34. รู้สึกดียิ่งนักที่ถอดหน้ากากของฉันออกไป
เดือนกันยายน ปี 2018 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันมีความสุขมากเลยตอนนั้น ฉันรู้สึกว่า ที่เป็นอย่างนี้ ต้องเป็นเพราะตัวฉันดีกว่าพี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ และฉันต้องไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของฉัน ฉันไม่อยากให้คนคิดว่า การเป็นผู้นำของฉันเป็นแค่เพียงสัญลักษณ์ วันหนึ่ง ฉันไปพบปะกันเป็นกลุ่ม ตอนที่เสวนาเรื่องงานกัน พี่น้องชายหญิงบางคนได้พูดคุยเรื่องทักษะเฉพาะทาง ฉันรู้สึกตะขิดตะขวงนิดหน่อย ฉันแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย ถ้าพวกเขาถามคำถามฉัน แล้วฉันตอบไม่ได้ล่ะ? พวกเขาจะดูแคลนฉันไหม และจะสงสัยไหมว่าถ้าฉันไม่เข้าใจแล้วฉันจะนำได้อย่างไร? ฉันทำได้แค่ไม่พูดอะไรเลย แต่นั่นจะไม่ทำให้ฉันเป็นผู้นำที่ไร้ประโยชน์หรือ? ฉันจะทำอะไรได้ล่ะคะ? ฉันนั่งไม่เป็นสุขอยู่ตรงนั้น เต็มไปด้วยความกระวนกระวาย ฉันไม่เข้าใจสิ่งใครๆ กำลังพูดคุยกันเลย เมื่อพวกเขาคุยกันเกือบเสร็จ ฉันก็รีบพูดขึ้นว่า “ถ้าไม่มีคำถามแล้ว ก็ปิดประชุมกันตรงนี้เลยนะคะ” ฉันไม่อาจผ่อนคลายได้ จนกระทั่งออกมาจากการพบปะนั้น ฉันคิดว่า “กลุ่มนี้ต้องการความรู้ทางวิชาชีพอย่างมาก แต่ว่า ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย ดังนั้น คงดีที่สุดถ้าฉันไม่ไปพบปะมากนัก ถ้าคนอื่นๆ ค้นพบว่าฉันไม่รู้เรื่องต่างๆ ในทางวิชาชีพมากเท่าไร พวกเขาจะดูแคลนฉันแน่นอน แล้วหลังจากนั้นจะมีใครให้ความสำคัญกับฉันอีก”
กว่าสองสัปดาห์ต่อมา ฉันไปพบปะกับกลุ่มอื่นๆ ทุกวัน และได้ช่วยแก้ปัญหากับความยากลำบากของพวกเขา ชีวิตคริสตจักรของพวกเราดีขึ้น ทุกคนสนับสนุนฉัน และฉันก็อยากพบปะกับกลุ่มเหล่านี้มาก แต่เมื่อคิดถึงกลุ่มที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะทาง ฉันก็หนักใจ ฉันกลัวตัวเองจะไม่รู้ว่าพวกเขาพูดเรื่องอะไรกัน ก็เลยหาข้ออ้างและไปแบบนานๆ ไปที คืนหนึ่ง พี่น้องหญิงที่ฉันทำงานด้วยบอกว่ากลุ่มมีปัญหาบางอย่าง เธอจึงขอให้ฉันไปเข้าประชุม ฉันตอบตกลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจ และรู้สึกวิตกกังวล ฉันคิดว่า “ถ้าฉันแก้ปัญหาไม่ได้ คนอื่นๆ จะพูดว่าฉันเป็นผู้นำที่ไร้ความสามารถหรือเปล่า” ฉันหนักใจ วันถัดมา หลังจากที่พวกเราสามัคคีธรรมตามพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันกลัวว่าคนอื่นๆ จะถามคำถามเกี่ยวกับความรู้ทางวิชาชีพ และฉันจะดูโง่เง่าถ้าฉันตอบไม่ได้ ฉันจึงเตรียมตัวรับมือ และพูดไปเรื่อยๆ เพื่อถ่วงสถานการณ์ แต่ฉันรู้สึกไม่สบายใจ ฉันถามพวกเขาว่า “ยังมีปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขอีกไหมคะ” ผู้นำกลุ่มพูดถึงปัญหาและวิธีแก้ปัญหาต่างๆ ของพวกเขา ฉันสับสนตอนที่เขาเริ่มใช้ภาษาเฉพาะทางบางคำ ฉันไม่แน่ใจว่าปัญหาได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้วหรือยัง ถ้าพวกเขาไม่พบวิธีแก้ปัญหา มันจะมีผลกระทบต่อความก้าวหน้าของพวกเขา แต่ถ้าฉันถามแบบละเอียด พวกเขาจะอยากฟังความเห็นของฉันแน่นอน แต่ฉันไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง และมันจะเป็นเรื่องน่าอาย หลังจากไตร่ตรองอย่างหนัก ฉันเลยไม่พูดอะไรออกไป จากนั้น พี่สาวคนหนึ่งพูดถึงความยากลำบากที่เธอประสบอยู่ ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับปัญหาทางวิชาชีพบางอย่าง ฉันยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่ ฉันไม่กล้าถามเธอ ว่าเธอหมายถึงอะไร ฉันกลัวว่าถ้าฉันไม่สามารถแก้ปัญหาของเธอได้ เธอจะคิดว่า ฉันไม่ใช่ผู้นำที่ดี ฉันเลยพูดแค่นิดหน่อยและหลีกเลี่ยงประเด็นด้วยการพูดว่า “ฉันจะตรวจดูเรื่องนี้ทีหลังนะ” หลังการประชุม ฉันหมดแรงอย่างสิ้นเชิง ฉันรู้สึกว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดได้รับการแก้ไขระหว่างการประชุมครั้งนี้ ฉันไม่ได้กำลังเอาตัวรอดไปเรื่อยๆ ในหน้าที่ของตัวเองหรือคะ ฉันยังรู้อีกด้วยว่า พี่น้องชายหญิงในกลุ่มนี้ไม่บรรลุผลสำเร็จมากนัก งานของพวกเขาไม่ก้าวหน้าเท่าไร และฉันรู้สึกแย่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันกลัวพวกเขาจะพูดว่าฉันไม่เข้าใจงานนี้ และจะดูแคลนฉัน ฉันแค่เอาตัวรอดพอให้ผ่านไปได้ตลอดการประชุมทุกครั้ง ฉันไม่เคยเข้าใจสถานการณ์ของงานอย่างถ่องแท้ และไม่ได้แก้ปัญหาที่มีอยู่จริงใดๆ ฉันไม่ได้ทำงานจริงๆ เลยค่ะ ฉันไม่ได้กำลังตบตาพระเจ้าและโกหกพี่น้องชายหญิงอยู่หรือคะ ฉันรู้สึกไม่สบายใจ และตำหนิตัวเอง ฉันอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงช่วยให้ฉันสะท้อนเห็นตัวเอง และพยายามรู้จักตัวเองด้วย
วันหนึ่งในขณะเฝ้าเดี่ยว ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทหนึ่งที่ว่า “พวกมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งหมดแสดงปัญหานี้ กล่าวคือ เมื่อพวกเขาเป็นบรรดาพี่น้องชายหญิงธรรมดาที่ไม่มีสถานะ พวกเขาจะไม่ทำท่าโอหังเมื่อมีปฏิสัมพันธ์หรือพูดกับผู้ใด อีกทั้งพวกเขาจะไม่ใช้ลีลาหรือน้ำเสียงเฉพาะบางอย่างในวาทะของพวกเขา พวกเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาและปกติ และไม่จำเป็นต้องตกแต่งตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่รู้สึกถึงความกดดันทางจิตใจใดๆ และสามารถสามัคคีธรรมได้อย่างเปิดเผยและจากหัวใจ พวกเขาสามารถเข้าหาได้และง่ายที่จะปฏิสัมพันธ์ด้วย ผู้อื่นรู้สึกว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่ดีมาก อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกเขาบรรลุสถานะ พวกเขาก็กลายเป็นสูงส่ง และมีฤทธิ์ ราวกับว่าไม่มีผู้ใดสามารถเข้าถึงพวกเขาได้ พวกเขารู้สึกว่าพวกเขานั้นสมควรที่จะได้รับความเคารพ และว่าพวกเขาและผู้คนธรรมดามาจากต้นกำเนิดที่แตกต่างกัน พวกเขาดูแคลนผู้คนธรรมดาและหยุดสามัคคีธรรมกับผู้อื่นอย่างเปิดเผย เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามัคคีธรรมอย่างเปิดเผยอีกต่อไป? พวกเขารู้สึกว่าตอนนี้พวกเขามีสถานะ และเป็นผู้นำ พวกเขาคิดว่าผู้นำต้องมีภาพลักษณ์เฉพาะอย่างหนึ่ง ต้องสูงส่งกว่าผู้คนธรรมดาเล็กน้อย และมีวุฒิภาวะมากกว่าและมีความสามารถที่จะแบกรับความรับผิดชอบมากขึ้น พวกเขาเชื่อว่าเทียบกับผู้คนธรรมดาแล้ว ผู้นำต้องมีความอดทนมากกว่า มีความสามารถที่จะทนทุกข์และสละมากกว่า และมีความสามารถที่จะทานทนการทดลองใดๆ พวกเขาถึงกับคิดว่าผู้นำไม่สามารถร้องไห้ได้ ไม่สำคัญว่าสมาชิกครอบครัวของพวกเขาอาจตายไปกี่คน และคิดว่าหากพวกเขาต้องร้องไห้ พวกเขาก็ต้องร้องไห้กับผ้าปูที่นอนของพวกเขา เพื่อไม่ให้ผู้ใดสามารถมองเห็นข้อบกพร่อง ตำหนิหรือความอ่อนแอใดๆ ในตัวพวกเขา พวกเขาถึงกับรู้สึกว่าผู้นำไม่สามารถปล่อยให้ผู้ใดรู้ว่าพวกเขาได้กลายเป็นลบไปแล้วหรือไม่ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาต้องซ่อนเร้นสิ่งต่างๆ เช่นนี้ทั้งหมด พวกเขาเชื่อว่านี่คือวิธีที่ผู้ที่มีสถานะควรกระทำตัว” (“เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา คนเราต้องมีเส้นทางการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าเผยให้เห็นถึงสภาวะที่แท้จริงของฉัน ก่อนที่ฉันจะเป็นผู้นำ ถ้าฉันไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง ฉันจะถามใครบางคน ถ้าฉันมีปัญหาหรือความยากลำบากอะไร ฉันก็จะสามัคคีธรรมกับคนอื่นๆ อย่างเปิดเผย หลังจากที่ฉันกลายเป็นผู้นำ ฉันรู้สึกว่าฉันควรจะดีกว่าคนอื่นๆ ฉันรู้สึกว่าในเมื่อพี่น้องชายหญิงเลือกฉันมาแล้ว ฉันก็ควรทำตัวให้เหมือนผู้นำ ฉันต้องดีกว่าพวกเขา ฉันต้องสามารถเข้าใจและแก้ไขอะไรก็ได้ ดังนั้น เวลาที่ฉันไปประชุมกลุ่ม ฉันจึงวางตัวต่างออกไป แต่เพราะมีบางอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ ฉันกลัวว่าคนอื่นๆ จะดูแคลนฉัน ฉันเริ่มทำตัวปลอมๆ และเสแสร้ง ฉันละเลยหน้าที่ของตัวเอง ฉันไปเข้ากลุ่มที่งานง่ายที่สุดเพื่อจะได้แสดงความสามารถพิเศษของตัวเอง และฉันหลีกเลี่ยงกลุ่มที่กำลังเผชิญหน้ากับงานยากๆ หรือมีเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจ ฉันจะได้ไม่เสียหน้า ถ้าฉันทำงานออกมาแย่ ต่อให้ไป ฉันก็จะพูดแค่สิ่งที่ไม่มีความหมายและเอาตัวรอดให้พอผ่านไปได้ ฉันไม่สามารถเผชิญหน้ากับปัญหาที่มีอยู่จริงในกลุ่มเหล่านี้ ฉันใส่ใจกับความทะนงตัวและการเป็นผู้นำของตัวเองมากเกินไป พระนิเวศของพระเจ้าต้องการผู้นำที่เจาะลึกลงไปในงานแต่ละอย่าง เพื่อสื่อสารความจริง และแก้ปัญหาเรื่องต่างๆ ที่พี่น้องชายหญิงพบเจอ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถทำหน้าที่ของเขาได้ตามหลักความจริง นี่เอง คือการทำงานที่แท้จริง และใส่ใจต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันรู้ว่าพี่น้องชายหญิงในกลุ่มนั้นเผชิญกับความยากลำบากต่างๆ แต่ฉันก็ไม่เต็มใจเผชิญหน้ากับปัญหาของพวกเขา และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหานั้น ฉันหมกมุ่นอยู่กับความทะนงตัวของฉัน ทำหน้าที่ของฉันอย่างฉาบฉวย และอยู่เพื่อเกียรติยศเท่านั้น ฉันหมกมุ่นอยู่กับความทะนงตัวของตัวเอง ทำหน้าที่อย่างฉาบฉวย และอยู่เพื่อเกียรติยศเท่านั้น ฉันลืมทุกอย่างที่เกี่ยวกับงานของพระนิเวศของพระเจ้า ฉันไม่ได้เป็นผู้นำจอมปลอมที่พอใจกับสถานะของการเป็นผู้นำโดยไม่ทำงานจริงเลยหรือคะ การไล่ตามสถานะนั้นช่างเหนื่อยยิ่งนัก และทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจ มันยังทำให้งานของพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงัก เป็นสถานการณ์ที่มีแต่เสียกับเสีย ถ้าฉันไม่กลับใจ ฉันก็จะทำชั่วและต่อต้านพระเจ้า ซึ่งจะทำให้พระเจ้าทรงทอดทิ้งฉัน ฉันรีบอธิษฐานต่อพระเจ้า และแสวงหาเส้นทางของการปฏิบัติ
จากนั้น ฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกหนึ่งบทตอน “เมื่อเจ้าไม่มีสถานะ เจ้าก็สามารถชำแหละตัวเจ้าเองบ่อยๆ และมารู้จักตัวเจ้าเอง ผู้อื่นสามารถได้รับประโยชน์จากการนี้ เมื่อเจ้ามีสถานะ เจ้าก็ยังคงสามารถชำแหละตัวเจ้าเองบ่อยๆ และมารู้จักตัวเจ้าเอง เปิดโอกาสให้ผู้อื่นเข้าใจความจริงความเป็นจริง และจับใจความน้ำพระทัยของพระเจ้าจากประสบการณ์ของเจ้า ผู้คนสามารถได้รับประโยชน์จากการนี้เช่นกันใช่หรือไม่? หากเจ้าปฏิบัติเช่นนั้นแล้วไซร้ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะหรือไม่ ผู้อื่นก็จะได้รับประโยชน์จากการนี้อยู่ดี ดังนั้น สถานะหมายถึงสิ่งใดสำหรับเจ้า? ในข้อเท็จจริงแล้ว สถานะคือสิ่งเพิ่มเติมพิเศษเหมือนเสื้อผ้าชิ้นหนึ่งหรือหมวกใบหนึ่ง ตราบเท่าที่เจ้าไม่ถือว่าสถานะเป็นเรื่องใหญ่เกินไป นั่นก็จะไม่สามารถจำกัดควบคุมเจ้าได้ หากเจ้ารักสถานะและให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับสถานะ โดยปฏิบัติต่อสถานะในฐานะเรื่องสำคัญเสมอๆ เช่นนั้นแล้วสถานะก็จะเข้าควบคุมเจ้า หลังจากนั้นเจ้าก็จะไม่ต้องการรู้จักตัวเจ้าเองอีกต่อไป อีกทั้งเจ้าจะไม่เต็มใจเปิดกว้างและตีแผ่ตัวเจ้าเอง หรือพักบทบาทความเป็นผู้นำของเจ้าไว้ก่อนเพื่อพูดและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และทำให้หน้าที่ของเจ้าลุล่วง นี่เป็นปัญหาชนิดใดกัน? เจ้าไม่ได้ยอมรับสถานะนี้ให้ตัวเจ้าเองหรอกหรือ? และเช่นนั้นแล้ว เจ้าไม่เพียงแค่ยึดครองตำแหน่งนั้นต่อไป และไม่เต็มใจที่จะยอมทิ้งสถานะ และถึงกับแข่งกับผู้อื่นเพื่อปกป้องสถานะของเจ้าหรือ? เจ้าไม่ได้เพียงแค่กำลังทรมานตัวเจ้าเองหรอกหรือ? หากเจ้าจบลงที่การทรมานตัวเจ้าเองจนตาย เจ้าจะมีผู้ใดให้ติเตียนเล่า? หากเมื่อเจ้ามีสถานะ เจ้าสามารถงดเว้นการกดขี่ผู้อื่น แต่กลับมุ่งเน้นที่วิธีปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างดี ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าควรทำ และทำให้หน้าที่ทั้งหมดที่เจ้าควรจะทำลุล่วงแทน และหากเจ้ามองเห็นตัวเจ้าเองในฐานะพี่น้องชายหญิงธรรมดา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ได้ทิ้งแอกแห่งสถานะไปแล้วหรือ?” (“เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา คนเราต้องมีเส้นทางการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่า เมื่อพระเจ้าทรงยกย่องหน้าที่ผู้นำให้ฉัน พระองค์มิได้กำลังทรงมอบสถานะให้ฉัน แต่เป็นพระบัญชา เป็นความรับผิดชอบ ไม่ว่าปัญหาจะยากเย็นแค่ไหน ฉันต้องหมายมั่นแก้ไขมันอย่างเต็มที่ เวลาปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิง ฉันไม่ควรพึ่งพาสถานะความเป็นผู้นำของฉัน เมื่อไรที่ฉันเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทราม หรือเกิดความลำบากหรือความบกพร่องขึ้น ฉันต้องสื่อสารอย่างเปิดเผยและสัตย์ซื่อ และยอมให้คนอื่นเห็นความเสื่อมทราม ความบกพร่องของฉัน และรู้จักตัวตนของฉันให้ชัดๆ ต้องไม่มีการจอมปลอม หรือเสแสร้ง ฉันแค่ควรเป็นตัวของตัวเองและสามัคคีธรรมในสิ่งที่ฉันเข้าใจเท่านั้น เวลาที่ฉันไม่เข้าใจ ฉันต้องแสวงหาความจริง และสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิง เพื่อร่วมกันทำให้งานออกมาดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ต่อมาฉันได้ไปเข้าชุมนุมในกลุ่มนั้น เมื่อฉันเจอปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความชำนาญ ฉันก็ปล่อยวางอัตตาของตัวเองอย่างมีสติ ฉันถามคนอื่นอย่างแข็งขันในสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ และขอให้พวกเขาอธิบาย พวกเขาก็ไม่ได้นับถือฉันน้อยลงเลย พวกเขายังเปิดใจถึงปัญหาและความยากลำบากเกี่ยวกับงานของพวกเขา เวลาที่พวกเขาพูด ฉันก็ตั้งใจฟังและพยายามที่จะเข้าใจ ตอนนั้นเองที่ฉันได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหาบางอย่างของพวกเขา และสามัคคีธรรมกับพวกเขาด้วยการใช้หลักปฏิบัติแห่งความจริง ฉันยังศึกษาความชำนาญด้านนี้ในเวลาส่วนตัวอีกด้วย เมื่อพบความยากลำบาก ฉันก็จะหาคำตอบร่วมกับพวกเขา พวกเราเติมเต็มกันและกันได้จากการทำงานร่วมกัน พวกเราเริ่มแก้ปัญหามากมายในงานของเรา และพวกเราก็สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในหน้าที่ของเรา ฉันรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจขึ้นมากเลยค่ะ
สองสามเดือนต่อมา ทางคริสตจักรได้ขยายขอบเขตงานของฉัน ฉันรู้ว่ามีเรื่องมากมายให้ฉันเรียนรู้ เมื่อฉันพบกับความยากลำบาก ฉันก็มักจะอธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่บ่อยๆ และนำพระวจนะของพระเจ้าไปสู่การปฏิบัติ และฉันก็ได้แก้ปัญหาบางอย่างที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง พี่น้องชายหญิงเริ่มยอมรับและชื่นชมฉัน และฉันเริ่มชื่นชมความรู้สึกนั้น โดยไม่ทันรู้ตัว ฉันเริ่มมุ่งเน้นอยู่กับสถานะอีกครั้ง วันหนึ่ง ระหว่างการพบปะในหมู่เพื่อนร่วมงาน ผู้นำของเราพูดขึ้นว่า การพบปะของคริสตจักรแห่งหนึ่งไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าไร เพื่อนร่วมงานเสนอให้ฉันไปแก้ปัญหาที่คริสตจักรนั้น ฉันคิดอยู่ในใจว่า “ดูเหมือนว่าฉันครองความเป็นจริงของความจริง และสามารถช่วยแก้ปัญหาได้ ฉันต้องโดดเด่นในบรรดาเพื่อนร่วมงาน ฉันต้องทำงานหนัก และแสดงให้พวกเขาเห็นว่าฉันทำอะไรได้บ้าง” ผลจากเจตนาที่ผิดของฉัน พระเจ้าจึงทรงจัดการเตรียมการสถานการณ์ที่จะจัดการกับฉันค่ะ วันหนึ่ง พี่น้องหญิงหลี ผู้นำกลุ่มมีความลำบากบางอย่าง และกำลังรู้สึกในทางลบนิดหน่อย ฉันรีบค้นหาพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอน และใช้ประสบการณ์ของฉันสามัคคีธรรมกับเธอ ใช้เวลาไปกว่าสามสิบนาที แต่ดูเหมือนนั่นจะไม่ได้ผลกับเธอ ฉันยังรู้สึกอีกด้วยว่า สามัคคีธรรมของฉันน่าเบื่อและไม่ได้ช่วยแก้ไขอะไร จากนั้นพี่น้องหญิงอันก็ได้ยกพระวจนะของพระเจ้าขึ้นมาบทตอนหนึ่ง และพี่น้องหญิงหลีเริ่มพยักหน้า และยิ้มออก ณ ตอนนั้น ฉันรู้สึกขายหน้า บทตอนที่พี่น้องหญิงอันอ้างอิงถึงนั้นสมควรกว่า ฉันฉงนว่า พี่น้องหญิงหลีจะคิดอย่างไรกับฉัน เธอจะบอกว่าฉันเป็นผู้นำที่ขาดคุณสมบัติ ไม่สามารถอ้างถึงบทตอนในพระวจนะของพระเจ้าที่เหมาะสมหรือแก้ปัญหาไม่ได้ เหมือนกับพี่น้องหญิงอันหรือเปล่า? ฉันรู้สึกคับข้องใจ และไม่อยากสามัคคีธรรมอีกต่อไป ไม่กี่วันต่อมา พี่น้องชายจางตกอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่ ฉันหาบางบทตอนที่เกี่ยวข้องไว้ล่วงหน้าและคิดว่า “ฉันต้องทำให้สามัคคีธรรมนี้เป็นไปด้วยดี เพื่อรักษาหน้าของฉันต่อหน้าพี่น้องหญิงอัน ไม่อย่างนั้น ฉันจะทำงานนี้ได้อย่างไร?” เมื่อฉันเจอพี่น้องชายจาง ฉันกระตือรือร้นและพร้อมรับมือมาก ฉันพยายามสัมพันธ์สนิททุกอย่างที่ฉันรู้ โดยที่คาดไม่ถึง พี่น้องชายจางพูดกับฉันอย่างหมดความอดทนว่า “พี่น้องหญิง ผมเข้าใจสิ่งที่คุณพูดนะ แต่สภาวะของผมไม่ดีขึ้นเลย ขอผมคิดเกี่ยวกับมันอีกสักหน่อยเถอะ” คำพูดของเขาทำให้ฉันตกใจ ฉันได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างหมดคำพูด อยากไปหลบอยู่ใต้ก้อนหิน ฉันลำบากใจ และคิดว่า “เกิดอะไรผิดปกติกับฉันนะ? ไม่เคยเกิดแบบนี้มาก่อนเลยเวลาฉันพูดกับพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ทำไมฉันถึงทำพลาดอยู่เรื่อย? แบบนี้จะทำให้พวกเขาดูแคลนฉันได้ พวกเขาจะหาว่าฉันดีแต่พูดแต่แก้ปัญหาที่แท้จริงไม่ได้หรือเปล่า?” ฉันลืมไปเลยค่ะว่าการพบปะนั่นจบลงอย่างไร
หลังจากนั้น เมื่อไรก็ตามที่ฉันอยู่กับพี่น้องหญิงอัน ฉันจะระวังตัวมาก บางครั้งวิธีที่เธอมองฉัน หรือวิธีที่เธอพูด ออกจะกระด้างอยู่สักหน่อย ฉันจะคิดว่า “เธอมีปัญหากับฉันหรือเปล่า? เธอไม่ยอมรับฉันหรือเปล่า?” ฉันรู้สึกว่าในวันหน้า ฉันควรอยู่ห่างเธอไว้ ฉันจะได้ไม่เปิดเผยเห็นข้อบกพร่องอีก ต่อหน้าพี่น้องชายหญิงคนอื่น ฉันยังรักษาภาพลักษณ์อย่างระมัดระวังอีกด้วย ฉันจงใจตีตัวออกห่างและไม่ค่อยพูดหรือช่วยแก้ปัญหาของพวกเขา ฉันหยุดทำหน้าที่อย่างรับผิดชอบ ฉันเริ่มรู้สึกถึงความมืดที่ค่อยๆ ครอบงำจิตใจของฉัน ฉันไม่สามารถเข้าใจ หรือแก้ปัญหาของคนอื่นได้ บางครั้งฉันก็กลัวที่จะพบปะกับพวกเขา ฉันแค่เอาตัวรอดให้พอผ่านไปได้ในแต่ละวัน และรู้สึกว่าพระเจ้าทรงทอดทิ้งฉัน ตอนนั้นเอง ที่ฉันได้อธิษฐานต่อพระเจ้าในที่สุด “พระเจ้า ข้าพระองค์พยายามรักษาชื่อเสียงของตัวเองและเสแสร้งอยู่เสมอ ข้าพระองค์ไม่รับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเองอีกต่อไป พระองค์ซ่อนพระพักตร์จากข้าพระองค์ นั่นเองความชอบธรรมของพระองค์ แต่ข้าพระองค์ก็เต็มใจหันหาพระองค์ และทบทวนตัวเอง” หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ผู้คนเองก็เป็นวัตถุของการทรงสร้าง วัตถุของการทรงสร้างสามารถสัมฤทธิ์ฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดได้หรือ? พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ความเพียบพร้อมและความไร้ที่ติได้หรือ? พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ความเชี่ยวชาญในทุกสิ่งทุกอย่าง มาเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จลุล่วงได้หรือ? พวกเขาไม่สามารถ อย่างไรก็ตาม ภายในพวกมนุษย์มีความอ่อนแออยู่ ทันทีที่พวกเขาเรียนรู้ทักษะหรืออาชีพ ผู้คนก็รู้สึกว่าพวกเขาสามารถ ว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่มีสถานะและคุณค่า และว่าพวกเขาเป็นพวกมืออาชีพ ไม่ว่าพวกเขาจะคิดว่าพวกเขา ‘สามารถ’ มากเพียงใด พวกเขาทั้งหมดก็ต้องการตกแต่งตัวพวกเขาเอง ปลอมตัวพวกเขาเองเป็นบุคคลสำคัญที่สูงส่ง และแลดูเพียบพร้อมและไร้ที่ติ โดยไม่มีตำหนิเลย ในสายตาของผู้อื่น พวกเขาปรารถนาที่จะได้รับการคำนึงถึงว่ายิ่งใหญ่ ทรงพลัง และสามารถอย่างเต็มที่ และมีความสามารถที่จะทำให้สิ่งใดๆ สำเร็จลุล่วงได้ พวกเขารู้สึกว่าหากพวกเขาได้แสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่นในเรื่องสักเรื่อง พวกเขาก็คงจะดูเหมือนไม่สามารถ อ่อนแอและด้อยกว่า และว่าผู้คนจะดูแคลนพวกเขา ด้วยเหตุผลนี้ พวกเขาจึงมีหน้าฉากตั้งไว้เสมอ…นี่คืออุปนิสัยประเภทใดกัน? ผู้คนเช่นนี้โอหังเสียจนพวกเขาได้สูญเสียสำนึกรับรู้ทั้งหมดไปแล้ว!” (“ห้าสภาวะที่จำเป็นต่อการอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในความเชื่อของคนเรา” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) “ผู้คนบางคนชื่นชูเปาโลมากเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาชอบที่จะออกไปข้างนอกและกล่าวสุนทรพจน์และทำงาน พวกเขาชอบที่จะเข้าร่วมการชุมนุมและเทศนา พวกเขาชอบให้ผู้คนฟังพวกเขา เคารพบูชาพวกเขา และกังวลสนใจพวกเขาเป็นหลัก พวกเขาชอบที่จะมีสถานะในจิตใจของผู้อื่น และพวกเขาซาบซึ้งเมื่อผู้อื่นให้คุณค่าภาพลักษณ์ที่พวกเขานำเสนอ พวกเราลองมาวิเคราะห์ธรรมชาติของพวกเขาจากพฤติกรรมเหล่านี้กันว่า สิ่งใดหรือที่เป็นธรรมชาติของพวกเขา? หากพวกเขาประพฤติเช่นนี้จริง เช่นนั้นแล้วมันก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาโอหังและทะนงตน พวกเขาไม่นมัสการพระเจ้าแต่อย่างใดเลย พวกเขาแสวงหาสถานะที่สูงส่งกว่าและปรารถนาที่จะมีสิทธิอำนาจเหนือผู้อื่น ที่จะครองพวกเขา และที่จะมีสถานะในจิตใจของพวกเขา นี่คือภาพลักษณ์อมตะของซาตาน แง่มุมที่โดดเด่นของธรรมชาติของพวกเขาก็คือความโอหังและความทะนงตน ความไม่เต็มใจที่จะนมัสการพระเจ้า และความปรารถนาที่จะได้รับการเคารพบูชาจากผู้อื่น พฤติกรรมเช่นนั้นสามารถให้ทรรศนะที่ชัดเจนมากแก่เจ้าในเรื่องธรรมชาติของพวกเขา” (“วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) หลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าฉันก็ได้เข้าใจว่า ฉันเป็นแค่เพียงหนึ่งในสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า มันเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะเข้าใจ และรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับความจริงหรือความรู้เฉพาะทางก็ตาม สิ่งที่ฉันเข้าใจและจับความเข้าใจได้มีจำกัดมาก เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมองข้ามสิ่งต่างๆ ไป และทำผิดพลาด แต่ฉันไม่รู้จักตัวเองเลย แถมไม่อยากยอมรับข้อบกพร่องที่มีด้วย ฉันอยากเป็นคนที่เพียบพร้อม สูงส่ง และมีอำนาจ และฉันได้แต่แสร้งทำเป็นคนอื่น แล้วก็ให้ความสนใจในสิ่งที่ผู้อื่นคิดเกี่ยวกับฉันมากเกินไป เมื่อผู้ร่วมงานของฉันเสนอแนะให้ฉันไปที่คริสตจักรนั้น เพื่อแก้ปัญหาของพวกเขา ฉันรู้สึกว่าฉันมีความเป็นจริงของความจริง และดีกว่าพวกเขา ฉันจึงอยากแสดงความสามารถพิเศษและพิสูจน์ตัวเอง เมื่อเทียบกับพี่น้องหญิงอัน ฉันรู้สึกประหนึ่งว่าฉันเป็นผู้นำ และอยู่ตรงนั้นเพื่อแก้ปัญหา ดังนั้น ฉันควรดีกว่าเธอในทุกๆ เรื่อง เมื่อฉันเห็นว่าพี่น้องหญิงอันแก้ปัญหาของคนอื่นอย่างไร ส่วนฉันเอาแต่ทำพลาดอยู่เรื่อย ฉันรู้สึกเสียหน้า และอยากวิ่งหนีไปให้พ้น ดังนั้นฉันเลยจงใจตีตัวออกห่างจากคนอื่นและเริ่มละเลยหน้าที่ของตัวเอง ปัญหาทั้งหลายในชีวิตคริสตจักรยังคงดำเนินต่อไป เป็นการกีดกันการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง ฉันตระหนักเลยว่าที่ฉันจอมปลอมอยู่ตลอดเวลาก็เป็นเพราะฉันถูกทำให้เสื่อมทราม โดยพิษของซาตาน เช่น “ผู้ชายควรเพียรพยายามที่จะดีกว่าคนรุ่นเดียวกันเสมอ” “ต้นไม้อยู่เพื่อเปลือกนอกฉันใด มนุษย์ย่อมอยู่เพื่อหน้าตาฉันนั้น” และ “มนุษย์อยู่ที่ใดก็ทิ้งชื่อของเขาไว้ที่นั่นฉันใด ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องของมันที่นั่นฉันนั้น” ไม่ว่าฉันอยู่ในกลุ่มใดก็ตาม ฉันพยายามจอมปลอมไปตลอดหนทางของฉันและซ่อนข้อบกพร่องของตัวเอง ฉันอยากให้คนเห็นแต่ด้านดีของฉัน และทิ้งแต่ความประทับใจที่ดีไว้ให้พวกเขาเท่านั้น ฉันคิดว่านั่นทำให้ชีวิตฉันมีคุณค่า มีศักดิ์ศรี แต่เมื่อความรู้สึกนั้นหมดไป ฉันก็รู้สึกเจ็บปวดและเศร้าใจ ฉันระวังตัว และสงสัยเกี่ยวกับคนอื่นๆ ช่างน่าอ่อนแรงนัก พระเจ้าทรงยกชูให้ฉันทำหน้าที่ผู้นำ เพื่อยกย่องและเป็นพยานต่อพระองค์ เพื่อสามัคคีธรรมความจริง แก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง นำพี่น้องชายหญิงสู่พระเจ้า แต่ฉันไม่ได้ค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอย่างสุดความสามารถ ฉันกลับเอามันมาเป็นโอกาสในการโอ้อวดและรับการเลื่อมใส พอไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ฉันก็เพิกเฉยต่องานของตัวเอง ฉันคิดถึงแต่ความรุ่งเรืองและความตกต่ำของเกียรติยศและสถานะของตัวเองเท่านั้น ฉันไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง หรือลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเอง ผลก็คือ พระเจ้าทรงดูหมิ่นฉัน และจิตวิญญาณฉันก็จมปลักอยู่ในความมืด ไม่ใช่แค่ฉันไม่สามารถแก้ปัญหาที่แท้จริงได้เท่านั้นนะคะ ฉันถึงขั้นทำสิ่งที่เคยทำได้มาก่อนไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ ฉันเป็นพยานให้กับความชอบธรรม และความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ธรรมชาติของเปาโลนั้นโอหัง และชอบแข่งขัน เขาหลับหูหลับตาแสวงหาสถานะและต้องการเป็นที่เลื่อมใส เขานำพาผู้คนมาอยู่ต่อหน้าเขาและเริ่มเส้นทางต้านทานพระเจ้า ฉันไม่ได้เสาะหาความจริง เอาแต่หลับหูหลับตาเสาะหาสถานะ ฉันใส่ใจในสิ่งที่คนอื่นคิดกับฉันมากเกินไป อยากชนะใจพวกเขา และหลอกลวงพวกเขา ฉันเลือกเส้นทางต้านทานพระเจ้าเหมือนเปาโลเลยค่ะ! พอตระหนักถึงสิ่งนี้ได้ ฉันก็รีบอธิษฐานต่อพระเจ้าและกลับใจ ฉันไม่อยากเสแสร้งหรือปกป้องสถานะของตัวเองอีกต่อไป ฉันอยากปฏิบัติความจริง และเป็นคนซื่อสัตย์
เมื่อฉันพบกับพี่น้องชายหญิงในครั้งถัดมา ฉันอยากเล่าให้พวกเขาฟังว่าฉันผ่านอะไรมาและอยากเปิดเผยความเสื่อมทรามของตัวเอง แต่ฉันก็ไม่อาจเอ่ยคำพูดออกมาได้ ฉันเป็นผู้นำคริสตจักร และควรจะดูแลงานของพวกเขา ถ้าฉันบอกทุกสิ่งทุกอย่างกับพวกเขา ความโกรธเคือง และใดๆ ทั้งหมด พวกเขาจะคิดว่าฉันไม่ใช่ผู้ที่เสาะหาความจริง คิดว่าฉันไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำหรือเปล่า? มันเหมือนการเล่นชักเย่อในใจตัวเองค่ะ ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักว่า ฉันกำลังพยายามเสแสร้งและพยายามรักษาชื่อเสียงของตัวเองอีกแล้ว ฉันคิดถึงการที่ฉันให้ค่ากับสถานะครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งขัดขวางงานของพระนิเวศของพระเจ้า และนำฉันไปอยู่บนเส้นทางที่ผิด จิตใจของฉันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องปิดบังสิ่งใด ทำการดัดแปลงแก้ไขใดๆ หรือนำเล่ห์เหลี่ยมใดมาใช้ เพื่อประโยชน์ของกิตติศัพท์ ความเคารพตนเอง และสถานะของเจ้าเอง และนี่ยังใช้กับความผิดพลาดใดๆ ที่เจ้าได้ทำอีกด้วย งานที่ไร้จุดหมายเช่นนี้ไม่จำเป็น หากเจ้าไม่ทำสิ่งเหล่านั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะดำรงชีวิตอย่างง่ายดายและไม่เหน็ดเหนื่อย และอยู่ในความสว่างอย่างครบบริบูรณ์ มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถได้รับการสรรเสริญของพระเจ้าได้” (“มีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่ยำเกรงพระเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ใจของฉันสว่าง และให้แรงจูงใจแก่ฉัน ฉันรู้สึกว่า การได้อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้เป็นโอกาสให้ปฏิบัติความจริง ฉันไม่อาจปกปิดตัวตนที่แท้จริงและปกป้องสถานะของตัวเองอีกต่อไป ดังนั้น ฉันจึงแบ่งปันความเสื่อมทรามของฉัน และบทเรียนที่ฉันได้เรียนรู้ทั้งหมด กับพี่น้องชายหญิงของฉัน เราทุกคนต่างก็ได้อะไรบางอย่างจากการสามัคคีธรรมนี้ และสนิทกันมากขึ้น แถมเรายังได้คุยกันถึงปัญหาเรื่องงาน และจากการดึงจุดแข็งของกันและกันออกมา พวกเราก็สามารถปรับแก้ข้อผิดพลาดในหน้าที่ของเราได้ หลังจากนั้นสักพัก ปัญหาต่างๆ ในคริสตจักรแห่งนี้ก็ได้รับการแก้ไข สภาวะของพี่น้องชายหญิงก็ดีขึ้นด้วย และพวกเขาเริ่มทำหน้าที่ของเขาอย่างแข็งขัน หลังจากนั้นเวลาที่ฉันทำหน้าที่ของตัวเอง แม้บางครั้งฉันยังรู้สึกว่าถูกจำกัดโดยความคิดเรื่องสถานะอยู่ ฉันก็สามารถอธิษฐานต่อพระเจ้าได้อย่างมีสติ ปฏิบัติความจริง และทำตัวซื่อสัตย์ และฉันก็สามารถเปิดเผยเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของตัวเองได้ ฉันค่อยๆ เลิกให้ความสนใจกับสถานะมากๆ แล้วค่ะ ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็เข้ากับพี่น้องชายหญิงของฉันได้แค่เพียงเป็นคนเปิดเผยและไม่เสแสร้ง โดยปราศจากความจอมปลอมทั้งหลาย ฉันสามารถเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของตัวเองได้ในหนทางที่มั่นคง นี่คือผลของการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้าค่ะ! ขอบคุณพระเจ้า!