พระวจนะว่าด้วยการมีประสบการณ์กับความล้มเหลว การล้มลง บททดสอบ และกระบวนการถลุง
บทตัดตอน 59
ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา สิ่งที่ผู้คนแสวงหาก็คือการได้มาซึ่งพระพรสำหรับอนาคต นี่คือเป้าหมายของพวกเขาในความเชื่อของพวกเขา ผู้คนทั้งหมดมีเจตนาและความหวังนี้ แต่ความเสื่อมทรามในธรรมชาติของพวกเขาต้องได้รับการแก้ไขโดยผ่านทางการทดสอบทั้งหลายและกระบวนการถลุง ในแง่มุมใดก็ตามที่เจ้าไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และเผยให้เห็นความเสื่อมทราม ในแง่มุมเหล่านี้เองที่เจ้าต้องได้รับการถลุง—นี่คือการจัดการเตรียมการของพระเจ้า พระเจ้าทรงสร้างสภาพแวดล้อมหนึ่งให้กับเจ้า อันเป็นการบังคับให้เจ้าได้รับการถลุงตรงนั่นเพื่อให้เจ้าสามารถรู้ความเสื่อมทรามของตัวเจ้าเอง ในท้ายที่สุด เจ้าก็ไปถึงจุดที่เจ้าเลือกที่จะตายมากกว่าและล้มเลิกกลอุบายและความอยากทั้งหลายของเจ้า และนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า เพราะฉะนั้น หากผู้คนไม่มีกระบวนการถลุงอยู่เป็นเวลาหลายปี หากพวกเขาไม่สู้ทนความทุกข์ในปริมาณหนึ่ง พวกเขาก็จะไม่มีความสามารถที่จะขจัดการจำกัดบังคับแห่งความเสื่อมทรามของเนื้อหนังในความคิดของพวกเขาและในหัวใจของพวกเขาออกไปจากตัวพวกเขาได้ ในแง่มุมใดก็ตามที่ผู้คนยังคงอยู่ภายใต้การจำกัดบังคับของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขา และในแง่มุมใดก็ตามที่พวกเขายังมีความอยากได้อยากมีของตนเองและมีข้อเรียกร้องของตนเอง ในแง่มุมเหล่านี้เองที่พวกเขาควรทนทุกข์ เฉพาะโดยผ่านทางความทุกข์เท่านั้นที่จะสามารถเรียนรู้บทเรียนทั้งหลายได้ ซึ่งก็หมายถึงการมีความสามารถที่จะได้รับความจริง และเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า ในข้อเท็จจริงนั้น ความจริงมากมายถูกเข้าใจโดยผ่านทางการได้รับประสบการณ์การทดสอบอันเจ็บปวดทั้งหลาย ไม่มีใครสามารถจับใจความในน้ำพระทัยของพระเจ้า ระลึกรู้ความทรงพระมหิทธิฤทธิ์และพระปัญญาของพระเจ้า หรือซาบซึ้งในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าได้เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ง่ายสบายและชูใจ หรือเมื่อรูปการณ์แวดล้อมเป็นใจ นั่นคงเป็นไปไม่ได้เลย!
บทตัดตอน 60
คนบางคนเคยได้รับประสบการณ์กับความล้มเหลวมาในอดีต เช่นการถูกเลิกจ้างเพราะไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในฐานะผู้นำ หรือเพราะความละโมบประโยชน์ทั้งหลายจากสถานะของตนเอง หลังจากถูกเลิกจ้างหลายครั้งหลายครา พวกเขาบางคนก็ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงไปไม่น้อย เช่นนั้นแล้วการถูกไล่ออกเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีต่อผู้คนเล่า? (เป็นสิ่งที่ดี) เมื่อผู้คนถูกไล่ออกเป็นครั้งแรก พวกเขารู้สึกเหมือนฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย ราวกับว่าหัวใจของพวกเขาแหลกสลายไปเสียแล้ว พวกเขาไม่สามารถหยัดยืนได้อีกต่อไปและไม่รู้ว่าจะบ่ายหน้าไปในทิศทางใดดี แต่หลังประสบการณ์นั้น พวกเขาก็คิดว่า “นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทำไมก่อนหน้านี้วุฒิภาวะของฉันช่างน้อยนัก? ฉันทำอะไรที่ไม่เป็นผู้ใหญ่ไปขนาดนั้นได้ยังไง?” นี่พิสูจน์ว่าพวกเขาได้มีความก้าวหน้าในชีวิต และพิสูจน์ว่าพวกเขาได้เข้าใจขึ้นเล็กน้อยเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า ความจริง และพระประสงค์แห่งความรอดของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ เจ้าต้องทำใจรับและยอมรับวิธีการเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงใช้ในพระราชกิจของพระองค์ นั่นก็คือการตัดแต่งและการจัดการกับเจ้าอย่างต่อเนื่อง หรือการตัดสินความกับเจ้าด้วยการกล่าวว่าเจ้าสิ้นหวัง กล่าวว่าเจ้าไม่ใช่ใครบางคนที่จะได้รับการช่วยให้รอด และแม้กระทั่งกล่าวโทษและสาปแช่งเจ้าด้วย เจ้าอาจรู้สึกคิดลบ แต่ด้วยการแสวงหาความเป็นจริงและการทบทวนตัวเองแล้ว ในไม่ช้าเจ้าก็จะปีนป่ายกลับขึ้นมา และติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ตามปกติ นี่คือสิ่งที่เป็นความหมายของการเติบโตในชีวิต ดังนั้นการได้รับประสบการณ์กับการถูกเลิกจ้างเพิ่มขึ้นนั้นดีหรือไม่ดี? วิธีการนี้ที่พระเจ้าทรงใช้ในพระราชกิจของพระองค์นั้นถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง) แต่กระนั้น บางครั้งผู้คนก็ไม่รับรู้การนี้และไม่สามารถยอมรับได้ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาได้รับประสบการณ์กับการถูกเลิกจ้างในครั้งแรก พวกเขารู้สึกเหมือนว่าพวกเขากำลังได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม พวกเขาใช้เหตุผลและติเตียนพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถเอาชนะอุปสรรคขวางกั้นนี้ได้ เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถเอาชนะได้เล่า? นั่นเป็นเพราะพวกเขากำลังหาเรื่องเดือดร้อนกับพระเจ้าและกับความจริงใช่หรือไม่? นี่เป็นเป็นเพราะผู้คนไม่เข้าใจความเป็นจริง ไม่รู้วิธีทบทวนตัวเอง และไม่มองหาปัญหาในตัวของพวกเขาเอง ในหัวใจของพวกเขาปฏิเสธเสมอที่จะเชื่อฟัง และเมื่อพวกเขาถูกเลิกจ้าง พวกเขาก็เริ่มลองดีกับพระเจ้า พวกเขาไม่อาจยอมรับข้อเท็จจริงที่ถูกเลิกจ้างได้และมีแต่ความขุ่นเคือง ในตอนนี้ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาช่างรุนแรงเหลือเกิน แต่เมื่อพวกเขามองย้อนกลับไปที่เรื่องนั้นในภายหลัง พวกเขาก็สามารถเห็นได้ว่าถูกแล้วที่พวกเขาถูกเลิกจ้าง—การณ์กลับกลายไปเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถสร้างความก้าวหน้าในชีวิตได้บ้าง เมื่อพวกเขาเผชิญกับการเลิกจ้างอีกครั้งในภายภาคหน้า พวกเขาจะยังลองดีเช่นนี้อยู่อีกหรือไม่? (ลองดีน้อยลงทุกทีในแต่ละครั้ง) เป็นปกติที่เรื่องนี้จะดีขึ้นเรื่อยๆ หากไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง นี่ก็พิสูจน์ได้ว่าพวกเขาไม่ยอมรับความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย และพวกเขาคือผู้ปราศจากความเชื่อ จากนั้นพวกเขาจะถูกเปิดโปงอย่างถ้วนทั่วและขับออกไป และไม่มีหนทางที่จะบรรลุความรอดได้เลย
ความล้มเหลว การก้าวพลาด และการถูกเลิกจ้างเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องได้รับประสบการณ์ในระหว่างกระบวนการที่จะบรรลุความรอดและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม ดังนั้นจงอย่าคิดมากกับเรื่องเหล่านี้นัก เมื่อเจ้าเห็นคนที่ถูกเลิกจ้างกำลังทุกข์ตรมและกำลังกลายเป็นคิดลบ จงอย่าล้อเลียนพวกเขา เพราะวันหนึ่ง เจ้าอาจจะถูกเลิกจ้าง และย่ำแย่มากกว่าที่พวกเขาเป็นอยู่ หากวันหนึ่งพวกเจ้าต้องเผชิญหน้ากับการถูกเลิกจ้าง เจ้าจะกลายเป็นคนคิดลบและร้องไห้อย่างขมขื่นหรือไม่? เจ้าจะพร่ำบ่นไหม? เจ้าจะละทิ้งศรัทธาของเจ้าไปหรือเปล่า? นั่นขึ้นอยู่กับว่าเจ้ายอมรับความจริงในช่วงระหว่างที่เจ้าเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ ความจริงกี่ประการที่เจ้าเข้าใจอย่างแท้จริง และความจริงที่เจ้าคิดว่าเจ้าเข้าใจนั้นคือความเป็นจริงของเจ้าหรือเปล่า หากความจริงเหล่านี้กลายเป็นความเป็นจริงของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีวุฒิภาวะที่จะเอาชนะบททดสอบและกระบวนการถลุง หากเจ้าไม่ครองความเป็นจริงความจริง การเลิกจ้างนี้ก็จะเป็นความวิบัติสำหรับเจ้า และหากจบลงอย่างเลวร้าย เจ้าก็จะล้มคว่ำลงและไม่สามารถหยัดยืนขึ้นมาได้อีก คนบางคนมีมโนธรรมอยู่เพียงเล็กน้อย และพวกเขาก็พูดว่า “ฉันได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้าไปมากมาย ฉันได้ฟังบทเทศน์มานานหลายปี และพระเจ้าก็ได้ให้ความรักแก่ฉันอย่างมากมาย ฉันลืมเรื่องนี้ไม่ได้หรอก อย่างน้อยที่สุดฉันก็ต้องตอบแทนความรักของพระเจ้า” จากนั้น พวกเขาก็จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาไปอย่างคิดลบและนิ่งเฉย โดยไม่พากเพียรมุ่งไปสู่ความจริง และไม่เข้าสู่ชีวิตเลยแม้แต่น้อย หากเจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็ถือว่าเจ้ามีมโนธรรมอยู่บ้าง นี่คือสิ่งที่เล็กน้อยที่สุดที่เจ้าควรสัมฤทธิ์ แต่หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่อย่างขอไปทีและสะเพร่าอยู่เสมอ โดยไม่ทำตามหลักธรรม และไม่เข้าสู่ชีวิต ทั้งยังไม่ได้ผลลัพธ์ใดเลยในหน้าที่ของเจ้า เช่นนั้นแล้ว นี่คือการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงหรือเปล่า? หากเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในลักษณะขอไปทีและสะเพร่าอยู่เสมอ เจ้าจะยืนหยัดต่อความวิบัติได้หรือไม่? เจ้าจะรับประกันได้หรือว่าจะไม่ทรยศพระเจ้า? เช่นนั้นแล้ว การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้านั้น อย่างน้อยที่สุด เจ้าจะต้องมีมโนธรรมและเหตุผล ผลลัพธ์ที่เป็นจริงนั้นจะสัมฤทธิ์ได้ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยสอดคล้องกับมโนธรรมและเหตุผลของตนอย่างแท้จริง นี่คือมาตรฐานขั้นต่ำ หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะบรรจบกับมาตรฐานนี้ได้ เจ้าก็จะเป็นผู้ที่ทำอะไรอย่างขอไปทีและสะเพร่า เจ้าจะสามารถหลอกลวงและทรยศต่อพระเจ้าได้ และก็ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังให้การปรนนิบัติพระเจ้าอย่างเพียงพอด้วยซ้ำ ต่อให้เจ้าไม่ไปจากพระนิเวศของพระเจ้า แต่เจ้าก็จะถูกพระเจ้าขับออกไปนานแล้ว บุคคลเช่นนี้ไม่สามารถช่วยให้รอดได้ นี่มีเหตุมาจากการขาดมโนธรรมและเหตุผล และจากการปฏิบัติหน้าที่ของตนในลักษณะที่ขอไปทีและสะเพร่าอยู่ร่ำไป แผลพุพองที่เท้าเจ้ามีเหตุมาจากเส้นทางที่เจ้าได้เดินมาและไม่สามารถติเตียนผู้อื่นได้ หากท้ายที่สุดแล้วเจ้าไม่ได้รับการช่วยให้รอดแต่กลับถูกสาปแช่ง และเจ้าลงเอยเฉกเช่นเปาโล เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่สามารถติเตียนใครอื่นได้เลย นั่นเป็นเส้นทางของเจ้าและทางเลือกของเจ้าเอง เพราะฉะนั้น ผลสุดท้ายที่ว่าผู้คนสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่นั้น หลักใหญ่อยู่ตรงที่พวกเขามีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่ หากผู้คนสามารถยึดอยู่กับแนวเส้นนี้ได้ พวกเขาก็จะมีมโนธรรมและเหตุผล ผู้คนเช่นนี้มีหวังในความรอด หากพวกเขาข้ามเส้นนี้ไป พวกเขาก็จะถูกขับออก อะไรเส้นยาแดงของพวกเจ้า? เจ้าพูดว่า “ต่อให้พระเจ้าทุบตี ดุด่าฉัน และปฏิเสธฉัน และจะไม่ช่วยฉันให้รอด ฉันก็จะไม่ปริปากบ่นแต่อย่างใด ฉันจะเป็นดังเช่นวัวหรือม้า ฉันจะทำงานปรนนิบัติต่อไปจนถึงวาระสุดท้ายเพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า” ทั้งหมดนั้นฟังดูดี แต่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้อย่างแท้จริงหรือ? หากเจ้าครองบุคลิกลักษณะและความแน่วแน่เช่นนั้นจริง เราบอกเจ้าอย่างตรงไปตรงมาเลยว่า เจ้ามีหวังของความรอด หากเจ้าไม่ครองบุคลิกลักษณะนี้ หากเจ้าปราศจากมโนธรรมและเหตุผล เช่นนั้นแล้วต่อให้เจ้าต้องการทำงานปรนนิบัติ แต่เจ้าก็จะไม่สามารถยืนหยัดได้จนถึงวาระสุดท้าย เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าจะทรงกระทำเช่นไรต่อเจ้า? เจ้าไม่รู้เลย เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าจะทรงทดสอบเจ้าอย่างไร? เจ้าก็ไม่รู้เลยเช่นกัน หากเจ้าขาดเส้นฐานแห่งมโนธรรมและเหตุผลในการประพฤติปฏิบัติตน ไม่ครองแนวทางที่ถูกต้องในการไล่ตามเสาะหา และทัศนะต่อชีวิตและค่านิยมของเจ้านั้นไม่อยู่ในแนวเดียวกับความจริง เช่นนั้นแล้วสเมื่อเจ้าเผชิญกับความพลาดพลั้งและความล้มเหลว หรือบททดสอบและกระบวนการถลุง เจ้าก็จะไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้—ในกรณีนี้เจ้าจะตกอยู่ในอันตราย มโนธรรมและเหตุผลมีบทบาทอย่างไรหรือ? หากเจ้าพูดว่า “ฉันได้ฟังบทเทศน์มามากมาย และฉันก็เข้าใจความจริงบางอย่างจริง แต่ฉันไม่ได้นำไปปฏิบัติ ฉันไม่ได้ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย พระเจ้าไม่ได้ให้การรับรองฉัน—และถ้าท้ายที่สุดแล้ว พระเจ้าทรงทอดทิ้งฉัน และไม่ทรงต้องการฉันอีกต่อไป นี่จะเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า ต่อให้พระเจ้าทรงลงโทษและสาปแช่งฉัน ฉันก็จะไม่ไปจากพระเจ้า ไม่ว่าฉันจะไปที่ใด ฉันก็คือสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า ฉันจะเชื่อในพระเจ้าตลอดกาล และแม้ว่าฉันต้องทำงานเฉกเช่นวัวหรือม้า ฉันก็จะไม่เลิกติดตามพระเจ้า และฉันไม่สนใจว่าปลายทางของฉันเป็นอย่างไร”—หากเจ้ามีความแน่วแน่นี้ รวมทั้งมีมโนธรรมและเหตุผลนี้อย่างแท้จริง เจ้าก็จะสามารถยืนหยัดได้ หากพวกเจ้าขาดความแน่วแน่นี้ และไม่เคยคิดถึงสิ่งเหล่านี้เลย เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องมีปัญหากับบุคลิกลักษณะของพวกเจ้า กับมโนธรรม และเหตุผลของพวกเจ้า นั่นเป็นเพราะในหัวใจของพวกเจ้า เจ้าไม่เคยต้องการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าต่อพระเจ้าให้ลุล่วงเลย สิ่งที่เจ้าทำประจำมีเพียงแค่เรียกร้องพระพรจากพระเจ้า เจ้ากำลังคำนวนอยู่ในใจเสมอว่าเจ้าจะได้รับพระพรใดจากการทำความพยายามหรือการทนทุกข์ในพระนิเวศของพระเจ้า หากทั้งหมดที่เจ้าทำก็คือการคิดสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็จะยืนหยัดได้อย่างลำบากยากเย็นมาก เจ้าสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่เท่านั้นเอง หากเจ้าไม่ครองมโนธรรมและเหตุผล เจ้าก็ไม่เหมาะที่จะได้รับการช่วยให้รอด เพราะพระเจ้าไม่ช่วยปีศาจและสัตว์ร้ายให้รอด หากเจ้าเลือกเดินในเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง และเดินไปในเส้นทางของเปโตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า และทรงนำเจ้าในการเข้าใจความจริง และจะทรงสร้างสถานการณ์ให้เจ้า ซึ่งเป็นเหตุให้เจ้าได้รับประสบการณ์กับบททดสอบและกระบวนการถลุงมากมายเพื่อได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม หากเจ้าไม่เลือกเส้นทางของการแสวงหาความจริง แต่กลับเลือกเส้นทางของเปาโลศัตรูของพระคริสต์ เช่นนั้นแล้วก็เสียใจด้วย—พระเจ้าจะยังคงทดสอบและตรวจสอบเจ้าอยู่ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเจ้าจะไม่ยืนขึ้นเผชิญการตรวจสอบของพระเจ้า เมื่อบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าก็จะพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า และเมื่อเจ้าถูกทดสอบ เจ้าก็จะละทิ้งพระเจ้า ในตอนนั้น มโนธรรมและเหตุผลของเจ้าจะไร้ซึ่งประโยชน์ และเจ้าจะถูกขับออก พระเจ้าจะไม่ช่วยผู้คนที่ไร้มโนธรรมและเหตุผลให้รอด นี่คือมาตรฐานขั้นต่ำ
อย่างน้อยเจ้าต้องบรรจบกับมาตรฐานของมโนธรรมและเหตุผล นั่นคือหากพระเจ้าไม่ต้องการเจ้าอีกต่อไปแล้ว เจ้าควรจะปฏิบัติต่อพระองค์เช่นไร? เจ้าควรพูดว่า “พระเจ้าประทานลมหายใจนี้แก่ฉันแล้ว พระเจ้าทรงเลือกฉัน วันนี้ฉันได้รู้จักพระผู้สร้างและได้เข้าใจความจริงมากมาย แต่ฉันไม่เคยนำมาปฏิบัติเลย เป็นธรรมชาติของฉันที่ไม่ชอบความจริง และฉันไม่มีมโนธรรม แต่ไม่ว่าฉันจะปฏิบัติตามความจริงในภายภาคหน้าหรือถูกช่วยให้รอดหรือไม่ก็ตาม ฉันก็จะยอมรับพระเจ้าเสมอและยอมรับว่าพระผู้สร้างทรงชอบธรรม ข้อเท็จจริงนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คนเราไม่ควรหยุดยอมรับรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและพระผู้สร้างเพียงเพราะไร้ซึ่งความหวังในความรอดของตนเอง หรือไม่มีจุดจบหรือบั้นปลาย นี่จะเป็นความคิดหนึ่งซึ่งเป็นกบฏ หากฉันคิดเช่นนี้แล้ว ฉันก็ควรถูกสาปแช่ง ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำอะไร คนเราก็ควรเชื่อฟัง ซึ่งนี่คือความหมายของการมีเหตุผล วุฒิภาวะของฉันมีน้อยเกินกว่าที่จะเชื่อฟัง และฉันควรถูกลงโทษหากฉันไม่เชื่อฟังหรือทรยศพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อฉันอย่างไร ความมุ่งมั่นในการติดตามพระเจ้าของฉันก็จะไม่เปลี่ยนแปลง ฉันจะเป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าเสมอ ไม่ว่าพระเจ้าทรงยอมรับฉันหรือไม่ก็ตาม ฉันก็เต็มใจเป็นเบี้ย เป็นคนปรนนิบัติ และตัวประกอบเสริมความเด่นภายใต้อธิปไตยแห่งพระเจ้า ฉันต้องมีความมุ่งมั่นนี้” ไม่ว่าเจ้าจะมีความคิดนี้ในตอนนี้ หรือเคยคิดเช่นนี้ หรือเคยมุ่งมั่นเช่นนี้หรือไม่ก็ตาม พวกเจ้าก็ต้องมีเหตุผลนี้อยู่ดี หากเจ้าไม่มีเหตุผลนี้หรือสภาวะความเป็นมนุษย์นี้แล้ว ความรอดสำหรับพวกเจ้าก็เป็นเพียงแค่คำพูดอันว่างเปล่า นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ? นี่คือสิ่งที่เป็นอยู่ พวกเจ้าได้รับแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับมาตรฐานขั้นต่ำสุดแล้ว เมื่อเจ้าเผชิญปัญหา เจ้าควรคิดถึงแง่มุมนี้ให้มากขึ้น การนี้ดีสำหรับพวกเจ้าและเป็นหนทางหนึ่งที่จะคุ้มครองตัวเจ้าเอง หากพวกเจ้าไม่ครองแง่มุมนี้ของสภาวะความเป็นมนุษย์จริงๆ พวกเจ้าก็อยู่ในอันตรายอันใหญ่หลวง พวกเจ้าต้องอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่เคยปฏิบัติต่อพระองค์ในฐานะพระเจ้าเลย ข้าพระองค์ได้ปฏิบัติต่อพระองค์เสมือนเป็นอากาศเท่านั้น ราวกับเป็นบางสิ่งที่และไม่ปรากฏแก่ตา เมื่อเผชิญประเด็นปัญหาในวันนี้ ข้าพระองค์รู้สึกว่าข้าพระองค์ถูกขับออกและไม่มีบั้นปลายที่ดี ไม่ว่าพระองค์ทรงกำหนดจุดจบของข้าพระองค์อย่างไร ข้าพระองค์ก็เต็มใจเชื่อฟังพระองค์ ข้าพระองค์ต้องติดตามพระองค์และทิ้งพระองค์ไปไม่ได้ คนเหล่านั้นที่ทิ้งพระองค์ไปและดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตานนั้นไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาเป็นมาร ข้าพระองค์ไม่ต้องการเป็นมาร ข้าพระองค์ต้องการเป็นมนุษย์ ข้าพระองค์ต้องการติดตามพระเจ้า ไม่ใช่ซาตาน” หากเจ้าสามารถอธิษฐานเพื่อเรื่องนี้ทุกวันและปีนป่ายให้สูงขึ้น หัวใจของเจ้าก็จะกระจ่างแจ้งขึ้นเรื่อยๆ และเจ้าก็จะเส้นทางแห่งการปฏิบัติ เมื่อเผชิญกับความลำบากยากเย็น หากบุคคลหนึ่งมีอุปนิสัยของความเป็นกบฏ หัวใจของพวกเขาก็จะดันทุรังและพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะพากเพียรมุ่งไปสู่ความจริง ต่อให้พวกเขาทำผิดพลาด พวกเขาก็จะไม่ใส่ใจ พวกเขาทำสิ่งใดก็ตามแต่ที่พวกเขาต้องการ พวกเขาเริ่มกลายเป็นเอาแต่ใจตนเองและเหลวไหล ทั้งยังไม่ต้องการอธิษฐานอีกต่อไป อะไรเล่าที่ควรทำเมื่อถึงจุดนี้? นี่คือหลักธรรมพื้นฐานประการหนึ่งที่สามารถคุ้มครองพวกเจ้าได้ นั่นคือเมื่อพวกเจ้าคิดลบและอ่อนแอที่สุด หากเจ้ามีคำพูดในหัวใจที่กบฏต่อพระเจ้า ขัดขืนพระเจ้า หมิ่นประมาทพระเจ้า หรือตัดสินพระเจ้า จงอย่ากล่าวคำพูดเหล่านั้นออกมาหรือทำสิ่งใดก็ตามที่จะเป็นการยุยงให้ผู้อื่นขัดขืนพระเจ้า ด้วยหนทางนี้ เมื่อพวกเจ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าและร้องขอการทรงคุ้มครองจากพระองค์ เจ้าย่อมสามารถเอาชนะความลำบากยากเย็นได้ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เมื่อพวกเจ้ามีความมีเหตุผลตามปกติ เมื่อพวกเจ้าพ้นออกมาจากสภาวะที่คิดลบ ต่ำทราม หลงระเริง หรือขัดขืนแล้ว พวกเจ้าอาจคิดในใจว่า “โชคดีที่ฉันไม่ได้ทำแบบนั้นตั้งแต่แรก ถ้าฉันทำลงไป ฉันคงจะได้เป็นคนบาปที่ถูกกล่าวโทษไปทุกยุคทุกสมัย และมีความผิดในความชั่วที่ไม่อาจยกโทษได้” เส้นทางนี้เป็นอย่างไร? (เป็นเส้นทางที่ดี) เส้นทางนี้ดีตรงไหน? (มันเป็นเส้นทางที่กันไม่ให้ผู้คนล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า) จงอย่าล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า เมื่อพวกเจ้าพูดบางสิ่งที่ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าออกมา เจ้าสามารถคืนคำได้หรือไม่? เมื่อพูดคำหนึ่งคำถูกเปล่งออกมา ย่อมกลายเป็นสิ่งที่แล้วไปแล้ว พระเจ้ากล่าวโทษการนั้น ครั้นพระเจ้ากล่าวโทษเจ้า เจ้าย่อมเดือดร้อน เมื่อบุคคลหนึ่งเชื่อในพระเจ้า ไม่สำคัญว่าพวกเขาต้องสู้ทนกับความทุกข์มากเพียงใด สละตนเองอย่างไร หรือเลือกที่จะเชื่ออย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ย่อมไม่ใช่เพื่อที่จะถูกพระเจ้าสาปแช่งหรือกล่าวโทษ แต่เพื่อที่จะได้ยินพระผู้สร้างตรัสว่า “พวกเจ้าได้รับการชมเชยจากพระเจ้า พวกเจ้าจะอยู่รอดได้และเป็นเป้าหมายของความรอดแห่งพระเจ้า” การนี้ยากที่จะได้มา มันไม่ง่าย ดังนั้นผู้คนจึงต้องให้ความร่วมมือ จงอย่าพูดสิ่งใดที่เป็นภัยต่อความรอดของเจ้าเอง เจ้าต้องยับยั้งชั่งใจในช่วงเวลาวิกฤติและไม่ทำสิ่งใดที่จะก่อความเดือดร้อน เราขอบอกเจ้าว่า เมื่อเจ้าก่อความเดือดร้อนและถูกพระเจ้ากล่าวโทษ หากเจ้าล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า เจ้าก็จะไม่มีวันสามารถลบล้างการกระทำนั้นได้ จงอย่าทำหรือพูดอะไรตามอำเภอใจ เจ้าต้องยับยั้งชั่งใจและต้องไม่ทำตามใจ เมื่อเจ้ายับยั้งชั่งใจแล้ว นั่นพิสูจน์ว่าพวกเจ้ามีผลลัพธ์สุดท้าย หากเจ้ายับยั้งชั่งใจ ทำใจรับการดำรงอยู่ของพระเจ้า เชื่อในอธิปไตยแห่งพระเจ้า และมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าจนกระทั่งถึงปลายทางสุดท้าย พระเจ้าจะทรงเห็นสิ่งนี้ เจ้าไม่ได้พูดอะไรที่ล่วงเกินพระเจ้า หรือทำอะไรที่เป็นบาป พระเจ้าทรงสามารถตรวจสอบความคิดในหัวใจของเจ้าได้ เนื่องจากเจ้ามีความยำเกรงพระเจ้าอยู่บ้างในหัวใจ ถึงแม้เจ้ามีความคิดที่ไร้สาระ เจ้าก็ไม่ได้พูดสิ่งเหล่านี้ออกมาหรือทำสิ่งใดที่ขัดขืนพระเจ้า พระเจ้าจะทรงพบว่าพฤติกรรมนี้ของเจ้าเป็นที่ยอมรับ พระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อเจ้าเช่นไร? พระเจ้าจะยังทรงนำเจ้าต่อไปให้พ้นจากที่นั่งลำบากเช่นนี้ ดังนั้น พวกเจ้าจะยังมีหวังในความรอดอยู่หรือไม่? นี่คือสิ่งที่หายากสุดขีด เมื่อเผชิญกับปัญหาแล้วควรทำอะไร? ยับยั้งชั่งใจตนเองและไม่ทำตามใจ ยามที่เจ้าทำตามใจ นั่นเป็นผลมาจากอารมณ์อันหุนหันพลันแล่น ธรรมชาติอันโอหังของเจ้าจวนเจียนจะปะทุออกมาและเจ้ารู้สึกเต็มไปด้วยความคับข้องใจและเหตุผลข้ออ้าง เจ้าจะขุ่นเคืองมากเกินไปและรู้สึกถูกบังคับให้พูดออกมา เมื่อถึงตอนนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะควบคุมตัวเอง ส่งผลให้ด้านที่อัปลักษณ์แห่งอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าถูกเปิดเผย และพระอุปนิสัยของพระเจ้ามีแววว่าจะถูกล่วงเกินมากที่สุดในเวลานี้ อะไรคือจุดประสงค์ของการยับยั้งชั่งใจ? การระวังคำพูด ความประพฤติ และการย่างก้าวก็เพื่อคุ้มครองตนเอง เพื่อไม่ให้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเพื่อให้ตนเองยังคงเหลือแสงสุดท้ายแห่งความหวังในความรอด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องยับยั้งชั่งใจ ไม่ว่าเจ้าจะรู้สึกถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นมากเพียงใด ไม่ว่าเจ้ารู้สึกเจ็บปวดและโศกเศร้ามากแค่ไหน เจ้าก็ควรยับยั้งชั่งใจตนเอง นี่เป็นความมานะพยายามที่คุ้มค่าที่สุด! หลังจากยับยั้งชั่งใจได้แล้ว ก็ไม่มีทางที่พวกเจ้าจะเสียใจ การปฏิบัติในหนทางนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนโดยรวม ไม่ว่านั่นทำไปเพราะเป็นวิถีทางที่จะในพระเจ้าหรือเป็นเคล็ดลับเพื่อคุ้มครองตัวเองก็ตาม คนที่มีอุปนิสัยเสื่อมทรามในบางครั้งจะแสดงความวิปลาสขึ้นมาในระดับหนึ่ง โดยไร้ซึ่งความมีเหตุผลและหลักธรรมในการกระทำของพวกเขา พวกเจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอุปนิสัยเสื่อมทรามของเจ้าจะปะทุขึ้นมาเมื่อใด เมื่อพวกเจ้าระเบิดออกมาและพูดบางอย่างที่ไม่ยอมรับและกล่าวโทษพระเจ้าแล้ว มันก็จะสายเกินไปอย่างสิ้นเชิงและการเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปก็จะเปล่าประโยชน์ ผลที่ตามมานั้นจะเกินจินตนาการได้ เจ้าจะถูกขับออกและพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ทำงานกับพวกเจ้าอีกต่อไป นี่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจบสิ้นแล้วหรอกหรือ? พวกเจ้าจะไม่มีหวังในความรอดอย่างแน่นอน
บทตัดตอน 61
ทุกบุคคลนั้นได้กระทำการฝ่าฝืนไปแล้ว ในขอบเขตที่ไม่มากก็น้อย เมื่อเจ้าไม่รู้ว่าบางสิ่งบางอย่างเป็นการฝ่าฝืน เจ้าจะคำนึงถึงการนั้นด้วยสภาวะจิตใจที่มัวหม่น และบางทีเจ้าจะยังคงเกาะติดกับความคิดเห็น การปฏิบัติ และหนทางแห่งการทำความเข้าใจการนั้นของเจ้าเอง แต่วันหนึ่ง ไม่ว่าโดยผ่านทางการอ่านพระวจนะของพระเจ้า การสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงของเจ้าหรือโดยวิวรณ์ของพระเจ้าก็ตาม เจ้าจะเรียนรู้ว่าสิ่งนี้เป็นการฝ่าฝืน และเป็นการล่วงเกินต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้วท่าทีของเจ้าจะเป็นอย่างไร? เจ้าจะสำนึกผิดอย่างแท้จริง หรือว่าเจ้าจะให้เหตุผลและโต้เถียง ยึดมั่นกับแนวคิดของตัวเจ้าเองโดยการที่เชื่อว่าถึงแม้ว่าสิ่งที่เจ้าทำไปนั้นไม่ได้สอดคล้องกับความจริงอยู่หรือไม่ อีกทั้งนั่นไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่มากหรอกหรือ? การนี้สัมพันธ์กับท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้า ดาวิดมีท่าทีต่อการฝ่าฝืนของเขาอย่างไร? (ความสำนึกผิด) ความสำนึกผิด—ซึ่งหมายความว่าในหัวใจเขาเกลียดตนเอง และจะไม่มีวันกระทำการฝ่าฝืนนั้นอีก ดังนั้น เขาได้ทำสิ่งใด? เขาได้อธิษฐานทูลขอต่อพระเจ้าให้ทรงลงโทษเขา และกล่าวดังนี้ “หากข้าพระองค์ทำความผิดนี้อีกครั้ง ขอพระเจ้าทรงลงโทษข้าพระองค์และทำให้ข้าพระองค์ตายเสียเถิด!” เช่นนั้นคือความตั้งใจแน่วแน่ของเขา นั่นคือการสำนึกผิดที่แท้จริง ผู้คนธรรมดาสามัญสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้หรือไม่? สำหรับคนธรรมดาสามัญ หากพวกเขาไม่พยายามอ้างเหตุผลหรือหากพวกเขาสามารถยอมรับข้อผิดพลาดได้โดยปริยาย นั่นก็ค่อนข้างดีอยู่แล้ว การไม่เต็มใจที่จะหยิบยกข้อผิดพลาดนั้นขึ้นมาอีกเพราะกลัวเสียหน้าใช่การสำนึกผิดที่แท้จริงหรือไม่? นั่นคือความทุกข์ใจและว้าวุ่นเพราะกลัวเสียหน้า หาใช่ความสำนึกผิดไม่ การสำนึกผิดที่แท้จริงคือการเกลียดตนเองที่ทำความชั่วลงไป รู้สึกเจ็บปวดและอึดอัดใจที่สามารถทำความชั่ว ตำหนิตนเอง และถึงกับสาปแช่งตนเอง การสามารถกล่าวคำสัตย์ในภายหลังว่าจะไม่ทำความชั่วเช่นนั้นอีก การเต็มใจที่จะยอมรับการลงโทษจากพระเจ้าและยอมทนทุกข์กับความตายอันน่าอเนจอนาถหากมีวันที่พวกเขาทำความชั่วอีก นี่คือการสำนึกผิดที่แท้จริง หากคนเรารู้สึกอยู่ในหัวใจของตนเสมอว่าตนนั้นไม่เคยทำชั่ว และรู้สึกว่าการกระทำของตนเพียงแค่ไม่เป็นไปตามหลักธรรมหรือเกิดจากการขาดปัญญา และพวกเขาเชื่อว่าหากตนเองกระทำการอย่างลับๆ เช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีอะไรผิดพลาด เมื่อคิดเช่นนี้ พวกเขาจะสามารถสำนึกผิดได้อย่างแท้จริงหรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน เพราะพวกเขาไม่รู้จักแก่นแท้แห่งความชั่วของตนเอง ต่อให้พวกเขาเกลียดตนเองอยู่บ้าง พวกเขาก็เกลียดตนเองที่ไม่ฉลาดและรับมือสถานการณ์ได้ไม่ดีเท่านั้น พวกเขาไม่ได้ตระหนักจริงๆ ว่าสาเหตุที่พวกเขาสามารถทำชั่วได้นั้นเป็นเพราะปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกเขา เพราะพวกเขาไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ มีอุปนิสัยที่ไม่ดี และไร้ศีลธรรม ผู้คนเช่นนี้จะไม่มีวันสำนึกผิดได้อย่างแท้จริง เหตุใดผู้คนจึงจำเป็นต้องทบทวนตนเองเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเมื่อพวกเขาได้กระทำความผิดบางอย่างหรือกระทำการฝ่าฝืน? นี่เป็นเพราะการรู้จักธรรมชาติและแก่นแท้ของตนเองไม่ใช่เรื่องง่าย การยอมรับว่าคนเราได้ทำผิดพลาดและการรู้ว่าความผิดพลาดนั้นอยู่ที่ใดเป็นเรื่องง่ายที่จะทำ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรู้ที่มาแห่งความผิดพลาดของคนเราและรู้ว่าอุปนิสัยชนิดใดกันแน่ที่ถูกเผยออกมา ดังนั้น เมื่อผู้คนส่วนใหญ่ทำบางสิ่งผิดไป พวกเขาก็แค่ยอมรับว่าตนเองผิดเท่านั้น แต่พวกเขาไม่ได้รู้สึกผิดในหัวใจของตน และไม่ได้เกลียดตนเอง ในหนทางนี้ พวกเขาไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริง การที่จะสัมฤทธิ์การกลับใจที่แท้จริงนั้น คนเราต้องละทิ้งความชั่วที่พวกเขาทำลงไปและสามารถรับปากได้ว่าพวกเขาจะไม่มีวันทำเช่นนั้นอีก เมื่อนั้นเท่านั้นที่จะสามารถสัมฤทธิ์การกลับใจที่แท้จริงได้ หากเจ้าจัดการสถานการณ์ต่างๆ ตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตัวเจ้าเองเสมอ ไม่เคยทบทวนหรือรู้จักตนเอง และเจ้าเพียงแค่ทำพอให้ผ่านไปอย่างสุกเอาเผากินและไม่ใส่ใจ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้กลับใจจริงๆ และเจ้าก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงเลย หากพระเจ้าทรงต้องการที่จะเปิดโปงเจ้า เจ้าควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้? ท่าทีของเจ้าจะเป็นอย่างไร? (ข้าพเจ้าจะยอมรับการลงโทษของพระเจ้า) การยอมรับการลงโทษของพระเจ้า—นี่คือท่าทีในแบบที่เจ้าต้องมี ในขณะเดียวกัน เจ้าก็ต้องยอมรับการพินิจพิเคราะห์จากพระเจ้า เช่นนี้ย่อมเป็นการดีกว่า เจ้าจะได้สามารถรู้จักตนเองอย่างแท้จริงและกลับใจอย่างแท้จริงได้ หากคนเราไม่มีความสำนึกผิดที่แท้จริง ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเลิกทำชั่ว พวกเขาจะสามารถกลับสู่หนทางเดิมของตนเองได้ไม่ว่าที่ไหนและเวลาใด ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตน และถึงกับทำความผิดพลาดเดิมๆ ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่ใช่คนที่กลับใจแล้วอย่างแท้จริง ในหนทางนี้พวกเขาย่อมถูกเปิดเผยอย่างหมดเปลือก ดังนั้นผู้คนจะสามารถทำสิ่งใดได้เพื่อให้ตนเองเป็นอิสระจากการฝ่าฝืนโดยสิ้นเชิง? พวกเขาต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาและพวกเขาต้องสามารถปฏิบัติความจริงได้อีกด้วย นี่คือท่าทีที่ถูกต้องที่ผู้คนควรมีต่อความจริง เช่นนั้นแล้วผู้คนควรปฏิบัติความจริงอย่างไร? ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญการทดลองหรือบททดสอบอะไร เจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างแท้จริงในหัวใจของเจ้าและนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า บททดสอบบางอย่างก็เป็นการทดลองเช่นกัน—เหตุใดพระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้เจ้าเผชิญเรื่องเช่นนี้? การที่พระเจ้าทรงยินยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับเจ้าไม่ใช่อุบัติเหตุหรือความบังเอิญ นี่คือการที่พระเจ้าทรงทดสอบและตรวจสอบเจ้า หากเจ้าไม่ยอมรับการตรวจสอบนี้ หากเจ้าไม่ให้ความใส่ใจในเรื่องนี้ ท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้าย่อมถูกเปิดโปงในเวลาเช่นนี้มิใช่หรือ? ท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้าเป็นอย่างไร? หากเจ้ามีท่าทีที่ไม่แยแสและเหยียดหยันสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดหาให้เจ้าและบททดสอบที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้า และเจ้าทั้งไม่อธิษฐาน ไม่แสวงหา และไม่ค้นหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติผ่านทางการอธิษฐานและแสวงหาดังกล่าว นี่ย่อมเผยให้เห็นว่าเจ้าไม่มีท่าทีที่นบนอบพระเจ้า พระเจ้าจะทรงช่วยคนเช่นนี้ให้รอดได้อย่างไร? เป็นไปได้หรือที่พวกเขาจะได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า? เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน นี่เป็นเพราะเจ้าไม่มีท่าทีที่นบนอบพระเจ้า และต่อให้พระเจ้าทรงจัดการเตรียมสภาพแวดล้อมหนึ่งๆ ให้แก่เจ้า เจ้าก็จะไม่มีประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมนั้น และเจ้าจะไม่ให้ความร่วมมือกับสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ นี่แสดงให้เห็นถึงความดูถูกดูแคลนที่เจ้ามีต่อพระเจ้า แสดงว่าเจ้าไม่ได้จริงจังกับพระราชกิจของพระเจ้า และแสดงให้เห็นว่าเจ้าถึงกับสามารถเมินเฉยต่อพระวจนะของพระเจ้าและความจริง ซึ่งหมายความว่าเจ้าไม่มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ในกรณีเช่นนั้น เจ้าจะได้รับความรอดได้อย่างไร? ผู้ที่ไม่รักความจริงย่อมไม่สามารถมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าได้ ไม่มีทางที่จะได้รับความรอดระหว่างที่เชื่อในพระเจ้าในลักษณะนี้ นี่หมายความว่าท่าทีที่คนเรามีต่อพระเจ้าและความจริงนั้นสำคัญมาก และสัมพันธ์โดยตรงกับการที่คนเราจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่ ผู้คนที่ไม่ใส่ใจเรื่องนี้ย่อมโง่เขลาและไม่รู้ความ