนี้ไม่เป็นที่ต้อนรับที่นี่  แต่ในอีกแง่หนึ่งนั้น หากเจ้ามีคุณสมบัติส่วนบุคคลที่เป็นเลิศ และอยู่ในตำแหน่งซึ่งมีโอกาสมากมายที่จะกลายเป็นข้าราชการและเริ่มอาชีพการงาน ทว่าเจ้าก็ยังคงสามารถหลีกเลี่ยงการเข้าไปใกล้ การเข้าไปมีส่วนร่วม การเลือกข้าง  และการแสดงจุดยืน เช่นนั้นเจ้าสามารถจะสัมฤทธิ์การอยู่ห่างจากการเมือง  เจ้าจำหลักธรรมเหล่านี้ได้หรือไม่?  หลักธรรมเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่?  (ทำได้)  เจ้าดูเถิด ทุกคนในวงการการเมืองซึ่งต้องการที่จะอวดตัวเอง ที่จะโดดเด่นอยู่เสมอ รวมไปถึงพวกที่ปรารถนาจะแสดงมุมมองและท่าทีของตนด้วยความอยากอันแรงกล้าเป็นพิเศษที่จะแสดงตัวตน—ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน พวกเขาต้องการครองตำแหน่งราชการ  พูดให้ฟังดูดีได้ว่า พวกเขาต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมือง แต่ตามที่จริงแล้ว พวกเขาแค่ต้องการครองตำแหน่ง มีสิทธิอำนาจ และสุขสำราญกับชีวิตที่ดีผ่านทางตำแหน่งของตน  พวกเขาต้องการใช้ตำแหน่งของตัวเองเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายส่วนตัวสารพัดและเพิ่มเกียรติยศของตน  เป็นกรณีนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  คนบางคนไม่มีขีดความสามารถที่ดีมากในตัวเอง พวกเขามีตำหนิ  กระนั้นพวกเขาก็ยังต้องการกลายเป็นข้าราชการและเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมือง  ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาพึ่งพาความพยายามของตัวเองและไต่เต้าขึ้นไปในทุกวิถีทาง พวกเขาเลียแข้งเลียขาผู้บังคับบัญชาของตน และปฏิบัติตนเหมือนเป็นคนสนิทส่วนตัวของเจ้าหน้าที่รัฐ  ในที่สุด พวกเขาก็สัมฤทธิ์เป้าหมายของตนเรื่องการเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมืองและทำความฝันของพวกเขาเรื่องการมีอาชีพรับราชการให้เป็นจริง

ในเรื่องการอยู่ห่างจากการเมืองนั้น พวกเราได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับหลักธรรมห้าข้อกันไปแล้ว  หลักธรรมข้อแรกก็คือการไม่เข้าร่วมพรรคใด  เจ้าจงดูเถิด พวกผู้ปกครองของประเทศใดก็ตามล้วนเป็นของพรรคการเมือง ยังไม่ต้องพูดถึงพวกผู้นำของประเทศเผด็จการทั้งหลายที่เป็นของพรรคการเมืองเช่นกัน  เพราะฉะนั้น หลักธรรมข้อแรกของการอยู่ห่างจากการเมืองก็คือการไม่เข้าร่วมพรรคใด  เราเพิ่งพูดเรื่องนี้ไปไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วหลักธรรมข้อที่สองคืออะไร?  (การไม่เข้าไปใกล้พวกเขา)  จงอย่าไปใกล้พวกเขาหรือวงการการเมือง  หลักธรรมข้อที่สามคืออะไร?  (การไม่เข้าไปมีส่วนร่วม)  นั่นถูกต้องแล้ว การไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรม การเคลื่อนไหว หรือการเสวนาเชิงอุดมการณ์ใดๆ ของพวกเขา นั่นก็คือการไม่ไปมีส่วนร่วมในหมู่พวกเขา  หลักธรรมข้อที่สี่คืออะไร?  (การไม่เลือกข้าง)  จงอย่าเลือกข้าง จงปล่อยให้พวกเขาโต้เถียงเกี่ยวกับการที่ใครถูกและใครผิด พูดสั้นๆ ก็คือ เจ้าจงอย่าเลือกข้าง  หลักธรรมข้อที่ห้าคืออะไร?  (การไม่ทำให้ใครรู้จุดยืนของตัวเอง)  การไม่ทำให้ใครรู้จุดยืนของตัวเอง  บางคนพูดว่า “หากคุณไม่ทำให้ใครรู้จุดยืนของตัวเอง คุณก็เป็นแค่ตัวน่ารำคาญไม่ใช่หรือ?”  เจ้าจงพูดว่า “ฉันไม่มีข้อคิดเห็น ฉันเป็นแค่คนธรรมดา ฉันไม่มีการศึกษามากนัก กระบวนความคิดของฉันก็ไม่ยิ่งใหญ่อะไรเลย—ฉันจะมีข้อคิดเห็นแบบไหนได้?  ฉันก็แค่พลเมืองทั่วไป อย่าให้ฉันไปเกี่ยวด้วยเลย”  ไม่ว่าเมื่อใด เจ้าจงอย่ามีข้อคิดเห็นโดยเด็ดขาด  เมื่อเจ้าถูกขอให้มีจุดยืน เจ้าจงแสร้งทำเป็นกรน ง่วงเหงาหาวนอน และพอผู้คนเห็นว่าเจ้าไม่สนใจความคืบหน้า พวกเขาก็จะไม่ขอให้เจ้าแสดงข้อคิดเห็น ซึ่งก็ใช้ได้ผลอย่างสมบูรณ์แบบไม่ใช่หรือ?  นี่รวมทั้งหมดเป็นหลักธรรมกี่ข้อแล้ว?  (ห้า)  หากเจ้าปฏิบัติตามหลักธรรมห้าข้อนี้ เจ้าย่อมสามารถอยู่ห่างจากการเมืองได้และไม่ถูกกองกำลังทางการเมืองใดๆ บังคับขู่เข็ญ ส่งผลกระทบหรือครอบงำ  ไม่ว่าเป็นการจัดการกับวงการการเมืองที่ระดับบนหรือระดับล่าง หากเจ้านำหลักธรรมห้าข้อนี้ไปปฏิบัติ เจ้าย่อมจะสามารถอยู่ห่างจากการเมืองได้  นี่คือหัวข้อที่ประยุกต์ใช้ได้กับอาชีพการงานตามวิชาชีพของคนเรา  แน่นอนว่าต่อให้เจ้าไม่มีวิชาชีพ หลักธรรมเหล่านี้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง  ต่อให้เจ้าไม่ได้ถูกจ้างงาน เจ้าก็ยังควรที่จะนำหลักธรรมเหล่านี้มาปฏิบัติเพื่ออยู่ห่างจากการเมือง—หลักธรรมทั้งหลายไม่เปลี่ยนแปลง  แล้วเหตุใดเจ้าจึงควรอยู่ห่างจากการเมือง?  การเมืองคืออะไร?  มันคือการดิ้นรน คือเกมทางอำนาจ  การเมืองเป็นทั้งการสมคบคิดและกลยุทธ์  การเมืองเป็นอะไรอีก?  การเมืองหมายถึงการเคลื่อนไหวหรือกิจกรรมเหล่านั้นที่ถูกกองกำลังนานาปลุกปั่นขึ้นมา  เจ้าดูเถิด พวกเจ้าอธิบายไม่ได้ด้วยซ้ำว่าการเมืองคืออะไร กระนั้นพญานาคใหญ่สีแดงก็กล่าวหาผู้คนในคริสตจักรเรื่องการเข้าไปเกี่ยวข้องในการเมือง  นี่เหลวไหลไม่ใช่หรือ?  เป็นการง่ายที่จะป้ายความผิดยามที่พวกเขาต้องการไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จอย่างชัดเจน  พวกคนโง่และผู้คนซึ่งเลอะเลือนบางคนมาอยู่ภายใต้การบีบบังคับของพญานาคสีแดงหลังจากฟังคำพูดเยี่ยงมารของมัน อีกทั้งไม่กล้าใช้วิจารณญาณแยกแยะทั้งกับพญานาคสีแดงและกับซาตาน  เมื่อใดที่หัวข้อเกี่ยวกับการใช้วิจารณญาณแยกแยะพญานาคสีแดงหรือซาตานถูกยกขึ้นมา พวกเขาก็หลบเข้ามุมและไม่กล้าเปิดปากตัวเอง พวกเขาเอาแต่กระแอมไอหรือไม่ก็แสร้งทำเป็นสับสน  พวกเขากำลังแสร้งทำไปเพื่ออะไร?  พวกเขาไม่จำเป็นต้องแสร้งทำ กล่าวคือ พวกเขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าการเมืองคืออะไร แล้วพวกเขาสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมืองได้อย่างไร?  ผู้คนที่เลอะเลือนอย่างพวกเขาสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมืองได้หรือ?  เพราะฉะนั้น สำหรับผู้คนธรรมดาส่วนใหญ่แล้ว การอยู่ห่างจากการเมืองเป็นสิ่งที่สัมฤทธิ์ได้ในความเป็นจริง  พวกเราเพิ่งเน้นย้ำประเด็นหนึ่งในหลักธรรมซึ่งก็คือ การไม่ทำสิ่งใดแบบโง่เขลา หลีกเลี่ยงการไปเกี่ยวข้องในการเมืองโดยไม่รู้ตัว ถูกโน้มน้าวเข้าไปในการเมืองโดยที่ไม่รู้จักมันด้วยซ้ำ และสุดท้ายก็กลายเป็นแพะรับบาปหรือวัตถุบูชายัญโดยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น  ดังนั้นเหตุผลที่พวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหลักธรรมเหล่านี้ ในแง่หนึ่งนั้นก็เพื่อให้เจ้าได้รู้ว่าเชาว์ปัญญาของเจ้านั้นไม่มากพอที่จะจับใจความแก่นแท้จริงๆ ของการเมืองเป็นแน่  ในอีกแง่หนึ่งนั้น หากเจ้าปฏิบัติหลักธรรมเหล่านี้ เจ้าก็จะสามารถคุ้มครองตัวเองได้ดีขึ้น และหลีกเลี่ยงการถูกเอาเปรียบได้ไม่ว่าในสถานการณ์ใด หรือในสถานการณ์ที่เจ้าไม่ตระหนักรู้หรือไม่รู้ความ  แค่โดยการยึดติดอยู่กับหลักธรรมเหล่านี้เท่านั้นเอง เจ้าก็สามารถมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยของตัวเจ้าเองพอสมควรไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มใด  เพราะฉะนั้น หลักธรรมเหล่านี้จึงไม่ใช่เพียงเครื่องรางคุ้มครองเท่านั้น แต่ยังเป็นหลักธรรมที่พระเจ้าทรงตักเตือนเจ้าให้ปฏิบัติตามในพื้นที่ของการเมือง  โดยการปฏิบัติตามหลักธรรมเหล่านี้ เจ้าก็สามารถชื่นชมยินดีกับคุณประโยชน์ที่ความจริงนำพามาสู่เจ้า และคนคนหนึ่งอาจจะพูดได้เช่นกันว่าเจ้าได้รับการพิทักษ์จากพระเจ้า  หากเจ้ารู้สึกว่าการทรงพิทักษ์ของพระเจ้านั้นคลุมเครือและว่างเปล่า อีกทั้งเจ้าก็ไม่อาจมองเห็นและรู้สึกได้ เช่นนั้นเจ้าก็สามารถเลือกที่จะปฏิบัติหลักธรรมห้าข้อนี้ได้เลย  ในหนทางนี้ เจ้าสามารถได้รับประสบการณ์กับการทรงพิทักษ์ของพระเจ้าอันเป็นการพิทักษ์ประเภทที่เป็นจริงกว่าได้อย่างแท้จริง  นี่ไม่ใช่เป็นเพียงการใช้พระวจนะของพระเจ้าคุ้มครองตัวเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการคุ้มครองเจ้าโดยการปฏิบัติตามพระวจนะและการยึดติดอยู่กับหลักธรรมความจริงที่พระเจ้าได้ทรงเผยต่อเจ้า  ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม เป้าหมายสูงสุดก็เป็นอันสัมฤทธิ์ผล อีกทั้งเจ้าก็สามารถรักษาตัวรอดจากกลุ่มผู้คนชั่ว หลีกเลี่ยงการทดลองและวิกฤตินานัปการได้ และด้วยเหตุนั้นจึงสามารถสงบกายใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ในสภาวะแห่งความเยือกเย็น ความปลอดภัยและสันติสุขโดยผ่านทางการอยู่ห่างจากการเมือง เพื่อให้เจ้าสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าโง่เขลา และเจ้าไม่รู้วิธีที่จะปฏิบัติตามหลักธรรมที่พระเจ้าทรงสอน อีกทั้งเจ้าก็พยายามที่จะโดดเด่นและอวดตัวเองอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า บ่อยครั้งที่ปฏิบัติตนอย่างขาดปัญญา รวมทั้งเข้าไปพัวพันในกรณีพิพาทและความขัดแย้งนานัปการที่มีต้นตอมาจากการเมืองและกลุ่มทั้งหลาย หากเจ้าตกไปอยู่ในกับดักและการทดลองสารพันบ่อยครั้ง และชีวิตประจำวันของเจ้าก็ถูกโน้มน้าวและรบกวนโดยสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งเจ้าก็ใช้เวลาทั้งหมดของตัวเองรับมือและจัดการแก้ปัญหาการดิ้นรนเหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกับกรณีพิพาทและการก่อกวน เช่นนั้นก็พูดได้ว่า หัวใจของเจ้าจะไม่มีวันมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเจ้าจะไม่มีวันสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระองค์อย่างแท้จริง  หากเจ้าไม่อาจสัมฤทธิ์สิ่งเล็กน้อยนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีความหวังที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า ที่จะเข้าใจหรือลงลึกในความจริง ที่จะปฏิบัติความจริง และที่จะออกเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อให้ได้รับการช่วยให้รอด  หากเจ้าติดบ่วงในสิ่งเหล่านี้ นั่นก็เท่ากับเป็นการติดบ่วงมาร  หากเจ้าไม่มีหลักธรรมที่จะรับมือกับเรื่องเหล่านี้ ปลายทางสุดท้ายของเจ้าก็จะถูกสิ่งเหล่านี้กลืนหายไป  ชีวิตประจำวันของเจ้า หัวใจของเจ้า และชีวิตของเจ้าก็จะพัวพันอยู่ในกรณีพิพาทและการดิ้นรนทั้งหลาย  เจ้าจะคิดถึงแต่วิธีที่จะกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไป วิธีที่จะต่อสู้และโต้เถียงกับผู้คนเหล่านั้น และวิธีที่จะพิสูจน์ความไร้มลทินของเจ้าและเรียกร้องความยุติธรรม  ผลลัพธ์ก็คือ ยิ่งเจ้าติดเข้าไปอยู่ในเรื่องอื้อฉาวเหล่านี้มากเท่าใด เจ้าก็ยิ่งต้องการพิสูจน์ความไร้มลทินของเจ้า เรียกร้องความยุติธรรม และได้รับคำอธิบายให้เร็วขึ้นเท่านั้น อีกทั้งหัวใจของเจ้าก็จะยิ่งกลายเป็นพลุ่งพล่านและซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งสภาพแวดล้อมภายนอกของเจ้าซับซ้อนมากขึ้นเท่าใด ตัวตนภายในของเจ้าก็จะยิ่งกลายเป็นซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งสภาพแวดล้อมภายนอกของเจ้าโกลาหลมากขึ้นเท่าใด ตัวตนภายในของเจ้าก็จะยิ่งกลายเป็นพลุ่งพล่านมากขึ้นเท่านั้น  ในหนทางนี้ เจ้าย่อมจะจบเห่อย่างสมบูรณ์ เจ้าจะถูกซาตานควบคุมและจับเป็นเชลย  หากเจ้ายังคงต้องการไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับการช่วยให้รอด นั่นย่อมจะเป็นไปไม่ได้!  เจ้าจะไร้ค่าไปโดยสิ้นเชิงเกินกว่าที่จะไถ่  ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะพูดว่า “ฉันเสียดายทุกสิ่งทุกอย่าง  วงการการเมืองของซาตานไม่ใช่อะไรเลยนอกจากปลักตม!  หากฉันรู้มาก่อน ฉันคงจะรับฟังพระวจนะของพระเจ้าไปแล้ว”  เราบอกเจ้ามานานแล้ว แต่เจ้าไม่เชื่อเรา  เจ้ายืนกรานที่จะรับคำอธิบายจากพวกเขา ที่จะรับคำพูดที่ฟังรื่นหู คำพูดแห่งการสรรเสริญและการยอมรับชื่นชมจากปากพวกเขา  เจ้าปฏิเสธที่จะยึดปฏิบัติตามหลักธรรมและเกณฑ์ประเมินที่พระเจ้าตรัสบอกเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงสมควรถูกพวกเขาลากจูงไปด้วยจนกว่าเจ้าจะตาย  ในท้ายที่สุดแล้ว ซาตานก็จะถูกทำลาย และเจ้าก็จะถูกทำลายไปกับมัน กลายเป็นเครื่องเซ่นงานศพของมัน  เจ้าสมควรแล้ว!  ใครให้เจ้าติดตามซาตาน?  ใครให้เจ้าแสวงหาคำอธิบายจากซาตาน?  ใครทำให้เจ้าโง่เขลาเหลือเกิน?  พระเจ้าประทานปัญญาแก่เจ้า แต่เจ้าไม่นำมาประยุกต์ใช้  พระองค์ประทานหลักธรรมแก่เจ้า แต่เจ้าก็ไม่ยึดปฏิบัติหลักธรรมเหล่านั้น  เจ้ายืนกรานที่จะไปตามทางของตัวเอง ไปตามการต่อสู้กับผู้คนด้วยจิตใจ พรสวรรค์และของประทานของเจ้าเอง  เจ้าสามารถทำให้ซาตานปราชัยได้หรือ?  ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้กับมารก็ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้า  สิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้าก็คือให้เจ้าเดินตามทางของพระองค์ ไม่ใช่ให้ต่อสู้กับมารร้าย  การที่เจ้าต่อสู้กับมันนั้นไม่มีค่าอะไรเลย  พระเจ้าไม่ทรงรำลึกถึงการนี้  ต่อให้เจ้าทำให้มันปราชัย เจ้าก็จะไม่บรรลุความรอด  ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่?  เพราะฉะนั้นในอุตสาหกรรมและวงการการเมือง เจ้าต้องจดจำหลักธรรมเหล่านี้ที่ผู้คนควรปฏิบัติตาม  บางทีพวกเจ้าเหล่านั้นที่กำลังทำหน้าที่เต็มเวลาอยู่ในปัจจุบันอาจพบว่าคำพูดเหล่านี้ไม่ตรงกับความเป็นจริงและค่อนข้างห่างไกลจากตัวพวกเจ้า  แต่อย่างน้อยที่สุด คำพูดเหล่านี้ก็เปิดโอกาสให้เจ้ารู้ว่าการเมืองคืออะไร รู้วิธีที่เจ้าควรปฏิบัติต่อการเมือง วิธีที่จะมองพวกที่ดำเนินชีวิตอยู่ในวงการการเมืองหรือไล่ตามไขว่คว้าโอกาสในอนาคตทางการเมือง และวิธีที่จะช่วยจัดการแก้ไขปัญหาของพวกเขาหากพวกเขาเชื่อในพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งพื้นฐานที่สุดที่เจ้าควรรู้  ครั้นเจ้าเข้าใจและยอมรับหลักธรรมเหล่านี้อย่าเต็มที่แล้ว เจ้าย่อมจะมีความสามารถที่จะช่วยเหลือพวกเขา และยามที่เจ้าเผชิญกับผู้คนเช่นนั้น เจ้าก็จะสามารถรับมือและแก้ไขประเด็นปัญหาของพวกเขาโดยการใช้หลักธรรมทั้งหลายที่สอดรับกัน  เอาล่ะ พวกเรายุติการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหัวข้อของการอยู่ห่างจากการเมืองกันลงตรงนี้เถิด  สวัสดี!

18 มิถุนายน ค.ศ. 2023

ก่อนหน้า: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (20)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger