23. ถวายหัวใจของฉันแด่พระเจ้า
เดือนมิถุนายนปี 2018 ฉันเข้าร่วมฝึกซ้อมสำหรับการแสดงประสานเสียงเพลงเฉลิมราชอาณาจักร พอคิดว่าฉันจะขึ้นไปบนเวทีแล้วร้องเพลงสรรเสริญเพื่อสรรเสริญและเป็นพยานต่อพระเจ้า ฉันก็รู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจมาก ฉันยังอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยว่าฉันจะฝึกซ้อมเต็มที่และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ตอนฉันเพิ่งเริ่มฝึกการแสดงสีหน้าและท่าเต้น ฉันอุตสาหะอย่างมากและทุ่มเทพยายาม แต่เพราะฉันไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการร้องเพลงและเต้นรำ การแสดงออกทางสีหน้าของฉันจึงยังฝืนๆ อยู่บ้าง และความสามารถของฉันกับคนอื่นก็ยังห่างกันแบบชัดเจน ผู้ฝึกสอนของเราชี้ปัญหาต่างๆ ของฉันเสมอ หลังจากผ่านไปสักพักฉันก็เริ่มเสียกำลังใจ รู้สึกเหมือนไม่ว่าฉันจะฝึกหนักแค่ไหน ฉันก็ไม่มีทางทำให้ดีขึ้นได้ และเมื่อกำหนดตำแหน่งแล้ว พี่น้องชายหญิงที่เป็นนักร้องและนักเต้นที่เก่งๆ ก็จะได้อยู่ข้างหน้าแน่นอน แล้วฉันก็จะเป็นแค่ตัวเสริมในแถวหลังเท่านั้น ฉันค่อยๆ ตั้งใจในการฝึกซ้อมน้อยลงเรื่อยๆ แล้วก็เริ่มไปถึงสายเมื่อไรก็ตามที่สามารถทำได้ สำหรับการถ่ายทำแรกของเรา ฉันได้อยู่แถวหลังสุดตรงปลายข้างหนึ่ง ฉันคิดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ฉันทำอะไรพวกนี้ได้ไม่ดีเลย และไม่มีทางที่ฉันจะเทียบกับพี่น้องชายหญิงที่สามารถร้องและเต้นได้ ไม่ว่าฉันจะฝึกหนักแค่ไหน ฉันก็ไม่มีวันดีพอตามมาตรฐานของแถวหน้า และไม่มีทางที่กล้องจะถ่ายติดฉันแน่ แล้วฉันจะทุ่มเทฝึกซ้อมไปทำไม ดีพอประมาณก็พอแล้ว” ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็รวบรวมแรงจูงใจได้น้อยลงเรื่อยๆ ฉันรู้ว่าฉันเต้นท่าต่างๆ ไม่ถูกต้องแต่ฉันก็ไม่พยายามแก้ไข บางครั้งผู้ฝึกสอนก็บอกเราให้พยายามให้มากขึ้น และถ้าการแสดงสีหน้าและการแสดงออกผิดไปแม้แต่คนเดียว ก็จะทำให้แผนงานทั้งหมดเสียหายและทำให้การถ่ายทำล่าช้า การได้ยินแบบนั้นกระทบใจฉันและฉันรู้สึกว่าฉันควรระลึกถึงผลงานโดยรวมเอาไว้ แต่แล้วฉันก็จะพยายามอย่างหนักได้ไม่นาน แล้วก็ถดถอยหมดกำลังใจอีก ฉันฝึกซ้อมเพลงและท่าเต้นทุกวันไปอย่างเฉื่อยชา โดยไม่รู้สึกถึงการทรงนำใดๆ จากพระเจ้า มีบางท่าที่ฉันฝึกซ้อมเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่ถูกต้องอยู่นั่นเอง เมื่อทุกคนสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจในเนื้อเพลงของพวกเขา ฉันก็ไม่สามารถสามัคคีธรรมด้วยความสว่างใดๆ ได้ ฉันไม่รู้สึกอะไรสักนิดตอนที่ร้องเพลงเช่นกัน และในภาพยนตร์แววตาฉันก็ไร้ชีวิตและการแสดงสีหน้าของฉันก็เรียบเฉย ใครดูก็ไม่สนุกหรอกค่ะ ฉันรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าการฝึกซ้อมนั้นน่าเบื่อหน่าย และฉันอยากให้การถ่ายทำนั้นจบลงเต็มทน ฉันจะได้ไปทำหน้าที่อื่น
เมื่อแผนผังตำแหน่งบนเวทีออกมา ฉันเห็นว่าในบางฉากฉันจะไม่ได้เข้ากล้อง จนฉันรู้สึกผิดหวังยิ่งขึ้นอีก ฉันคิดว่า “ฉันไม่ได้ดีเด่นอะไรในเรื่องพวกนี้ แต่ฉันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นเหมือนกัน ถึงฉันจะอยู่แถวหน้าไม่ได้ อย่างน้อยก็ให้ฉันเข้ากล้องในฉากพวกนี้ไม่ได้หรือ ทำไมฉันถึงถูกตัดออก นี่ฉันไม่ได้ฝึกซ้อมมาตลอดโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ ถ้าฉันรู้มาก่อน ฉันก็คงไม่เสียเวลามาฝึกท่าเต้นพวกนี้หรอก” หลังจากนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันได้เข้ากล้อง ฉันก็จะร่วมแสดงไปอย่างเบิกบาน แต่นอกจากนั้นฉันก็ไม่ใส่ใจแล้วก็เต้นไปแกนๆ ตามที่ซ้อมมา พอการถ่ายทำเสร็จสิ้น ฉันก็รู้สึกไม่มั่นคงเมื่อได้ยินทุกคนพูดกันในงานชุมนุม เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาได้รับ ฉันได้ทำหน้าที่เดียวกัน และพวกเขาทุกคนก็ได้รับบางอย่าง งั้นทำไมหัวใจฉันจึงรู้สึกว่างเปล่าเหมือนฉันไม่ได้อะไรเลยจากงานนี้ล่ะ ฉันรู้สึกกลัวเล็กน้อย นึกสงสัยว่าฉันทำให้พระเจ้าทรงรังเกียจบ้างหรือเปล่า หลังจากนั้นฉันก็เริ่มแสวงหาและอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้รู้จักตัวเอง วันหนึ่ง ฉันอ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้า: “ผู้คนมักพูดอยู่เสมอว่าพระเจ้าทอดพระเนตรลึกลงไปยังหัวใจของคนเราและทรงสังเกตการณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างไรก็ตาม ผู้คนไม่มีวันรู้ว่าเหตุใดบางคนจึงไม่เคยได้รับความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เลย เหตุใดพวกเขาไม่เคยสามารถได้รับพระคุณ เหตุใดพวกเขาไม่เคยมีความชื่นชมยินดี เหตุใดพวกเขาจึงคิดลบและหดหู่อยู่เสมอ และเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถที่จะคิดบวกได้ จงมองดูที่สภาวะการเป็นอยู่ของพวกเขา เรารับประกันกับเจ้าว่าทุกคนจากผู้คนเหล่านี้ไม่มีมโนธรรมที่ใช้งานได้หรือหัวใจที่ซื่อสัตย์” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์) “องค์ประกอบที่เป็นรากฐานและสำคัญมากที่สุดของสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนเราก็คือมโนธรรมและเหตุผล บุคคลประเภทใดคือผู้ที่ขาดพร่องมโนธรรมและไม่มีเหตุผลของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ? พูดโดยทั่วไปแล้ว เขาคือบุคคลที่ขาดพร่องสภาวะความเป็นมนุษย์ บุคคลที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี พวกเรามาวิเคราะห์การนี้กันอย่างใกล้ชิดเถิด บุคคลผู้นี้สำแดงถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทรามอย่างไรจนถึงขนาดที่ผู้คนพูดว่าเขาไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์? ผู้คนเช่นนี้ครองคุณลักษณะเฉพาะใด? พวกเขานำเสนอการสำแดงเฉพาะอันใด? ผู้คนเช่นนั้นทำอย่างพอเป็นพิธีในการกระทำของพวกเขาและปลีกห่างจากสิ่งใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเป็นการส่วนตัว พวกเขาไม่ได้พิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า อีกทั้งพวกเขายังไม่แสดงความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้รับภาระอันใดเกี่ยวกับการให้คำพยานสำหรับพระเจ้าหรือการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา และพวกเขาไม่มีสำนึกรับรู้แห่งความรับผิดชอบเลย พวกเขาคิดถึงสิ่งใดกันเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาทำบางสิ่งบางอย่าง? การกำหนดพิจารณาแรกของพวกเขาก็คือ ‘พระเจ้าจะทรงทราบหรือไม่หากฉันทำการนี้? มันเป็นที่ประจักษ์แก่ตาต่อผู้คนอื่นๆ หรือไม่? หากผู้คนอื่นๆ ไม่เห็นว่าฉันทุ่มเทความพยายามทั้งหมดนี้และประพฤติตนอย่างแท้จริง และหากพระเจ้ามิได้ทอดพระเนตรเห็นด้วยเช่นกัน เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับการทุ่มเทความพยายามเช่นนั้นหรือการทนทุกข์เพื่อการนั้น’ นี่ไม่เป็นการเห็นแก่ตัวหรอกหรือ? ในเวลาเดียวกัน มันก็เป็นความตั้งใจแบบพื้นฐานอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน เมื่อพวกเขาคิดและกระทำการในหนทางนี้ มโนธรรมกำลังมีบทบาทใดหรือไม่? มีส่วนใดๆ ของมโนธรรมในการนี้หรือไม่? มีแม้กระทั่งผู้คนที่เมื่อได้เห็นปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาก็กลับยังคงนิ่งเงียบ พวกเขาเห็นว่าผู้อื่นกำลังเป็นเหตุให้เกิดการขัดจังหวะและการรบกวน กระนั้นก็ไม่ทำสิ่งใดเลยเพื่อหยุดสิ่งเหล่านั้น พวกเขาไม่ได้พิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าแม้แต่น้อย อีกทั้งพวกเขาไม่ได้คิดเรื่องหน้าที่หรือความรับผิดชอบของพวกเขาเองเลย พวกเขาพูด ปฏิบัติตัว โดดเด่น ทุ่มความพยายามออกไป และสละพลังงานเพียงเพื่อสิ่งไร้ค่า ศักดิ์ศรี ตำแหน่ง ผลประโยชน์ และเกียรติของพวกเขาเองเท่านั้น การกระทำและเจตนาของใครบางคนเยี่ยงนั้นเป็นที่ชัดเจนต่อทุกคน กล่าวคือ พวกเขารีบออกมาเมื่อใดก็ตามที่มีโอกาสได้รับเกียรติหรือชื่นชมกับพระพรบางอย่าง แต่เมื่อไม่มีโอกาสที่จะได้รับเกียรติ หรือทันทีที่มีเวลาแห่งการทนทุกข์ พวกเขาก็จะอันตรธานหายไปจากสายตาเหมือนเต่าที่กำลังหดหัว บุคคลประเภทนี้มีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่? บุคคลที่ไม่มีมโนธรรมและเหตุผลที่ประพฤติตนในหนทางนี้รู้สึกตำหนิติเตียนตนเองหรือไม่? มโนธรรมของบุคคลประเภทนี้ไม่เอื้อต่อจุดประสงค์ใดเลย และพวกเขาไม่มีวันรู้สึกตำหนิติเตียนตนเอง ดังนั้น พวกเขาจะสามารถรู้สึกถึงการตำหนิติเตียนหรือความมีวินัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หรือ? ไม่ พวกเขาไม่สามารถรู้สึกได้” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์) การอ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันตื้นตันใจ คือฉันคิดลบและเฉื่อยชาในหน้าที่ของฉัน และฉันไม่สามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หลักๆ เพราะภายในหัวใจของฉันไม่ได้มีความซื่อสัตย์ ฉันแค่คำนึงถึงชื่อเสียงและสถานะในหน้าที่ของฉัน แทนที่จะเป็นผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าและหน้าที่รับผิดชอบของฉันเอง พระเจ้าทรงเกลียดชังทัศนคติแบบนี้ในหน้าที่บุคคลหนึ่ง เมื่อคิดย้อนไปในการฝึกซ้อม เมื่อฉันเห็นว่าฉันมีความสามารถน้อยกว่าคนอื่น และเมื่อฉันไปอยู่ข้างหลัง ที่ฉันไม่สามารถอวดตัวได้ ฉันก็คิดลบและเฉื่อยชา และไม่อยากทุ่มเทฝึกซ้อมการแสดงสีหน้าและท่าเต้นของฉัน แค่ “ดีพอ” ฉันก็พอใจแล้ว และฉันไม่คิดเลยว่าจะปรับปรุงตัวอย่างไร เมื่อฉันเห็นว่าฉันไม่อยู่ในบางฉาก ฉันก็รู้สึกอยากร้องทุกข์และโต้แย้ง คิดว่าความอุตสาหะของฉันสูญเปล่า และฉันไม่อยากฝึกซ้อมอีกต่อไป ในการถ่ายทำหลังจากนั้น เมื่อฉันเข้ากล้องฉันก็ทำในส่วนของตัวเอง แต่ถ้าไม่ ฉันก็จะเหลาะแหละและทำไปแกนๆ ฉันรู้สึกผิดจริงๆ เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น พระนิเวศของพระเจ้าถ่ายทำงานแสดงประสานเสียงเพื่อเป็นพยานต่อพระเจ้า ดังนั้นการที่ฉันมีโอกาสเข้าร่วมเป็นการที่พระเจ้าทรงยกระดับฉัน ฉันควรจะทุ่มเทเต็มที่ และทำงานเคียงกับคนอื่นเพื่อทำหน้าที่ของฉันให้ดี แต่กลายเป็นว่าเมื่อความต้องการชื่อเสียงและสถานะของฉันไม่ได้รับการตอบสนอง ฉันก็ไม่เอาใจใส่ คิดลบ และเกียจคร้าน ฉันไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลใดเลยจริงๆ ฉันเป็นคนเห็นแก่ตัว เจ้าเล่ห์ เลวทราม และใจแคบ พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ความลึกของหัวใจมนุษย์ ดังนั้นพระเจ้าจะไม่ทรงรังเกียจ ทัศนคติของฉันที่มีต่องานที่พระองค์ทรงมอบหมายให้ฉันได้อย่างไร การตระหนักถึงเรื่องนี้ทำให้ฉันเต็มไปด้วยความเสียใจและรู้สึกผิด แล้วฉันก็กล่าวคำอธิษฐานนี้ต่อพระเจ้า: “โอ้พระเจ้า! ข้าพระองค์ได้ทำผิดไป ข้าพระองค์มีความเสียใจจากส่วนของข้าพระองค์ในแผนงานนี้ และตอนนี้ข้าพระองค์ก็ไม่มีทางใดที่จะชดเชยได้เลย จากนี้ไปข้าพระองค์จะไล่ตามความจริงจริงๆ และเลิกคิดถึงชื่อเสียงและสถานะของตัวเอง ข้าพระองค์อยากทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีอย่างมั่นคง”
ณ ตอนนั้นฉันคิดด้วยความเสียใจเต็มล้นว่าฉันทำได้แค่รอให้แผนงานนั้นถูกอัพโหลดขึ้นไป แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเราจำเป็นต้องถ่ายทำเพิ่มเติมด้วยเหตุผลบางประการ เมื่อฉันได้ยินแบบนั้นก็เกิดความรู้สึกทุกรูปแบบ ฉันรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสให้ฉันกลับใจ ฉันตัดสินใจว่าคราวนี้แหละ ฉันจะทำหน้าที่ให้ดีเพื่อสนองพระเจ้าอย่างแน่นอน ฉันเริ่มทุ่มเทสุดตัวในการฝึกซ้อม และหลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็เห็นความคืบหน้าในสีหน้าและท่าเต้นของฉัน ฉันคิดว่าเรากำลังจะเริ่มถ่ายทำ แต่แล้วมันก็ต้องเลื่อนออกไปเนื่องจากสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดคิด ผู้กำกับบอกเราไม่ให้กังวลและฝึกซ้อมต่อไป ตอนแรก ฉันสามารถฝึกซ้อมอย่างหนักต่อเนื่องได้ทุกวัน และพอผ่านไปสักพักฉันก็เริ่มคิดว่า “เราไม่รู้ว่าเราจะถ่ายทำเมื่อไหร่หรือเราจะฝึกซ้อมกันนานเท่าไหร่ ครั้งก่อนฉันไม่ได้เข้ากล้องในบางฉาก ดังนั้นครั้งนี้ก็อาจจะเป็นเหมือนกัน อีกอย่าง ฉันเข้าใจพื้นฐานของเพลงและท่าเต้นแล้ว ดังนั้นตราบใดที่ฉันคอยฝึกซ้อมทุกวันต่อไป ก็ควรจะเพียงพอแล้ว” ผู้ฝึกสอนเตือนเราหลายครั้งว่าเราไม่สามารถหย่อนการฝึกซ้อมก่อนการถ่ายทำได้ และการจัดตำแหน่งบนเวทีก็สามารถเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ แต่ฉันก็คิดโดยไม่ใส่ใจเรื่องพวกนั้นเลยว่า “แทบไม่มีโอกาสเลยที่ฉันจะได้อยู่ข้างหน้า ดังนั้นถึงฉันจะฝึกซ้อมหนักต่อไปก็ไม่จำเป็นว่าฉันจะได้อยู่ในภาพยนตร์ แล้วจะลำบากไปทำไม” เมื่อผู้ฝึกสอนชี้ปัญหาของฉันในการฝึกซ้อม ฉันก็ไม่เต็มใจจะแก้ไขเลยจริงๆ แล้วก็แก้ตัวไปเรื่อย “พี่น้องชายหญิงด้านหน้าทั้งหมดจะอยู่ในภาพยนตร์ ดังนั้นให้พวกเขาฝึกซ้อมเยอะๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ฉันจะอยู่ข้างหลัง ไม่มีใครดูออกว่าฉันเป็นใครด้วยซ้ำ ไม่เห็นจำเป็นต้องจู้จี้จุกจิกนักเลย” หลังจากนั้นฉันก็รู้สึกเหนื่อยในการฝึกซ้อมเสมอ และเหมือนต้องใช้ความพยายามหนักจริงๆ มีหลายครั้งที่ฉันไม่อยากไปด้วยซ้ำ ฉันรู้ตัวว่าปัญหาเดิมของฉันโผล่ออกมาอีกแล้ว และฉันไม่รู้สึกดีกับมันเลย ฉันต้องถามตัวเอง ทำไมฉันถึงทำหน้าที่ตัวเองแบบขอไปทีเสมอเลยนะ ทำไมฉันไม่สามารถมานะพยายามเต็มที่เพื่อสนองพระเจ้าได้ล่ะ ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าถึงสภาวะที่แท้จริงของฉัน ขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้รู้จักตัวเอง
ฉันอ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้า: “เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ความคิดที่ผู้คนได้พึ่งพาเพื่อการอยู่รอดของพวกเขาได้กัดกร่อนหัวใจของพวกเขาเรื่อยมาจนถึงจุดที่ว่า พวกเขาได้กลายเป็นทรยศ ขี้ขลาด และน่ารังเกียจ ไม่เพียงแค่พวกเขาขาดพร่องพลังจิตและความแน่วแน่เท่านั้น แต่พวกเขายังได้กลายเป็นโลภมาก โอหัง และเอาแต่ใจตัวเองด้วยเช่นกัน พวกเขาขาดพร่องความแน่วแน่ใดๆ ซึ่งอยู่เหนือตนเองโดยสิ้นเชิง และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่มีความกล้าหาญแม้แต่น้อยที่จะสลัดการควบคุมของอิทธิพลมืดเหล่านี้ ความคิดและชีวิตของผู้คนนั้นเน่าเปื่อยมากจนกระทั่งมุมมองของพวกเขาต่อการเชื่อในพระเจ้ายังคงน่าขยะแขยงอย่างไม่สามารถทนได้ และแม้กระทั่งเมื่อผู้คนพูดถึงมุมมองของพวกเขาต่อการเชื่อในพระเจ้า ก็ไม่สามารถทนฟังได้อย่างแน่นอน ผู้คนทั้งหมดล้วนขี้ขลาด ไร้ความสามารถ น่ารังเกียจ และบอบบาง พวกเขาไม่รู้สึกถึงความขยะแขยงที่มีต่อกองกำลังของความมืด และพวกเขาไม่รู้สึกถึงความรักที่มีต่อความสว่างและความจริง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับทำอย่างสุดความสามารถที่จะขับไล่สิ่งเหล่านั้น…บัดนี้พวกเจ้าเป็นผู้ติดตาม และพวกเจ้าได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ อย่างไรก็ตาม พวกเจ้ายังคงไม่ได้วางความอยากได้สถานะของพวกเจ้าลงไว้ก่อน เมื่อสถานะของเจ้าสูงเจ้าแสวงหาอย่างดี แต่เมื่อสถานะของเจ้าต่ำต้อยเจ้าไม่แสวงหาอีกต่อไป พระพรแห่งสถานะอยู่ในจิตใจของเจ้าเสมอ เหตุใดจึงเป็นว่าผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเอาตัวพวกเขาเองออกจากการคิดลบได้? คำตอบนั้นไม่ใช่เป็นเพราะความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้อันสิ้นหวังเสมอไปหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหตุใดเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น?) “จงอย่าให้ความสนใจกับสิ่งที่บุคคลเช่นนั้นพูด เจ้าต้องดูว่าเขาใช้ชีวิตตามสิ่งใด เขาเปิดเผยสิ่งใด และท่าทีของเขาเป็นอย่างไรเมื่อเขาปฏิบัติหน้าที่ของเขา ตลอดจนสภาวะภายในของเขาเป็นอย่างไรและเขารักสิ่งใด หากความรักของเขาที่มีต่อชื่อเสียงและโชควาสนาของเขาเองมากเกินการเฝ้าเดี่ยวของเขาที่มีต่อพระเจ้า หากความรักของเขาที่มีต่อชื่อเสียงและโชควาสนาของเขาเองมากเกินกว่าผลประโยชน์ของพระเจ้า หรือหากว่าความรักของเขาที่มีต่อชื่อเสียงและโชควาสนาของเขาเองมากเกินกว่าการคำนึงถึงที่เขาแสดงต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เขาก็ไม่ใช่บุคคลที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ พฤติกรรมของเขาสามารถมองเห็นได้โดยผู้อื่นและโดยพระเจ้า เพราะฉะนั้น จึงลำบากยากเย็นอย่างยิ่งสำหรับบุคคลเช่นนั้นที่จะได้รับความจริง” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์) พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยแรงจูงใจที่เลวทรามฝังรากลึกของฉันอย่างแหลมคม และแสดงให้ฉันเห็นว่าทำไม หากฉันไม่สามารถอวดตัวในหน้าที่ได้ ก็อดไม่ได้ที่ฉันจะทำไปอย่างแกนๆ และแม้แต่ตอนที่ฉันรู้ว่ามันเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของฉัน ฉันก็ยังไม่มีแรงจูงใจ นั่นเป็นเพราะความต้องการชื่อและสถานะของฉันนั้นมากเกินไป แม้จะไม่ค่อยโจ่งแจ้งว่าฉันกำลังไล่ตามโอกาสที่จะอวดตัว แต่นั่นแค่เพราะฉันไม่ได้เก่งกาจตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ใช่เพราะฉันไม่อยากทำ เมื่อฉันเห็นว่าฉันไม่สามารถเก่งเกินคนอื่นไม่ว่าฉันจะฝึกซ้อมหนักแค่ไหน เห็นว่าฉันไม่ได้อยู่แถวหน้าแน่ ฉันก็ปฏิบัติต่อทั้งหมดนั้นในเชิงลบ และทุ่มเทให้กับหน้าที่ของฉันน้อยมาก ฉันแค่ร้องเต้นไปแกนๆ โดยไม่พยายามทำงานให้ดี ฉันคิดว่าในเมื่อฉันอวดตัวไม่ได้ ก็อย่าไปทรมานกับมันให้มากนักเลย อย่างน้อยแบบนั้นฉันก็จะไม่ล้มเหลว พิษร้ายของซาตานอย่าง “ทุกคนทำเพื่อตัวเองและปีศาจคือผู้ที่รั้งท้าย” และ “การทำให้ตัวเองโดดเด่น” ได้ฝังรากลึกลงในตัวฉันแล้ว พวกมันกลายเป็นหลักปฏิบัติของฉัน ควบคุมทุกการกระทำของฉัน ฉันก็เลยคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองในทุกอย่างที่ฉันทำ ฉันจะทำเพื่อชื่อและผลประโยชน์ ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่ทำ นั่นเป็นจริงแม้แต่สำหรับหน้าที่ของฉัน ฉันทำงานหนักเมื่อฉันสามารถอวดตัวได้ แต่เมื่อความต้องการของฉันเองไม่ได้รับการเติมเต็ม ฉันก็ทำๆ ไปอย่างไม่ตั้งใจ ไม่คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเลย ฉันใช้ชีวิตตามธรรมชาติอันเจ้าเล่ห์ของฉัน ชอบวางแผนเพื่อชื่อและตำแหน่งของฉันเองเสมอ ฉันย่อหย่อนและหลอกลวงในหน้าที่ของฉัน โดยไม่มีความรับผิดชอบ หรือมโนธรรม เหตุผล หรือศักดิ์ศรีใดๆ แม้แต่นิดเดียว ฉันไม่น่าไว้วางใจอย่างสิ้นเชิง ฉันคิดถึงเรื่องการที่พี่น้องชายหญิงที่ฉันรู้จักมากมายทั้งบริสุทธิ์และซื่อตรงมาก เรื่องที่ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลัง พวกเขาก็จะพยายามทำให้ได้ตามที่พระเจ้าได้ทรงกำหนด การร้องเพลงและเต้นรำของพวกเขาดีขึ้นตามลำดับ และพวกเขาสามารถเห็นพระพรและการทรงนำของพระเจ้าได้ แถมยังมีคนที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งทำส่วนของตัวเองอย่างเงียบๆ แม้ว่าจะไม่มีใครเห็นพวกเขา พวกเขาพูดว่างานทั้งหมดนั้นคุ้มค่า แค่ได้เห็นงานชิ้นนี้เผยแพร่ออนไลน์ แต่เมื่อฉันไม่สามารถอวดตัวได้ ฉันก็ไม่ทำหน้าที่เล็กๆ ที่ฉันควรทำด้วยซ้ำ ฉันขาดความเป็นมนุษย์อย่างสิ้นเชิง พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์และชอบธรรม ดังนั้นพระองค์ทรงรังเกียจและเกลียดชังความเป็นมนุษย์และการไล่ตามในแบบของฉันได้เท่านั้น ฉันไม่สามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในหน้าที่ของฉันได้ และฉันไม่สามารถก้าวหน้าในชีวิตได้ ฉันรู้ว่าหากฉันไม่กลับใจ ฉันก็จะไม่มีวันได้รับความจริงใดๆ ถึงแม้ฉันจะเชื่อจนถึงบทอวสานก็ตาม ฉันจะถูกพระเจ้าทรงกำจัดเพียงเท่านั้น! ณ จุดนี้ฉันรู้สึกกลัวอยู่บ้างในการทบทวนตัวเองและฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า “โอ้พระเจ้า ตอนนี้เองที่ข้าพระองค์ได้เห็นแล้วว่าตัวเองน่าละอายแค่ไหน ที่ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของข้าพระองค์ โดยไม่มีความเป็นมนุษย์ใดๆ พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการกลับใจและเปลี่ยนแปลง ขอโปรดทรงนำข้าพระองค์ให้ทิ้งบ่วงของอุปนิสัยแบบซาตานของข้าพระองค์และจดจ่ออยู่กับหน้าที่ของข้าพระองค์ด้วย”
ต่อมาฉันก็อ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้า: “หากเจ้าปรารถนาที่จะอุทิศตนในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำเพื่อตอบสนองน้ำพระทัยของพระเจ้า เจ้าก็ไม่สามารถที่จะทำแค่ปฏิบัติหน้าที่หนึ่งอย่างเท่านั้น เจ้าต้องยอมรับพระบัญชาที่พระเจ้าประทานให้แก่เจ้า ไม่ว่าสิ่งนั้นจะสอดคล้องกับรสนิยมของเจ้าและตกอยู่ภายในผลประโยชน์ของเจ้าหรือไม่ก็ตาม หรือเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าไม่ชื่นชมหรือไม่เคยทำมาก่อน หรือเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ลำบากยากเย็น เจ้าก็ยังคงควรจะนบนอบและยอมรับสิ่งนั้น ไม่เพียงแค่เจ้าต้องยอมรับสิ่งนั้นเท่านั้น แต่เจ้าต้องร่วมมืออย่างมั่นใจ และเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้นและบรรลุถึงการเข้าสู่ ต่อให้เจ้าทนทุกข์และไร้ความสามารถที่จะโดดเด่นและเฉิดฉาย เจ้าก็ยังคงต้องกระทำการเฝ้าเดี่ยวของเจ้า เจ้าต้องถือว่านั่นเป็นหน้าที่ที่ต้องทำให้ลุล่วงของเจ้า ไม่ใช่เป็นกิจธุระส่วนตัว แต่เป็นหน้าที่ของเจ้า ผู้คนควรเข้าใจหน้าที่ของพวกเขาอย่างไร? เมื่อพระผู้สร้าง—พระเจ้า—ทรงมอบภารกิจให้ใครบางคนทำ และ ณ จุดนั้นนั่นเอง ที่หน้าที่ของบุคคลจะเกิดขึ้น ภารกิจที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้า พระบัญชาที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้า เหล่านี้คือหน้าที่ทั้งหลายของเจ้า เมื่อเจ้าไล่ตามเสาะหาหน้าที่เหล่านั้นเสมือนเป็นเป้าหมายของเจ้า และเจ้ามีหัวใจที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้ายังคงสามารถทำการปฏิเสธได้หรือ? เจ้าไม่ควรปฏิเสธสิ่งเหล่านั้น เจ้าควรยอมรับสิ่งเหล่านั้น นี่คือเส้นทางแห่งการปฏิบัติ” (“เพียงโดยการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีความสุขอย่างแท้จริงได้” ใน บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์) พระวจนะของพระเจ้าแสดงว่าหน้าที่ของฉันคืองานที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้ฉัน และไม่ว่าฉันจะทำได้ดีหรือสามารถอวดตัวได้หรือไม่ ฉันก็ควรปล่อยวางแรงจูงใจและเป้าหมายส่วนตัวของฉัน มองว่าเป็นหน้าที่รับผิดชอบ และทุ่มเททำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ถ้าลองคิดดู ไม่ว่าจะจัดตัวแบบไหน บางคนอยู่ข้างหน้า บางคนก็อยู่ข้างหลัง และไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ตรงไหน พวกเขาก็ทำหน้าที่ของตัวเอง พระเจ้าทรงดูแรงจูงใจและทัศนคติต่อหน้าที่ของเรา ว่าเราทุ่มเทใจและรับผิดชอบหรือไม่ และเราปฏิบัติความจริงเพื่อสนองพระเจ้าหรือไม่ ฉันคิดถึงเรื่องที่ฉันไม่มีพรสวรรค์เหมือนผู้แสดงคนอื่น แต่พระเจ้าก็ยังประทานโอกาสนั้นให้ฉันได้ฝึกฝน เพื่อที่ฉันจะสามารถก้าวหน้าทั้งในทักษะและการเข้าสู่ชีวิตของฉัน นั่นเป็นความรักที่พระเจ้าทรงมีให้ฉัน! ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถเห็นแก่ตัว เลวทราม และไร้หัวใจ ทำให้พระเจ้าเสียพระทัยและทำให้พระองค์ทรงผิดหวังแบบเมื่อก่อนได้ ฉันจะอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลัง ฉันจะได้เข้ากล้องหรือไม่ ฉันก็ต้องทำหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เพื่อทำหน้าที่ของฉันอย่างเต็มที่และซื่อสัตย์ และตอบแทนความรักของพระเจ้า
หลังจากนั้น ฉันคอยอธิษฐานต่อพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ และฉันฝึกหนักเพื่อทำส่วนของตัวเองไม่ว่าเราจะฝึกซ้อมอะไร เมื่อเราอ่านพระวจนะของพระเจ้าในการชุมนุมของเราก่อนการฝึกซ้อม ฉันก็คิดเรื่องพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างหนัก และนำพระวจนะของพระองค์มาปฏิบัติในการฝึกซ้อม เมื่อผู้ฝึกสอนพูดถึงปัญหาของฉันขึ้นมา ฉันก็จะตั้งใจฟังและนำมาปรับใช้ในการปฏิบัติของฉัน จากนั้นฉันจะนับรวมข้อบกพร่องของฉัน และใช้เวลาว่างฝึกซ้อมให้มากขึ้น ฉันเลิกตั้งเป้าแค่จะทำให้ดีพอ เมื่อฉันตั้งแรงจูงใจสำหรับการฝึกซ้อมให้ถูกต้อง ทุกวันก็รู้สึกอิ่มเอมจริงๆ ความสัมพันธ์ของฉันกับพระเจ้ากลับมาเป็นปกติ ฉันสามารถรู้สึกถึงการทรงนำของพระองค์ในหน้าที่ของฉันได้จริงๆ และฉันก็ไม่หมดเรี่ยวแรงเหมือนก่อน ผ่านไปสักพัก การเคลื่อนไหวและการแสดงสีหน้าของฉันก็ดีขึ้นทั้งหมด และพี่น้องหญิงก็บอกว่าการร้องเพลงและการแสดงสีหน้าของฉันดีขึ้นมาก ฉันรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่ามันสำคัญแค่ไหนที่จะปฏิบัติหน้าที่ของฉันด้วยหัวใจที่ซื่อตรง
ส่วนมากของการถ่ายทำ ฉันก็ยังอยู่ข้างหลัง และบางครั้งฉันก็ไม่อยากทำเต็มที่เพราะฉันไม่ได้เข้ากล้อง ฉันจึงบอกตัวเองให้อธิษฐานต่อพระเจ้า และคิดว่าจะคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระองค์อย่างไร จะอุทิศตัวเองทันทีอย่างไร ใช้เวลาสักพัก แต่ทัศนคติของฉันดีขึ้นมาก เมื่อฉันอยู่ข้างหลัง ฉันอธิษฐานให้พี่น้องชายหญิงข้างหน้า เมื่อฉันไม่จำเป็นต้องเข้ากล้อง ฉันก็เสนอตัวช่วยพี่น้องหญิงจัดเสื้อผ้าและทรงผม ทำสิ่งที่ฉันสามารถทำได้สำหรับหน้าที่ของฉัน เมื่อฉันเห็นพี่น้องหญิงบางคนคิดลบและอ่อนแอเพราะอยู่ข้างหลังมากๆ ฉันก็ให้การสามัคคีธรรมเรื่องน้ำพระทัยของพระเจ้าเพื่อช่วยเหลือพวกเธอ การทำหน้าที่ของฉันแบบนั้นทำให้ฉันสบายใจจริงๆ และสภาพจิตใจของฉันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ การที่สามารถละวางชื่อเสียงและสถานะของฉันและปฏิบัติความจริงบ้าง ทั้งหมดมาจากการนำของพระวจนะของพระเจ้า และฉันขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยฉันให้รอดค่ะ