ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (20)

หัวข้อหลากหลายที่พวกเรากำลังสามัคคีธรรมกันอยู่นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในชีวิตประจำวัน  หลังจากที่ฟังเนื้อหานี้ พวกเจ้าไม่รู้สึกหรอกหรือว่าความจริงนั้นไม่ว่างเปล่า ความจริงไม่ใช่คำขวัญ ไม่ใช่ทฤษฎีประเภทหนึ่ง หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ใช่ความรู้ประเภทหนึ่ง?  ความจริงสัมพันธ์กับอะไร?  (สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพวกเรา)  ความจริงสัมพันธ์กับชีวิตจริง กับเหตุการณ์สารพัดที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง  ความจริงเกี่ยวข้องไปถึงชีวิตมนุษย์ทุกแง่มุม ถึงประเด็นปัญหาสารพันที่ผู้คนเผชิญในชีวิตประจำวัน และความจริงสัมพันธ์เป็นพิเศษกับเป้าหมายที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาและเส้นทางที่พวกเขาใช้เดิน  ความจริงเหล่านี้ไม่มีข้อใดเลยที่ว่างเปล่า และแน่นอนว่า ความจริงเหล่านี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และล้วนจำเป็นที่ผู้คนจะต้องมี  ในชีวิตประจำวันนั้น เมื่อเป็นเรื่องของประเด็นปัญหาซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงบางอย่าง หากเจ้าสามารถเข้าจัดการ แก้ไข และรับมือกับสิ่งเหล่านี้บนพื้นฐานของหลักธรรมความจริงที่พวกเราสามัคคีธรรมถึง เช่นนั้นเจ้าย่อมกำลังเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  หากในชีวิตประจำวันของเจ้า เจ้าติดอยู่กับความคิดและทัศนคติดั้งเดิมที่มีต่อประเด็นปัญหาเกี่ยวกับความจริงเหล่านี้และไม่ยอมเปลี่ยนแปลง หากเจ้าเข้าจัดการประเด็นปัญหาเหล่านี้จากมุมมองแบบมนุษย์ของเจ้า อีกทั้งหลักธรรมและพื้นฐานสำหรับวิธีที่เจ้ามองสิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงเลย เช่นนั้นก็เห็นได้ชัดว่า เจ้าไม่ใช่ใครคนหนึ่งซึ่งกำลังเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ทั้งเจ้ายังไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ไม่ว่าพวกเรากำลังสามัคคีธรรมเกี่ยวกับแง่มุมใดของความจริง หัวข้อทั้งหลายล้วนเกี่ยวข้องกับการแก้ไขและย้อนคืนความคิด ทัศนคติ มโนคติอันหลงผิด และความคิดฝันอันผิดพลาดที่ผู้คนมีในเรื่องนานาสารพัน เพื่อที่พวกเขาอาจจะมีความคิดและมุมมองที่ถูกต้องต่อเรื่องต่างๆ ที่พวกเขามาสัมพันธ์เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน และเพื่อที่พวกเขาอาจจะมองสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงเหล่านี้จากมุมมองและจุดยืนที่ถูกต้อง จากนั้นก็ใช้ความจริงเป็นเกณฑ์ประเมินของตนในการที่จะแก้ปัญหาและรับมือกับสิ่งเหล่านี้  การฟังคำเทศนาทั้งหลายนั้นไม่ใช่เรื่องของการได้รับการเตรียมพร้อมไปด้วยคำสอนหรือความรู้ ไม่ใช่เรื่องของการเปิดโลกทัศน์ของคนเราหรือการได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึก—แต่เป็นเรื่องของการเข้าใจความจริง  จุดประสงค์ของการเข้าใจความจริงไม่ใช่เพื่อเสริมสร้างความคิดหรือจิตวิญญาณของคนเรา หรือเสริมสร้างความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่ง แต่เพื่อทำให้ผู้คนสามารถที่จะไม่หลุดออกไปจากชีวิตจริงขณะอยู่บนเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้า และทำให้พวกเขาสามารถมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและปฏิบัติตนโดยมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานของตนและมีความจริงเป็นเกณฑ์ประเมินของตนได้ในยามที่พวกเขาเผชิญสิ่งสารพัดในชีวิตประจำวัน  หากเจ้าได้ฟังคำเทศนาตลอดหลายปีมานี้และมีความคืบหน้าในแขนงต่างๆ ของคำเทศนาและความรู้ และเจ้ารู้สึกว่าได้รับการเสริมสร้างฝ่ายวิญญาณ อีกทั้งความคิดของเจ้าก็ได้ถูกยกระดับขึ้น แต่เมื่อเจ้าเผชิญหลายสิ่งในชีวิตประจำวัน เจ้าก็ยังคงไม่สามารถมองประเด็นปัญหาเหล่านี้จากมุมมองที่ถูกต้อง ทั้งเจ้าก็ยังไม่สามารถยืนหยัดในการปฏิบัติ ในการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ในการวางตัว และในการปฏิบัติตนไปตามหลักธรรมความจริง เช่นนั้นก็ชัดเจนว่า เจ้าก็ไม่ใช่ใครบางคนซึ่งไล่ตามเสาะหาความจริง ทั้งยังไม่ใช่ใครบางคนที่กำลังเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริง  ที่จริงจังกว่านั้นก็คือ เจ้ายังไปไม่ถึงจุดของการนบนอบความจริง การนบนอบพระเจ้า หรือการยำเกรงพระองค์  นั่นสามารถยืนยันได้ชัดเจนอย่างแน่นอนว่าเจ้ายังไม่ได้ออกเดินตามเส้นทางแห่งความรอด  เป็นแบบนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)

บนพื้นฐานของวุฒิภาวะและสภาพการณ์จริงของพวกเจ้าตอนนี้ ในแง่มุมใดหรือที่พวกเจ้ารู้สึกว่าเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว?  ในแง่มุมใดหรือที่เจ้ามีความหวังสำหรับความรอด?  ในแง่มุมใดหรือที่เจ้ายังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแต่ยังห่างไกลมากจากมาตรฐานสำหรับความรอด?  เจ้าประเมินวัดสิ่งนี้ได้หรือไม่?  (ในสถานการณ์ที่ศัตรูของพระคริสต์กับคนชั่วก่อกวนงานของคริสตจักร ก่อความเสียหายต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า ข้าพระองค์ขาดสำนึกแห่งความยุติธรรมและความจงรักภักดีอันแท้จริงต่อพระเจ้า  ข้าพระองค์ไม่สามารถลุกขึ้นมาปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้ และข้าพระองค์ก็ไม่มีคำพยานในเรื่องที่สำคัญยิ่งเหล่านี้  ชัดเจนว่าข้าพระองค์ห่างไกลมากจากมาตรฐานสำหรับความรอดในแง่นี้)  นี่คือปัญหาจริง  ทุกคนมาเสวนาเพิ่มเติมกันเถิด  นอกจากการรับรู้ถึงวุฒิภาวะของพวกเจ้าซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาของการใช้วิจารณญาณแยกแยะและการปฏิเสธพวกศัตรูของพระคริสต์แล้ว ในแง่อื่นนั้น สิ่งใดหรือที่เจ้าได้เผชิญในชีวิตประจำวันแล้วทำให้เจ้ารู้สึกว่าเจ้ายังไม่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริง ไม่สามารถปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงได้ และถึงแม้เจ้าเข้าใจคำสอน แต่เจ้าก็ยังคงขาดความชัดเจนในความจริง เจ้าขาดเส้นทางที่ชัดเจน และเจ้าไม่รู้วิธีที่จะทำตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า หรือวิธีที่จะยึดปฏิบัติตามหลักธรรม?  (หลังจากทำหน้าที่ของข้าพระองค์มาหลายปีเหลือเกิน ข้าพระองค์คิดว่า ข้าพระองค์สามารถออกจากครอบครัว ทิ้งอาชีพการงาน และปล่อยมือจากความรู้สึกทั้งหลายที่มีต่อพ่อแม่และญาติพี่น้องของข้าพระองค์ได้ไม่มากก็น้อย  อย่างไรก็ตาม บางคราวข้าพระองค์ได้เผชิญสถานการณ์ในชีวิตจริงบางอย่างที่ทำให้ข้าพระองค์ตระหนักว่า ภายในตัวข้าพระองค์นั้นยังคงมีความรู้สึกต่างๆ และข้าพระองค์ก็ต้องการที่จะอยู่เคียงข้างพ่อแม่ คอยดูแลและกตัญญูต่อพวกท่าน  หากข้าพระองค์ไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ ข้าพระองค์ก็รู้สึกว่าข้าพระองค์เป็นหนี้พวกท่าน  โดยผ่านทางการฟังสามัคคีธรรมของพระเจ้าเมื่อไม่นานมานี้เกี่ยวกับการที่พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของพวกเรา ข้าพระองค์จึงตระหนักว่า ข้าพระองค์ไม่เข้าใจแง่มุมนี้ของความจริงและข้าพระองค์ก็ไม่ได้นบนอบความจริงหรือพระเจ้า)  ใครอื่นต้องการพูดต่อไหม?  พวกเจ้าไม่เผชิญความลำบากยากเย็นในชีวิตประจำวันของเจ้าหรอกหรือ?  หรือพวกเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในสุญญากาศและไม่เคยเจอกับปัญหาใดเลย?  พวกเจ้าเผชิญความลำบากยากเย็นในยามที่ทำหน้าที่ของตนหรือไม่?  เจ้าเคยสุกเอาเผากินหรือไม่?  (เคย)  เจ้าเคยปรนเปรอตัวเองในความสบายและความชูใจทางเนื้อหนังหรือไม่?  เจ้าทำงานเพื่อชื่อเสียงและสถานะหรือไม่?  เจ้าเป็นกังวลหรือรู้สึกวิตกเกี่ยวกับความสำเร็จที่คาดว่าจะเป็นไปได้ในอนาคตและเส้นทางของเจ้าอยู่บ่อยครั้งใช่หรือไม่?  (ใช่)  เช่นนั้นยามที่เจ้าเผชิญหน้ากับสถานการณ์เหล่านี้ เจ้ารับมืออย่างไรเล่า?  เจ้าสามารถใช้ความจริงแก้ไขสถานการณ์เหล่านี้ได้หรือไม่?  ตอนเจ้าได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เจ้าก็กุมแผนสำรองไว้ไม่ปล่อย และเจ้าก็เป็นกังวลเกี่ยวกับและบั้นปลายและความสำเร็จที่คาดว่าจะเป็นไปได้ในอนาคต เข้าใจผิดและติเตียนพระเจ้า หรือเที่ยวโอ้อวดคุณวุฒิของตนยามที่ถูกปลดจากตำแหน่ง—เจ้ามีปัญหาเหล่านี้หรือไม่?  (มี)  เจ้ารับมือและแก้ไขอย่างไรเมื่อเจ้าพบเจอสถานการณ์เหล่านี้?  เจ้าทำตามความอยากอันเห็นแก่ตัวของเจ้าหรือว่าเจ้าสามารถค้ำจุนหลักธรรมความจริง ขัดขืนเนื้อหนังและขัดขืนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเพื่อปฏิบัติความจริง?  (ข้าแต่พระเจ้า เมื่อใดก็ตามที่ข้าพระองค์เผชิญสถานการณ์เหล่านี้ ข้าพระองค์เข้าใจในเชิงคำสอนว่าข้าพระองค์ไม่ควรกระทำไปตามการเลือกชอบของเนื้อหนังหรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของข้าพระองค์  บางครั้งมโนธรรมของข้าพระองค์ก็ปั่นป่วนและรู้สึกนึกตำหนิตนเอง และข้าพระองค์ก็เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่างของตนเอง  แต่นั่นไม่ใช่เป็นเพราะมุมมองของข้าพระองค์ต่อเรื่องเหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงไป หรือเพราะข้าพระองค์สามารถปฏิบัติความจริง  บางคราวหากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของข้าพระองค์ค่อนข้างรุนแรง และข้าพระองค์ก็รู้สึกว่าความลำบากยากเย็นนี้ใหญ่หลวงเกินไป เช่นนั้นแล้วต่อให้ข้าพระองค์มีพลังงานล้นเหลือออกมา ข้าพระองค์ก็ยังคงไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้อยู่ดี ถึงจุดนั้น ข้าพระองค์จะทำตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง และแม้แต่พฤติกรรมดีภายนอกก็ไม่เหลือเสียด้วยซ้ำ)  นี่เป็นสถานการณ์ประเภทใด?  เจ้าจบลงตรงการปฏิบัติความจริงและการยืนหยัดในคำพยานของตน หรือเจ้าล้มเหลว?  (ข้าพระองค์ล้มเหลว)  หลังจากนั้นเจ้าทบทวนตัวเองและรู้สึกสำนึกผิดหรือไม่?  เจ้าสามารถเกิดการปรับปรุงเมื่อเผชิญกับสถานการณ์คล้ายคลึงกันอีกหรือไม่?  (หลังจากล้มเหลว ข้าพระองค์จะรู้สึกไม่สบายใจอยู่ในมโนธรรม และเมื่อข้าพระองค์กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ข้าพระองค์ก็สามารถนำพระวจนะเหล่านั้นมาเทียบเคียงกับตัวเองได้ แต่พอข้าพระองค์เผชิญสถานการณ์เหล่านี้ในคราวต่อมา อุปนิสัยอันเสื่อมทรามแบบเดิมก็ยังคงเผยตัวออกมา  มีความคืบหน้าค่อนข้างน้อยในแง่มุมนี้)  ผู้คนส่วนใหญ่พบว่าตัวเองอยู่ในสภาวะนี้ไม่ใช่หรือ?  พวกเจ้ามองเรื่องนี้อย่างไร?  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพบเจอกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน นอกเหนือจากการที่พฤติกรรมของพวกเข้าดีขึ้นเนื่องด้วยผลที่มาจากมโนธรรมของตัวเอง หรือการที่บางครั้งพฤติกรรมของพวกเขาก็ค่อนข้างสูงส่งและบางครั้งก็ค่อนข้างต่ำทรามไปตามสถานการณ์และสภาวะของพวกเขา ณ เวลานั้น และตามอารมณ์ที่แตกต่างกันไปของพวกเขา—นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว การปฏิบัติของผู้คนในหนทางที่พวกเขารับมือกับสถานการณ์เหล่านั้นก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงเลย  ตรงนี้มีปัญหาอะไรหรือ?  นี่แสดงให้เห็นวุฒิภาวะของบุคคลใช่หรือไม่?  นี่เป็นวุฒิภาวะแบบไหน?  เป็นวุฒิภาวะที่ต่ำ หรือเป็นจุดอ่อน เป็นความขาดพร่องในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา หรือเป็นการสำแดงของการไม่ปฏิบัติความจริง?  (วุฒิภาวะที่ต่ำ)  เมื่อวุฒิภาวะของคนคนหนึ่งต่ำ พวกเขาย่อมไม่สามารถปฏิบัติความจริง และเพราะพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติความจริง วุฒิภาวะของพวกเขาจึงต่ำ  การนี้ต่ำแค่ไหนหรือ?  นั่นหมายความว่า เจ้ายังไม่ได้มาซึ่งความจริงในเรื่องนี้  การที่เจ้ายังไม่ได้มาซึ่งความจริงในเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไรหรือ?  นั่นหมายความว่าพระวจนะของพระเจ้ายังไม่ได้กลายเป็นชีวิตของเจ้า พระวจนะของพระเจ้ายังเป็นข้อความ คำสอน หรือข้อโต้เถียงประเภทหนึ่งสำหรับเจ้า  พระวจนะของพระเจ้ายังไม่ทำงานเข้าไปตัวเจ้าหรือกลายเป็นชีวิตของเจ้า  ผลที่ตามมาก็คือ สิ่งที่เรียกว่าความจริงทั้งหลายที่เจ้าเข้าใจจึงเป็นแค่เพียงคำสอนหรือคำขวัญประเภทหนึ่งเท่านั้นเอง  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้?  เพราะเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนคำสอนนี้ให้เป็นความเป็นจริงของเจ้าได้  ยามที่เจ้าเผชิญหน้าสิ่งทั้งหลายในชีวิตประจำวัน เจ้าไม่รับมือสิ่งเหล่านั้นไปตามความจริง เจ้ายังคงรับมือกับสิ่งเหล่านั้นไปตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานและภายใต้อิทธิพลของมโนธรรม  ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่า อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ไม่มีความจริงในเรื่องนี้ และเจ้ายังไม่ได้มาซึ่งชีวิต  การไม่ได้มาซึ่งชีวิตหมายถึงการไม่มีชีวิต การไม่มีชีวิตหมายความว่าในเรื่องนี้ เจ้ายังไม่ได้รับการช่วยให้รอดเลย และเจ้าก็ยังคงดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน  ไม่ว่าสิ่งที่ถูกปฏิบัติภายใต้อิทธิพลของมโนธรรมนั้นเป็นพฤติกรรมที่ดีหรือเป็นการสำแดงประเภทหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่แสดงให้เห็นถึงชีวิต นั่นเป็นแค่เพียงการสำแดงของความเป็นมนุษย์ที่ปกติเท่านั้นเอง  หากการสำแดงนี้มีอิทธิพลของมโนธรรมเข้ามาเสริม อย่างดีที่สุด นี่ก็เป็นพฤติกรรมดีประเภทหนึ่ง  หากมโนธรรมไม่ใช่ปัจจัยหลัก แต่กลับเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา เช่นนั้นพฤติกรรมนี้ก็ไม่สามารถถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ดี นี่เป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ถูกเผยออกมา  แล้วพวกเจ้าได้ทำให้ความจริงเป็นความเป็นจริงและได้มาซึ่งชีวิตไปแล้วในเรื่องใดบ้าง?  พวกเจ้ายังไม่ได้รับความจริงและทำให้ความจริงเป็นชีวิตของเจ้า และยังไม่ได้ทำให้ความจริงเป็นความเป็นจริงของเจ้าในเรื่องใดบ้าง?  พูดอีกอย่างก็คือ เจ้ากำลังใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าและใช้พระวจนะเหล่านั้นเป็นเกณฑ์ประเมินของเจ้าในเรื่องใดบ้าง และเจ้ายังคงไม่ได้ทำเช่นนั้นในเรื่องใดบ้าง?  จงคำนวณดูเถิดว่ามีมากมายเพียงใด  หากเจ้าคำนวณทั้งหมดแล้ว แต่โชคร้ายที่ยังไม่มีสักเรื่องที่เจ้าได้กระทำหรือใช้ชีวิตโดยมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐาน แต่กลับกระทำไปตามความใจร้อน ตามมโนคติอันหลงผิด ตามการเลือกชอบหรือความอยากได้อยากมีทางเนื้อหนังของเจ้าเอง หรือตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าแทน เช่นนั้นแล้วผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายจะเป็นอะไร?  ผลลัพธ์ย่อมจะไม่ดีใช่หรือไม่?  (ใช่)  จนถึงวันนี้พวกเจ้าก็ได้ฟังการเทศนามาหลายปีแล้ว ละทิ้งครอบครัว ละทิ้งอาชีพการงานของเจ้า ทนทุกข์กับความยากลำบากและจ่ายราคา  หากผลลัพธ์เป็นเช่นนี้ นี่เป็นบางสิ่งที่น่าดีใจและฉลอง หรือเป็นบางสิ่งที่น่าเศร้าและน่ากังวล?  (น่าเศร้าและน่ากังวล)  บุคคลผู้ที่ไม่ทำความจริงให้เป็นความเป็นจริง  ผู้ที่ไม่ทำพระวจนะของพระเจ้าให้เป็นชีวิตของพวกเขา นั่นเป็นบุคคลประเภทใด?  นั่นเป็นบุคคลที่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานโดยสิ้นเชิง ผู้ซึ่งไม่สามารถมองเห็นความหวังที่จะได้รับความรอดไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเจ้าไม่เคยนึกถึงคำถามเหล่านี้เลยหรือในยามที่เจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าและตรวจสอบตัวเองไปตามปกติ?  ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เคยคิด ถูกต้องหรือไม่?  ผู้คนส่วนใหญ่คิดแค่ว่า “ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้าตอนอายุสิบเจ็ด และตอนนี้ฉันสี่สิบเจ็ด  ฉันเชื่อพระเจ้ามาหลายปีเหลือเกิน ฉันถูกตามล่าหลายครั้ง แต่พระเจ้าก็ได้ทรงรักษาให้ฉันปลอดภัยและช่วยให้ฉันรอดพ้น  ฉันเคยใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำและในกระท่อมโดยไม่ได้กินอาหารหลายคืนหลายวัน ทั้งยังอดนอนนานหลายชั่วโมงเหลือเกิน  ฉันได้สู้ทนความทุกข์และวิ่งมาหลายไมล์เหลือเกิน ทั้งหมดก็เพื่อเห็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ของฉัน การทำงานของฉัน และการทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จสิ้น  ความหวังที่จะได้รับความรอดของฉันนั้นใหญ่หลวง ฉันได้เริ่มเดินอยู่บนเส้นทางแห่งความรอดแล้ว  ฉันโชคดีเหลือเกิน!  ขอขอบคุณพระเจ้าอย่างแท้จริง!  นี่คือพระคุณของพระองค์!  ฉันเคยไร้ค่าในสายตาของโลกมนุษย์ ไม่มีใครนับถือฉันเลย และฉันก็ไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นใครที่พิเศษ แต่เพราะการยกชูของพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงยกฉัน—ผู้ขัดสน—ออกจากกองมูล ฉันได้รับการวางลงบนเส้นทางแห่งความรอด เปิดโอกาสให้ฉันได้รับเกียรติทำหน้าที่ของฉันในพระนิเวศของพระองค์  พระองค์ทรงยกระดับฉันและพระองค์ทรงรักฉัน!  ตอนนี้ฉันเข้าใจความจริงมากเหลือเกินและทำงานมาหลายปีเหลือเกิน  การที่ฉันจะได้รับบำเหน็จรางวัลในภายภาคหน้านั้นเป็นสิ่งที่แน่นอน  ใครเล่าจะพรากสิ่งนี้ไปได้?”  หากว่ายามที่เจ้าตรวจสอบตัวเอง เจ้าเพียงคิดถึงสิ่งเหล่านี้ได้เท่านั้น นั่นเป็นปัญหาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  จงบอกเราที พวกเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีเหลือเกินแล้ว เจ้าทนทุกข์มามากเหลือเกินแล้ว เดินทางมาไกลเหลือเกินแล้ว และทำงานมามากมายเหลือเกินแล้ว  เหตุใดหลังจากการเชื่อมากมายถึงเพียงนี้ ตอนนี้ผู้คนบางคนจึงถูกย้ายไปอยู่กลุ่ม ข?  เหตุใดตอนนี้เหล่าผู้นำและคนทำงานหลายคนจึงจำต้องจ่ายคืนของถวายและรับภาระหนี้สิน?  เกิดอะไรขึ้นหรือ?  ไม่ใช่ว่าพวกเขาได้รับการช่วยให้รอดแล้วหรอกหรือ?  ไม่ใช่ว่าพวกเขามีความจริงและได้มาซึ่งชีวิตแล้วหรอกหรือ?  ผู้คนบางคนมองว่าตัวเองเป็นเสาหลักและหินฐานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า มีความสามารถพิเศษซึ่งหายากในที่แห่งนี้  ตอนนี้สิ่งต่างๆ เป็นอย่างไรบ้าง?  หากหลายปีนี้ของการทนทุกข์และการจ่ายราคาได้ส่งผลลัพธ์ให้พวกเขาได้รับชีวิตและมีความเป็นจริงความจริง เป็นการที่พวกเขานบนอบพระวจนะของพระเจ้า การมีความยำเกรงที่แท้จริงต่อพระเจ้าและการทำหน้าที่อย่างจงรักภักดี ผู้คนเหล่านี้จะได้ถูกปลดออกหรือย้ายไปอยู่กลุ่ม ข หรือไม่?  พวกเขาจะได้รับภาระหนี้สินหรือรับโทษบาปหรือไม่?  ปัญหาเหล่านี้จะได้เกิดขึ้นหรือไม่?  นี่ค่อนข้างน่าตะขิดตะขวงใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าประเด็นปัญหาคืออะไร?  การที่บุคคลหนึ่งสามารถสู้ทนความทุกข์ได้มากเท่าไรหรือพวกเขาจ่ายราคาสำหรับการเชื่อในพระเจ้าของเขามากเท่าไรนั้นไม่ใช่สัญญาณของความรอดหรือการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ทั้งยังไม่ใช่สัญญาณว่าพวกเขามีชีวิต  แล้วอะไรคือสัญญาณของการมีชีวิตและความเป็นจริงความจริง?  พูดกว้างๆ แล้ว สัญญาณนั้นอยู่ตรงการที่บุคคลหนึ่งสามารถปฏิบัติความจริงและรับมือกับเรื่องทั้งหลายไปตามหลักธรรมได้หรือไม่ พูดให้เฉพาะเจาะจงแล้ว สัญญาณนั้นอยู่ตรงที่บุคคลหนึ่งมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและปฏิบัติตนด้วยหลักธรรมความจริงหรือไม่ พวกเขาสามารถกระทำไปตามหลักธรรมความจริงหรือไม่  หากในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าสามารถเอาชนะตัวเอง สู้ทนความทุกข์ และจ่ายราคาในทุกสิ่งที่เจ้าทำได้ แต่โชคร้ายที่เจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์ประเด็นซึ่งสำคัญยิ่งยวดที่สุดได้ นั่นก็คือเจ้าไม่สามารถค้ำชูหลักธรรมความจริงได้ หากว่า ไม่ว่าเจ้าทำอะไร เจ้าก็เอาแต่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตนเสมอ แสวงหาทางออกให้ตัวเองเสมอ ต้องการเอาตัวรอดเสมอ และหากเจ้าไม่เคยค้ำจุนหลักธรรมความจริง และสำหรับเจ้าแล้วพระวจนะของพระเจ้าเป็นเพียงคำสอน เช่นนั้นก็จงอย่าแม้แต่จะพูดว่าเจ้ามีค่าหรือไม่ หรือว่าชีวิตของเจ้ามีคุณค่าหรือไม่ ประเด็นพื้นฐานที่สุดก็คือ เจ้าไม่มีความจริง  บุคคลที่ปราศจากชีวิตนั้นน่าสมเพชที่สุด  การที่เชื่อในพระเจ้าแต่ทว่าไม่เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ไม่ได้มาซึ่งความจริงนั้นเป็นบุคคลประเภทที่น่าสมเพชที่สุดและเป็นสิ่งที่น่าสลดใจที่สุด  เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่?  (ใช่)  เราไม่ขอให้พวกเจ้าสามารถปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงได้ในทุกสิ่ง แต่อย่างน้อยที่สุด ในการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งมีนัยสำคัญของเจ้าและในเรื่องที่สำคัญทั้งหลายในชีวิตประจำวันของเจ้าซึ่งเกี่ยวกับหลักธรรม เจ้าก็ควรสามารถปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงได้  อย่างน้อยที่สุดเจ้าต้องสัมฤทธิ์มาตรฐานนี้เพื่อที่จะมองเห็นความหวังของความรอดในตัวเจ้าเอง  แต่สำหรับตอนนี้ พวกเจ้ายังขึ้นไปไม่ถึงข้อพึงพระสงค์พื้นฐานที่สุดด้วยซ้ำ เจ้ายังไม่ได้สัมฤทธิ์ข้อพึงประสงค์ใดเลย  นี่เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างลึกซึ้งและน่าสลดอย่างมาก

ในสามปีแรกที่ผู้คนเชื่อในพระเจ้า พวกเขามีความสุขและชื่นบาน  ทุกวันพวกเขาคิดถึงการรับพระพรและการมีบั้นปลายที่แสนวิเศษ  พวกเขาเชื่อว่าพฤติกรรมดีภายนอกเช่น การทนทุกข์เพื่อพระเจ้า การวิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้มากขึ้น การทำความประพฤติดีมากขึ้น และการถวายเงินมากขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ผู้เชื่อในพระเจ้าพึงทำ  หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาสามถึงห้าปี ถึงแม้ผู้คนเข้าใจคำสอนบางอย่าง แต่พวกเขาก็ยังคงเชื่อในพระเจ้าไปตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน  พวกเขาดำเนินชีวิตไปตามพฤติกรรมที่ดี ตามมโนธรรมของพวกเขา และตามความเป็นมนุษย์ที่ดี มากกว่าที่จะดำเนินชีวิตไปตามหลักธรรมความจริง หรือทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของตนและเป็นเกณฑ์ประเมินที่พวกเขาใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวางตัวและปฏิบัติตน  ผู้คนเช่นนั้นกำลังเดินตามเส้นทางใด?  นี่คือเส้นทางที่เปาโลเดินตามไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ปัจจุบันนี้พวกเจ้าก็พบว่าตัวเองอยู่ในสภาวะนี้ไม่ใช่หรือ?  หากในเวลาส่วนใหญ่ พวกเจ้าพบว่าตัวเองอยู่ในสภาวะนี้ เช่นนั้นการฟังคำเทศนามามากมายเหลือเกินนั้นเกิดประโยชน์หรือ?  ไม่สำคัญว่าคำเทศนาที่เจ้าฟังนั้นเป็นประเภทใด เจ้าก็ไม่ได้กำลังฟังเพื่อเข้าใจความจริง หรือเพื่อมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวางตัวและปฏิบัติตนบนพื้นฐานของหลักธรรมความจริงในชีวิตประจำวันของเจ้า แต่เจ้ากลับกำลังฟังเพื่อเห็นแก่การเสริมสร้างโลกฝ่ายวิญญาณของเจ้าและประสบการณ์แบบมนุษย์ของเจ้า  ในกรณีนั้น ไม่มีความจำเป็นเลยที่เจ้าต้องฟังคำเทศนา ใช่หรือไม่?  คนบางคนพูดว่า “การไม่ฟังคำเทศนานั้นใช้ไม่ได้  ถ้าฉันไม่ฟังคำเทศนา ฉันก็ขาดความกระตือรือร้นในการเชื่อในพระเจ้าของตัวเอง และเมื่อเป็นเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ ฉันก็ไม่มีความกระตือรือร้นหรือแรงจูงใจ  โดยการฟังคำเทศนาเป็นครั้งคราว ฉันมีความกระตือรือร้นในความเชื่อของฉันอยู่บ้าง ฉันรู้สึกได้รับการเติมเต็มและได้รับการเสริมสร้างขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แล้วจากนั้นเมื่อฉันเผชิญความลำบากยากเย็นหรือความคิดลบใดในหน้าที่ของฉัน ฉันก็มีแรงจูงใจอยู่บ้าง และโดยมากแล้วฉันก็ไม่กลายเป็นคิดลบ”  การฟังคำเทศนานั้นทำเพื่อเห็นแก่การสัมฤทธิ์ผลนี้หรือ?  ผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งได้ฟังคำเทศนามาแล้วหลายปีไม่ยอมไปจากคริสตจักรไม่ว่าพวกเขาจะถูกตัดแต่ง บ่มวินัยและสั่งสอนอย่างไร  การสัมฤทธิ์ผลแบบนี้มีความสัมพันธ์บางอย่างกับการฟังคำเทศนา แต่สิ่งที่เราต้องการเห็นนั้นไม่ใช่เพียงแค่ให้ไฟที่กำลังมอดดับในหัวใจของเจ้ากลับมาจุดประกายอีกครั้งหลังจากที่พวกเจ้าฟังการเทศนาแต่ละครั้ง  เรื่องไม่ได้มีแค่นั้น  แค่ความกระตือรือร้นนั้นไม่มีประโยชน์  ความกระตือรือร้นไม่ควรถูกใช้เพื่อการทำความชั่วหรือเพื่อการละเมิดหลักธรรมความจริง  ความกระตือรือร้นมีไว้เพื่อทำการไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยเป้าหมายและทิศทางที่มากขึ้น—เจ้าควรพากเพียรไปสู่หลักธรรมความจริงทั้งหลายและปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงเหล่านั้น  แล้วการฟังคำเทศนาทั้งหลายสามารถสัมฤทธิ์ผลแบบนี้ได้หรือ?  หลังการเทศนาแต่ละครั้ง ในหัวใจเจ้าเหมือนมีไฟ เหมือนเจ้าได้เติมกระแสไฟหรือถูกอัดลมเข้าไปจนเต็ม  เจ้ารู้สึกเต็มเพียบไปด้วยความกระตือรือร้นอีกครั้ง เจ้ารู้ว่าเจ้าควรสัมฤทธิ์ในด้านใดเป็นลำดับถัดไปโดยไม่เคยหย่อนยานหรือคิดลบ และนานๆ ครั้งจึงจะอ่อนแอ  อย่างไรก็ตาม การสำแดงเหล่านี้ไม่ใช่ภาวะสำหรับการบรรลุความรอด  มีหลายภาวะเพื่อการบรรลุความรอด  อันดับแรกคือเจ้าต้องเต็มใจที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้าและฟังคำเทศนา อันดับที่สองและนี่เป็นภาวะที่สำคัญที่สุดด้วยเช่นกันก็คือ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ที่เจ้าเผชิญในชีวิตประจำวันของเจ้าจะเป็นอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่สัมพันธ์กับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและกับงานหลักแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าต้องสามารถแสวงหาหลักธรรมความจริง แทนที่จะกระทำไปตามแนวคิดของตัวเจ้าเอง ทำสิ่งใดก็ตามแต่ที่เจ้าปรารถนา หรือบุ่มบ่ามและทำตามอำเภอใจ  จุดประสงค์ของการที่เราสามัคคีธรรมกับพวกเจ้าอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเกี่ยวกับความจริง และการอธิบายหลักธรรมของเรื่องต่างๆ แบบนี้ก็ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือบังคับให้เจ้าทำเกินความสามารถของเจ้า และนี่ไม่ใช่แค่ทำให้พวกเจ้ากระตือรือร้น  แต่กลับกัน นี่เป็นไปเพื่อให้พวกเจ้าเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้น เข้าใจหลักธรรมและพื้นฐานสำหรับการทำสิ่งต่างๆ นานาและวิธีที่ผู้คนควรกระทำเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่กระทำไปตามอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ความคิดและมุมมอง รวมทั้งความรู้ของตนในยามที่เผชิญกับเรื่องทั้งหลาย แต่แทนที่สิ่งเหล่านี้ด้วยหลักธรรมความจริง  นี่คือหนึ่งในหนทางหลักที่พระเจ้าทรงใช้ช่วยผู้คนให้รอด  นั่นก็เพื่อให้เจ้าสามารถใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานและเป็นหลักธรรมของเจ้าในทุกสิ่งที่เจ้าเผชิญ อีกทั้งเพื่อให้พระวจนะของพระองค์ครองอำนาจในทุกเรื่อง  กล่าวอีกอย่างก็คือ นั่นก็เพื่อให้เจ้าสามารถรับมือและแก้ไขทุกเรื่องได้โดยมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานแทนที่จะพึ่งพาการเลือกชอบและเชาว์ปัญญาแบบมนุษย์ หรือเข้าจัดการทุกเรื่องไปตามรสนิยม ความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีแบบมนุษย์  โดยผ่านทางการประกาศและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงในลักษณะนี้ พระวจนะของพระเจ้าและความจริงจึงถูกกอปรขึ้นในตัวผู้คน ทำให้พวกเขาสามารถมีชีวิตซึ่งมีความจริงเป็นความเป็นจริงของตน  นี่คือเครื่องหมายแห่งความรอด  ไม่ว่าเจ้าเผชิญสิ่งใด เจ้าควรทุ่มความพยายามมากขึ้นให้กับหลักธรรมความจริงและพระวจนะของพระเจ้า  นี่คือบุคคลประเภทที่มีปัญญาและไล่ตามเสาะหาความรอด  พวกที่ทุ่มความพยายามให้กับพฤติกรรมภายนอก พิธีการ คำสอนและคำขวัญทั้งหลายเสมอนั้นเป็นผู้คนที่โง่เง่า  พวกเขาไม่ใช่บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความรอด  พวกเจ้าไม่เคยคำนึงถึงสิ่งแบบนี้มาก่อน หรือแทบไม่คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้เลย ดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องเหล่านี้ของการปฏิบัติหลักธรรมความจริง โดยพื้นฐานแล้วจิตใจของพวกเจ้าก็ว่างเปล่า  พวกเจ้าไม่คิดว่าเรื่องนี้สำคัญ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญสถานการณ์ที่เกี่ยวกับหลักธรรมความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาถึงสถานการณ์สำคัญหลักๆ บางอย่าง เมื่อเจ้าเผชิญกับศัตรูของพระคริสต์หรือผู้คนชั่วที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร พวกเจ้าก็นิ่งเฉยอย่างมากเสมอ  เจ้าไม่รู้วิธีที่จะรับมือกับเรื่องเหล่านี้และเจ้าก็เข้าจัดการเรื่องเหล่านี้ไปบนพื้นฐานของความรู้สึกและสิ่งจูงใจอันเห็นแก่ตัวของเจ้า  เจ้าไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาปกป้องงานของคริสตจักรได้ และถึงที่สุดแล้วเจ้าก็จบลงตรงการล้มเหลวและการปิดจบเรื่องนั้นลงอย่างสะเพร่าและลุกลี้ลุกลนเสมอ  หากไม่มีการสืบสวนในเรื่องเหล่านี้ เจ้าก็จะสามารถเอาตัวรอดไปได้  หากมีการสืบสวนเพื่อหาตัวผู้รับผิดชอบ เจ้าก็อาจจะถูกถอดจากตำแหน่งหรือถูกมอบหมายให้ไปทำหน้าที่อื่น หรือที่แย่กว่านั้นคือเจ้าอาจถูกขับไสไปอยู่กลุ่ม ข หรือคนบางคนอาจจะถูกเอาตัวออกไปด้วยซ้ำ  จุดจบเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเจ้าปรารถนาที่จะเห็นเช่นนั้นหรือ?  (ไม่ปรารถนา)  หากวันหนึ่งเจ้าถูกถอดจากตำแหน่ง หรือให้หยุดทำหน้าที่ของเจ้าจริงๆ หรือในกรณีที่รุนแรงกว่าคือ หากเจ้าถูกส่งไปยังคริสตจักรทั่วไปหรือกลุ่ม ข เจ้าจะทบทวนตัวเองหรือไม่?  “ฉันเชื่อในพระเจ้าไปก็เพื่อจบลงตรงนี้หรือ?  ฉันเลิกล้มการงาน ความสำเร็จที่น่าจะเป็นไปได้ในอนาคต ครอบครัวของฉัน และละทิ้งไปมากมายเหลือเกินก็แค่เพื่อที่จะถูกวางในกลุ่ม ข หรือถูกเอาตัวออกไปเท่านั้นหรือ?  ฉันเชื่อในพระเจ้าไปก็เพื่อที่จะต่อต้านพระองค์หรือยังไง?  แน่นอนว่านั่นไม่ควรเป็นจุดประสงค์ของความเชื่อในพระเจ้าของฉันไม่ใช่หรือ?  เช่นนั้นฉันกำลังเชื่อในพระเจ้าเพื่ออะไร?  ฉันควรตริตรองเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ?  วางเรื่องการเชื่อในพระเจ้าเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระองค์ไปก่อน อย่างน้อยที่สุด ฉันก็ควรได้มาซึ่งชีวิตและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  อย่างน้อยที่สุดฉันก็ควรสามารถที่จะสำนึกได้ว่าพระวจนะของพระเจ้าและความจริงแง่มุมใดที่ได้กลายมาเป็นชีวิตของฉัน  ฉันควรสามารถพึ่งพาความจริงในการดำเนินชีวิต อีกทั้งมีชัยเหนือซาตานและเหนืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง รวมทั้งฉันควรสามารถขัดขืนเนื้อหนังและทิ้งมโนคติอันหลงผิดของตัวฉันเองได้  ยามที่สิ่งทั้งหลายบังเกิดแก่ฉัน ฉันควรค้ำจุนหลักธรรมความจริงอย่างสมบูรณ์  ฉันไม่ควรปฏิบัติตนไปตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง ฉันควรสามารถปฏิบัติตนไปตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างราบรื่นและเป็นธรรมชาติโดยปราศจากความลำบากยากเย็นและอุปสรรคกีดขวางอันใด  ฉันควรสำนึกอย่างลึกซึ้งว่าพระวจนะของพระเจ้าและความจริงได้กอปรกันขึ้นในตัวฉัน กลายเป็นชีวิตของฉัน และกลายเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ของฉันเรียบร้อยแล้ว  นี่เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยินดี และเป็นบางสิ่งที่ควรค่าแก่การฉลอง”  โดยปกติแล้วพวกเจ้ารู้สึกแบบนี้หรือไม่?  เมื่อประเมินผลของความทุกข์ที่เจ้าสู้ทนมากับราคาที่เจ้าได้จ่ายไปในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าหลายปีที่ผ่านมา เจ้าจะรู้สึกสุดวิเศษในหัวใจของเจ้า  เจ้าจะรู้สึกมีความหวังสำหรับความรอดของเจ้า และได้ลิ้มรสชาติความหอมหวานของการเข้าใจความจริงและการสละตนเพื่อพระเจ้า  พวกเจ้าได้รู้สึกหรือได้รับประสบการณ์กับสิ่งเช่นนั้นหรือไม่?  หากพวกเจ้ายังไม่รู้สึก พวกเจ้าควรทำอย่างไร?  (เริ่มการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงจังนับแต่นี้ไป)  เริ่มการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงจังนับแต่นี้ไป—แต่เจ้าควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไรหรือ?  เจ้าจำเป็นต้องทบทวนเรื่องทั้งหลายที่เจ้ากบฏต่อพระเจ้าบ่อยครั้ง  พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมสภาพการณ์เพื่อเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อสอนบทเรียนให้กับเจ้า เพื่อเปลี่ยนแปลงเจ้าผ่านทางเรื่องเหล่านี้ เพื่อให้พระวจนะของพระองค์ทำงานในตัวเจ้า เพื่อทำให้เจ้าเข้าสู่แง่มุมของความเป็นจริงความจริง และเพื่อหยุดยั้งไม่ให้เจ้าดำเนินชีวิตไปตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานในเรื่องเหล่านั้น และเพื่อให้เจ้าดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าแทน เพื่อให้พระวจนะของพระองค์กอปรกันขึ้นในตัวเจ้าและกลายเป็นชีวิตของเจ้า  แต่บ่อยครั้งที่เจ้ากบฏต่อพระเจ้าในเรื่องเหล่านี้ ทั้งยังไม่นบนอบพระเจ้าและไม่ยอมรับความจริง ไม่ใช้พระวจนะของพระองค์เป็นหลักธรรมที่เจ้าควรปฏิบัติตาม และไม่ใช้ชีวิตไปตามพระวจนะของพระองค์  นี่ทำร้ายพระเจ้าและเจ้าก็สูญเสียโอกาสสำหรับความรอดครั้งแล้วครั้งเล่า  แล้วเจ้าควรกลับตัวอย่างไรหรือ?  เริ่มจากวันนี้ เจ้าควรนบนอบการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า ยอมรับพระวจนะของพระองค์เป็นความเป็นจริงความจริง ยอมรับพระวจนะของพระองค์เป็นชีวิต และเปลี่ยนแปลงหนทางที่เจ้าดำเนินชีวิตในเรื่องทั้งหลายที่เจ้าสามารถระลึกได้ผ่านการทบทวนตัวเองและสำนึกได้อย่างชัดเจน  ยามที่เจ้าเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าควรขัดขืนเนื้อหนังและการเลือกชอบของเจ้า รวมทั้งปฏิบัติตนไปตามหลักธรรมความจริง  นี่คือเส้นทางแห่งการปฏิบัติไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  หากเจ้าแค่เพียงเจตนาไล่ตามไขว่คว้าอย่างจริงจังตั้งใจในภายหน้า แต่ขาดเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง นั่นย่อมไม่มีอะไรดีเลย  หากเจ้ามีเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจงแบบนี้และเต็มใจที่จะขัดขืนเนื้อหนังของเจ้าและเริ่มต้นใหม่แบบนี้ เช่นนั้นก็ยังคงมีความหวังสำหรับเจ้า  หากเจ้าไม่เต็มใจปฏิบัติในหนทางนี้และกลับยึดติดอยู่กับเส้นทางแบบเดิม ยึดติดกับแนวคิดเก่าๆ และดำเนินชีวิตโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า เช่นนั้นพวกเราก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว  หากเจ้าพอใจแค่การเป็นคนลงแรง แล้วจะมีอะไรให้พูดอีกเล่า?  เรื่องของความรอดไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าเลย และเจ้าก็ไม่สนใจเรื่องนั้น ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้เสวนาอีกแล้ว  หากเจ้าเต็มใจจริงๆ ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและความรอด เช่นนั้นก้าวแรกก็คือเริ่มต้นด้วยการฝ่าพ้นจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าเอง พ้นจากความคิด มโนคติอันหลงผิดและการกระทำอันคลาดเคลื่อนนานัปการของเจ้า  จงยอมรับสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการให้ในชีวิตประจำวันของเจ้า จงโอบกอดการพินิจพิเคราะห์ การทดสอบ การตีสอน และการพิพากษาของพระองค์ จงพากเพียรที่จะค่อยๆ ปฏิบัติไปตามหลักธรรมความจริงเมื่อสิ่งต่างๆ บังเกิดแก่เจ้า และมีความคืบหน้าในการแปรพระวจนะของพระเจ้าไปเป็นหลักธรรมและเกณฑ์ประเมินสำหรับวิธีที่เจ้าวางตัวและปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันของเจ้า รวมทั้งเป็นชีวิตของเจ้า  นี่เป็นสิ่งที่ควรสำแดงในตัวผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และเป็นสิ่งที่ควรสำแดงในบุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความรอด  นั่นฟังดูง่าย ขั้นตอนก็เรียบง่ายและไม่มีการเปิดโปงแบบยืดยาว แต่การนำมาปฏิบัตินั้นไม่ง่ายเลย  นี่เป็นเพราะมีสิ่งเสื่อมทรามอยู่มากเหลือเกินในตัวผู้คน อันได้แก่ ความน่าสมเพช กลอุบายเล็กๆ น้อยๆ ความเห็นแก่ตัว และความต่ำช้าของพวกเขา อุปนิสัยอันเสื่อมทรามและเล่ห์เหลี่ยมสารพัดของพวกเขา  ที่เพิ่มเติมก็คือ คนบางคนมีความรู้ พวกเขาได้เรียนรู้ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกและชั้นเชิงด้านการบงการบางอย่างในสังคม และพวกเขาก็มีข้อบกพร่องและตำหนิบางอย่างในแง่ของความเป็นมนุษย์  ตัวอย่างเช่น คนบางคนตระหนี่ถี่เหนียวและขี้เกียจ ส่วนคนอื่นๆ ก็ปากหวานก้นเปรี้ยว บ้างก็มีธรรมชาติเยี่ยงเศษสวะอย่างรุนแรง ส่วนคนอื่นๆ ก็ถือดี ไม่ก็มุทะลุและหุนหันพลันแล่นในการกระทำของตน ร่วมไปกับความผิดอื่นๆ มากมาย  มีความขาดตกบกพร่องและปัญหามากมายที่ผู้คนจำเป็นต้องเอาชนะในแง่ของความเป็นมนุษย์ของตน  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าปรารถนาที่จะบรรลุความรอด หากเจ้าปรารถนาที่จะปฏิบัติและรับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งได้รับความจริงและชีวิต เจ้าต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น ต้องบรรลุความเข้าใจความจริง ต้องสามารถปฏิบัติและนบนอบพระวจนะของพระองค์ และตั้งต้นโดยการปฏิบัติความจริงและการค้ำจุนหลักธรรมความจริง  เหล่านี้เป็นเพียงประโยคเรียบง่ายไม่กี่ประโยค แต่ผู้คนก็ยังไม่รู้ว่าจะปฏิบัติหรือรับประสบการณ์กับประโยคเหล่านี้อย่างไร  ไม่สำคัญว่าเจ้ามีขีดความสามารถหรือมีการศึกษาอย่างไร และไม่สำคัญว่าเจ้ามีอายุเท่าไรหรือมีความเชื่อมากี่ปี ไม่ว่าในกรณีใด หากเจ้าอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องของการปฏิบัติความจริงโดยมีเป้าหมายและทิศทางที่ถูกต้อง และหากสิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาและมานะพยายามล้วนเพื่อเห็นแก่การปฏิบัติความจริง สิ่งที่เจ้าจะได้รับในท้ายที่สุดโดยปราศจากข้อสงสัยก็คือความเป็นจริงความจริงและการที่พระวจนะของพระเจ้ากลายมาเป็นชีวิตของเจ้า  ก่อนอื่นให้กำหนดเป้าหมายของเจ้า จากนั้นก็ค่อยๆ ปฏิบัติไปตามเส้นทางนี้ และสุดท้ายแล้ว เจ้าก็จะได้รับบางสิ่งอย่างแน่นอน  พวกเจ้าเชื่อเช่นนี้หรือไม่?  (เชื่อ)

สิ่งที่พวกเรากำลังสามัคคีธรรมกันอยู่ตรงช่วงระยะนี้ก็คือการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า แนวคิดและความอยากได้อยากมีของผู้คน  ในการชุมนุมครั้งล่าสุดของพวกเรา พวกเราสามัคคีธรรมกันไปเกี่ยวกับการปล่อยมือจากภาระบางอย่างที่มาจากครอบครัวของคนเรา  เมื่อคำนึงถึงหัวข้อของภาระทั้งหลายที่มาจากครอบครัวของคนเรา อันดับแรกพวกเราก็ได้สามัคคีธรรมกันไปเกี่ยวกับความมุ่งหวังที่พ่อแม่เก็บงำไว้ จากนั้นก็เกี่ยวกับความมุ่งหวังที่พ่อแม่มีต่อลูกหลานของตัวเอง  ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ผู้คนควรปล่อยมือในกระบวนการของการไล่ตามเสาะหาความจริงใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อคำนึงถึงการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า แนวคิดและความอยากได้อยากมีของผู้คน พวกเราได้แจงรายการกันไว้รวมสี่รายการ  รายการแรกคือ ความสนใจและงานอดิเรก รายการที่สองคือการสมรส และรายการที่สามคือครอบครัว—พวกเราได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับสามรายการนี้ไปเรียบร้อยแล้ว  รายการสุดท้ายที่ค้างอยู่คืออะไร?  (อาชีพการงาน)  รายการที่สี่ก็คืออาชีพการงาน พวกเราควรสามัคคีธรรมเกี่ยวกับรายการนี้  พวกเจ้าคนใดบ้างที่ตริตรองเกี่ยวกับหัวข้อนี้มาก่อน?  หากเจ้าเคยทำ เจ้าก็พูดมาก่อนได้เลย  (ข้าพระองค์เคยคิดว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวของใครคนหนึ่งในอาชีพการงานของพวกเขาสะท้อนให้เห็นความสำเร็จหรือความล้มเหลวของพวกเขาในฐานะบุคคลคนหนึ่ง  ข้าพระองค์คิดว่าถ้าใครบางคนขาดการทุ่มเทอุทิศในอาชีพการงานของตนหรือสร้างปัญหายุ่งเหยิงในอาชีพการงานของตน นั่นเป็นนัยสำคัญว่าพวกเขาล้มเหลวไปแล้วในฐานะบุคคล)  ทีนี้เมื่อเป็นประเด็นปัญหาเรื่องการปล่อยมือจากอาชีพการงาน อะไรหรือที่ควรถูกปล่อยมือ?  (ผู้คนควรปล่อยมือจากความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตนที่เกี่ยวกับอาชีพการงาน)  นั่นเป็นหนทางหนึ่งที่จะมองเรื่องนี้  พวกเจ้านึกถึงสิ่งใดได้บ้างเพื่อที่จะปล่อยมือในเรื่อง “อาชีพการงาน” ซึ่งอยู่ในหัวข้อของการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า แนวคิดและความอยากได้อยากมีของผู้คน?  เจ้าควรแก้ไขความเดือดร้อนนานับประการที่อาชีพการงานนำพามาสู่เจ้าในกระบวนการของการไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ใช่หรือ?  (ในอดีต ตอนที่ข้าพระองค์อยู่ในโลกปุถุชน ข้าพระองค์เคยเชื่อว่าข้าพระองค์จำเป็นต้องประสบความสำเร็จในอาชีพการงานของตัวเอง เชื่อว่าข้าพระองค์จำเป็นต้องสัมฤทธิ์การเป็นที่ยอมรับบ้าง  ผลลัพธ์ก็คือ ข้าพระองค์ไล่ตามไขว่คว้าอาชีพการงานของตัวเองอย่างไม่คิดชีวิตโดยต้องการที่จะทำให้ตัวเองโดดเด่นออกมา  แม้กระทั่งหลังจากที่ข้าพระองค์มาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ข้าพระองค์ก็ยังต้องการที่จะโดดเด่นในพระนิเวศของพระเจ้า ที่จะทำให้คนอื่นเคารพยกย่องข้าพระองค์  นี่กลายเป็นอุปสรรคกีดขวางที่มีนัยสำคัญต่อการเข้าสู่ชีวิตของข้าพระองค์)  สิ่งที่พวกเจ้าเข้าใจโดยอาชีพการงานก็คือการไล่ตามไขว่คว้าเชิงปัจเจกบุคคลโดยเฉพาะ นั่นยังไปเกี่ยวกับเส้นทางที่คนเราใช้อีกด้วย  ดังนั้นในการสามัคคีธรรมของพวกเราว่าด้วย “อาชีพการงาน” ภายใต้หัวข้อของการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า แนวคิดและความอยากได้อยากมีของผู้คน เราจะไม่เอ่ยถึงเนื้อหาใดที่เกี่ยวกับการไล่ตามไขว่คว้าของผู้คนในตอนนี้  โดยเบื้องต้นนั้นพวกเราจะพูดเกี่ยวกับความหมายตามตัวอักษรของ “อาชีพการงาน”  “อาชีพการงาน” อ้างอิงถึงอะไรหรือ?  อาชีพการงานอ้างอิงถึงงานหรือการลงแรงที่ผู้คนร่วมทำเพื่อจัดเตรียมให้กับครอบครัวของตนในขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ในโลก  หัวข้อนี้อยู่ภายในขอบเขตของ “อาชีพการงาน” ภายใต้หัวข้อของการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า แนวคิดและความอยากได้อยากมีของผู้คน ที่พวกเราปรารถนาจะสามัคคีธรรมกัน  นี่เป็นขอบเขตและหลักธรรมสำหรับการทำการงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวของคนคนหนึ่ง และสำหรับการเลือกสายอาชีพในสังคมขณะที่เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง  ตามธรรมชาติแล้วนี่จะเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อยกับส่วนของเนื้อหาที่เกี่ยวกับการไล่ตามไขว่คว้าของผู้คนและเกี่ยวกับข้อพึงประสงค์สำหรับงานที่ผู้เชื่อคนหนึ่งร่วมทำ  นั่นพูดได้เช่นกันว่าสัมพันธ์กับความคิดและมุมมองที่ผู้เชื่อคนหนึ่งควรมีต่องานการและอาชีพการงานสารพันในโลก  หัวข้อทั้งหลายที่เกี่ยวกับอาชีพการงานนั้นค่อนข้างกว้าง พวกเราจะจัดแบ่งหัวข้อเหล่านั้นออกเป็นหมวดหมู่ และการทำเช่นนั้นก็เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจสิ่งที่เป็นมาตรฐานและข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้ามีสำหรับอาชีพการงานที่บรรดาผู้เชื่อและผู้ไล่ตามเสาะหาความจริงทำ รวมไปถึงความคิดและมุมมองที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้บรรดาผู้เชื่อและผู้ไล่ตามเสาะหาความจริงมี ในขณะที่พวกเขาทำหรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับสายอาชีพต่างๆ  นี่จะทำให้ผู้คนปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้าและความอยากได้อยากมีที่สัมพันธ์กับอาชีพการงาน ซึ่งมีอยู่ภายในมโนคติอันหลงผิดและความปรารถนาของตน  ในเวลาเดียวกัน นี่ก็จะแก้ไขมุมมองอันไม่ถูกต้องที่ผู้คนมีเกี่ยวกับสายอาชีพที่พวกเขาทำหรืออาชีพการงานที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าในโลก  พวกเราจะแยกเนื้อหาที่ว่าด้วยอาชีพการงานที่ผู้คนควรปล่อยมือออกเป็นสี่รายการหลัก  รายการแรกที่ผู้คนจำเป็นต้องเข้าใจก็คือการไม่ร่วมทำการกุศล รายการที่สองก็คือการพอใจในอาหารและเครื่องนุ่งห่ม รายการที่สามคือ การอยู่ห่างจากกำลังบังคับนานาประการทางสังคม รายการที่สี่คือการอยู่ห่างจากการเมือง  พวกเราจะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยมือจากอาชีพการงานโดยมีเนื้อหาของสี่รายการนี้เป็นพื้นฐาน  ลองคิดดูเถิดว่า เนื้อหาของสี่รายการนี้มีสิ่งใดสัมพันธ์กับสิ่งที่พวกเจ้าได้สามัคคีธรรมกันมาบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  อะไรคือสิ่งที่พวกเจ้าสามัคคีธรรมกันตลอดมา?  (การไล่ตามไขว่คว้าส่วนบุคคล)  สิ่งที่พวกเจ้าสามัคคีธรรมกันตลอดมานั้นไม่เกี่ยวกับหลักธรรมความจริง แค่สัมพันธ์กับการไล่ตามไขว่คว้าส่วนบุคคลเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง  สี่ประเด็นหลักนี้ที่พวกเรากำลังสามัคคีธรรมกันอยู่นั้นเกี่ยวข้องกับหลักธรรมนานับประการภายในหัวข้อของอาชีพการงาน  หากผู้คนเข้าใจหลักธรรมนานับประการเหล่านี้ ก็ย่อมง่ายที่พวกเขาจะปล่อยมือจากสิ่งซึ่งพึงปล่อยมือในส่วนที่สัมพันธ์กับอาชีพการงานในช่วงระหว่างกระบวนการไล่ตามเสาะหาความจริง  นั่นย่อมง่ายที่พวกเขาจะปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้เพราะพวกเขาเข้าใจแง่มุมเหล่านี้ของความจริง  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่เข้าใจความจริงเหล่านี้ ก็ย่อมจะยากลำบากมากที่จะปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้  พวกเรามาสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมสี่ประการนี้สำหรับการปล่อยมือจากอาชีพการงานไปทีละประการกันเถิด

ก่อนอื่นต้องไม่ร่วมทำการกุศล  การที่จะไม่ร่วมทำการกุศลหมายถึงอะไร?  เป็นการง่ายที่จะเข้าใจความหมายตามตัวอักษรของคำเหล่านี้  พวกเจ้าล้วนมีมโนคติบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องของการกุศลใช่หรือไม่?  ตัวอย่างเช่นสถานเด็กกำพร้า สถานพักพิงและองค์กรการกุศลโน่นนี่ในสังคม—องค์กรและชื่อสถานที่เหล่านี้สัมพันธ์กับงานการกุศล  ดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องของอาชีพการงานที่ผู้คนทำ ข้อพึงประสงค์แรกของพระเจ้าคือการที่พวกเขาไม่ร่วมทำการกุศล  นี่หมายถึงอะไร?  นี่หมายความว่าผู้คนไม่ควรทำสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการกุศลหรือเข้าร่วมอุตสาหกรรมใดที่สัมพันธ์กับการกุศล  นี่เข้าใจได้ง่ายไม่ใช่หรือ?  ในฐานะบุคคลหนึ่งผู้ซึ่งเชื่อในพระเจ้า ผู้ซึ่งดำรงชีวิตอยู่ในร่างกาย ผู้ซึ่งมีครอบครัวและชีวิต อีกทั้งจำเป็นต้องมีเงินไว้เกื้อหนุนตัวเองกับครอบครัว เจ้าจึงจำเป็นต้องประกอบอาชีพ  ไม่ว่าเจ้าประกอบอาชีพประเภทใด ข้อพึงประสงค์แรกของพระเจ้าสำหรับผู้คนก็คือต้องไม่ร่วมทำการกุศล  เจ้าไม่ควรทำการกุศลเพราะเจ้าเชื่อในพระเจ้า  หรือทำการกุศลเพื่อเห็นแก่การยังชีพทางกายของตัวเอง  งานแบบนั้นไม่ใช่สายอาชีพที่เจ้าควรทำ  นั่นไม่ใช่สายอาชีพที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้า และแน่นอนว่าไม่ใช่หน้าที่ซึ่งพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้า  สิ่งทั้งหลายอย่างการกุศลนั้นไม่เกี่ยวกับบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ในทางกลับกัน คนคนหนึ่งอาจพูดได้ว่าหากเจ้าร่วมทำการกุศล พระเจ้าจะไม่ทรงรำลึกถึงการนั้น  ต่อให้เจ้าทำได้ดีจนพึงพอใจและได้รับการยอมรับจากสังคมและแม้แต่จากพี่น้องชายหญิง พระเจ้าก็จะไม่ทรงรับรู้หรือรำลึกถึงการนั้น  พระเจ้าจะไม่ทรงรำลึกถึงเจ้าหรือทรงอวยพรเจ้าในท้ายที่สุด หรือทรงให้ข้อยกเว้นและทรงอนุญาตให้เจ้าบรรลุความรอด หรือประทานบั้นปลายอันแสนวิเศษให้กับเจ้าเพราะเจ้าร่วมทำการกุศล เพราะเจ้าเคยเป็นนักสังคมสงเคราะห์ผู้ยิ่งใหญ่ ช่วยเหลือผู้คนมากมาย ทำความประพฤติดีไว้นับไม่ถ้วน ทำคุณประโยชน์ให้ผู้คนมากมายหรือแม้แต่เคยช่วยหลายชีวิตให้รอด  นั่นก็คือ การร่วมทำงานการกุศลไม่ใช่ภาวะที่จำเป็นสำหรับความรอด  แล้วเรื่องของการกุศลนั้นมีอะไรบ้าง?  ในความเป็นจริงไม่มากก็น้อย ทุกคนมีหนึ่งหรือสองสิ่งในจิตใจของตนที่ถือได้ว่าเป็นงานการกุศลประเภทหนึ่งอย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่นการรับอุปการะสุนัขจร  เพราะบางประเทศไม่มีการควบคุมสัตว์เลี้ยงที่เข้มงวด หรือเนื่องจากภาวะทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ เจ้าจึงพบเห็นสุนัขจรอยู่บ่อยๆ ตามถนนหนทางหรือในบางพื้นที่  “สุนัขจร” หมายความว่าอะไร?  คำนี้หมายความว่าผู้คนบางคนไม่สามารถมีพอจับจ่ายที่จะเก็บสุนัขของตนไว้ หรือไม่ก็ไม่ต้องการทำอย่างนั้น พวกเขาจึงทอดทิ้งสุนัขเหล่านั้น หรือสุนัขอาจหลงทางด้วยเหตุผลบางอย่าง และตอนนี้ก็มาเร่ร่อนอยู่ตามถนน  เจ้าอาจจะคิดว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันจึงควรอุปการะสัตว์เหล่านี้ เพราะการทำความดีคือเจตนารมณ์ของพระเจ้า เป็นบางสิ่งซึ่งนำพาความพระสิริมาสู่พระนามของพระเจ้า และเป็นความรับผิดชอบที่เหล่าผู้เชื่อในพระเจ้าควรทำ  นั่นเป็นภาระผูกพันที่ไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้”  ดังนั้นพอเจ้าเห็นสุนัขหรือแมวจร เจ้าก็นำพวกมันกลับมาอุปการะที่บ้าน ใช้ชีวิตอย่างกระเหม็ดกระแหม่เพื่อที่จะซื้ออาหารมาเลี้ยงพวกมัน  คนบางคนถึงกับเอาเงินเดือนและค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตของตนมาลงทุนตรงนี้ และสุดท้ายพวกเขาก็อุปการะสุนัขและแมวเพิ่มขึ้นทุกทีจนจำเป็นต้องเช่าบ้าน  ในการทำเช่นนั้น เงินค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตของพวกเขาจึงไม่เพียงพอขึ้นทุกทีและเงินเดือนของพวกเขาก็ไม่อาจครอบคลุมอีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยิบยืมเงิน  แต่ไม่ว่าสิ่งทั้งหลายเริ่มหนักหนาสาหัสเพียงไร พวกเขาก็รู้สึกว่านี่คือภาระผูกพันที่ตัวเองไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้ เป็นความรับผิดชอบที่ตัวเองไม่อาจละทิ้ง และพวกเขาควรมองว่าการกระทำนี้เป็นความประพฤติที่ดีและทำไปตามนั้น  พวกเขาคิดว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความจริงและกำลังค้ำจุนหลักธรรม  พวกเขาใช้จ่ายเงิน พลังงาน และเวลามหาศาลไปกับการอุปการะสุนัขและแมวจรเหล่านี้เพื่อที่จะร่วมทำงานการกุศล และพวกเขาก็รู้สึกสบายใจและสำเร็จลุล่วงในหัวใจอย่างมาก พวกเขารู้สึกดีกับตัวเองจริงๆ และบางคนถึงกับคิดว่า “นี่คือการถวายพระสิริให้กับพระเจ้า ฉันกำลังอุปการะสิ่งทรงสร้างที่พระเจ้าทรงสร้างมา—นี่เป็นความประพฤติดีอันประเมินค่ามิได้เลย และพระเจ้าจะทรงรำลึกถึงอย่างแน่นอน”  ความคิดเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  พระเจ้าไม่ได้ทรงไว้วางพระทัยมอบหมายกิจนี้ให้กับเจ้า  กิจนี้ไม่ใช่ทั้งภาระผูกพันและความรับผิดชอบของเจ้า  หากเจ้าบังเอิญไปพบเจอสุนัขหรือแมวจรและเจ้าเกิดความชอบในตัวพวกมันขึ้นมา การอุปการะสักหนึ่งหรือสองตัวนั้นไม่เป็นไร  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าปฏิบัติต่อการอุปการะสัตว์จรในรูปแบบของงานการกุศล โดยเชื่อว่าการกุศลเป็นบางสิ่งที่ผู้เชื่อในพระเจ้าคนหนึ่งควรทำ เช่นนั้นเจ้าก็เข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง  นี่คือความเข้าใจและการทำความเข้าใจที่บิดเบือน  

มีบางคนด้วยเช่นกันที่เชื่อในความสามารถในการเอาตัวรอดของตัวเอง ใช้เงินพิเศษเล็กน้อยที่พวกเขามีเพื่อบรรเทาทุกข์ให้กับคนยากจนรอบตัว  พวกเขาเสนอเครื่องนุ่งห่ม อาหาร สิ่งจำเป็นรายวัน และแม้กระทั่งเงินให้กับคนเหล่านั้น โดยเห็นว่านั่นเป็นภาระผูกพันที่ตนควรลุล่วงประเภทหนึ่ง  พวกเขาอาจถึงกับพาคนจนเข้าบ้าน แบ่งปันข่าวประเสริฐกับคนเหล่านั้น และเสนอเงินให้คนเหล่านั้นใช้จ่าย  คนจนเหล่านี้ตกลงที่จะเชื่อในพระเจ้า และหลังจากนั้น พวกเขาก็จัดหาอาหารและที่พักพิงให้คนจนเหล่านั้น โดยคิดว่าตนเองกำลังลุล่วงหน้าที่และภาระผูกพันของตน  ยังมีผู้คนที่สังเกตว่าเด็กกำพร้าบางคนในสังคมยังไม่ได้รับการอุปการะ  พวกเขามีเงินค่าใช้จ่ายพิเศษอยู่นิดหน่อย พวกเขาจึงไปช่วยเหลือเด็กกำพร้าเหล่านี้ โดยการก่อตั้งบ้านพักสวัสดิการและสถานเด็กกำพร้า แล้วก็รับอุปการะเด็กกำพร้า  หลักจากที่อุปการะเด็กกำพร้าเหล่านั้น พวกเขาก็จัดเตรียมอาหาร ที่พักพิงและการศึกษา และถึงกับอุ้มชูเด็กกำพร้าจนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่  พวกเขาไม่เพียงทำสิ่งนี้ต่อเนื่อง แต่พวกเขายังส่งต่อให้กับชนรุ่นถัดไป  พวกเขาเชื่อว่านี่เป็นความประพฤติที่ดีอย่างมิอาจประเมินได้ เป็นบางสิ่งซึ่งต้องได้รับการอวยพร และเป็นการกระทำที่คู่ควรให้พระเจ้ารำลึกถึง  แม้แต่ระหว่างช่วงเวลาของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ บางคนมองเห็นผู้รับข่าวประเสริฐซึ่งมีศักยภาพจากพื้นที่ยากจน ผู้ซึ่งมีความเชื่อมั่นทางศาสนา และรู้สึกว่าจำเป็นต้องช่วยพวกเขาและให้ทานพวกเขา  แต่การเผยแผ่ข่าวประเสริฐก็คือการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ไม่ใช่งานการกุศลหรือการให้ความช่วยเหลือ  จุดประสงค์ของการแบ่งปันข่าวประเสริฐก็คือการนำพาบรรดาผู้ที่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและยอมรับความจริงซึ่งก็คือแกะของพระเจ้า เข้ามาสู่พระนิเวศของพระองค์ เข้ามาสู่การทรงสถิตของพระองค์ ให้โอกาสสำหรับความรอดแก่พวกเขา  ไม่เกี่ยวกับการช่วยผู้คนที่ยากจนเพื่อให้พวกเขามีบางสิ่งให้กินและให้นุ่งห่ม เพื่อให้พวกเขาสามารถมีชีวิตแบบคนทั่วไปและไม่อดอยาก  เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นจากมุมมองใดและจากความคิดคำนึงใด ไม่ว่าจะเป็นการช่วยสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ทั่วไป หรือการให้ความช่วยเหลือคนยากจนหรือคนที่ขาดสิ่งจำเป็นพื้นฐาน เรื่องการร่วมทำการกุศลนี้ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้เป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ ความรับผิดชอบ หรือภาระผูกพันที่บุคคลหนึ่งควรลุล่วง  สิ่งนี้ไม่เกี่ยวกับการที่ผู้คนเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติความจริง  หากผู้คนใจดีและเต็มใจทำสิ่งนี้ หรือบางคราวก็พบเจอกับผู้คนบางคนที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ พวกเขาสามารถทำเช่นนั้นได้ถ้าพวกเขามีความสามารถ  ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ควรมองสิ่งนี้เป็นกิจที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้กับเจ้า  หากเจ้ามีความสามารถและมีภาวะเหล่านั้น เจ้าก็สามารถให้การช่วยเหลือไปตามวาระโอกาส แต่นี่เป็นเพียงการแสดงถึงตัวเจ้าโดยส่วนตัว ไม่ใช่ตัวแทนของพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ได้แสดงถึงข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเป็นแน่  แน่นอนว่าการทำสิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าเจ้าได้สนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า และไม่ได้หมายความว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงอย่างแน่นอน  แต่เพียงแค่แสดงถึงการประพฤติปฏิบัติส่วนตนของเจ้านั่นเอง  หากเจ้าทำสิ่งนี้เป็นครั้งคราว พระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินโทษผิดเจ้าจากการนั้น และพระองค์ก็จะไม่ทรงรำลึกถึงการนั้นด้วย—ก็เท่านั้นเอง  หากเจ้าแปลงการนั้นไปเป็นอาชีพการงาน โดยเปิดสถานพยาบาล บ้านพักสวัสดิการ สถานเด็กกำพร้า สถานพักพิงสำหรับสัตว์ หรือแม้แต่เสนอตัวเข้าช่วยเหลือในช่วงเวลาแห่งภัยพิบัติและระดมทุนจากพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรหรือจากชุมชนเพื่อบริจาคให้กับพื้นที่หรือผู้คนซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำดีแค่ไหนหรือ?  ยิ่งไปกว่านั้น ในยามที่สถานที่บางแห่งประสบกับแผ่นดินไหว น้ำท่วมหรือภัยพิบัติอื่นๆ ซึ่งเกิดจากฝีมือมนุษย์หรือตามธรรมชาติ บางคนย่อมเข้าหาคริสตจักรเพื่อเรี่ยไรการบริจาคจากพี่น้องชายหญิง  ที่แย่กว่านั้นก็คือ บางคนถึงกับใช้ของถวายไปให้การช่วยเหลือสถานที่และผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติเหล่านี้  พวกเขาเชื่อว่านี่เป็นภาระผูกพันของผู้เชื่อทุกคนและเป็นภาระผูกพันที่คริสตจักรซึ่งเป็นองค์กรชุมชนสังคมควรลุล่วง  พวกเขาพิจารณาว่านี่เป็นเหตุอันควร โดยไม่เพียงเรียกร้องการร่วมสมทบจากพี่น้องชายหญิงเท่านั้นแต่ยังรบเร้าให้ทางคริสตจักรจัดสรรของถวายไปให้การช่วยเหลือพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติเหล่านี้อีกด้วย  เจ้าคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้?  (นั่นเป็นเรื่องที่แย่)  นั่นก็แค่แย่เฉยๆ เท่านั้นหรือ?  จงเสวนากันถึงธรรมชาติของเรื่องนี้  (ของถวายถูกหมายให้ใช้เพื่อการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เพื่อการขยับขยายงานแห่งข่าวประเสริฐ  ของถวายไม่ได้ถูกหมายให้ใช้เพื่อการบรรเทาทุกข์จากภัยพิบัติหรือการให้ความช่วยเหลือผู้ยากไร้)  (การบรรเทาทุกข์จากภัยพิบัตินั้นไม่เกี่ยวกับความจริง การทำสิ่งนี้ไม่ได้แปลว่าความจริงกำลังถูกปฏิบัติ และไม่ได้เป็นพยานต่อการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยอย่างแน่นอน)  บางคนเชื่อว่าในเมื่อทุกคนอาศัยอยู่บนดาวเคราะห์เดียวกัน เป็นหนึ่งครอบครัวใหญ่ที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินโลก และเมื่อฝ่ายหนึ่งอยู่ในความเดือดร้อน ฝ่ายอื่นก็ควรรวมตัวกันเพื่อให้ความช่วยเหลือ  พวกเขาคิดว่าตัวเองควรทำเช่นนั้นอย่างเต็มที่เพื่อให้ผู้คนในพื้นที่ภัยพิบัติรู้สึกถึงความอบอุ่นจากเพื่อนมนุษย์ของตน และได้สัมผัสความอบอุ่นรวมถึงการช่วยเหลือจากคริสตจักร  พวกเขาพิจารณาว่าการนี้เป็นความประพฤติดีอย่างประมาณค่ามิได้ เป็นการกระทำที่ถวายพระเกียรติพระเจ้า และเป็นโอกาสแสนวิเศษที่จะเป็นพยานต่อพระเจ้า  บางคนรู้สึกไม่กระตือรือร้นและขาดแรงจูงใจในยามที่เจ้ากำหนดให้พวกเขายึดติดอยู่กับหลักธรรมขณะกำลังทำหน้าที่ อีกทั้งให้การปฏิบัติของพวกเขาตรงกับพระวจนะของพระเจ้าและการจัดการเตรียมงานทั้งหลาย  พวกเขาไม่ใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้ในหัวใจ  แต่พอในส่วนของการทุ่มเทอุทิศของถวายเพื่อให้ความช่วยเหลือคนของประชาชาติที่ขัดสนและล้าหลัง ซื้ออุปกรณ์สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ และช่วยให้คนเหล่านั้นได้ใช้ชีวิตที่มีอาหารและเครื่องนุ่งห่มพอเพียง พวกเขาก็กลับกระตือรือร้นและกระหายร้อนรนที่จะเริ่มงานโดยต้องการที่จะทำให้มากขึ้นทุกที  เหตุใดพวกเขาจึงกระตือรือร้นยิ่งนัก?  เพราะพวกเขาปรารถนาที่จะกลายเป็นคนใจบุญผู้ยิ่งใหญ่  ทันทีที่ถูกเอ่ยถึงว่าเป็นคนใจบุญผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขาก็เริ่มรู้สึกสูงศักดิ์เป็นพิเศษ  พวกเขารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะพลีอุทิศความพยายามเพื่อเห็นแก่การดำเนินชีวิตของผู้คนยากจนเหล่านี้ และนำความสว่างกับความอบอุ่นของตนมาใช้  พวกเขารู้สึกตื่นเต้นสุดขีดเกี่ยวกับการนั้น และผลที่ตามมาก็คือ บางคนเต็มใจร่วมทำกิจกรรมนี้มากเป็นพิเศษ  แต่อะไรคือจุดประสงค์เบื้องหลังความเต็มใจอันน่าทึ่งนี้ในการทำสิ่งเหล่านี้?  นี่เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าจริงหรือ?  พระเจ้าทรงจำเป็นต้องได้รับเกียรติประเภทนี้หรือ?  พระเจ้าทรงจำเป็นต้องได้รับคำพยานประเภทนี้หรือ?  สามารถเป็นได้หรือที่พระนามของพระเจ้าจะถูกดูหมิ่นเหยียดหยามหากเจ้าไม่ให้เงินหรือให้การช่วยเหลือ?  พระเจ้าจะทรงสูญเสียพระสิริของพระองค์หรือ?  เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะทรงได้รับพระสิริเมื่อเจ้าทำสิ่งนี้?  พระองค์จะพึงพอพระทัยหรือ?  นี่ใช่ความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วความจริงเป็นอย่างไร?  เหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงเต็มใจที่จะทำสิ่งนี้เหลือเกิน?  เจตนารมณ์ของพวกเขาคือเพื่อสนองความถือดีของตัวเองใช่หรือไม่?  (ใช่)  นั่นก็เพื่อให้ได้รับการยกนิ้วจากพวกที่ตนได้ช่วยเหลือไป ได้รับการชมเชยสำหรับความใจกว้าง ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และความมั่งคั่งของตน  คนบางคนมีจิตวิญญาณเยี่ยงวีรบุรุษเสมอ  พวกเขาปรารถนาจะเป็นผู้ช่วยให้รอด  เหตุใดเจ้าจึงไม่ช่วยตัวเองให้รอดเล่า?  เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองเป็นสิ่งประเภทใด?  หากเจ้ามีความสามารถที่จะช่วยผู้อื่นให้รอด เหตุใดเจ้าจึงช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้?  หากเจ้าใจกว้างนัก เหตุใดเจ้าจึงไม่ขายตัวเองแล้วให้เงินช่วยเหลือผู้คนเหล่านั้น?  เหตุใดจึงใช้ของถวาย?  หากเจ้ามีความสามารถนี้ เจ้าก็ควรเลิกกินและดื่ม หรือกินแค่วันละมื้อ แล้วใช้เงินที่เจ้าประหยัดได้ไปช่วยเหลือผู้คนพวกนั้น ให้พวกเขาได้กินดีและได้แต่งกายอบอุ่น  เหตุใดเจ้าจึงใช้ของถวายของพระเจ้าไปในทางที่ผิด?  นี่เป็นการใจกว้างโดยที่พระนิเวศของพระเจ้าต้องสละไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  การใจกว้างโดยที่พระนิเวศของพระเจ้าต้องสละ การได้มาซึ่งฉายานามว่า “คนใจบุญผู้ยิ่งใหญ่” จากผู้อื่น สนองความอยากได้อยากมีที่ไร้แก่นสารของตนเพื่อให้เป็นที่ต้องการของผู้อื่น—นี่น่าละอายไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ในเมื่อนี่เป็นกิจธุระที่น่าละอาย ควรหรือไม่ที่จะดำเนินการนี้?  (ไม่ควร)  ธรรมชาติของการที่พระนิเวศของพระเจ้าแผ่ขยายข่าวประเสริฐนั้นไม่ใช่เพื่อทำการกุศล การนี้เกี่ยวกับการเสาะหาแกะที่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า การนำพาผู้คนเหล่านี้กลับเข้ามาในการทรงสถิตของพระเจ้า การยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า รวมถึงการรับความรอดของพระเจ้า  นี่เป็นการให้ความร่วมมือกับแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าเพื่อการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ไม่ใช่การร่วมทำการกุศล ไม่ใช่การเสนอความช่วยเหลือหรือการประกาศข่าวประเสริฐในสถานที่ใดก็ตามที่มีความยากจน  นั่นเป็นการทำการกุศลภายใต้หน้าฉากของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้คนเหล่านี้ได้รับอาหารเป็นอย่างดีและได้มีเครื่องนุ่งห่มเป็นอย่างดี ได้ใช้วิทยาการสมัยใหม่ และได้ชื่นชมยินดีกับชีวิตสมัยใหม่—การกระทำเหล่านี้ช่วยผู้คนให้รอดได้หรือ?  การกระทำเช่นนั้นไม่อาจสัมฤทธิ์จุดประสงค์ของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและการช่วยผู้คนให้รอด  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐไม่ใช่การร่วมทำการกุศล การนี้เกี่ยวกับการเอาชนะใจ การนำพาผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ทำให้พวกเขาสามารถยอมรับความจริงและการช่วยให้รอดของพระเจ้า—ไม่เกี่ยวกับการให้การบรรเทาทุกข์  เนื่องจากความจำเป็นของงานในคริสตจักร บางคนจึงละทิ้งงานและครอบครัวของพวกเขาเพื่อมุ่งทำหน้าที่ของตนเต็มเวลา และพระนิเวศของพระเจ้าก็จัดหาค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตให้แก่พวกเขา  แต่นี่ไม่ใช่การบรรเทาทุกข์ ทั้งยังไม่ใช่การร่วมทำงานการกุศล  ตอนที่พระนิเวศของพระเจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐและตั้งคริสตจักร พระนิเวศไม่ได้จัดตั้งสถาบันสวัสดิการหรือสถานพักพิง  นั่นไม่ใช่การใช้ผลประโยชน์หรือกองทุนเหล่านี้เพื่อซื้อใจผู้คนหรือยอมให้พวกเขาเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อขออาหารและเครื่องดื่ม  พระนิเวศของพระเจ้าไม่เกื้อหนุนพวกกาฝากหรือขอทาน ทั้งยังไม่ให้ที่อาศัยแก่คนจรจัดหรือเด็กกำพร้า และก็ไม่จัดเตรียมการบรรเทาทุกข์ให้กับผู้คนที่ไม่มีจะกิน  หากใครบางคนไม่มีเงินพอซื้อของกิน นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาขี้เกียจหรือไร้ความสามารถ  นั่นเป็นความผิดของพวกเขาเอง และนั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการที่พวกเราเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  พวกเราเผยแผ่ข่าวประเสริฐเพื่อที่จะชนะใจผู้คน เพื่อที่จะชนะใจบรรดาผู้ที่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและยอมรับความจริงได้ ไม่ใช่เพื่อไปดูว่าใครยากจน ใครน่าเวทนา ใครถูกกดขี่ หรือใครไม่มีผู้ใดให้พึ่งพิง เพื่อให้พวกเราสามารถรับพวกเขาเข้ามาหรือช่วยเหลือพวกเขา  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐมีหลักธรรมและมาตรฐานในตัว รวมทั้งมีข้อพึงประสงค์และมาตรฐานสำหรับผู้รับข่าวประเสริฐที่มีศักยภาพ  การนี้ไม่เกี่ยวกับการแสวงหาพวกขอทาน  เพราะฉะนั้น หากเจ้ามองการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นการมานะพยายามในทางการกุศล เจ้าก็คิดผิด  หรือหากเจ้าเชื่อว่าตอนที่เจ้ากำลังทำหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐและร่วมทำงานนี้ เจ้ากำลังร่วมทำการกุศลอยู่ นั่นก็ยิ่งผิดไปใหญ่  ทั้งทิศทางนี้ตลอดจนจุดเริ่มต้นนั้นผิดโดยเนื้อแท้  หากใครก็ตามมีมุมมองเช่นนั้นหรือนำทิศทางนั้นมาประยุกต์ใช้กับการกระทำของตน พวกเขาก็ควรแก้ไขและปรับเปลี่ยนมุมมองอย่างรวดเร็ว  พระเจ้าไม่เคยทรงเวทนาคนยากจนหรือพวกที่ถูกกดขี่อยู่ในจุดต่ำสุดของสังคม  พระเจ้าทรงมีความเมตตาสงสารต่อผู้ใดหรือ?  อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้า ใครบางคนที่สามารถยอมรับความจริง  หากเจ้าไม่ติดตามพระเจ้า อีกทั้งเจ้ายังขัดขืนและหมิ่นประมาทพระเจ้า  พระเจ้าจะทรงมีความเมตตาสงสารต่อเจ้าหรือ?  นี่เป็นไปไม่ได้  เพราะฉะนั้น ผู้คนไม่ควรเข้าใจผิดคิดไปว่า “พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมความเมตตาสงสาร  พระองค์ทรงเวทนาพวกที่ถูกกดขี่ พวกที่ไม่โด่งดัง พวกที่โดนดูถูก ผู้ที่ถูกด้อยค่าและไม่มีใครให้พึ่งพิงในสังคม  พระเจ้าทรงเวทนาพวกเขาเหล่านั้นทั้งหมด และพระเจ้าทรงยอมให้พวกเขาเข้าสู่พระนิเวศของพระองค์”  นี่เป็นความคิดที่ผิด!  นี่เป็นมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้า  พระเจ้าไม่เคยตรัสหรือทรงทำสิ่งเช่นนั้น  นั่นก็แค่การคิดไปตามความปรารถนาของตัวเจ้าเอง แนวคิดของเจ้าเองเกี่ยวกับความใจดีแบบมนุษย์ ซึ่งไม่สัมพันธ์กับความจริง  จงมองดูประชากรที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรและทรงนำพามาสู่พระนิเวศของพระองค์เถิด  ไม่สำคัญว่าพวกเขาอยู่ในชนชั้นใดของสังคม พระเจ้าทรงเวทนาหรือรู้สึกเศร้าพระทัยสำหรับใครคนไหนเพราะพวกเขาไม่มีอะไรจะกิน จึงได้นำพาพวกเขาเข้ามาสู่พระนิเวศของพระองค์อย่างนั้นหรือ?  ไม่มีแม้สักคน  ในทางตรงข้าม บรรดาผู้ที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรนั้นไม่มีตัวอย่างของพวกเขาที่ไม่สามารถหากินได้และไม่มีขอทานอยู่ในหมู่พวกเขาเลยไม่ว่าพวกเขาอยู่ในชนชั้นใดของสังคม—ต่อให้พวกเขาเป็นชาวไร่ชาวนาก็ตาม  นี่เป็นพันธะสัญญาหนึ่งแห่งพระพรของพระเจ้า  หากพระเจ้าได้ทรงเลือกสรรเจ้าและเจ้าเป็นหนึ่งในประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้เจ้ากลายเป็นอัตคัดขัดสนเสียจนไม่สามารถหาอะไรกินได้หรือไปถึงจุดที่เจ้าจำเป็นต้องขอทานอาหาร แต่พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมเครื่องนุ่งห่มและอาหารให้กับเจ้าอย่างอุดมสมบูรณ์แทน  ผู้เชื่อในพระเจ้าบางคนมีมโนคติที่ผิดบางอย่างอยู่ในใจเสมอ  พวกเขาคิดอะไรหรือ?  “ผู้เชื่อในพระเจ้าส่วนใหญ่มาจากระดับต่ำสุดของสังคม และบางคนอาจจะเป็นขอทานด้วยซ้ำ”  นี่ใช่กรณีนั้นหรือ?  (ไม่ใช่)  มีแม้กระทั่งผู้คนที่กระจายข่าวลือว่าเราเคยเป็นขอทาน  เราจึงพูดไปว่า “เอาเถิดถ้าเช่นนั้นเราเคยสวมชุดผ้ากระสอบหรือพกไม่เท้าหรือ?  หากเจ้าพูดว่าเราเคยเป็นขอทาน เป็นไปได้อย่างไรที่เราไม่รู้เรื่องนั้นเลย?”  เราเป็นคนที่พวกเรากำลังพูดถึง แต่เรากลับไม่รู้ด้วยซ้ำ นี่เหลวไหลอย่างสิ้นเชิง!  ตอนที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า “หมาจิ้งจอกยังมีโพรง และนกในอากาศก็ยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ” นั่นหมายถึงอะไร?  พระเจ้ากำลังตรัสว่าพระองค์ได้กลายเป็นขอทานหรือ?  พระองค์กำลังตรัสว่าพระองค์ทรงไม่ได้รับการเกื้อหนุนและไม่สามารถหาสิ่งเสวยได้หรือ?  (พระองค์ไม่ได้กำลังตรัสเช่นนั้น)  พระองค์ไม่ได้กำลังตรัสเช่นนั้น  แล้วคำกล่าวนี้หมายความว่าอย่างไร?  นั่นหมายความว่าโลกและมวลมนุษย์ทอดทิ้งพระเจ้าไปแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่าไม่มีที่ทางสำหรับพระเจ้า และพระเจ้าได้เสด็จมาเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ทว่าพวกเขากลับไม่ยอมรับพระองค์  ไม่มีใครเต็มใจต้อนรับพระเจ้า  คำกล่าวนี้ชี้ให้เห็นด้านที่อัปลักษณ์ของมนุษย์ผู้เสื่อมทรามและสะท้อนให้เห็นความทุกข์ที่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ได้ทรงสู้ทนในโลกมนุษย์  ตอนที่พระเจ้าตรัสสิ่งนี้ บางคนคิดว่า “พระเจ้าทรงโปรดพวกขอทานและพวกเราก็ดีกว่าขอทาน ดังนั้นสถานะของพวกเรามีระดับกว่าในสายพระเนตรของพระเจ้า”  ผลที่ตามมาคือพวกเขาเต็มใจช่วยเหลือพวกขอทาน  นี่เป็นความเข้าใจผิดโดยสิ้นเชิงในส่วนของพวกมนุษย์ มาจากความคิดและมุมมองอันคลาดเคลื่อน  ไม่มีความสัมพันธ์กับแก่นแท้ของพระเจ้า อุปนิสัยของพระองค์ หรือความเมตตาสงสารและความรักของพระองค์

บางคนพูดว่า “พระองค์ตรัสเกี่ยวกับการปล่อยมือจาก ‘อาชีพการงาน’ ภายในหัวข้อการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า แนวคิดและความอยากได้อยากมีของผู้คน และพระองค์ตรัสบอกผู้คนไม่ให้ทำการกุศล  แต่เหตุใดพระองค์จึงทรงเน้นย้ำเสมอเรื่องการปฏิบัติต่อสัตว์ให้ดีและไม่ทำอันตรายพวกมัน?  นี่หมายความว่าอย่างไร?  พระนิเวศของพระเจ้าเลี้ยงดูสุนัขและแมวด้วยซ้ำ และไม่อนุญาตให้ผู้คนทำร้ายพวกมัน”  จงบอกเราที การนี้มีอะไรแตกต่างจากการทำการกุศล?  นั่นใช่สิ่งเดียวกันหรือ?  (ไม่ใช่)  นี่หมายความว่าอย่างไร?  (การไม่ทำอันตรายสัตว์นานาชนิดเป็นการแสดงออกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ)  นี่เป็นการแสดงออกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เช่นนั้นแล้วการปฏิบัติและการสำแดงของความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรเป็นอย่างไร?  (ในเมื่อคนคนหนึ่งเลือกที่จะเก็บสัตว์เหล่านั้นไว้ คนคนนั้นก็จำเป็นต้องลุล่วงความรับผิดชอบของตน)  การลุล่วงความรับผิดชอบของคนคนหนึ่ง—มีสิ่งใดที่เฉพาะเจาะจงกว่านี้หรือไม่?  (พวกเขาจำต้องดูแลสัตว์เหล่านั้น)  นั่นเป็นการกระทำที่เฉพาะเจาะจง  อะไรคือหลักธรรมที่ควรปฏิบัติ?  การนี้เกี่ยวข้องกับความจริง  ให้เราอธิบายเถิด แล้วพวกเจ้าก็จงฟังและดูว่านี่เกี่ยวกับความจริงหรือไม่  การดูแลสิ่งที่ทรงสร้างซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้างไว้นั้นเป็นการแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  กล่าวอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นก็คือ นั่นหมายถึงการลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อสิ่งที่ทรงสร้างเหล่านั้นและการดูแลพวกมันให้ดี  ในเมื่อเจ้าได้เลือกที่จะเก็บพวกมันไว้ เจ้าก็ต้องลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า  พวกสัตว์เลี้ยงต้องได้รับการดูแลรักษาโดยพวกมนุษย์  พวกมันไม่เหมือนสัตว์ป่าที่ไม่จำเป็นต้องมีเจ้าคอยดูแล  การดูแลและความเคารพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เจ้าสามารถแสดงออกมาต่อสัตว์ป่าก็คือการตั้งใจหลีกเลี่ยงที่จะไม่ทำลายแหล่งอาศัยของพวกมัน รวมทั้งไม่ล่าหรือฆ่าพวกมัน  ส่วนพวกสัตว์ปีก ปศุสัตว์หรือสัตว์เลี้ยงในครัวเรือนที่ผู้คนสามารถเลี้ยงไว้ในบ้านของตัวเอง ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะเก็บพวกมันไว้ เจ้าก็ควรลุล่วงหน้าที่ของเจ้า  นั่นก็คือ จงอยู่เป็นเพื่อนพวกมันสักเล็กน้อยยามที่เจ้ามีเวลาโดยขึ้นอยู่กับสภาพการณ์แวดล้อมของเจ้า และหากเจ้ามีธุระยุ่ง ก็แค่ต้องมั่นใจว่าพวกมันมีกินและสุขสบาย  ในแก่นแท้นั้นเจ้าควรทะนุถนอมพวกมัน  การทะนุถนอมพวกมันหมายถึงอะไร?  ให้ความเคารพชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างไว้และใส่ใจดูแลสิ่งทรงสร้างที่พระองค์ทรงสร้างไว้  จงทะนุถนอมและใส่ใจดูแลพวกมัน นี่ไม่ใช่การกุศล นี่เป็นการปฏิบัติต่อพวกมันอย่างถูกควร  นี่ใช่หลักธรรมประการหนึ่งหรือไม่?  (ใช่)  นี่ไม่ใช่การร่วมทำการกุศล  การกุศลอ้างอิงถึงสิ่งใด?  การนี้ไม่เกี่ยวกับการลุล่วงความรับผิดชอบหรือการทะนุถนอมชีวิต  การนี้เกี่ยวกับการทำเกินขอบเขตความสามารถและพลังงานของเจ้า อีกทั้งทำให้สิ่งนี้เป็นอาชีพการงานของเจ้า  นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับการอุ้มชูสัตว์เลี้ยง  หากใครบางคนไม่สามารถแม้แต่จะรวบรวมความรักและความรับผิดชอบพื้นฐานเพื่อสัตว์เลี้ยงที่พวกเขาเก็บไว้ พวกเขาเป็นบุคคลประเภทใดหรือ?  พวกเขามีความเป็นมนุษย์หรือไม่?  (พวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์)  อย่างน้อยที่สุดบุคคลนี้ก็ขาดความเป็นมนุษย์  ในความเป็นจริงนั้น สุนัขและแมวไม่เรียกร้องจากผู้คนมากนัก  ไม่สำคัญว่าเจ้ารักพวกมันลึกซึ้งเพียงใดหรือเจ้าชอบพวกมันหรือไม่ อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ควรรับผิดชอบต่อการดูแลพวกมัน เจ้าควรให้อาหารพวกมันตามเวลา และหลีกเลี่ยงการปฏิบัติมิชอบต่อพวกมัน—นั่นก็มากพอแล้ว  เจ้าควรจัดเตรียมอาหารหรือสถานการณ์ความเป็นอยู่ใดก็ตามที่เจ้าสามารถจับจ่ายได้โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของเจ้า  ก็เท่านั้นเอง  ภาวะทางการอยู่รอดของพวกมันไม่ต้องการอะไรมาก  เจ้าแค่ควรละเว้นจากการปฏิบัติมิชอบต่อพวกมัน  หากผู้คนไม่สามารถแม้แต่จะรวบรวมความรักเล็กๆ น้อยๆ นี้ได้ นั่นก็แสดงให้เห็นว่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขานั้นขาดพร่องเพียงใด  การปฏิบัติมิชอบพ่วงมาด้วยสิ่งใด?  การทุบตีและการก่นด่าพวกมันแบบไร้เหตุผล ไม่ให้อาหารพวกมันยามที่พวกมันจำเป็นต้องได้อาหาร ไม่พาพวกมันไปเดินเล่นยามที่พวกมันจำเป็นต้องเดิน และไม่ดูแลพวกมันยามที่พวกมันเจ็บป่วย  หากเจ้าไม่มีความสุขหรืออารมณ์ไม่ดี เจ้าก็ระบายความโกรธใส่พวกมันโดยการทุบตีและก่นด่าพวกมัน  เจ้าปฏิบัติต่อพวกมันในแบบที่ไม่ใช่มนุษย์  นี่คือการปฏิบัติมิชอบ  หากเจ้าหลีกเลี่ยงการปฏิบัติมิชอบและแค่เพียงสามารถลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า นั่นก็พอแล้ว  หากเจ้าไม่มีแม้แต่ความสงสารอันน้อยนิดนี้เพื่อลุล่วงหน้าที่ของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรเก็บสัตว์เลี้ยงไว้  เจ้าก็ควรปล่อยมันไป หาใครบางคนที่ชอบมันและให้พวกเขาดูแลมัน ให้โอกาสมันได้มีชีวิต  เจ้าของสุนัขบางคนไม่สามารถละเว้นจากการปฏิบัติมิชอบต่อพวกมันได้ด้วยซ้ำ  พวกเขาเก็บสุนัขไว้ด้วยจุดประสงค์เดียวคือเพื่อระบายความหงุดหงิดใจ โดยใช้สุนัขเหล่านี้เป็นช่องทางระบายยามที่พวกเขาอารมณ์ไม่ดีหรือจิตใจตกต่ำและจำเป็นต้องระบายความขุ่นมัวออกมา  พวกเขาไม่กล้าทุบตีหรือก่นด่าบุคคลอื่น พวกเขากลัวผลที่ตามมาและการรับผิดที่พวกเขาจะต้องแบกรับ  พวกเขาบังเอิญมีสัตว์เลี้ยงอยู่ที่บ้าน เป็นสุนัขตัวหนึ่ง พวกเขาจึงระบายความหงุดหงิดใส่สุนัขตัวนั้น เพราะถึงอย่างไรแล้วมันก็ไม่เข้าใจและจะไม่กล้าที่จะขัดขืน  คนเช่นนั้นขาดความเป็นมนุษย์  แล้วก็ยังมีผู้คนที่เก็บสุนัขและแมวไว้แต่ไม่สามารถลุล่วงความรับผิดชอบของตนได้อีกด้วย  หากเจ้าไม่ชอบมันก็อย่าเก็บสัตว์เลี้ยงไว้  แต่หากเจ้าเลือกที่จะเก็บมันไว้ เจ้าก็ควรลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า  มันมีชีวิตของมันและมีความต้องการที่จำเป็นทางด้านอารมณ์  มันจำเป็นต้องได้รับน้ำยามที่กระหายและได้อาหารยามที่หิวโหย  มันยังจำเป็นต้องอยู่ใกล้ชิดกับผู้คนและได้รับการปลอบโยนจากผู้คนอีกด้วย  หากเจ้าอารมณ์ไม่ดีและเจ้าพูดว่า “ฉันไม่มีเวลาจะสนใจแก ไปให้พ้น!”—นั่นไม่ใช่การปฏิบัติที่ดีต่อสัตว์เลี้ยง  ในการนี้มีมโนธรรมหรือเหตุผลอยู่หรือไม่?  (ไม่)  บางคนพูดว่า “คุณอาบน้ำให้สุนัขและแมวของคุณครั้งสุดท้ายไปนานเท่าไรแล้ว?  พวกมันสกปรกเหลือเกิน!”  “อืม อาบน้ำให้พวกมันหรือ?  ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครจะอาบน้ำให้ฉัน  ไม่เห็นมีใครสนใจเลยว่าฉันอาบน้ำครั้งสุดท้ายไปตั้งหลายวันแล้ว!”  นี่ใช่มนุษยธรรมหรือนี่สะท้อนความรู้สึกนึกคิดแบบมนุษย์แต่อย่างใดหรือไม่?  (ไม่)  ไม่สำคัญว่าพวกเขากำลังอารมณ์ดีหรือไม่ แต่เวลาที่แมวหรือสุนัขมาคลอเคลียถูไถและรักใคร่ในตัวพวกเขา พวกเขาก็แค่เอาเท้าเตะมันไปให้พ้นพลางพูดว่า “ไปให้พ้นไอ้ตัวน่ารำคาญ!  มีแต่เรื่องเดือดร้อนตลอดเวลาที่แกมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เหมือนพวกคนทวงหนี้ไม่มีผิด แกก็แค่อยากดื่มหรือกินอะไรสักอย่าง ฉันไม่มีอารมณ์จะเล่นกับแก!”  หากเจ้าไม่มีความเมตตาสงสารแม้แต่น้อยนิด เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรเก็บสัตว์เลี้ยงใดไว้เลย  เจ้าควรปล่อยพวกมันไปทันที  สุนัขหรือแมวตัวนั้นกำลังทนทุกข์เพราะเจ้า!  เจ้าเห็นแก่ตัวเกินไปและไม่สมควรมีสัตว์เลี้ยง  เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเก็บสุนัขหรือแมวไว้ อาหารและน้ำของพวกมันก็ขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่ของเจ้า  เจ้าควรเข้าใจหลักธรรมนี้  เหตุใดเจ้าจึงแข่งขันเปรียบเทียบกับพวกสัตว์?  เจ้าพูดว่า “ไม่มีใครอาบน้ำให้ฉัน ใครล่ะที่จะอาบน้ำให้ฉัน?”  ใครล่ะจะอาบน้ำให้เจ้า?  เจ้าเป็นมนุษย์  เจ้าก็ควรอาบน้ำเอง  เจ้าสามารถดูแลตัวเองได้ แต่สุนัขและแมวจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากเจ้าเพราะเจ้ากำลังอุ้มชูพวกมัน และเพราะเจ้ากำลังอุ้มชูพวกมัน เจ้าจึงมีภาระผูกพันที่จะดูแลพวกมัน  หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะลุล่วงภาระผูกพันนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่สมควรที่จะเก็บพวกมันไว้  จำเป็นอะไรที่จะต้องไปเปรียบเทียบแข่งขันกับพวกมัน?  เจ้าถึงกับพูดว่า “ฉันดูแลแก แต่ใครกำลังดูแลฉันหรือ?  พอแกใจคอไม่ดี แกก็มาให้ฉันปลอบ  พอฉันรู้สึกจิตตก ใครปลอบโยนฉันหรือ?”  เจ้าไม่ใช่มนุษย์หรอกหรือ?  มนุษย์ควรควบคุมตัวเองได้และปรับตัวเองได้  สุนัขและแมวนั้นเรียบง่ายกว่ามากนัก พวกมันไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ พวกมันจึงจำเป็นต้องให้มนุษย์ช่วยปลอบโยนพวกมัน  นี่คือความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างวิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อสัตว์และการทำการกุศล  หลักธรรมสำหรับวิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อสัตว์คืออะไร?  จงทะนุถนอมชีวิต ให้ความเคารพชีวิต และไม่ปฏิบัติมิชอบต่อพวกมัน  ในการจัดการสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างไว้นั้น จงรักษากฎธรรมชาติของพวกมัน ปฏิบัติต่อสิ่งทรงสร้างนานาที่พระเจ้าทรงสร้างอย่างถูกต้องไปตามธรรมบัญญัติทั้งหลายที่พระเจ้าทรงจัดตั้งไว้ ดำรงสัมพันธภาพที่ถูกควรกับสิ่งทรงสร้างทุกประเภท และไม่ทำลายหรือทำให้ถิ่นอาศัยของพวกมันพังพินาศไป  เหล่านี้คือหลักธรรมสำหรับการให้ความเคารพและการทะนุถนอมชีวิต  อย่างไรก็ตาม หลักธรรมสำหรับการให้ความเคารพและการทะนุถนอมชีวิตนั้นไม่เกี่ยวกับการทำการกุศล  นี่คือหลักธรรมจากท่ามกลางกฎจักรวาลทั้งหลายที่พระเจ้าทรงตั้งไว้ ซึ่งทุกสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรยึดปฏิบัติตาม  แต่การทำตามหลักธรรมนี้ก็ไม่เท่ากับการทำการกุศล  

แต่บางคนถามว่า “ทำไมพระเจ้าถึงไม่ให้พวกเราทำการกุศลในลักษณะของอาชีพการงาน?  ถ้าพระองค์ไม่ทรงยอมให้พวกเราทำการกุศล เช่นนั้นอะไรที่ควรทำกับผู้คนเหล่านั้นหรือสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือในสังคม?  ใครจะมาช่วยเหลือพวกเขา?”  การที่ใครจะมาช่วยเหลือพวกเขาเกี่ยวอะไรกับเจ้าหรือ?  (นั่นไม่เกี่ยวกับพวกเราเลย)  เจ้าก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของมนุษยชาติไม่ใช่หรือ?  นั่นมีอะไรเกี่ยวกับเจ้าหรือไม่?  (ไม่ นั่นไม่ใช่ภารกิจของเหล่ามนุษย์)  ใช่แล้ว นั่นไม่ใช่ภารกิจของเจ้า และนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้า  ภารกิจของเจ้าคืออะไรหรือ?  เพื่อลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้าง จงฟังพระวจนะของพระเจ้า นบนอบพระวจนะของพระเจ้า ยอมรับความจริงเพื่อบรรลุความรอด ทำสิ่งที่พระเจ้าตรัสบอกให้เจ้าทำ และอยู่ห่างจากสิ่งที่พระเจ้าตรัสบอกเจ้าไม่ให้ทำ  ใครจะดูแลเรื่องที่เกี่ยวกับการกุศล?  ใครจะดูแลเรื่องเหล่านั้นก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า  ไม่ว่าในกรณีใด เจ้าไม่ได้ได้ถูกกำหนดให้ดูแลหรือกังวลเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น  ไม่ว่านั่นจะเป็นรัฐบาลหรือองค์กรชุมชนสารพัดที่รับมือกับเรื่องของการกุศล นี่ไม่ใช่หัวข้อที่พวกเรากังวล  พูดสั้นๆ ก็คือบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงควรใช้การเดินตามทางของพระเจ้าและน้ำพระทัยของพระองค์เป็นเกณฑ์ประเมิน เป็นเป้าหมายของการปฏิบัติ และเป็นทิศทางของตน  นี่คือบางสิ่งที่ผู้คนควรเข้าใจ และนี่คือความจริงนิรันดร์ที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  แน่นอนว่าการทำบางสิ่งเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นเป็นครั้งคราวนั้นไม่ใช่อาชีพการงาน นั่นเป็นการกระทำตามวาระโอกาสและพระเจ้าก็ไม่ทรงถือสาเจ้า  บางคนถามว่า “พระเจ้าไม่ทรงรำลึกถึงสิ่งเช่นนั้นหรือ?”  พระเจ้าไม่ทรงรำลึกถึงสิ่งเช่นนั้น  หากครั้งหนึ่งเจ้าเคยให้เงินขอทานหรือใครบางคนที่ไม่มีค่ารถกลับบ้าน หรือเคยช่วยเหลือบุคคลไร้บ้านคนหนึ่ง หากเจ้าทำบางสิ่งแบบนี้เป็นครั้งคราว หรือแค่ไม่กี่ครั้งในชั่วชีวิตของเจ้าด้วยซ้ำ เช่นนั้นแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้า พระองค์ทรงรำลึกถึงสิ่งเช่นนั้นหรือ?  ไม่ พระเจ้าไม่ทรงรำลึกถึงสิ่งเช่นนั้น  แล้วถ้าอย่างนั้น พระเจ้าทรงประเมินค่าการกระทำเหล่านี้อย่างไร?  พระเจ้าไม่ทรงรำลึกถึงหรือกล่าวโทษการกระทำเหล่านี้—พระองค์ไม่ทรงประเมินค่าการกระทำเหล่านี้  เหตุใดเล่า?  การกระทำเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับการไล่ตามเสาะหาความจริง  การกระทำเหล่านี้เป็นการกระทำส่วนบุคคลที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเดินตามทางของพระเจ้าหรือการดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระองค์  หากเจ้าเต็มใจทำสิ่งเหล่านั้นเป็นการส่วนตัว หากเจ้าทำบางสิ่งที่ดีจากเจตจำนงอันดีที่พลุ่งพล่านขึ้นมาชั่ววูบ หรือจากการที่มโนธรรมของเจ้ากระตุ้นเตือนขึ้นมาชั่วคราว หรือหากเจ้าทำบางสิ่งที่ดีในอึดใจที่มีความกระตือรือร้นหรือมีแรงผลักดัน ไม่ว่าเจ้าจะรู้สึกเสียใจในภายหลังหรือไม่ ไม่ว่าเจ้าจะได้รับบำเหน็จรางวัลหรือไม่ นั่นก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเดินตามทางของพระเจ้าหรือการดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระองค์  พระเจ้าไม่ทรงรำลึกถึงการนั้น และพระองค์ก็ไม่ทรงกล่าวโทษเจ้าเพราะการนั้น  การที่พระเจ้าไม่ทรงรำลึกถึงการนั้นหมายความว่าอย่างไร?  นั่นหมายความว่าพระเจ้าจะไม่ทรงยกเว้นเจ้าจากการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ตลอดครรลองแห่งความรอดของเจ้าเพราะการที่เจ้าเคยทำสิ่งนี้ อีกทั้งพระองค์ก็จะไม่ทรงยกเว้นและยอมให้เจ้าได้รับการช่วยให้รอดเพราะการที่เจ้าได้ทำความประพฤติที่ดีหรือที่เป็นกุศลบางอย่าง  การที่พระเจ้าไม่ทรงกล่าวโทษเจ้าหมายความว่าอย่างไรหรือ?  นั่นหมายความว่าความประพฤติดีเหล่านี้ที่เจ้าทำไปนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงเลย ความประพฤติเหล่านี้เป็นตัวแทนพฤติกรรมที่ดีของตัวเจ้าเองเท่านั้น ความประพฤติเหล่านี้ไม่ขัดต่อกฎการปกครองของพระเจ้าและไม่ก้าวล่วงผลประโยชน์ของผู้ใด  แน่นอนว่าความประพฤติเหล่านี้ก็ไม่สร้างความอัปยศให้แก่พระนามของพระเจ้าเช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงการถวายพระสิริแก่พระนามของพระองค์  ความประพฤติเหล่านี้ไม่ละเมิดข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและไม่เกี่ยวกับการขัดเจตนารมณ์ของพระเจ้า อีกทั้งไม่เกี่ยวกับการกบฏต่อพระเจ้าอย่างแน่นอน  ผลที่ตามมาก็คือ พระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษเจ้าเพราะความประพฤติเหล่านี้ซึ่งก็แค่แสดงถึงความประพฤติดีส่วนตัวประเภทหนึ่งเท่านั้นเอง  แม้ความประพฤติดีทั้งหลายดังกล่าวอาจได้รับการสรรเสริญจากทางโลกและได้รับการยอมรับจากสังคม แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว ความประพฤติเหล่านี้ไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับความจริงเลย  พระเจ้าไม่ทรงรำลึกถึงความประพฤติเหล่านี้และพระองค์ก็ไม่กล่าวโทษคนคนหนึ่งเพราะความประพฤติเหล่านี้ ซึ่งก็หมายความว่า การกระทำเหล่านี้ไม่สำคัญอะไรนักเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  กระนั้นก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่อย่างหนึ่งคือ หากเจ้าช่วยใครบางคนให้รอดและให้การช่วยเหลือทางการเงินกับพวกเขา หรือให้การช่วยเหลือทางวัตถุบางรูปแบบ หรือถึงกับเสนอการช่วยเหลือพวกเขาทางอารมณ์ความรู้สึก และเจ้าก็ทำให้คนชั่วนั่นสามารถประสบความสำเร็จในความพยายามของพวกเขา เปิดโอกาสให้พวกเขาก่ออาชญากรรมมากขึ้น อีกทั้งคุกคามสังคมและมนุษยชาติ ส่งผลให้เกิดความสูญเสียบางอย่าง เช่นนั้นก็จะเป็นคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง  ในกรณีที่เป็นการกระทำเชิงการกุศลธรรมดา มุมมองของพระเจ้าก็คือว่า พระองค์ทั้งไม่ทรงรำลึกถึงและไม่กล่าวโทษการนั้น  แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ไม่ทรงรำลึกถึงและไม่กล่าวโทษการนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า พระเจ้าทรงเกื้อหนุนหรือหนุนใจเจ้าให้ร่วมทำงานการกุศล  ไม่ว่าจะอย่างไรเจ้าก็ยังถูกหวังว่าจะไม่ลงทุนพลังงาน เวลาและเงินทองไปกับเรื่องทั้งหลายที่ไม่เกี่ยวกับความรอดอย่างสิ้นเชิงหรือการปฏิบัติความจริงและการทำหน้าที่ของตน เพราะเจ้ามีสิ่งที่สำคัญกว่าให้ทำ  เวลา พลังงานและชีวิตของเจ้าไม่ได้ถูกหมายให้ทำงานการกุศล และก็ไม่ได้ถูกหมายให้อวดแสดงบุคลิกลักษณะหรือเสน่ห์ดึงดูดส่วนตัวของเจ้าผ่านอาชีพการงานในด้านการกุศล  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพวกที่เปิดโรงงาน บริหารโรงเรียน หรือดำเนินกิจการโดยมีจุดประสงค์เพื่อจัดเตรียมสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับผู้คนที่ขาดแคลนให้มากขึ้นหรือช่วยให้คนเหล่านั้นทำอุดมการณ์ของตนให้เป็นจริง คนพวกนั้นทำสิ่งเหล่านี้เพื่อช่วยคนจน  หากเจ้าเลือกช่วยเหลือคนจนผ่านวิธีการเหล่านี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นย่อมจะผลาญเวลาและพลังงานของเจ้าอย่างมีนัยสำคัญ  เจ้าจะจบลงด้วยการใช้เวลากับพลังงานจำนวนไม่น้อยในชีวิตของเจ้าหมดไปกับเหตุนี้ แล้วผลที่ตามมาก็คือเจ้าจะมีเวลาน้อยในการไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าอาจจะไม่มีเวลาไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยซ้ำ และเจ้าก็จะไม่มีโอกาสทำหน้าที่ของตัวเองเป็นแน่  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าจะผลาญพลังงานของเจ้าหมดไปกับผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายที่ไม่เกี่ยวกับความจริงหรืองานคริสตจักร  นี่เป็นพฤติกรรมที่โง่เขลา  พฤติกรรมที่โง่เขลานี้มีเหตุผลหลักมาจากการที่คนบางคนต้องการเปลี่ยนโชคชะตามนุษย์และเปลี่ยนโลกผ่านทางเจตนารมณ์ที่ดีของตัวเองกับความสามารถอันจำกัดไม่กี่อย่างเสมอ  พวกเขาปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของมนุษย์ผ่านทางความพยายามและเจตจำนงที่ดีของตัวเอง  นี่เป็นความอุตสาหะพยายามอันโง่เขลา  ในเมื่อนี่เป็นความอุตสาหะพยายามอันโง่เขลา ก็จงอย่าเอามาเป็นภาระหน้าที่  แน่นอนว่าหลักฐานยืนยันการที่เจ้าไม่รับการนั้นมาเป็นภาระหน้าที่ก็คือ การที่เจ้าเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง การที่เจ้าปรารถนาจะไล่ตามเสาะหาความจริงและความรอด  หากเจ้าพูดว่า “ฉันไม่สนใจความรอด และการไล่ตามเสาะหาความจริงก็ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นสำหรับฉัน” เช่นนั้นเจ้าก็ทำไปตามที่เจ้าชอบได้เลย  เมื่อคำนึงถึงเรื่องของการกุศล หากนั่นเป็นอุดมการณ์และการไล่ตามไขว่คว้าของเจ้า หากเจ้าเชื่อว่านั่นเป็นวิธีแสดงออกของคุณค่าของเจ้า เชื่อว่าการกุศลเป็นสิ่งเดียวที่สามารถสื่อคุณค่าของชีวิตเจ้า เช่นนั้นก็จงทำตามนั้นได้เลย  เจ้าสามารถใช้ทักษะและความสามารถใดก็ได้ที่เจ้ามี ไม่มีใครกำลังเหนี่ยวรั้งเจ้า  ข้อสนับสนุนสำหรับการไม่ร่วมทำกิจธุระเพื่อการกุศลที่พวกเรากำลังสามัคคีธรรมกันอยู่ตรงนี้ก็คือว่า ในเมื่อเจ้าปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและความรอด เจ้าก็ควรปล่อยมือจากอุดมการณ์และความอยากที่จะทำการกุศล  จงอย่าไล่ตามไขว่คว้าการนั้นในฐานะที่เป็นอุดมการณ์และความพึงปรารถนาของชีวิตเจ้า  จงอย่าร่วมทำกิจธุระนี้ในชีวิตส่วนตัว และพระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่ร่วมทำกิจธุระนี้เช่นกัน  แน่นอนว่าในพระนิเวศของพระเจ้ามีอยู่สถานการณ์เดียวคือ การดูแลชีวิตในครัวเรือนของพี่น้องชายหญิงที่ขาดแคลนบางคน  การนี้มาพร้อมกับข้อสนับสนุน  เราคิดว่าพวกเจ้าทุกคนตระหนักถึงข้อสนับสนุนนี้ที่ว่า การนี้ไม่ใช่การกุศล นี่เป็นการจัดการเตรียมงานภายในพระนิเวศของพระเจ้าเกี่ยวกับชีวิตของพี่น้องชายหญิง  การนี้ไม่เกี่ยวกับการร่วมทำการกุศล  ในพระนิเวศของพระเจ้านั้น นอกจากการไม่ร่วมทำการกุศลแล้ว ก็ยังมีการไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมเชิงการกุศลอันใดของสังคม ตัวอย่างเช่น พระนิเวศของพระเจ้าไม่สร้างโรงเรียน เปิดโรงงาน หรือดำเนินธุรกิจ  หากผู้ใดก็ตามเปิดโรงงาน สร้างโรงเรียน ดำเนินธุรกิจหรือเข้าร่วมในกิจกรรมเชิงพานิชย์อันใดในนามของการสร้างความมั่นคงให้กับทรัพยากรทางเศรษฐกิจเพื่อปฏิบัติการที่เป็นปกติของงานคริสตจักร ทั้งหมดนี้ขัดต่อกฎการปกครองแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและควรถูกหยุดยั้ง  แล้วแหล่งการเงินสำหรับปฏิบัติการของงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้ามาจากไหนหรือ?  พวกเจ้ารู้หรือไม่?  นั่นมาจากการการบริจาคของพี่น้องชายหญิง จากของถวายเพื่อค้ำชูปฏิบัติการที่เป็นปกติของของงาน  นี่แสดงนัยอะไรหรือ?  เงินที่พี่น้องชายหญิงบริจาค ของบริจาคแด่พระเจ้าของพวกเขานั้นเป็นของถวาย แล้วของถวายมีประโยชน์อะไร?  ของถวายมีไว้เพื่อคุ้มกันปฏิบัติการที่เป็นปกติแห่งงานของคริสตจักร  แน่นอนว่ามีค่าใช้จ่ายนานาประการที่เกี่ยวเนื่องกับปฏิบัติการปกตินี้ และค่าใช้จ่ายเหล่านี้ควรถูกบริหารจัดการไปตามหลักธรรมและไม่ควรละเมิดหลักธรรมเหล่านี้  ผลสืบเนื่องก็คือ เมื่องานของคริสตจักรไปเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาทางการเงิน อีกทั้งผู้นำกับคนทำงานบางคนก็ผลาญของถวายและก่อให้เกิดการสูญเสียที่สำคัญต่อของถวายเหล่านั้น พระนิเวศของพระเจ้าก็จะใช้การลงโทษที่รุนแรงกับพวกเขา  เหตุใดจึงจะมีการลงโทษที่รุนแรง?  เหตุใดจึงไม่มีใครที่ผลาญของถวายรอดพ้นจากการลงโทษที่รุนแรงเลย?  (เพราะของถวายของพระเจ้าถูกมอบแด่พระเจ้าโดยพี่น้องชายหญิง และพระเจ้าเท่านั้นที่อาจชื่นชมยินดีกับของถวายเหล่านั้นได้  ในอีกแง่หนึ่งก็คือ ของถวายเหล่านี้ถูกหมายให้ใช้เพื่อดำรงปฏิบัติการที่ถูกควรของงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  หากพวกผู้นำหรือคนทำงานผลาญของถวาย นั่นก็จะนำไปสู่การที่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้รับผลกระทบและประสบกับการสูญเสีย  นี่ขัดขวางและก่อกวนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ดังนั้นพระนิเวศของพระเจ้าจึงต้องนำการลงโทษที่รุนแรงมาใช้)  จงบอกเราทีว่าพระนิเวศของพระเจ้าควรนำการลงโทษที่รุนแรงมาใช้หรือไม่?  (ควร)  เหตุใดพระนิเวศจึงควรทำเช่นนั้น?  เหตุใดพระนิเวศจึงต้องนำการลงโทษที่รุนแรงมาใช้?  (การผลาญของถวายเป็นพฤติกรรมของพวกศัตรูของพระคริสต์  ท่าทีที่บุคคลหนึ่งมีต่อของถวายสะท้อนให้เห็นท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้า  หากบุคคลนี้ผลาญของถวายได้ นั่นก็บ่งชี้ว่าพวกเขาไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าโดยสิ้นเชิง)  เจ้าได้พูดครอบคลุมไปเพียงแง่มุมเดียวของการนี้ ยังคงมีหลักธรรมสำคัญมากมายอยู่ภายในการนี้ที่พวกเราต้องสามัคคีธรรมกัน  

จงบอกเราที เหตุใดผู้คนที่ผลาญของถวายจึงต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง?  พวกเราจะสามัคคีธรรมกันถึงเรื่องนี้กันตอนนี้  ก่อนอื่นพวกเรามาเสวนากันว่าของถวายของพระเจ้าเกิดขึ้นอย่างไร  พี่น้องชายหญิงทุกคนรู้ว่าของถวายของพระเจ้าถูกมอบให้พระเจ้าโดยประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร  ตามกฎระเบียบในพระคัมภีร์นั้น ผู้คนควรมอบหนึ่งในสิบของรายได้ของพวกเขา กระนั้นก็แน่อยู่แล้วว่า ทุกวันนี้ผู้คนมากมายบริจาคมากกว่าแค่หนึ่งในสิบ  และคนร่ำรวยบางคนก็บริจาคมากกว่าหนึ่งในสิบ  นอกจากนั้น สำหรับพี่น้องชายหญิงที่ยากจนบางคนซึ่งมอบหนึ่งสิบ เงินของพวกเขามาจากไหน?  มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเลยที่ออมเงินนั่นโดยการดำรงชีพอย่างกระเหม็ดกระแหม่  อย่างเช่นในชนบทและในพื้นที่นอกเมือง บางคนมอบหนึ่งในสิบของรายได้ที่พวกเขาได้จากการขายข้าว บ้างก็จากการขายไข่ไก่ และบ้างก็จากการขายแพะและไก่  ผู้คนมากมายใช้ชีวิตอย่างกระเหม็ดกระแหม่เพื่อที่จะมอบหนึ่งในสิบส่วนหรือมากกว่านั้น—เงินนี้มาจากตรงนั้นเอง  ผู้คนส่วนใหญ่รู้ว่าเงินนี้ได้มายาก  แล้วเหตุใดพี่น้องชายหญิงจึงบริจาค?  นั่นถูกกำหนดโดยพระนิเวศของพระเจ้าหรือ?  นั่นเป็นว่าหากไม่มีการบริจาค ความรอดก็เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นหรือ?  นั่นสอดคล้องกับกฎระเบียบของพระคัมภีร์หรือ?  หรือว่านั่นก็เพื่อเกื้อหนุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า โดยคิดว่างานแห่งพระนิเวศของพระเจ้ามีนัยสำคัญและไม่อาจทำได้โดยปราศจากเงินทุน และดังนั้นพวกเขาจึงควรให้มากขึ้นอย่างนั้นหรือ?  นี่เป็นเหตุผลเดียวเท่านั้นของพวกเขาใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นเหตุใดพี่น้องชายหญิงจึงบริจาค?  เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาใสซื่อ?  หรือว่าพวกเขามีเงินเหลือเก็บ?  พวกเขากำลังบริจาคเงินพิเศษหรือบริจาคเงินที่พวกเขาไม่เคยสามารถได้ใช้?  การบริจาคเหล่านี้กำลังถูกมอบให้แก่ใคร?  (ให้แก่พระเจ้า)  เหตุใดผู้คนจึงบริจาค?  จงลืมเรื่องอื่นไปก่อน เหตุผลพื้นฐานที่สุดที่ผู้คนมากมายบริจาคก็คือ พวกเขายอมรับรู้พระราชกิจของพระเจ้า  พระเจ้าตรัสและทรงพระราชกิจเพื่อจัดเตรียมชีวิตและความจริงให้กับผู้คนและเพื่อนำทางผู้คนโดยไม่มีค่าตอบแทน  เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้คนก็ควรถวายหนึ่งในสิบของสิ่งที่พวกเขาหามาได้  นี่คือของถวาย  ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา พระเจ้าได้ทรงอวยพรผู้คนด้วยอาหาร น้ำ และสิ่งจำเป็นพื้นฐานของชีวิตและพระองค์ได้ทรงตระเตรียมทุกสิ่งเพื่อพวกเขา  เมื่อผู้คนสามารถชื่นชมยินดีกับทั้งหมดนี้ พวกเขาก็ควรถวายหนึ่งในสิบของสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบแก่พวกเขาคืนสู่แท่นบูชา เป็นตัวแทนของส่วนที่มนุษย์คืนให้กับพระเจ้า และเปิดโอกาสให้พระเจ้าได้ชื่นชมยินดีกับการเก็บเกี่ยวของพวกเขา  นี่เป็นของกำนัลด้วยเสน่หาที่ผู้คนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีและถวายออกมา  นอกจากแง่มุมนี้ก็มีอีกแง่มุมหนึ่ง  บางคนพูดว่า “พระราชกิจของพระเจ้ายิ่งใหญ่เหลือเกิน ตัวฉันทำตามลำพังไม่ได้มากนักหรอก ดังนั้นฉันจะมอบของถวายส่วนของฉันก็แล้วกัน”  พวกเขาแสดงให้เห็นการเกื้อหนุนของตนที่มีต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าในหนทางนี้และทำตัวเป็นผู้ให้การสนับสนุน  ไม่สำคัญว่าของบริจาคเหล่านี้มีแหล่งที่มาจากไหนหรือมีจำนวนเท่าไร แต่มีผู้คนมากมายท่ามกลางพวกเขาที่ออมเงินของตนผ่านทางการดำรงชีพอันกระเหม็ดกระแหม่  กล่าวสั้นๆ ก็คือ หากไม่ใช่เพื่อพระเจ้าหรือเพื่อพระราชกิจของพระองค์ หากมีเพียงคริสตจักรและองค์กรและสมาคมมนุษย์เหล่านี้ เช่นนั้นของบริจาคของผู้คนก็จะไม่มีคุณค่าหรือนัยสำคัญเลย เพราะหากปราศจากพระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ ของบริจาคเหล่านั้นก็ไม่มีประโยชน์  แต่เมื่อมีการที่พระเจ้าตรัสและทรงพระราชกิจ มีความก้าวหน้าแห่งพระราชกิจของพระเจ้าที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ของบริจาคและของถวายเหล่านี้ย่อมกลายเป็นสำคัญมากเป็นพิเศษ  เหตุผลที่ของบริจาคและของถวายเหล่านี้สำคัญมากเป็นพิเศษก็คือการที่เงินบริจาคนี้ถูกใช้เพื่องานของคริสตจักร และไม่ควรถูกยักยอก ฉกชิง ใช้ผิดประเภทหรือถึงกับผลาญจนหมดโดยพวกที่มีเจตนามิชอบ  เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ในเมื่อการนี้สำคัญมาก ทุกบาททุกสตางค์ก็ควรถูกใช้ไปในด้านที่เป็นหัวใจสำคัญ ไม่มีสิ่งใดที่ควรถูกผลาญจนหมดหรือใช้อย่างขาดความรับผิดชอบ  ผลที่ตามมาก็คือ สำหรับพวกที่ผลาญ ใช้ผิดประเภท ฉกฉวย หรือยักยอกของบริจาคหรือของถวาย พวกเราต้องรับมือกับพวกนั้นแบบพิเศษและลงโทษพวกเขาให้รุนแรง  เพราะของบริจาคและของถวายเหล่านี้สำคัญยิ่งยวดสำหรับพระราชกิจของพระเจ้า และการคำนึงถึงจุดประสงค์เบื้องหลังการที่พี่น้องชายหญิงมอบเงินนี้และของถวายเหล่านี้ ของบริจาคเหล่านี้ควรถูกจัดสรรไปในพื้นที่ซึ่งวิกฤติที่สุด  ทุกบาททุกสตางค์ควรถูกใช้ไปด้วยหลักธรรมและสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ ไม่ควรถูกล้างผลาญ และไม่ควรถูกฉกฉวยโดยพวกคนชั่ว  นี่คือแง่มุมหนึ่ง  นอกเหนือจากนี้ ไม่สำคัญว่าของบริจาคนั้นใหญ่หรือเล็ก นั่นก็มาจากการบริจาคของพี่น้องชายหญิง  แหล่งที่มาของเงินนี้ไม่ได้มาจากการที่คริสตจักรร่วมทำกิจกรรมเชิงพานิชย์ เปิดธุรกิจหรือดำเนินโรงงานเพื่อได้มาซึ่งผลกำไรจากสังคม  นั่นไม่ได้มาจากเงินปันผลที่ได้จากการผลิตบางสิ่ง นั่นไม่ได้มาจากเงินปันผลหรือรายได้ของคริสตจักร แต่จากการบริจาคของผู้คน  พูดแบบเรียบง่ายก็คือการบริจาคเป็นบางสิ่งที่พี่น้องชายหญิงถวายให้พระเจ้า เงินที่ถูกถวายให้พระเจ้าก็ควรเป็นของพระเจ้า  เงินของพระเจ้าถูกใช้เพื่อสิ่งใดหรือ?  บ้างก็พูดว่า “เงินและของถวายของพระเจ้าถูกใช้สำหรับความชื่นชมยินดีของพระเจ้า”  ทั้งหมดนั่นเพื่อความชื่นชมยินดีของพระเจ้าหรือ?  พระเจ้าทรงชื่นชมยินดีของเหล่านั้นได้มากเท่าไรหรือ?  นั่นค่อนข้างมีขีดจำกัดใช่หรือไม่?  ในช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่พักพิงและสิ่งจำเป็นทั้งหลายของพระองค์ ตลอดจนอาหารสามมื้อต่อวันของพระองค์ก็ธรรมดาทั่วไป และสิ่งที่พระองค์ชื่นชมยินดีก็มีขีดจำกัด  แน่นอนว่านั่นค่อนข้างปกติ  ประโยชน์หลักของของบริจาคและของถวายจากพี่น้องชายหญิงก็คือเพื่อดำรงปฏิบัติการที่เป็นปกติของงานแห่งคริสตจักร ไม่ใช่เพื่อสนองความอยากใช้จ่ายของผู้คนบางคน  ของถวายไม่ใช่สำหรับให้ผู้คนใช้จ่ายและไม่ใช่ให้ผู้คนใช้  นั่นไม่ใช่ว่าใครก็ตามที่บริหารจัดการการเงินมีสิทธิที่จะใช้เงินนี้ก่อนใคร หรือว่าใครก็ตามที่เป็นผู้นำมีสิทธิอำนาจพิเศษที่จะจัดสรรกองทุน  ไม่สำคัญว่าบุคคลใดนำของบริจาคมาใช้ ของบริจาคก็ควรถูกใช้ไปตามหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้าตั้งไว้  นั่นคือหลักธรรม  ดังนั้นอะไรคือธรรมชาติของการที่คนเราละเมิดหลักธรรมนี้?  พวกเขาฝ่าฝืนกฎการปกครองไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เหตุใดจึงพูดว่าพวกเขาได้ฝ่าฝืนกฎการปกครอง?  ของถวายที่ผู้คนถวายให้พระเจ้านั้นหมายให้เป็นความชื่นชมยินดีของพระเจ้า  แล้วพระเจ้าทรงใช้ของเหล่านั้นอย่างไร?  พระเจ้าทรงใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่องานของคริสตจักร เพื่อดำรงปฏิบัติการปกติของงานของคริสตจักร  นี่เป็นหลักธรรมที่พระเจ้าทรงนำของถวายมาใช้ให้เกิดประโยชน์  ถึงอย่างนั้นพวกศัตรูของพระคริสต์และพวกคนชั่วก็ไม่ใช้ของถวายไปในลักษณะนี้  พวกเขาล้างผลาญ ใช้อย่างสิ้นเปลืองและบุ่มบ่ามบริจาคของเหล่านี้ โดยละเมิดหลักธรรมนี้อย่างโจ่งแจ้งเพื่อที่จะใช้ของถวายเหล่านี้  นี่ไม่ใช่การฝ่าฝืนกฎการปกครองหรอกหรือ?  พระเจ้าได้ทรงยอมให้เจ้าใช้ของเหล่านั้นในหนทางนี้หรือ?  พระองค์ได้ทรงให้สิทธิเจ้าใช้ของเหล่านั้นในหนทางนี้หรือ?  พระองค์ได้ทรงบอกให้เจ้าใช้ของเหล่านั้นในหนทางนี้หรือ?  พระองค์ไม่ได้ทรงบอกใช่หรือไม่?  เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงกำลังใช้ของเหล่านั้นในหนทางนี้อย่างบุ่มบ่ามและสิ้นเปลืองนัก?  นี่กำลังฝ่าฝืนหลักธรรม!  นี่ไม่ใช่หลักธรรมธรรมดา หลักธรรมนี้สัมพันธ์กับกฎการปกครอง  เพราะของถวายเหล่านี้มิใช่ได้มาโดยผ่านทางการร่วมทำธุรกิจหรือกิจกรรมเชิงพานิชย์ แต่เป็นของบริจาคที่พี่น้องชายหญิงถวายให้กับพระเจ้า ผลที่ตามมาก็คือ ทุกการใช้จ่ายจำเป็นต้องถูกควบคุมใกล้ชิดและถูกบริหารจัดการอย่างเข้มงวดกวดขัน  ไม่ควรมีการล้างผลาญหรือความสิ้นเปลือง  การทำให้สิ้นเปลืองหรือการล้างผลาญเงินไม่ว่าจำนวนใดไม่เพียงนำไปสู่ความเสียหายที่มีนัยสำคัญในงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดการสูญเสียทางการเงินที่มีนัยสำคัญสำหรับพระนิเวศของพระเจ้า  การล้างผลาญของถวายไม่ใช่แค่การล้างผลาญของถวาย แต่ยังแสดงให้เห็นการขาดความรับผิดชอบต่อความรักซึ่งแสดงออกมาในตอนที่พี่น้องชายหญิงบริจาค  เพราะฉะนั้นพวกที่ล้างผลาญของถวายต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง  จงตักเตือนพวกที่มีการก้าวล่วงที่เบากว่าและพร้อมกันนั้นก็เรียกร้องให้มีการชดใช้คืน  ส่วนพวกที่มีการก้าวล่วงซึ่งรุนแรงกว่า นอกจากการชดใช้คืนแล้ว จำเป็นที่จะต้องขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไป  มีเหตุผลเบื้องต้นอีกประการที่ทำไมการลงโทษอย่างรุนแรงจึงควรถูกนำมาบังคับใช้กับพวกที่ล้างผลาญของถวาย  คริสตจักรแตกต่างอย่างเด่นชัดจากองค์กรทางสังคมใดๆ  คริสตจักรถูกโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางประเทศและสภาพแวดล้อมทางสังคมไม่ว่าใดๆ ก็ตาม ถูกทอดทิ้งโดยโลกและมนุษยชาติ  คริสตจักรไม่เพียงแต่ไม่สามารถได้รับการเกื้อหนุนหรือการคุ้มครองจากประเทศใดๆ เท่านั้น แต่ในเวลาเดียวกัน คริสตจักรก็ไม่อาจได้มาซึ่งการช่วยเหลือหรือสวัสดิการใดๆ จากรัฐอีกด้วย  อย่างมากที่สุดในประเทศตะวันตก หลังการขึ้นทะเบียนและการจัดตั้งคริสตจักร การบริจาคที่ทำให้กับคริสตจักรนั้นได้รับการยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีส่วนบุคคล หรือวัสดุที่ถูกบริจาคมาสามารถใช้รับส่วนลดภาษีได้บ้าง  นอกไปจากนี้แล้ว คริสตจักรก็ไม่สามารถรับสวัสดิการหรือการช่วยเหลือจากประเทศใดหรือภายใต้ระบบสังคมใดเลย  หากชุมนุมชนของคริสตจักรกลายเป็นเล็กและไม่สามารถปฏิบัติการได้อีกต่อไป รัฐก็จะไม่มาให้การช่วยเหลือ  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น รัฐกลับจะปล่อยให้คริสตจักรโรยราไปตามลำพัง เพราะคริสตจักรไม่ได้ผลิตรายได้ใดออกมาและไม่สามารถจ่ายภาษีอะไรให้กับรัฐได้  เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าคริสตจักรจะดำรงอยู่หรือไม่ก็ไม่มีผลสืบเนื่องอะไรต่อรัฐ  คริสตจักรพบว่าตัวเองอยู่ในสภาวะของความอยู่รอดเช่นนั้นไม่ว่าภายใต้ระบบสังคมใดก็ตาม  จงบอกเราทีว่านี่ง่ายหรือไม่?  (นี่ไม่ง่ายเลย)  ใช่แล้ว นี่ไม่ง่ายจริงๆ  คริสตจักรถูกสังคมและมนุษยชาติปฏิเสธ ไม่ได้รับการยอมรับหรือความเห็นใจ ไม่ต้องพูดถึงการเกื้อหนุนจากระบบสังคมใดๆ  คริสตจักรดำรงอยู่ภายใต้ภาวะความอยู่รอดเหล่านี้  หากใครบางคนยังสามารถล้างผลาญของถวาย ยังสามารถใจจืดใจดำ เทเงินทิ้ง ไม่รับผิดชอบอันใด ทำให้หนึ่งแสนหยวนหายวับไปในอึดใจ ใช้จ่ายหนึ่งล้านหยวนราวกับนั่นเป็นแค่ตัวเลขโดยไม่ทันกระพริบตา โดยไม่รู้สึกตำหนิตัวเองแต่อย่างใด เจ้าคิดว่าบุคคลนั้นมีความเป็นมนุษย์หรือไม่?  บุคคลเช่นนั้นสมควรแก่การสาปแช่งไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อรวมหลากหลายสภาพการณ์ที่แจงรายการไว้ด้านบน สำหรับพวกที่ล้างผลาญของถวาย พวกที่ทำให้สิ้นเปลือง หรือพวกที่ถึงขั้นเก็บงำเจตนามิชอบต่อของถวายไว้ โดยปรารถนาจะยักยอกของถวายหรือถ้าไม่กล้ายักยอก ก็ล้างผลาญให้หมดไปแทน ทั้งหมดนี้ควรถูกลงโทษอย่างรุนแรง ไม่ควรแสดงความปรานีต่อพวกเขา  จงบอกเราทีว่านี่ใช่การเข้าจัดการที่ถูกต้องหรือไม่?  (ใช่)  เช่นนั้นหากในภายภาคหน้า พวกเจ้าได้รับโอกาสให้มีสิทธิอำนาจที่จะใช้ของถวาย พวกเจ้าจะประพฤติตนอย่างไร?  หากพวกเจ้าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ หากพวกเจ้าล้างผลาญของถวายจนหมด เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาที่ทางคริสตจักรลงโทษพวกเจ้าอย่างรุนแรง พวกเจ้าจะมีข้อร้องทุกข์หรือข้อข้องใจอันใดหรือไม่?  (ไม่มี)  ดีแล้วที่พวกเจ้าจะไม่มีข้อข้องใจอันใด  นั่นจะเป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ!

ส่วนพวกที่ผลาญของถวาย พวกเจ้าไม่เกลียดพวกเขาหรือ?  พวกนั้นไม่ทำให้เจ้าโกรธหรือ?  เจ้ากำกับดูแลหรือหยุดยั้งพวกเขาได้หรือไม่?  การนี้ทำให้สิ่งทั้งหลายยากขึ้นไปอีก—นี่เป็นเวลาที่เจ้าจะต้องถูกทดสอบ  หากมีใครบางคนรอบตัวเจ้าที่ล้างผลาญของถวายและดึงดันที่จะใช้เงิน 20,000 หยวนกับเครื่องจักรซึ่งสามารถซื้อได้ที่ 2,000 หยวน—ผู้ซึ่งต้องการซื้อเครื่องจักรที่ดีที่สุด ชั้นเลิศ ทันสมัยที่สุด และเป็นที่นิยมที่สุด ผู้ซึ่งต้องการใช้จ่ายเงินกับเครื่องจักรที่แพงที่สุดแค่เพราะเงินนั่นเป็นของพระนิเวศของพระเจ้าและไม่ได้ออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง—เจ้าสามารถหยุดยั้งพวกเขาได้หรือไม่?  หากเจ้าหยุดพวกเขาไม่ได้ เจ้าเตือนพวกเขาได้หรือไม่?  เจ้าสามารถรายงานพวกเขากับเบื้องสูงได้หรือไม่?  หากเจ้าเป็นคนดูแลรับผิดชอบเรื่องการบริหารจัดการของถวาย เจ้าสามารถปฏิเสธไม่ลงชื่ออนุมัติในสถานการณ์นี้ได้หรือไม่?  หากพวกเจ้าไม่สามารถทำสิ่งใดแบบนี้ได้เลย พวกเจ้าก็ควรถูกลงโทษอย่างรุนแรงเช่นกัน  พวกเจ้าก็กำลังล้างผลาญของถวายอยู่เช่นกัน และเจ้ากำลังรู้เห็นเป็นใจกับคนชั่วนั่น เจ้าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับพวกเขา และพวกเจ้าทั้งคู่ควรถูกลงโทษอย่างรุนแรง  หากใครคนหนึ่งสามารถล้างผลาญและขาดความรับผิดชอบต่อของถวาย ท่าทีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าย่อมเป็นลักษณะใดหรือ?  ในหัวใจของพวกเขามีพระเจ้าอยู่หรือไม่?  (ไม่มี)  ในความคิดเห็นของเรา ผู้คนแบบนี้มีท่าทีต่อพระเจ้าเหมือนกับที่ซาตานมี  บางคนพูดว่า “อะไรที่เกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับพระนามของพระเจ้า ของถวายของพระองค์ หรือคำพยานของพระองค์—ไม่มีอะไรเลยในนั้นที่เกี่ยวข้องกับฉัน  ผู้คนเหล่านั้นที่ล้างผลาญของถวายนั้นมาเกี่ยวอะไรกับฉันหรือ?”  คนพวกนี้เป็นสิ่งประเภทใด?  มีผู้นำและผู้กำกับดูแลบางคนที่ลงชื่ออนุมัติทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าทางคริสตจักรยื่นขอจัดซื้ออะไร  พวกเขาไม่เคยตั้งคำถามกับคำขอทั้งหลายหรือตรวจสอบคำขอเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด หรือตรวจหาปัญหา กล่าวคือ ทุกคำขอจัดซื้อสินค้า ไม่ว่าสินค้านั้นจะถูกหรือแพง สัมพันธ์หรือไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง จำเป็นหรือไม่จำเป็น—ทุกคำขอก็ได้รับการลงนามอนุมัติจากพวกเขาหมด  การอนุมัติของเจ้าคืออะไร?  นั่นเป็นแค่ลายมือชื่อหรือ?  ในทัศนะของเรา นั่นเป็นท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้า  ท่าทีที่เจ้ามีต่อของถวายก็คือท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้า  ทุกการจรดปากกาของเจ้า ทุกครั้งที่เจ้าเขียนชื่อตัวเอง นั่นเป็นหลักฐานของบาปแห่งการหมิ่นประมาทและการไม่เคารพพระเจ้า  เหตุใดพวกที่หมิ่นประมาทและไม่เคารพพระเจ้าในหนทางนี้จึงไม่ควรถูกลงโทษอย่างรุนแรงเล่า?  พวกเขาต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง!  พระเจ้าทรงจัดหาความจริง ชีวิตและทุกสิ่งที่เจ้ามีให้กับเจ้า แล้วเจ้าก็เข้าหาพระองค์และสิ่งทั้งหลายที่เป็นของพระองค์ด้วยท่าทีประเภทนี้—เจ้าเป็นสิ่งประเภทใดหรือ?  แต่ละรายมือชื่อบนใบแจ้งหนี้เป็นหลักฐานแห่งบาปของเจ้าในการหมิ่นประมาทพระเจ้า และเป็นท่าทีอันไม่เคารพที่เจ้ามีต่อพระเจ้า นี่คือหลักฐานซึ่งเป็นข้อสรุปที่สมบูรณ์ที่สุด  ไม่ว่าวัสดุที่กำลังถูกจัดซื้อจะเป็นอะไร ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเท่าไร เจ้าก็ไม่ตรวจดูใบอนุมัติด้วยซ้ำ เจ้าก็แค่ตวัดปากกาลงชื่อให้พ้นไป  เจ้าพร้อมที่จะลงชื่อสั่งซื้อ 100,000 หรือ 200,000 หยวนไปตามอำเภอใจ  สักวันหนึ่งเจ้าจะต้องจ่ายราคาให้กับลายมือชื่อของเจ้า—ใครก็ตามที่ลงชื่อต้องแบกความรับผิดชอบ!  ในเมื่อเจ้าประพฤติตนในหนทางนี้ ในเมื่อเจ้าสามารถลงชื่อสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่ทบทวนคำขอก่อนเสียด้วยซ้ำ และล้างผลาญของถวายไปตามอำเภอใจ เจ้าก็ควรแบกความรับผิดชอบและจ่ายราคาให้กับการกระทำของตัวเจ้าเอง หากเจ้าไม่กลัวที่จะเผชิญผลที่ตามมา ก็จงเดินหน้าลงชื่อเจ้าไปเลย  ลายมือชื่อของเจ้าแสดงถึงท่าทีของเจ้าที่มีต่อพระเจ้า  หากเจ้าสามารถปฏิบัติตนแบบนี้แม้แต่ต่อพระเจ้า ปฏิบัติต่อพระองค์แบบนี้ในลักษณะที่เปิดเผยและไม่ไว้หน้า เช่นนั้นเจ้าคาดหวังให้พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไรหรือ?  พระเจ้าทรงอดทนกับเจ้ามามากพอแล้ว พระองค์ทรงให้ลมปราณแก่เจ้าและอนุญาตให้เจ้ามีชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน  แทนที่จะปฏิบัติต่อพระเจ้าในแบบเดิมและด้วยท่าทีเดิมต่อไป สิ่งที่เจ้าควรทำก็คือสารภาพและกลับใจต่อพระเจ้าและกลับท่าทีของเจ้า  จงอย่าแก่งแย่งแข่งขันกับพระเจ้าอย่างมืดบอดต่อไปเลย  หากเจ้ายังปฏิบัติต่อพระเจ้าในแบบเดิมและด้วยท่าทีเดิมต่อไป เช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอะไร  หากเจ้าไม่สามารถได้มาซึ่งการยกโทษของพระเจ้า ความเชื่อของเจ้าก็จะเป็นอันได้สูญเปล่า  แล้วความเชื่อของเจ้าจะเป็นประโยชน์อะไรเล่า?  เจ้าเชื่อในพระเจ้าแต่กลับทำลายความไว้วางพระทัยของพระองค์ที่มีในตัวเจ้าและพระบัญชาของพระองค์ที่มีต่อเจ้า  จงบอกเราทีว่าเจ้าเป็นสิ่งประเภทใด?  คนบางคนมีบทบาทในฐานะเป็นผู้นำหรือผู้กำกับดูแลในพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาปฏิบัติหน้าที่มาหลายปี และพูดได้ว่าเราก็มีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขามาหลายปี  สุดท้ายแล้วเราก็มาถึงข้อสรุปเกี่ยวกับพวกเขาว่า ผู้คนเหล่านี้แย่กว่าสุนัข  การกระทำของพวกเขาไม่เพียงทำร้ายจิตใจ หนำซ้ำยังน่าสะอิดสะเอียนอีกด้วย  เราชอบอุ้มชูสุนัขและมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมัน  สุนัขที่เราเลี้ยงมาหลายปีล้วนออกมาดีทีเดียว  โดยทั่วไปแล้วพวกสุนัขที่เราชอบนั้นไม่ตั้งใจเป็นอริกับผู้คน  หากเจ้าแสดงความใจดีมีเมตตาต่อสุนัขสักเล็กน้อย มันจะตอบแทนความใจดีมีเมตตากลับมาเป็นสิบเท่า  ตราบที่เจ้าดีต่อมันอย่างแท้จริง ต่อให้เจ้าวางหนังสือพิมพ์หรือรองเท้าสักคู่ไว้ในสนาม มันก็จะนอนหมอบอยู่ข้างสิ่งเหล่านั้นและคอยคุ้มกันสิ่งเหล่านั้นให้กับเจ้า  บางครั้งหากเจ้าโยนบางสิ่งที่เจ้าไม่ต้องการทิ้งไป สุนัขนั่นก็จะคิดว่าเจ้าทำสิ่งนั้นหายและจะคุ้มกันสิ่งนั้นให้เจ้าโดยไม่ยอมเตร็ดเตร่ไปไหนเลย  หลังผ่านไปสักพัก เราก็สรุปสิ่งที่เราได้เรียนรู้และพูดไว้ว่า “ผู้คนแย่กว่าสุนัข!”  สุนัขคุ้มกันบ้านเรือน—พวกมันใช้ความสามารถและทักษะของตัวเองคุ้มกันบ้านของเจ้าด้วยชีวิตของพวกมัน  ผู้คนไม่มีหัวใจเลยด้วยซ้ำ นับประสาอะไรที่พวกเขาจะคุ้มกันสิ่งทั้งหลายด้วยชีวิตของพวกเขา  ผู้คนจะไม่พูดแม้สักคำด้วยซ้ำเพื่อคุ้มกันงานของคริสตจักร  พวกเขาต่ำต้อยกว่าสุนัขเฝ้าบ้านเสียอีก!  นี่คือความแตกต่างเด่นชัดที่เราได้ขีดไว้ระหว่างผู้คนกับสุนัข  ผู้คนที่ผลาญของถวายเหล่านี้นั้นต่ำกว่าสุนัขเฝ้าบ้าน  เจ้าเห็นด้วยหรือไม่ว่าพวกเขาควรถูกลงโทษอย่างรุนแรง?  (เห็นด้วย)  พระเจ้าทรงมอบความไว้วางพระทัยของพระองค์ให้กับผู้คน อีกทั้งไว้วางพระทัยมอบหมายงานและหน้าที่ให้พวกเขา  นี่คือการที่พระเจ้าทรงยกย่องพวกเขาและดำริถึงพวกเขาในแง่ดี  นั่นไม่ใช่การที่พวกเขาคู่ควรกับการทำงานนั้น หรือการที่พวกเขามีความเป็นมนุษย์และขีดความสามารถที่ดีหรือดีพอสำหรับการงานนั้น  แต่กระนั้นผู้คนก็ไม่สามารถระลึกได้ถึงความเอื้อเฟื้อที่แสดงออกกับพวกเขา พวกเขาคิดเสมอว่าตัวเองมีความสามารถที่จะทำงานของคริสตจักร ว่าพวกเขาได้รับการนี้มาโดยผ่านทางการทำงานหนักและการสละของตัวเอง  ทุกสิ่งที่พวกเขามีนั้นพระเจ้าทรงมอบให้พวกเขา  พวกเขาได้อะไรมา?  พวกเขากำลังอิ่มอกอิ่มใจกับความสำเร็จที่ตัวเองทำไว้ใช่หรือไม่?  พระเจ้าทรงยกย่องผู้คนให้ทำหน้าที่ของตนแต่พวกเขาไม่สามารถระลึกรู้ถึงความเอื้อเฟื้อที่แสดงออกกับพวกเขา หรือเข้าใจว่าอะไรดีสำหรับพวกเขา  พวกเขาไม่ดำเนินชีวิตให้สมกับความไว้วางพระทัยของพระองค์และการยกย่องของพระองค์  พวกเขาทำลายความไว้วางพระทัยและการยกย่องของพระองค์  ในกรณีเช่นนั้น เราเสียใจนะ แต่พวกเขาก็ต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง  พระเจ้าทรงให้โอกาสแก่ผู้คน แต่ผู้คนไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับพวกเขา พวกเขาไม่รู้จักทะนุถนอมโอกาสที่พระเจ้าทรงมอบให้พวกเขา  พระองค์ทรงให้โอกาสพวกเขาแต่พวกเขาไม่ต้องการโอกาสนั้น  พวกเขาคิดว่าพระองค์นั้นง่ายต่อการเอาเปรียบ ว่าพระองค์ทรงยกโทษให้เสมอ ว่าพระองค์จะไม่ทอดพระเนตรเห็นหรือทรงรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น  ผลที่ตามมาก็คือพวกเขากล้าผลาญของถวายอย่างไร้ศีลธรรม อันเป็นการทรยศการไว้วางพระทัยของพระเจ้า ขาดพร่องแม้แต่มโนธรรมและบุคลิกลักษณะแบบมนุษย์ขั้นพื้นฐานที่สุด  พวกเขายังคงเชื่ออยู่เพื่ออะไรหรือ?  พวกเขาไม่ควรเชื่อให้ลำบากเลย พวกเขาควรไปนมัสการซาตานก็พอ  การนมัสการของพวกเขาไม่จำเป็นสำหรับพระเจ้า  พวกเขาไม่คู่ควร!  

พวกเราได้สามัคคีธรรมกันมามากพอแล้วไม่มากก็น้อยกับหัวข้อแรกที่เกี่ยวกับการปล่อยมือจากอาชีพการงาน—ไม่ร่วมทำการกุศลไม่ใช่หรือ?  พวกเจ้าได้เข้าใจหลักธรรมความจริงที่อยู่ในหัวข้อนี้แล้วใช่หรือไม่?  หลักธรรมตรงนี้คืออะไร?  (หลักธรรมก็คือว่า การทำการกุศลไม่ใช่ภารกิจที่พระเจ้าทรงมอบแก่มนุษย์  นั่นไม่สัมพันธ์กับการปฏิบัติความจริงหรือการไล่ตามเสาะหาความรอดเลย  เมื่อบุคคลหนึ่งทำความประพฤติดีไม่กี่อย่าง ความประพฤติดีเหล่านั้นก็เป็นแค่การสะท้อนถึงพฤติกรรมแบบปัจเจกบุคคลของพวกเขาเท่านั้นเอง)  การร่วมทำการกุศลนั้นไม่สัมพันธ์กับการไล่ตามเสาะหาความจริง  จงอย่าเข้าใจผิดเชื่อไปว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงอยู่หรือเป็นใครคนหนึ่งที่ได้บรรลุความรอดแล้วโดยการทำงานการกุศล  นี่เป็นมโนคติที่ผิดมหันต์  การปฏิบัติความจริงไม่ได้รวมถึงการทำการกุศลและก็ไม่ได้รวมถึงการร่วมทำงานการกุศล  เป้าหมายของการเชื่อในพระเจ้าก็เพื่อบรรลุความรอด  การเชื่อในพระเจ้าไม่เกี่ยวกับการสะสมคุณความดีหรือการทำความประพฤติดี การนี้ไม่เกี่ยวกับการชื่นชมยินดีต่อการทำสิ่งที่ดีๆ หรือต่อความใจบุญสุนทาน และการนี้ก็ไม่เกี่ยวกับการร่วมทำการกุศล กล่าวคือ การนี้เกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาความจริงและการยอมรับการช่วยให้รอดของพระเจ้า  ดังนั้นแนวคิดของผู้คนที่ว่า ความเชื่อในพระเจ้านั้นเกี่ยวกับการทำการกุศลหรือการร่วมทำงานการกุศล หรือแนวคิดที่ว่า การทำการกุศลมีค่าเท่ากับการเชื่อในพระเจ้าและการทำให้พระองค์พึงพอพระทัยล้วนเป็นการเข้าใจผิดอย่างเลวร้าย  ไม่ว่าจะเป็นการกุศลอะไรก็ตามที่เจ้าไปเกี่ยวข้อง และสิ่งใดก็ตามที่เจ้าทำซึ่งเกี่ยวกับการกุศล สิ่งเหล่านี้ก็แค่แสดงถึงตัวตนของเจ้าเป็นการส่วนตัว  ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นการกระทำเป็นครั้งคราวหรือเป็นบางสิ่งที่เจ้าร่วมทำในฐานะที่เป็นอาชีพการงาน สิ่งเหล่านี้ก็แค่สะท้อนพฤติกรรมที่ดีของตัวเจ้าเองเท่านั้น  พฤติกรรมนี้อาจมีความเชื่อมโยงกับศาสนา พฤติกรรมทางสังคม หรือเกณฑ์ประเมินทางศีลธรรม แต่พฤติกรรมนี้ไม่มีความสัมพันธ์กับการเชื่อในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริง หรือกับการเดินตามทางของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งพฤติกรรมนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรทั้งสิ้นกับข้อพึงประสงค์ของพระองค์  แต่ก็อีกนั่นแหละ เหตุใดเล่าคนเราจึงไม่ควรทำการกุศล?  พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ให้ความเมตตาสงสารกับผู้คน ผู้มีความเมตตาสงสารและความรัก  พระองค์ทรงสงสารมนุษยชาติ แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงรำลึกถึงความประพฤติในเชิงการกุศลของผู้คน?  เหตุใดการทำการกุศลจึงไม่ได้รับการรำลึกถึงของพระเจ้า?  นี่ไม่ใช่ปัญหาหรอกหรือ?  การร้องขอให้ผู้คนไม่ทำการกุศลเป็นสัญญาณว่าพระเจ้าไม่รักมนุษยชาติใช่หรือไม่?  นี่ไม่ย้อนแย้งกับความสงสารที่พระเจ้าทรงมีให้แก่มนุษยชาติหรือ?  (ไม่ย้อนแย้ง)  เหตุใดจึงไม่ย้อนแย้ง?  (เพราะความเมตตาสงสารและความรักของพระเจ้ามีหลักธรรม และความเมตตาสงสารกับความรักของพระองค์ก็มุ่งไปยังปัจเจกบุคคลซึ่งเฉพาะเจาะจง  พระองค์ประทานเมตตาสงสารและความรักให้กับบรรดาผู้ที่ยอมรับความจริง ปฏิบัติความจริง และกลับใจอย่างแท้จริง  ส่วนพวกผู้ไม่เชื่อที่ไม่สามารถยอมรับความจริงได้นั้น พวกเขาไม่ใช่คนที่พระเจ้าทรงตั้งใจที่จะช่วยให้รอด)  เพราะความเมตตาสงสารและความรักของพระเจ้ามีหลักธรรม และความเมตตาสงสารกับความรักของพระองค์ก็มุ่งไปยังปัจเจกบุคคลซึ่งเฉพาะเจาะจง  จงพูดต่อเถิด มีอะไรอื่นอีก?  มีความเชื่อมโยงระหว่างการร่วมทำงานการกุศลกับการเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่มี)  แล้วการร่วมทำการกุศลขัดแย้งกับการเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  เมื่อเข้าร่วมงานการกุศลไม่ว่ารูปแบบใด ผู้คนจำเป็นต้องลงทุนเวลา พลังงานและแม้แต่เงินหรือไม่?  เมื่อเจ้าร่วมทำงานการกุศล เจ้าไม่สามารถทำได้เพียงแค่ใช้วาจาเท่านั้นโดยที่ไม่ต้องมีการใคร่ครวญหรือพิจารณาตัวงาน  หากเจ้าปฏิบัติต่อการเข้าร่วมนั้นอย่างเป็นวิชาชีพโดยแท้จริง เจ้าย่อมจะจำเป็นต้องลงทุนเวลา พลังงานและแม้แต่ยอดเงินที่มากพอสมควรเป็นแน่  ครั้นเจ้าได้ลงทุนเวลา พลังงานและเงินไปแล้ว จากนั้นเจ้าจะไม่ถูกพันธนาการและควบคุมโดยงานการกุศลที่เจ้ากำลังทำอยู่หรอกหรือ?  เจ้าจะยังคงมีพลังงานที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่หรือไม่?  เจ้าจะยังคงมีพลังงานที่จะทำหน้าที่ของตัวเองอยู่หรือไม่?  (ไม่มี)  เมื่อเจ้าไล่ตามไขว่คว้าอาชีพการงานใดก็ตามในชีวิต ไม่ว่าเจ้าทำอาชีพการงานใด หากเจ้าทำเต็มเวลา เจ้าย่อมจะลงทุนและพลีอุทิศพลังงานชั่วชีวิตและทั้งชีวิตของเจ้าอย่างเลี่ยงไม่ได้  นั่นจะทำให้เจ้าต้องเสียบ้าน เสียความรู้สึก เสียความยินดีทางเนื้อหนัง และเสียเวลาของเจ้า  ในทำนองเดียวกัน หากเจ้าปฏิบัติต่อการกุศลเช่นเดียวกับวิชาชีพอย่างแท้จริงและดำเนินการไปตามนั้น เวลาและพลังงานทั้งหมดที่เจ้ามีก็จะถูกรวบไปไว้ในการนั้นทั้งหมด  บุคคลหนึ่งๆ มีพลังงานในปริมาณจำกัด  หากเจ้าถูกงานการกุศลควบคุม และเจ้าต้องการให้ความคำนึงถึงต่อทั้งงานการกุศลและการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าในลักษณะที่เท่าเทียมและสมดุลกัน และยิ่งไปกว่านั้นยังปรารถนาที่จะทำทั้งสองสิ่งให้ดี นี่จะไม่ใช่กิจที่ง่ายเลย  หากเจ้าต้องการทำสองสิ่งนี้ให้สมดุลในเวลาเดียวกัน แต่เจ้ากลับไม่สามารถทำได้ เจ้าก็จะจำเป็นต้องเลือก  หากเจ้าจะต้องเลือกว่าจะเก็บสิ่งไหนและจะทิ้งสิ่งไหน เจ้าจะตัดสินใจอย่างไรหรือ?  เจ้าก็ควรเลือกความมานะพยายามที่มีคุณค่าและมีความหมายที่สุดที่จะดำเนินการไม่ใช่หรือ?  เช่นนั้นแล้วหากว่าทั้งการเชื่อในพระเจ้าและการร่วมทำการกุศลปรากฏขึ้นในชีวิตเจ้าในเวลาเดียวกัน เจ้าควรเลือกตัวเลือกใด?  (ข้าพระองค์ควรเลือกเชื่อในพระเจ้า)  ผู้คนส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  เมื่อเห็นว่าพวกเจ้าทุกคนเลือกตัวเลือกนั้น นี่ก็ค่อนข้างปกติไม่ใช่หรือที่พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ผู้คนร่วมทำการกุศล?  (ใช่)  การร่วมทำการกุศลได้ช่วยสิ่งมีชีวิตไปมากมายและได้จัดเตรียมเสบียงอาหารให้แก่ผู้คนมากมาย แต่ถึงที่สุดแล้วเจ้าจะได้รับอะไรจากการนั้น?  เจ้าจะสนองความถือดีของตัวเอง  การนี้เป็นการได้รับบางสิ่งอย่างแท้จริงและเป็นสิ่งที่เจ้าควรกำลังได้รับอยู่หรือ?  อุดมการณ์ของเจ้าจะได้เป็นจริงขึ้นมา คุณค่าของเจ้าจะถูกแสดงออกมาให้เห็น ก็เท่านั้นเอง—แต่นี่ใช่เส้นทางที่เจ้าควรเดินในชีวิตหรือ?  (ไม่ใช่)  สุดท้ายแล้วเจ้าจะได้รับอะไร?  (ความว่างเปล่า)  เจ้าจะไม่ได้รับอะไรเลยสักอย่าง  ความถือดีของเจ้าจะได้รับการสนองเพียงชั่วคราว เจ้าจะได้รับการสรรเสริญจากผู้อื่นเล็กน้อย ได้รับเหรียญตราและเกียรติจากสังคม แต่ก็เท่านั้น และพลังงานกับเวลาทั้งหมดของเจ้าก็จะได้ถูกใช้ไปจนหมด เจ้าจะได้รับอะไรหรือ?  เกียรติ ความมีหน้ามีตาในทางที่ดี และรางวัลเกียรติยศ—สิ่งเหล่านี้ล้วนว่างเปล่า  ไม่ว่าอย่างไร ความจริงที่ผู้คนควรทำความเข้าใจและเส้นทางชีวิตที่พวกเขาควรใช้ในชีวิตนี้ก็ไม่สามารถถูกเข้าใจหรือได้รับมาโดยการร่วมทำการกุศลเพียงเท่านั้น  การเชื่อในพระเจ้านั้นต่างไป  หากเจ้าสละตนแต่พระเจ้าอย่างจริงใจและไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นการลงทุนเวลาและพลังงานของเจ้าก็จะให้ผลลัพธ์ที่ดีและเป็นบวก  หากเจ้ารู้และเข้าใจสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนควรทำความเข้าใจที่สุด—วิธีที่ผู้คนควรใช้ชีวิต วิธีที่พวกเขาควรนมัสการพระเจ้า วิธีที่พวกเขามองเรื่องต่างๆ มุมมองและจุดยืนที่พวกเขาควรมีขณะที่พวกเขากระทำการ หนทางที่ถูกต้องที่สุดที่จะวางตน และวิธีวางตนในหนทางที่จะได้รับการรำลึกถึงโดยพระผู้สร้าง ในหนทางที่หมายความว่าคนคนหนึ่งกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกควร—เช่นนั้นนี่ก็เป็นเส้นทางที่ถูกควรและเป็นการได้รับบางสิ่งอย่างแท้จริง  ภายในชีวิตของเจ้า เจ้าจะได้รับมากมายในสิ่งที่ผู้ไม่มีความเชื่อไม่อาจเรียนรู้ได้ สิ่งทั้งหลายที่ใครคนหนึ่งซึ่งมีความเป็นมนุษย์ควรมี  สิ่งเหล่านี้มาจากพระเจ้า จากความจริง และจะกลายเป็นชีวิตของเจ้า  จากการนี้ เจ้าจะแปลงสภาพไปเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งใช้ความจริงเป็นชีวิตของตน ชีวิตของเจ้าจะไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป และเจ้าจะไม่งุนงงและหวั่นไหวอีกต่อไป  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ผลตอบแทนซึ่งสูงส่งและมีคุณค่ากว่าหรอกหรือ?  สิ่งเหล่านี้มีค่ากว่าการทำงานทางการกุศลเพื่อสนองความถือดีของเจ้าเพียงชั่วครู่ชั่วยามไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ผลตอบแทนเหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกับความจริงและเกี่ยวข้องกับเส้นทางที่ผู้คนควรเดินนั้นจะมอบชีวิตใหม่ให้กับเจ้า  ไม่มีอะไรในโลกมนุษย์ที่สามารถเทียบได้กับชีวิตใหม่นี้ และไม่มีสิ่งใดมาแทนที่ชีวิตใหม่นี้ได้  แน่นอนว่าชีวิตใหม่นี้มิอาจประเมินราคาได้และเป็นนิรันดร์  ชีวิตใหม่นี้เป็นบางสิ่งที่เจ้าบรรลุหลังจากที่เจ้าได้อุทิศเวลา พลังงานและความเยาว์วัยของเจ้า หลังจากที่เจ้าได้จ่ายราคาบางอย่างและพลีอุทิศบางอย่าง  นี่คุ้มค่าไม่ใช่หรือ?  นี่คุ้มค่าอย่างแน่นอนที่สุด  แต่เจ้าจะได้รับอะไรหากเจ้าร่วมทำการกุศล?  เจ้าจะไม่ได้รับอะไรเลย  เกียรติและเหรียญตราไม่ใช่ผลตอบแทน  การเห็นชอบและการยืนยันรับรองจากผู้อื่น การที่ผู้อื่นพูดว่าเจ้าเป็นคนดีหรือเป็นคนใจบุญผู้ยิ่งใหญ่—สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นผลตอบแทนได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งชั่วคราวและจะเลือนหายไปในไม่ช้าตามกาลเวลา  เมื่อเจ้าไม่สามารถยึดกุมสิ่งเหล่านี้ไว้ได้อีกต่อไป เมื่อเจ้าไม่สามารถรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้อีกต่อไป เจ้าก็จะเต็มไปด้วยความเสียดายและพูดว่า “ฉันทำอะไรลงไปในชีวิต?  ฉันได้ดูแลสุนัขและแมวมาไม่น้อย อุปการะเด็กกำพร้า ช่วยคนจนบางคนให้มีชีวิตที่ดี มีอาหารกินและมีเสื้อผ้าดีๆ ใส่ แต่ตัวฉันล่ะ?  ฉันมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?  เป็นไปได้หรือว่าฉันแค่มีชีวิตอยู่เพื่อพวกเขา?  นั่นคือภารกิจของฉันหรือ?  นี่คือความรับผิดชอบที่ฟ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ฉันหรือ?  นี่คือภาระผูกพันที่ฟ้าประทานแก่ฉันหรือ?  แน่ใจได้เลยว่าไม่ใช่  เช่นนั้นแล้ว บุคคลหนึ่งมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรหรือในชีวิตนี้?  ผู้คนมาจากไหนกันและพวกเขาจะไปไหนกันในภายภาคหน้า?  ฉันไม่เข้าใจประเด็นปัญหาที่พื้นฐานที่สุดเหล่านี้”  และแล้วเมื่อเจ้ามาถึงช่วงระยะนี้ เจ้าจะรู้สึกว่าเกียรติเหล่านั้นไม่ใช่ผลตอบแทน และรู้สึกว่าเกียรติเหล่านั้นเป็นแค่สิ่งภายนอก  นี่เป็นเพราะเจ้าคงได้เป็นคนเดิมหากเจ้าไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับการกุศลจนได้มาซึ่งเกียรติและเหรียญตราทั้งหลายเหมือนกับหลังจากที่ทำการกุศลจนถึงวันนั้น—ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดในนั้น ชีวิตภายในของเจ้าก็จะไม่ได้เปลี่ยนไป  เจ้าจะยังคงไม่รู้ในสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่เข้าใจ เจ้าจะยังคงพิศวงและงุนงง  และ ณ เวลานั้น เจ้าไม่เพียงงุนงงมากขึ้นและสับสนมากขึ้น แต่เจ้าจะรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นด้วย  ถึงจุดนี้ก็สายเกินไปสำหรับความเสียดาย  ชีวิตของเจ้าจะได้ผ่านไปแล้ว ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเจ้าจะได้จากไปแล้ว และเจ้าก็จะได้เลือกเส้นทางที่ผิดไปแล้ว  เพราะฉะนั้นก่อนที่เจ้าจะตัดสินใจร่วมทำงานการกุศล หรือเมื่อเจ้าเพิ่งเริ่มทำงานการกุศล หากเจ้าปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและบรรลุความรอด เจ้าก็ควรปล่อยมือจากแนวคิดเช่นนั้นเสีย  แน่นอนว่าเจ้าควรปล่อยมือจากกิจกรรมทั้งหมดที่สัมพันธ์กับงานนี้และทุ่มตัวเองอย่างสุดหัวใจให้กับเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความรอด  สุดท้ายแล้ว ต่อให้สิ่งที่เจ้าได้มาและได้รับนั้นไม่มากมายหรือจับต้องได้เท่ากับที่เจ้าจินตนาการไว้แต่แรกเริ่ม แต่อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็จะไม่เต็มไปด้วยความเสียดาย  ไม่ว่าเจ้าจะได้รับเล็กน้อยเพียงใด นั่นก็จะยังคงมากกว่าสิ่งที่พวกทีใช้ทั้งชีวิตของตัวเองในศาสนาที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้รับ  นั่นคือข้อเท็จจริง  เพราะฉะนั้นขณะกำลังเลือกอาชีพการงาน ในแง่หนึ่งนั้นผู้คนก็จำเป็นต้องปล่อยมือจากแนวคิดและแผนการที่จะร่วมทำการกุศล  ในอีกแง่นั้น ผู้คนก็ควรแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับความคิดของตนให้ถูกต้อง  ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องอิจฉาพวกคนในสังคมที่ร่วมทำงานการกุศล หรือคิดว่าคนเหล่านั้นช่างเห็นแก่ผู้อื่น ยิ่งใหญ่ สูงส่งและไม่เห็นแก่ตัวอะไรเช่นนี้ โดยพูดว่า “ดูสิว่าพวกเขาปฏิบัติตนสูงส่งและไม่เห็นแก่ตัวแค่ไหนขณะที่กำลังช่วยเหลือผู้อื่น  ทำไมพวกเราจึงไม่สามารถที่จะไม่เห็นแก่ตัวได้นะ?  ทำไมพวกเราจึงไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลแบบนั้น?”  อันดับแรกคือเจ้าไม่จำเป็นต้องอิจฉาพวกเขา  อันดับที่สองคือเจ้าไม่จำเป็นต้องตำหนิตัวเอง  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงเลือกสรรพวกเขา พวกเขาก็มีการไล่ตามไขว่คว้าและภารกิจของพวกเขาเอง ไม่สำคัญว่าพวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้าอะไร ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงและผลกำไร หรือการทำให้แนวคิดหรือความพึงปรารถนาของตัวเองเป็นจริงขึ้นมา เจ้าไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปกังวลกับเรื่องนั้น  สิ่งที่เจ้าควรกังวลถึงก็คือ สิ่งที่เจ้าควรไล่ตามเสาะหาและประเภทของเส้นทางที่เจ้าควรใช้เดิน  ประเด็นปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุดก็คือ ในเมื่อพระเจ้าได้ทรงเลือกสรรเจ้า และเจ้าก็ได้เข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าแล้ว อีกทั้งเจ้าก็เป็นสมาชิกของคริสตจักร ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังอยู่ในลำดับขั้นของบรรดาผู้ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้าจึงควรตริตรองถึงวิธีที่จะออกเดินไปบนเส้นทางแห่งความรอดในขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า วิธีปฏิบัติความจริง วิธีเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และไปถึงจุดที่พระวจนะของพระเจ้ากอปรขึ้นภายในตัวเจ้าและกลายเป็นชีวิตของเจ้าโดยผ่านทางการไล่ตามเสาะหาของเจ้าและสารพันราคาที่เจ้าจ่าย  ในอนาคตอันใกล้ เมื่อเจ้ามองย้อนกลับไปยังสภาวะที่เจ้าเคยอยู่ตอนที่เจ้าเริ่มมาเชื่อในพระเจ้า เจ้าจะพบว่าชีวิตภายในของเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว  เจ้าจะไม่เป็นบุคคลซึ่งมีชีวิตอยู่บนพื้นฐานของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนอีกต่อไป  เจ้าจะไม่เป็นบุคคลที่โอหัง ไม่รู้ความ ก้าวร้าว และโง่เขลาผู้ซึ่งคิดว่าตัวเองไม่เป็นรองใครอย่างที่เจ้าเคยเป็นอีกต่อไป  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระวจนะของพระเจ้าจะกลายเป็นชีวิตใหม่ของเจ้า  เจ้าจะรู้วิธีที่จะเดินตามทางของพระเจ้า อีกทั้งเจ้าจะรู้วิธีที่จะรับมือกับทุกสิ่งที่เจ้าเผชิญในชีวิตตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าและเป็นไปตามหลักธรรมความจริง  เจ้าจะใช้ทุกวันในลักษณะที่อยู่บนความเป็นจริงเช่นนั้น และเจ้าจะมีเป้าหมายกับทิศทางอันแน่ชัดในทุกสิ่งที่เจ้าทำ  เจ้าจะรู้ว่าเจ้าควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะชัดเจนในจิตใจของเจ้าราวกับกระจกเงา  ชีวิตประจำวันของเจ้าจะไม่ว้าวุ่น อ่อนล้าหรือเศร้าโศก  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ชีวิตเจ้าจะเต็มไปด้วยความสว่าง จะมีเป้าหมายและทิศทาง  ในเวลาเดียวกัน เจ้าก็จะรู้สึกถึงการขับเคลื่อนในหัวใจเจ้า  เจ้าจะรู้สึกว่า เจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เจ้าได้รับชีวิตใหม่ และเจ้าได้กลายเป็นบุคคลที่ได้ทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของตนแล้ว  นี่ดีไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเรามายุติการสามัคคีธรรมของพวกเราเรื่องไม่ร่วมทำการกุศลอันเป็นหลักธรรมแรกภายในหัวข้อการปล่อยมือจากอาชีพการงานกันตรงนี้เถิด  

อะไรคือหลักธรรมข้อที่สองของหัวข้อการปล่อยมือจากอาชีพการงานของคนเรา?  การพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า  เพื่อที่จะอยู่รอดในสังคม ผู้คนจึงทำการลงแรงหรือการงานสารพัดประเภทเพื่อค้ำชูความเป็นอยู่ของตน อันเป็นการทำให้มั่นใจว่าพวกเขามีความมั่นคงอีกทั้งมีแหล่งอาหารและค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตรายวันของตน  ผลที่ตามมาก็คือไม่ว่าผู้คนจะอยู่ในชนชั้นที่ต่ำกว่าหรือในระดับที่สูงกว่าเล็กน้อย พวกเขาก็ดำรงความเป็นอยู่ของตนผ่านทางสายอาชีพอันหลากหลาย  เนื่องจากจุดประสงค์ของพวกเขาก็เพื่อดำรงความเป็นอยู่ จึงเข้าใจได้โดยง่ายว่า การมีที่ให้อยู่อาศัย การรับประทานวันละสามมื้อ การมีเงินจ่ายค่าเนื้อสัตว์ตามวาระโอกาสที่พวกเขาปรารถนาจะกินเนื้อสัตว์ การไปทำงานตามปรกติ การมีรายได้ การไม่ต้องไปไหนมาไหนในเครื่องนุ่งห่มที่ซอมซ่อหรือไม่อาจได้รับสารอาหารที่เพียงพอ—นั่นก็ดีพอแล้ว  สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานในชีวิตของผู้คน  เมื่อคนคนหนึ่งสัมฤทธิ์ผลในสิ่งจำเป็นพื้นฐานเหล่านี้ นั่นก็ค่อนข้างง่ายที่จะสัมฤทธิ์ผลในเรื่องอาหารและความอบอุ่นไม่ใช่หรือ?  นี่อยู่ในขอบเขตความสามารถของพวกเขาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้นหากธรรมชาติของอาชีพการงานของคนเราก็คือเพื่อเห็นแก่อาหารและความอบอุ่น เพื่อเห็นแก่ความเป็นอยู่ของตนแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะไปเกี่ยวข้องกับอาชีพการงานใด ตราบที่อาชีพการงานนั่นเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย โดยทั่วไปแล้ว นั่นย่อมจะตรงตามมาตรฐานความเป็นมนุษย์  เหตุใดเราจึงพูดว่านั่นตรงตามมาตรฐานความเป็นมนุษย์?  เพราะสิ่งจูงใจ เจตนารมณ์ และจุดประสงค์ที่เจ้ามีเบื้องหลังการทำวิชาชีพนี้ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับแนวคิดหรือเรื่องใดๆ นอกจากการดำรงความเป็นอยู่—นั่นก็เพื่อเห็นแก่การมีกินเพียงพอ การมีเสื้อผ้าอันอบอุ่นให้สวมใส่เพียงพอ และการสามารถเกื้อหนุนครอบครัวของเจ้าได้ล้วนๆ  เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เหล่านี้คือสิ่งจำเป็นพื้นฐาน  ครั้นได้รับการจัดเตรียมสิ่งจำเป็นพื้นฐานเหล่านี้ให้ ผู้คนก็อาจชื่นชมยินดีกับคุณภาพพื้นฐานของชีวิต  เมื่อพวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ผลในสิ่งนี้ พวกเขาย่อมสามารถค้ำชูการดำรงอยู่ตามปกติได้  การที่บุคคลหนึ่งสามารถค้ำชูการดำรงอยู่ตามปกติได้นั้นเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ?  นี่คือสิ่งที่มนุษย์ควรสัมฤทธิ์ผลภายในข่ายของความเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้ารับผิดชอบชีวิตของตัวเอง เจ้าแบกชีวิตของเจ้าไว้บนบ่าของเจ้าเอง—นี่เป็นการสำแดงที่จำเป็นของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  การที่เจ้าสัมฤทธิ์การนี้ย่อมพอเพียงและเหมาะควรแล้ว  กระนั้นก็ตาม หากเจ้าไม่พอใจ เช่นนั้นแล้วในขณะที่คนปกติอาจจะกินเนื้อสัตว์สัปดาห์ละหนึ่งหรือสองครั้ง เจ้าก็กลับดึงดันที่จะกินเนื้อสัตว์ทุกวันและมีเหลือเก็บให้มากขึ้น  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าบริโภคเนื้อสัตว์วันละหนึ่งส่วนสี่ถึงครึ่งกิโลกรัมยามที่เจ้าจำเป็นต้องได้รับเพียงหนึ่งส่วนแปดกิโลกรัมเพื่อดำรงสุขภาพกายที่เหมาะสม โภชนาการที่เกินจำเป็นนี้ก็อาจจะนำไปสู่ความเจ็บป่วย  อะไรหรือที่เป็นสาเหตุของโรคอย่าง ไขมันพอกตับ ความดันโลหิตสูงและคอเลสเตอรอลสูง?  (การกินเนื้อสัตว์มากเกินไป)  ปัญหาของการรับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไปคืออะไร?  นั่นสืบเนื่องจากการขาดการควบคุมอาหารการกินของคนเราไม่ใช่หรือ?  นั่นเนื่องมาจากนิสัยตะกละตะกลามไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นิสัยตะกละตะกลามนี้มาจากไหนหรือ?  นี่เพราะคนคนหนึ่งมีความอยากอาหารมากเกินจำเป็นไม่ใช่หรือ?  ความอยากอาหารเกินจำเป็นกับความตะกละตะกลามนั้นสอดคล้องกับสิ่งจำเป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่?  (ไม่สอดคล้อง)  สิ่งเหล่านั้นเกินความจำเป็นของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  หากเจ้าปรารถนาที่จะทำเกินความจำเป็นของความเป็นมนุษย์ที่ปกติอยู่เป็นนิจ นั่นหมายความว่าเจ้าจะจำเป็นต้องทำงานให้มากขึ้น หาเงินให้มากขึ้นและทำงานมากกว่าผู้คนปกติหลายเท่าตัว  ไม่ว่าจะโดยผ่านทางการทำงานล่วงเวลาหรือการทำการงานหลายอย่างไปพร้อมๆ กันก็ตาม แต่เจ้าก็จะจำเป็นต้องสร้างรายได้ให้มากขึ้นเพื่อให้มีเงินพอจ่ายให้กับการกินเนื้อสัตว์วันละสามมื้อและเมื่อใดก็ตามที่เจ้าอยากกิน  นี่เกินกว่าขอบเขตของความเป็นมนุษย์ที่ปกติไม่ใช่หรือ?  การทำเกินขอบเขตของความเป็นมนุษย์ที่ปกตินั้นดีหรือไม่?  (ไม่ดี)  เหตุใดจึงไม่ดี?  (แง่หนึ่งก็คือร่างกายผู้คนมีแนวโน้มที่จะเจ็บป่วย อีกแง่ก็คือผู้คนจำเป็นต้องลงทุนเวลา พลังงาน และค่าใช้จ่ายให้กับงานของตนมากขึ้นเพื่อสนองความพึงปรารถนาและความอยากอาหารของตัวเอง  การนี้กินเวลาและพลังงานที่พวกเขาอาจได้ใช้สำหรับการไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของตัวเอง ส่งผลต่อวิธีที่พวกเขาเดินไปตามเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริง)  ผู้คนควรพอใจกับการมีสิ่งจำเป็นพื้นฐานทั้งหลาย ไม่รู้สึกหิวหรือเหน็บหนาว อีกทั้งสัมฤทธิ์ผลในเรื่องอาหารและความอบอุ่นที่จำเป็นสำหรับความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เจ้าควรหาเงินได้มากพอที่จะรักษาความสอดคล้องกับความต้องการทางร่างกายที่ปกติสำหรับโภชนาการ  นั่นมากพอแล้ว นั่นเป็นชีวิตแบบที่ผู้คนซึ่งมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี  หากเจ้ากระหายหิวความยินดีทางเนื้อหนังอยู่เสมอ สนองความอยากทางเนื้อหนังโดยไม่คำนึงถึงสุขภาพร่างกายของตัวเอง และไม่ไยดีต่อเส้นทางที่ถูกต้อง หากเจ้าต้องการอยู่เสมอที่จะกินอาหารที่ดี สำราญกับสิ่งดีๆ มีสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดี กินอาหารโอชะที่หายาก สวมใส่เสื้อผ้ายี่ห้อดังกับเครื่องประดับเงินและทอง อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ และขับรถหรู—หากเจ้าปรารถนาอยู่เป็นนิจที่จะไล่ตามไขว่คว้าการนี้ เช่นนั้นเจ้าก็จำเป็นต้องทำงานในสายอาชีพแบบใดหรือ?  หากเจ้าเพียงทำงานการธรรมดาเพื่อให้ได้ตามสิ่งจำเป็นพื้นฐานทั้งหลายของเจ้า และจัดการแก้ไขปัญหาเรื่องอาหารและความอบอุ่น การงานนั้นสามารถทำให้ความอยากได้อยากมีทั้งหมดนี้ลุล่วงได้หรือ?  (ไม่ได้)  ไม่ได้อย่างแน่นอน  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าต้องการทำธุรกิจ และธุรกิจขนาดเล็กที่มีแค่แผงลอยเดียวก็สามารถจัดหาอาหารและความอบอุ่นให้กับทั้งครอบครัวของเจ้าได้ เจ้าอาจมีน้อยกว่าพวกที่อยู่เหนือเจ้า แต่เจ้าก็มีมากกว่าพวกที่อยู่ต่ำกว่าเจ้ามากมายนัก  เจ้าสามารถกินเนื้อสัตว์ตามวาระโอกาส และทั้งครอบครัวของเจ้าก็สามารถแต่งกายอย่างดีพร้อม  เจ้าสามารถใช้เวลาที่เหลือเพื่อเชื่อในพระเจ้า เข้าร่วมการชุมนุมและทำหน้าที่ของตัวเอง อีกทั้งเจ้าก็ยังคงสามารถมีพลังงานเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่ก็ดีพอแล้ว  เพราะการที่ชีวิตของเจ้ามีหลักประกันเป็นพื้นฐาน ขณะที่เจ้าทำสายอาชีพนี้ เจ้าย่อมจะสามารถมีเวลาว่างและพลังงานที่จะไล่ตามเสาะหาความเชื่อในพระเจ้าและความจริง  นี่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่เคยพอใจ เจ้าก็จะคิดเสมอว่า “ธุรกิจนี้มีศักยภาพ  ฉันสามารถหาเงินได้มากเท่านี้ต่อเดือนด้วยแผงลอยแค่แผงเดียว  นั่นสามารถจัดหาอาหารและความอบอุ่นให้ครอบครัวของฉันได้  ถ้าฉันมีแผงลอยสองแผง เช่นนั้นฉันก็สามารถหาเงินได้สองเท่า  ครอบครัวของฉันไม่เพียงสามารถมีอาหารและความอบอุ่น พวกเรายังสามารถออมเงินได้เล็กน้อยอีกด้วย  พวกเราสามารถกินอะไรตามที่ต้องการและแม้แต่ท่องเที่ยวและซื้อสินค้าหรูหราสักสองสามอย่าง  พวกเราสามารถกินและสำราญกับสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ซื้อไม่ได้  นั่นคงเยี่ยมไปเลย  ขอฉันเพิ่มแผงลอยอีกสักแผงเถอะ!”  หลังจากที่เพิ่มแผงลอยอีกแผง เจ้าก็เริ่มมั่งมีมากขึ้น เจ้าได้ลิ้มรสของสิทธิพิเศษต่างๆ และคิดว่า “ดูเหมือนตลาดนี้ช่างใหญ่โตทีเดียว  ฉันยังสามารถเพิ่มแผงลอยได้อีกแผง ขยายธุรกิจของฉัน และนำสินค้าต่างๆ เข้ามาเพื่อขยับขยายต่อไป  ฉันไม่เพียงสามารถออมเงินได้เท่านั้น แต่ยังสามารถซื้อรถยนต์และยกระดับไปอยู่บ้านที่หลังใหญ่กว่า  ทั้งครอบครัวฉันสามารถท่องเที่ยวได้ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ!”  ยิ่งเจ้าคิดมากเท่าไร เรื่องนี้ก็ยิ่งกลายเป็นยั่วใจมากขึ้นเท่านั้น  ถึงจุดนี้ เจ้าก็ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเพิ่มแผงลอยอีกแผง  ธุรกิจเติบโตใหญ่ขึ้นทุกที เจ้าหาเงินได้มากขึ้นทุกที ความสุขสำราญของเจ้าก็เพิ่มขึ้น แต่เจ้ากลับไปร่วมการชุมนุมน้อยลงทุกที จากการร่วมชุมนุมสัปดาห์ละครั้งก็เป็นสองสัปดาห์ครั้งหรือเดือนละครั้ง และสุดท้ายแล้วก็เป็นทุกหกเดือนเท่านั้น  เจ้าคิดอยู่ในใจว่า “ธุรกิจของฉันก็เติบโตแล้ว ฉันหาเงินได้มากมายแล้ว ฉันเกื้อหนุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและมอบของถวายก้อนโต”  เจ้ากำลังมีรถเปิดประทุนขับ ภรรยากับลูกๆ ของเจ้าประดับประดาไปด้วยเครื่องประดับเพชรและทอง แต่งกายด้วยเสื้อผ้ายี่ห้อดังตั้งแต่หัวจรดเท้า และตัวเจ้าก็ได้ไปเที่ยวเมืองนอกมาแล้วด้วยซ้ำ  เจ้าคิดว่า “การมีเงินช่างยอดเยี่ยมนัก!  ถ้าฉันรู้ว่าการหาเงินจะง่ายแบบนี้ ทำไมฉันไม่เริ่มให้เร็วกว่านี้นะ?  การมีเงินช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน!  คนที่มั่งมีผ่านวันเวลากันไปอย่างสะดวกสบายและง่ายดายแบบนี้นี่เอง!  ตอนที่ฉันกินอาหารเลิศรส รสชาติช่างเกินเปรียบปาน  เวลาสวมใส่สินค้ายี่ห้อที่มีนักออกแบบ ฉันรู้สึกหัวใจพองโต และไม่ว่าฉันจะไปที่ไหน คนอื่นก็มองฉันด้วยสายตาอิจฉาและริษยา  ฉันได้รับความเคารพและความเลื่อมใสจากผู้คน และฉันก็รู้สึกแตกต่าง รู้สึกเหมือนแผ่นหลังของฉันยืดตรงผึ่งผายขึ้นมาหน่อย”  ความอยากได้อยากมีทางเนื้อหนังของเจ้าได้รับการสนองแล้ว เช่นเดียวกับความถือดีของเจ้า  แต่ฝุ่นที่จับอยู่บนปกพระวจนะของพระเจ้ากลับหนาขึ้นทุกที เจ้าไม่ได้อ่านพระวจนะมานานแล้ว และคำอธิษฐานต่อพระเจ้าของเจ้าก็กลับสั้นลง  การชุมนุมได้ย้ายไปที่อื่นแล้วและเจ้าก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตอนนี้การชุมนุมจัดกันที่ไหน  เจ้าไม่ไปรายงานตัวที่คริสตจักรตามวาระโอกาสอีกต่อไปแล้วด้วยซ้ำ  จงบอกเราทีว่านี่เป็นการเข้าใกล้ความรอดมากขึ้นหรือห่างออกไปมากขึ้น?  (ห่างออกไปมากขึ้น)  คุณภาพชีวิตของเจ้ากำลังดีขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายของเจ้าได้รับอาหารเป็นอย่างดี และเจ้าได้กลายเป็นคนพิเศษมากขึ้น  ในอดีตนั้น เจ้าคงไม่ไปตรวจสุขภาพสักครั้งในรอบแปดหรือสิบปีด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ที่เจ้ามั่งมี เจ้าไปตรวจสุขภาพทุกหกเดือนเพื่อดูว่าตัวเจ้ามีความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูงหรือคอเลสเตอรอลสูงหรือเปล่า  เจ้าพูดว่า “คนเราต้องดูแลสุขภาพของตัวเอง  ดังคำกล่าวที่ว่า ‘หากคุณต้องเป็นอะไรสักอย่าง ก็ขอให้ไม่ใช่การเจ็บป่วย  หากคุณต้องไม่เป็นอะไรสักอย่าง ก็ขอให้ไม่ยากจน’”  ความคิดและมุมมองของเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้วใช่หรือไม่?  ตอนนี้เจ้าร่ำรวยและไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไปแล้ว เจ้ารู้สึกว่าตัวเจ้ามีค่า ว่าอัตลักษณ์ของเจ้ามีเกียรติ และเจ้ายิ่งมองร่างกายของเจ้าเป็นสมบัติล้ำค่ามากขึ้นไปอีก  ท่าทีของเจ้าที่มีต่อชีวิตก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน  ก่อนหน้านั้น เจ้าไม่เคยวุ่นวายกับการตรวจสุขภาพโดยคิดว่า “พวกเราชาวบ้านยากจนไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอก  ทำไมฉันถึงควรไปตรวจร่างกายเล่า?  ถ้าฉันป่วยหนัก ฉันก็ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาอยู่ดี  ฉันแค่จะนั่งเฉยๆ และทนไป แล้วถ้าฉันทนไม่ได้ ฉันว่าเนื้อหนังนี้ก็แค่จะยอมตายเท่านั้นเอง  ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร”  แต่ตอนนี้ต่างไปแล้ว  เจ้าพูดว่า “ผู้คนไม่ควรมีชีวิตอยู่กับความเจ็บป่วย  ถ้าพวกเขาป่วย ใครจะใช้เงินที่พวกเขาหามาได้?  พวกเขาจะไม่สามารถสำราญกับชีวิต  ชีวิตสั้น!”  นี่ต่างไปใช่หรือไม่?  ท่าทีของเจ้าที่มีต่อเงิน ต่อชีวิตของเนื้อหนัง และต่อความสุขสำราญได้เปลี่ยนไปแล้วทั้งหมด  ในทำนองเดียวกัน ท่าทีที่เจ้ามีต่อการเชื่อในพระเจ้า การไล่ตามเสาะหาความจริง และการรับความรอดก็ได้กลายเป็นไม่แยแสมากขึ้นทุกที  

ครั้นบุคคลหนึ่งเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางของการไม่พอใจกับอาหารและเสื้อผ้า พวกเขาก็จะไล่ตามไขว่คว้าคุณภาพของชีวิตที่สูงกว่า และความสุขสำราญกับสิ่งที่ดีกว่า  นี่เป็นสัญญาณของภาวะอันตราย นี่คือการตกไปอยู่ในการทดลอง นี่จะก่อความเดือดร้อน และนี่เป็นลางร้าย  ครั้นใครบางคนสำราญและมีประสบการณ์กับรสชาติของความมั่งมี พวกเขาก็เริ่มเป็นกังวลว่าสักวันพวกเขาจะสูญเสียเงินของตัวเองไปและกลายเป็นยากจน  ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาทะนุถนอมวันเวลาของการมีเงินในตอนนี้อีกทั้งให้คุณค่ากับตำแหน่งและสถานะของการร่ำรวยเป็นพิเศษ  บ่อยครั้งที่เจ้าได้ยินพวกผู้ไม่มีความเชื่อพูดว่า “การไปจากความขมขื่นสู่ความหอมหวานนั้นง่าย การไปจากความหอมหวานสู่ความขมขื่นนั้นไม่ง่ายเลย”  นี่หมายความว่ายามที่เจ้าไม่มีอะไรเลย เจ้าไม่เดือดร้อนเมื่อถูกขอให้ปล่อยมือ เจ้าสามารถปล่อยมือได้ในพริบตา เพราะไม่มีอะไรที่มีค่าให้ยึดกุมไว้  สมบัติพัสถานที่เป็นวัตถุและเงินทองเหล่านี้ไม่กลายเป็นอุปสรรคกีดขวางสำหรับเจ้า และย่อมง่ายที่เจ้าจะปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้น  แต่ครั้นเจ้ามีสิ่งเหล่านี้ ก็กลายเป็นว่าเจ้าปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นได้ยากเย็น ยากเย็นกว่าการขึ้นสวรรค์  หากเจ้ายากจน ครั้นพอถึงเวลาที่เจ้าต้องจากบ้านไปและทำหน้าที่ของเจ้า เจ้าก็พร้อมที่จะเดินจากไปได้  อย่างไรก็ดี หากเจ้าเป็นคนใหญ่คนโตที่มั่งมี จิตใจของเจ้าก็กลายเป็นคิดมากเต็มไปหมดและเจ้าก็พูดว่า “โอ บ้านของฉันมีราคาสองล้านหยวน รถของฉันมีราคาห้าแสนหยวน  แล้วก็มีสินทรัพย์ถาวร เงินออมในธนาคาร หุ้น เงินทุน การลงทุน และสิ่งอื่นๆ รวมแล้วก็เป็นยอดประมาณสิบล้านหยวน  ถ้าฉันจากไปฉันจะเอาทั้งหมดนี้ไปด้วยได้อย่างไร?”  ไม่ง่ายเลยที่เจ้าจะปล่อยมือจากสมบัติพัสถานทางวัตถุเหล่านี้  เจ้าคิดว่า “ถ้าฉันละสิ่งเหล่านี้แล้วไปจากบ้านนี้และครอบครัวปัจจุบันของฉัน แล้วสถานที่ที่ฉันจะไปอยู่อาศัยในภายหน้าจะมีสภาพคล้ายกันไหม?  ฉันจะทนยอมรับการใช้ชีวิตในกระท่อมดินหรือบ้านที่ทำจากฟางได้หรือ?  ฉันจะทนกลิ่นเหม็นของโรงปศุสัตว์ได้หรือ?  ตอนนี้ฉันสามารถอาบน้ำอุ่นได้ทุกวัน  ฉันจะสามารถสู้ทนกับสถานที่ที่ฉันไม่สามารถแม้แต่จะอาบน้ำร้อนสักปีละครั้งได้หรือ?”  ความคิดของเจ้าทวีคูณขึ้นจนเจ้าทนไม่ได้  ในขณะที่เจ้ามีเงิน เจ้าล้วงเงินสดเป็นกำออกมาซื้อสิ่งต่างๆ ซื้อสิ่งใดก็ตามที่เจ้าต้องการโดยปราศจากความลังเล เจ้าใจกว้างเป็นพิเศษและเจ้าก็ไม่เคยพลาดในเรื่องเงินเลย  แต่หากเจ้าจะต้องละทั้งหมดนี้ เจ้าก็รู้สึกตะขิดตะขวงทุกครั้งที่ล้วงเข้าไปในกระเป๋าสตางค์พลางฉงนฉงายว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากในนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย  หากเจ้าต้องการกินบะหมี่ร้อนๆ สักชาม เจ้าคงต้องคำนวนว่าร้านไหนที่ราคาถูกที่สุด และเจ้ายังคงสามารถกินได้กี่มื้อกับเงินที่เจ้าเหลืออยู่  เจ้าต้องวางแผนการใช้จ่ายอย่างเคร่งครัดโดยดำรงชีวิตแบบคนจนคนหนึ่ง  เจ้าจะทนยอมรับเรื่องนั้นได้หรือ?  แต่ก่อนแต่ไร หากเจ้าซักเสื้อผ้าตัวหนึ่งไปสองครั้งแล้วมันเสียรูปทรง และการสวมใส่เสื้อผ้าตัวนั้นจะทำให้เจ้ารู้สึกขายหน้า เจ้าก็จะโยนมันทิ้งแล้วหาใหม่  ตอนนี้เจ้าซักและใส่เสื้อยืดตัวเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า และต่อให้คอเสื้อฉีกขาด เจ้าก็รับไม่ได้ที่จะโยนมันทิ้งไป  เจ้าจึงเย็บคืนและใส่มันต่อไป  เจ้าจะทนยอมรับเรื่องนั้นได้หรือไม่?  ไม่ว่าเจ้าไปที่ใด ผู้คนก็จะมองเจ้าเป็นคนยากจน และพวกเขาก็คงไม่ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้า  เวลาที่เจ้าออกไปซื้อของและถามราคา ก็คงไม่มีใครสนใจเจ้า  เจ้าจะทนเรื่องนั้นได้หรือ?  นั่นไม่ใช่ความรู้สึกที่ง่ายเลย ใช่หรือไม่?  แต่หากเจ้าไม่มีสมบัติพัสถานทางวัตถุและเงินทองเหล่านี้ เจ้าก็จะไม่จำเป็นต้องปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ และเจ้าก็คงไม่จำเป็นต้องเผชิญความท้าทายนี้  นั่นจะง่ายกว่ามากที่เจ้าจะทิ้งทุกสิ่งและไล่ตามเสาะหาความจริง  เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงตรัสบอกผู้คนไว้นานแล้วว่าพวกเขาควรพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า  ไม่ว่าเจ้าทำวิชาชีพอะไร จงอย่าปฏิบัติต่อวิชาชีพนั้นดั่งเป็นอาชีพการงาน และจงอย่ามองวิชาชีพนั้นเป็นเครื่องช่วยผลักดันให้ไปสู่ความสำเร็จหรือเป็นวิถีทางหนึ่งที่จะขึ้นไปสู่ความเด่นดังหรือสะสมความมั่งมีและใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายสบาย  ไม่สำคัญว่าเจ้าทำงานหรือวิชาชีพอะไร การมองงานหรือวิชาชีพนั้นเป็นเพียงวิถีทางที่จะค้ำชูความเป็นอยู่ของเจ้าอย่างเดียวก็พอแล้ว  หากงานหรือวิชาชีพนั้นสามารถค้ำชูชีวิตของเจ้าได้ เจ้าก็ควรรู้ว่าเมื่อไรที่จะต้องหยุดและไม่ไล่ตามไขว่คว้าความร่ำรวยอีกต่อไป  หากการหาเงินได้เดือนละสองพันหยวนนั้นมากพอที่จะครอบคลุมอาหารวันละสามมื้อของเจ้าและสิ่งจำเป็นพื้นฐานของชีวิต เช่นนั้นเจ้าก็ควรหยุดตรงนั้นและไม่พยายามขยายขอบเขตของงานการของเจ้า  หากเจ้ามีสิ่งจำเป็นพิเศษอันใด เจ้าก็สามารถรับทำงานล่วงเวลาเป็นกะเพิ่มเติมหรือรับทำงานชั่วคราวเพื่อหาเงินให้พอใช้จ่ายโดยไม่ก่อหนี้สิน—นั่นก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้  ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อผู้คนเป็นแบบนี้ กล่าวคือ ไม่ว่าเจ้าทำวิชาชีพใด ไม่สำคัญว่านวิชาชีพนั้นเกี่ยวข้องกับความรู้หรือทักษะทางวิชาการอันใด หรือเรียกร้องให้มีการลงแรงกายหรือไม่ ตราบที่วิชาชีพนั้นสมเหตุสมผลและถูกกฎหมาย อยู่ภายในความสามารถของเจ้า และวิชาชีพนี้สามารถค้ำชูความเป็นอยู่ของเจ้าได้ เช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว  จงอย่าแปรวิชาชีพที่เจ้าทำให้กลายเป็นที่วางเท้าสำหรับก้าวไปสู่การทำให้อุดมการณ์และความพึงปรารถนาของตัวเจ้าเองเป็นจริง เพื่อเห็นแก่การสนองความพึงพอใจในของชีวิตในเนื้อหนังของเจ้า อันเป็นการทำให้ตัวเจ้าตกไปอยู่ในการทดลองหรือปลักตม หรือนำพาเจ้าไปตามเส้นทางที่มิอาจหวนคืน  หากการหาเงินได้เดือนละสองพันหยวนนั้นเพียงพอที่จะค้ำชูชีวิตส่วนตัวของเจ้าหรือชีวิตของครอบครัวของเจ้าได้ เช่นนั้นเจ้าก็ควรทำงานนั้นต่อไปและใช้เวลาที่เหลือปฏิบัติความเชื่อในพระเจ้า เข้าร่วมการชุมนม ทำหน้าที่ของเจ้า และไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่คือภารกิจของเจ้า คุณค่าและความหมายแห่งชีวิตของผู้เชื่อคนหนึ่ง  และไม่ว่าวิชาชีพใดที่เจ้าทำก็เป็นไปเพียงเพื่อการค้ำชูสิ่งจำเป็นพื้นฐานทางกายของชีวิตมนุษย์ปกติเท่านั้น  พระเจ้าจะไม่ทรงร้องขอให้เจ้าขึ้นไปสู่ความเด่นดัง กลายเป็นโดดเด่น หรือสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในวิชาชีพของเจ้า  หากวิชาชีพของเจ้าสัมพันธ์กับการวิจัยค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ นั่นจะต้องใช้พลังงานของเจ้าในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญ แต่หลักธรรมแห่งการปฏิบัติยังคงไม่เปลี่ยนแปลง—จงพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า  หากวิชาชีพของเจ้าเสนอโอกาสสำหรับการเลื่อนตำแหน่งและรายได้ที่เป็นกอบเป็นกำบนพื้นฐานความสามารถของเจ้า และรายได้นี้ก็มากเกินข่ายของการพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า เจ้าควรเลือกที่จะทำอย่างไร?  (ปฏิเสธข้อเสนอ)  หลักธรรมที่เจ้าควรเชื่อฟังก็คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงตักเตือนไว้—จงพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า  ไม่ว่าเจ้าทำวิชาชีพใด หากเจ้าไปเกินขอบเขตของการพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า เจ้าย่อมจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องลงทุนพลังงาน เวลาหรือค่าใช้จ่ายนอกเหนือข่ายของสิ่งจำเป็นพื้นฐานเพื่อที่จะหารายได้เพิ่มเติมนั้น  ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันนี้เจ้าอาจจะเป็นพนักงานน้องใหม่ที่หาเงินได้มากพอที่จะค้ำชูความจำเป็นพื้นฐานของตน แต่เนื่องจากผลการปฏิบัติงานที่ดีต่องานการของเจ้า ผู้บังคับบัญชาของเจ้าจึงต้องการเลื่อนตำแหน่งเจ้าไปสู่ตำแหน่งทางฝ่ายบริหารหรือไปเป็นผู้บริหารระดับสูงนี่นั่นด้วยเงินเดือนที่สูงกว่าหลายเท่า  รายได้นี้หามาได้โดยสูญเปล่าใช่หรือไม่?  เมื่อรายได้ของเจ้าเพิ่มขึ้น เจ้าก็ต้องลงทุนเป็นการลงแรงในปริมาณที่สอดรับกันเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน  การลงทุนเป็นความพยายามพึงต้องใช้พลังงานและเวลาไม่ใช่หรือ?  นี่เทียบเท่ากับการพูดว่าเงินที่เจ้าหาได้นั้นได้มาจากการแลกเปลี่ยนพลังงานและเวลาของเจ้าในปริมาณที่มากโข  เพื่อที่จะหาเงินให้มากขึ้น เจ้าจำเป็นต้องลงทุนเวลาและพลังงานของเจ้ามากขึ้น  เมื่อเจ้าหาเงินได้มากขึ้น เวลาและพลังงานของเจ้าจึงถูกจับจองในปริมาณที่มากโข และในเวลาเดียวกัน เวลาที่เจ้าจัดสรรให้กับความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า การเข้าร่วมการชุมนุม การทำหน้าที่ และการไล่ตามเสาะหาความจริงก็ลดลงตามสัดส่วน  นี่เป็นข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัด  เมื่อพลังงานและเวลาของเจ้าถูกอุทิศให้กับการสะสมความมั่งมี เจ้าก็สูญเสียโอกาสที่มีต่อบำเหน็จรางวัลแห่งความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า  พระเจ้าจะไม่ทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างโปรดปราน และพระนิเวศของพระองค์ก็จะไม่เติมเต็มให้เจ้าในสิ่งที่เจ้าขาดแค่เพียงเพราะเจ้าได้รับการเลื่อนตำแหน่ง และเวลากับพลังงานของเจ้าถูกจับจองอยู่อย่างมากมายในตอนนี้ อันเป็นเหตุให้เจ้าไม่มีเวลาทำหน้าที่ของตัวเองหรือเข้าร่วมการชุมนุมในพระนิเวศของพระเจ้า  สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นลักษณะนี้ใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่คอยแจ้งข่าวสารให้เจ้าได้ตามทันและอนุญาตให้เจ้าได้รับการปฏิบัติแบบพิเศษ อีกทั้งพระเจ้าก็จะไม่ทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างโปรดปรานเพราะการนี้  พูดสั้นๆ ก็คือ หากเจ้าปรารถนาที่จะมีบำเหน็จรางวัลสำหรับความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า หากเจ้าต้องการบรรลุความรอด นั่นก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของตัวเจ้าที่จะรักษาเวลาและพลังงาน  นี่เป็นเรื่องของตัวเลือก  พระเจ้าไม่ทรงห้ามไม่ให้เจ้าค้ำชูชีวิตที่เป็นปกติ  รายได้ของเจ้าเพียงพอที่จะครอบคลุมอาหารและความอบอุ่น ค้ำชูการอยู่รอดทางร่างกายและกิจกรรมในชีวิตของเจ้า  นั่นมากพอที่จะเกื้อหนุนการดำรงอยู่ต่อไปของเจ้า  แต่เจ้าก็ไม่พอใจ เจ้าต้องการหาเงินเพิ่มตลอดเวลา  เช่นนั้นพลังงานและเวลาของเจ้าก็จะถูกพรากไปโดยเงินจำนวนนี้  พลังงานและเวลาของเจ้ากำลังถูกพรากไปเพื่ออะไรหรือ?  เพื่อสร้างเสริมคุณภาพของชีวิตทางกายของเจ้า  ขณะที่เจ้าปรับปรุงคุณภาพของชีวิตทางกายของเจ้า เจ้าก็ได้รับจากการเชื่อในพระเจ้าน้อยลง และเวลาของเจ้าสำหรับการทำหน้าที่ก็หมดไป เวลานี้ถูกจับจอง  อะไรที่จับจองเวลาของเจ้า?  เวลาของเจ้าถูกจับจองโดยการไล่ตามไขว่คว้าชีวิตทางกายที่ดี โดยความสุขสำราญทางกาย  นั่นคุ้มค่าหรือ?  (ไม่คุ้ม)  หากเจ้าเก่งเรื่องการชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีและข้อเสีย เจ้าย่อมรู้ว่านั่นไม่คุ้มค่า  เจ้าได้รับความสุขสำราญในชีวิตทางกายของเจ้า เจ้ากินอาหารที่ดีขึ้นและคอยทำให้ท้องอิ่ม เจ้าแต่งกายดีมีรสนิยมและสบายตัว  เจ้าได้สิ่งของที่เป็นของนักออกแบบและสินค้าหรูหราเพิ่มขึ้นมาสองสามอย่าง แต่งานการของเจ้าน่าเหน็ดเหนื่อยและเรียกร้องมากกว่าเดิม อีกทั้งยังกินเวลาและพลังงานของเจ้า  ในฐานะผู้เชื่อคนหนึ่ง เจ้ากลับไม่มีเวลาเข้าร่วมการชุมนุมหรือฟังการเทศนา  ทั้งเจ้ายังไม่มีเวลาไตร่ตรองความจริงและพระวจนะของพระเจ้า  มีความจริงมากมายที่เจ้ายังคงไม่เข้าใจและไม่สามารถตระหนักรู้ได้ แต่เจ้าก็กลับไม่มีเวลาและพลังงานที่จะไตร่ตรองและแสวงหาสิ่งเหล่านี้  ชีวิตทางกายของเจ้าปรับปรุงดีขึ้น แต่ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเจ้าล้มเหลวในการเติบโตและเผชิญกับความเสื่อมถอย  นี่เป็นการได้หรือเสีย?  (เสีย)  การสูญเสียนี้ใหญ่หลวงเกินไป!  เจ้าจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีกับข้อเสีย!  หากเจ้าเป็นบุคคลที่เฉลียวฉลาดซึ่งรักความจริงโดยแท้ เจ้าก็ควรชั่งน้ำหนักทั้งสองฝั่งและดูว่าอะไรคือสิ่งที่มีค่าและเปี่ยมความหมายที่สุดที่เจ้าจะได้รับ  หากถึงเวลาเลื่อนตำแหน่งและเจ้ามีโอกาสหาเงินได้มากขึ้นและจัดเตรียมชีวิตทางกายที่ดีขึ้นให้กับตัวเองได้ เจ้าควรเลือกสิ่งใด?  หากเจ้าต้องการที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและมีความมุ่งมั่นที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นเจ้าก็ปล่อยผ่านโอกาสเช่นนั้นไปเสีย  ตัวอย่างเช่นสมมุติว่าใครบางคนที่บริษัทของเจ้าพูดว่า “คุณทำงานนี้มาสิบปี  คนส่วนใหญ่ในบริษัทเห็นเงินเดือนตัวเองขึ้นและรับการเลื่อนตำแหน่งภายในสามถึงห้าปี  แต่ค่าตอบแทนของคุณยังเป็นเหมือนเมื่อก่อนอยู่เลย  ทำไมคุณถึงไม่ทำผลงานให้ดีกว่านี้?  ทำไมคุณไม่ปรับปรุงผลการปฏิบัติงาน?  ดูคนโน้นสิ เธอมาอยู่ที่นี่สามปี และตอนนี้เธอก็ขับรถเปิดประทุนอีกทั้งยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่โตขึ้น  เธอเปลี่ยนจากอพาร์ทเม้นท์หนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่นไปเป็นบ้านสามห้องนอนสองห้องนั่งเล่นแล้ว  ตอนเธอมา เธอก็เป็นแค่นักศึกษายากจนคนหนึ่ง  เดี๋ยวนี้เธอคือผู้หญิงที่มั่งมี แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าของนักออกแบบตั้งแต่หัวจรดเท้า พักโรงแรมหรู อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ และขับขี่ยานพาหนะหรูหรา”  พอเจ้าเห็นว่าเธอได้ดิบได้ดีอย่างไร เจ้าก็จะเริ่มรู้สึกอยู่ไม่สุขไม่ใช่หรือ?  เจ้าจะไม่รู้สึกแย่หรือ?  เจ้าจะขืนต้านการทดลองเช่นนั้นได้หรือไม่?  เจ้าจะยังเหนียวแน่นต่อเจตนารมณ์ดั้งเดิมของตัวเองอยู่หรือไม่?  เจ้าจะเหนียวแน่นต่อหลักธรรมทั้งหลายหรือไม่?  หากเจ้ารักความจริงโดยแท้ เต็มใจไล่ตามเสาะหาความจริง และเชื่อว่าการได้รับบางสิ่งในความจริงนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตเจ้า และเชื่อว่าเจ้าได้เลือกสิ่งซึ่งสำคัญและมีค่าที่สุดในชีวิตของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่เสียดายการนั้น และเจ้าก็จะไม่ไหวเอนไปกับสิ่งต่างๆ อย่างเช่นการเลื่อนตำแหน่ง  เจ้าจะยืนกรานหนักแน่นโดยพูดว่า “ฉันพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า ไม่ว่าฉันรับทำสายอาชีพใด นั่นก็เพื่อเห็นแก่อาหารและความอบอุ่น  เพื่อเปิดโอกาสให้ร่างกายของฉันได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ใช่เพื่อความชื่นชมยินดีทางร่างกาย และไม่ใช่เพื่อสัมฤทธิ์ความเด่นดังอย่างแน่นอน  ฉันไม่ไล่ตามไขว่คว้าการเลื่อนตำแหน่งหรือเงินเดือนสูงๆ  ฉันจะใช้ประโยชน์จากอายุขัยที่จำกัดของฉันในการไล่ตามเสาะหาความจริง”  หากเจ้ามีความมุ่งมั่นนี้ เจ้าย่อมไม่หวั่นไหวและหัวใจของเจ้าก็จะสงบนิ่ง เมื่อเจ้าเห็นคนอื่นได้เลื่อนตำแหน่ง ได้รับการขึ้นเงินเดือน หรือสวมใส่เครื่องประดับเงินและทองรวมถึงเสื้อผ้ายี่ห้อดัง สุขสำราญกับคุณภาพของชีวิตที่ดีกว่าเจ้า และมีรสนิยมล้ำกว่าเจ้า เจ้าก็จะไม่รู้สึกอิจฉา  ใช่อย่างนั้นหรือไม่?  (ใช่)  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่รักความจริงและไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็จะไม่สามารถหักห้ามใจได้ และเจ้าก็จะขืนต้านได้ไม่นานนัก  ในวาระเช่นนั้นและสภาพแวดล้อมเช่นนั้น หากผู้คนไม่มีความจริงเป็นชีวิตของตน หากพวกเขาขาดความมุ่งมั่นสักเล็กน้อย หากพวกเขาขาดความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่แท้จริง พวกเขาย่อมจะโอนเอนกลับไปกลับมาและรู้สึกอ่อนแออยู่เป็นนิจ  หลังจากขืนต้านไปได้สักพัก พวกเขาก็จะถึงกับโศกเศร้าขึ้นมาพลางคิดว่า “เมื่อไหร่วันเวลาเหล่านี้จะสิ้นสุดลงเสียที?  ถ้าวันของพระเจ้าไม่มาถึง ฉันจะยังเป็นเด็กรับใช้ในบริษัทไปอีกนานเท่าไร?  คนอื่นหาเงินได้มากกว่าฉัน  ทำไมฉันถึงทำได้เพียงดำรงรักษาอาหารกับความอบอุ่นขั้นพื้นฐานไว้เท่านั้น?  พระเจ้าตรัสบอกไม่ให้ฉันหาเงินเพิ่ม”  ใครห้ามไม่ให้เจ้าหาเงินเพิ่ม?  หากเจ้ามีความสามารถ เจ้าก็หาเงินเพิ่มได้  หากเจ้าเลือกที่จะหาเงินเพิ่ม ที่จะดำเนินวิถีชีวิตอันมั่งมี และสุขสำราญกับการใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย ก็ไม่เป็นไร ไม่มีใครกำลังห้ามเจ้า  อย่างไรก็ดี เจ้าจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อการเลือกของเจ้าเอง  สุดท้ายแล้วหากเจ้าไม่บรรลุความจริง หากพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้กลายเป็นชีวิตภายในตัวเจ้า เจ้าก็จะเป็นคนเดียวเท่านั้นที่เสียใจกับเรื่องนี้  เจ้าจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อการกระทำและการเลือกของเจ้าเอง  ไม่มีใครสามารถรับผิดชอบหรือจ่ายเงินแทนเจ้าได้  ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะเชื่อในพระเจ้า จงเดินไปตามเส้นทางแห่งความรอดและไล่ตามเสาะหาความจริง จงอย่าเสียดายในเรื่องนี้  ในเมื่อนี่เป็นสิ่งที่เจ้าได้เลือกแล้ว เจ้าก็ไม่ควรมองสิ่งนี้เป็นกฎเกณฑ์หรือพระบัญญัติที่ต้องปฏิบัติตาม กลับกัน เจ้าควรเข้าใจว่าการยืนกรานหนักแน่นและตัวเลือกของเจ้ามีคุณค่าและความหมาย  ในท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เจ้าได้รับก็คือความจริงและชีวิต ไม่ใช่แค่กฎเกณฑ์  หากการยืนกรานหนักแน่นและตัวเลือกของเจ้าทำให้เจ้าอับอายมากเป็นพิเศษ ไม่สะดวกใจหรือไม่สามารถสู้หน้าผู้คนรอบตัวได้ เช่นนั้นก็จงอย่ายืนกรานต่อไปเลย  เหตุใดจึงทำสิ่งต่างๆ ให้ยากเย็นสำหรับตัวเจ้าเองเล่า?  สิ่งใดก็ตามที่เจ้าปรารถนาอยู่ในหัวใจ สิ่งใดก็ตามที่เจ้าต้องการก็จงไล่ตามไขว่คว้าสิ่งนั้น—ไม่มีใครเลยที่กำลังห้ามเจ้า  ถึงตอนนี้ที่พวกเรากำลังสามัคคีธรรมกันแบบนี้ก็แค่เป็นการให้หลักธรรมแก่เจ้า  ทุกวิชาชีพที่ผู้คนร่วมทำในโลกนี้สัมพันธ์กับชื่อเสียง กำไร และความสุขสำราญทางกาย  เหตุผลที่ผู้คนหาเงินเพิ่มไม่ใช่เพื่อสัมฤทธิ์ผลเป็นเงินจำนวนหนึ่ง แต่เพื่อทำให้ความสุขสำราญทางกายของตนดีขึ้นโดยผ่านทางการหาเงินจำนวนนั้นและกลายเป็นคนมั่งมีซึ่งเป็นที่รู้จักต่อสาธารณะอีกด้วย  แบบนี้พวกเขาก็จะมีชื่อเสียง กำไรและตำแหน่งซึ่งล้วนแต่เกินจำเป็นในข่ายของสิ่งจำเป็นพื้นฐาน  ราคาใดที่ผู้คนจ่ายก็เพื่อความสุขสำราญทางกาย ไม่มีอะไรในนั้นเลยที่มีความหมาย ทั้งหมดนั้นว่างเปล่าเหมือนความฝัน  สิ่งที่พวกเขาได้รับในตอนท้ายเป็นความว่างเปล่าล้วนๆ  วันนี้เจ้าอาจจะกินเกี๊ยวสำหรับมื้ออาหารของเจ้าและรู้สึกอร่อย แต่หลังจากทบทวนอย่างรอบคอบแล้ว เจ้าย่อมเห็นว่าเจ้าไม่ได้รับอะไรเลย  หากเจ้ากินทุกวัน เจ้าก็อาจจะเบื่อ เลิกกินและสลับไปเป็นอย่างอื่น เช่น ขนมปังข้าวโพด ข้าวหรือแพนเค้ก  เจ้าปรับเปลี่ยนตัวเองแบบนี้แล้วร่างกายของเจ้าก็เริ่มมีสุขภาพดีขึ้น  หากเจ้ากินอาหารไขมันสูงทุกวัน ร่างกายของเจ้าก็อาจจะกลายเป็นสุขภาพไม่ดี ไม่ใช่หรือ?

การพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า นี่เป็นเส้นทางที่ถูกต้องหรือไม่?  (นี่ถูกต้อง)  เหตุใดเส้นทางนี้จึงถูกต้อง?  คุณค่าของชีวิตของบุคคลเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาหารและเสื้อผ้าหรือไม่?  (ไม่)  หากคุณค่าของชีวิตของบุคคลไม่เกี่ยวกับอาหารและเสื้อผ้าหรือความสุขสำราญในเนื้อหนัง เช่นนั้นวิชาชีพที่บุคคลหนึ่งทำก็ควรลุล่วงความต้องการที่จำเป็นสำหรับอาหารและเสื้อผ้าเท่านั้น ไม่ควรไปเกินขอบเขตนี้  จุดประสงค์เบื้องหลังการมีอาหารและเสื้อผ้าคืออะไร?  เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายสามารถอยู่รอดได้อย่างเป็นปกติ  จุดประสงค์ของการอยู่รอดคืออะไร?  นั่นไม่ใช่เพื่อเห็นแก่ความสุขสำราญทางเนื้อหนัง และไม่ใช่เห็นแก่การสุขสำราญในครรลองของชีวิตและแน่นอนว่า นั่นไม่ใช่เพื่อเห็นแก่การสุขสำราญในสิ่งทั้งปวงที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์ในชีวิต  ทั้งหมดนี้ไม่สำคัญ  แล้วอะไรเล่าสำคัญที่สุด?  อะไรคือสิ่งมีค่าที่สุดที่บุคคลหนึ่งควรทำ?  (คนคนหนึ่งควรเดินบนเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริง แล้วก็ลุล่วงหน้าที่ของตน)  ไม่ว่าเจ้าเป็นบุคคลประเภทใด เจ้าก็คือสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้าง  สิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างควรทำสิ่งที่พวกเขาถูกหมายให้ทำ—นี่คือสิ่งที่มีคุณค่า  แล้วอะไรคือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างทำแล้วมีคุณค่า?  ทุกสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างมีภารกิจที่พระผู้สร้างไว้วางพระทัยมอบหมายแก่พวกเขา ภารกิจที่พวกเขาถูกหมายให้ลุล่วง  พระเจ้าได้ทรงกำหนดโชคชะตาของชีวิตของแต่ละบุคคล  ไม่ว่าโชคชะตาของชีวิตพวกเขาจะเป็นอะไรก็ตาม นั่นก็คือสิ่งที่พวกเขาควรทำ  หากเจ้าทำได้ดี เช่นนั้นเมื่อเจ้ายืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อบอกเล่าเรื่องราว พระเจ้าจะทรงให้คำตอบที่น่าพึงพอใจ  พระองค์จะตรัสว่าชีวิตของเจ้าได้ถูกใช้ไปอย่างมีคุณค่าและผลิดอกออกผล ว่าเจ้าได้แปลงพระวจนะของพระเจ้าไปเป็นชีวิตของเจ้า และว่าเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสม  อย่างไรก็ตามหากชีวิตของเจ้าแค่เกี่ยวกับการดำรงชีวิต การดิ้นรน และการลงทุนเพื่อเห็นแก่อาหาร เสื้อผ้า ความยินดี และความสุข เช่นนั้นเมื่อสุดท้ายแล้วเจ้ายืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระองค์จะทรงถามว่า “เจ้าลุล่วงภารกิจและกิจของชีวิตนี้ที่เราได้มอบให้เจ้าไปมากเพียงใดแล้ว?”  เจ้าก็จะคำนวณทั้งหมดรวมกันและพบว่าพลังงานและเวลาของชีวิตนี้ถูกใช้ไปกับอาหาร เสื้อผ้า และความบันเทิง  นั่นดูเหมือนเจ้าไม่ได้ทำอะไรมากมายนักกับความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เจ้ายังไม่ได้ลุล่วงหน้าที่ของเจ้า เจ้ายังไม่ได้ยืนหยัดไปจนถึงปลายทาง และเจ้ายังไม่ได้ดำเนินการอุทิศของตน  เมื่อคำถึงถึงการไล่ตามเสาะหาความจริง แม้เจ้ามีความเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่บ้าง แต่เจ้าก็ยังไม่ได้จ่ายราคาไปมากนัก และเจ้าก็ยังไม่ได้รับสิ่งใดเลย  ในข้อทดสอบขั้นสุดท้ายนั้น พระวจนะของพระเจ้าก็ยังไม่ได้กลายมาเป็นชีวิตของเจ้า และเจ้าก็ยังเป็นซาตานตนเดิม  วิธีการของเจ้าสำหรับการปฏิบัติตนและการมองสิ่งทั้งหลายล้วนอยู่บนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดกับความคิดฝันแบบมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน  เจ้ายังคงต่อต้านพระเจ้าอย่างสิ้นเชิงและเข้ากันไม่ได้กับพระองค์  ในกรณีนั้น เจ้าจะถูกทำให้เปลี่ยนไปจนไร้ประโยชน์ และพระเจ้าจะไม่ต้องประสงค์ในตัวเจ้าอีกต่อไป  นับจากจุดนี้ เจ้าจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างของพระเจ้าอีกต่อไป  นั่นช่างเป็นสิ่งที่น่าเวทนานัก!  เพราะฉะนั้นไม่ว่าเจ้าประกอบวิชาชีพอะไร ตราบที่วิชาชีพนั้นถูกกฎหมาย พระเจ้าก็ทรงจัดการเตรียมการและลิขิตวิชาชีพนั้นไว้ล่วงหน้า  แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าทรงเกื้อหนุนหรือหนุนใจเจ้าให้หาเงินมากขึ้นและขึ้นไปสู่ความเด่นดังในอาชีพการงานที่เจ้าได้รับทำ  พระเจ้าไม่ทรงเห็นชอบกับการนี้ และพระองค์ก็ไม่เคยทรงพึงปรารถนาการนี้จากเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้นพระเจ้าก็ยังจะไม่มีวันทรงใช้วิชาชีพที่เจ้าทำมาผลักให้เจ้าเข้าหาทางโลก ส่งมอบเจ้าให้กับซาตาน หรืออนุญาตให้เจ้าไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและกำไรไปตามแต่ใจ  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระเจ้าทรงอนุญาตให้เจ้าจัดการแก้ไขความต้องการที่จำเป็นของเจ้าสำหรับอาหารและเสื้อผ้าโดยผ่านทางวิชาชีพที่เจ้าทำ—ก็เท่านั้นเอง  ที่นอกจากนั้นก็คือ ภายในพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ได้ตรัสบอกเจ้าไว้แล้วถึงสิ่งทั้งหลาย อาทิ สิ่งเป็นหน้าที่ของเจ้า สิ่งที่เป็นภารกิจของเจ้า สิ่งที่เจ้าควรไล่ตามเสาะหา และสิ่งที่เจ้าควรใช้ชีวิตตาม  เหล่านี้คือค่านิยมที่เจ้าควรใช้ชีวิตตามและคือเส้นทางที่เจ้าควรเดินไปจนตลอดชีวิตของเจ้า  หลังจากที่พระเจ้าได้ตรัสและเจ้าเข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ เจ้าควรทำอะไร?  หากการทำงานสัปดาห์ละสามวันมากพอที่จะให้ได้ตามความต้องการที่จำเป็นของเจ้าสำหรับอาหารและเสื้อผ้า แต่เจ้ายังคงเลือกที่จะทำงานในวันอื่นๆ จากนั้นเจ้าก็ทำหน้าที่ของเจ้าไม่ได้  เวลาที่หน้าที่หนึ่งพึงต้องได้รับความร่วมมือจากเจ้า เจ้าก็พูดว่า “ฉันติดงานอยู่ ฉันประจำการอยู่” และเมื่อใครบางคนพยายามติดต่อเจ้า เจ้าก็อ้างว่าไม่มีเวลาตลอด  เมื่อไรเจ้าจึงมีเวลา?  หลังสองทุ่มตอนที่เจ้าหมดสภาพ เหนื่อยล้า และหมดแรงแล้วเท่านั้นเอง เจ้ามีเจตจำนงแต่ไม่มีเรี่ยวแรงกำลัง  เจ้าทำงานสัปดาห์ละหกวัน และเมื่อใดก็ตามที่ใครบางคนพยายามติดต่อเจ้าทางโทรศัพท์ เจ้าก็อ้างว่าไม่มีเวลาตลอด  มีเพียงวันอาทิตย์ที่เจ้ามีเวลา และแม้แต่ตอนนั้น เจ้าก็จำเป็นต้องใช้เวลากับครอบครัวและลูกๆ ของเจ้า ทำงานบ้าน รวมทั้งเติมพลังงานคืนให้ตัวเองและผ่อนคลายสักพัก  บางคนถึงกับไปเที่ยวพักร้อน ใช้เวลาบางส่วนกับกิจกรรมยามว่าง รวมทั้งออกไปใช้เงินและซื้อสิ่งของ  บางคนสร้างสัมพันธภาพกับเพื่อนร่วมงานและสร้างเครือข่ายกับหัวหน้าและผู้บริหารระดับบน  นี่เป็นการเชื่อประเภทใด?  นี่คือผู้ไม่เชื่ออย่างสิ้นเชิงเลย การร่วมธรรมเนียมปฏิบัติมีประโยชน์อะไร?  อย่าบอกว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า  เจ้าไม่มีสัมพันธภาพกับผู้เชื่อในพระเจ้าเลย  เจ้าไม่ได้เป็นของคริสตจักร อย่างมากที่สุด เจ้าก็แค่มิตรสหายคนหนึ่งของคริสตจักร  พระนิเวศของพระเจ้าจำเป็นต้องมีใครบางคนรับมือกับกิจธุระภายนอก และเจ้าก็อาจตกลงที่จะช่วย แต่นั่นก็แค่การที่เจ้าไม่ปฏิเสธ  ส่วนการที่เจ้าสามารถทำงานตำแหน่งนั้นได้หรือไม่ หรือเมื่อไรที่เจ้าสามารถทำได้นั้นไม่มีใครรู้  และหลังจากที่เจ้าได้ไปถึงตำแหน่งงานของเจ้า ก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะมอบทั้งหัวใจกับเรี่ยวแรงกำลังและเวลาทั้งหมดของเจ้าให้กับตำแหน่งงานนั้นได้หรือไม่—เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้  ใครเล่าที่รู้ว่าเมื่อใดที่เจ้าอาจจะยุ่งกับงานมากเหลือเกินหรือออกเดินทางไปทำธุรกิจ หรือหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเป็นเวลาสองสัปดาห์หรือหนึ่งเดือน—ไม่มีใครติดต่อเจ้าได้  นี่ไม่ใช่ความเชื่อที่จริงแท้อีกต่อไป นี่เป็นแค่ธรรมเนียมปฏิบัติธรรมดา  เมื่อเป็นเรื่องของผู้คนแบบนี้ ก็ควรริบหนังสือพระวจนะของพระเจ้าจากพวกเขา แล้วจากนั้นพวกเขาก็ควรถูกเอาตัวออกไปและบอกไปว่า “ถ้าคุณไม่สามารถปล่อยมือจากงานได้ ไม่มีเวลาให้กับการชุมนุม และไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ พระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่บังคับคุณ  เราแยกกันตรงนี้เถอะ  เมื่อไรที่คุณสามารถมาพอใจกับการแค่มีอาหารและเสื้อผ้า เลิกล้มความต้องการคุณภาพชีวิตที่สูง และจัดสรรเวลาให้กับการทำหน้าที่ของตัวเองให้มากขึ้น ถึงตอนนั้นพวกเราจะยอมรับคุณเข้ากลุ่มและนับคุณเป็นสมาชิกของคริสตจักร  หากคุณสัมฤทธิ์ผลแบบนี้ไม่ได้ และคุณแค่เข้ามารายงานตัว ช่วยงาน และสร้างสัมพันธภาพที่ไม่มีสาระกับเหล่าพี่น้องชายหญิงในยามว่างของคุณ นั่นไม่นับเป็นการทำหน้าที่ของคุณในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้าง และนั่นไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นการเชื่อในพระเจ้าอย่างเป็นทางการอย่างแน่นอน”  พวกเราเรียกผู้คนแบบนี้ว่าอะไร?  (มิตรสหายของคริสตจักร)  มิตรสหายของคริสตจักร กัลยาณมิตรแห่งคริสตจักร  “ใครก็ตามที่ไม่ได้ต่อสู้พวกเราย่อมอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเรา” (มาระโก 9:40)  เพราะฉะนั้นผู้คนประเภทนี้จึงถูกอ้างอิงถึงในฐานะมิตรสหายของคริสตจักร  การเรียกใครบางคนว่ามิตรสหายของคริสตจักรบ่งชี้ว่าพวกเขายังคงอยู่ในระยะสังเกตการณ์ พวกเขายังไม่ใช่ผู้เชื่อในพระเจ้าแบบเป็นทางการ ยังไม่ถูกนับเป็นคนของคริสตจักร และพวกเขาก็ยังไม่ถูกมองว่าเป็นคนที่กำลังทำหน้าที่ อย่างมากที่สุด พวกเขาก็ยังคงต้องถูกจับตาสังเกต เนื่องจากยังไม่ชัดเจนว่าพวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้หรือไม่  อย่างไรก็ดี เนื่องจากข้อจำกัดที่บางคนถูกกำหนดโดยสภาพแวดล้อมหรือภาวะทางครอบครัว พวกเขาจึงต้องทำงานหลายวันต่อสัปดาห์เพื่อจัดการแก้ไขปัญหาปากท้องและเกื้อหนุนลูกหลานของตน  พวกเราจะไม่สร้างข้อเรียกร้องแบบเด็ดขาดอันใดกับพวกเขา  หากพวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตัวเองในเวลาที่เหลือของพวกเขา เช่นนั้นก็นับว่าพวกเขาเป็นสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ว่ากำลังเชื่อในพระเจ้าอย่างเป็นทางการ เพราะพวกเขาทำได้ตามภาวะพื้นฐานของการพอใจกับอาหารและเสื้อผ้าแล้ว  พวกเขามีความลำบากยากเย็นตามข้อเท็จจริงแวดล้อม และหากเจ้าห้ามไม่ให้พวกเขาทำงาน ทั้งครอบครัวของพวกเขาก็จะไม่มีวิถีทางใดที่จะมาเกื้อหนุน และพวกเขาก็จะทนทุกข์จากความหนาวเหน็บและความหิวโหย  หากเจ้าไม่ยอมให้พวกเขาทำงาน ใครจะเกื้อหนุนครอบครัวของพวกเขา?  เจ้าจะไปเกื้อหนุนพวกเขาหรือ?  เพราะฉะนั้นเหล่าผู้นำ ผู้กำกับดูแลและใครก็ตามที่มีความสัมพันธ์กับพวกเขาไม่มีเหตุอันชอบธรรมที่จะเรียกร้องให้พวกเขาเลิกทำงานการและให้พวกเขาไม่เป็นกังวลเกี่ยวกับครอบครัวของตัวเอง  นี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ  นี่จะเป็นการขอผู้คนในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ควรให้พวกเขาได้มีวิถีทางในการดำรงชีวิต  ผู้คนไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่ในสุญญากาศ พวกเขาไม่ใช่เครื่องจักร  พวกเขาจำเป็นต้องอยู่รอด ต้องค้ำชูความเป็นอยู่  อย่างที่พวกเราเสวนากันมาก่อนหน้า หากเจ้ามีลูกหลานและครอบครัว เช่นนั้นในฐานะเสาหลักหรือสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว เจ้าก็ควรรับผิดชอบต่อการเกื้อหนุนครอบครัวของเจ้า  หลักธรรมสำหรับการลุล่วงความรับผิดชอบนี้ก็เพื่อสัมฤทธิ์ผลเป็นอาหารและความอบอุ่น นั่นคือหลักธรรม  สำหรับคนบางคน พวกเขาอยู่ในภาวะแบบนี้ และพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เกี่ยวกับเรื่องนี้  หลังการปฏิบัติตามความรับผิดชอบที่พวกเขามีต่อครอบครัว พวกเขาก็ปรับตารางเวลาเพื่อทำหน้าที่ของตน  พระนิเวศของพระเจ้าเปิดโอกาสและอนุญาตในเรื่องนี้ เจ้าไม่อาจขอสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จากผู้คน  นี่ใช่หลักธรรมหรือไม่?  (ใช่)  ไม่มีใครมีเหตุผลอันชอบธรรมที่จะเรียกร้องให้บรรดาผู้ที่เพิ่งเชื่อในพระเจ้าได้ไม่นานและยังไม่หยั่งรากลึกต้องเลิกล้มงานการของพวกเขา ทอดทิ้งครอบครัวของพวกเขา หย่าร้าง ละเลยบุตรหลาน หรือปฏิเสธพ่อแม่ของพวกเขา  ไม่มีอะไรในสิ่งเหล่านี้ที่จำเป็นเลย  สิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าพึงประสงค์ให้ผู้คนปฏิบัติตามก็คือหลักธรรมความจริง และหลักธรรมเหล่านี้ประกอบด้วยสถานการณ์และภาวะอันหลากหลาย  บนพื้นฐานของสถานการณ์และภาวะที่แตกต่างกันเหล่านี้ ควรมีการตั้งข้อพึงประสงค์และการประเมินวัดไปตามหลักธรรมความจริง นี่เท่านั้นจึงจะถูกต้องแม่นยำ  เพราะฉะนั้นในเรื่องของอาชีพการงานจึงสำคัญยิ่งยวดที่จะพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า  หากเจ้าไม่สามารถมองประเด็นนี้อย่างชัดเจน เจ้าอาจจะสูญเสียหน้าที่และเสี่ยงที่จะเสียโอกาสในการได้รับการช่วยให้รอด  

ยุคสุดท้ายก็เป็นเวลาพิเศษเช่นกัน  ในแง่หนึ่งนั้น กิจธุระของคริสตจักรกำลังยุ่งวุ่นวายและซับซ้อน ในอีกแง่นั้น การเผชิญชั่วขณะนี้ที่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้ากำลังแผ่ขยายออกไป จำเป็นต้องมีผู้คนจำนวนมากขึ้นที่จะอุทิศเวลาและพลังงานของตน ร่วมสมทบความพยายามของตนและลุล่วงหน้าที่ของตนเพื่อให้ได้ตามความต้องการที่จำเป็นของโครงการสารพันภายในพระนิเวศของพระเจ้า  เพราะฉะนั้น ไม่สำคัญว่าเจ้ามีสายอาชีพอะไร หากนอกเหนือจากการทำให้ได้ตามความต้องการที่จำเป็นในการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานแล้ว เจ้าสามารถอุทิศเวลาและพลังงานของเจ้าเพื่อลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้า ให้ความร่วมมือกับโครงการอันหลากหลาย เช่นนั้นแล้วในพระเนตรของพระเจ้า นี่ไม่เพียงเป็นที่พึงปรารถนาแต่ยังเปี่ยมคุณค่าเป็นพิเศษอีกด้วย  นี่คู่ควรแก่การได้รับการรำลึกถึงจากพระเจ้า และยังคุ้มค่าด้วยเช่นกันที่ผู้คนจะลงทุนและใช้จ่ายไปมากเท่านี้  นั่นเป็นเพราะถึงแม้เจ้าได้เสียสละความสุขสำราญของเนื้อหนังไป แต่สิ่งที่เจ้าได้รับก็คือชีวิตอันมิอาจประเมินราคาได้แห่งพระวจนะของพระเจ้า ชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ขุมศัพท์อันมิอาจประเมินราคาได้ที่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนกับสิ่งใดในโลก กับเงิน หรือกับสิ่งอื่นได้เลย  และขุมทรัพย์อันมิอาจประเมินค่าได้นี้ สิ่งที่เจ้าได้รับผ่านทางการลงทุนเวลาและพลังงาน ผ่านทางความพยายามและการไล่ตามเสาะหาของเจ้าเอง นี่เป็นความเอื้อเฟื้อพิเศษและเป็นบางสิ่งซึ่งเจ้าโชคดีที่ได้รับใช่หรือไม่?  การที่พระวจนะของพระเจ้าและความจริงกลายเป็นชีวิตของคนคนหนึ่ง นี่คือขุมทรัพย์อันมิอาจประเมินราคาได้ในการแลกเปลี่ยนที่ผู้คนควรเสนอทุกสิ่งให้ไป  ดังนั้นบนพื้นฐานของการที่สายอาชีพของเจ้าเปิดโอกาสให้เจ้ามีอาหารและเสื้อผ้า หากเจ้าสามารถจ่ายราคาและลงทุนเวลากับพลังงานให้กับการไล่ตามเสาะหาความจริง—หากเจ้าเลือกเส้นทางนี้—เช่นนั้นก็เป็นสิ่งดีที่ควรค่าแก่การฉลอง  เจ้าไม่ควรรู้สึกหมดกำลังใจหรือสับสนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าควรมั่นใจว่าตัวเองเลือกถูกแล้ว  เจ้าอาจจะพลาดโอกาสสำหรับการเลื่อนตำแหน่งไป สำหรับการขึ้นเงินเดือนและรายได้ที่สูงขึ้น สำหรับความสุขสำราญของชีวิตในเนื้อหนังที่มากกว่า หรือสำหรับชีวิตที่มั่งมี แต่เจ้าก็ได้คว้าโอกาสแห่งความรอดมากุมไว้แล้ว  ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าได้สูญเสียหรือปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นหมายความว่า ตัวเลือกของเจ้าได้นำพาความหวังและความมีชีวิตชีวาสำหรับความรอดมาให้  เจ้าไม่ได้สูญเสียสิ่งใดเลย  ในทางตรงข้าม หากหลังจากที่มีอาหารและเสื้อผ้า เจ้าก็ทุ่มเวลากับพลังงานพิเศษเข้าไป หาเงินได้มากขึ้น ได้มาซึ่งความยินดีทางวัตถุมากขึ้น และเนื้อหนังของเจ้าก็ได้รับการสนอง ทว่าในการทำเช่นนั้น เจ้าได้ทำลายความหวังของความรอดของตัวเจ้าเอง เช่นนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ไม่ใช่สิ่งดีสำหรับเจ้า  เจ้าควรไม่สบายใจและวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น เจ้าควรปรับงานหรือท่าทีของเจ้าเกี่ยวกับชีวิตและข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตทางกาย เจ้าควรปล่อยมือจากความอยากได้อยากมี แผนการและกำหนดการบางอย่างสำหรับชีวิตในเนื้อหนังที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง  เจ้าควรอธิษฐานต่อพระเจ้า มาสู่การทรงสถิตของพระองค์ และแน่วแน่ที่จะลุล่วงหน้าที่ของตนเอง ทุ่มจิตใจและร่างกายของเจ้าให้กับกิจนานาสารพันในพระนิเวศของพระเจ้า เพียรพยายามเพื่อที่ในภายภาคหน้าวันที่พระราชกิจของพระเจ้าสรุปปิดตัวลง ตอนที่พระเจ้าทรงตรวจสอบงานของผู้คนต่างประเภทกันทั้งหมด และทรงประเมินวัดวุฒิภาวะของผู้คนต่างประเภทกันเหล่านี้ทั้งหมด เจ้าจะเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา  เมื่อพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าสำเร็จลุล่วง เมื่อข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าได้เผยแผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล เมื่อฉากอันน่าชื่นบานนี้คลี่คลายตัวออกมา ก็จะมีความตรากตรำ การลงทุน และการพลีอุทิศของเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงได้รับพระสิริ เมื่อพระราชกิจของพระองค์แผ่ขยายไปทั่วทั้งจักรวาล เมื่อทุกคนกำลังฉลองการสำเร็จลุล่วงที่ประสบความสำเร็จของพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ตรงการคลี่คลายตัวของชั่วขณะแห่งความชื่นบานนั้น เจ้าก็จะเป็นคนหนึ่งซึ่งเชื่อมโยงกับความชื่นบานยินดีนี้  เจ้าจะเป็นส่วนหนึ่งของความชื่นบานยินดีนี้ ไม่ใช่คนที่จะร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คนที่จะตีอกชกหัวตัวเองในขณะที่คนอื่นทุกคนกำลังโห่ร้องและกระโดดโลดเต้นด้วยความชื่นบานยินดี ไม่ใช่คนที่กำลังได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง ผู้ที่จะถูกพระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์อย่างถ้วนทั่วและทรงกำจัดออกไป  แน่นอนว่า ที่ยิ่งดีกว่านั้นอีกก็คือเมื่อพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าสำเร็จลุล่วง เจ้าจะมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิต  เจ้าจะเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งได้รับการช่วยให้รอด ไม่กบฏต่อพระเจ้าอีกต่อไป ไม่ละเมิดหลักธรรมอีกต่อไป แต่เป็นใครคนหนึ่งซึ่งเข้ากันได้กับพระเจ้า  ในเวลาเดียวกัน เจ้าก็จะชื่นบานยินดีอยู่เหนือทุกสิ่งที่เจ้าล้มเลิกไปตั้งแต่ต้นอีกด้วย อาทิ เงินเดือนสูง ความยินดีทางเนื้อหนัง การปฏิบัติทางวัตถุที่ดี สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่เหนือกว่า อีกทั้งการซาบซึ้งในคุณค่า การเลื่อนตำแหน่ง และการยกระดับที่เหล่าผู้นำมอบให้  เจ้าจะไม่เสียดายว่าเจ้าไม่ได้ล้มเลิกโอกาสเหล่านั้นเพื่อการเลื่อนตำแหน่ง หรือโอกาสเหล่านั้นที่จะเพิ่มเงินเดือนของตัวเองและสร้างความมั่งมี หรือโอกาสที่จะปรนเปรอตัวเองอยู่ในวิถีชีวิตที่หรูหรา  กล่าวสั้นๆ ก็คือ ข้อพึงประสงค์และมาตรฐานของวิชาชีพที่คนคนหนึ่งทำ ซึ่งก็มีหลักธรรมแห่งการปฏิบัติที่พวกเขาควรเชื่อฟังอยู่ด้วยเช่นกันนั้นล้วนสรุปรวบยอดอยู่ในคำกล่าวนี้ที่ว่า “จงพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า”  การไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อบรรลุชีวิตคือสิ่งที่ผู้คนควรยึดมั่น  พวกเขาไม่ควรละทิ้งความจริงและเส้นทางที่ถูกต้องเพื่อที่จะสนองความอยากได้อยากมีและความสุขสำราญทางเนื้อหนังของตน  นี่ประกอบเป็นหลักธรรมข้อที่สองที่ผู้คนควรค้ำจุนในแง่ของอาชีพการงาน

เมื่อคำนึงถึงหัวข้อการปล่อยมือจากอาชีพการงานของคนเรา วันนี้พวกเราก็ได้เสวนากันไปสองหลักธรรม  เจ้าได้เข้าใจหลักธรรมทั้งสองนี้แล้วหรือไม่?  (เข้าใจ)  ด้วยความเข้าใจที่ชัดเจนในหลักธรรม ขั้นตอนต่อไปก็คือการประเมินบนพื้นฐานของหลักธรรมเหล่านี้ ว่าจะปฏิบัติหลักธรรมเหล่านี้อย่างไร  ในท้ายที่สุดนั้น บรรดาผู้ที่สามารถค้ำจุนหลักธรรมเหล่านี้ก็คือผู้ที่เดินตามทางของพระเจ้า ขณะที่พวกที่ไม่สามารถค้ำจุนหลักธรรมได้ก็กำลังเบี่ยงเบนไปจากทางของพระเจ้า  การนี้เรียบง่ายเช่นนั้นเอง  หากเจ้าสามารถค้ำจุนหลักธรรมได้ เจ้าก็จะบรรลุความจริง หากเจ้าไม่ค้ำจุนหลักธรรม เจ้าก็จะสูญสิ้นความจริง  การบรรลุความจริงจะให้ความหวังแห่งความรอด การล้มเหลวที่จะบรรลุความจริงจะนำทางไปสู่การสูญสิ้นความหวังแห่งความรอด—นั่นก็เป็นเช่นนี้เอง  เอาล่ะ พวกเรามาสรุปปิดการสามัคคีธรรมสำหรับวันนี้ตรงนี้กันเถิด  สวัสดี!

10 มิถุนายน ค.ศ. 2023

ก่อนหน้า: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (18)

ถัดไป: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (21)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger