90. ความเชื่อที่ได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยผ่านทางบททดสอบและความทุกข์ลำบาก
แม่ของฉันเกิดมีปัญหาสุขภาพขึ้นใน ค.ศ. 1993 ซึ่งส่งผลให้ครอบครัวฉันได้รับความเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า หลังจากนั้น แม่ก็ได้รับประสบการณ์กับการฟื้นตัวราวปาฏิหาริย์ แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฉันก็ไปคริสตจักรกับเธอทุกวันอาทิตย์ จนมาในฤดูใบไม้ผลิของ ค.ศ. 2000 ข่าวที่น่าชื่นบานยินดีเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็มาถึงบ้านของพวกเรา ด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเราก็แน่ใจเลยว่าพระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา และพวกเราก็ได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเราได้เริ่มอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทุกวัน ชื่นชมยินดีกับการให้น้ำและเสบียงอาหารที่พระวจนะเหล่านั้นจัดเตรียมให้ สิ่งนี้เลี้ยงดูฉันทางจิตวิญญาณจริงๆ พอคิดถึงเรื่องที่มีผู้คนซึ่งกำลังถวิลหาการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เป็นจำนวนมากมายแค่ไหนที่ยังไม่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า หรือได้ถวายการต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันก็รู้ว่าฉันต้องคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและแบ่งปันข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรให้กับพวกเขา ไม่นานนัก ฉันก็เริ่มทำหน้าที่แบ่งปันข่าวประเสริฐ แต่ฉันก็ต้องแปลกใจ ที่เรื่องนั้นทำให้ฉันถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุม
ตอนนั้นคือเดือนมกราคม ค.ศ. 2013 ในขณะที่ฉันอยู่ในการชุมนุมกับพี่น้องชายหญิงอีกหกคน เมื่อจู่ๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจมากกว่า 20 นายก็บุกพรวดพราดเข้ามา สองคนที่มีปืนในมือปรี่ไปที่ด้านหน้าแล้วตะคอกพวกเราว่า “อย่าขยับ! พวกแกถูกล้อมไว้หมดแล้ว” อีกสองคนมีกระบองไฟฟ้าและตะโกนว่า “ยกมือขึ้นแล้วหันหน้าเข้ากำแพง!” หนึ่งในเจ้าหน้าที่คนที่มีปืนพูดว่า “พวกเราติดตามแกมาสองสัปดาห์แล้ว แกคือเสียวเสี่ยว” พอได้ยินฉันก็สะดุ้ง พวกนี้รู้นามแฝงของฉันได้อย่างไร? แล้วเขาก็พูดว่าพวกเขาติดตามฉันมาสองสัปดาห์แล้ว ถ้าอย่างนั้น พวกเขากรู้ทุกสถานที่ที่ฉันไปเมื่อเร็วๆ นี้หรือเปล่า? พี่น้องชายหญิงเหล่านั้นถูกจับกันไปหมดด้วยไหม? ฉันทนคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้อีกต่อไป ฉันจึงแค่อธิษฐานให้คนอื่นอย่างเงียบๆ ดูจากการที่ตำรวจเตรียมการมาขนาดนี้ ฉันรู้ว่าพวกเขาคงไม่ปล่อยฉันไปง่ายๆ แน่ ฉันร้องหาพระเจ้าอย่างวิตกกังวล แล้วพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าก็ผุดขึ้นในใจฉันว่า “เจ้าไม่ควรกลัวสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่สำคัญว่าเจ้าอาจเผชิญความยากลำบากและภยันตรายมากเพียงใด เจ้าสามารถจะยังคงมั่นคงอยู่ต่อหน้าเราได้ โดยไร้อุปสรรคใดๆ กีดขวาง เพื่อที่เจตจำนงของเราจะได้รับการดำเนินการโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น นี่คือหน้าที่ของเจ้า…จงอย่ากลัวเลย ด้วยการสนับสนุนของเรา ใครเล่าจะสามารถขวางกั้นถนนสายนี้ได้?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10) พระวจนะของพระเจ้านำพาสำนึกแห่งสันติสุขมาสู่ใจฉัน ฉันรู้ว่าทุกสรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ แม้แต่ตำรวจพวกนั้นทั้งหมด พระเจ้าทรงเป็นกำลังหนุนของฉัน ดังนั้นฉันต้องอธิษฐานต่อพระองค์และพึ่งพิงพระองค์ เมื่อตระหนักว่า ฉันได้ถูกพวกตำรวจติดตามมาตลอดโดยไม่ทันรู้ตัว นำปัญหาใหญ่เช่นนี้มาสู่คริสตจักร ฉันก็เกลียดตัวเองที่ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวและเข้าใจอะไรต่ออะไรได้ช้า ทั้งหมดที่ฉันทำได้ ณ จุดนั้นคืออธิษฐานให้พี่น้องชายหญิงของฉัน เมื่อฉันตั้งใจแน่วแน่ ก็ได้กล่าวคำอธิษฐานนี้ไปว่า “ไม่ว่าตำรวจจะทรมานฉันอย่างไร ฉันก็จะไม่มีวันขายพี่น้องชายหญิง ฉันจะไม่เป็นยูดาสและทรยศพระเจ้า” ความตกใจกลัวของฉันคลายลงหลังจากอธิษฐาน ฉันได้รับการเติมเต็มด้วยความเชื่อและความเข้มแข็ง
พวกตำรวจทำตัวเหมือนโจรรื้อค้นบ้านไปทั่ว พวกเขายึดโทรศัพท์มือถือของพวกเรา เครื่องเล่นวิดีโอแปดเครื่อง แท็บเล็ตสี่เครื่อง หนังสือข่าวประเสริฐหลายสิบเล่มและเงิน 10,000 หยวน พวกเขานำฉันกับพี่น้องหญิงอีกสองคนไปที่ห้องนั่งเล่นและบังคับให้พวกเรานั่งยองลงกับพื้น ตอนนั้นเอง เสียงตำรวจกำลังซ้อมพวกพี่น้องชายแบบไม่ต่อเนื่องยั้งก็เริ่มดังมาจากห้องนอนห้องหนึ่ง ฉันเรียกร้องอย่างฉุนจัด “พวกเราแค่เชื่อในพระเจ้า ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายเลย พวกคุณมาจับพวกเราทำไม?” หนึ่งในเจ้าหน้าที่พูดอย่างเกลียดชังว่า “การมีความเชื่อมันผิดกฎหมาย เป็นอาชญากรรม ถ้าพรรคคอมมิวนิสต์พูดว่าแกทำผิดกฎหมาย แกก็ทำผิดกฎหมาย พรรคไม่อนุญาตให้เชื่อในพระเจ้า แต่แกก็ยังกล้าทำแบบนั้นในดินแดนของพวกเขา แกตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับพรรค แกมันรนหาที่ตายแท้ๆ!” ฉันได้พูดไปว่า “เสรีภาพในการเชื่อไม่ได้มีการรับประกันไว้ตามกฎหมายหรอกหรือไง?” พวกเขาพูดพลางหัวเราะว่า “แกนี่ช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลยนะ! เสรีภาพในการเชื่อมีไว้อวดให้พวกต่างชาติดูเท่านั้นแหละ แต่นี่ละคือสิ่งที่พวกแกผู้เชื่อเจอ!” เขาพูดถึงตรงนี้ก็ตบหน้าฉันฉาดใหญ่ และตำรวจหญิงคนหนึ่งก็เข้ามาเตะแขนฉัน ฉันโกรธจัด แล้วพระวจนะเหล่านี้ก็ผุดขึ้นในใจ “เสรีภาพทางศาสนาหรือ? สิทธิและผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ? สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นเพทุบายเพื่อปิดบังบาป!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)) อันที่จริงแล้ว การมีพรรคคอมมิวนิสต์ดูแลรับผิดชอบก็คือการมีซาตานดูแลรับผิดชอบ กฎหมายทั้งหมดของพวกเขามีไว้เพื่อหลอกลวง พวกเขาบอกคนภายนอกว่ามีเสรีภาพทางในการเชื่อ แต่ความเป็นจริงก็คือ พวกเขาไม่อนุญาตให้ใครเชื่อในพระเจ้าและเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง พวกเขาไม่อนุญาตอะไรที่เป็นบวกเลย พวกเขาจับกุมและทำอันตรายคริสตชนในวงกว้างมาก ตำรวจพวกนั้นเป็นแค่โจรผู้ร้ายและพวกตัวโกงในเครื่องแบบ ฉันนี่ช่างน่าขันเสียจริงที่พยายามใช้เหตุผลกับพวกมัน! ตอนที่พวกนั้นจับฉันใส่รถตำรวจ ฉันจึงได้เห็นว่ามีรถตำรวจมากกว่าสิบคันล้อมพวกเราอยู่
พอพวกเราถูกนำตัวไปที่กองพลน้อยเพื่อความมั่นคงแห่งชาติของมณฑลนั้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็พูดกับฉันว่า “พวกเราตกเบ็ดได้ปลาตัวใหญ่อย่างแกเสียที พวกเรารู้เรื่องแกทุกอย่าง พวกเรารู้ทุกเมือง ทุกมณฑลที่แกไปมาในสองสัปดาห์นี้ แกต้องเป็นผู้นำคริสตจักรแน่ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงไม่ระดมกำลังมากขนาดนี้ไปจับแกหรอก พวกเราจะไม่สอบสวนแกที่นี่ พวกเรามี ‘ที่ดีๆ’ สำหรับเรื่องนั้น ฉันแค่กลัวว่าแกจะรับไม่ไหวน่ะสิ!” ตอนนั้นเองที่ฉันรู้ตัวว่า พวกเขาเข้าใจผิดว่าฉันเป็นผู้นำในคริสตจักร ฉันรู้สึกเบาใจลงเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าบรรดาผู้นำตัวจริงจะปลอดภัยขึ้นอีกนิด แต่ฉันก็ยังกังวลอยู่ ฉันรู้ว่าพวกเขาคงไม่ปล่อยฉันง่ายๆ เพราะคิดว่าฉันเป็นผู้นำคริสตจักร ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาจะทรมานฉันอย่างไร ฉันอธิษฐานขอความเชื่อและความเข้มแข็งจากพระเจ้า ให้ทรงช่วยให้ฉันยืนหยัดเป็นพยาน หลังห้าทุ่มคืนนั้น พวกเขาก็เอาฉันขึ้นรถตำรวจเพื่อพาฉันไปยัง “ที่ดีๆ” นั่น ตอนอยู่ในรถ ตำรวจคนหนึ่งพูดว่า “พวกนายไม่รู้วิธีรับมือกับผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์พวกนี้ พวกเราต้องหนักข้อมากๆ เพื่อให้พวกมันเปิดปากพูด พวกเราต้องใช้อะไรก็ได้ทุกวิถีทาง ไม่อย่างนั้นพวกมันก็อาจจะไม่สารภาพ” เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งพูดว่า “อ๋อใช่เลย เขาพูดกันว่าคุณมีเล่ห์กลขั้นสุดกับผู้เชื่อพวกนั้น พวกเราถึงให้คุณจัดการเรื่องนี้ไงครับ” พอได้ยินแบบนี้ ฉันก็นึกสงสัยว่า พวกเขาเตรียมการทรมานแบบไหนไว้ทำกับฉันบ้าง ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ แล้วพระวจนะเหล่านี้จากองค์พระเยซูเจ้าก็ผุดขึ้นในใจฉันว่า “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่สามารถฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้สามารถทรงทำลายทั้งจิตวิญญาณและกายในนรกได้” (มัทธิว 10:28) “เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด” (มัทธิว 16:25) พระวจนะของพระเจ้าได้ให้ความเข้มแข็งในความเชื่อของฉัน ฉันได้รู้ว่าชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ว่าดวงจิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ฉันตกลงปลงใจที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและไม่มีทางทรยศพระองค์ ต่อให้นั่นหมายถึงความตายก็ตาม!
พวกเขาพาฉันไปสถานีตำรวจประจำมณฑล และวินาทีที่พวกเราเข้าไปในห้องสอบสวน ฉันก็ได้ยินเสียงพี่น้องชายคนหนึ่งกำลังร้องไห้อย่างขมขื่น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งสั่งให้ปิดอุปกรณ์กล้องวงจรปิด แล้วอีกสองคนก็มาใส่กุญแจมือฉัน โดยที่แขนขวาของฉันบิดมาทางด้านหลังหัวไหล่และแขนซ้ายไพล่หลังมาจากด้านล่าง พวกเขากระชากกุญแจมือขึ้นลง จนฉันรู้สึกเหมือนแขนของฉันกำลังจะหัก หลังจากนั้น พวกเขาก็เสือกแขนเก้าอี้เสือเข้ามาระหว่างแขนกับแผ่นหลังของฉัน ฉันรู้สึกเหมือนแขนของฉันกำลังถูกฉีกออกจากกัน มันเจ็บปวดมากจนเหงื่อทะลักพรูลงมาตามใบหน้าฉัน เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรั้งกุญแจมือและพูดว่า “เจ็บมากไหม? รู้สึกยังไงบ้างล่ะ?” อีกคนหัวเราะพลางพูดว่า “ทำไมแกไม่แค่ทำงานหญิงบริการล่ะ? แบบนั้นพวกเราก็ไม่จับแกหรอก?” พวกที่เหลือก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ความหน้าด้านของพวกเขาก็ทำให้ฉันคลื่นไส้สะอิดสะเอียน ฉันไม่เคยจินตนาการเลยว่าอะไรน่าขยะแขยงแบบนี้จะออกมาจากปากของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ พวกมันต่ำตมกว่าสัตว์ร้ายเสียอีก! แล้วหนึ่งในพวกเขาก็พูดว่า “พวกเราอย่ารีบร้อนกับการสอบสวนนี้เลย สุดท้ายหล่อนก็จะอยากบอกสิ่งที่รู้ให้พวกเราฟังแทบขาดใจเลยล่ะ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลย อย่าให้หล่อนกิน นอนหลับ หรือใช้ห้องน้ำ มาดูกันว่าหล่อนจะทนไปได้สักกี่น้ำ!” แล้วเขาก็ดึงแขนฉันอย่างแรง โดยจับบิดทั้งที่ถูกใส่กุญแจมือติดอยู่กับราวเหล็กสูงถึงเอว ฉันไม่สามารถคุกเข่าลงหรือยืนขึ้นได้ และไม่นานฉันก็เริ่มปวดหลังกับขา พวกเขาไม่อนุญาตให้ฉันนอนหลับหรือแม้แต่หลับตา ทันทีที่ตาของฉันเริ่มหรี่ลง ตำรวจนั่นจะทุบโต๊ะ เตะเก้าอี้ หรือฟาดพวกราวเหล็ก ไม่อย่างนั้น พวกเขาก็จะตะโกนใส่หูฉันหรือทำเสียงประหลาดทุกรูปแบบเพื่อให้ฉันตกใจ นี่ทำให้ฉันอยู่ในสภาวะตื่นตัวมาก จนฉันหาความสงบไม่ได้แม้แต่อึดใจ ฉันอธิษฐานอยู่เงียบๆ และร้องหาพระเจ้าไม่หยุด แล้วก็นึกถึงตรงนี้ในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ว่า “เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องมอบตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับความจริงมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) พระวจนะของพระเจ้าให้ความเชื่อแก่ฉัน การทนทุกข์กับอะไรก็ตามย่อมคุ้มค่าต่อการได้รับความจริง และฉันจะต้องทนติดอยู่กับมัน ไม่ว่าฉันทุกข์ทนสักแค่ไหนก็ตาม ฉันมุ่งมั่นที่จะยืนหยัดเป็นพยานและทำให้ซาตานอัปยศ
เช้าวันต่อมา เจ้าหน้าที่หกหรือเจ็ดคนมาเพื่อซักถามฉัน เกี่ยวกับที่อยู่ของเงินทุนของคริสตจักร และถามว่าผู้นำระดับสูงขึ้นไปคือใครบ้าง เมื่อฉันไม่ปริปากพูด พวกเขาก็ตบฉันฉาดใหญ่อย่างแรง ทันทีที่พวกนั้นกลับไป อีกสองสามคนก็มาถามคำถามเดิมๆ กับฉัน พวกเขาซักถามฉันไม่หยุด 24 ชั่วโมงต่อวัน หลังจากสี่วัน ทั่วทั้งตัวฉันบวมเป่ง และน่องฉันก็บวมมากจนหนาพอๆ กับต้นขาฉัน ฉันหิวโหยและอิดโรยมาก เจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งเห็นฉันสัปหงก จึงเตะเท้าฉันสุดแรงเกิดของเธอ ร่างกายท่อนล่างของฉันทั้งท่อนหมดความรู้สึกไปเลย และแผ่นหลังของฉันก็เจ็บปวดจนสุดจะทน ราวกับว่ามันแตกหักไปแล้ว ตาของฉันบวมและปวดแสบปวดร้อนอย่างร้ายกาจ ลูกตาของฉันรู้สึกเหมือนจะถลนหลุดออกมาได้ทุกเมื่อ มันเจ็บปวดแสนสาหัสเหลือเกิน ความคิดที่จะได้ปิดตาหรือพักขาแม้เพียงชั่วครู่นั้น ฟังดูเป็นเรื่องหรูหราเกินตัวจริงๆ ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาจะทรมานฉันไปอีกนานแค่ไหน ฉันรู้สึกว่าร่างกายฉันถึงขีดจำกัดแล้ว ว่าฉันคงไม่สามารถอดทนต่อไปได้อีกนานนัก หัวใจของฉันรู้สึกอ่อนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ร้องขอความเชื่อและความเข้มแข็งจากพระองค์ แล้วฉันก็นึกถึงบทเพลงสรรเสริญเหล่านี้จากพระวจะของพระเจ้าที่ว่า “พวกเจ้าเคยได้ยอมรับพรทั้งหลายที่ได้มอบให้พวกเจ้าหรือไม่? พวกเจ้าเคยแสวงหาสัญญาทั้งหลายที่ได้ทำให้พวกเจ้าหรือไม่? พวกเจ้าจะฝ่าฟันผ่านเงื้อมมือของอำนาจแห่งความมืดไปภายใต้การนำจากความสว่างของเราอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะไม่สูญเสียความสว่างที่นำพวกเจ้าในท่ามกลางความมืดอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะเป็นนายแห่งสรรพสิ่งสร้างทั้งปวงอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะเป็นผู้ชนะต่อหน้าซาตานอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะยืนอยู่กลางฝูงชนเนืองแน่นมากมายมหาศาลเพื่อเป็นพยานแก่ชัยชนะของเราอย่างแน่นอน ในขณะที่อาณาจักรแห่งพญานาคใหญ่สีแดงล่มสลาย พวกเจ้าจะตั้งมั่นและไม่หวั่นไหวอย่างแน่นอนในแผ่นดินซีนิม พวกเจ้าจะสืบทอดพรของเราโดยผ่านทางความทุกข์ที่พวกเจ้าสู้ทน และจะแผ่สง่าราศีของเราไปตลอดทั่วทั้งจักรวาลอย่างแน่นอน” (ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) “ในอดีต เปโตรได้ถูกตรึงกางเขนโดยห้อยหัวลงเพื่อประโยชน์แห่งพระเจ้า แต่เจ้าควรทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในบทอวสาน และใช้พลังงานทั้งหมดของเจ้าให้หมดไปเพื่อประโยชน์ของพระองค์ สิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างสามารถทำสิ่งใดในพระนามของพระเจ้าได้?” (“สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรอยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) พระวจนะของพระเจ้าหนุนใจฉันและเสริมความแข็งแกร่งของฉัน ฉันตกไปอยู่ภายใต้การทรมานอันโหดร้าย แต่พระเจ้าได้ทรงอยู่ข้างฉัน และพระองค์ได้ทรงนำฉันด้วยพระวจนะของพระองค์ ฉันรู้ด้วยว่าฉันกำลังก้าวผ่านความทุกข์ลำบากแบบนี้เพื่อที่พระเจ้าจะสามารถทรงทำให้ความเชื่อของฉันเพียบพร้อมได้ และรู้ว่าฉันต้องให้คำพยานแห่งชัยชนะต่อหน้าพญานาคใหญ่สีแดง หากฉันทรยศพระเจ้าด้วยความเกรงกลัวต่อความทุกข์ทางเนื้อหนัง ชีวิตของฉันก็จะไม่เหลือความหมายอะไรเลย นั่นจะเป็นความอับยศอันใหญ่หลวง ฉันคิดไปถึงเหล่าอัครทูตและผู้เผยพระวจนะทั้งหมดตลอดยุคทั้งหลายที่พวกเขาถูกข่มเหงและเผชิญหน้ากับความตาย แต่พวกเขาทุกคนยังคงเชื่อในพระเจ้าและเป็นพยานที่ดังกึกก้องแด่พระองค์ ฉันถูกตำรวจทรมานและทำลายจนย่อยยับด้วยการทรงอนุญาตของพระเจ้า วุฒิภาวะของฉันเล็กจ้อยและฉันไม่สามารถเปรียบเทียบกับบรรดาธรรมิกชนในยุคเหล่านั้นได้แม้เพียงเฉียดฉิว แต่ฉันก็วาสนาดีมากที่มีโอกาสได้เป็นคำพยานแด่พระเจ้า ฉันเต็มใจแขวนชีวิตไว้บนเส้นด้ายเพื่อยืนหยัดเป็นพยานแด่พระเจ้า เพื่อนำความชูพระทัยสักเล็กน้อยมาสู่พระหทัยของพระเจ้า การคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าดูจะบรรเทาความเจ็บปวดทางกายของฉันได้มากพอดูด้วยเช่นกัน พอเห็นฉันม่อยหลับ ผู้กองก็จิกผมฉัน กระชากศีรษะฉันกลับไปกลับมา และใช้กำปั้นต่อยศีรษะและหน้าอกของฉัน พวกเขาไม่ให้ฉันใช้ห้องน้ำด้วยเหมือนกัน โดยบอกว่าฉันไปไม่ได้จนกว่าจะถึงเวลา พอฉันได้ไปห้องน้ำจริงๆ เจ้าหน้าที่ชายสองสามคนก็จะยืนพูดเรื่องสามานย์ทุกอย่างอยู่ข้างห้องน้ำ ฉันอับอายมาก ฉันรู้สึกเหมือนอยากจะตาย แล้วฉันก็นึกถึงพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้า “บางทีพวกเจ้าทุกคนอาจจำคำพูดเหล่านี้ได้ กล่าวคือ ‘เพราะว่าความยากลำบากชั่วคราวและเล็กน้อยของเรา จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีนิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบ’ พวกเจ้าทุกคนเคยฟังคำพูดเหล่านี้มาก่อน แต่ไม่มีใครในพวกเจ้าที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้เลย วันนี้พวกเจ้าตระหนักรู้อย่างลุ่มลึกในนัยสำคัญที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้แล้ว คำพูดเหล่านี้จะได้รับการทำให้ลุล่วงโดยพระเจ้าในระหว่างยุคสุดท้าย และจะได้รับการทำให้ลุล่วงในบรรดาผู้ที่ถูกข่มเหงอย่างทารุณโหดร้ายโดยพญานาคใหญ่สีแดงในแผ่นดินที่มันนอนขดกายอยู่ พญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระเจ้า และฉะนั้น ในแผ่นดินนี้ เหล่าผู้เชื่อในพระเจ้าจึงตกอยู่ในการเหยียดหยามและการกดขี่ และผลที่ได้ก็คือคำพูดเหล่านี้จักได้รับการทำให้ลุล่วงในพวกเจ้า ในคนกลุ่มนี้นี่เอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือ?) ความรู้แจ้งจากพระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็นว่า การถูกทำให้อับอายและถูกทรมานเพราะความเชื่อของฉันนั้น เป็นการทนทุกข์เพื่อความชอบธรรม เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ให้โอกาสนั้นแก่ฉันได้เป็นพยาน นั่นถือเป็นเกียรติสำหรับฉัน แต่พอฉันรู้สึกกระดากอายสักเล็กน้อยหรือประสบความทุกข์ทางกายสักเล็กน้อย ฉันก็สูญเสียความเชื่อในพระเจ้าและถึงกับคิดเรื่องความตาย ฉันให้ความสำคัญกับการได้รับสง่าราศีหรือการถูกดูหมิ่นเหยียดหยามในส่วนของตัวเองมากเกินไป นั่นเป็นคำพยานสักประเภทได้อย่างไร? ฉันได้ตกลงใจว่าถึงแม้ฉันจะต้องตาย ฉันก็จะยืนหยัดเป็นพยานให้แก่พระเจ้า แต่ฉันกลับกำลังคิดที่จะจบทุกอย่างเพียงเพราะความทุกข์ทางเนื้อหนังแค่เล็กน้อย ฉันไม่ได้ตกหลุมพรางหนึ่งในเล่ห์กลของซาตานหรอกหรือ? ซาตานไม่ได้กำลังพยายามทำให้ฉันทรยศพระเจ้าหรอกหรือ? ฉันจะล่าถอยและกลายเป็นตัวตลกของซาตานไม่ได้ ฉันต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ยืนหยัดเป็นพยานแด่พระเจ้า และนำความอดสูมาสู่ซาตาน! พอฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันก็กล่าวคำอธิษฐานนี้ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์พร้อมที่จะวางตัวเองไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ไม่ว่าซาตานจะทรมานข้าพระองค์อย่างไร ข้าพระองค์จะยืนหยัดเป็นพยานแด่พระองค์และไม่มีวันทรยศพระองค์ ข้าพระองค์จะติดตามการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ในทุกสรรพสิ่ง!” ฉันรู้สึกแข็งแกร่งขึ้นหลังจากการอธิษฐาน
ย้อนกลับไปตอนอยู่ในห้องสอบสวน ตำรวจเปิดคอมพิวเตอร์ที่พวกเขานำรูปของพี่น้องหญิงสองสามคนขึ้นมาให้ฉันระบุตัวตน พวกเขายังพูดด้วยว่า ราวตีสองของวันที่ 24 มกราคม พวกเขาได้จับกุมพี่น้องชายหญิงในหลากหลายสถานที่ มันเป็นปฏิบัติการแบบประสานความร่วมมือกัน ฉันโกรธมาก พอเห็นว่าฉันไม่ยอมตอบ พวกเขาก็ทั้งขู่และปลอบฉัน พูดอะไรอย่าง “พวกเรารู้เรื่องของพวกเธอหมดแล้ว จะแข็งขืนไปก็ไม่มีประโยชน์ คนอื่นๆ เปิดปากพูดหมดแล้ว แล้วการอมพะนำเพื่อพวกเขาต่อไปจะมีผลดีอะไรกับเธอหรือ? ต่อให้พวกเราปล่อยเธอไปตอนนี้ คริสตจักรของเธอก็ไม่ต้อนรับเธอกลับไปแล้ว ฉลาดหน่อยน่า—บอกพวกเรามาเถอะ ว่าพวกผู้นำระดับสูงเป็นใครและเงินทุนของคริสตจักรเก็บอยู่ที่ไหน แล้วพวกเราจะปล่อยเธอกลับบ้านทันฉลองปีใหม่นะ” ฉันก็ยังไม่ปริปากพูดอยู่ดี พวกเขาจึงตะคอกฉันว่า “ถ้าแกไม่บอกพวกเราว่าเงินของคริสตจักรอยู่ที่ไหน พวกเราจะจับแกแก้ผ้าแขวนจากเพดาน แล้วซ้อมแกจนเละโชกเลือด พวกเราจะหวานปากกับทุกนาทีเลยละ” พอได้ยินแบบนี้ฉันก็ตกใจกลัวมาก ฉันได้เห็นแล้วว่ามารพวกนั้นมันสามารถทำอะไรก็ได้ และไม่รู้ว่าฉันจะทนรับไหวไหม ฉันหวาดหวั่นจนใจหายใจคว่ำและไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรกับฉันในคืนนั้น คลื่นแห่งความกลัวและความเศร้ากระแทกใจฉันระลอกแล้วระลอกเล่า ฉันรู้สึกหมดสิ้นหนทางอย่างถึงที่สุด ฉันรีบอธิษฐานต่อพระเจ้าและร้องขอการทรงอารักขาของพระองค์ หลังจากการอธิษฐาน ฉันนึกถึงพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าที่ว่า “เมื่อผู้คนพร้อมที่จะพลีอุทิศชีวิตของพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นไม่สลักสำคัญ และไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพวกเขาได้ สิ่งใดจะสามารถสำคัญกว่าชีวิตได้? ด้วยเหตุนั้น ซาตานจึงกลายเป็นไม่สามารถทำสิ่งใดมากขึ้นอีกในผู้คน ไม่มีสิ่งใดที่มันสามารถทำกับมนุษย์ ถึงแม้ว่าในคำนิยามของ ‘เนื้อหนัง’ มีการกล่าวว่าเนื้อหนังถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม หากผู้คนยอมมอบตัวพวกเขาเองอย่างแท้จริง และไม่ถูกซาตานขับดัน เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพวกเขาได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่งพระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 36) โดยผ่านทางการให้ความรู้แจ้งของพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ได้เข้าใจว่า ฉันกลัวสุดขีดว่าจะถูกทำให้อับอายและกลัวตาย ซาตานกำลังจับจุดอ่อนของฉันเพื่อให้ฉันทรยศพระเจ้า นั่นเป็นเล่ห์กลของมัน หากฉันพร้อมที่จะแขวนชีวิตของตัวเองไว้บนเส้นด้าย จะมีอะไรเล่าที่ฉันรับไม่ได้อีก? ฉันเห็นอีกด้วยว่า การที่พวกเขาปฏิบัติต่อฉันแบบนั้นไม่ได้เป็นการทำให้ฉันอับอาย แต่เป็นแค่การที่ตำรวจพวกนั้นทำตัวชั่วและน่าดูหมิ่น เนื้อหนังของฉันไม่มีค่าอะไรเลย ฉันกลายเป็นเต็มใจที่จะพลีอุทิศชีวิตของตัวเองเพื่อเป็นพยานแด่พระเจ้าและทำให้ซาตานอับอาย ฉันรู้ว่าจะคุ้มค่าหากฉันสามารถเป็นคำพยานให้พระเจ้าได้ ว่าชีวิตของฉันจะไม่สูญเปล่า พอคิดแบบนี้ ฉันก็ไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไป ฉันเต็มไปด้วยความเข้มแข็งและความเชื่อ
ประมาณบ่ายโมงวันนั้น หัวใจของฉันเริ่มเต้นเร็วและหายใจได้ลำบาก ขาของฉันอ่อนเปลี้ยจนฉันทรุดลงกับพื้น พอเห็นฉันเป็นแบบนั้น พวกเขาแค่พูดว่า “ไม่ต้องแกล้งทำเป็นจะตายหรอก พวกเรายังไม่ปล่อยแกไปอยู่ดี คณะกรรมการกลางบอกว่า ถึงพวกเราจะซ้อมผู้เชื่อสักคนจนถึงตายก็ไม่เป็นไร ตายเพิ่มหนึ่งคนก็แปลว่าผู้เชื่อลดลงไปหนึ่งคน! พวกเราก็แค่ขุดหลุมแล้วโยนแกลงไปก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอก” หลังจากนั้นพวกเขาเห็นว่าฉันอาการไม่ดีจริงๆ และกลัวว่าฉันจะตาย แล้วพวกเขาจะเสียเบาะแสไป พวกเขาจึงพาฉันไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล หมอบอกว่าฉันใกล้จะหมดแรงลงทุกทีแล้วและนั่นทำให้หัวใจฉันมีปัญหา หมอพูดว่าฉันควรได้กินอาหารและพักผ่อน แต่พวกเขาไม่สนว่าฉันจะอยู่หรือตาย ครึ่งชั่วโมงหลังกลับจากโรงพยาบาล พวกเขาก็ใส่กุญแจมือฉันติดกับราวเหล็กอีกครั้ง พอเห็นว่าการใช้ไม้แข็งไม่ได้ผล พวกเขาก็เปลี่ยนมาใช้ไม้นวม เจ้าหน้าที่คนหนึ่งแสร้งพูดกับฉันอย่างอ่อนโยนว่า เขาไม่ได้ต่อต้านความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า และยายของเขาก็เป็นคริสเตียน เขาพูดด้วยว่าเขาไม่มีแฟน แล้วพอเห็นว่าฉันสวยแค่ไหน เขาก็อยากจะหาแฟนสาวเหมือนฉันสักคนจริงๆ แล้วอีกคนหนึ่งก็พูดว่า “ถึงเธอจะไม่คิดถึงตัวเอง ก็คิดถึงพ่อแม่บ้าง นี่ก็ใกล้จะตรุษจีนแล้ว คนอื่นๆ ก็อยู่กับครอบครัวกัน แต่เธอกลับมาทนทุกข์อยู่ที่นี่ ถ้าพ่อแม่ของเธอรู้เข้าจะเสียใจมากนะ” เจ้าหน้าที่อีกคนผสมโรงว่า “ฉันมีลูกวัยเดียวกับเธอเลย และฉันก็ไม่ชอบเห็นเธอทุกข์ทนแบบนี้ด้วย บอกมาเถอะว่าเธอต้องการอะไร—ฉันมีอำนาจสั่งการเด็ดขาดที่นี่ ฉันช่วยหางานให้เธอได้ด้วยนะ เธอบอกฉันคนเดียวก็ได้ว่าเธอรู้อะไรบ้าง” การมองเห็นพฤติกรรมพลิกลิ้นโอ้โลมแบบนี้ที่พวกเขาทำออกมาทำให้ฉันคลื่นไส้สะอิดสะเอียน และฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “พวกเจ้าต้องตื่นและรอคอยอยู่เสมอ และเจ้าต้องอธิษฐานต่อหน้าเราให้มากขึ้น เจ้าต้องระลึกรู้ถึงแผนร้ายสารพัด และกลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน ระลึกรู้ถึงจิตวิญญาณทั้งหลาย รู้จักผู้คน และมีความสามารถที่จะหยั่งรู้ในผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทุกประเภท” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 17) ซาตานกำลังพยายามใช้ภาวะอารมณ์ของฉันและความเอื้อเฟื้อเล็กน้อยเพื่อซื้อใจฉัน เพื่อทดลองให้ฉันทรยศพระเจ้า มันช่างไร้ยางอายและน่าดูหมิ่นสิ้นดี! ฉันรู้ว่าฉันตกหลุมพรางเล่ห์กลของซาตานไม่ได้ หลังจากนั้น ไม่ว่าพวกเขาข่มขู่หรือล่อใจฉันอย่างไร ฉันก็ไม่ปริปากสักคำ พวกเขามาเป็นกลุ่มครั้งละหกหรือเจ็ดคน แล้วก็ผลัดกันซักถามฉันนานแปดวันแปดคืน พวกเขาใช้การข่มขู่ ข่มขวัญและทรมานเพื่อเค้นคำสารภาพจากฉัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรจากฉันเลย ในที่สุด เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็พูดว่า “แกมีจิตใจแน่วแน่เหลือเชื่อมาก และพระเจ้าของแกก็ยิ่งใหญ่” การได้ยินแบบนี้ทำให้ฉันมีความสุขมาก—ฉันได้เห็นซาตานอับอายและพ่ายแพ้แล้ว
หลังจากนั้น พวกเขาได้พาตัวฉันไปสถานกักกัน พอฉันไปถึงที่นั่น เจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งก็ทำการเปลื้องผ้าฉันเพื่อค้นตัวโดยมีกล้องวงจรปิดเปิดอยู่ พอฉันไปถึงห้องขัง นักโทษคนอื่นๆ ก็จ้องฉันด้วยแววตาอำมหิต แล้วผู้คุมนักโทษก็ยุแหย่พวกเขาว่า “นี่ผู้เชื่ออีกคน ‘ดูแลเธอให้ดี’ อย่าให้พลาด” ก่อนที่ฉันจะทันตั้งหลัก นักโทษคนหนึ่งก็สั่งให้ฉันอาบน้ำเย็น แล้วฉันก็ตัวสั่นเทิ้มไปหมดเมื่อน้ำเย็นกะละมังแล้วกะละมังเล่าสาดรดลงมาบนร่าง นักโทษคนอื่นๆ ก็เอาแต่คอยหัวเราะอยู่ด้านข้าง ฉันต้องหิ้วน้ำเป็นสิบๆ ถังทุกวันเพื่อล้างห้องน้ำ และทำความสะอาด แล้วในมื้ออาหาร พวกเขาก็จงใจให้อาหารฉันน้อยลง ฉันไม่เคยได้กินอิ่มเลย ตอนกลางคืน พวกเขาจะเตะโครงเตียงฉันแรงๆ เพื่อให้ฉันหลับไม่ได้ นั่นทำให้ฉันตกใจกลัวจนหัวใจเต้นตูมตาม ช่างเขย่าขวัญเหลือเกิน ต่อมาพวกเขาก็ให้ฉันนอนบนพื้นคอนกรีตที่หนาวเย็นคนเดียว ไม่เพียงเท่านั้น แต่พวกผู้คุมยังยุยงหัวหน้านักโทษและฆาตกรบางคนให้ทรมานฉัน และตำรวจก็ซักถามฉันและข่มขู่ฉันเสมอว่า “แกเป็นอาชญากรทางการเมือง แกจะตายก็ไม่มีใครสนหรอก ถ้าแกไม่พูด พวกเราก็จะขังลืมแกไว้ในนี้เลย อย่าหวังเลยว่าจะได้ออกไปจากที่นี่!” ฉันรู้สึกสยดสยองมากเมื่อได้ยินอย่างนั้น ทุกวันของสี่เดือนนั้นคือความทรมาน และฉันทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ฉันไม่รู้ว่าทั้งหมดนั้นจะจบลงเมื่อไร ฉันรู้สึกว่าฉันไม่มีเรี่ยวแรงที่จะสู้ต่อไป ฉันรู้สึกอ่อนแอจริงๆ ฉันอยากตายไปเสียจะได้หนีพ้นจากความเจ็บปวดนั้น ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าในความเจ็บปวด และร้องไห้อย่างขมขื่นขณะที่อธิษฐาน ฉันคิดถึงเรื่องการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ เสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อทรงแสดงความจริงและทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ฉันได้ชื่นชมยินดีกับการให้น้ำและเสบียงอาหารแห่งพระวจนะของพระเจ้า แต่ฉันกลับอยากไปจากโลกนี้ก่อนที่จะชดใช้คืนความรักของพระเจ้า ฉันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจ ฉันรู้สึกเลวร้ายมากราวกับหัวใจฉันถูกกระหน่ำโบย แล้วฉันก็นึกถึงพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าที่ว่า “ด้วยเหตุนี้ ในระหว่างวันสุดท้ายเหล่านี้พวกเจ้าต้องเป็นคำพยานต่อพระเจ้า ไม่สำคัญว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด เจ้าควรต้องเดินไปจนถึงวาระสิ้นสุด และแม้กระทั่งถึงลมหายใจสุดท้ายของพวกเจ้า พวกเจ้ายังคงต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และการนี้เท่านั้นคือคำพยานที่หนักแน่นและดังกึกก้อง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความดีงามของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับการทดสอบอันแสนเจ็บปวดเท่านั้น) “เนื่องจากเจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าควรสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าและสู้ทนความทุกข์ทุกอย่าง! เจ้าควรยินดีและแน่ใจยอมรับความทุกข์เล็กน้อยที่เจ้าต้องมีในวันนี้ และใช้ชีวิตที่มีความหมาย ดังเช่นโยบ และเปโตร…พวกเจ้าคือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาหนทางที่ถูกต้อง คือบรรดาผู้ที่แสวงหาการปรับปรุง พวกเจ้าคือผู้คนที่ลุกขึ้นในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกขานว่ามีความชอบธรรม นั่นไม่ใช่ชีวิตที่มีความหมายมากที่สุดหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (2)) ฉันรู้สึกละอายใจจริงๆ เมื่อเผชิญหน้ากับพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จมาแผ่นดินโลกเพื่อทรงแสดงความจริงมากมายเพื่อให้เป็นเสบียงอาหารสำหรับพวกเรา และพระองค์ทรงต้องการให้ผู้คนเป็นพยานให้แก่พระองค์ในตอนนี้ แต่ฉันกลับอยากจะหลีกหนีจากสถานการณ์นั้นด้วยความตาย เพียงเพราะฉันรู้สึกอัปยศอดสูเล็กน้อย เพราะฉันต้องทนทุกข์ทางร่างกาย นั่นไม่ใช่การเชื่อฟังที่แท้จริง นั่นไม่ใช่การกบฏต่อพระเจ้าหรอกหรือ? ฉันนึกถึงการที่โยบสูญเสียข้าวของทั้งหมดและลูกๆ ไป และเขาทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วย แต่เขาไม่เคยติเตียนพระเจ้าเลย เขายังคงสรรเสริญพระนามพระเจ้า และเขานบนอบต่อพระเจ้า เขาเป็นพยานที่ดังกึกก้องแด่พระเจ้า อีกทั้งเหล่าสาวกและผู้เผยพระวจนะก็ได้สละทิ้งชีวิตและหลั่งเลือดเพื่อพระเจ้าตลอดมาในทุกยุค ฉันได้ชื่นชมยินดีกับมากมายหลายสิ่งจากพระเจ้า แต่ฉันได้สละอุทิศอะไรเพื่อพระองค์บ้าง? ฉันเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นมาก และฉันไม่ได้ดำเนินชีวิตไปตามราคาที่พระเจ้าทรงจ่ายให้ฉัน ฉันไม่คู่ควรแก่การถูกเรียกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ! ฉันมากลับใจและอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่า “โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว ข้าพระองค์ไม่ควรคิดถึงความตาย ข้าพระองค์อยากเป็นเหมือนโยบ เหมือนเปโตร และไม่ว่าข้าพระองค์ต้องเผชิญกับอะไร ข้าพระองค์ก็ขอยืนหยัดเป็นพยานแด่พระองค์” การอธิษฐานให้ความเข้มแข็งแก่ฉันในการเผชิญกับสิ่งใดก็ตามที่จะเกิดถัดไป หลังจากนั้นไม่นาน หัวหน้านักโทษคนนั้นก็ถูกย้ายไปเรือนจำเพื่อรับโทษที่เหลือ และนักโทษอีกสองสามคนก็ถูกย้ายเข้ามา ซึ่งพวกเธอเริ่มดูแลฉัน พวกเธอแบ่งปันสิ่งของที่จำเป็นในชีวิตประจำวันกับฉัน และให้เสื้อผ้าฉันใส่สำหรับฤดูกาลนั้น ฉันรู้เลยว่า นี่คือการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ไม่ผิดจากที่กล่าวในพระวจนะของพระเจ้าว่า “ไม่ว่าสิ่งใดและทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง สร้างขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตาม พระดำริของพระเจ้า นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือทุกสรรพสิ่ง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์)
ต่อมา ฉันพบพี่สาวคนหนึ่งในสถานกักกันนั้น นั่นทำให้ฉันอบอุ่นหัวใจมากจริงๆ พวกเราแอบคัดลอกพระวจนะของพระเจ้าบางส่วนเพื่อหนุนใจกันและกันและสามัคคีธรรมกัน หัวใจของฉันรู้สึกอิ่มเอมและชื่นบาน แล้ววันหนึ่งในเดือนกันยายน ตำรวจก็มาซักถามฉันอีก พวกเขาถ่ายรูปฉันทันทีที่ฉันเข้าไปในห้องสอบสวน และบอกว่าจะใช้รูปนั้นค้นหาตัวตนของฉันในอินเทอร์เน็ต พวกเขาข่มขู่ฉันว่า “คดีของแกใกล้จะตัดสินแล้ว อย่าคิดเลยว่าจะได้ออกไป! นโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์สำหรับพวกคริสเตียนก็คือเปลี่ยนโทษหนึ่งปีให้เป็นโทษสามปี และเปลี่ยนโทษสามปีให้เป็นโทษเจ็ดปี พวกเราสามารถซ้อมพวกคริสเตียนจนตายได้ตามแต่ใจจะคิดโดยไม่มีใครต้องรับผิดชอบเลย พวกเราจะดูว่าแกทนได้นานสักแค่ไหน” การเห็นว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนชั่วและน่าดูหมิ่นแค่ไหนทำให้ฉันเกลียดซาตานมารร้ายยิ่งขึ้นไปอีก ฉันจะไม่มีทางยอมแพ้และทรยศพระเจ้าอย่างเด็ดขาด ฉันพูดกับพวกเขาอย่างจริงจังว่า “แกลืมเรื่องนั้นไปได้เลย ฉันไม่มีแผนจะออกไปไหนทั้งนั้น ตราบใดที่ฉันสามารถรู้จักพระเจ้าและยืนหยัดเป็นพยานให้แก่พระผู้สร้างได้ในช่วงชีวิตของฉัน ต่อให้ฉันตายในนี้มันก็จะคุ้มค่า!” ตำรวจจึงปึงปังออกไปด้วยความโมโห
ฉันได้รับการปล่อยตัวในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2013 หลังจาก 10 เดือนที่ถูกเจ้าหน้าที่กักกันอย่างผิดกฎหมาย แม้ว่าฉันได้ทนทุกข์ทางร่างกายในประสบการณ์ที่ฉันถูกพรรคคอมมิวนิสต์จับกุม แต่พระวจนะของพระเจ้าก็ให้ความรู้แจ้งแก่ฉันตลอดเวลา ทรงนำให้ฉันมีชัยชนะเหนือการทดลองของซาตาน และให้ฉันได้ยืนหยัดเป็นพยาน ฉันได้รับประสบการณ์กับอำนาจและสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง และความเชื่อของฉันในพระเจ้าก็เติบโตขึ้น ฉันเห็นอย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน ถึงแก่นแท้เยี่ยงมารร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการเกลียดชังพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระองค์ ฉันหันหลังให้มันและไม่ยอมรับมันอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งแน่วแน่มากขึ้นที่จะติดตามพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!