ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (20)
หัวข้อหลากหลายที่พวกเรากำลังสามัคคีธรรมกันอยู่นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในชีวิตประจำวัน หลังจากที่ฟังเนื้อหานี้ พวกเจ้าไม่รู้สึกหรอกหรือว่าความจริงนั้นไม่ว่างเปล่า ความจริงไม่ใช่คำขวัญ ไม่ใช่ทฤษฎีประเภทหนึ่ง หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ใช่ความรู้ประเภทหนึ่ง? ความจริงสัมพันธ์กับอะไร? (สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพวกเรา) ความจริงสัมพันธ์กับชีวิตจริง กับเหตุการณ์สารพัดที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง ความจริงเกี่ยวข้องไปถึงชีวิตมนุษย์ทุกแง่มุม ถึงประเด็นปัญหาสารพันที่ผู้คนเผชิญในชีวิตประจำวัน และความจริงสัมพันธ์เป็นพิเศษกับเป้าหมายที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาและเส้นทางที่พวกเขาใช้เดิน ความจริงเหล่านี้ไม่มีข้อใดเลยที่ว่างเปล่า และแน่นอนว่า ความจริงเหล่านี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และล้วนจำเป็นที่ผู้คนจะต้องมี ในชีวิตประจำวันนั้น เมื่อเป็นเรื่องของประเด็นปัญหาซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงบางอย่าง หากเจ้าสามารถเข้าจัดการ แก้ไข และรับมือกับสิ่งเหล่านี้บนพื้นฐานของหลักธรรมความจริงที่พวกเราสามัคคีธรรมถึง เช่นนั้นเจ้าย่อมกำลังเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง หากในชีวิตประจำวันของเจ้า เจ้าติดอยู่กับความคิดและทัศนคติดั้งเดิมที่มีต่อประเด็นปัญหาเกี่ยวกับความจริงเหล่านี้และไม่ยอมเปลี่ยนแปลง หากเจ้าเข้าจัดการประเด็นปัญหาเหล่านี้จากมุมมองแบบมนุษย์ของเจ้า อีกทั้งหลักธรรมและพื้นฐานสำหรับวิธีที่เจ้ามองสิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงเลย เช่นนั้นก็เห็นได้ชัดว่า เจ้าไม่ใช่ใครคนหนึ่งซึ่งกำลังเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ทั้งเจ้ายังไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ว่าพวกเรากำลังสามัคคีธรรมเกี่ยวกับแง่มุมใดของความจริง หัวข้อทั้งหลายล้วนเกี่ยวข้องกับการแก้ไขและย้อนคืนความคิด ทัศนคติ มโนคติอันหลงผิด และความคิดฝันอันผิดพลาดที่ผู้คนมีในเรื่องนานาสารพัน เพื่อที่พวกเขาอาจจะมีความคิดและมุมมองที่ถูกต้องต่อเรื่องต่างๆ ที่พวกเขามาสัมพันธ์เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน และเพื่อที่พวกเขาอาจจะมองสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงเหล่านี้จากมุมมองและจุดยืนที่ถูกต้อง จากนั้นก็ใช้ความจริงเป็นเกณฑ์ประเมินของตนในการที่จะแก้ปัญหาและรับมือกับสิ่งเหล่านี้ การฟังคำเทศนาทั้งหลายนั้นไม่ใช่เรื่องของการได้รับการเตรียมพร้อมไปด้วยคำสอนหรือความรู้ ไม่ใช่เรื่องของการเปิดโลกทัศน์ของคนเราหรือการได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึก—แต่เป็นเรื่องของการเข้าใจความจริง จุดประสงค์ของการเข้าใจความจริงไม่ใช่เพื่อเสริมสร้างความคิดหรือจิตวิญญาณของคนเรา หรือเสริมสร้างความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่ง แต่เพื่อทำให้ผู้คนสามารถที่จะไม่หลุดออกไปจากชีวิตจริงขณะอยู่บนเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้า และทำให้พวกเขาสามารถมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและปฏิบัติตนโดยมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานของตนและมีความจริงเป็นเกณฑ์ประเมินของตนได้ในยามที่พวกเขาเผชิญสิ่งสารพัดในชีวิตประจำวัน หากเจ้าได้ฟังคำเทศนาตลอดหลายปีมานี้และมีความคืบหน้าในแขนงต่างๆ ของคำเทศนาและความรู้ และเจ้ารู้สึกว่าได้รับการเสริมสร้างฝ่ายวิญญาณ อีกทั้งความคิดของเจ้าก็ได้ถูกยกระดับขึ้น แต่เมื่อเจ้าเผชิญหลายสิ่งในชีวิตประจำวัน เจ้าก็ยังคงไม่สามารถมองประเด็นปัญหาเหล่านี้จากมุมมองที่ถูกต้อง ทั้งเจ้าก็ยังไม่สามารถยืนหยัดในการปฏิบัติ ในการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ในการวางตัว และในการปฏิบัติตนไปตามหลักธรรมความจริง เช่นนั้นก็ชัดเจนว่า เจ้าก็ไม่ใช่ใครบางคนซึ่งไล่ตามเสาะหาความจริง ทั้งยังไม่ใช่ใครบางคนที่กำลังเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริง ที่จริงจังกว่านั้นก็คือ เจ้ายังไปไม่ถึงจุดของการนบนอบความจริง การนบนอบพระเจ้า หรือการยำเกรงพระองค์ นั่นสามารถยืนยันได้ชัดเจนอย่างแน่นอนว่าเจ้ายังไม่ได้ออกเดินตามเส้นทางแห่งความรอด เป็นแบบนั้นไม่ใช่หรือ? (ใช่)
บนพื้นฐานของวุฒิภาวะและสภาพการณ์จริงของพวกเจ้าตอนนี้ ในแง่มุมใดหรือที่พวกเจ้ารู้สึกว่าเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว? ในแง่มุมใดหรือที่เจ้ามีความหวังสำหรับความรอด? ในแง่มุมใดหรือที่เจ้ายังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแต่ยังห่างไกลมากจากมาตรฐานสำหรับความรอด? เจ้าประเมินวัดสิ่งนี้ได้หรือไม่? (ในสถานการณ์ที่ศัตรูของพระคริสต์กับคนชั่วก่อกวนงานของคริสตจักร ก่อความเสียหายต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า ข้าพระองค์ขาดสำนึกแห่งความยุติธรรมและความจงรักภักดีอันแท้จริงต่อพระเจ้า ข้าพระองค์ไม่สามารถลุกขึ้นมาปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้ และข้าพระองค์ก็ไม่มีคำพยานในเรื่องที่สำคัญยิ่งเหล่านี้ ชัดเจนว่าข้าพระองค์ห่างไกลมากจากมาตรฐานสำหรับความรอดในแง่นี้) นี่คือปัญหาจริง ทุกคนมาเสวนาเพิ่มเติมกันเถิด นอกจากการรับรู้ถึงวุฒิภาวะของพวกเจ้าซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาของการใช้วิจารณญาณแยกแยะและการปฏิเสธพวกศัตรูของพระคริสต์แล้ว ในแง่อื่นนั้น สิ่งใดหรือที่เจ้าได้เผชิญในชีวิตประจำวันแล้วทำให้เจ้ารู้สึกว่าเจ้ายังไม่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริง ไม่สามารถปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงได้ และถึงแม้เจ้าเข้าใจคำสอน แต่เจ้าก็ยังคงขาดความชัดเจนในความจริง เจ้าขาดเส้นทางที่ชัดเจน และเจ้าไม่รู้วิธีที่จะทำตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า หรือวิธีที่จะยึดปฏิบัติตามหลักธรรม? (หลังจากทำหน้าที่ของข้าพระองค์มาหลายปีเหลือเกิน ข้าพระองค์คิดว่า ข้าพระองค์สามารถออกจากครอบครัว ทิ้งอาชีพการงาน และปล่อยมือจากความรู้สึกทั้งหลายที่มีต่อพ่อแม่และญาติพี่น้องของข้าพระองค์ได้ไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม บางคราวข้าพระองค์ได้เผชิญสถานการณ์ในชีวิตจริงบางอย่างที่ทำให้ข้าพระองค์ตระหนักว่า ภายในตัวข้าพระองค์นั้นยังคงมีความรู้สึกต่างๆ และข้าพระองค์ก็ต้องการที่จะอยู่เคียงข้างพ่อแม่ คอยดูแลและกตัญญูต่อพวกท่าน หากข้าพระองค์ไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ ข้าพระองค์ก็รู้สึกว่าข้าพระองค์เป็นหนี้พวกท่าน โดยผ่านทางการฟังสามัคคีธรรมของพระเจ้าเมื่อไม่นานมานี้เกี่ยวกับการที่พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของพวกเรา ข้าพระองค์จึงตระหนักว่า ข้าพระองค์ไม่เข้าใจแง่มุมนี้ของความจริงและข้าพระองค์ก็ไม่ได้นบนอบความจริงหรือพระเจ้า) ใครอื่นต้องการพูดต่อไหม? พวกเจ้าไม่เผชิญความลำบากยากเย็นในชีวิตประจำวันของเจ้าหรอกหรือ? หรือพวกเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในสุญญากาศและไม่เคยเจอกับปัญหาใดเลย? พวกเจ้าเผชิญความลำบากยากเย็นในยามที่ทำหน้าที่ของตนหรือไม่? เจ้าเคยสุกเอาเผากินหรือไม่? (เคย) เจ้าเคยปรนเปรอตัวเองในความสบายและความชูใจทางเนื้อหนังหรือไม่? เจ้าทำงานเพื่อชื่อเสียงและสถานะหรือไม่? เจ้าเป็นกังวลหรือรู้สึกวิตกเกี่ยวกับความสำเร็จที่คาดว่าจะเป็นไปได้ในอนาคตและเส้นทางของเจ้าอยู่บ่อยครั้งใช่หรือไม่? (ใช่) เช่นนั้นยามที่เจ้าเผชิญหน้ากับสถานการณ์เหล่านี้ เจ้ารับมืออย่างไรเล่า? เจ้าสามารถใช้ความจริงแก้ไขสถานการณ์เหล่านี้ได้หรือไม่? ตอนเจ้าได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เจ้าก็กุมแผนสำรองไว้ไม่ปล่อย และเจ้าก็เป็นกังวลเกี่ยวกับและบั้นปลายและความสำเร็จที่คาดว่าจะเป็นไปได้ในอนาคต เข้าใจผิดและติเตียนพระเจ้า หรือเที่ยวโอ้อวดคุณวุฒิของตนยามที่ถูกปลดจากตำแหน่ง—เจ้ามีปัญหาเหล่านี้หรือไม่? (มี) เจ้ารับมือและแก้ไขอย่างไรเมื่อเจ้าพบเจอสถานการณ์เหล่านี้? เจ้าทำตามความอยากอันเห็นแก่ตัวของเจ้าหรือว่าเจ้าสามารถค้ำจุนหลักธรรมความจริง ขัดขืนเนื้อหนังและขัดขืนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเพื่อปฏิบัติความจริง? (ข้าแต่พระเจ้า เมื่อใดก็ตามที่ข้าพระองค์เผชิญสถานการณ์เหล่านี้ ข้าพระองค์เข้าใจในเชิงคำสอนว่าข้าพระองค์ไม่ควรกระทำไปตามการเลือกชอบของเนื้อหนังหรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของข้าพระองค์ บางครั้งมโนธรรมของข้าพระองค์ก็ปั่นป่วนและรู้สึกนึกตำหนิตนเอง และข้าพระองค์ก็เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่างของตนเอง แต่นั่นไม่ใช่เป็นเพราะมุมมองของข้าพระองค์ต่อเรื่องเหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงไป หรือเพราะข้าพระองค์สามารถปฏิบัติความจริง บางคราวหากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของข้าพระองค์ค่อนข้างรุนแรง และข้าพระองค์ก็รู้สึกว่าความลำบากยากเย็นนี้ใหญ่หลวงเกินไป เช่นนั้นแล้วต่อให้ข้าพระองค์มีพลังงานล้นเหลือออกมา ข้าพระองค์ก็ยังคงไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้อยู่ดี ถึงจุดนั้น ข้าพระองค์จะทำตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง และแม้แต่พฤติกรรมดีภายนอกก็ไม่เหลือเสียด้วยซ้ำ) นี่เป็นสถานการณ์ประเภทใด? เจ้าจบลงตรงการปฏิบัติความจริงและการยืนหยัดในคำพยานของตน หรือเจ้าล้มเหลว? (ข้าพระองค์ล้มเหลว) หลังจากนั้นเจ้าทบทวนตัวเองและรู้สึกสำนึกผิดหรือไม่? เจ้าสามารถเกิดการปรับปรุงเมื่อเผชิญกับสถานการณ์คล้ายคลึงกันอีกหรือไม่? (หลังจากล้มเหลว ข้าพระองค์จะรู้สึกไม่สบายใจอยู่ในมโนธรรม และเมื่อข้าพระองค์กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ข้าพระองค์ก็สามารถนำพระวจนะเหล่านั้นมาเทียบเคียงกับตัวเองได้ แต่พอข้าพระองค์เผชิญสถานการณ์เหล่านี้ในคราวต่อมา อุปนิสัยอันเสื่อมทรามแบบเดิมก็ยังคงเผยตัวออกมา มีความคืบหน้าค่อนข้างน้อยในแง่มุมนี้) ผู้คนส่วนใหญ่พบว่าตัวเองอยู่ในสภาวะนี้ไม่ใช่หรือ? พวกเจ้ามองเรื่องนี้อย่างไร? เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพบเจอกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน นอกเหนือจากการที่พฤติกรรมของพวกเข้าดีขึ้นเนื่องด้วยผลที่มาจากมโนธรรมของตัวเอง หรือการที่บางครั้งพฤติกรรมของพวกเขาก็ค่อนข้างสูงส่งและบางครั้งก็ค่อนข้างต่ำทรามไปตามสถานการณ์และสภาวะของพวกเขา ณ เวลานั้น และตามอารมณ์ที่แตกต่างกันไปของพวกเขา—นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว การปฏิบัติของผู้คนในหนทางที่พวกเขารับมือกับสถานการณ์เหล่านั้นก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงเลย ตรงนี้มีปัญหาอะไรหรือ? นี่แสดงให้เห็นวุฒิภาวะของบุคคลใช่หรือไม่? นี่เป็นวุฒิภาวะแบบไหน? เป็นวุฒิภาวะที่ต่ำ หรือเป็นจุดอ่อน เป็นความขาดพร่องในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา หรือเป็นการสำแดงของการไม่ปฏิบัติความจริง? (วุฒิภาวะที่ต่ำ) เมื่อวุฒิภาวะของคนคนหนึ่งต่ำ พวกเขาย่อมไม่สามารถปฏิบัติความจริง และเพราะพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติความจริง วุฒิภาวะของพวกเขาจึงต่ำ การนี้ต่ำแค่ไหนหรือ? นั่นหมายความว่า เจ้ายังไม่ได้มาซึ่งความจริงในเรื่องนี้ การที่เจ้ายังไม่ได้มาซึ่งความจริงในเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไรหรือ? นั่นหมายความว่าพระวจนะของพระเจ้ายังไม่ได้กลายเป็นชีวิตของเจ้า พระวจนะของพระเจ้ายังเป็นข้อความ คำสอน หรือข้อโต้เถียงประเภทหนึ่งสำหรับเจ้า พระวจนะของพระเจ้ายังไม่ทำงานเข้าไปตัวเจ้าหรือกลายเป็นชีวิตของเจ้า ผลที่ตามมาก็คือ สิ่งที่เรียกว่าความจริงทั้งหลายที่เจ้าเข้าใจจึงเป็นแค่เพียงคำสอนหรือคำขวัญประเภทหนึ่งเท่านั้นเอง เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้? เพราะเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนคำสอนนี้ให้เป็นความเป็นจริงของเจ้าได้ ยามที่เจ้าเผชิญหน้าสิ่งทั้งหลายในชีวิตประจำวัน เจ้าไม่รับมือสิ่งเหล่านั้นไปตามความจริง เจ้ายังคงรับมือกับสิ่งเหล่านั้นไปตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานและภายใต้อิทธิพลของมโนธรรม ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่า อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ไม่มีความจริงในเรื่องนี้ และเจ้ายังไม่ได้มาซึ่งชีวิต การไม่ได้มาซึ่งชีวิตหมายถึงการไม่มีชีวิต การไม่มีชีวิตหมายความว่าในเรื่องนี้ เจ้ายังไม่ได้รับการช่วยให้รอดเลย และเจ้าก็ยังคงดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน ไม่ว่าสิ่งที่ถูกปฏิบัติภายใต้อิทธิพลของมโนธรรมนั้นเป็นพฤติกรรมที่ดีหรือเป็นการสำแดงประเภทหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่แสดงให้เห็นถึงชีวิต นั่นเป็นแค่เพียงการสำแดงของความเป็นมนุษย์ที่ปกติเท่านั้นเอง หากการสำแดงนี้มีอิทธิพลของมโนธรรมเข้ามาเสริม อย่างดีที่สุด นี่ก็เป็นพฤติกรรมดีประเภทหนึ่ง หากมโนธรรมไม่ใช่ปัจจัยหลัก แต่กลับเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา เช่นนั้นพฤติกรรมนี้ก็ไม่สามารถถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ดี นี่เป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ถูกเผยออกมา แล้วพวกเจ้าได้ทำให้ความจริงเป็นความเป็นจริงและได้มาซึ่งชีวิตไปแล้วในเรื่องใดบ้าง? พวกเจ้ายังไม่ได้รับความจริงและทำให้ความจริงเป็นชีวิตของเจ้า และยังไม่ได้ทำให้ความจริงเป็นความเป็นจริงของเจ้าในเรื่องใดบ้าง? พูดอีกอย่างก็คือ เจ้ากำลังใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าและใช้พระวจนะเหล่านั้นเป็นเกณฑ์ประเมินของเจ้าในเรื่องใดบ้าง และเจ้ายังคงไม่ได้ทำเช่นนั้นในเรื่องใดบ้าง? จงคำนวณดูเถิดว่ามีมากมายเพียงใด หากเจ้าคำนวณทั้งหมดแล้ว แต่โชคร้ายที่ยังไม่มีสักเรื่องที่เจ้าได้กระทำหรือใช้ชีวิตโดยมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐาน แต่กลับกระทำไปตามความใจร้อน ตามมโนคติอันหลงผิด ตามการเลือกชอบหรือความอยากได้อยากมีทางเนื้อหนังของเจ้าเอง หรือตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าแทน เช่นนั้นแล้วผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายจะเป็นอะไร? ผลลัพธ์ย่อมจะไม่ดีใช่หรือไม่? (ใช่) จนถึงวันนี้พวกเจ้าก็ได้ฟังการเทศนามาหลายปีแล้ว ละทิ้งครอบครัว ละทิ้งอาชีพการงานของเจ้า ทนทุกข์กับความยากลำบากและจ่ายราคา หากผลลัพธ์เป็นเช่นนี้ นี่เป็นบางสิ่งที่น่าดีใจและฉลอง หรือเป็นบางสิ่งที่น่าเศร้าและน่ากังวล? (น่าเศร้าและน่ากังวล) บุคคลผู้ที่ไม่ทำความจริงให้เป็นความเป็นจริง ผู้ที่ไม่ทำพระวจนะของพระเจ้าให้เป็นชีวิตของพวกเขา นั่นเป็นบุคคลประเภทใด? นั่นเป็นบุคคลที่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานโดยสิ้นเชิง ผู้ซึ่งไม่สามารถมองเห็นความหวังที่จะได้รับความรอดไม่ใช่หรือ? (ใช่) พวกเจ้าไม่เคยนึกถึงคำถามเหล่านี้เลยหรือในยามที่เจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าและตรวจสอบตัวเองไปตามปกติ? ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เคยคิด ถูกต้องหรือไม่? ผู้คนส่วนใหญ่คิดแค่ว่า “ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้าตอนอายุสิบเจ็ด และตอนนี้ฉันสี่สิบเจ็ด ฉันเชื่อพระเจ้ามาหลายปีเหลือเกิน ฉันถูกตามล่าหลายครั้ง แต่พระเจ้าก็ได้ทรงรักษาให้ฉันปลอดภัยและช่วยให้ฉันรอดพ้น ฉันเคยใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำและในกระท่อมโดยไม่ได้กินอาหารหลายคืนหลายวัน ทั้งยังอดนอนนานหลายชั่วโมงเหลือเกิน ฉันได้สู้ทนความทุกข์และวิ่งมาหลายไมล์เหลือเกิน ทั้งหมดก็เพื่อเห็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ของฉัน การทำงานของฉัน และการทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จสิ้น ความหวังที่จะได้รับความรอดของฉันนั้นใหญ่หลวง ฉันได้เริ่มเดินอยู่บนเส้นทางแห่งความรอดแล้ว ฉันโชคดีเหลือเกิน! ขอขอบคุณพระเจ้าอย่างแท้จริง! นี่คือพระคุณของพระองค์! ฉันเคยไร้ค่าในสายตาของโลกมนุษย์ ไม่มีใครนับถือฉันเลย และฉันก็ไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นใครที่พิเศษ แต่เพราะการยกชูของพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงยกฉัน—ผู้ขัดสน—ออกจากกองมูล ฉันได้รับการวางลงบนเส้นทางแห่งความรอด เปิดโอกาสให้ฉันได้รับเกียรติทำหน้าที่ของฉันในพระนิเวศของพระองค์ พระองค์ทรงยกระดับฉันและพระองค์ทรงรักฉัน! ตอนนี้ฉันเข้าใจความจริงมากเหลือเกินและทำงานมาหลายปีเหลือเกิน การที่ฉันจะได้รับบำเหน็จรางวัลในภายภาคหน้านั้นเป็นสิ่งที่แน่นอน ใครเล่าจะพรากสิ่งนี้ไปได้?” หากว่ายามที่เจ้าตรวจสอบตัวเอง เจ้าเพียงคิดถึงสิ่งเหล่านี้ได้เท่านั้น นั่นเป็นปัญหาไม่ใช่หรือ? (ใช่) จงบอกเราที พวกเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีเหลือเกินแล้ว เจ้าทนทุกข์มามากเหลือเกินแล้ว เดินทางมาไกลเหลือเกินแล้ว และทำงานมามากมายเหลือเกินแล้ว เหตุใดหลังจากการเชื่อมากมายถึงเพียงนี้ ตอนนี้ผู้คนบางคนจึงถูกย้ายไปอยู่กลุ่ม ข? เหตุใดตอนนี้เหล่าผู้นำและคนทำงานหลายคนจึงจำต้องจ่ายคืนของถวายและรับภาระหนี้สิน? เกิดอะไรขึ้นหรือ? ไม่ใช่ว่าพวกเขาได้รับการช่วยให้รอดแล้วหรอกหรือ? ไม่ใช่ว่าพวกเขามีความจริงและได้มาซึ่งชีวิตแล้วหรอกหรือ? ผู้คนบางคนมองว่าตัวเองเป็นเสาหลักและหินฐานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า มีความสามารถพิเศษซึ่งหายากในที่แห่งนี้ ตอนนี้สิ่งต่างๆ เป็นอย่างไรบ้าง? หากหลายปีนี้ของการทนทุกข์และการจ่ายราคาได้ส่งผลลัพธ์ให้พวกเขาได้รับชีวิตและมีความเป็นจริงความจริง เป็นการที่พวกเขานบนอบพระวจนะของพระเจ้า การมีความยำเกรงที่แท้จริงต่อพระเจ้าและการทำหน้าที่อย่างจงรักภักดี ผู้คนเหล่านี้จะได้ถูกปลดออกหรือย้ายไปอยู่กลุ่ม ข หรือไม่? พวกเขาจะได้รับภาระหนี้สินหรือรับโทษบาปหรือไม่? ปัญหาเหล่านี้จะได้เกิดขึ้นหรือไม่? นี่ค่อนข้างน่าตะขิดตะขวงใช่หรือไม่? (ใช่) พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าประเด็นปัญหาคืออะไร? การที่บุคคลหนึ่งสามารถสู้ทนความทุกข์ได้มากเท่าไรหรือพวกเขาจ่ายราคาสำหรับการเชื่อในพระเจ้าของเขามากเท่าไรนั้นไม่ใช่สัญญาณของความรอดหรือการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ทั้งยังไม่ใช่สัญญาณว่าพวกเขามีชีวิต แล้วอะไรคือสัญญาณของการมีชีวิตและความเป็นจริงความจริง? พูดกว้างๆ แล้ว สัญญาณนั้นอยู่ตรงการที่บุคคลหนึ่งสามารถปฏิบัติความจริงและรับมือกับเรื่องทั้งหลายไปตามหลักธรรมได้หรือไม่ พูดให้เฉพาะเจาะจงแล้ว สัญญาณนั้นอยู่ตรงที่บุคคลหนึ่งมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและปฏิบัติตนด้วยหลักธรรมความจริงหรือไม่ พวกเขาสามารถกระทำไปตามหลักธรรมความจริงหรือไม่ หากในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าสามารถเอาชนะตัวเอง สู้ทนความทุกข์ และจ่ายราคาในทุกสิ่งที่เจ้าทำได้ แต่โชคร้ายที่เจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์ประเด็นซึ่งสำคัญยิ่งยวดที่สุดได้ นั่นก็คือเจ้าไม่สามารถค้ำชูหลักธรรมความจริงได้ หากว่า ไม่ว่าเจ้าทำอะไร เจ้าก็เอาแต่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตนเสมอ แสวงหาทางออกให้ตัวเองเสมอ ต้องการเอาตัวรอดเสมอ และหากเจ้าไม่เคยค้ำจุนหลักธรรมความจริง และสำหรับเจ้าแล้วพระวจนะของพระเจ้าเป็นเพียงคำสอน เช่นนั้นก็จงอย่าแม้แต่จะพูดว่าเจ้ามีค่าหรือไม่ หรือว่าชีวิตของเจ้ามีคุณค่าหรือไม่ ประเด็นพื้นฐานที่สุดก็คือ เจ้าไม่มีความจริง บุคคลที่ปราศจากชีวิตนั้นน่าสมเพชที่สุด การที่เชื่อในพระเจ้าแต่ทว่าไม่เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ไม่ได้มาซึ่งความจริงนั้นเป็นบุคคลประเภทที่น่าสมเพชที่สุดและเป็นสิ่งที่น่าสลดใจที่สุด เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่? (ใช่) เราไม่ขอให้พวกเจ้าสามารถปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงได้ในทุกสิ่ง แต่อย่างน้อยที่สุด ในการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งมีนัยสำคัญของเจ้าและในเรื่องที่สำคัญทั้งหลายในชีวิตประจำวันของเจ้าซึ่งเกี่ยวกับหลักธรรม เจ้าก็ควรสามารถปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงได้ อย่างน้อยที่สุดเจ้าต้องสัมฤทธิ์มาตรฐานนี้เพื่อที่จะมองเห็นความหวังของความรอดในตัวเจ้าเอง แต่สำหรับตอนนี้ พวกเจ้ายังขึ้นไปไม่ถึงข้อพึงพระสงค์พื้นฐานที่สุดด้วยซ้ำ เจ้ายังไม่ได้สัมฤทธิ์ข้อพึงประสงค์ใดเลย นี่เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างลึกซึ้งและน่าสลดอย่างมาก
ในสามปีแรกที่ผู้คนเชื่อในพระเจ้า พวกเขามีความสุขและชื่นบาน ทุกวันพวกเขาคิดถึงการรับพระพรและการมีบั้นปลายที่แสนวิเศษ พวกเขาเชื่อว่าพฤติกรรมดีภายนอกเช่น การทนทุกข์เพื่อพระเจ้า การวิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้มากขึ้น การทำความประพฤติดีมากขึ้น และการถวายเงินมากขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ผู้เชื่อในพระเจ้าพึงทำ หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาสามถึงห้าปี ถึงแม้ผู้คนเข้าใจคำสอนบางอย่าง แต่พวกเขาก็ยังคงเชื่อในพระเจ้าไปตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน พวกเขาดำเนินชีวิตไปตามพฤติกรรมที่ดี ตามมโนธรรมของพวกเขา และตามความเป็นมนุษย์ที่ดี มากกว่าที่จะดำเนินชีวิตไปตามหลักธรรมความจริง หรือทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของตนและเป็นเกณฑ์ประเมินที่พวกเขาใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวางตัวและปฏิบัติตน ผู้คนเช่นนั้นกำลังเดินตามเส้นทางใด? นี่คือเส้นทางที่เปาโลเดินตามไม่ใช่หรือ? (ใช่) ปัจจุบันนี้พวกเจ้าก็พบว่าตัวเองอยู่ในสภาวะนี้ไม่ใช่หรือ? หากในเวลาส่วนใหญ่ พวกเจ้าพบว่าตัวเองอยู่ในสภาวะนี้ เช่นนั้นการฟังคำเทศนามามากมายเหลือเกินนั้นเกิดประโยชน์หรือ? ไม่สำคัญว่าคำเทศนาที่เจ้าฟังนั้นเป็นประเภทใด เจ้าก็ไม่ได้กำลังฟังเพื่อเข้าใจความจริง หรือเพื่อมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวางตัวและปฏิบัติตนบนพื้นฐานของหลักธรรมความจริงในชีวิตประจำวันของเจ้า แต่เจ้ากลับกำลังฟังเพื่อเห็นแก่การเสริมสร้างโลกฝ่ายวิญญาณของเจ้าและประสบการณ์แบบมนุษย์ของเจ้า ในกรณีนั้น ไม่มีความจำเป็นเลยที่เจ้าต้องฟังคำเทศนา ใช่หรือไม่? คนบางคนพูดว่า “การไม่ฟังคำเทศนานั้นใช้ไม่ได้ ถ้าฉันไม่ฟังคำเทศนา ฉันก็ขาดความกระตือรือร้นในการเชื่อในพระเจ้าของตัวเอง และเมื่อเป็นเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ ฉันก็ไม่มีความกระตือรือร้นหรือแรงจูงใจ โดยการฟังคำเทศนาเป็นครั้งคราว ฉันมีความกระตือรือร้นในความเชื่อของฉันอยู่บ้าง ฉันรู้สึกได้รับการเติมเต็มและได้รับการเสริมสร้างขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แล้วจากนั้นเมื่อฉันเผชิญความลำบากยากเย็นหรือความคิดลบใดในหน้าที่ของฉัน ฉันก็มีแรงจูงใจอยู่บ้าง และโดยมากแล้วฉันก็ไม่กลายเป็นคิดลบ” การฟังคำเทศนานั้นทำเพื่อเห็นแก่การสัมฤทธิ์ผลนี้หรือ? ผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งได้ฟังคำเทศนามาแล้วหลายปีไม่ยอมไปจากคริสตจักรไม่ว่าพวกเขาจะถูกตัดแต่ง บ่มวินัยและสั่งสอนอย่างไร การสัมฤทธิ์ผลแบบนี้มีความสัมพันธ์บางอย่างกับการฟังคำเทศนา แต่สิ่งที่เราต้องการเห็นนั้นไม่ใช่เพียงแค่ให้ไฟที่กำลังมอดดับในหัวใจของเจ้ากลับมาจุดประกายอีกครั้งหลังจากที่พวกเจ้าฟังการเทศนาแต่ละครั้ง เรื่องไม่ได้มีแค่นั้น แค่ความกระตือรือร้นนั้นไม่มีประโยชน์ ความกระตือรือร้นไม่ควรถูกใช้เพื่อการทำความชั่วหรือเพื่อการละเมิดหลักธรรมความจริง ความกระตือรือร้นมีไว้เพื่อทำการไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยเป้าหมายและทิศทางที่มากขึ้น—เจ้าควรพากเพียรไปสู่หลักธรรมความจริงทั้งหลายและปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงเหล่านั้น แล้วการฟังคำเทศนาทั้งหลายสามารถสัมฤทธิ์ผลแบบนี้ได้หรือ? หลังการเทศนาแต่ละครั้ง ในหัวใจเจ้าเหมือนมีไฟ เหมือนเจ้าได้เติมกระแสไฟหรือถูกอัดลมเข้าไปจนเต็ม เจ้ารู้สึกเต็มเพียบไปด้วยความกระตือรือร้นอีกครั้ง เจ้ารู้ว่าเจ้าควรสัมฤทธิ์ในด้านใดเป็นลำดับถัดไปโดยไม่เคยหย่อนยานหรือคิดลบ และนานๆ ครั้งจึงจะอ่อนแอ อย่างไรก็ตาม การสำแดงเหล่านี้ไม่ใช่ภาวะสำหรับการบรรลุความรอด มีหลายภาวะเพื่อการบรรลุความรอด อันดับแรกคือเจ้าต้องเต็มใจที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้าและฟังคำเทศนา อันดับที่สองและนี่เป็นภาวะที่สำคัญที่สุดด้วยเช่นกันก็คือ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ที่เจ้าเผชิญในชีวิตประจำวันของเจ้าจะเป็นอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่สัมพันธ์กับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและกับงานหลักแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าต้องสามารถแสวงหาหลักธรรมความจริง แทนที่จะกระทำไปตามแนวคิดของตัวเจ้าเอง ทำสิ่งใดก็ตามแต่ที่เจ้าปรารถนา หรือบุ่มบ่ามและทำตามอำเภอใจ จุดประสงค์ของการที่เราสามัคคีธรรมกับพวกเจ้าอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเกี่ยวกับความจริง และการอธิบายหลักธรรมของเรื่องต่างๆ แบบนี้ก็ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือบังคับให้เจ้าทำเกินความสามารถของเจ้า และนี่ไม่ใช่แค่ทำให้พวกเจ้ากระตือรือร้น แต่กลับกัน นี่เป็นไปเพื่อให้พวกเจ้าเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้น เข้าใจหลักธรรมและพื้นฐานสำหรับการทำสิ่งต่างๆ นานาและวิธีที่ผู้คนควรกระทำเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่กระทำไปตามอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ความคิดและมุมมอง รวมทั้งความรู้ของตนในยามที่เผชิญกับเรื่องทั้งหลาย แต่แทนที่สิ่งเหล่านี้ด้วยหลักธรรมความจริง นี่คือหนึ่งในหนทางหลักที่พระเจ้าทรงใช้ช่วยผู้คนให้รอด นั่นก็เพื่อให้เจ้าสามารถใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานและเป็นหลักธรรมของเจ้าในทุกสิ่งที่เจ้าเผชิญ อีกทั้งเพื่อให้พระวจนะของพระองค์ครองอำนาจในทุกเรื่อง กล่าวอีกอย่างก็คือ นั่นก็เพื่อให้เจ้าสามารถรับมือและแก้ไขทุกเรื่องได้โดยมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานแทนที่จะพึ่งพาการเลือกชอบและเชาว์ปัญญาแบบมนุษย์ หรือเข้าจัดการทุกเรื่องไปตามรสนิยม ความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีแบบมนุษย์ โดยผ่านทางการประกาศและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงในลักษณะนี้ พระวจนะของพระเจ้าและความจริงจึงถูกกอปรขึ้นในตัวผู้คน ทำให้พวกเขาสามารถมีชีวิตซึ่งมีความจริงเป็นความเป็นจริงของตน นี่คือเครื่องหมายแห่งความรอด ไม่ว่าเจ้าเผชิญสิ่งใด เจ้าควรทุ่มความพยายามมากขึ้นให้กับหลักธรรมความจริงและพระวจนะของพระเจ้า นี่คือบุคคลประเภทที่มีปัญญาและไล่ตามเสาะหาความรอด พวกที่ทุ่มความพยายามให้กับพฤติกรรมภายนอก พิธีการ คำสอนและคำขวัญทั้งหลายเสมอนั้นเป็นผู้คนที่โง่เง่า พวกเขาไม่ใช่บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความรอด พวกเจ้าไม่เคยคำนึงถึงสิ่งแบบนี้มาก่อน หรือแทบไม่คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้เลย ดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องเหล่านี้ของการปฏิบัติหลักธรรมความจริง โดยพื้นฐานแล้วจิตใจของพวกเจ้าก็ว่างเปล่า พวกเจ้าไม่คิดว่าเรื่องนี้สำคัญ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญสถานการณ์ที่เกี่ยวกับหลักธรรมความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาถึงสถานการณ์สำคัญหลักๆ บางอย่าง เมื่อเจ้าเผชิญกับศัตรูของพระคริสต์หรือผู้คนชั่วที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร พวกเจ้าก็นิ่งเฉยอย่างมากเสมอ เจ้าไม่รู้วิธีที่จะรับมือกับเรื่องเหล่านี้และเจ้าก็เข้าจัดการเรื่องเหล่านี้ไปบนพื้นฐานของความรู้สึกและสิ่งจูงใจอันเห็นแก่ตัวของเจ้า เจ้าไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาปกป้องงานของคริสตจักรได้ และถึงที่สุดแล้วเจ้าก็จบลงตรงการล้มเหลวและการปิดจบเรื่องนั้นลงอย่างสะเพร่าและลุกลี้ลุกลนเสมอ หากไม่มีการสืบสวนในเรื่องเหล่านี้ เจ้าก็จะสามารถเอาตัวรอดไปได้ หากมีการสืบสวนเพื่อหาตัวผู้รับผิดชอบ เจ้าก็อาจจะถูกถอดจากตำแหน่งหรือถูกมอบหมายให้ไปทำหน้าที่อื่น หรือที่แย่กว่านั้นคือเจ้าอาจถูกขับไสไปอยู่กลุ่ม ข หรือคนบางคนอาจจะถูกเอาตัวออกไปด้วยซ้ำ จุดจบเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเจ้าปรารถนาที่จะเห็นเช่นนั้นหรือ? (ไม่ปรารถนา) หากวันหนึ่งเจ้าถูกถอดจากตำแหน่ง หรือให้หยุดทำหน้าที่ของเจ้าจริงๆ หรือในกรณีที่รุนแรงกว่าคือ หากเจ้าถูกส่งไปยังคริสตจักรทั่วไปหรือกลุ่ม ข เจ้าจะทบทวนตัวเองหรือไม่? “ฉันเชื่อในพระเจ้าไปก็เพื่อจบลงตรงนี้หรือ? ฉันเลิกล้มการงาน ความสำเร็จที่น่าจะเป็นไปได้ในอนาคต ครอบครัวของฉัน และละทิ้งไปมากมายเหลือเกินก็แค่เพื่อที่จะถูกวางในกลุ่ม ข หรือถูกเอาตัวออกไปเท่านั้นหรือ? ฉันเชื่อในพระเจ้าไปก็เพื่อที่จะต่อต้านพระองค์หรือยังไง? แน่นอนว่านั่นไม่ควรเป็นจุดประสงค์ของความเชื่อในพระเจ้าของฉันไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นฉันกำลังเชื่อในพระเจ้าเพื่ออะไร? ฉันควรตริตรองเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ? วางเรื่องการเชื่อในพระเจ้าเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระองค์ไปก่อน อย่างน้อยที่สุด ฉันก็ควรได้มาซึ่งชีวิตและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง อย่างน้อยที่สุดฉันก็ควรสามารถที่จะสำนึกได้ว่าพระวจนะของพระเจ้าและความจริงแง่มุมใดที่ได้กลายมาเป็นชีวิตของฉัน ฉันควรสามารถพึ่งพาความจริงในการดำเนินชีวิต อีกทั้งมีชัยเหนือซาตานและเหนืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง รวมทั้งฉันควรสามารถขัดขืนเนื้อหนังและทิ้งมโนคติอันหลงผิดของตัวฉันเองได้ ยามที่สิ่งทั้งหลายบังเกิดแก่ฉัน ฉันควรค้ำจุนหลักธรรมความจริงอย่างสมบูรณ์ ฉันไม่ควรปฏิบัติตนไปตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง ฉันควรสามารถปฏิบัติตนไปตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างราบรื่นและเป็นธรรมชาติโดยปราศจากความลำบากยากเย็นและอุปสรรคกีดขวางอันใด ฉันควรสำนึกอย่างลึกซึ้งว่าพระวจนะของพระเจ้าและความจริงได้กอปรกันขึ้นในตัวฉัน กลายเป็นชีวิตของฉัน และกลายเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ของฉันเรียบร้อยแล้ว นี่เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยินดี และเป็นบางสิ่งที่ควรค่าแก่การฉลอง” โดยปกติแล้วพวกเจ้ารู้สึกแบบนี้หรือไม่? เมื่อประเมินผลของความทุกข์ที่เจ้าสู้ทนมากับราคาที่เจ้าได้จ่ายไปในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าหลายปีที่ผ่านมา เจ้าจะรู้สึกสุดวิเศษในหัวใจของเจ้า เจ้าจะรู้สึกมีความหวังสำหรับความรอดของเจ้า และได้ลิ้มรสชาติความหอมหวานของการเข้าใจความจริงและการสละตนเพื่อพระเจ้า พวกเจ้าได้รู้สึกหรือได้รับประสบการณ์กับสิ่งเช่นนั้นหรือไม่? หากพวกเจ้ายังไม่รู้สึก พวกเจ้าควรทำอย่างไร? (เริ่มการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงจังนับแต่นี้ไป) เริ่มการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงจังนับแต่นี้ไป—แต่เจ้าควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไรหรือ? เจ้าจำเป็นต้องทบทวนเรื่องทั้งหลายที่เจ้ากบฏต่อพระเจ้าบ่อยครั้ง พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมสภาพการณ์เพื่อเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อสอนบทเรียนให้กับเจ้า เพื่อเปลี่ยนแปลงเจ้าผ่านทางเรื่องเหล่านี้ เพื่อให้พระวจนะของพระองค์ทำงานในตัวเจ้า เพื่อทำให้เจ้าเข้าสู่แง่มุมของความเป็นจริงความจริง และเพื่อหยุดยั้งไม่ให้เจ้าดำเนินชีวิตไปตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานในเรื่องเหล่านั้น และเพื่อให้เจ้าดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าแทน เพื่อให้พระวจนะของพระองค์กอปรกันขึ้นในตัวเจ้าและกลายเป็นชีวิตของเจ้า แต่บ่อยครั้งที่เจ้ากบฏต่อพระเจ้าในเรื่องเหล่านี้ ทั้งยังไม่นบนอบพระเจ้าและไม่ยอมรับความจริง ไม่ใช้พระวจนะของพระองค์เป็นหลักธรรมที่เจ้าควรปฏิบัติตาม และไม่ใช้ชีวิตไปตามพระวจนะของพระองค์ นี่ทำร้ายพระเจ้าและเจ้าก็สูญเสียโอกาสสำหรับความรอดครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วเจ้าควรกลับตัวอย่างไรหรือ? เริ่มจากวันนี้ เจ้าควรนบนอบการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า ยอมรับพระวจนะของพระองค์เป็นความเป็นจริงความจริง ยอมรับพระวจนะของพระองค์เป็นชีวิต และเปลี่ยนแปลงหนทางที่เจ้าดำเนินชีวิตในเรื่องทั้งหลายที่เจ้าสามารถระลึกได้ผ่านการทบทวนตัวเองและสำนึกได้อย่างชัดเจน ยามที่เจ้าเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าควรขัดขืนเนื้อหนังและการเลือกชอบของเจ้า รวมทั้งปฏิบัติตนไปตามหลักธรรมความจริง นี่คือเส้นทางแห่งการปฏิบัติไม่ใช่หรือ? (ใช่) หากเจ้าแค่เพียงเจตนาไล่ตามไขว่คว้าอย่างจริงจังตั้งใจในภายหน้า แต่ขาดเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง นั่นย่อมไม่มีอะไรดีเลย หากเจ้ามีเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจงแบบนี้และเต็มใจที่จะขัดขืนเนื้อหนังของเจ้าและเริ่มต้นใหม่แบบนี้ เช่นนั้นก็ยังคงมีความหวังสำหรับเจ้า หากเจ้าไม่เต็มใจปฏิบัติในหนทางนี้และกลับยึดติดอยู่กับเส้นทางแบบเดิม ยึดติดกับแนวคิดเก่าๆ และดำเนินชีวิตโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า เช่นนั้นพวกเราก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว หากเจ้าพอใจแค่การเป็นคนลงแรง แล้วจะมีอะไรให้พูดอีกเล่า? เรื่องของความรอดไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าเลย และเจ้าก็ไม่สนใจเรื่องนั้น ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้เสวนาอีกแล้ว หากเจ้าเต็มใจจริงๆ ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและความรอด เช่นนั้นก้าวแรกก็คือเริ่มต้นด้วยการฝ่าพ้นจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าเอง พ้นจากความคิด มโนคติอันหลงผิดและการกระทำอันคลาดเคลื่อนนานัปการของเจ้า จงยอมรับสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการให้ในชีวิตประจำวันของเจ้า จงโอบกอดการพินิจพิเคราะห์ การทดสอบ การตีสอน และการพิพากษาของพระองค์ จงพากเพียรที่จะค่อยๆ ปฏิบัติไปตามหลักธรรมความจริงเมื่อสิ่งต่างๆ บังเกิดแก่เจ้า และมีความคืบหน้าในการแปรพระวจนะของพระเจ้าไปเป็นหลักธรรมและเกณฑ์ประเมินสำหรับวิธีที่เจ้าวางตัวและปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันของเจ้า รวมทั้งเป็นชีวิตของเจ้า นี่เป็นสิ่งที่ควรสำแดงในตัวผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และเป็นสิ่งที่ควรสำแดงในบุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความรอด นั่นฟังดูง่าย ขั้นตอนก็เรียบง่ายและไม่มีการเปิดโปงแบบยืดยาว แต่การนำมาปฏิบัตินั้นไม่ง่ายเลย นี่เป็นเพราะมีสิ่งเสื่อมทรามอยู่มากเหลือเกินในตัวผู้คน อันได้แก่ ความน่าสมเพช กลอุบายเล็กๆ น้อยๆ ความเห็นแก่ตัว และความต่ำช้าของพวกเขา อุปนิสัยอันเสื่อมทรามและเล่ห์เหลี่ยมสารพัดของพวกเขา ที่เพิ่มเติมก็คือ คนบางคนมีความรู้ พวกเขาได้เรียนรู้ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกและชั้นเชิงด้านการบงการบางอย่างในสังคม และพวกเขาก็มีข้อบกพร่องและตำหนิบางอย่างในแง่ของความเป็นมนุษย์ ตัวอย่างเช่น คนบางคนตระหนี่ถี่เหนียวและขี้เกียจ ส่วนคนอื่นๆ ก็ปากหวานก้นเปรี้ยว บ้างก็มีธรรมชาติเยี่ยงเศษสวะอย่างรุนแรง ส่วนคนอื่นๆ ก็ถือดี ไม่ก็มุทะลุและหุนหันพลันแล่นในการกระทำของตน ร่วมไปกับความผิดอื่นๆ มากมาย มีความขาดตกบกพร่องและปัญหามากมายที่ผู้คนจำเป็นต้องเอาชนะในแง่ของความเป็นมนุษย์ของตน อย่างไรก็ตาม หากเจ้าปรารถนาที่จะบรรลุความรอด หากเจ้าปรารถนาที่จะปฏิบัติและรับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งได้รับความจริงและชีวิต เจ้าต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น ต้องบรรลุความเข้าใจความจริง ต้องสามารถปฏิบัติและนบนอบพระวจนะของพระองค์ และตั้งต้นโดยการปฏิบัติความจริงและการค้ำจุนหลักธรรมความจริง เหล่านี้เป็นเพียงประโยคเรียบง่ายไม่กี่ประโยค แต่ผู้คนก็ยังไม่รู้ว่าจะปฏิบัติหรือรับประสบการณ์กับประโยคเหล่านี้อย่างไร ไม่สำคัญว่าเจ้ามีขีดความสามารถหรือมีการศึกษาอย่างไร และไม่สำคัญว่าเจ้ามีอายุเท่าไรหรือมีความเชื่อมากี่ปี ไม่ว่าในกรณีใด หากเจ้าอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องของการปฏิบัติความจริงโดยมีเป้าหมายและทิศทางที่ถูกต้อง และหากสิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาและมานะพยายามล้วนเพื่อเห็นแก่การปฏิบัติความจริง สิ่งที่เจ้าจะได้รับในท้ายที่สุดโดยปราศจากข้อสงสัยก็คือความเป็นจริงความจริงและการที่พระวจนะของพระเจ้ากลายมาเป็นชีวิตของเจ้า ก่อนอื่นให้กำหนดเป้าหมายของเจ้า จากนั้นก็ค่อยๆ ปฏิบัติไปตามเส้นทางนี้ และสุดท้ายแล้ว เจ้าก็จะได้รับบางสิ่งอย่างแน่นอน พวกเจ้าเชื่อเช่นนี้หรือไม่? (เชื่อ)
สิ่งที่พวกเรากำลังสามัคคีธรรมกันอยู่ตรงช่วงระยะนี้ก็คือการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า แนวคิดและความอยากได้อยากมีของผู้คน ในการชุมนุมครั้งล่าสุดของพวกเรา พวกเราสามัคคีธรรมกันไปเกี่ยวกับการปล่อยมือจากภาระบางอย่างที่มาจากครอบครัวของคนเรา เมื่อคำนึงถึงหัวข้อของภาระทั้งหลายที่มาจากครอบครัวของคนเรา อันดับแรกพวกเราก็ได้สามัคคีธรรมกันไปเกี่ยวกับความมุ่งหวังที่พ่อแม่เก็บงำไว้ จากนั้นก็เกี่ยวกับความมุ่งหวังที่พ่อแม่มีต่อลูกหลานของตัวเอง ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ผู้คนควรปล่อยมือในกระบวนการของการไล่ตามเสาะหาความจริงใช่หรือไม่? (ใช่) เมื่อคำนึงถึงการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า แนวคิดและความอยากได้อยากมีของผู้คน พวกเราได้แจงรายการกันไว้รวมสี่รายการ รายการแรกคือ ความสนใจและงานอดิเรก รายการที่สองคือการสมรส และรายการที่สามคือครอบครัว—พวกเราได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับสามรายการนี้ไปเรียบร้อยแล้ว รายการสุดท้ายที่ค้างอยู่คืออะไร? (อาชีพการงาน) รายการที่สี่ก็คืออาชีพการงาน พวกเราควรสามัคคีธรรมเกี่ยวกับรายการนี้ พวกเจ้าคนใดบ้างที่ตริตรองเกี่ยวกับหัวข้อนี้มาก่อน? หากเจ้าเคยทำ เจ้าก็พูดมาก่อนได้เลย (ข้าพระองค์เคยคิดว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวของใครคนหนึ่งในอาชีพการงานของพวกเขาสะท้อนให้เห็นความสำเร็จหรือความล้มเหลวของพวกเขาในฐานะบุคคลคนหนึ่ง ข้าพระองค์คิดว่าถ้าใครบางคนขาดการทุ่มเทอุทิศในอาชีพการงานของตนหรือสร้างปัญหายุ่งเหยิงในอาชีพการงานของตน นั่นเป็นนัยสำคัญว่าพวกเขาล้มเหลวไปแล้วในฐานะบุคคล) ทีนี้เมื่อเป็นประเด็นปัญหาเรื่องการปล่อยมือจากอาชีพการงาน อะไรหรือที่ควรถูกปล่อยมือ? (ผู้คนควรปล่อยมือจากความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตนที่เกี่ยวกับอาชีพการงาน) นั่นเป็นหนทางหนึ่งที่จะมองเรื่องนี้ พวกเจ้านึกถึงสิ่งใดได้บ้างเพื่อที่จะปล่อยมือในเรื่อง “อาชีพการงาน” ซึ่งอยู่ในหัวข้อของการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า แนวคิดและความอยากได้อยากมีของผู้คน? เจ้าควรแก้ไขความเดือดร้อนนานับประการที่อาชีพการงานนำพามาสู่เจ้าในกระบวนการของการไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ใช่หรือ? (ในอดีต ตอนที่ข้าพระองค์อยู่ในโลกปุถุชน ข้าพระองค์เคยเชื่อว่าข้าพระองค์จำเป็นต้องประสบความสำเร็จในอาชีพการงานของตัวเอง เชื่อว่าข้าพระองค์จำเป็นต้องสัมฤทธิ์การเป็นที่ยอมรับบ้าง ผลลัพธ์ก็คือ ข้าพระองค์ไล่ตามไขว่คว้าอาชีพการงานของตัวเองอย่างไม่คิดชีวิตโดยต้องการที่จะทำให้ตัวเองโดดเด่นออกมา แม้กระทั่งหลังจากที่ข้าพระองค์มาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ข้าพระองค์ก็ยังต้องการที่จะโดดเด่นในพระนิเวศของพระเจ้า ที่จะทำให้คนอื่นเคารพยกย่องข้าพระองค์ นี่กลายเป็นอุปสรรคกีดขวางที่มีนัยสำคัญต่อการเข้าสู่ชีวิตของข้าพระองค์) สิ่งที่พวกเจ้าเข้าใจโดยอาชีพการงานก็คือการไล่ตามไขว่คว้าเชิงปัจเจกบุคคลโดยเฉพาะ นั่นยังไปเกี่ยวกับเส้นทางที่คนเราใช้อีกด้วย ดังนั้นในการสามัคคีธรรมของพวกเราว่าด้วย “อาชีพการงาน” ภายใต้หัวข้อของการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า แนวคิดและความอยากได้อยากมีของผู้คน เราจะไม่เอ่ยถึงเนื้อหาใดที่เกี่ยวกับการไล่ตามไขว่คว้าของผู้คนในตอนนี้ โดยเบื้องต้นนั้นพวกเราจะพูดเกี่ยวกับความหมายตามตัวอักษรของ “อาชีพการงาน” “อาชีพการงาน” อ้างอิงถึงอะไรหรือ? อาชีพการงานอ้างอิงถึงงานหรือการลงแรงที่ผู้คนร่วมทำเพื่อจัดเตรียมให้กับครอบครัวของตนในขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ในโลก หัวข้อนี้อยู่ภายในขอบเขตของ “อาชีพการงาน” ภายใต้หัวข้อของการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า แนวคิดและความอยากได้อยากมีของผู้คน ที่พวกเราปรารถนาจะสามัคคีธรรมกัน นี่เป็นขอบเขตและหลักธรรมสำหรับการทำการงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวของคนคนหนึ่ง และสำหรับการเลือกสายอาชีพในสังคมขณะที่เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง ตามธรรมชาติแล้วนี่จะเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อยกับส่วนของเนื้อหาที่เกี่ยวกับการไล่ตามไขว่คว้าของผู้คนและเกี่ยวกับข้อพึงประสงค์สำหรับงานที่ผู้เชื่อคนหนึ่งร่วมทำ นั่นพูดได้เช่นกันว่าสัมพันธ์กับความคิดและมุมมองที่ผู้เชื่อคนหนึ่งควรมีต่องานการและอาชีพการงานสารพันในโลก หัวข้อทั้งหลายที่เกี่ยวกับอาชีพการงานนั้นค่อนข้างกว้าง พวกเราจะจัดแบ่งหัวข้อเหล่านั้นออกเป็นหมวดหมู่ และการทำเช่นนั้นก็เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจสิ่งที่เป็นมาตรฐานและข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้ามีสำหรับอาชีพการงานที่บรรดาผู้เชื่อและผู้ไล่ตามเสาะหาความจริงทำ รวมไปถึงความคิดและมุมมองที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้บรรดาผู้เชื่อและผู้ไล่ตามเสาะหาความจริงมี ในขณะที่พวกเขาทำหรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับสายอาชีพต่างๆ นี่จะทำให้ผู้คนปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้าและความอยากได้อยากมีที่สัมพันธ์กับอาชีพการงาน ซึ่งมีอยู่ภายในมโนคติอันหลงผิดและความปรารถนาของตน ในเวลาเดียวกัน นี่ก็จะแก้ไขมุมมองอันไม่ถูกต้องที่ผู้คนมีเกี่ยวกับสายอาชีพที่พวกเขาทำหรืออาชีพการงานที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าในโลก พวกเราจะแยกเนื้อหาที่ว่าด้วยอาชีพการงานที่ผู้คนควรปล่อยมือออกเป็นสี่รายการหลัก รายการแรกที่ผู้คนจำเป็นต้องเข้าใจก็คือการไม่ร่วมทำการกุศล รายการที่สองก็คือการพอใจในอาหารและเครื่องนุ่งห่ม รายการที่สามคือ การอยู่ห่างจากกำลังบังคับนานาประการทางสังคม รายการที่สี่คือการอยู่ห่างจากการเมือง พวกเราจะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยมือจากอาชีพการงานโดยมีเนื้อหาของสี่รายการนี้เป็นพื้นฐาน ลองคิดดูเถิดว่า เนื้อหาของสี่รายการนี้มีสิ่งใดสัมพันธ์กับสิ่งที่พวกเจ้าได้สามัคคีธรรมกันมาบ้างหรือไม่? (ไม่มี) อะไรคือสิ่งที่พวกเจ้าสามัคคีธรรมกันตลอดมา? (การไล่ตามไขว่คว้าส่วนบุคคล) สิ่งที่พวกเจ้าสามัคคีธรรมกันตลอดมานั้นไม่เกี่ยวกับหลักธรรมความจริง แค่สัมพันธ์กับการไล่ตามไขว่คว้าส่วนบุคคลเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง สี่ประเด็นหลักนี้ที่พวกเรากำลังสามัคคีธรรมกันอยู่นั้นเกี่ยวข้องกับหลักธรรมนานับประการภายในหัวข้อของอาชีพการงาน หากผู้คนเข้าใจหลักธรรมนานับประการเหล่านี้ ก็ย่อมง่ายที่พวกเขาจะปล่อยมือจากสิ่งซึ่งพึงปล่อยมือในส่วนที่สัมพันธ์กับอาชีพการงานในช่วงระหว่างกระบวนการไล่ตามเสาะหาความจริง นั่นย่อมง่ายที่พวกเขาจะปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้เพราะพวกเขาเข้าใจแง่มุมเหล่านี้ของความจริง อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่เข้าใจความจริงเหล่านี้ ก็ย่อมจะยากลำบากมากที่จะปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ พวกเรามาสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมสี่ประการนี้สำหรับการปล่อยมือจากอาชีพการงานไปทีละประการกันเถิด
ก่อนอื่นต้องไม่ร่วมทำการกุศล การที่จะไม่ร่วมทำการกุศลหมายถึงอะไร? เป็นการง่ายที่จะเข้าใจความหมายตามตัวอักษรของคำเหล่านี้ พวกเจ้าล้วนมีมโนคติบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องของการกุศลใช่หรือไม่? ตัวอย่างเช่นสถานเด็กกำพร้า สถานพักพิงและองค์กรการกุศลโน่นนี่ในสังคม—องค์กรและชื่อสถานที่เหล่านี้สัมพันธ์กับงานการกุศล ดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องของอาชีพการงานที่ผู้คนทำ ข้อพึงประสงค์แรกของพระเจ้าคือการที่พวกเขาไม่ร่วมทำการกุศล นี่หมายถึงอะไร? นี่หมายความว่าผู้คนไม่ควรทำสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการกุศลหรือเข้าร่วมอุตสาหกรรมใดที่สัมพันธ์กับการกุศล นี่เข้าใจได้ง่ายไม่ใช่หรือ? ในฐานะบุคคลหนึ่งผู้ซึ่งเชื่อในพระเจ้า ผู้ซึ่งดำรงชีวิตอยู่ในร่างกาย ผู้ซึ่งมีครอบครัวและชีวิต อีกทั้งจำเป็นต้องมีเงินไว้เกื้อหนุนตัวเองกับครอบครัว เจ้าจึงจำเป็นต้องประกอบอาชีพ ไม่ว่าเจ้าประกอบอาชีพประเภทใด ข้อพึงประสงค์แรกของพระเจ้าสำหรับผู้คนก็คือต้องไม่ร่วมทำการกุศล เจ้าไม่ควรทำการกุศลเพราะเจ้าเชื่อในพระเจ้า หรือทำการกุศลเพื่อเห็นแก่การยังชีพทางกายของตัวเอง งานแบบนั้นไม่ใช่สายอาชีพที่เจ้าควรทำ นั่นไม่ใช่สายอาชีพที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้า และแน่นอนว่าไม่ใช่หน้าที่ซึ่งพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้า สิ่งทั้งหลายอย่างการกุศลนั้นไม่เกี่ยวกับบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ในทางกลับกัน คนคนหนึ่งอาจพูดได้ว่าหากเจ้าร่วมทำการกุศล พระเจ้าจะไม่ทรงรำลึกถึงการนั้น ต่อให้เจ้าทำได้ดีจนพึงพอใจและได้รับการยอมรับจากสังคมและแม้แต่จากพี่น้องชายหญิง พระเจ้าก็จะไม่ทรงรับรู้หรือรำลึกถึงการนั้น พระเจ้าจะไม่ทรงรำลึกถึงเจ้าหรือทรงอวยพรเจ้าในท้ายที่สุด หรือทรงให้ข้อยกเว้นและทรงอนุญาตให้เจ้าบรรลุความรอด หรือประทานบั้นปลายอันแสนวิเศษให้กับเจ้าเพราะเจ้าร่วมทำการกุศล เพราะเจ้าเคยเป็นนักสังคมสงเคราะห์ผู้ยิ่งใหญ่ ช่วยเหลือผู้คนมากมาย ทำความประพฤติดีไว้นับไม่ถ้วน ทำคุณประโยชน์ให้ผู้คนมากมายหรือแม้แต่เคยช่วยหลายชีวิตให้รอด นั่นก็คือ การร่วมทำงานการกุศลไม่ใช่ภาวะที่จำเป็นสำหรับความรอด แล้วเรื่องของการกุศลนั้นมีอะไรบ้าง? ในความเป็นจริงไม่มากก็น้อย ทุกคนมีหนึ่งหรือสองสิ่งในจิตใจของตนที่ถือได้ว่าเป็นงานการกุศลประเภทหนึ่งอย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่นการรับอุปการะสุนัขจร เพราะบางประเทศไม่มีการควบคุมสัตว์เลี้ยงที่เข้มงวด หรือเนื่องจากภาวะทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ เจ้าจึงพบเห็นสุนัขจรอยู่บ่อยๆ ตามถนนหนทางหรือในบางพื้นที่ “สุนัขจร” หมายความว่าอะไร? คำนี้หมายความว่าผู้คนบางคนไม่สามารถมีพอจับจ่ายที่จะเก็บสุนัขของตนไว้ หรือไม่ก็ไม่ต้องการทำอย่างนั้น พวกเขาจึงทอดทิ้งสุนัขเหล่านั้น หรือสุนัขอาจหลงทางด้วยเหตุผลบางอย่าง และตอนนี้ก็มาเร่ร่อนอยู่ตามถนน เจ้าอาจจะคิดว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันจึงควรอุปการะสัตว์เหล่านี้ เพราะการทำความดีคือเจตนารมณ์ของพระเจ้า เป็นบางสิ่งซึ่งนำพาความพระสิริมาสู่พระนามของพระเจ้า และเป็นความรับผิดชอบที่เหล่าผู้เชื่อในพระเจ้าควรทำ นั่นเป็นภาระผูกพันที่ไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้” ดังนั้นพอเจ้าเห็นสุนัขหรือแมวจร เจ้าก็นำพวกมันกลับมาอุปการะที่บ้าน ใช้ชีวิตอย่างกระเหม็ดกระแหม่เพื่อที่จะซื้ออาหารมาเลี้ยงพวกมัน คนบางคนถึงกับเอาเงินเดือนและค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตของตนมาลงทุนตรงนี้ และสุดท้ายพวกเขาก็อุปการะสุนัขและแมวเพิ่มขึ้นทุกทีจนจำเป็นต้องเช่าบ้าน ในการทำเช่นนั้น เงินค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตของพวกเขาจึงไม่เพียงพอขึ้นทุกทีและเงินเดือนของพวกเขาก็ไม่อาจครอบคลุมอีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยิบยืมเงิน แต่ไม่ว่าสิ่งทั้งหลายเริ่มหนักหนาสาหัสเพียงไร พวกเขาก็รู้สึกว่านี่คือภาระผูกพันที่ตัวเองไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้ เป็นความรับผิดชอบที่ตัวเองไม่อาจละทิ้ง และพวกเขาควรมองว่าการกระทำนี้เป็นความประพฤติที่ดีและทำไปตามนั้น พวกเขาคิดว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความจริงและกำลังค้ำจุนหลักธรรม พวกเขาใช้จ่ายเงิน พลังงาน และเวลามหาศาลไปกับการอุปการะสุนัขและแมวจรเหล่านี้เพื่อที่จะร่วมทำงานการกุศล และพวกเขาก็รู้สึกสบายใจและสำเร็จลุล่วงในหัวใจอย่างมาก พวกเขารู้สึกดีกับตัวเองจริงๆ และบางคนถึงกับคิดว่า “นี่คือการถวายพระสิริให้กับพระเจ้า ฉันกำลังอุปการะสิ่งทรงสร้างที่พระเจ้าทรงสร้างมา—นี่เป็นความประพฤติดีอันประเมินค่ามิได้เลย และพระเจ้าจะทรงรำลึกถึงอย่างแน่นอน” ความคิดเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง) พระเจ้าไม่ได้ทรงไว้วางพระทัยมอบหมายกิจนี้ให้กับเจ้า กิจนี้ไม่ใช่ทั้งภาระผูกพันและความรับผิดชอบของเจ้า หากเจ้าบังเอิญไปพบเจอสุนัขหรือแมวจรและเจ้าเกิดความชอบในตัวพวกมันขึ้นมา การอุปการะสักหนึ่งหรือสองตัวนั้นไม่เป็นไร อย่างไรก็ตาม หากเจ้าปฏิบัติต่อการอุปการะสัตว์จรในรูปแบบของงานการกุศล โดยเชื่อว่าการกุศลเป็นบางสิ่งที่ผู้เชื่อในพระเจ้าคนหนึ่งควรทำ เช่นนั้นเจ้าก็เข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง นี่คือความเข้าใจและการทำความเข้าใจที่บิดเบือน
มีบางคนด้วยเช่นกันที่เชื่อในความสามารถในการเอาตัวรอดของตัวเอง ใช้เงินพิเศษเล็กน้อยที่พวกเขามีเพื่อบรรเทาทุกข์ให้กับคนยากจนรอบตัว พวกเขาเสนอเครื่องนุ่งห่ม อาหาร สิ่งจำเป็นรายวัน และแม้กระทั่งเงินให้กับคนเหล่านั้น โดยเห็นว่านั่นเป็นภาระผูกพันที่ตนควรลุล่วงประเภทหนึ่ง พวกเขาอาจถึงกับพาคนจนเข้าบ้าน แบ่งปันข่าวประเสริฐกับคนเหล่านั้น และเสนอเงินให้คนเหล่านั้นใช้จ่าย คนจนเหล่านี้ตกลงที่จะเชื่อในพระเจ้า และหลังจากนั้น พวกเขาก็จัดหาอาหารและที่พักพิงให้คนจนเหล่านั้น โดยคิดว่าตนเองกำลังลุล่วงหน้าที่และภาระผูกพันของตน ยังมีผู้คนที่สังเกตว่าเด็กกำพร้าบางคนในสังคมยังไม่ได้รับการอุปการะ พวกเขามีเงินค่าใช้จ่ายพิเศษอยู่นิดหน่อย พวกเขาจึงไปช่วยเหลือเด็กกำพร้าเหล่านี้ โดยการก่อตั้งบ้านพักสวัสดิการและสถานเด็กกำพร้า แล้วก็รับอุปการะเด็กกำพร้า หลักจากที่อุปการะเด็กกำพร้าเหล่านั้น พวกเขาก็จัดเตรียมอาหาร ที่พักพิงและการศึกษา และถึงกับอุ้มชูเด็กกำพร้าจนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ พวกเขาไม่เพียงทำสิ่งนี้ต่อเนื่อง แต่พวกเขายังส่งต่อให้กับชนรุ่นถัดไป พวกเขาเชื่อว่านี่เป็นความประพฤติที่ดีอย่างมิอาจประเมินได้ เป็นบางสิ่งซึ่งต้องได้รับการอวยพร และเป็นการกระทำที่คู่ควรให้พระเจ้ารำลึกถึง แม้แต่ระหว่างช่วงเวลาของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ บางคนมองเห็นผู้รับข่าวประเสริฐซึ่งมีศักยภาพจากพื้นที่ยากจน ผู้ซึ่งมีความเชื่อมั่นทางศาสนา และรู้สึกว่าจำเป็นต้องช่วยพวกเขาและให้ทานพวกเขา แต่การเผยแผ่ข่าวประเสริฐก็คือการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ไม่ใช่งานการกุศลหรือการให้ความช่วยเหลือ จุดประสงค์ของการแบ่งปันข่าวประเสริฐก็คือการนำพาบรรดาผู้ที่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและยอมรับความจริงซึ่งก็คือแกะของพระเจ้า เข้ามาสู่พระนิเวศของพระองค์ เข้ามาสู่การทรงสถิตของพระองค์ ให้โอกาสสำหรับความรอดแก่พวกเขา ไม่เกี่ยวกับการช่วยผู้คนที่ยากจนเพื่อให้พวกเขามีบางสิ่งให้กินและให้นุ่งห่ม เพื่อให้พวกเขาสามารถมีชีวิตแบบคนทั่วไปและไม่อดอยาก เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นจากมุมมองใดและจากความคิดคำนึงใด ไม่ว่าจะเป็นการช่วยสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ทั่วไป หรือการให้ความช่วยเหลือคนยากจนหรือคนที่ขาดสิ่งจำเป็นพื้นฐาน เรื่องการร่วมทำการกุศลนี้ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้เป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ ความรับผิดชอบ หรือภาระผูกพันที่บุคคลหนึ่งควรลุล่วง สิ่งนี้ไม่เกี่ยวกับการที่ผู้คนเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติความจริง หากผู้คนใจดีและเต็มใจทำสิ่งนี้ หรือบางคราวก็พบเจอกับผู้คนบางคนที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ พวกเขาสามารถทำเช่นนั้นได้ถ้าพวกเขามีความสามารถ ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ควรมองสิ่งนี้เป็นกิจที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้กับเจ้า หากเจ้ามีความสามารถและมีภาวะเหล่านั้น เจ้าก็สามารถให้การช่วยเหลือไปตามวาระโอกาส แต่นี่เป็นเพียงการแสดงถึงตัวเจ้าโดยส่วนตัว ไม่ใช่ตัวแทนของพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ได้แสดงถึงข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเป็นแน่ แน่นอนว่าการทำสิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าเจ้าได้สนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า และไม่ได้หมายความว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงอย่างแน่นอน แต่เพียงแค่แสดงถึงการประพฤติปฏิบัติส่วนตนของเจ้านั่นเอง หากเจ้าทำสิ่งนี้เป็นครั้งคราว พระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินโทษผิดเจ้าจากการนั้น และพระองค์ก็จะไม่ทรงรำลึกถึงการนั้นด้วย—ก็เท่านั้นเอง หากเจ้าแปลงการนั้นไปเป็นอาชีพการงาน โดยเปิดสถานพยาบาล บ้านพักสวัสดิการ สถานเด็กกำพร้า สถานพักพิงสำหรับสัตว์ หรือแม้แต่เสนอตัวเข้าช่วยเหลือในช่วงเวลาแห่งภัยพิบัติและระดมทุนจากพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรหรือจากชุมชนเพื่อบริจาคให้กับพื้นที่หรือผู้คนซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำดีแค่ไหนหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น ในยามที่สถานที่บางแห่งประสบกับแผ่นดินไหว น้ำท่วมหรือภัยพิบัติอื่นๆ ซึ่งเกิดจากฝีมือมนุษย์หรือตามธรรมชาติ บางคนย่อมเข้าหาคริสตจักรเพื่อเรี่ยไรการบริจาคจากพี่น้องชายหญิง ที่แย่กว่านั้นก็คือ บางคนถึงกับใช้ของถวายไปให้การช่วยเหลือสถานที่และผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติเหล่านี้ พวกเขาเชื่อว่านี่เป็นภาระผูกพันของผู้เชื่อทุกคนและเป็นภาระผูกพันที่คริสตจักรซึ่งเป็นองค์กรชุมชนสังคมควรลุล่วง พวกเขาพิจารณาว่านี่เป็นเหตุอันควร โดยไม่เพียงเรียกร้องการร่วมสมทบจากพี่น้องชายหญิงเท่านั้นแต่ยังรบเร้าให้ทางคริสตจักรจัดสรรของถวายไปให้การช่วยเหลือพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติเหล่านี้อีกด้วย เจ้าคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้? (นั่นเป็นเรื่องที่แย่) นั่นก็แค่แย่เฉยๆ เท่านั้นหรือ? จงเสวนากันถึงธรรมชาติของเรื่องนี้ (ของถวายถูกหมายให้ใช้เพื่อการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เพื่อการขยับขยายงานแห่งข่าวประเสริฐ ของถวายไม่ได้ถูกหมายให้ใช้เพื่อการบรรเทาทุกข์จากภัยพิบัติหรือการให้ความช่วยเหลือผู้ยากไร้) (การบรรเทาทุกข์จากภัยพิบัตินั้นไม่เกี่ยวกับความจริง การทำสิ่งนี้ไม่ได้แปลว่าความจริงกำลังถูกปฏิบัติ และไม่ได้เป็นพยานต่อการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยอย่างแน่นอน) บางคนเชื่อว่าในเมื่อทุกคนอาศัยอยู่บนดาวเคราะห์เดียวกัน เป็นหนึ่งครอบครัวใหญ่ที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินโลก และเมื่อฝ่ายหนึ่งอยู่ในความเดือดร้อน ฝ่ายอื่นก็ควรรวมตัวกันเพื่อให้ความช่วยเหลือ พวกเขาคิดว่าตัวเองควรทำเช่นนั้นอย่างเต็มที่เพื่อให้ผู้คนในพื้นที่ภัยพิบัติรู้สึกถึงความอบอุ่นจากเพื่อนมนุษย์ของตน และได้สัมผัสความอบอุ่นรวมถึงการช่วยเหลือจากคริสตจักร พวกเขาพิจารณาว่าการนี้เป็นความประพฤติดีอย่างประมาณค่ามิได้ เป็นการกระทำที่ถวายพระเกียรติพระเจ้า และเป็นโอกาสแสนวิเศษที่จะเป็นพยานต่อพระเจ้า บางคนรู้สึกไม่กระตือรือร้นและขาดแรงจูงใจในยามที่เจ้ากำหนดให้พวกเขายึดติดอยู่กับหลักธรรมขณะกำลังทำหน้าที่ อีกทั้งให้การปฏิบัติของพวกเขาตรงกับพระวจนะของพระเจ้าและการจัดการเตรียมงานทั้งหลาย พวกเขาไม่ใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้ในหัวใจ แต่พอในส่วนของการทุ่มเทอุทิศของถวายเพื่อให้ความช่วยเหลือคนของประชาชาติที่ขัดสนและล้าหลัง ซื้ออุปกรณ์สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ และช่วยให้คนเหล่านั้นได้ใช้ชีวิตที่มีอาหารและเครื่องนุ่งห่มพอเพียง พวกเขาก็กลับกระตือรือร้นและกระหายร้อนรนที่จะเริ่มงานโดยต้องการที่จะทำให้มากขึ้นทุกที เหตุใดพวกเขาจึงกระตือรือร้นยิ่งนัก? เพราะพวกเขาปรารถนาที่จะกลายเป็นคนใจบุญผู้ยิ่งใหญ่ ทันทีที่ถูกเอ่ยถึงว่าเป็นคนใจบุญผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขาก็เริ่มรู้สึกสูงศักดิ์เป็นพิเศษ พวกเขารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะพลีอุทิศความพยายามเพื่อเห็นแก่การดำเนินชีวิตของผู้คนยากจนเหล่านี้ และนำความสว่างกับความอบอุ่นของตนมาใช้ พวกเขารู้สึกตื่นเต้นสุดขีดเกี่ยวกับการนั้น และผลที่ตามมาก็คือ บางคนเต็มใจร่วมทำกิจกรรมนี้มากเป็นพิเศษ แต่อะไรคือจุดประสงค์เบื้องหลังความเต็มใจอันน่าทึ่งนี้ในการทำสิ่งเหล่านี้? นี่เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าจริงหรือ? พระเจ้าทรงจำเป็นต้องได้รับเกียรติประเภทนี้หรือ? พระเจ้าทรงจำเป็นต้องได้รับคำพยานประเภทนี้หรือ? สามารถเป็นได้หรือที่พระนามของพระเจ้าจะถูกดูหมิ่นเหยียดหยามหากเจ้าไม่ให้เงินหรือให้การช่วยเหลือ? พระเจ้าจะทรงสูญเสียพระสิริของพระองค์หรือ? เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะทรงได้รับพระสิริเมื่อเจ้าทำสิ่งนี้? พระองค์จะพึงพอพระทัยหรือ? นี่ใช่ความจริงหรือไม่? (ไม่ใช่) แล้วความจริงเป็นอย่างไร? เหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงเต็มใจที่จะทำสิ่งนี้เหลือเกิน? เจตนารมณ์ของพวกเขาคือเพื่อสนองความถือดีของตัวเองใช่หรือไม่? (ใช่) นั่นก็เพื่อให้ได้รับการยกนิ้วจากพวกที่ตนได้ช่วยเหลือไป ได้รับการชมเชยสำหรับความใจกว้าง ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และความมั่งคั่งของตน คนบางคนมีจิตวิญญาณเยี่ยงวีรบุรุษเสมอ พวกเขาปรารถนาจะเป็นผู้ช่วยให้รอด เหตุใดเจ้าจึงไม่ช่วยตัวเองให้รอดเล่า? เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองเป็นสิ่งประเภทใด? หากเจ้ามีความสามารถที่จะช่วยผู้อื่นให้รอด เหตุใดเจ้าจึงช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้? หากเจ้าใจกว้างนัก เหตุใดเจ้าจึงไม่ขายตัวเองแล้วให้เงินช่วยเหลือผู้คนเหล่านั้น? เหตุใดจึงใช้ของถวาย? หากเจ้ามีความสามารถนี้ เจ้าก็ควรเลิกกินและดื่ม หรือกินแค่วันละมื้อ แล้วใช้เงินที่เจ้าประหยัดได้ไปช่วยเหลือผู้คนพวกนั้น ให้พวกเขาได้กินดีและได้แต่งกายอบอุ่น เหตุใดเจ้าจึงใช้ของถวายของพระเจ้าไปในทางที่ผิด? นี่เป็นการใจกว้างโดยที่พระนิเวศของพระเจ้าต้องสละไม่ใช่หรือ? (ใช่) การใจกว้างโดยที่พระนิเวศของพระเจ้าต้องสละ การได้มาซึ่งฉายานามว่า “คนใจบุญผู้ยิ่งใหญ่” จากผู้อื่น สนองความอยากได้อยากมีที่ไร้แก่นสารของตนเพื่อให้เป็นที่ต้องการของผู้อื่น—นี่น่าละอายไม่ใช่หรือ? (ใช่) ในเมื่อนี่เป็นกิจธุระที่น่าละอาย ควรหรือไม่ที่จะดำเนินการนี้? (ไม่ควร) ธรรมชาติของการที่พระนิเวศของพระเจ้าแผ่ขยายข่าวประเสริฐนั้นไม่ใช่เพื่อทำการกุศล การนี้เกี่ยวกับการเสาะหาแกะที่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า การนำพาผู้คนเหล่านี้กลับเข้ามาในการทรงสถิตของพระเจ้า การยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า รวมถึงการรับความรอดของพระเจ้า นี่เป็นการให้ความร่วมมือกับแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าเพื่อการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ไม่ใช่การร่วมทำการกุศล ไม่ใช่การเสนอความช่วยเหลือหรือการประกาศข่าวประเสริฐในสถานที่ใดก็ตามที่มีความยากจน นั่นเป็นการทำการกุศลภายใต้หน้าฉากของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้คนเหล่านี้ได้รับอาหารเป็นอย่างดีและได้มีเครื่องนุ่งห่มเป็นอย่างดี ได้ใช้วิทยาการสมัยใหม่ และได้ชื่นชมยินดีกับชีวิตสมัยใหม่—การกระทำเหล่านี้ช่วยผู้คนให้รอดได้หรือ? การกระทำเช่นนั้นไม่อาจสัมฤทธิ์จุดประสงค์ของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและการช่วยผู้คนให้รอด การเผยแผ่ข่าวประเสริฐไม่ใช่การร่วมทำการกุศล การนี้เกี่ยวกับการเอาชนะใจ การนำพาผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ทำให้พวกเขาสามารถยอมรับความจริงและการช่วยให้รอดของพระเจ้า—ไม่เกี่ยวกับการให้การบรรเทาทุกข์ เนื่องจากความจำเป็นของงานในคริสตจักร บางคนจึงละทิ้งงานและครอบครัวของพวกเขาเพื่อมุ่งทำหน้าที่ของตนเต็มเวลา และพระนิเวศของพระเจ้าก็จัดหาค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตให้แก่พวกเขา แต่นี่ไม่ใช่การบรรเทาทุกข์ ทั้งยังไม่ใช่การร่วมทำงานการกุศล ตอนที่พระนิเวศของพระเจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐและตั้งคริสตจักร พระนิเวศไม่ได้จัดตั้งสถาบันสวัสดิการหรือสถานพักพิง นั่นไม่ใช่การใช้ผลประโยชน์หรือกองทุนเหล่านี้เพื่อซื้อใจผู้คนหรือยอมให้พวกเขาเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อขออาหารและเครื่องดื่ม พระนิเวศของพระเจ้าไม่เกื้อหนุนพวกกาฝากหรือขอทาน ทั้งยังไม่ให้ที่อาศัยแก่คนจรจัดหรือเด็กกำพร้า และก็ไม่จัดเตรียมการบรรเทาทุกข์ให้กับผู้คนที่ไม่มีจะกิน หากใครบางคนไม่มีเงินพอซื้อของกิน นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาขี้เกียจหรือไร้ความสามารถ นั่นเป็นความผิดของพวกเขาเอง และนั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการที่พวกเราเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเราเผยแผ่ข่าวประเสริฐเพื่อที่จะชนะใจผู้คน เพื่อที่จะชนะใจบรรดาผู้ที่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและยอมรับความจริงได้ ไม่ใช่เพื่อไปดูว่าใครยากจน ใครน่าเวทนา ใครถูกกดขี่ หรือใครไม่มีผู้ใดให้พึ่งพิง เพื่อให้พวกเราสามารถรับพวกเขาเข้ามาหรือช่วยเหลือพวกเขา การเผยแผ่ข่าวประเสริฐมีหลักธรรมและมาตรฐานในตัว รวมทั้งมีข้อพึงประสงค์และมาตรฐานสำหรับผู้รับข่าวประเสริฐที่มีศักยภาพ การนี้ไม่เกี่ยวกับการแสวงหาพวกขอทาน เพราะฉะนั้น หากเจ้ามองการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นการมานะพยายามในทางการกุศล เจ้าก็คิดผิด หรือหากเจ้าเชื่อว่าตอนที่เจ้ากำลังทำหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐและร่วมทำงานนี้ เจ้ากำลังร่วมทำการกุศลอยู่ นั่นก็ยิ่งผิดไปใหญ่ ทั้งทิศทางนี้ตลอดจนจุดเริ่มต้นนั้นผิดโดยเนื้อแท้ หากใครก็ตามมีมุมมองเช่นนั้นหรือนำทิศทางนั้นมาประยุกต์ใช้กับการกระทำของตน พวกเขาก็ควรแก้ไขและปรับเปลี่ยนมุมมองอย่างรวดเร็ว พระเจ้าไม่เคยทรงเวทนาคนยากจนหรือพวกที่ถูกกดขี่อยู่ในจุดต่ำสุดของสังคม พระเจ้าทรงมีความเมตตาสงสารต่อผู้ใดหรือ? อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้า ใครบางคนที่สามารถยอมรับความจริง หากเจ้าไม่ติดตามพระเจ้า อีกทั้งเจ้ายังขัดขืนและหมิ่นประมาทพระเจ้า พระเจ้าจะทรงมีความเมตตาสงสารต่อเจ้าหรือ? นี่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ผู้คนไม่ควรเข้าใจผิดคิดไปว่า “พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมความเมตตาสงสาร พระองค์ทรงเวทนาพวกที่ถูกกดขี่ พวกที่ไม่โด่งดัง พวกที่โดนดูถูก ผู้ที่ถูกด้อยค่าและไม่มีใครให้พึ่งพิงในสังคม พระเจ้าทรงเวทนาพวกเขาเหล่านั้นทั้งหมด และพระเจ้าทรงยอมให้พวกเขาเข้าสู่พระนิเวศของพระองค์” นี่เป็นความคิดที่ผิด! นี่เป็นมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้า พระเจ้าไม่เคยตรัสหรือทรงทำสิ่งเช่นนั้น นั่นก็แค่การคิดไปตามความปรารถนาของตัวเจ้าเอง แนวคิดของเจ้าเองเกี่ยวกับความใจดีแบบมนุษย์ ซึ่งไม่สัมพันธ์กับความจริง จงมองดูประชากรที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรและทรงนำพามาสู่พระนิเวศของพระองค์เถิด ไม่สำคัญว่าพวกเขาอยู่ในชนชั้นใดของสังคม พระเจ้าทรงเวทนาหรือรู้สึกเศร้าพระทัยสำหรับใครคนไหนเพราะพวกเขาไม่มีอะไรจะกิน จึงได้นำพาพวกเขาเข้ามาสู่พระนิเวศของพระองค์อย่างนั้นหรือ? ไม่มีแม้สักคน ในทางตรงข้าม บรรดาผู้ที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรนั้นไม่มีตัวอย่างของพวกเขาที่ไม่สามารถหากินได้และไม่มีขอทานอยู่ในหมู่พวกเขาเลยไม่ว่าพวกเขาอยู่ในชนชั้นใดของสังคม—ต่อให้พวกเขาเป็นชาวไร่ชาวนาก็ตาม นี่เป็นพันธะสัญญาหนึ่งแห่งพระพรของพระเจ้า หากพระเจ้าได้ทรงเลือกสรรเจ้าและเจ้าเป็นหนึ่งในประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้เจ้ากลายเป็นอัตคัดขัดสนเสียจนไม่สามารถหาอะไรกินได้หรือไปถึงจุดที่เจ้าจำเป็นต้องขอทานอาหาร แต่พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมเครื่องนุ่งห่มและอาหารให้กับเจ้าอย่างอุดมสมบูรณ์แทน ผู้เชื่อในพระเจ้าบางคนมีมโนคติที่ผิดบางอย่างอยู่ในใจเสมอ พวกเขาคิดอะไรหรือ? “ผู้เชื่อในพระเจ้าส่วนใหญ่มาจากระดับต่ำสุดของสังคม และบางคนอาจจะเป็นขอทานด้วยซ้ำ” นี่ใช่กรณีนั้นหรือ? (ไม่ใช่) มีแม้กระทั่งผู้คนที่กระจายข่าวลือว่าเราเคยเป็นขอทาน เราจึงพูดไปว่า “เอาเถิดถ้าเช่นนั้นเราเคยสวมชุดผ้ากระสอบหรือพกไม่เท้าหรือ? หากเจ้าพูดว่าเราเคยเป็นขอทาน เป็นไปได้อย่างไรที่เราไม่รู้เรื่องนั้นเลย?” เราเป็นคนที่พวกเรากำลังพูดถึง แต่เรากลับไม่รู้ด้วยซ้ำ นี่เหลวไหลอย่างสิ้นเชิง! ตอนที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า “หมาจิ้งจอกยังมีโพรง และนกในอากาศก็ยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ” นั่นหมายถึงอะไร? พระเจ้ากำลังตรัสว่าพระองค์ได้กลายเป็นขอทานหรือ? พระองค์กำลังตรัสว่าพระองค์ทรงไม่ได้รับการเกื้อหนุนและไม่สามารถหาสิ่งเสวยได้หรือ? (พระองค์ไม่ได้กำลังตรัสเช่นนั้น) พระองค์ไม่ได้กำลังตรัสเช่นนั้น แล้วคำกล่าวนี้หมายความว่าอย่างไร? นั่นหมายความว่าโลกและมวลมนุษย์ทอดทิ้งพระเจ้าไปแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่าไม่มีที่ทางสำหรับพระเจ้า และพระเจ้าได้เสด็จมาเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ทว่าพวกเขากลับไม่ยอมรับพระองค์ ไม่มีใครเต็มใจต้อนรับพระเจ้า คำกล่าวนี้ชี้ให้เห็นด้านที่อัปลักษณ์ของมนุษย์ผู้เสื่อมทรามและสะท้อนให้เห็นความทุกข์ที่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ได้ทรงสู้ทนในโลกมนุษย์ ตอนที่พระเจ้าตรัสสิ่งนี้ บางคนคิดว่า “พระเจ้าทรงโปรดพวกขอทานและพวกเราก็ดีกว่าขอทาน ดังนั้นสถานะของพวกเรามีระดับกว่าในสายพระเนตรของพระเจ้า” ผลที่ตามมาคือพวกเขาเต็มใจช่วยเหลือพวกขอทาน นี่เป็นความเข้าใจผิดโดยสิ้นเชิงในส่วนของพวกมนุษย์ มาจากความคิดและมุมมองอันคลาดเคลื่อน ไม่มีความสัมพันธ์กับแก่นแท้ของพระเจ้า อุปนิสัยของพระองค์ หรือความเมตตาสงสารและความรักของพระองค์
บางคนพูดว่า “พระองค์ตรัสเกี่ยวกับการปล่อยมือจาก ‘อาชีพการงาน’ ภายในหัวข้อการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า แนวคิดและความอยากได้อยากมีของผู้คน และพระองค์ตรัสบอกผู้คนไม่ให้ทำการกุศล แต่เหตุใดพระองค์จึงทรงเน้นย้ำเสมอเรื่องการปฏิบัติต่อสัตว์ให้ดีและไม่ทำอันตรายพวกมัน? นี่หมายความว่าอย่างไร? พระนิเวศของพระเจ้าเลี้ยงดูสุนัขและแมวด้วยซ้ำ และไม่อนุญาตให้ผู้คนทำร้ายพวกมัน” จงบอกเราที การนี้มีอะไรแตกต่างจากการทำการกุศล? นั่นใช่สิ่งเดียวกันหรือ? (ไม่ใช่) นี่หมายความว่าอย่างไร? (การไม่ทำอันตรายสัตว์นานาชนิดเป็นการแสดงออกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ) นี่เป็นการแสดงออกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เช่นนั้นแล้วการปฏิบัติและการสำแดงของความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรเป็นอย่างไร? (ในเมื่อคนคนหนึ่งเลือกที่จะเก็บสัตว์เหล่านั้นไว้ คนคนนั้นก็จำเป็นต้องลุล่วงความรับผิดชอบของตน) การลุล่วงความรับผิดชอบของคนคนหนึ่ง—มีสิ่งใดที่เฉพาะเจาะจงกว่านี้หรือไม่? (พวกเขาจำต้องดูแลสัตว์เหล่านั้น) นั่นเป็นการกระทำที่เฉพาะเจาะจง อะไรคือหลักธรรมที่ควรปฏิบัติ? การนี้เกี่ยวข้องกับความจริง ให้เราอธิบายเถิด แล้วพวกเจ้าก็จงฟังและดูว่านี่เกี่ยวกับความจริงหรือไม่ การดูแลสิ่งที่ทรงสร้างซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้างไว้นั้นเป็นการแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติ กล่าวอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นก็คือ นั่นหมายถึงการลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อสิ่งที่ทรงสร้างเหล่านั้นและการดูแลพวกมันให้ดี ในเมื่อเจ้าได้เลือกที่จะเก็บพวกมันไว้ เจ้าก็ต้องลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า พวกสัตว์เลี้ยงต้องได้รับการดูแลรักษาโดยพวกมนุษย์ พวกมันไม่เหมือนสัตว์ป่าที่ไม่จำเป็นต้องมีเจ้าคอยดูแล การดูแลและความเคารพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เจ้าสามารถแสดงออกมาต่อสัตว์ป่าก็คือการตั้งใจหลีกเลี่ยงที่จะไม่ทำลายแหล่งอาศัยของพวกมัน รวมทั้งไม่ล่าหรือฆ่าพวกมัน ส่วนพวกสัตว์ปีก ปศุสัตว์หรือสัตว์เลี้ยงในครัวเรือนที่ผู้คนสามารถเลี้ยงไว้ในบ้านของตัวเอง ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะเก็บพวกมันไว้ เจ้าก็ควรลุล่วงหน้าที่ของเจ้า นั่นก็คือ จงอยู่เป็นเพื่อนพวกมันสักเล็กน้อยยามที่เจ้ามีเวลาโดยขึ้นอยู่กับสภาพการณ์แวดล้อมของเจ้า และหากเจ้ามีธุระยุ่ง ก็แค่ต้องมั่นใจว่าพวกมันมีกินและสุขสบาย ในแก่นแท้นั้นเจ้าควรทะนุถนอมพวกมัน การทะนุถนอมพวกมันหมายถึงอะไร? ให้ความเคารพชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างไว้และใส่ใจดูแลสิ่งทรงสร้างที่พระองค์ทรงสร้างไว้ จงทะนุถนอมและใส่ใจดูแลพวกมัน นี่ไม่ใช่การกุศล นี่เป็นการปฏิบัติต่อพวกมันอย่างถูกควร นี่ใช่หลักธรรมประการหนึ่งหรือไม่? (ใช่) นี่ไม่ใช่การร่วมทำการกุศล การกุศลอ้างอิงถึงสิ่งใด? การนี้ไม่เกี่ยวกับการลุล่วงความรับผิดชอบหรือการทะนุถนอมชีวิต การนี้เกี่ยวกับการทำเกินขอบเขตความสามารถและพลังงานของเจ้า อีกทั้งทำให้สิ่งนี้เป็นอาชีพการงานของเจ้า นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับการอุ้มชูสัตว์เลี้ยง หากใครบางคนไม่สามารถแม้แต่จะรวบรวมความรักและความรับผิดชอบพื้นฐานเพื่อสัตว์เลี้ยงที่พวกเขาเก็บไว้ พวกเขาเป็นบุคคลประเภทใดหรือ? พวกเขามีความเป็นมนุษย์หรือไม่? (พวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์) อย่างน้อยที่สุดบุคคลนี้ก็ขาดความเป็นมนุษย์ ในความเป็นจริงนั้น สุนัขและแมวไม่เรียกร้องจากผู้คนมากนัก ไม่สำคัญว่าเจ้ารักพวกมันลึกซึ้งเพียงใดหรือเจ้าชอบพวกมันหรือไม่ อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ควรรับผิดชอบต่อการดูแลพวกมัน เจ้าควรให้อาหารพวกมันตามเวลา และหลีกเลี่ยงการปฏิบัติมิชอบต่อพวกมัน—นั่นก็มากพอแล้ว เจ้าควรจัดเตรียมอาหารหรือสถานการณ์ความเป็นอยู่ใดก็ตามที่เจ้าสามารถจับจ่ายได้โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของเจ้า ก็เท่านั้นเอง ภาวะทางการอยู่รอดของพวกมันไม่ต้องการอะไรมาก เจ้าแค่ควรละเว้นจากการปฏิบัติมิชอบต่อพวกมัน หากผู้คนไม่สามารถแม้แต่จะรวบรวมความรักเล็กๆ น้อยๆ นี้ได้ นั่นก็แสดงให้เห็นว่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขานั้นขาดพร่องเพียงใด การปฏิบัติมิชอบพ่วงมาด้วยสิ่งใด? การทุบตีและการก่นด่าพวกมันแบบไร้เหตุผล ไม่ให้อาหารพวกมันยามที่พวกมันจำเป็นต้องได้อาหาร ไม่พาพวกมันไปเดินเล่นยามที่พวกมันจำเป็นต้องเดิน และไม่ดูแลพวกมันยามที่พวกมันเจ็บป่วย หากเจ้าไม่มีความสุขหรืออารมณ์ไม่ดี เจ้าก็ระบายความโกรธใส่พวกมันโดยการทุบตีและก่นด่าพวกมัน เจ้าปฏิบัติต่อพวกมันในแบบที่ไม่ใช่มนุษย์ นี่คือการปฏิบัติมิชอบ หากเจ้าหลีกเลี่ยงการปฏิบัติมิชอบและแค่เพียงสามารถลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า นั่นก็พอแล้ว หากเจ้าไม่มีแม้แต่ความสงสารอันน้อยนิดนี้เพื่อลุล่วงหน้าที่ของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรเก็บสัตว์เลี้ยงไว้ เจ้าก็ควรปล่อยมันไป หาใครบางคนที่ชอบมันและให้พวกเขาดูแลมัน ให้โอกาสมันได้มีชีวิต เจ้าของสุนัขบางคนไม่สามารถละเว้นจากการปฏิบัติมิชอบต่อพวกมันได้ด้วยซ้ำ พวกเขาเก็บสุนัขไว้ด้วยจุดประสงค์เดียวคือเพื่อระบายความหงุดหงิดใจ โดยใช้สุนัขเหล่านี้เป็นช่องทางระบายยามที่พวกเขาอารมณ์ไม่ดีหรือจิตใจตกต่ำและจำเป็นต้องระบายความขุ่นมัวออกมา พวกเขาไม่กล้าทุบตีหรือก่นด่าบุคคลอื่น พวกเขากลัวผลที่ตามมาและการรับผิดที่พวกเขาจะต้องแบกรับ พวกเขาบังเอิญมีสัตว์เลี้ยงอยู่ที่บ้าน เป็นสุนัขตัวหนึ่ง พวกเขาจึงระบายความหงุดหงิดใส่สุนัขตัวนั้น เพราะถึงอย่างไรแล้วมันก็ไม่เข้าใจและจะไม่กล้าที่จะขัดขืน คนเช่นนั้นขาดความเป็นมนุษย์ แล้วก็ยังมีผู้คนที่เก็บสุนัขและแมวไว้แต่ไม่สามารถลุล่วงความรับผิดชอบของตนได้อีกด้วย หากเจ้าไม่ชอบมันก็อย่าเก็บสัตว์เลี้ยงไว้ แต่หากเจ้าเลือกที่จะเก็บมันไว้ เจ้าก็ควรลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า มันมีชีวิตของมันและมีความต้องการที่จำเป็นทางด้านอารมณ์ มันจำเป็นต้องได้รับน้ำยามที่กระหายและได้อาหารยามที่หิวโหย มันยังจำเป็นต้องอยู่ใกล้ชิดกับผู้คนและได้รับการปลอบโยนจากผู้คนอีกด้วย หากเจ้าอารมณ์ไม่ดีและเจ้าพูดว่า “ฉันไม่มีเวลาจะสนใจแก ไปให้พ้น!”—นั่นไม่ใช่การปฏิบัติที่ดีต่อสัตว์เลี้ยง ในการนี้มีมโนธรรมหรือเหตุผลอยู่หรือไม่? (ไม่) บางคนพูดว่า “คุณอาบน้ำให้สุนัขและแมวของคุณครั้งสุดท้ายไปนานเท่าไรแล้ว? พวกมันสกปรกเหลือเกิน!” “อืม อาบน้ำให้พวกมันหรือ? ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครจะอาบน้ำให้ฉัน ไม่เห็นมีใครสนใจเลยว่าฉันอาบน้ำครั้งสุดท้ายไปตั้งหลายวันแล้ว!” นี่ใช่มนุษยธรรมหรือนี่สะท้อนความรู้สึกนึกคิดแบบมนุษย์แต่อย่างใดหรือไม่? (ไม่) ไม่สำคัญว่าพวกเขากำลังอารมณ์ดีหรือไม่ แต่เวลาที่แมวหรือสุนัขมาคลอเคลียถูไถและรักใคร่ในตัวพวกเขา พวกเขาก็แค่เอาเท้าเตะมันไปให้พ้นพลางพูดว่า “ไปให้พ้นไอ้ตัวน่ารำคาญ! มีแต่เรื่องเดือดร้อนตลอดเวลาที่แกมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เหมือนพวกคนทวงหนี้ไม่มีผิด แกก็แค่อยากดื่มหรือกินอะไรสักอย่าง ฉันไม่มีอารมณ์จะเล่นกับแก!” หากเจ้าไม่มีความเมตตาสงสารแม้แต่น้อยนิด เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรเก็บสัตว์เลี้ยงใดไว้เลย เจ้าควรปล่อยพวกมันไปทันที สุนัขหรือแมวตัวนั้นกำลังทนทุกข์เพราะเจ้า! เจ้าเห็นแก่ตัวเกินไปและไม่สมควรมีสัตว์เลี้ยง เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเก็บสุนัขหรือแมวไว้ อาหารและน้ำของพวกมันก็ขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่ของเจ้า เจ้าควรเข้าใจหลักธรรมนี้ เหตุใดเจ้าจึงแข่งขันเปรียบเทียบกับพวกสัตว์? เจ้าพูดว่า “ไม่มีใครอาบน้ำให้ฉัน ใครล่ะที่จะอาบน้ำให้ฉัน?” ใครล่ะจะอาบน้ำให้เจ้า? เจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าก็ควรอาบน้ำเอง เจ้าสามารถดูแลตัวเองได้ แต่สุนัขและแมวจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากเจ้าเพราะเจ้ากำลังอุ้มชูพวกมัน และเพราะเจ้ากำลังอุ้มชูพวกมัน เจ้าจึงมีภาระผูกพันที่จะดูแลพวกมัน หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะลุล่วงภาระผูกพันนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่สมควรที่จะเก็บพวกมันไว้ จำเป็นอะไรที่จะต้องไปเปรียบเทียบแข่งขันกับพวกมัน? เจ้าถึงกับพูดว่า “ฉันดูแลแก แต่ใครกำลังดูแลฉันหรือ? พอแกใจคอไม่ดี แกก็มาให้ฉันปลอบ พอฉันรู้สึกจิตตก ใครปลอบโยนฉันหรือ?” เจ้าไม่ใช่มนุษย์หรอกหรือ? มนุษย์ควรควบคุมตัวเองได้และปรับตัวเองได้ สุนัขและแมวนั้นเรียบง่ายกว่ามากนัก พวกมันไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ พวกมันจึงจำเป็นต้องให้มนุษย์ช่วยปลอบโยนพวกมัน นี่คือความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างวิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อสัตว์และการทำการกุศล หลักธรรมสำหรับวิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อสัตว์คืออะไร? จงทะนุถนอมชีวิต ให้ความเคารพชีวิต และไม่ปฏิบัติมิชอบต่อพวกมัน ในการจัดการสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างไว้นั้น จงรักษากฎธรรมชาติของพวกมัน ปฏิบัติต่อสิ่งทรงสร้างนานาที่พระเจ้าทรงสร้างอย่างถูกต้องไปตามธรรมบัญญัติทั้งหลายที่พระเจ้าทรงจัดตั้งไว้ ดำรงสัมพันธภาพที่ถูกควรกับสิ่งทรงสร้างทุกประเภท และไม่ทำลายหรือทำให้ถิ่นอาศัยของพวกมันพังพินาศไป เหล่านี้คือหลักธรรมสำหรับการให้ความเคารพและการทะนุถนอมชีวิต อย่างไรก็ตาม หลักธรรมสำหรับการให้ความเคารพและการทะนุถนอมชีวิตนั้นไม่เกี่ยวกับการทำการกุศล นี่คือหลักธรรมจากท่ามกลางกฎจักรวาลทั้งหลายที่พระเจ้าทรงตั้งไว้ ซึ่งทุกสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรยึดปฏิบัติตาม แต่การทำตามหลักธรรมนี้ก็ไม่เท่ากับการทำการกุศล
แต่บางคนถามว่า “ทำไมพระเจ้าถึงไม่ให้พวกเราทำการกุศลในลักษณะของอาชีพการงาน? ถ้าพระองค์ไม่ทรงยอมให้พวกเราทำการกุศล เช่นนั้นอะไรที่ควรทำกับผู้คนเหล่านั้นหรือสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือในสังคม? ใครจะมาช่วยเหลือพวกเขา?” การที่ใครจะมาช่วยเหลือพวกเขาเกี่ยวอะไรกับเจ้าหรือ? (นั่นไม่เกี่ยวกับพวกเราเลย) เจ้าก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของมนุษยชาติไม่ใช่หรือ? นั่นมีอะไรเกี่ยวกับเจ้าหรือไม่? (ไม่ นั่นไม่ใช่ภารกิจของเหล่ามนุษย์) ใช่แล้ว นั่นไม่ใช่ภารกิจของเจ้า และนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้า ภารกิจของเจ้าคืออะไรหรือ? เพื่อลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้าง จงฟังพระวจนะของพระเจ้า นบนอบพระวจนะของพระเจ้า ยอมรับความจริงเพื่อบรรลุความรอด ทำสิ่งที่พระเจ้าตรัสบอกให้เจ้าทำ และอยู่ห่างจากสิ่งที่พระเจ้าตรัสบอกเจ้าไม่ให้ทำ ใครจะดูแลเรื่องที่เกี่ยวกับการกุศล? ใครจะดูแลเรื่องเหล่านั้นก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า ไม่ว่าในกรณีใด เจ้าไม่ได้ได้ถูกกำหนดให้ดูแลหรือกังวลเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น ไม่ว่านั่นจะเป็นรัฐบาลหรือองค์กรชุมชนสารพัดที่รับมือกับเรื่องของการกุศล นี่ไม่ใช่หัวข้อที่พวกเรากังวล พูดสั้นๆ ก็คือบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงควรใช้การเดินตามทางของพระเจ้าและน้ำพระทัยของพระองค์เป็นเกณฑ์ประเมิน เป็นเป้าหมายของการปฏิบัติ และเป็นทิศทางของตน นี่คือบางสิ่งที่ผู้คนควรเข้าใจ และนี่คือความจริงนิรันดร์ที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แน่นอนว่าการทำบางสิ่งเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นเป็นครั้งคราวนั้นไม่ใช่อาชีพการงาน นั่นเป็นการกระทำตามวาระโอกาสและพระเจ้าก็ไม่ทรงถือสาเจ้า บางคนถามว่า “พระเจ้าไม่ทรงรำลึกถึงสิ่งเช่นนั้นหรือ?” พระเจ้าไม่ทรงรำลึกถึงสิ่งเช่นนั้น หากครั้งหนึ่งเจ้าเคยให้เงินขอทานหรือใครบางคนที่ไม่มีค่ารถกลับบ้าน หรือเคยช่วยเหลือบุคคลไร้บ้านคนหนึ่ง หากเจ้าทำบางสิ่งแบบนี้เป็นครั้งคราว หรือแค่ไม่กี่ครั้งในชั่วชีวิตของเจ้าด้วยซ้ำ เช่นนั้นแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้า พระองค์ทรงรำลึกถึงสิ่งเช่นนั้นหรือ? ไม่ พระเจ้าไม่ทรงรำลึกถึงสิ่งเช่นนั้น แล้วถ้าอย่างนั้น พระเจ้าทรงประเมินค่าการกระทำเหล่านี้อย่างไร? พระเจ้าไม่ทรงรำลึกถึงหรือกล่าวโทษการกระทำเหล่านี้—พระองค์ไม่ทรงประเมินค่าการกระทำเหล่านี้ เหตุใดเล่า? การกระทำเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับการไล่ตามเสาะหาความจริง การกระทำเหล่านี้เป็นการกระทำส่วนบุคคลที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเดินตามทางของพระเจ้าหรือการดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระองค์ หากเจ้าเต็มใจทำสิ่งเหล่านั้นเป็นการส่วนตัว หากเจ้าทำบางสิ่งที่ดีจากเจตจำนงอันดีที่พลุ่งพล่านขึ้นมาชั่ววูบ หรือจากการที่มโนธรรมของเจ้ากระตุ้นเตือนขึ้นมาชั่วคราว หรือหากเจ้าทำบางสิ่งที่ดีในอึดใจที่มีความกระตือรือร้นหรือมีแรงผลักดัน ไม่ว่าเจ้าจะรู้สึกเสียใจในภายหลังหรือไม่ ไม่ว่าเจ้าจะได้รับบำเหน็จรางวัลหรือไม่ นั่นก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเดินตามทางของพระเจ้าหรือการดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระเจ้าไม่ทรงรำลึกถึงการนั้น และพระองค์ก็ไม่ทรงกล่าวโทษเจ้าเพราะการนั้น การที่พระเจ้าไม่ทรงรำลึกถึงการนั้นหมายความว่าอย่างไร? นั่นหมายความว่าพระเจ้าจะไม่ทรงยกเว้นเจ้าจากการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ตลอดครรลองแห่งความรอดของเจ้าเพราะการที่เจ้าเคยทำสิ่งนี้ อีกทั้งพระองค์ก็จะไม่ทรงยกเว้นและยอมให้เจ้าได้รับการช่วยให้รอดเพราะการที่เจ้าได้ทำความประพฤติที่ดีหรือที่เป็นกุศลบางอย่าง การที่พระเจ้าไม่ทรงกล่าวโทษเจ้าหมายความว่าอย่างไรหรือ? นั่นหมายความว่าความประพฤติดีเหล่านี้ที่เจ้าทำไปนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงเลย ความประพฤติเหล่านี้เป็นตัวแทนพฤติกรรมที่ดีของตัวเจ้าเองเท่านั้น ความประพฤติเหล่านี้ไม่ขัดต่อกฎการปกครองของพระเจ้าและไม่ก้าวล่วงผลประโยชน์ของผู้ใด แน่นอนว่าความประพฤติเหล่านี้ก็ไม่สร้างความอัปยศให้แก่พระนามของพระเจ้าเช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงการถวายพระสิริแก่พระนามของพระองค์ ความประพฤติเหล่านี้ไม่ละเมิดข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและไม่เกี่ยวกับการขัดเจตนารมณ์ของพระเจ้า อีกทั้งไม่เกี่ยวกับการกบฏต่อพระเจ้าอย่างแน่นอน ผลที่ตามมาก็คือ พระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษเจ้าเพราะความประพฤติเหล่านี้ซึ่งก็แค่แสดงถึงความประพฤติดีส่วนตัวประเภทหนึ่งเท่านั้นเอง แม้ความประพฤติดีทั้งหลายดังกล่าวอาจได้รับการสรรเสริญจากทางโลกและได้รับการยอมรับจากสังคม แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว ความประพฤติเหล่านี้ไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับความจริงเลย พระเจ้าไม่ทรงรำลึกถึงความประพฤติเหล่านี้และพระองค์ก็ไม่กล่าวโทษคนคนหนึ่งเพราะความประพฤติเหล่านี้ ซึ่งก็หมายความว่า การกระทำเหล่านี้ไม่สำคัญอะไรนักเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า กระนั้นก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่อย่างหนึ่งคือ หากเจ้าช่วยใครบางคนให้รอดและให้การช่วยเหลือทางการเงินกับพวกเขา หรือให้การช่วยเหลือทางวัตถุบางรูปแบบ หรือถึงกับเสนอการช่วยเหลือพวกเขาทางอารมณ์ความรู้สึก และเจ้าก็ทำให้คนชั่วนั่นสามารถประสบความสำเร็จในความพยายามของพวกเขา เปิดโอกาสให้พวกเขาก่ออาชญากรรมมากขึ้น อีกทั้งคุกคามสังคมและมนุษยชาติ ส่งผลให้เกิดความสูญเสียบางอย่าง เช่นนั้นก็จะเป็นคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง ในกรณีที่เป็นการกระทำเชิงการกุศลธรรมดา มุมมองของพระเจ้าก็คือว่า พระองค์ทั้งไม่ทรงรำลึกถึงและไม่กล่าวโทษการนั้น แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ไม่ทรงรำลึกถึงและไม่กล่าวโทษการนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า พระเจ้าทรงเกื้อหนุนหรือหนุนใจเจ้าให้ร่วมทำงานการกุศล ไม่ว่าจะอย่างไรเจ้าก็ยังถูกหวังว่าจะไม่ลงทุนพลังงาน เวลาและเงินทองไปกับเรื่องทั้งหลายที่ไม่เกี่ยวกับความรอดอย่างสิ้นเชิงหรือการปฏิบัติความจริงและการทำหน้าที่ของตน เพราะเจ้ามีสิ่งที่สำคัญกว่าให้ทำ เวลา พลังงานและชีวิตของเจ้าไม่ได้ถูกหมายให้ทำงานการกุศล และก็ไม่ได้ถูกหมายให้อวดแสดงบุคลิกลักษณะหรือเสน่ห์ดึงดูดส่วนตัวของเจ้าผ่านอาชีพการงานในด้านการกุศล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพวกที่เปิดโรงงาน บริหารโรงเรียน หรือดำเนินกิจการโดยมีจุดประสงค์เพื่อจัดเตรียมสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับผู้คนที่ขาดแคลนให้มากขึ้นหรือช่วยให้คนเหล่านั้นทำอุดมการณ์ของตนให้เป็นจริง คนพวกนั้นทำสิ่งเหล่านี้เพื่อช่วยคนจน หากเจ้าเลือกช่วยเหลือคนจนผ่านวิธีการเหล่านี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นย่อมจะผลาญเวลาและพลังงานของเจ้าอย่างมีนัยสำคัญ เจ้าจะจบลงด้วยการใช้เวลากับพลังงานจำนวนไม่น้อยในชีวิตของเจ้าหมดไปกับเหตุนี้ แล้วผลที่ตามมาก็คือเจ้าจะมีเวลาน้อยในการไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าอาจจะไม่มีเวลาไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยซ้ำ และเจ้าก็จะไม่มีโอกาสทำหน้าที่ของตัวเองเป็นแน่ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าจะผลาญพลังงานของเจ้าหมดไปกับผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายที่ไม่เกี่ยวกับความจริงหรืองานคริสตจักร นี่เป็นพฤติกรรมที่โง่เขลา พฤติกรรมที่โง่เขลานี้มีเหตุผลหลักมาจากการที่คนบางคนต้องการเปลี่ยนโชคชะตามนุษย์และเปลี่ยนโลกผ่านทางเจตนารมณ์ที่ดีของตัวเองกับความสามารถอันจำกัดไม่กี่อย่างเสมอ พวกเขาปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของมนุษย์ผ่านทางความพยายามและเจตจำนงที่ดีของตัวเอง นี่เป็นความอุตสาหะพยายามอันโง่เขลา ในเมื่อนี่เป็นความอุตสาหะพยายามอันโง่เขลา ก็จงอย่าเอามาเป็นภาระหน้าที่ แน่นอนว่าหลักฐานยืนยันการที่เจ้าไม่รับการนั้นมาเป็นภาระหน้าที่ก็คือ การที่เจ้าเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง การที่เจ้าปรารถนาจะไล่ตามเสาะหาความจริงและความรอด หากเจ้าพูดว่า “ฉันไม่สนใจความรอด และการไล่ตามเสาะหาความจริงก็ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นสำหรับฉัน” เช่นนั้นเจ้าก็ทำไปตามที่เจ้าชอบได้เลย เมื่อคำนึงถึงเรื่องของการกุศล หากนั่นเป็นอุดมการณ์และการไล่ตามไขว่คว้าของเจ้า หากเจ้าเชื่อว่านั่นเป็นวิธีแสดงออกของคุณค่าของเจ้า เชื่อว่าการกุศลเป็นสิ่งเดียวที่สามารถสื่อคุณค่าของชีวิตเจ้า เช่นนั้นก็จงทำตามนั้นได้เลย เจ้าสามารถใช้ทักษะและความสามารถใดก็ได้ที่เจ้ามี ไม่มีใครกำลังเหนี่ยวรั้งเจ้า ข้อสนับสนุนสำหรับการไม่ร่วมทำกิจธุระเพื่อการกุศลที่พวกเรากำลังสามัคคีธรรมกันอยู่ตรงนี้ก็คือว่า ในเมื่อเจ้าปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและความรอด เจ้าก็ควรปล่อยมือจากอุดมการณ์และความอยากที่จะทำการกุศล จงอย่าไล่ตามไขว่คว้าการนั้นในฐานะที่เป็นอุดมการณ์และความพึงปรารถนาของชีวิตเจ้า จงอย่าร่วมทำกิจธุระนี้ในชีวิตส่วนตัว และพระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่ร่วมทำกิจธุระนี้เช่นกัน แน่นอนว่าในพระนิเวศของพระเจ้ามีอยู่สถานการณ์เดียวคือ การดูแลชีวิตในครัวเรือนของพี่น้องชายหญิงที่ขาดแคลนบางคน การนี้มาพร้อมกับข้อสนับสนุน เราคิดว่าพวกเจ้าทุกคนตระหนักถึงข้อสนับสนุนนี้ที่ว่า การนี้ไม่ใช่การกุศล นี่เป็นการจัดการเตรียมงานภายในพระนิเวศของพระเจ้าเกี่ยวกับชีวิตของพี่น้องชายหญิง การนี้ไม่เกี่ยวกับการร่วมทำการกุศล ในพระนิเวศของพระเจ้านั้น นอกจากการไม่ร่วมทำการกุศลแล้ว ก็ยังมีการไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมเชิงการกุศลอันใดของสังคม ตัวอย่างเช่น พระนิเวศของพระเจ้าไม่สร้างโรงเรียน เปิดโรงงาน หรือดำเนินธุรกิจ หากผู้ใดก็ตามเปิดโรงงาน สร้างโรงเรียน ดำเนินธุรกิจหรือเข้าร่วมในกิจกรรมเชิงพานิชย์อันใดในนามของการสร้างความมั่นคงให้กับทรัพยากรทางเศรษฐกิจเพื่อปฏิบัติการที่เป็นปกติของงานคริสตจักร ทั้งหมดนี้ขัดต่อกฎการปกครองแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและควรถูกหยุดยั้ง แล้วแหล่งการเงินสำหรับปฏิบัติการของงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้ามาจากไหนหรือ? พวกเจ้ารู้หรือไม่? นั่นมาจากการการบริจาคของพี่น้องชายหญิง จากของถวายเพื่อค้ำชูปฏิบัติการที่เป็นปกติของของงาน นี่แสดงนัยอะไรหรือ? เงินที่พี่น้องชายหญิงบริจาค ของบริจาคแด่พระเจ้าของพวกเขานั้นเป็นของถวาย แล้วของถวายมีประโยชน์อะไร? ของถวายมีไว้เพื่อคุ้มกันปฏิบัติการที่เป็นปกติแห่งงานของคริสตจักร แน่นอนว่ามีค่าใช้จ่ายนานาประการที่เกี่ยวเนื่องกับปฏิบัติการปกตินี้ และค่าใช้จ่ายเหล่านี้ควรถูกบริหารจัดการไปตามหลักธรรมและไม่ควรละเมิดหลักธรรมเหล่านี้ ผลสืบเนื่องก็คือ เมื่องานของคริสตจักรไปเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาทางการเงิน อีกทั้งผู้นำกับคนทำงานบางคนก็ผลาญของถวายและก่อให้เกิดการสูญเสียที่สำคัญต่อของถวายเหล่านั้น พระนิเวศของพระเจ้าก็จะใช้การลงโทษที่รุนแรงกับพวกเขา เหตุใดจึงจะมีการลงโทษที่รุนแรง? เหตุใดจึงไม่มีใครที่ผลาญของถวายรอดพ้นจากการลงโทษที่รุนแรงเลย? (เพราะของถวายของพระเจ้าถูกมอบแด่พระเจ้าโดยพี่น้องชายหญิง และพระเจ้าเท่านั้นที่อาจชื่นชมยินดีกับของถวายเหล่านั้นได้ ในอีกแง่หนึ่งก็คือ ของถวายเหล่านี้ถูกหมายให้ใช้เพื่อดำรงปฏิบัติการที่ถูกควรของงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า หากพวกผู้นำหรือคนทำงานผลาญของถวาย นั่นก็จะนำไปสู่การที่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้รับผลกระทบและประสบกับการสูญเสีย นี่ขัดขวางและก่อกวนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ดังนั้นพระนิเวศของพระเจ้าจึงต้องนำการลงโทษที่รุนแรงมาใช้) จงบอกเราทีว่าพระนิเวศของพระเจ้าควรนำการลงโทษที่รุนแรงมาใช้หรือไม่? (ควร) เหตุใดพระนิเวศจึงควรทำเช่นนั้น? เหตุใดพระนิเวศจึงต้องนำการลงโทษที่รุนแรงมาใช้? (การผลาญของถวายเป็นพฤติกรรมของพวกศัตรูของพระคริสต์ ท่าทีที่บุคคลหนึ่งมีต่อของถวายสะท้อนให้เห็นท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้า หากบุคคลนี้ผลาญของถวายได้ นั่นก็บ่งชี้ว่าพวกเขาไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าโดยสิ้นเชิง) เจ้าได้พูดครอบคลุมไปเพียงแง่มุมเดียวของการนี้ ยังคงมีหลักธรรมสำคัญมากมายอยู่ภายในการนี้ที่พวกเราต้องสามัคคีธรรมกัน
จงบอกเราที เหตุใดผู้คนที่ผลาญของถวายจึงต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง? พวกเราจะสามัคคีธรรมกันถึงเรื่องนี้กันตอนนี้ ก่อนอื่นพวกเรามาเสวนากันว่าของถวายของพระเจ้าเกิดขึ้นอย่างไร พี่น้องชายหญิงทุกคนรู้ว่าของถวายของพระเจ้าถูกมอบให้พระเจ้าโดยประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร ตามกฎระเบียบในพระคัมภีร์นั้น ผู้คนควรมอบหนึ่งในสิบของรายได้ของพวกเขา กระนั้นก็แน่อยู่แล้วว่า ทุกวันนี้ผู้คนมากมายบริจาคมากกว่าแค่หนึ่งในสิบ และคนร่ำรวยบางคนก็บริจาคมากกว่าหนึ่งในสิบ นอกจากนั้น สำหรับพี่น้องชายหญิงที่ยากจนบางคนซึ่งมอบหนึ่งสิบ เงินของพวกเขามาจากไหน? มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเลยที่ออมเงินนั่นโดยการดำรงชีพอย่างกระเหม็ดกระแหม่ อย่างเช่นในชนบทและในพื้นที่นอกเมือง บางคนมอบหนึ่งในสิบของรายได้ที่พวกเขาได้จากการขายข้าว บ้างก็จากการขายไข่ไก่ และบ้างก็จากการขายแพะและไก่ ผู้คนมากมายใช้ชีวิตอย่างกระเหม็ดกระแหม่เพื่อที่จะมอบหนึ่งในสิบส่วนหรือมากกว่านั้น—เงินนี้มาจากตรงนั้นเอง ผู้คนส่วนใหญ่รู้ว่าเงินนี้ได้มายาก แล้วเหตุใดพี่น้องชายหญิงจึงบริจาค? นั่นถูกกำหนดโดยพระนิเวศของพระเจ้าหรือ? นั่นเป็นว่าหากไม่มีการบริจาค ความรอดก็เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นหรือ? นั่นสอดคล้องกับกฎระเบียบของพระคัมภีร์หรือ? หรือว่านั่นก็เพื่อเกื้อหนุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า โดยคิดว่างานแห่งพระนิเวศของพระเจ้ามีนัยสำคัญและไม่อาจทำได้โดยปราศจากเงินทุน และดังนั้นพวกเขาจึงควรให้มากขึ้นอย่างนั้นหรือ? นี่เป็นเหตุผลเดียวเท่านั้นของพวกเขาใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) เช่นนั้นเหตุใดพี่น้องชายหญิงจึงบริจาค? เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาใสซื่อ? หรือว่าพวกเขามีเงินเหลือเก็บ? พวกเขากำลังบริจาคเงินพิเศษหรือบริจาคเงินที่พวกเขาไม่เคยสามารถได้ใช้? การบริจาคเหล่านี้กำลังถูกมอบให้แก่ใคร? (ให้แก่พระเจ้า) เหตุใดผู้คนจึงบริจาค? จงลืมเรื่องอื่นไปก่อน เหตุผลพื้นฐานที่สุดที่ผู้คนมากมายบริจาคก็คือ พวกเขายอมรับรู้พระราชกิจของพระเจ้า พระเจ้าตรัสและทรงพระราชกิจเพื่อจัดเตรียมชีวิตและความจริงให้กับผู้คนและเพื่อนำทางผู้คนโดยไม่มีค่าตอบแทน เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้คนก็ควรถวายหนึ่งในสิบของสิ่งที่พวกเขาหามาได้ นี่คือของถวาย ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา พระเจ้าได้ทรงอวยพรผู้คนด้วยอาหาร น้ำ และสิ่งจำเป็นพื้นฐานของชีวิตและพระองค์ได้ทรงตระเตรียมทุกสิ่งเพื่อพวกเขา เมื่อผู้คนสามารถชื่นชมยินดีกับทั้งหมดนี้ พวกเขาก็ควรถวายหนึ่งในสิบของสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบแก่พวกเขาคืนสู่แท่นบูชา เป็นตัวแทนของส่วนที่มนุษย์คืนให้กับพระเจ้า และเปิดโอกาสให้พระเจ้าได้ชื่นชมยินดีกับการเก็บเกี่ยวของพวกเขา นี่เป็นของกำนัลด้วยเสน่หาที่ผู้คนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีและถวายออกมา นอกจากแง่มุมนี้ก็มีอีกแง่มุมหนึ่ง บางคนพูดว่า “พระราชกิจของพระเจ้ายิ่งใหญ่เหลือเกิน ตัวฉันทำตามลำพังไม่ได้มากนักหรอก ดังนั้นฉันจะมอบของถวายส่วนของฉันก็แล้วกัน” พวกเขาแสดงให้เห็นการเกื้อหนุนของตนที่มีต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าในหนทางนี้และทำตัวเป็นผู้ให้การสนับสนุน ไม่สำคัญว่าของบริจาคเหล่านี้มีแหล่งที่มาจากไหนหรือมีจำนวนเท่าไร แต่มีผู้คนมากมายท่ามกลางพวกเขาที่ออมเงินของตนผ่านทางการดำรงชีพอันกระเหม็ดกระแหม่ กล่าวสั้นๆ ก็คือ หากไม่ใช่เพื่อพระเจ้าหรือเพื่อพระราชกิจของพระองค์ หากมีเพียงคริสตจักรและองค์กรและสมาคมมนุษย์เหล่านี้ เช่นนั้นของบริจาคของผู้คนก็จะไม่มีคุณค่าหรือนัยสำคัญเลย เพราะหากปราศจากพระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ ของบริจาคเหล่านั้นก็ไม่มีประโยชน์ แต่เมื่อมีการที่พระเจ้าตรัสและทรงพระราชกิจ มีความก้าวหน้าแห่งพระราชกิจของพระเจ้าที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ของบริจาคและของถวายเหล่านี้ย่อมกลายเป็นสำคัญมากเป็นพิเศษ เหตุผลที่ของบริจาคและของถวายเหล่านี้สำคัญมากเป็นพิเศษก็คือการที่เงินบริจาคนี้ถูกใช้เพื่องานของคริสตจักร และไม่ควรถูกยักยอก ฉกชิง ใช้ผิดประเภทหรือถึงกับผลาญจนหมดโดยพวกที่มีเจตนามิชอบ เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ? (ใช่) ในเมื่อการนี้สำคัญมาก ทุกบาททุกสตางค์ก็ควรถูกใช้ไปในด้านที่เป็นหัวใจสำคัญ ไม่มีสิ่งใดที่ควรถูกผลาญจนหมดหรือใช้อย่างขาดความรับผิดชอบ ผลที่ตามมาก็คือ สำหรับพวกที่ผลาญ ใช้ผิดประเภท ฉกฉวย หรือยักยอกของบริจาคหรือของถวาย พวกเราต้องรับมือกับพวกนั้นแบบพิเศษและลงโทษพวกเขาให้รุนแรง เพราะของบริจาคและของถวายเหล่านี้สำคัญยิ่งยวดสำหรับพระราชกิจของพระเจ้า และการคำนึงถึงจุดประสงค์เบื้องหลังการที่พี่น้องชายหญิงมอบเงินนี้และของถวายเหล่านี้ ของบริจาคเหล่านี้ควรถูกจัดสรรไปในพื้นที่ซึ่งวิกฤติที่สุด ทุกบาททุกสตางค์ควรถูกใช้ไปด้วยหลักธรรมและสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ ไม่ควรถูกล้างผลาญ และไม่ควรถูกฉกฉวยโดยพวกคนชั่ว นี่คือแง่มุมหนึ่ง นอกเหนือจากนี้ ไม่สำคัญว่าของบริจาคนั้นใหญ่หรือเล็ก นั่นก็มาจากการบริจาคของพี่น้องชายหญิง แหล่งที่มาของเงินนี้ไม่ได้มาจากการที่คริสตจักรร่วมทำกิจกรรมเชิงพานิชย์ เปิดธุรกิจหรือดำเนินโรงงานเพื่อได้มาซึ่งผลกำไรจากสังคม นั่นไม่ได้มาจากเงินปันผลที่ได้จากการผลิตบางสิ่ง นั่นไม่ได้มาจากเงินปันผลหรือรายได้ของคริสตจักร แต่จากการบริจาคของผู้คน พูดแบบเรียบง่ายก็คือการบริจาคเป็นบางสิ่งที่พี่น้องชายหญิงถวายให้พระเจ้า เงินที่ถูกถวายให้พระเจ้าก็ควรเป็นของพระเจ้า เงินของพระเจ้าถูกใช้เพื่อสิ่งใดหรือ? บ้างก็พูดว่า “เงินและของถวายของพระเจ้าถูกใช้สำหรับความชื่นชมยินดีของพระเจ้า” ทั้งหมดนั่นเพื่อความชื่นชมยินดีของพระเจ้าหรือ? พระเจ้าทรงชื่นชมยินดีของเหล่านั้นได้มากเท่าไรหรือ? นั่นค่อนข้างมีขีดจำกัดใช่หรือไม่? ในช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่พักพิงและสิ่งจำเป็นทั้งหลายของพระองค์ ตลอดจนอาหารสามมื้อต่อวันของพระองค์ก็ธรรมดาทั่วไป และสิ่งที่พระองค์ชื่นชมยินดีก็มีขีดจำกัด แน่นอนว่านั่นค่อนข้างปกติ ประโยชน์หลักของของบริจาคและของถวายจากพี่น้องชายหญิงก็คือเพื่อดำรงปฏิบัติการที่เป็นปกติของงานแห่งคริสตจักร ไม่ใช่เพื่อสนองความอยากใช้จ่ายของผู้คนบางคน ของถวายไม่ใช่สำหรับให้ผู้คนใช้จ่ายและไม่ใช่ให้ผู้คนใช้ นั่นไม่ใช่ว่าใครก็ตามที่บริหารจัดการการเงินมีสิทธิที่จะใช้เงินนี้ก่อนใคร หรือว่าใครก็ตามที่เป็นผู้นำมีสิทธิอำนาจพิเศษที่จะจัดสรรกองทุน ไม่สำคัญว่าบุคคลใดนำของบริจาคมาใช้ ของบริจาคก็ควรถูกใช้ไปตามหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้าตั้งไว้ นั่นคือหลักธรรม ดังนั้นอะไรคือธรรมชาติของการที่คนเราละเมิดหลักธรรมนี้? พวกเขาฝ่าฝืนกฎการปกครองไม่ใช่หรือ? (ใช่) เหตุใดจึงพูดว่าพวกเขาได้ฝ่าฝืนกฎการปกครอง? ของถวายที่ผู้คนถวายให้พระเจ้านั้นหมายให้เป็นความชื่นชมยินดีของพระเจ้า แล้วพระเจ้าทรงใช้ของเหล่านั้นอย่างไร? พระเจ้าทรงใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่องานของคริสตจักร เพื่อดำรงปฏิบัติการปกติของงานของคริสตจักร นี่เป็นหลักธรรมที่พระเจ้าทรงนำของถวายมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ถึงอย่างนั้นพวกศัตรูของพระคริสต์และพวกคนชั่วก็ไม่ใช้ของถวายไปในลักษณะนี้ พวกเขาล้างผลาญ ใช้อย่างสิ้นเปลืองและบุ่มบ่ามบริจาคของเหล่านี้ โดยละเมิดหลักธรรมนี้อย่างโจ่งแจ้งเพื่อที่จะใช้ของถวายเหล่านี้ นี่ไม่ใช่การฝ่าฝืนกฎการปกครองหรอกหรือ? พระเจ้าได้ทรงยอมให้เจ้าใช้ของเหล่านั้นในหนทางนี้หรือ? พระองค์ได้ทรงให้สิทธิเจ้าใช้ของเหล่านั้นในหนทางนี้หรือ? พระองค์ได้ทรงบอกให้เจ้าใช้ของเหล่านั้นในหนทางนี้หรือ? พระองค์ไม่ได้ทรงบอกใช่หรือไม่? เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงกำลังใช้ของเหล่านั้นในหนทางนี้อย่างบุ่มบ่ามและสิ้นเปลืองนัก? นี่กำลังฝ่าฝืนหลักธรรม! นี่ไม่ใช่หลักธรรมธรรมดา หลักธรรมนี้สัมพันธ์กับกฎการปกครอง เพราะของถวายเหล่านี้มิใช่ได้มาโดยผ่านทางการร่วมทำธุรกิจหรือกิจกรรมเชิงพานิชย์ แต่เป็นของบริจาคที่พี่น้องชายหญิงถวายให้กับพระเจ้า ผลที่ตามมาก็คือ ทุกการใช้จ่ายจำเป็นต้องถูกควบคุมใกล้ชิดและถูกบริหารจัดการอย่างเข้มงวดกวดขัน ไม่ควรมีการล้างผลาญหรือความสิ้นเปลือง การทำให้สิ้นเปลืองหรือการล้างผลาญเงินไม่ว่าจำนวนใดไม่เพียงนำไปสู่ความเสียหายที่มีนัยสำคัญในงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดการสูญเสียทางการเงินที่มีนัยสำคัญสำหรับพระนิเวศของพระเจ้า การล้างผลาญของถวายไม่ใช่แค่การล้างผลาญของถวาย แต่ยังแสดงให้เห็นการขาดความรับผิดชอบต่อความรักซึ่งแสดงออกมาในตอนที่พี่น้องชายหญิงบริจาค เพราะฉะนั้นพวกที่ล้างผลาญของถวายต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง จงตักเตือนพวกที่มีการก้าวล่วงที่เบากว่าและพร้อมกันนั้นก็เรียกร้องให้มีการชดใช้คืน ส่วนพวกที่มีการก้าวล่วงซึ่งรุนแรงกว่า นอกจากการชดใช้คืนแล้ว จำเป็นที่จะต้องขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไป มีเหตุผลเบื้องต้นอีกประการที่ทำไมการลงโทษอย่างรุนแรงจึงควรถูกนำมาบังคับใช้กับพวกที่ล้างผลาญของถวาย คริสตจักรแตกต่างอย่างเด่นชัดจากองค์กรทางสังคมใดๆ คริสตจักรถูกโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางประเทศและสภาพแวดล้อมทางสังคมไม่ว่าใดๆ ก็ตาม ถูกทอดทิ้งโดยโลกและมนุษยชาติ คริสตจักรไม่เพียงแต่ไม่สามารถได้รับการเกื้อหนุนหรือการคุ้มครองจากประเทศใดๆ เท่านั้น แต่ในเวลาเดียวกัน คริสตจักรก็ไม่อาจได้มาซึ่งการช่วยเหลือหรือสวัสดิการใดๆ จากรัฐอีกด้วย อย่างมากที่สุดในประเทศตะวันตก หลังการขึ้นทะเบียนและการจัดตั้งคริสตจักร การบริจาคที่ทำให้กับคริสตจักรนั้นได้รับการยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีส่วนบุคคล หรือวัสดุที่ถูกบริจาคมาสามารถใช้รับส่วนลดภาษีได้บ้าง นอกไปจากนี้แล้ว คริสตจักรก็ไม่สามารถรับสวัสดิการหรือการช่วยเหลือจากประเทศใดหรือภายใต้ระบบสังคมใดเลย หากชุมนุมชนของคริสตจักรกลายเป็นเล็กและไม่สามารถปฏิบัติการได้อีกต่อไป รัฐก็จะไม่มาให้การช่วยเหลือ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น รัฐกลับจะปล่อยให้คริสตจักรโรยราไปตามลำพัง เพราะคริสตจักรไม่ได้ผลิตรายได้ใดออกมาและไม่สามารถจ่ายภาษีอะไรให้กับรัฐได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าคริสตจักรจะดำรงอยู่หรือไม่ก็ไม่มีผลสืบเนื่องอะไรต่อรัฐ คริสตจักรพบว่าตัวเองอยู่ในสภาวะของความอยู่รอดเช่นนั้นไม่ว่าภายใต้ระบบสังคมใดก็ตาม จงบอกเราทีว่านี่ง่ายหรือไม่? (นี่ไม่ง่ายเลย) ใช่แล้ว นี่ไม่ง่ายจริงๆ คริสตจักรถูกสังคมและมนุษยชาติปฏิเสธ ไม่ได้รับการยอมรับหรือความเห็นใจ ไม่ต้องพูดถึงการเกื้อหนุนจากระบบสังคมใดๆ คริสตจักรดำรงอยู่ภายใต้ภาวะความอยู่รอดเหล่านี้ หากใครบางคนยังสามารถล้างผลาญของถวาย ยังสามารถใจจืดใจดำ เทเงินทิ้ง ไม่รับผิดชอบอันใด ทำให้หนึ่งแสนหยวนหายวับไปในอึดใจ ใช้จ่ายหนึ่งล้านหยวนราวกับนั่นเป็นแค่ตัวเลขโดยไม่ทันกระพริบตา โดยไม่รู้สึกตำหนิตัวเองแต่อย่างใด เจ้าคิดว่าบุคคลนั้นมีความเป็นมนุษย์หรือไม่? บุคคลเช่นนั้นสมควรแก่การสาปแช่งไม่ใช่หรือ? (ใช่) เมื่อรวมหลากหลายสภาพการณ์ที่แจงรายการไว้ด้านบน สำหรับพวกที่ล้างผลาญของถวาย พวกที่ทำให้สิ้นเปลือง หรือพวกที่ถึงขั้นเก็บงำเจตนามิชอบต่อของถวายไว้ โดยปรารถนาจะยักยอกของถวายหรือถ้าไม่กล้ายักยอก ก็ล้างผลาญให้หมดไปแทน ทั้งหมดนี้ควรถูกลงโทษอย่างรุนแรง ไม่ควรแสดงความปรานีต่อพวกเขา จงบอกเราทีว่านี่ใช่การเข้าจัดการที่ถูกต้องหรือไม่? (ใช่) เช่นนั้นหากในภายภาคหน้า พวกเจ้าได้รับโอกาสให้มีสิทธิอำนาจที่จะใช้ของถวาย พวกเจ้าจะประพฤติตนอย่างไร? หากพวกเจ้าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ หากพวกเจ้าล้างผลาญของถวายจนหมด เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาที่ทางคริสตจักรลงโทษพวกเจ้าอย่างรุนแรง พวกเจ้าจะมีข้อร้องทุกข์หรือข้อข้องใจอันใดหรือไม่? (ไม่มี) ดีแล้วที่พวกเจ้าจะไม่มีข้อข้องใจอันใด นั่นจะเป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ!
ส่วนพวกที่ผลาญของถวาย พวกเจ้าไม่เกลียดพวกเขาหรือ? พวกนั้นไม่ทำให้เจ้าโกรธหรือ? เจ้ากำกับดูแลหรือหยุดยั้งพวกเขาได้หรือไม่? การนี้ทำให้สิ่งทั้งหลายยากขึ้นไปอีก—นี่เป็นเวลาที่เจ้าจะต้องถูกทดสอบ หากมีใครบางคนรอบตัวเจ้าที่ล้างผลาญของถวายและดึงดันที่จะใช้เงิน 20,000 หยวนกับเครื่องจักรซึ่งสามารถซื้อได้ที่ 2,000 หยวน—ผู้ซึ่งต้องการซื้อเครื่องจักรที่ดีที่สุด ชั้นเลิศ ทันสมัยที่สุด และเป็นที่นิยมที่สุด ผู้ซึ่งต้องการใช้จ่ายเงินกับเครื่องจักรที่แพงที่สุดแค่เพราะเงินนั่นเป็นของพระนิเวศของพระเจ้าและไม่ได้ออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง—เจ้าสามารถหยุดยั้งพวกเขาได้หรือไม่? หากเจ้าหยุดพวกเขาไม่ได้ เจ้าเตือนพวกเขาได้หรือไม่? เจ้าสามารถรายงานพวกเขากับเบื้องสูงได้หรือไม่? หากเจ้าเป็นคนดูแลรับผิดชอบเรื่องการบริหารจัดการของถวาย เจ้าสามารถปฏิเสธไม่ลงชื่ออนุมัติในสถานการณ์นี้ได้หรือไม่? หากพวกเจ้าไม่สามารถทำสิ่งใดแบบนี้ได้เลย พวกเจ้าก็ควรถูกลงโทษอย่างรุนแรงเช่นกัน พวกเจ้าก็กำลังล้างผลาญของถวายอยู่เช่นกัน และเจ้ากำลังรู้เห็นเป็นใจกับคนชั่วนั่น เจ้าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับพวกเขา และพวกเจ้าทั้งคู่ควรถูกลงโทษอย่างรุนแรง หากใครคนหนึ่งสามารถล้างผลาญและขาดความรับผิดชอบต่อของถวาย ท่าทีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าย่อมเป็นลักษณะใดหรือ? ในหัวใจของพวกเขามีพระเจ้าอยู่หรือไม่? (ไม่มี) ในความคิดเห็นของเรา ผู้คนแบบนี้มีท่าทีต่อพระเจ้าเหมือนกับที่ซาตานมี บางคนพูดว่า “อะไรที่เกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับพระนามของพระเจ้า ของถวายของพระองค์ หรือคำพยานของพระองค์—ไม่มีอะไรเลยในนั้นที่เกี่ยวข้องกับฉัน ผู้คนเหล่านั้นที่ล้างผลาญของถวายนั้นมาเกี่ยวอะไรกับฉันหรือ?” คนพวกนี้เป็นสิ่งประเภทใด? มีผู้นำและผู้กำกับดูแลบางคนที่ลงชื่ออนุมัติทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าทางคริสตจักรยื่นขอจัดซื้ออะไร พวกเขาไม่เคยตั้งคำถามกับคำขอทั้งหลายหรือตรวจสอบคำขอเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด หรือตรวจหาปัญหา กล่าวคือ ทุกคำขอจัดซื้อสินค้า ไม่ว่าสินค้านั้นจะถูกหรือแพง สัมพันธ์หรือไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง จำเป็นหรือไม่จำเป็น—ทุกคำขอก็ได้รับการลงนามอนุมัติจากพวกเขาหมด การอนุมัติของเจ้าคืออะไร? นั่นเป็นแค่ลายมือชื่อหรือ? ในทัศนะของเรา นั่นเป็นท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้า ท่าทีที่เจ้ามีต่อของถวายก็คือท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้า ทุกการจรดปากกาของเจ้า ทุกครั้งที่เจ้าเขียนชื่อตัวเอง นั่นเป็นหลักฐานของบาปแห่งการหมิ่นประมาทและการไม่เคารพพระเจ้า เหตุใดพวกที่หมิ่นประมาทและไม่เคารพพระเจ้าในหนทางนี้จึงไม่ควรถูกลงโทษอย่างรุนแรงเล่า? พวกเขาต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง! พระเจ้าทรงจัดหาความจริง ชีวิตและทุกสิ่งที่เจ้ามีให้กับเจ้า แล้วเจ้าก็เข้าหาพระองค์และสิ่งทั้งหลายที่เป็นของพระองค์ด้วยท่าทีประเภทนี้—เจ้าเป็นสิ่งประเภทใดหรือ? แต่ละรายมือชื่อบนใบแจ้งหนี้เป็นหลักฐานแห่งบาปของเจ้าในการหมิ่นประมาทพระเจ้า และเป็นท่าทีอันไม่เคารพที่เจ้ามีต่อพระเจ้า นี่คือหลักฐานซึ่งเป็นข้อสรุปที่สมบูรณ์ที่สุด ไม่ว่าวัสดุที่กำลังถูกจัดซื้อจะเป็นอะไร ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเท่าไร เจ้าก็ไม่ตรวจดูใบอนุมัติด้วยซ้ำ เจ้าก็แค่ตวัดปากกาลงชื่อให้พ้นไป เจ้าพร้อมที่จะลงชื่อสั่งซื้อ 100,000 หรือ 200,000 หยวนไปตามอำเภอใจ สักวันหนึ่งเจ้าจะต้องจ่ายราคาให้กับลายมือชื่อของเจ้า—ใครก็ตามที่ลงชื่อต้องแบกความรับผิดชอบ! ในเมื่อเจ้าประพฤติตนในหนทางนี้ ในเมื่อเจ้าสามารถลงชื่อสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่ทบทวนคำขอก่อนเสียด้วยซ้ำ และล้างผลาญของถวายไปตามอำเภอใจ เจ้าก็ควรแบกความรับผิดชอบและจ่ายราคาให้กับการกระทำของตัวเจ้าเอง หากเจ้าไม่กลัวที่จะเผชิญผลที่ตามมา ก็จงเดินหน้าลงชื่อเจ้าไปเลย ลายมือชื่อของเจ้าแสดงถึงท่าทีของเจ้าที่มีต่อพระเจ้า หากเจ้าสามารถปฏิบัติตนแบบนี้แม้แต่ต่อพระเจ้า ปฏิบัติต่อพระองค์แบบนี้ในลักษณะที่เปิดเผยและไม่ไว้หน้า เช่นนั้นเจ้าคาดหวังให้พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไรหรือ? พระเจ้าทรงอดทนกับเจ้ามามากพอแล้ว พระองค์ทรงให้ลมปราณแก่เจ้าและอนุญาตให้เจ้ามีชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน แทนที่จะปฏิบัติต่อพระเจ้าในแบบเดิมและด้วยท่าทีเดิมต่อไป สิ่งที่เจ้าควรทำก็คือสารภาพและกลับใจต่อพระเจ้าและกลับท่าทีของเจ้า จงอย่าแก่งแย่งแข่งขันกับพระเจ้าอย่างมืดบอดต่อไปเลย หากเจ้ายังปฏิบัติต่อพระเจ้าในแบบเดิมและด้วยท่าทีเดิมต่อไป เช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอะไร หากเจ้าไม่สามารถได้มาซึ่งการยกโทษของพระเจ้า ความเชื่อของเจ้าก็จะเป็นอันได้สูญเปล่า แล้วความเชื่อของเจ้าจะเป็นประโยชน์อะไรเล่า? เจ้าเชื่อในพระเจ้าแต่กลับทำลายความไว้วางพระทัยของพระองค์ที่มีในตัวเจ้าและพระบัญชาของพระองค์ที่มีต่อเจ้า จงบอกเราทีว่าเจ้าเป็นสิ่งประเภทใด? คนบางคนมีบทบาทในฐานะเป็นผู้นำหรือผู้กำกับดูแลในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาปฏิบัติหน้าที่มาหลายปี และพูดได้ว่าเราก็มีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขามาหลายปี สุดท้ายแล้วเราก็มาถึงข้อสรุปเกี่ยวกับพวกเขาว่า ผู้คนเหล่านี้แย่กว่าสุนัข การกระทำของพวกเขาไม่เพียงทำร้ายจิตใจ หนำซ้ำยังน่าสะอิดสะเอียนอีกด้วย เราชอบอุ้มชูสุนัขและมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมัน สุนัขที่เราเลี้ยงมาหลายปีล้วนออกมาดีทีเดียว โดยทั่วไปแล้วพวกสุนัขที่เราชอบนั้นไม่ตั้งใจเป็นอริกับผู้คน หากเจ้าแสดงความใจดีมีเมตตาต่อสุนัขสักเล็กน้อย มันจะตอบแทนความใจดีมีเมตตากลับมาเป็นสิบเท่า ตราบที่เจ้าดีต่อมันอย่างแท้จริง ต่อให้เจ้าวางหนังสือพิมพ์หรือรองเท้าสักคู่ไว้ในสนาม มันก็จะนอนหมอบอยู่ข้างสิ่งเหล่านั้นและคอยคุ้มกันสิ่งเหล่านั้นให้กับเจ้า บางครั้งหากเจ้าโยนบางสิ่งที่เจ้าไม่ต้องการทิ้งไป สุนัขนั่นก็จะคิดว่าเจ้าทำสิ่งนั้นหายและจะคุ้มกันสิ่งนั้นให้เจ้าโดยไม่ยอมเตร็ดเตร่ไปไหนเลย หลังผ่านไปสักพัก เราก็สรุปสิ่งที่เราได้เรียนรู้และพูดไว้ว่า “ผู้คนแย่กว่าสุนัข!” สุนัขคุ้มกันบ้านเรือน—พวกมันใช้ความสามารถและทักษะของตัวเองคุ้มกันบ้านของเจ้าด้วยชีวิตของพวกมัน ผู้คนไม่มีหัวใจเลยด้วยซ้ำ นับประสาอะไรที่พวกเขาจะคุ้มกันสิ่งทั้งหลายด้วยชีวิตของพวกเขา ผู้คนจะไม่พูดแม้สักคำด้วยซ้ำเพื่อคุ้มกันงานของคริสตจักร พวกเขาต่ำต้อยกว่าสุนัขเฝ้าบ้านเสียอีก! นี่คือความแตกต่างเด่นชัดที่เราได้ขีดไว้ระหว่างผู้คนกับสุนัข ผู้คนที่ผลาญของถวายเหล่านี้นั้นต่ำกว่าสุนัขเฝ้าบ้าน เจ้าเห็นด้วยหรือไม่ว่าพวกเขาควรถูกลงโทษอย่างรุนแรง? (เห็นด้วย) พระเจ้าทรงมอบความไว้วางพระทัยของพระองค์ให้กับผู้คน อีกทั้งไว้วางพระทัยมอบหมายงานและหน้าที่ให้พวกเขา นี่คือการที่พระเจ้าทรงยกย่องพวกเขาและดำริถึงพวกเขาในแง่ดี นั่นไม่ใช่การที่พวกเขาคู่ควรกับการทำงานนั้น หรือการที่พวกเขามีความเป็นมนุษย์และขีดความสามารถที่ดีหรือดีพอสำหรับการงานนั้น แต่กระนั้นผู้คนก็ไม่สามารถระลึกได้ถึงความเอื้อเฟื้อที่แสดงออกกับพวกเขา พวกเขาคิดเสมอว่าตัวเองมีความสามารถที่จะทำงานของคริสตจักร ว่าพวกเขาได้รับการนี้มาโดยผ่านทางการทำงานหนักและการสละของตัวเอง ทุกสิ่งที่พวกเขามีนั้นพระเจ้าทรงมอบให้พวกเขา พวกเขาได้อะไรมา? พวกเขากำลังอิ่มอกอิ่มใจกับความสำเร็จที่ตัวเองทำไว้ใช่หรือไม่? พระเจ้าทรงยกย่องผู้คนให้ทำหน้าที่ของตนแต่พวกเขาไม่สามารถระลึกรู้ถึงความเอื้อเฟื้อที่แสดงออกกับพวกเขา หรือเข้าใจว่าอะไรดีสำหรับพวกเขา พวกเขาไม่ดำเนินชีวิตให้สมกับความไว้วางพระทัยของพระองค์และการยกย่องของพระองค์ พวกเขาทำลายความไว้วางพระทัยและการยกย่องของพระองค์ ในกรณีเช่นนั้น เราเสียใจนะ แต่พวกเขาก็ต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง พระเจ้าทรงให้โอกาสแก่ผู้คน แต่ผู้คนไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับพวกเขา พวกเขาไม่รู้จักทะนุถนอมโอกาสที่พระเจ้าทรงมอบให้พวกเขา พระองค์ทรงให้โอกาสพวกเขาแต่พวกเขาไม่ต้องการโอกาสนั้น พวกเขาคิดว่าพระองค์นั้นง่ายต่อการเอาเปรียบ ว่าพระองค์ทรงยกโทษให้เสมอ ว่าพระองค์จะไม่ทอดพระเนตรเห็นหรือทรงรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ผลที่ตามมาก็คือพวกเขากล้าผลาญของถวายอย่างไร้ศีลธรรม อันเป็นการทรยศการไว้วางพระทัยของพระเจ้า ขาดพร่องแม้แต่มโนธรรมและบุคลิกลักษณะแบบมนุษย์ขั้นพื้นฐานที่สุด พวกเขายังคงเชื่ออยู่เพื่ออะไรหรือ? พวกเขาไม่ควรเชื่อให้ลำบากเลย พวกเขาควรไปนมัสการซาตานก็พอ การนมัสการของพวกเขาไม่จำเป็นสำหรับพระเจ้า พวกเขาไม่คู่ควร!
พวกเราได้สามัคคีธรรมกันมามากพอแล้วไม่มากก็น้อยกับหัวข้อแรกที่เกี่ยวกับการปล่อยมือจากอาชีพการงาน—ไม่ร่วมทำการกุศลไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าได้เข้าใจหลักธรรมความจริงที่อยู่ในหัวข้อนี้แล้วใช่หรือไม่? หลักธรรมตรงนี้คืออะไร? (หลักธรรมก็คือว่า การทำการกุศลไม่ใช่ภารกิจที่พระเจ้าทรงมอบแก่มนุษย์ นั่นไม่สัมพันธ์กับการปฏิบัติความจริงหรือการไล่ตามเสาะหาความรอดเลย เมื่อบุคคลหนึ่งทำความประพฤติดีไม่กี่อย่าง ความประพฤติดีเหล่านั้นก็เป็นแค่การสะท้อนถึงพฤติกรรมแบบปัจเจกบุคคลของพวกเขาเท่านั้นเอง) การร่วมทำการกุศลนั้นไม่สัมพันธ์กับการไล่ตามเสาะหาความจริง จงอย่าเข้าใจผิดเชื่อไปว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงอยู่หรือเป็นใครคนหนึ่งที่ได้บรรลุความรอดแล้วโดยการทำงานการกุศล นี่เป็นมโนคติที่ผิดมหันต์ การปฏิบัติความจริงไม่ได้รวมถึงการทำการกุศลและก็ไม่ได้รวมถึงการร่วมทำงานการกุศล เป้าหมายของการเชื่อในพระเจ้าก็เพื่อบรรลุความรอด การเชื่อในพระเจ้าไม่เกี่ยวกับการสะสมคุณความดีหรือการทำความประพฤติดี การนี้ไม่เกี่ยวกับการชื่นชมยินดีต่อการทำสิ่งที่ดีๆ หรือต่อความใจบุญสุนทาน และการนี้ก็ไม่เกี่ยวกับการร่วมทำการกุศล กล่าวคือ การนี้เกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาความจริงและการยอมรับการช่วยให้รอดของพระเจ้า ดังนั้นแนวคิดของผู้คนที่ว่า ความเชื่อในพระเจ้านั้นเกี่ยวกับการทำการกุศลหรือการร่วมทำงานการกุศล หรือแนวคิดที่ว่า การทำการกุศลมีค่าเท่ากับการเชื่อในพระเจ้าและการทำให้พระองค์พึงพอพระทัยล้วนเป็นการเข้าใจผิดอย่างเลวร้าย ไม่ว่าจะเป็นการกุศลอะไรก็ตามที่เจ้าไปเกี่ยวข้อง และสิ่งใดก็ตามที่เจ้าทำซึ่งเกี่ยวกับการกุศล สิ่งเหล่านี้ก็แค่แสดงถึงตัวตนของเจ้าเป็นการส่วนตัว ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นการกระทำเป็นครั้งคราวหรือเป็นบางสิ่งที่เจ้าร่วมทำในฐานะที่เป็นอาชีพการงาน สิ่งเหล่านี้ก็แค่สะท้อนพฤติกรรมที่ดีของตัวเจ้าเองเท่านั้น พฤติกรรมนี้อาจมีความเชื่อมโยงกับศาสนา พฤติกรรมทางสังคม หรือเกณฑ์ประเมินทางศีลธรรม แต่พฤติกรรมนี้ไม่มีความสัมพันธ์กับการเชื่อในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริง หรือกับการเดินตามทางของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งพฤติกรรมนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรทั้งสิ้นกับข้อพึงประสงค์ของพระองค์ แต่ก็อีกนั่นแหละ เหตุใดเล่าคนเราจึงไม่ควรทำการกุศล? พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ให้ความเมตตาสงสารกับผู้คน ผู้มีความเมตตาสงสารและความรัก พระองค์ทรงสงสารมนุษยชาติ แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงรำลึกถึงความประพฤติในเชิงการกุศลของผู้คน? เหตุใดการทำการกุศลจึงไม่ได้รับการรำลึกถึงของพระเจ้า? นี่ไม่ใช่ปัญหาหรอกหรือ? การร้องขอให้ผู้คนไม่ทำการกุศลเป็นสัญญาณว่าพระเจ้าไม่รักมนุษยชาติใช่หรือไม่? นี่ไม่ย้อนแย้งกับความสงสารที่พระเจ้าทรงมีให้แก่มนุษยชาติหรือ? (ไม่ย้อนแย้ง) เหตุใดจึงไม่ย้อนแย้ง? (เพราะความเมตตาสงสารและความรักของพระเจ้ามีหลักธรรม และความเมตตาสงสารกับความรักของพระองค์ก็มุ่งไปยังปัจเจกบุคคลซึ่งเฉพาะเจาะจง พระองค์ประทานเมตตาสงสารและความรักให้กับบรรดาผู้ที่ยอมรับความจริง ปฏิบัติความจริง และกลับใจอย่างแท้จริง ส่วนพวกผู้ไม่เชื่อที่ไม่สามารถยอมรับความจริงได้นั้น พวกเขาไม่ใช่คนที่พระเจ้าทรงตั้งใจที่จะช่วยให้รอด) เพราะความเมตตาสงสารและความรักของพระเจ้ามีหลักธรรม และความเมตตาสงสารกับความรักของพระองค์ก็มุ่งไปยังปัจเจกบุคคลซึ่งเฉพาะเจาะจง จงพูดต่อเถิด มีอะไรอื่นอีก? มีความเชื่อมโยงระหว่างการร่วมทำงานการกุศลกับการเชื่อในพระเจ้าหรือไม่? (ไม่มี) แล้วการร่วมทำการกุศลขัดแย้งกับการเชื่อในพระเจ้าหรือไม่? เมื่อเข้าร่วมงานการกุศลไม่ว่ารูปแบบใด ผู้คนจำเป็นต้องลงทุนเวลา พลังงานและแม้แต่เงินหรือไม่? เมื่อเจ้าร่วมทำงานการกุศล เจ้าไม่สามารถทำได้เพียงแค่ใช้วาจาเท่านั้นโดยที่ไม่ต้องมีการใคร่ครวญหรือพิจารณาตัวงาน หากเจ้าปฏิบัติต่อการเข้าร่วมนั้นอย่างเป็นวิชาชีพโดยแท้จริง เจ้าย่อมจะจำเป็นต้องลงทุนเวลา พลังงานและแม้แต่ยอดเงินที่มากพอสมควรเป็นแน่ ครั้นเจ้าได้ลงทุนเวลา พลังงานและเงินไปแล้ว จากนั้นเจ้าจะไม่ถูกพันธนาการและควบคุมโดยงานการกุศลที่เจ้ากำลังทำอยู่หรอกหรือ? เจ้าจะยังคงมีพลังงานที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่หรือไม่? เจ้าจะยังคงมีพลังงานที่จะทำหน้าที่ของตัวเองอยู่หรือไม่? (ไม่มี) เมื่อเจ้าไล่ตามไขว่คว้าอาชีพการงานใดก็ตามในชีวิต ไม่ว่าเจ้าทำอาชีพการงานใด หากเจ้าทำเต็มเวลา เจ้าย่อมจะลงทุนและพลีอุทิศพลังงานชั่วชีวิตและทั้งชีวิตของเจ้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นจะทำให้เจ้าต้องเสียบ้าน เสียความรู้สึก เสียความยินดีทางเนื้อหนัง และเสียเวลาของเจ้า ในทำนองเดียวกัน หากเจ้าปฏิบัติต่อการกุศลเช่นเดียวกับวิชาชีพอย่างแท้จริงและดำเนินการไปตามนั้น เวลาและพลังงานทั้งหมดที่เจ้ามีก็จะถูกรวบไปไว้ในการนั้นทั้งหมด บุคคลหนึ่งๆ มีพลังงานในปริมาณจำกัด หากเจ้าถูกงานการกุศลควบคุม และเจ้าต้องการให้ความคำนึงถึงต่อทั้งงานการกุศลและการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าในลักษณะที่เท่าเทียมและสมดุลกัน และยิ่งไปกว่านั้นยังปรารถนาที่จะทำทั้งสองสิ่งให้ดี นี่จะไม่ใช่กิจที่ง่ายเลย หากเจ้าต้องการทำสองสิ่งนี้ให้สมดุลในเวลาเดียวกัน แต่เจ้ากลับไม่สามารถทำได้ เจ้าก็จะจำเป็นต้องเลือก หากเจ้าจะต้องเลือกว่าจะเก็บสิ่งไหนและจะทิ้งสิ่งไหน เจ้าจะตัดสินใจอย่างไรหรือ? เจ้าก็ควรเลือกความมานะพยายามที่มีคุณค่าและมีความหมายที่สุดที่จะดำเนินการไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นแล้วหากว่าทั้งการเชื่อในพระเจ้าและการร่วมทำการกุศลปรากฏขึ้นในชีวิตเจ้าในเวลาเดียวกัน เจ้าควรเลือกตัวเลือกใด? (ข้าพระองค์ควรเลือกเชื่อในพระเจ้า) ผู้คนส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นว่าพวกเจ้าทุกคนเลือกตัวเลือกนั้น นี่ก็ค่อนข้างปกติไม่ใช่หรือที่พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ผู้คนร่วมทำการกุศล? (ใช่) การร่วมทำการกุศลได้ช่วยสิ่งมีชีวิตไปมากมายและได้จัดเตรียมเสบียงอาหารให้แก่ผู้คนมากมาย แต่ถึงที่สุดแล้วเจ้าจะได้รับอะไรจากการนั้น? เจ้าจะสนองความถือดีของตัวเอง การนี้เป็นการได้รับบางสิ่งอย่างแท้จริงและเป็นสิ่งที่เจ้าควรกำลังได้รับอยู่หรือ? อุดมการณ์ของเจ้าจะได้เป็นจริงขึ้นมา คุณค่าของเจ้าจะถูกแสดงออกมาให้เห็น ก็เท่านั้นเอง—แต่นี่ใช่เส้นทางที่เจ้าควรเดินในชีวิตหรือ? (ไม่ใช่) สุดท้ายแล้วเจ้าจะได้รับอะไร? (ความว่างเปล่า) เจ้าจะไม่ได้รับอะไรเลยสักอย่าง ความถือดีของเจ้าจะได้รับการสนองเพียงชั่วคราว เจ้าจะได้รับการสรรเสริญจากผู้อื่นเล็กน้อย ได้รับเหรียญตราและเกียรติจากสังคม แต่ก็เท่านั้น และพลังงานกับเวลาทั้งหมดของเจ้าก็จะได้ถูกใช้ไปจนหมด เจ้าจะได้รับอะไรหรือ? เกียรติ ความมีหน้ามีตาในทางที่ดี และรางวัลเกียรติยศ—สิ่งเหล่านี้ล้วนว่างเปล่า ไม่ว่าอย่างไร ความจริงที่ผู้คนควรทำความเข้าใจและเส้นทางชีวิตที่พวกเขาควรใช้ในชีวิตนี้ก็ไม่สามารถถูกเข้าใจหรือได้รับมาโดยการร่วมทำการกุศลเพียงเท่านั้น การเชื่อในพระเจ้านั้นต่างไป หากเจ้าสละตนแต่พระเจ้าอย่างจริงใจและไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นการลงทุนเวลาและพลังงานของเจ้าก็จะให้ผลลัพธ์ที่ดีและเป็นบวก หากเจ้ารู้และเข้าใจสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนควรทำความเข้าใจที่สุด—วิธีที่ผู้คนควรใช้ชีวิต วิธีที่พวกเขาควรนมัสการพระเจ้า วิธีที่พวกเขามองเรื่องต่างๆ มุมมองและจุดยืนที่พวกเขาควรมีขณะที่พวกเขากระทำการ หนทางที่ถูกต้องที่สุดที่จะวางตน และวิธีวางตนในหนทางที่จะได้รับการรำลึกถึงโดยพระผู้สร้าง ในหนทางที่หมายความว่าคนคนหนึ่งกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกควร—เช่นนั้นนี่ก็เป็นเส้นทางที่ถูกควรและเป็นการได้รับบางสิ่งอย่างแท้จริง ภายในชีวิตของเจ้า เจ้าจะได้รับมากมายในสิ่งที่ผู้ไม่มีความเชื่อไม่อาจเรียนรู้ได้ สิ่งทั้งหลายที่ใครคนหนึ่งซึ่งมีความเป็นมนุษย์ควรมี สิ่งเหล่านี้มาจากพระเจ้า จากความจริง และจะกลายเป็นชีวิตของเจ้า จากการนี้ เจ้าจะแปลงสภาพไปเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งใช้ความจริงเป็นชีวิตของตน ชีวิตของเจ้าจะไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป และเจ้าจะไม่งุนงงและหวั่นไหวอีกต่อไป สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ผลตอบแทนซึ่งสูงส่งและมีคุณค่ากว่าหรอกหรือ? สิ่งเหล่านี้มีค่ากว่าการทำงานทางการกุศลเพื่อสนองความถือดีของเจ้าเพียงชั่วครู่ชั่วยามไม่ใช่หรือ? (ใช่) ผลตอบแทนเหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกับความจริงและเกี่ยวข้องกับเส้นทางที่ผู้คนควรเดินนั้นจะมอบชีวิตใหม่ให้กับเจ้า ไม่มีอะไรในโลกมนุษย์ที่สามารถเทียบได้กับชีวิตใหม่นี้ และไม่มีสิ่งใดมาแทนที่ชีวิตใหม่นี้ได้ แน่นอนว่าชีวิตใหม่นี้มิอาจประเมินราคาได้และเป็นนิรันดร์ ชีวิตใหม่นี้เป็นบางสิ่งที่เจ้าบรรลุหลังจากที่เจ้าได้อุทิศเวลา พลังงานและความเยาว์วัยของเจ้า หลังจากที่เจ้าได้จ่ายราคาบางอย่างและพลีอุทิศบางอย่าง นี่คุ้มค่าไม่ใช่หรือ? นี่คุ้มค่าอย่างแน่นอนที่สุด แต่เจ้าจะได้รับอะไรหากเจ้าร่วมทำการกุศล? เจ้าจะไม่ได้รับอะไรเลย เกียรติและเหรียญตราไม่ใช่ผลตอบแทน การเห็นชอบและการยืนยันรับรองจากผู้อื่น การที่ผู้อื่นพูดว่าเจ้าเป็นคนดีหรือเป็นคนใจบุญผู้ยิ่งใหญ่—สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นผลตอบแทนได้หรือไม่? (ไม่ได้) สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งชั่วคราวและจะเลือนหายไปในไม่ช้าตามกาลเวลา เมื่อเจ้าไม่สามารถยึดกุมสิ่งเหล่านี้ไว้ได้อีกต่อไป เมื่อเจ้าไม่สามารถรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้อีกต่อไป เจ้าก็จะเต็มไปด้วยความเสียดายและพูดว่า “ฉันทำอะไรลงไปในชีวิต? ฉันได้ดูแลสุนัขและแมวมาไม่น้อย อุปการะเด็กกำพร้า ช่วยคนจนบางคนให้มีชีวิตที่ดี มีอาหารกินและมีเสื้อผ้าดีๆ ใส่ แต่ตัวฉันล่ะ? ฉันมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร? เป็นไปได้หรือว่าฉันแค่มีชีวิตอยู่เพื่อพวกเขา? นั่นคือภารกิจของฉันหรือ? นี่คือความรับผิดชอบที่ฟ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ฉันหรือ? นี่คือภาระผูกพันที่ฟ้าประทานแก่ฉันหรือ? แน่ใจได้เลยว่าไม่ใช่ เช่นนั้นแล้ว บุคคลหนึ่งมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรหรือในชีวิตนี้? ผู้คนมาจากไหนกันและพวกเขาจะไปไหนกันในภายภาคหน้า? ฉันไม่เข้าใจประเด็นปัญหาที่พื้นฐานที่สุดเหล่านี้” และแล้วเมื่อเจ้ามาถึงช่วงระยะนี้ เจ้าจะรู้สึกว่าเกียรติเหล่านั้นไม่ใช่ผลตอบแทน และรู้สึกว่าเกียรติเหล่านั้นเป็นแค่สิ่งภายนอก นี่เป็นเพราะเจ้าคงได้เป็นคนเดิมหากเจ้าไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับการกุศลจนได้มาซึ่งเกียรติและเหรียญตราทั้งหลายเหมือนกับหลังจากที่ทำการกุศลจนถึงวันนั้น—ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดในนั้น ชีวิตภายในของเจ้าก็จะไม่ได้เปลี่ยนไป เจ้าจะยังคงไม่รู้ในสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่เข้าใจ เจ้าจะยังคงพิศวงและงุนงง และ ณ เวลานั้น เจ้าไม่เพียงงุนงงมากขึ้นและสับสนมากขึ้น แต่เจ้าจะรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นด้วย ถึงจุดนี้ก็สายเกินไปสำหรับความเสียดาย ชีวิตของเจ้าจะได้ผ่านไปแล้ว ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเจ้าจะได้จากไปแล้ว และเจ้าก็จะได้เลือกเส้นทางที่ผิดไปแล้ว เพราะฉะนั้นก่อนที่เจ้าจะตัดสินใจร่วมทำงานการกุศล หรือเมื่อเจ้าเพิ่งเริ่มทำงานการกุศล หากเจ้าปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและบรรลุความรอด เจ้าก็ควรปล่อยมือจากแนวคิดเช่นนั้นเสีย แน่นอนว่าเจ้าควรปล่อยมือจากกิจกรรมทั้งหมดที่สัมพันธ์กับงานนี้และทุ่มตัวเองอย่างสุดหัวใจให้กับเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความรอด สุดท้ายแล้ว ต่อให้สิ่งที่เจ้าได้มาและได้รับนั้นไม่มากมายหรือจับต้องได้เท่ากับที่เจ้าจินตนาการไว้แต่แรกเริ่ม แต่อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็จะไม่เต็มไปด้วยความเสียดาย ไม่ว่าเจ้าจะได้รับเล็กน้อยเพียงใด นั่นก็จะยังคงมากกว่าสิ่งที่พวกทีใช้ทั้งชีวิตของตัวเองในศาสนาที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้รับ นั่นคือข้อเท็จจริง เพราะฉะนั้นขณะกำลังเลือกอาชีพการงาน ในแง่หนึ่งนั้นผู้คนก็จำเป็นต้องปล่อยมือจากแนวคิดและแผนการที่จะร่วมทำการกุศล ในอีกแง่นั้น ผู้คนก็ควรแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับความคิดของตนให้ถูกต้อง ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องอิจฉาพวกคนในสังคมที่ร่วมทำงานการกุศล หรือคิดว่าคนเหล่านั้นช่างเห็นแก่ผู้อื่น ยิ่งใหญ่ สูงส่งและไม่เห็นแก่ตัวอะไรเช่นนี้ โดยพูดว่า “ดูสิว่าพวกเขาปฏิบัติตนสูงส่งและไม่เห็นแก่ตัวแค่ไหนขณะที่กำลังช่วยเหลือผู้อื่น ทำไมพวกเราจึงไม่สามารถที่จะไม่เห็นแก่ตัวได้นะ? ทำไมพวกเราจึงไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลแบบนั้น?” อันดับแรกคือเจ้าไม่จำเป็นต้องอิจฉาพวกเขา อันดับที่สองคือเจ้าไม่จำเป็นต้องตำหนิตัวเอง หากพระเจ้าไม่ได้ทรงเลือกสรรพวกเขา พวกเขาก็มีการไล่ตามไขว่คว้าและภารกิจของพวกเขาเอง ไม่สำคัญว่าพวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้าอะไร ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงและผลกำไร หรือการทำให้แนวคิดหรือความพึงปรารถนาของตัวเองเป็นจริงขึ้นมา เจ้าไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปกังวลกับเรื่องนั้น สิ่งที่เจ้าควรกังวลถึงก็คือ สิ่งที่เจ้าควรไล่ตามเสาะหาและประเภทของเส้นทางที่เจ้าควรใช้เดิน ประเด็นปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุดก็คือ ในเมื่อพระเจ้าได้ทรงเลือกสรรเจ้า และเจ้าก็ได้เข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าแล้ว อีกทั้งเจ้าก็เป็นสมาชิกของคริสตจักร ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังอยู่ในลำดับขั้นของบรรดาผู้ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้าจึงควรตริตรองถึงวิธีที่จะออกเดินไปบนเส้นทางแห่งความรอดในขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า วิธีปฏิบัติความจริง วิธีเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และไปถึงจุดที่พระวจนะของพระเจ้ากอปรขึ้นภายในตัวเจ้าและกลายเป็นชีวิตของเจ้าโดยผ่านทางการไล่ตามเสาะหาของเจ้าและสารพันราคาที่เจ้าจ่าย ในอนาคตอันใกล้ เมื่อเจ้ามองย้อนกลับไปยังสภาวะที่เจ้าเคยอยู่ตอนที่เจ้าเริ่มมาเชื่อในพระเจ้า เจ้าจะพบว่าชีวิตภายในของเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว เจ้าจะไม่เป็นบุคคลซึ่งมีชีวิตอยู่บนพื้นฐานของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนอีกต่อไป เจ้าจะไม่เป็นบุคคลที่โอหัง ไม่รู้ความ ก้าวร้าว และโง่เขลาผู้ซึ่งคิดว่าตัวเองไม่เป็นรองใครอย่างที่เจ้าเคยเป็นอีกต่อไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระวจนะของพระเจ้าจะกลายเป็นชีวิตใหม่ของเจ้า เจ้าจะรู้วิธีที่จะเดินตามทางของพระเจ้า อีกทั้งเจ้าจะรู้วิธีที่จะรับมือกับทุกสิ่งที่เจ้าเผชิญในชีวิตตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าและเป็นไปตามหลักธรรมความจริง เจ้าจะใช้ทุกวันในลักษณะที่อยู่บนความเป็นจริงเช่นนั้น และเจ้าจะมีเป้าหมายกับทิศทางอันแน่ชัดในทุกสิ่งที่เจ้าทำ เจ้าจะรู้ว่าเจ้าควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะชัดเจนในจิตใจของเจ้าราวกับกระจกเงา ชีวิตประจำวันของเจ้าจะไม่ว้าวุ่น อ่อนล้าหรือเศร้าโศก แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ชีวิตเจ้าจะเต็มไปด้วยความสว่าง จะมีเป้าหมายและทิศทาง ในเวลาเดียวกัน เจ้าก็จะรู้สึกถึงการขับเคลื่อนในหัวใจเจ้า เจ้าจะรู้สึกว่า เจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เจ้าได้รับชีวิตใหม่ และเจ้าได้กลายเป็นบุคคลที่ได้ทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของตนแล้ว นี่ดีไม่ใช่หรือ? (ใช่) พวกเรามายุติการสามัคคีธรรมของพวกเราเรื่องไม่ร่วมทำการกุศลอันเป็นหลักธรรมแรกภายในหัวข้อการปล่อยมือจากอาชีพการงานกันตรงนี้เถิด
อะไรคือหลักธรรมข้อที่สองของหัวข้อการปล่อยมือจากอาชีพการงานของคนเรา? การพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า เพื่อที่จะอยู่รอดในสังคม ผู้คนจึงทำการลงแรงหรือการงานสารพัดประเภทเพื่อค้ำชูความเป็นอยู่ของตน อันเป็นการทำให้มั่นใจว่าพวกเขามีความมั่นคงอีกทั้งมีแหล่งอาหารและค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตรายวันของตน ผลที่ตามมาก็คือไม่ว่าผู้คนจะอยู่ในชนชั้นที่ต่ำกว่าหรือในระดับที่สูงกว่าเล็กน้อย พวกเขาก็ดำรงความเป็นอยู่ของตนผ่านทางสายอาชีพอันหลากหลาย เนื่องจากจุดประสงค์ของพวกเขาก็เพื่อดำรงความเป็นอยู่ จึงเข้าใจได้โดยง่ายว่า การมีที่ให้อยู่อาศัย การรับประทานวันละสามมื้อ การมีเงินจ่ายค่าเนื้อสัตว์ตามวาระโอกาสที่พวกเขาปรารถนาจะกินเนื้อสัตว์ การไปทำงานตามปรกติ การมีรายได้ การไม่ต้องไปไหนมาไหนในเครื่องนุ่งห่มที่ซอมซ่อหรือไม่อาจได้รับสารอาหารที่เพียงพอ—นั่นก็ดีพอแล้ว สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานในชีวิตของผู้คน เมื่อคนคนหนึ่งสัมฤทธิ์ผลในสิ่งจำเป็นพื้นฐานเหล่านี้ นั่นก็ค่อนข้างง่ายที่จะสัมฤทธิ์ผลในเรื่องอาหารและความอบอุ่นไม่ใช่หรือ? นี่อยู่ในขอบเขตความสามารถของพวกเขาไม่ใช่หรือ? (ใช่) ดังนั้นหากธรรมชาติของอาชีพการงานของคนเราก็คือเพื่อเห็นแก่อาหารและความอบอุ่น เพื่อเห็นแก่ความเป็นอยู่ของตนแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะไปเกี่ยวข้องกับอาชีพการงานใด ตราบที่อาชีพการงานนั่นเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย โดยทั่วไปแล้ว นั่นย่อมจะตรงตามมาตรฐานความเป็นมนุษย์ เหตุใดเราจึงพูดว่านั่นตรงตามมาตรฐานความเป็นมนุษย์? เพราะสิ่งจูงใจ เจตนารมณ์ และจุดประสงค์ที่เจ้ามีเบื้องหลังการทำวิชาชีพนี้ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับแนวคิดหรือเรื่องใดๆ นอกจากการดำรงความเป็นอยู่—นั่นก็เพื่อเห็นแก่การมีกินเพียงพอ การมีเสื้อผ้าอันอบอุ่นให้สวมใส่เพียงพอ และการสามารถเกื้อหนุนครอบครัวของเจ้าได้ล้วนๆ เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ? (ใช่) เหล่านี้คือสิ่งจำเป็นพื้นฐาน ครั้นได้รับการจัดเตรียมสิ่งจำเป็นพื้นฐานเหล่านี้ให้ ผู้คนก็อาจชื่นชมยินดีกับคุณภาพพื้นฐานของชีวิต เมื่อพวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ผลในสิ่งนี้ พวกเขาย่อมสามารถค้ำชูการดำรงอยู่ตามปกติได้ การที่บุคคลหนึ่งสามารถค้ำชูการดำรงอยู่ตามปกติได้นั้นเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ? นี่คือสิ่งที่มนุษย์ควรสัมฤทธิ์ผลภายในข่ายของความเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือ? (ใช่) เจ้ารับผิดชอบชีวิตของตัวเอง เจ้าแบกชีวิตของเจ้าไว้บนบ่าของเจ้าเอง—นี่เป็นการสำแดงที่จำเป็นของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ การที่เจ้าสัมฤทธิ์การนี้ย่อมพอเพียงและเหมาะควรแล้ว กระนั้นก็ตาม หากเจ้าไม่พอใจ เช่นนั้นแล้วในขณะที่คนปกติอาจจะกินเนื้อสัตว์สัปดาห์ละหนึ่งหรือสองครั้ง เจ้าก็กลับดึงดันที่จะกินเนื้อสัตว์ทุกวันและมีเหลือเก็บให้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากเจ้าบริโภคเนื้อสัตว์วันละหนึ่งส่วนสี่ถึงครึ่งกิโลกรัมยามที่เจ้าจำเป็นต้องได้รับเพียงหนึ่งส่วนแปดกิโลกรัมเพื่อดำรงสุขภาพกายที่เหมาะสม โภชนาการที่เกินจำเป็นนี้ก็อาจจะนำไปสู่ความเจ็บป่วย อะไรหรือที่เป็นสาเหตุของโรคอย่าง ไขมันพอกตับ ความดันโลหิตสูงและคอเลสเตอรอลสูง? (การกินเนื้อสัตว์มากเกินไป) ปัญหาของการรับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไปคืออะไร? นั่นสืบเนื่องจากการขาดการควบคุมอาหารการกินของคนเราไม่ใช่หรือ? นั่นเนื่องมาจากนิสัยตะกละตะกลามไม่ใช่หรือ? (ใช่) นิสัยตะกละตะกลามนี้มาจากไหนหรือ? นี่เพราะคนคนหนึ่งมีความอยากอาหารมากเกินจำเป็นไม่ใช่หรือ? ความอยากอาหารเกินจำเป็นกับความตะกละตะกลามนั้นสอดคล้องกับสิ่งจำเป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่? (ไม่สอดคล้อง) สิ่งเหล่านั้นเกินความจำเป็นของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ หากเจ้าปรารถนาที่จะทำเกินความจำเป็นของความเป็นมนุษย์ที่ปกติอยู่เป็นนิจ นั่นหมายความว่าเจ้าจะจำเป็นต้องทำงานให้มากขึ้น หาเงินให้มากขึ้นและทำงานมากกว่าผู้คนปกติหลายเท่าตัว ไม่ว่าจะโดยผ่านทางการทำงานล่วงเวลาหรือการทำการงานหลายอย่างไปพร้อมๆ กันก็ตาม แต่เจ้าก็จะจำเป็นต้องสร้างรายได้ให้มากขึ้นเพื่อให้มีเงินพอจ่ายให้กับการกินเนื้อสัตว์วันละสามมื้อและเมื่อใดก็ตามที่เจ้าอยากกิน นี่เกินกว่าขอบเขตของความเป็นมนุษย์ที่ปกติไม่ใช่หรือ? การทำเกินขอบเขตของความเป็นมนุษย์ที่ปกตินั้นดีหรือไม่? (ไม่ดี) เหตุใดจึงไม่ดี? (แง่หนึ่งก็คือร่างกายผู้คนมีแนวโน้มที่จะเจ็บป่วย อีกแง่ก็คือผู้คนจำเป็นต้องลงทุนเวลา พลังงาน และค่าใช้จ่ายให้กับงานของตนมากขึ้นเพื่อสนองความพึงปรารถนาและความอยากอาหารของตัวเอง การนี้กินเวลาและพลังงานที่พวกเขาอาจได้ใช้สำหรับการไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของตัวเอง ส่งผลต่อวิธีที่พวกเขาเดินไปตามเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริง) ผู้คนควรพอใจกับการมีสิ่งจำเป็นพื้นฐานทั้งหลาย ไม่รู้สึกหิวหรือเหน็บหนาว อีกทั้งสัมฤทธิ์ผลในเรื่องอาหารและความอบอุ่นที่จำเป็นสำหรับความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เจ้าควรหาเงินได้มากพอที่จะรักษาความสอดคล้องกับความต้องการทางร่างกายที่ปกติสำหรับโภชนาการ นั่นมากพอแล้ว นั่นเป็นชีวิตแบบที่ผู้คนซึ่งมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี หากเจ้ากระหายหิวความยินดีทางเนื้อหนังอยู่เสมอ สนองความอยากทางเนื้อหนังโดยไม่คำนึงถึงสุขภาพร่างกายของตัวเอง และไม่ไยดีต่อเส้นทางที่ถูกต้อง หากเจ้าต้องการอยู่เสมอที่จะกินอาหารที่ดี สำราญกับสิ่งดีๆ มีสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดี กินอาหารโอชะที่หายาก สวมใส่เสื้อผ้ายี่ห้อดังกับเครื่องประดับเงินและทอง อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ และขับรถหรู—หากเจ้าปรารถนาอยู่เป็นนิจที่จะไล่ตามไขว่คว้าการนี้ เช่นนั้นเจ้าก็จำเป็นต้องทำงานในสายอาชีพแบบใดหรือ? หากเจ้าเพียงทำงานการธรรมดาเพื่อให้ได้ตามสิ่งจำเป็นพื้นฐานทั้งหลายของเจ้า และจัดการแก้ไขปัญหาเรื่องอาหารและความอบอุ่น การงานนั้นสามารถทำให้ความอยากได้อยากมีทั้งหมดนี้ลุล่วงได้หรือ? (ไม่ได้) ไม่ได้อย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่น หากเจ้าต้องการทำธุรกิจ และธุรกิจขนาดเล็กที่มีแค่แผงลอยเดียวก็สามารถจัดหาอาหารและความอบอุ่นให้กับทั้งครอบครัวของเจ้าได้ เจ้าอาจมีน้อยกว่าพวกที่อยู่เหนือเจ้า แต่เจ้าก็มีมากกว่าพวกที่อยู่ต่ำกว่าเจ้ามากมายนัก เจ้าสามารถกินเนื้อสัตว์ตามวาระโอกาส และทั้งครอบครัวของเจ้าก็สามารถแต่งกายอย่างดีพร้อม เจ้าสามารถใช้เวลาที่เหลือเพื่อเชื่อในพระเจ้า เข้าร่วมการชุมนุมและทำหน้าที่ของตัวเอง อีกทั้งเจ้าก็ยังคงสามารถมีพลังงานเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริง นี่ก็ดีพอแล้ว เพราะการที่ชีวิตของเจ้ามีหลักประกันเป็นพื้นฐาน ขณะที่เจ้าทำสายอาชีพนี้ เจ้าย่อมจะสามารถมีเวลาว่างและพลังงานที่จะไล่ตามเสาะหาความเชื่อในพระเจ้าและความจริง นี่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่เคยพอใจ เจ้าก็จะคิดเสมอว่า “ธุรกิจนี้มีศักยภาพ ฉันสามารถหาเงินได้มากเท่านี้ต่อเดือนด้วยแผงลอยแค่แผงเดียว นั่นสามารถจัดหาอาหารและความอบอุ่นให้ครอบครัวของฉันได้ ถ้าฉันมีแผงลอยสองแผง เช่นนั้นฉันก็สามารถหาเงินได้สองเท่า ครอบครัวของฉันไม่เพียงสามารถมีอาหารและความอบอุ่น พวกเรายังสามารถออมเงินได้เล็กน้อยอีกด้วย พวกเราสามารถกินอะไรตามที่ต้องการและแม้แต่ท่องเที่ยวและซื้อสินค้าหรูหราสักสองสามอย่าง พวกเราสามารถกินและสำราญกับสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ซื้อไม่ได้ นั่นคงเยี่ยมไปเลย ขอฉันเพิ่มแผงลอยอีกสักแผงเถอะ!” หลังจากที่เพิ่มแผงลอยอีกแผง เจ้าก็เริ่มมั่งมีมากขึ้น เจ้าได้ลิ้มรสของสิทธิพิเศษต่างๆ และคิดว่า “ดูเหมือนตลาดนี้ช่างใหญ่โตทีเดียว ฉันยังสามารถเพิ่มแผงลอยได้อีกแผง ขยายธุรกิจของฉัน และนำสินค้าต่างๆ เข้ามาเพื่อขยับขยายต่อไป ฉันไม่เพียงสามารถออมเงินได้เท่านั้น แต่ยังสามารถซื้อรถยนต์และยกระดับไปอยู่บ้านที่หลังใหญ่กว่า ทั้งครอบครัวฉันสามารถท่องเที่ยวได้ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ!” ยิ่งเจ้าคิดมากเท่าไร เรื่องนี้ก็ยิ่งกลายเป็นยั่วใจมากขึ้นเท่านั้น ถึงจุดนี้ เจ้าก็ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเพิ่มแผงลอยอีกแผง ธุรกิจเติบโตใหญ่ขึ้นทุกที เจ้าหาเงินได้มากขึ้นทุกที ความสุขสำราญของเจ้าก็เพิ่มขึ้น แต่เจ้ากลับไปร่วมการชุมนุมน้อยลงทุกที จากการร่วมชุมนุมสัปดาห์ละครั้งก็เป็นสองสัปดาห์ครั้งหรือเดือนละครั้ง และสุดท้ายแล้วก็เป็นทุกหกเดือนเท่านั้น เจ้าคิดอยู่ในใจว่า “ธุรกิจของฉันก็เติบโตแล้ว ฉันหาเงินได้มากมายแล้ว ฉันเกื้อหนุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและมอบของถวายก้อนโต” เจ้ากำลังมีรถเปิดประทุนขับ ภรรยากับลูกๆ ของเจ้าประดับประดาไปด้วยเครื่องประดับเพชรและทอง แต่งกายด้วยเสื้อผ้ายี่ห้อดังตั้งแต่หัวจรดเท้า และตัวเจ้าก็ได้ไปเที่ยวเมืองนอกมาแล้วด้วยซ้ำ เจ้าคิดว่า “การมีเงินช่างยอดเยี่ยมนัก! ถ้าฉันรู้ว่าการหาเงินจะง่ายแบบนี้ ทำไมฉันไม่เริ่มให้เร็วกว่านี้นะ? การมีเงินช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน! คนที่มั่งมีผ่านวันเวลากันไปอย่างสะดวกสบายและง่ายดายแบบนี้นี่เอง! ตอนที่ฉันกินอาหารเลิศรส รสชาติช่างเกินเปรียบปาน เวลาสวมใส่สินค้ายี่ห้อที่มีนักออกแบบ ฉันรู้สึกหัวใจพองโต และไม่ว่าฉันจะไปที่ไหน คนอื่นก็มองฉันด้วยสายตาอิจฉาและริษยา ฉันได้รับความเคารพและความเลื่อมใสจากผู้คน และฉันก็รู้สึกแตกต่าง รู้สึกเหมือนแผ่นหลังของฉันยืดตรงผึ่งผายขึ้นมาหน่อย” ความอยากได้อยากมีทางเนื้อหนังของเจ้าได้รับการสนองแล้ว เช่นเดียวกับความถือดีของเจ้า แต่ฝุ่นที่จับอยู่บนปกพระวจนะของพระเจ้ากลับหนาขึ้นทุกที เจ้าไม่ได้อ่านพระวจนะมานานแล้ว และคำอธิษฐานต่อพระเจ้าของเจ้าก็กลับสั้นลง การชุมนุมได้ย้ายไปที่อื่นแล้วและเจ้าก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตอนนี้การชุมนุมจัดกันที่ไหน เจ้าไม่ไปรายงานตัวที่คริสตจักรตามวาระโอกาสอีกต่อไปแล้วด้วยซ้ำ จงบอกเราทีว่านี่เป็นการเข้าใกล้ความรอดมากขึ้นหรือห่างออกไปมากขึ้น? (ห่างออกไปมากขึ้น) คุณภาพชีวิตของเจ้ากำลังดีขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายของเจ้าได้รับอาหารเป็นอย่างดี และเจ้าได้กลายเป็นคนพิเศษมากขึ้น ในอดีตนั้น เจ้าคงไม่ไปตรวจสุขภาพสักครั้งในรอบแปดหรือสิบปีด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ที่เจ้ามั่งมี เจ้าไปตรวจสุขภาพทุกหกเดือนเพื่อดูว่าตัวเจ้ามีความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูงหรือคอเลสเตอรอลสูงหรือเปล่า เจ้าพูดว่า “คนเราต้องดูแลสุขภาพของตัวเอง ดังคำกล่าวที่ว่า ‘หากคุณต้องเป็นอะไรสักอย่าง ก็ขอให้ไม่ใช่การเจ็บป่วย หากคุณต้องไม่เป็นอะไรสักอย่าง ก็ขอให้ไม่ยากจน’” ความคิดและมุมมองของเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้วใช่หรือไม่? ตอนนี้เจ้าร่ำรวยและไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไปแล้ว เจ้ารู้สึกว่าตัวเจ้ามีค่า ว่าอัตลักษณ์ของเจ้ามีเกียรติ และเจ้ายิ่งมองร่างกายของเจ้าเป็นสมบัติล้ำค่ามากขึ้นไปอีก ท่าทีของเจ้าที่มีต่อชีวิตก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน ก่อนหน้านั้น เจ้าไม่เคยวุ่นวายกับการตรวจสุขภาพโดยคิดว่า “พวกเราชาวบ้านยากจนไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอก ทำไมฉันถึงควรไปตรวจร่างกายเล่า? ถ้าฉันป่วยหนัก ฉันก็ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาอยู่ดี ฉันแค่จะนั่งเฉยๆ และทนไป แล้วถ้าฉันทนไม่ได้ ฉันว่าเนื้อหนังนี้ก็แค่จะยอมตายเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร” แต่ตอนนี้ต่างไปแล้ว เจ้าพูดว่า “ผู้คนไม่ควรมีชีวิตอยู่กับความเจ็บป่วย ถ้าพวกเขาป่วย ใครจะใช้เงินที่พวกเขาหามาได้? พวกเขาจะไม่สามารถสำราญกับชีวิต ชีวิตสั้น!” นี่ต่างไปใช่หรือไม่? ท่าทีของเจ้าที่มีต่อเงิน ต่อชีวิตของเนื้อหนัง และต่อความสุขสำราญได้เปลี่ยนไปแล้วทั้งหมด ในทำนองเดียวกัน ท่าทีที่เจ้ามีต่อการเชื่อในพระเจ้า การไล่ตามเสาะหาความจริง และการรับความรอดก็ได้กลายเป็นไม่แยแสมากขึ้นทุกที
ครั้นบุคคลหนึ่งเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางของการไม่พอใจกับอาหารและเสื้อผ้า พวกเขาก็จะไล่ตามไขว่คว้าคุณภาพของชีวิตที่สูงกว่า และความสุขสำราญกับสิ่งที่ดีกว่า นี่เป็นสัญญาณของภาวะอันตราย นี่คือการตกไปอยู่ในการทดลอง นี่จะก่อความเดือดร้อน และนี่เป็นลางร้าย ครั้นใครบางคนสำราญและมีประสบการณ์กับรสชาติของความมั่งมี พวกเขาก็เริ่มเป็นกังวลว่าสักวันพวกเขาจะสูญเสียเงินของตัวเองไปและกลายเป็นยากจน ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาทะนุถนอมวันเวลาของการมีเงินในตอนนี้อีกทั้งให้คุณค่ากับตำแหน่งและสถานะของการร่ำรวยเป็นพิเศษ บ่อยครั้งที่เจ้าได้ยินพวกผู้ไม่มีความเชื่อพูดว่า “การไปจากความขมขื่นสู่ความหอมหวานนั้นง่าย การไปจากความหอมหวานสู่ความขมขื่นนั้นไม่ง่ายเลย” นี่หมายความว่ายามที่เจ้าไม่มีอะไรเลย เจ้าไม่เดือดร้อนเมื่อถูกขอให้ปล่อยมือ เจ้าสามารถปล่อยมือได้ในพริบตา เพราะไม่มีอะไรที่มีค่าให้ยึดกุมไว้ สมบัติพัสถานที่เป็นวัตถุและเงินทองเหล่านี้ไม่กลายเป็นอุปสรรคกีดขวางสำหรับเจ้า และย่อมง่ายที่เจ้าจะปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้น แต่ครั้นเจ้ามีสิ่งเหล่านี้ ก็กลายเป็นว่าเจ้าปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นได้ยากเย็น ยากเย็นกว่าการขึ้นสวรรค์ หากเจ้ายากจน ครั้นพอถึงเวลาที่เจ้าต้องจากบ้านไปและทำหน้าที่ของเจ้า เจ้าก็พร้อมที่จะเดินจากไปได้ อย่างไรก็ดี หากเจ้าเป็นคนใหญ่คนโตที่มั่งมี จิตใจของเจ้าก็กลายเป็นคิดมากเต็มไปหมดและเจ้าก็พูดว่า “โอ บ้านของฉันมีราคาสองล้านหยวน รถของฉันมีราคาห้าแสนหยวน แล้วก็มีสินทรัพย์ถาวร เงินออมในธนาคาร หุ้น เงินทุน การลงทุน และสิ่งอื่นๆ รวมแล้วก็เป็นยอดประมาณสิบล้านหยวน ถ้าฉันจากไปฉันจะเอาทั้งหมดนี้ไปด้วยได้อย่างไร?” ไม่ง่ายเลยที่เจ้าจะปล่อยมือจากสมบัติพัสถานทางวัตถุเหล่านี้ เจ้าคิดว่า “ถ้าฉันละสิ่งเหล่านี้แล้วไปจากบ้านนี้และครอบครัวปัจจุบันของฉัน แล้วสถานที่ที่ฉันจะไปอยู่อาศัยในภายหน้าจะมีสภาพคล้ายกันไหม? ฉันจะทนยอมรับการใช้ชีวิตในกระท่อมดินหรือบ้านที่ทำจากฟางได้หรือ? ฉันจะทนกลิ่นเหม็นของโรงปศุสัตว์ได้หรือ? ตอนนี้ฉันสามารถอาบน้ำอุ่นได้ทุกวัน ฉันจะสามารถสู้ทนกับสถานที่ที่ฉันไม่สามารถแม้แต่จะอาบน้ำร้อนสักปีละครั้งได้หรือ?” ความคิดของเจ้าทวีคูณขึ้นจนเจ้าทนไม่ได้ ในขณะที่เจ้ามีเงิน เจ้าล้วงเงินสดเป็นกำออกมาซื้อสิ่งต่างๆ ซื้อสิ่งใดก็ตามที่เจ้าต้องการโดยปราศจากความลังเล เจ้าใจกว้างเป็นพิเศษและเจ้าก็ไม่เคยพลาดในเรื่องเงินเลย แต่หากเจ้าจะต้องละทั้งหมดนี้ เจ้าก็รู้สึกตะขิดตะขวงทุกครั้งที่ล้วงเข้าไปในกระเป๋าสตางค์พลางฉงนฉงายว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากในนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย หากเจ้าต้องการกินบะหมี่ร้อนๆ สักชาม เจ้าคงต้องคำนวนว่าร้านไหนที่ราคาถูกที่สุด และเจ้ายังคงสามารถกินได้กี่มื้อกับเงินที่เจ้าเหลืออยู่ เจ้าต้องวางแผนการใช้จ่ายอย่างเคร่งครัดโดยดำรงชีวิตแบบคนจนคนหนึ่ง เจ้าจะทนยอมรับเรื่องนั้นได้หรือ? แต่ก่อนแต่ไร หากเจ้าซักเสื้อผ้าตัวหนึ่งไปสองครั้งแล้วมันเสียรูปทรง และการสวมใส่เสื้อผ้าตัวนั้นจะทำให้เจ้ารู้สึกขายหน้า เจ้าก็จะโยนมันทิ้งแล้วหาใหม่ ตอนนี้เจ้าซักและใส่เสื้อยืดตัวเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า และต่อให้คอเสื้อฉีกขาด เจ้าก็รับไม่ได้ที่จะโยนมันทิ้งไป เจ้าจึงเย็บคืนและใส่มันต่อไป เจ้าจะทนยอมรับเรื่องนั้นได้หรือไม่? ไม่ว่าเจ้าไปที่ใด ผู้คนก็จะมองเจ้าเป็นคนยากจน และพวกเขาก็คงไม่ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้า เวลาที่เจ้าออกไปซื้อของและถามราคา ก็คงไม่มีใครสนใจเจ้า เจ้าจะทนเรื่องนั้นได้หรือ? นั่นไม่ใช่ความรู้สึกที่ง่ายเลย ใช่หรือไม่? แต่หากเจ้าไม่มีสมบัติพัสถานทางวัตถุและเงินทองเหล่านี้ เจ้าก็จะไม่จำเป็นต้องปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ และเจ้าก็คงไม่จำเป็นต้องเผชิญความท้าทายนี้ นั่นจะง่ายกว่ามากที่เจ้าจะทิ้งทุกสิ่งและไล่ตามเสาะหาความจริง เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงตรัสบอกผู้คนไว้นานแล้วว่าพวกเขาควรพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า ไม่ว่าเจ้าทำวิชาชีพอะไร จงอย่าปฏิบัติต่อวิชาชีพนั้นดั่งเป็นอาชีพการงาน และจงอย่ามองวิชาชีพนั้นเป็นเครื่องช่วยผลักดันให้ไปสู่ความสำเร็จหรือเป็นวิถีทางหนึ่งที่จะขึ้นไปสู่ความเด่นดังหรือสะสมความมั่งมีและใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายสบาย ไม่สำคัญว่าเจ้าทำงานหรือวิชาชีพอะไร การมองงานหรือวิชาชีพนั้นเป็นเพียงวิถีทางที่จะค้ำชูความเป็นอยู่ของเจ้าอย่างเดียวก็พอแล้ว หากงานหรือวิชาชีพนั้นสามารถค้ำชูชีวิตของเจ้าได้ เจ้าก็ควรรู้ว่าเมื่อไรที่จะต้องหยุดและไม่ไล่ตามไขว่คว้าความร่ำรวยอีกต่อไป หากการหาเงินได้เดือนละสองพันหยวนนั้นมากพอที่จะครอบคลุมอาหารวันละสามมื้อของเจ้าและสิ่งจำเป็นพื้นฐานของชีวิต เช่นนั้นเจ้าก็ควรหยุดตรงนั้นและไม่พยายามขยายขอบเขตของงานการของเจ้า หากเจ้ามีสิ่งจำเป็นพิเศษอันใด เจ้าก็สามารถรับทำงานล่วงเวลาเป็นกะเพิ่มเติมหรือรับทำงานชั่วคราวเพื่อหาเงินให้พอใช้จ่ายโดยไม่ก่อหนี้สิน—นั่นก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อผู้คนเป็นแบบนี้ กล่าวคือ ไม่ว่าเจ้าทำวิชาชีพใด ไม่สำคัญว่านวิชาชีพนั้นเกี่ยวข้องกับความรู้หรือทักษะทางวิชาการอันใด หรือเรียกร้องให้มีการลงแรงกายหรือไม่ ตราบที่วิชาชีพนั้นสมเหตุสมผลและถูกกฎหมาย อยู่ภายในความสามารถของเจ้า และวิชาชีพนี้สามารถค้ำชูความเป็นอยู่ของเจ้าได้ เช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว จงอย่าแปรวิชาชีพที่เจ้าทำให้กลายเป็นที่วางเท้าสำหรับก้าวไปสู่การทำให้อุดมการณ์และความพึงปรารถนาของตัวเจ้าเองเป็นจริง เพื่อเห็นแก่การสนองความพึงพอใจในของชีวิตในเนื้อหนังของเจ้า อันเป็นการทำให้ตัวเจ้าตกไปอยู่ในการทดลองหรือปลักตม หรือนำพาเจ้าไปตามเส้นทางที่มิอาจหวนคืน หากการหาเงินได้เดือนละสองพันหยวนนั้นเพียงพอที่จะค้ำชูชีวิตส่วนตัวของเจ้าหรือชีวิตของครอบครัวของเจ้าได้ เช่นนั้นเจ้าก็ควรทำงานนั้นต่อไปและใช้เวลาที่เหลือปฏิบัติความเชื่อในพระเจ้า เข้าร่วมการชุมนม ทำหน้าที่ของเจ้า และไล่ตามเสาะหาความจริง นี่คือภารกิจของเจ้า คุณค่าและความหมายแห่งชีวิตของผู้เชื่อคนหนึ่ง และไม่ว่าวิชาชีพใดที่เจ้าทำก็เป็นไปเพียงเพื่อการค้ำชูสิ่งจำเป็นพื้นฐานทางกายของชีวิตมนุษย์ปกติเท่านั้น พระเจ้าจะไม่ทรงร้องขอให้เจ้าขึ้นไปสู่ความเด่นดัง กลายเป็นโดดเด่น หรือสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในวิชาชีพของเจ้า หากวิชาชีพของเจ้าสัมพันธ์กับการวิจัยค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ นั่นจะต้องใช้พลังงานของเจ้าในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญ แต่หลักธรรมแห่งการปฏิบัติยังคงไม่เปลี่ยนแปลง—จงพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า หากวิชาชีพของเจ้าเสนอโอกาสสำหรับการเลื่อนตำแหน่งและรายได้ที่เป็นกอบเป็นกำบนพื้นฐานความสามารถของเจ้า และรายได้นี้ก็มากเกินข่ายของการพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า เจ้าควรเลือกที่จะทำอย่างไร? (ปฏิเสธข้อเสนอ) หลักธรรมที่เจ้าควรเชื่อฟังก็คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงตักเตือนไว้—จงพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า ไม่ว่าเจ้าทำวิชาชีพใด หากเจ้าไปเกินขอบเขตของการพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า เจ้าย่อมจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องลงทุนพลังงาน เวลาหรือค่าใช้จ่ายนอกเหนือข่ายของสิ่งจำเป็นพื้นฐานเพื่อที่จะหารายได้เพิ่มเติมนั้น ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันนี้เจ้าอาจจะเป็นพนักงานน้องใหม่ที่หาเงินได้มากพอที่จะค้ำชูความจำเป็นพื้นฐานของตน แต่เนื่องจากผลการปฏิบัติงานที่ดีต่องานการของเจ้า ผู้บังคับบัญชาของเจ้าจึงต้องการเลื่อนตำแหน่งเจ้าไปสู่ตำแหน่งทางฝ่ายบริหารหรือไปเป็นผู้บริหารระดับสูงนี่นั่นด้วยเงินเดือนที่สูงกว่าหลายเท่า รายได้นี้หามาได้โดยสูญเปล่าใช่หรือไม่? เมื่อรายได้ของเจ้าเพิ่มขึ้น เจ้าก็ต้องลงทุนเป็นการลงแรงในปริมาณที่สอดรับกันเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน การลงทุนเป็นความพยายามพึงต้องใช้พลังงานและเวลาไม่ใช่หรือ? นี่เทียบเท่ากับการพูดว่าเงินที่เจ้าหาได้นั้นได้มาจากการแลกเปลี่ยนพลังงานและเวลาของเจ้าในปริมาณที่มากโข เพื่อที่จะหาเงินให้มากขึ้น เจ้าจำเป็นต้องลงทุนเวลาและพลังงานของเจ้ามากขึ้น เมื่อเจ้าหาเงินได้มากขึ้น เวลาและพลังงานของเจ้าจึงถูกจับจองในปริมาณที่มากโข และในเวลาเดียวกัน เวลาที่เจ้าจัดสรรให้กับความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า การเข้าร่วมการชุมนุม การทำหน้าที่ และการไล่ตามเสาะหาความจริงก็ลดลงตามสัดส่วน นี่เป็นข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัด เมื่อพลังงานและเวลาของเจ้าถูกอุทิศให้กับการสะสมความมั่งมี เจ้าก็สูญเสียโอกาสที่มีต่อบำเหน็จรางวัลแห่งความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า พระเจ้าจะไม่ทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างโปรดปราน และพระนิเวศของพระองค์ก็จะไม่เติมเต็มให้เจ้าในสิ่งที่เจ้าขาดแค่เพียงเพราะเจ้าได้รับการเลื่อนตำแหน่ง และเวลากับพลังงานของเจ้าถูกจับจองอยู่อย่างมากมายในตอนนี้ อันเป็นเหตุให้เจ้าไม่มีเวลาทำหน้าที่ของตัวเองหรือเข้าร่วมการชุมนุมในพระนิเวศของพระเจ้า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นลักษณะนี้ใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่คอยแจ้งข่าวสารให้เจ้าได้ตามทันและอนุญาตให้เจ้าได้รับการปฏิบัติแบบพิเศษ อีกทั้งพระเจ้าก็จะไม่ทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างโปรดปรานเพราะการนี้ พูดสั้นๆ ก็คือ หากเจ้าปรารถนาที่จะมีบำเหน็จรางวัลสำหรับความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า หากเจ้าต้องการบรรลุความรอด นั่นก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของตัวเจ้าที่จะรักษาเวลาและพลังงาน นี่เป็นเรื่องของตัวเลือก พระเจ้าไม่ทรงห้ามไม่ให้เจ้าค้ำชูชีวิตที่เป็นปกติ รายได้ของเจ้าเพียงพอที่จะครอบคลุมอาหารและความอบอุ่น ค้ำชูการอยู่รอดทางร่างกายและกิจกรรมในชีวิตของเจ้า นั่นมากพอที่จะเกื้อหนุนการดำรงอยู่ต่อไปของเจ้า แต่เจ้าก็ไม่พอใจ เจ้าต้องการหาเงินเพิ่มตลอดเวลา เช่นนั้นพลังงานและเวลาของเจ้าก็จะถูกพรากไปโดยเงินจำนวนนี้ พลังงานและเวลาของเจ้ากำลังถูกพรากไปเพื่ออะไรหรือ? เพื่อสร้างเสริมคุณภาพของชีวิตทางกายของเจ้า ขณะที่เจ้าปรับปรุงคุณภาพของชีวิตทางกายของเจ้า เจ้าก็ได้รับจากการเชื่อในพระเจ้าน้อยลง และเวลาของเจ้าสำหรับการทำหน้าที่ก็หมดไป เวลานี้ถูกจับจอง อะไรที่จับจองเวลาของเจ้า? เวลาของเจ้าถูกจับจองโดยการไล่ตามไขว่คว้าชีวิตทางกายที่ดี โดยความสุขสำราญทางกาย นั่นคุ้มค่าหรือ? (ไม่คุ้ม) หากเจ้าเก่งเรื่องการชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีและข้อเสีย เจ้าย่อมรู้ว่านั่นไม่คุ้มค่า เจ้าได้รับความสุขสำราญในชีวิตทางกายของเจ้า เจ้ากินอาหารที่ดีขึ้นและคอยทำให้ท้องอิ่ม เจ้าแต่งกายดีมีรสนิยมและสบายตัว เจ้าได้สิ่งของที่เป็นของนักออกแบบและสินค้าหรูหราเพิ่มขึ้นมาสองสามอย่าง แต่งานการของเจ้าน่าเหน็ดเหนื่อยและเรียกร้องมากกว่าเดิม อีกทั้งยังกินเวลาและพลังงานของเจ้า ในฐานะผู้เชื่อคนหนึ่ง เจ้ากลับไม่มีเวลาเข้าร่วมการชุมนุมหรือฟังการเทศนา ทั้งเจ้ายังไม่มีเวลาไตร่ตรองความจริงและพระวจนะของพระเจ้า มีความจริงมากมายที่เจ้ายังคงไม่เข้าใจและไม่สามารถตระหนักรู้ได้ แต่เจ้าก็กลับไม่มีเวลาและพลังงานที่จะไตร่ตรองและแสวงหาสิ่งเหล่านี้ ชีวิตทางกายของเจ้าปรับปรุงดีขึ้น แต่ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเจ้าล้มเหลวในการเติบโตและเผชิญกับความเสื่อมถอย นี่เป็นการได้หรือเสีย? (เสีย) การสูญเสียนี้ใหญ่หลวงเกินไป! เจ้าจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีกับข้อเสีย! หากเจ้าเป็นบุคคลที่เฉลียวฉลาดซึ่งรักความจริงโดยแท้ เจ้าก็ควรชั่งน้ำหนักทั้งสองฝั่งและดูว่าอะไรคือสิ่งที่มีค่าและเปี่ยมความหมายที่สุดที่เจ้าจะได้รับ หากถึงเวลาเลื่อนตำแหน่งและเจ้ามีโอกาสหาเงินได้มากขึ้นและจัดเตรียมชีวิตทางกายที่ดีขึ้นให้กับตัวเองได้ เจ้าควรเลือกสิ่งใด? หากเจ้าต้องการที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและมีความมุ่งมั่นที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นเจ้าก็ปล่อยผ่านโอกาสเช่นนั้นไปเสีย ตัวอย่างเช่นสมมุติว่าใครบางคนที่บริษัทของเจ้าพูดว่า “คุณทำงานนี้มาสิบปี คนส่วนใหญ่ในบริษัทเห็นเงินเดือนตัวเองขึ้นและรับการเลื่อนตำแหน่งภายในสามถึงห้าปี แต่ค่าตอบแทนของคุณยังเป็นเหมือนเมื่อก่อนอยู่เลย ทำไมคุณถึงไม่ทำผลงานให้ดีกว่านี้? ทำไมคุณไม่ปรับปรุงผลการปฏิบัติงาน? ดูคนโน้นสิ เธอมาอยู่ที่นี่สามปี และตอนนี้เธอก็ขับรถเปิดประทุนอีกทั้งยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่โตขึ้น เธอเปลี่ยนจากอพาร์ทเม้นท์หนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่นไปเป็นบ้านสามห้องนอนสองห้องนั่งเล่นแล้ว ตอนเธอมา เธอก็เป็นแค่นักศึกษายากจนคนหนึ่ง เดี๋ยวนี้เธอคือผู้หญิงที่มั่งมี แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าของนักออกแบบตั้งแต่หัวจรดเท้า พักโรงแรมหรู อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ และขับขี่ยานพาหนะหรูหรา” พอเจ้าเห็นว่าเธอได้ดิบได้ดีอย่างไร เจ้าก็จะเริ่มรู้สึกอยู่ไม่สุขไม่ใช่หรือ? เจ้าจะไม่รู้สึกแย่หรือ? เจ้าจะขืนต้านการทดลองเช่นนั้นได้หรือไม่? เจ้าจะยังเหนียวแน่นต่อเจตนารมณ์ดั้งเดิมของตัวเองอยู่หรือไม่? เจ้าจะเหนียวแน่นต่อหลักธรรมทั้งหลายหรือไม่? หากเจ้ารักความจริงโดยแท้ เต็มใจไล่ตามเสาะหาความจริง และเชื่อว่าการได้รับบางสิ่งในความจริงนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตเจ้า และเชื่อว่าเจ้าได้เลือกสิ่งซึ่งสำคัญและมีค่าที่สุดในชีวิตของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่เสียดายการนั้น และเจ้าก็จะไม่ไหวเอนไปกับสิ่งต่างๆ อย่างเช่นการเลื่อนตำแหน่ง เจ้าจะยืนกรานหนักแน่นโดยพูดว่า “ฉันพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า ไม่ว่าฉันรับทำสายอาชีพใด นั่นก็เพื่อเห็นแก่อาหารและความอบอุ่น เพื่อเปิดโอกาสให้ร่างกายของฉันได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ใช่เพื่อความชื่นชมยินดีทางร่างกาย และไม่ใช่เพื่อสัมฤทธิ์ความเด่นดังอย่างแน่นอน ฉันไม่ไล่ตามไขว่คว้าการเลื่อนตำแหน่งหรือเงินเดือนสูงๆ ฉันจะใช้ประโยชน์จากอายุขัยที่จำกัดของฉันในการไล่ตามเสาะหาความจริง” หากเจ้ามีความมุ่งมั่นนี้ เจ้าย่อมไม่หวั่นไหวและหัวใจของเจ้าก็จะสงบนิ่ง เมื่อเจ้าเห็นคนอื่นได้เลื่อนตำแหน่ง ได้รับการขึ้นเงินเดือน หรือสวมใส่เครื่องประดับเงินและทองรวมถึงเสื้อผ้ายี่ห้อดัง สุขสำราญกับคุณภาพของชีวิตที่ดีกว่าเจ้า และมีรสนิยมล้ำกว่าเจ้า เจ้าก็จะไม่รู้สึกอิจฉา ใช่อย่างนั้นหรือไม่? (ใช่) อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่รักความจริงและไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็จะไม่สามารถหักห้ามใจได้ และเจ้าก็จะขืนต้านได้ไม่นานนัก ในวาระเช่นนั้นและสภาพแวดล้อมเช่นนั้น หากผู้คนไม่มีความจริงเป็นชีวิตของตน หากพวกเขาขาดความมุ่งมั่นสักเล็กน้อย หากพวกเขาขาดความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่แท้จริง พวกเขาย่อมจะโอนเอนกลับไปกลับมาและรู้สึกอ่อนแออยู่เป็นนิจ หลังจากขืนต้านไปได้สักพัก พวกเขาก็จะถึงกับโศกเศร้าขึ้นมาพลางคิดว่า “เมื่อไหร่วันเวลาเหล่านี้จะสิ้นสุดลงเสียที? ถ้าวันของพระเจ้าไม่มาถึง ฉันจะยังเป็นเด็กรับใช้ในบริษัทไปอีกนานเท่าไร? คนอื่นหาเงินได้มากกว่าฉัน ทำไมฉันถึงทำได้เพียงดำรงรักษาอาหารกับความอบอุ่นขั้นพื้นฐานไว้เท่านั้น? พระเจ้าตรัสบอกไม่ให้ฉันหาเงินเพิ่ม” ใครห้ามไม่ให้เจ้าหาเงินเพิ่ม? หากเจ้ามีความสามารถ เจ้าก็หาเงินเพิ่มได้ หากเจ้าเลือกที่จะหาเงินเพิ่ม ที่จะดำเนินวิถีชีวิตอันมั่งมี และสุขสำราญกับการใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย ก็ไม่เป็นไร ไม่มีใครกำลังห้ามเจ้า อย่างไรก็ดี เจ้าจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อการเลือกของเจ้าเอง สุดท้ายแล้วหากเจ้าไม่บรรลุความจริง หากพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้กลายเป็นชีวิตภายในตัวเจ้า เจ้าก็จะเป็นคนเดียวเท่านั้นที่เสียใจกับเรื่องนี้ เจ้าจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อการกระทำและการเลือกของเจ้าเอง ไม่มีใครสามารถรับผิดชอบหรือจ่ายเงินแทนเจ้าได้ ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะเชื่อในพระเจ้า จงเดินไปตามเส้นทางแห่งความรอดและไล่ตามเสาะหาความจริง จงอย่าเสียดายในเรื่องนี้ ในเมื่อนี่เป็นสิ่งที่เจ้าได้เลือกแล้ว เจ้าก็ไม่ควรมองสิ่งนี้เป็นกฎเกณฑ์หรือพระบัญญัติที่ต้องปฏิบัติตาม กลับกัน เจ้าควรเข้าใจว่าการยืนกรานหนักแน่นและตัวเลือกของเจ้ามีคุณค่าและความหมาย ในท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เจ้าได้รับก็คือความจริงและชีวิต ไม่ใช่แค่กฎเกณฑ์ หากการยืนกรานหนักแน่นและตัวเลือกของเจ้าทำให้เจ้าอับอายมากเป็นพิเศษ ไม่สะดวกใจหรือไม่สามารถสู้หน้าผู้คนรอบตัวได้ เช่นนั้นก็จงอย่ายืนกรานต่อไปเลย เหตุใดจึงทำสิ่งต่างๆ ให้ยากเย็นสำหรับตัวเจ้าเองเล่า? สิ่งใดก็ตามที่เจ้าปรารถนาอยู่ในหัวใจ สิ่งใดก็ตามที่เจ้าต้องการก็จงไล่ตามไขว่คว้าสิ่งนั้น—ไม่มีใครเลยที่กำลังห้ามเจ้า ถึงตอนนี้ที่พวกเรากำลังสามัคคีธรรมกันแบบนี้ก็แค่เป็นการให้หลักธรรมแก่เจ้า ทุกวิชาชีพที่ผู้คนร่วมทำในโลกนี้สัมพันธ์กับชื่อเสียง กำไร และความสุขสำราญทางกาย เหตุผลที่ผู้คนหาเงินเพิ่มไม่ใช่เพื่อสัมฤทธิ์ผลเป็นเงินจำนวนหนึ่ง แต่เพื่อทำให้ความสุขสำราญทางกายของตนดีขึ้นโดยผ่านทางการหาเงินจำนวนนั้นและกลายเป็นคนมั่งมีซึ่งเป็นที่รู้จักต่อสาธารณะอีกด้วย แบบนี้พวกเขาก็จะมีชื่อเสียง กำไรและตำแหน่งซึ่งล้วนแต่เกินจำเป็นในข่ายของสิ่งจำเป็นพื้นฐาน ราคาใดที่ผู้คนจ่ายก็เพื่อความสุขสำราญทางกาย ไม่มีอะไรในนั้นเลยที่มีความหมาย ทั้งหมดนั้นว่างเปล่าเหมือนความฝัน สิ่งที่พวกเขาได้รับในตอนท้ายเป็นความว่างเปล่าล้วนๆ วันนี้เจ้าอาจจะกินเกี๊ยวสำหรับมื้ออาหารของเจ้าและรู้สึกอร่อย แต่หลังจากทบทวนอย่างรอบคอบแล้ว เจ้าย่อมเห็นว่าเจ้าไม่ได้รับอะไรเลย หากเจ้ากินทุกวัน เจ้าก็อาจจะเบื่อ เลิกกินและสลับไปเป็นอย่างอื่น เช่น ขนมปังข้าวโพด ข้าวหรือแพนเค้ก เจ้าปรับเปลี่ยนตัวเองแบบนี้แล้วร่างกายของเจ้าก็เริ่มมีสุขภาพดีขึ้น หากเจ้ากินอาหารไขมันสูงทุกวัน ร่างกายของเจ้าก็อาจจะกลายเป็นสุขภาพไม่ดี ไม่ใช่หรือ?
การพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า นี่เป็นเส้นทางที่ถูกต้องหรือไม่? (นี่ถูกต้อง) เหตุใดเส้นทางนี้จึงถูกต้อง? คุณค่าของชีวิตของบุคคลเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาหารและเสื้อผ้าหรือไม่? (ไม่) หากคุณค่าของชีวิตของบุคคลไม่เกี่ยวกับอาหารและเสื้อผ้าหรือความสุขสำราญในเนื้อหนัง เช่นนั้นวิชาชีพที่บุคคลหนึ่งทำก็ควรลุล่วงความต้องการที่จำเป็นสำหรับอาหารและเสื้อผ้าเท่านั้น ไม่ควรไปเกินขอบเขตนี้ จุดประสงค์เบื้องหลังการมีอาหารและเสื้อผ้าคืออะไร? เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายสามารถอยู่รอดได้อย่างเป็นปกติ จุดประสงค์ของการอยู่รอดคืออะไร? นั่นไม่ใช่เพื่อเห็นแก่ความสุขสำราญทางเนื้อหนัง และไม่ใช่เห็นแก่การสุขสำราญในครรลองของชีวิตและแน่นอนว่า นั่นไม่ใช่เพื่อเห็นแก่การสุขสำราญในสิ่งทั้งปวงที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์ในชีวิต ทั้งหมดนี้ไม่สำคัญ แล้วอะไรเล่าสำคัญที่สุด? อะไรคือสิ่งมีค่าที่สุดที่บุคคลหนึ่งควรทำ? (คนคนหนึ่งควรเดินบนเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริง แล้วก็ลุล่วงหน้าที่ของตน) ไม่ว่าเจ้าเป็นบุคคลประเภทใด เจ้าก็คือสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้าง สิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างควรทำสิ่งที่พวกเขาถูกหมายให้ทำ—นี่คือสิ่งที่มีคุณค่า แล้วอะไรคือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างทำแล้วมีคุณค่า? ทุกสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างมีภารกิจที่พระผู้สร้างไว้วางพระทัยมอบหมายแก่พวกเขา ภารกิจที่พวกเขาถูกหมายให้ลุล่วง พระเจ้าได้ทรงกำหนดโชคชะตาของชีวิตของแต่ละบุคคล ไม่ว่าโชคชะตาของชีวิตพวกเขาจะเป็นอะไรก็ตาม นั่นก็คือสิ่งที่พวกเขาควรทำ หากเจ้าทำได้ดี เช่นนั้นเมื่อเจ้ายืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อบอกเล่าเรื่องราว พระเจ้าจะทรงให้คำตอบที่น่าพึงพอใจ พระองค์จะตรัสว่าชีวิตของเจ้าได้ถูกใช้ไปอย่างมีคุณค่าและผลิดอกออกผล ว่าเจ้าได้แปลงพระวจนะของพระเจ้าไปเป็นชีวิตของเจ้า และว่าเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสม อย่างไรก็ตามหากชีวิตของเจ้าแค่เกี่ยวกับการดำรงชีวิต การดิ้นรน และการลงทุนเพื่อเห็นแก่อาหาร เสื้อผ้า ความยินดี และความสุข เช่นนั้นเมื่อสุดท้ายแล้วเจ้ายืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระองค์จะทรงถามว่า “เจ้าลุล่วงภารกิจและกิจของชีวิตนี้ที่เราได้มอบให้เจ้าไปมากเพียงใดแล้ว?” เจ้าก็จะคำนวณทั้งหมดรวมกันและพบว่าพลังงานและเวลาของชีวิตนี้ถูกใช้ไปกับอาหาร เสื้อผ้า และความบันเทิง นั่นดูเหมือนเจ้าไม่ได้ทำอะไรมากมายนักกับความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เจ้ายังไม่ได้ลุล่วงหน้าที่ของเจ้า เจ้ายังไม่ได้ยืนหยัดไปจนถึงปลายทาง และเจ้ายังไม่ได้ดำเนินการอุทิศของตน เมื่อคำถึงถึงการไล่ตามเสาะหาความจริง แม้เจ้ามีความเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่บ้าง แต่เจ้าก็ยังไม่ได้จ่ายราคาไปมากนัก และเจ้าก็ยังไม่ได้รับสิ่งใดเลย ในข้อทดสอบขั้นสุดท้ายนั้น พระวจนะของพระเจ้าก็ยังไม่ได้กลายมาเป็นชีวิตของเจ้า และเจ้าก็ยังเป็นซาตานตนเดิม วิธีการของเจ้าสำหรับการปฏิบัติตนและการมองสิ่งทั้งหลายล้วนอยู่บนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดกับความคิดฝันแบบมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน เจ้ายังคงต่อต้านพระเจ้าอย่างสิ้นเชิงและเข้ากันไม่ได้กับพระองค์ ในกรณีนั้น เจ้าจะถูกทำให้เปลี่ยนไปจนไร้ประโยชน์ และพระเจ้าจะไม่ต้องประสงค์ในตัวเจ้าอีกต่อไป นับจากจุดนี้ เจ้าจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างของพระเจ้าอีกต่อไป นั่นช่างเป็นสิ่งที่น่าเวทนานัก! เพราะฉะนั้นไม่ว่าเจ้าประกอบวิชาชีพอะไร ตราบที่วิชาชีพนั้นถูกกฎหมาย พระเจ้าก็ทรงจัดการเตรียมการและลิขิตวิชาชีพนั้นไว้ล่วงหน้า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าทรงเกื้อหนุนหรือหนุนใจเจ้าให้หาเงินมากขึ้นและขึ้นไปสู่ความเด่นดังในอาชีพการงานที่เจ้าได้รับทำ พระเจ้าไม่ทรงเห็นชอบกับการนี้ และพระองค์ก็ไม่เคยทรงพึงปรารถนาการนี้จากเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นพระเจ้าก็ยังจะไม่มีวันทรงใช้วิชาชีพที่เจ้าทำมาผลักให้เจ้าเข้าหาทางโลก ส่งมอบเจ้าให้กับซาตาน หรืออนุญาตให้เจ้าไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและกำไรไปตามแต่ใจ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระเจ้าทรงอนุญาตให้เจ้าจัดการแก้ไขความต้องการที่จำเป็นของเจ้าสำหรับอาหารและเสื้อผ้าโดยผ่านทางวิชาชีพที่เจ้าทำ—ก็เท่านั้นเอง ที่นอกจากนั้นก็คือ ภายในพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ได้ตรัสบอกเจ้าไว้แล้วถึงสิ่งทั้งหลาย อาทิ สิ่งเป็นหน้าที่ของเจ้า สิ่งที่เป็นภารกิจของเจ้า สิ่งที่เจ้าควรไล่ตามเสาะหา และสิ่งที่เจ้าควรใช้ชีวิตตาม เหล่านี้คือค่านิยมที่เจ้าควรใช้ชีวิตตามและคือเส้นทางที่เจ้าควรเดินไปจนตลอดชีวิตของเจ้า หลังจากที่พระเจ้าได้ตรัสและเจ้าเข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ เจ้าควรทำอะไร? หากการทำงานสัปดาห์ละสามวันมากพอที่จะให้ได้ตามความต้องการที่จำเป็นของเจ้าสำหรับอาหารและเสื้อผ้า แต่เจ้ายังคงเลือกที่จะทำงานในวันอื่นๆ จากนั้นเจ้าก็ทำหน้าที่ของเจ้าไม่ได้ เวลาที่หน้าที่หนึ่งพึงต้องได้รับความร่วมมือจากเจ้า เจ้าก็พูดว่า “ฉันติดงานอยู่ ฉันประจำการอยู่” และเมื่อใครบางคนพยายามติดต่อเจ้า เจ้าก็อ้างว่าไม่มีเวลาตลอด เมื่อไรเจ้าจึงมีเวลา? หลังสองทุ่มตอนที่เจ้าหมดสภาพ เหนื่อยล้า และหมดแรงแล้วเท่านั้นเอง เจ้ามีเจตจำนงแต่ไม่มีเรี่ยวแรงกำลัง เจ้าทำงานสัปดาห์ละหกวัน และเมื่อใดก็ตามที่ใครบางคนพยายามติดต่อเจ้าทางโทรศัพท์ เจ้าก็อ้างว่าไม่มีเวลาตลอด มีเพียงวันอาทิตย์ที่เจ้ามีเวลา และแม้แต่ตอนนั้น เจ้าก็จำเป็นต้องใช้เวลากับครอบครัวและลูกๆ ของเจ้า ทำงานบ้าน รวมทั้งเติมพลังงานคืนให้ตัวเองและผ่อนคลายสักพัก บางคนถึงกับไปเที่ยวพักร้อน ใช้เวลาบางส่วนกับกิจกรรมยามว่าง รวมทั้งออกไปใช้เงินและซื้อสิ่งของ บางคนสร้างสัมพันธภาพกับเพื่อนร่วมงานและสร้างเครือข่ายกับหัวหน้าและผู้บริหารระดับบน นี่เป็นการเชื่อประเภทใด? นี่คือผู้ไม่เชื่ออย่างสิ้นเชิงเลย การร่วมธรรมเนียมปฏิบัติมีประโยชน์อะไร? อย่าบอกว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าไม่มีสัมพันธภาพกับผู้เชื่อในพระเจ้าเลย เจ้าไม่ได้เป็นของคริสตจักร อย่างมากที่สุด เจ้าก็แค่มิตรสหายคนหนึ่งของคริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้าจำเป็นต้องมีใครบางคนรับมือกับกิจธุระภายนอก และเจ้าก็อาจตกลงที่จะช่วย แต่นั่นก็แค่การที่เจ้าไม่ปฏิเสธ ส่วนการที่เจ้าสามารถทำงานตำแหน่งนั้นได้หรือไม่ หรือเมื่อไรที่เจ้าสามารถทำได้นั้นไม่มีใครรู้ และหลังจากที่เจ้าได้ไปถึงตำแหน่งงานของเจ้า ก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะมอบทั้งหัวใจกับเรี่ยวแรงกำลังและเวลาทั้งหมดของเจ้าให้กับตำแหน่งงานนั้นได้หรือไม่—เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้ ใครเล่าที่รู้ว่าเมื่อใดที่เจ้าอาจจะยุ่งกับงานมากเหลือเกินหรือออกเดินทางไปทำธุรกิจ หรือหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเป็นเวลาสองสัปดาห์หรือหนึ่งเดือน—ไม่มีใครติดต่อเจ้าได้ นี่ไม่ใช่ความเชื่อที่จริงแท้อีกต่อไป นี่เป็นแค่ธรรมเนียมปฏิบัติธรรมดา เมื่อเป็นเรื่องของผู้คนแบบนี้ ก็ควรริบหนังสือพระวจนะของพระเจ้าจากพวกเขา แล้วจากนั้นพวกเขาก็ควรถูกเอาตัวออกไปและบอกไปว่า “ถ้าคุณไม่สามารถปล่อยมือจากงานได้ ไม่มีเวลาให้กับการชุมนุม และไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ พระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่บังคับคุณ เราแยกกันตรงนี้เถอะ เมื่อไรที่คุณสามารถมาพอใจกับการแค่มีอาหารและเสื้อผ้า เลิกล้มความต้องการคุณภาพชีวิตที่สูง และจัดสรรเวลาให้กับการทำหน้าที่ของตัวเองให้มากขึ้น ถึงตอนนั้นพวกเราจะยอมรับคุณเข้ากลุ่มและนับคุณเป็นสมาชิกของคริสตจักร หากคุณสัมฤทธิ์ผลแบบนี้ไม่ได้ และคุณแค่เข้ามารายงานตัว ช่วยงาน และสร้างสัมพันธภาพที่ไม่มีสาระกับเหล่าพี่น้องชายหญิงในยามว่างของคุณ นั่นไม่นับเป็นการทำหน้าที่ของคุณในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้าง และนั่นไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นการเชื่อในพระเจ้าอย่างเป็นทางการอย่างแน่นอน” พวกเราเรียกผู้คนแบบนี้ว่าอะไร? (มิตรสหายของคริสตจักร) มิตรสหายของคริสตจักร กัลยาณมิตรแห่งคริสตจักร “ใครก็ตามที่ไม่ได้ต่อสู้พวกเราย่อมอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเรา” (มาระโก 9:40) เพราะฉะนั้นผู้คนประเภทนี้จึงถูกอ้างอิงถึงในฐานะมิตรสหายของคริสตจักร การเรียกใครบางคนว่ามิตรสหายของคริสตจักรบ่งชี้ว่าพวกเขายังคงอยู่ในระยะสังเกตการณ์ พวกเขายังไม่ใช่ผู้เชื่อในพระเจ้าแบบเป็นทางการ ยังไม่ถูกนับเป็นคนของคริสตจักร และพวกเขาก็ยังไม่ถูกมองว่าเป็นคนที่กำลังทำหน้าที่ อย่างมากที่สุด พวกเขาก็ยังคงต้องถูกจับตาสังเกต เนื่องจากยังไม่ชัดเจนว่าพวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้หรือไม่ อย่างไรก็ดี เนื่องจากข้อจำกัดที่บางคนถูกกำหนดโดยสภาพแวดล้อมหรือภาวะทางครอบครัว พวกเขาจึงต้องทำงานหลายวันต่อสัปดาห์เพื่อจัดการแก้ไขปัญหาปากท้องและเกื้อหนุนลูกหลานของตน พวกเราจะไม่สร้างข้อเรียกร้องแบบเด็ดขาดอันใดกับพวกเขา หากพวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตัวเองในเวลาที่เหลือของพวกเขา เช่นนั้นก็นับว่าพวกเขาเป็นสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ว่ากำลังเชื่อในพระเจ้าอย่างเป็นทางการ เพราะพวกเขาทำได้ตามภาวะพื้นฐานของการพอใจกับอาหารและเสื้อผ้าแล้ว พวกเขามีความลำบากยากเย็นตามข้อเท็จจริงแวดล้อม และหากเจ้าห้ามไม่ให้พวกเขาทำงาน ทั้งครอบครัวของพวกเขาก็จะไม่มีวิถีทางใดที่จะมาเกื้อหนุน และพวกเขาก็จะทนทุกข์จากความหนาวเหน็บและความหิวโหย หากเจ้าไม่ยอมให้พวกเขาทำงาน ใครจะเกื้อหนุนครอบครัวของพวกเขา? เจ้าจะไปเกื้อหนุนพวกเขาหรือ? เพราะฉะนั้นเหล่าผู้นำ ผู้กำกับดูแลและใครก็ตามที่มีความสัมพันธ์กับพวกเขาไม่มีเหตุอันชอบธรรมที่จะเรียกร้องให้พวกเขาเลิกทำงานการและให้พวกเขาไม่เป็นกังวลเกี่ยวกับครอบครัวของตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ นี่จะเป็นการขอผู้คนในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ควรให้พวกเขาได้มีวิถีทางในการดำรงชีวิต ผู้คนไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่ในสุญญากาศ พวกเขาไม่ใช่เครื่องจักร พวกเขาจำเป็นต้องอยู่รอด ต้องค้ำชูความเป็นอยู่ อย่างที่พวกเราเสวนากันมาก่อนหน้า หากเจ้ามีลูกหลานและครอบครัว เช่นนั้นในฐานะเสาหลักหรือสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว เจ้าก็ควรรับผิดชอบต่อการเกื้อหนุนครอบครัวของเจ้า หลักธรรมสำหรับการลุล่วงความรับผิดชอบนี้ก็เพื่อสัมฤทธิ์ผลเป็นอาหารและความอบอุ่น นั่นคือหลักธรรม สำหรับคนบางคน พวกเขาอยู่ในภาวะแบบนี้ และพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังการปฏิบัติตามความรับผิดชอบที่พวกเขามีต่อครอบครัว พวกเขาก็ปรับตารางเวลาเพื่อทำหน้าที่ของตน พระนิเวศของพระเจ้าเปิดโอกาสและอนุญาตในเรื่องนี้ เจ้าไม่อาจขอสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จากผู้คน นี่ใช่หลักธรรมหรือไม่? (ใช่) ไม่มีใครมีเหตุผลอันชอบธรรมที่จะเรียกร้องให้บรรดาผู้ที่เพิ่งเชื่อในพระเจ้าได้ไม่นานและยังไม่หยั่งรากลึกต้องเลิกล้มงานการของพวกเขา ทอดทิ้งครอบครัวของพวกเขา หย่าร้าง ละเลยบุตรหลาน หรือปฏิเสธพ่อแม่ของพวกเขา ไม่มีอะไรในสิ่งเหล่านี้ที่จำเป็นเลย สิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าพึงประสงค์ให้ผู้คนปฏิบัติตามก็คือหลักธรรมความจริง และหลักธรรมเหล่านี้ประกอบด้วยสถานการณ์และภาวะอันหลากหลาย บนพื้นฐานของสถานการณ์และภาวะที่แตกต่างกันเหล่านี้ ควรมีการตั้งข้อพึงประสงค์และการประเมินวัดไปตามหลักธรรมความจริง นี่เท่านั้นจึงจะถูกต้องแม่นยำ เพราะฉะนั้นในเรื่องของอาชีพการงานจึงสำคัญยิ่งยวดที่จะพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า หากเจ้าไม่สามารถมองประเด็นนี้อย่างชัดเจน เจ้าอาจจะสูญเสียหน้าที่และเสี่ยงที่จะเสียโอกาสในการได้รับการช่วยให้รอด
ยุคสุดท้ายก็เป็นเวลาพิเศษเช่นกัน ในแง่หนึ่งนั้น กิจธุระของคริสตจักรกำลังยุ่งวุ่นวายและซับซ้อน ในอีกแง่นั้น การเผชิญชั่วขณะนี้ที่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้ากำลังแผ่ขยายออกไป จำเป็นต้องมีผู้คนจำนวนมากขึ้นที่จะอุทิศเวลาและพลังงานของตน ร่วมสมทบความพยายามของตนและลุล่วงหน้าที่ของตนเพื่อให้ได้ตามความต้องการที่จำเป็นของโครงการสารพันภายในพระนิเวศของพระเจ้า เพราะฉะนั้น ไม่สำคัญว่าเจ้ามีสายอาชีพอะไร หากนอกเหนือจากการทำให้ได้ตามความต้องการที่จำเป็นในการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานแล้ว เจ้าสามารถอุทิศเวลาและพลังงานของเจ้าเพื่อลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้า ให้ความร่วมมือกับโครงการอันหลากหลาย เช่นนั้นแล้วในพระเนตรของพระเจ้า นี่ไม่เพียงเป็นที่พึงปรารถนาแต่ยังเปี่ยมคุณค่าเป็นพิเศษอีกด้วย นี่คู่ควรแก่การได้รับการรำลึกถึงจากพระเจ้า และยังคุ้มค่าด้วยเช่นกันที่ผู้คนจะลงทุนและใช้จ่ายไปมากเท่านี้ นั่นเป็นเพราะถึงแม้เจ้าได้เสียสละความสุขสำราญของเนื้อหนังไป แต่สิ่งที่เจ้าได้รับก็คือชีวิตอันมิอาจประเมินราคาได้แห่งพระวจนะของพระเจ้า ชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ขุมศัพท์อันมิอาจประเมินราคาได้ที่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนกับสิ่งใดในโลก กับเงิน หรือกับสิ่งอื่นได้เลย และขุมทรัพย์อันมิอาจประเมินค่าได้นี้ สิ่งที่เจ้าได้รับผ่านทางการลงทุนเวลาและพลังงาน ผ่านทางความพยายามและการไล่ตามเสาะหาของเจ้าเอง นี่เป็นความเอื้อเฟื้อพิเศษและเป็นบางสิ่งซึ่งเจ้าโชคดีที่ได้รับใช่หรือไม่? การที่พระวจนะของพระเจ้าและความจริงกลายเป็นชีวิตของคนคนหนึ่ง นี่คือขุมทรัพย์อันมิอาจประเมินราคาได้ในการแลกเปลี่ยนที่ผู้คนควรเสนอทุกสิ่งให้ไป ดังนั้นบนพื้นฐานของการที่สายอาชีพของเจ้าเปิดโอกาสให้เจ้ามีอาหารและเสื้อผ้า หากเจ้าสามารถจ่ายราคาและลงทุนเวลากับพลังงานให้กับการไล่ตามเสาะหาความจริง—หากเจ้าเลือกเส้นทางนี้—เช่นนั้นก็เป็นสิ่งดีที่ควรค่าแก่การฉลอง เจ้าไม่ควรรู้สึกหมดกำลังใจหรือสับสนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าควรมั่นใจว่าตัวเองเลือกถูกแล้ว เจ้าอาจจะพลาดโอกาสสำหรับการเลื่อนตำแหน่งไป สำหรับการขึ้นเงินเดือนและรายได้ที่สูงขึ้น สำหรับความสุขสำราญของชีวิตในเนื้อหนังที่มากกว่า หรือสำหรับชีวิตที่มั่งมี แต่เจ้าก็ได้คว้าโอกาสแห่งความรอดมากุมไว้แล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าได้สูญเสียหรือปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นหมายความว่า ตัวเลือกของเจ้าได้นำพาความหวังและความมีชีวิตชีวาสำหรับความรอดมาให้ เจ้าไม่ได้สูญเสียสิ่งใดเลย ในทางตรงข้าม หากหลังจากที่มีอาหารและเสื้อผ้า เจ้าก็ทุ่มเวลากับพลังงานพิเศษเข้าไป หาเงินได้มากขึ้น ได้มาซึ่งความยินดีทางวัตถุมากขึ้น และเนื้อหนังของเจ้าก็ได้รับการสนอง ทว่าในการทำเช่นนั้น เจ้าได้ทำลายความหวังของความรอดของตัวเจ้าเอง เช่นนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ไม่ใช่สิ่งดีสำหรับเจ้า เจ้าควรไม่สบายใจและวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น เจ้าควรปรับงานหรือท่าทีของเจ้าเกี่ยวกับชีวิตและข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตทางกาย เจ้าควรปล่อยมือจากความอยากได้อยากมี แผนการและกำหนดการบางอย่างสำหรับชีวิตในเนื้อหนังที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง เจ้าควรอธิษฐานต่อพระเจ้า มาสู่การทรงสถิตของพระองค์ และแน่วแน่ที่จะลุล่วงหน้าที่ของตนเอง ทุ่มจิตใจและร่างกายของเจ้าให้กับกิจนานาสารพันในพระนิเวศของพระเจ้า เพียรพยายามเพื่อที่ในภายภาคหน้าวันที่พระราชกิจของพระเจ้าสรุปปิดตัวลง ตอนที่พระเจ้าทรงตรวจสอบงานของผู้คนต่างประเภทกันทั้งหมด และทรงประเมินวัดวุฒิภาวะของผู้คนต่างประเภทกันเหล่านี้ทั้งหมด เจ้าจะเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา เมื่อพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าสำเร็จลุล่วง เมื่อข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าได้เผยแผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล เมื่อฉากอันน่าชื่นบานนี้คลี่คลายตัวออกมา ก็จะมีความตรากตรำ การลงทุน และการพลีอุทิศของเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงได้รับพระสิริ เมื่อพระราชกิจของพระองค์แผ่ขยายไปทั่วทั้งจักรวาล เมื่อทุกคนกำลังฉลองการสำเร็จลุล่วงที่ประสบความสำเร็จของพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ตรงการคลี่คลายตัวของชั่วขณะแห่งความชื่นบานนั้น เจ้าก็จะเป็นคนหนึ่งซึ่งเชื่อมโยงกับความชื่นบานยินดีนี้ เจ้าจะเป็นส่วนหนึ่งของความชื่นบานยินดีนี้ ไม่ใช่คนที่จะร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คนที่จะตีอกชกหัวตัวเองในขณะที่คนอื่นทุกคนกำลังโห่ร้องและกระโดดโลดเต้นด้วยความชื่นบานยินดี ไม่ใช่คนที่กำลังได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง ผู้ที่จะถูกพระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์อย่างถ้วนทั่วและทรงกำจัดออกไป แน่นอนว่า ที่ยิ่งดีกว่านั้นอีกก็คือเมื่อพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าสำเร็จลุล่วง เจ้าจะมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิต เจ้าจะเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งได้รับการช่วยให้รอด ไม่กบฏต่อพระเจ้าอีกต่อไป ไม่ละเมิดหลักธรรมอีกต่อไป แต่เป็นใครคนหนึ่งซึ่งเข้ากันได้กับพระเจ้า ในเวลาเดียวกัน เจ้าก็จะชื่นบานยินดีอยู่เหนือทุกสิ่งที่เจ้าล้มเลิกไปตั้งแต่ต้นอีกด้วย อาทิ เงินเดือนสูง ความยินดีทางเนื้อหนัง การปฏิบัติทางวัตถุที่ดี สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่เหนือกว่า อีกทั้งการซาบซึ้งในคุณค่า การเลื่อนตำแหน่ง และการยกระดับที่เหล่าผู้นำมอบให้ เจ้าจะไม่เสียดายว่าเจ้าไม่ได้ล้มเลิกโอกาสเหล่านั้นเพื่อการเลื่อนตำแหน่ง หรือโอกาสเหล่านั้นที่จะเพิ่มเงินเดือนของตัวเองและสร้างความมั่งมี หรือโอกาสที่จะปรนเปรอตัวเองอยู่ในวิถีชีวิตที่หรูหรา กล่าวสั้นๆ ก็คือ ข้อพึงประสงค์และมาตรฐานของวิชาชีพที่คนคนหนึ่งทำ ซึ่งก็มีหลักธรรมแห่งการปฏิบัติที่พวกเขาควรเชื่อฟังอยู่ด้วยเช่นกันนั้นล้วนสรุปรวบยอดอยู่ในคำกล่าวนี้ที่ว่า “จงพอใจกับอาหารและเสื้อผ้า” การไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อบรรลุชีวิตคือสิ่งที่ผู้คนควรยึดมั่น พวกเขาไม่ควรละทิ้งความจริงและเส้นทางที่ถูกต้องเพื่อที่จะสนองความอยากได้อยากมีและความสุขสำราญทางเนื้อหนังของตน นี่ประกอบเป็นหลักธรรมข้อที่สองที่ผู้คนควรค้ำจุนในแง่ของอาชีพการงาน
เมื่อคำนึงถึงหัวข้อการปล่อยมือจากอาชีพการงานของคนเรา วันนี้พวกเราก็ได้เสวนากันไปสองหลักธรรม เจ้าได้เข้าใจหลักธรรมทั้งสองนี้แล้วหรือไม่? (เข้าใจ) ด้วยความเข้าใจที่ชัดเจนในหลักธรรม ขั้นตอนต่อไปก็คือการประเมินบนพื้นฐานของหลักธรรมเหล่านี้ ว่าจะปฏิบัติหลักธรรมเหล่านี้อย่างไร ในท้ายที่สุดนั้น บรรดาผู้ที่สามารถค้ำจุนหลักธรรมเหล่านี้ก็คือผู้ที่เดินตามทางของพระเจ้า ขณะที่พวกที่ไม่สามารถค้ำจุนหลักธรรมได้ก็กำลังเบี่ยงเบนไปจากทางของพระเจ้า การนี้เรียบง่ายเช่นนั้นเอง หากเจ้าสามารถค้ำจุนหลักธรรมได้ เจ้าก็จะบรรลุความจริง หากเจ้าไม่ค้ำจุนหลักธรรม เจ้าก็จะสูญสิ้นความจริง การบรรลุความจริงจะให้ความหวังแห่งความรอด การล้มเหลวที่จะบรรลุความจริงจะนำทางไปสู่การสูญสิ้นความหวังแห่งความรอด—นั่นก็เป็นเช่นนี้เอง เอาล่ะ พวกเรามาสรุปปิดการสามัคคีธรรมสำหรับวันนี้ตรงนี้กันเถิด สวัสดี!
10 มิถุนายน ค.ศ. 2023