12. พระวจนะว่าด้วยธรรมนูญ ประกาศกฤษฎีกาบริหาร และพระบัญญัติของยุคแห่งราชอาณาจักร
595. งานที่ได้วางแผนไว้ของเรายังคงรุกไปข้างหน้าต่อโดยปราศจากการหยุดแม้สักชั่วขณะ เมื่อได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งราชอาณาจักรแล้ว และเมื่อได้นำพาพวกเจ้าเข้าสู่ราชอาณาจักรของเราในฐานะประชากรของเราแล้ว เราจะมีข้อเรียกร้องอื่นๆ ที่จะเรียกจากพวกเจ้า กล่าวคือ เราจะเริ่มต้นเผยแพร่ธรรมนูญซึ่งเราจะใช้ในการปกครองยุคนี้ต่อพวกเจ้า นั่นคือ
เนื่องจากเจ้านั้นได้ชื่อว่าเป็นประชากรของเรา เจ้าควรมีความสามารถที่จะมอบเกียรตินามของเรา กล่าวคือ ยืนหยัดเป็นคำพยานในท่ามกลางการทดสอบ หากใครก็ตามพยายามที่จะป้อยอเราและปกปิดความจริงจากเรา หรือดำเนินการตกลงต่างๆ อันเสียชื่อเสียงลับหลังเรา ผู้คนเยี่ยงนี้จะถูกไล่ออกไปและถูกย้ายออกจากบ้านของเราเพื่อรอให้เราจัดการกับพวกเขา โดยไม่มีข้อยกเว้น ผู้ที่ไม่สัตย์ซื่อและอกตัญญูต่อเราในอดีต และผู้ที่ลุกขึ้นมาอีกครั้งวันนี้เพื่อตัดสินเราอย่างเปิดเผย—พวกเขาจะถูกขับไล่ออกจากบ้านของเราเช่นกัน พวกที่เป็นประชากรของเราจะต้องคิดพิจารณาภาระต่างๆ ของเราอยู่ตลอดเวลา ตลอดจนพยายามที่จะรู้จักวจนะของเรา มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่เราจะทำให้รู้แจ้ง และพวกเขาจะใช้ชีวิตภายใต้การนำและความรู้แจ้งของเราอย่างแน่นอน จะไม่มีวันเผชิญกับการตีสอน พวกที่จดจ่อกับการวางแผนสำหรับอนาคตของพวกเขาเอง ก็ล้มเหลวในการคิดพิจารณาภาระต่างๆ ของเรา—กล่าวคือ พวกที่ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายด้วยการกระทำต่างๆ ของพวกเขาเพื่อทำให้เราพึงพอใจ แต่ตรงกันข้ามกลับเป็นผู้ที่มองหาของให้ทาน—เราปฏิเสธที่จะใช้สรรพสิ่งสร้างเหมือนขอทานเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง เพราะตั้งแต่เวลาที่พวกเขาถือกำเนิด พวกเขาไม่ได้รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความหมายของการคิดพิจารณาภาระต่างๆ ของเรา พวกเขาคือผู้คนซึ่งขาดสำนึกรับรู้ที่ปกติ ผู้คนดังกล่าวกำลังทนทุกข์จาก “ภาวะทุพโภชนาการ” ของสมอง และจำเป็นต้องกลับบ้านไปเพื่อรับ “การบำรุงเลี้ยง” บางอย่าง ผู้คนเช่นนั้นไม่มีประโยชน์ต่อเรา ท่ามกลางประชากรของเรา สิ่งที่จะพึงประสงค์จากทุกคนก็คือ การคำนึงถึงการรู้จักเราในฐานะหน้าที่ซึ่งเป็นภาระผูกพันอย่างหนึ่งที่จะต้องเข้าใจทะลุปรุโปร่งจนถึงปลายทาง เช่น การกิน การแต่งตัว และการนอน บางสิ่งที่คนผู้หนึ่งไม่มีวันลืมแม้สักชั่วขณะ เพื่อที่ในท้ายที่สุด การรู้จักเรานั้นจะกลายเป็นคุ้นเคยเหมือนกับการกิน—บางอย่างที่เจ้าทำโดยที่ไม่ต้องพยายาม ด้วยมือที่ผ่านการฝึกฝนปฏิบัติ ในส่วนของวจนะที่เราพูด ทุกๆ วจนะจะต้องรับไว้ด้วยความเชื่อจนถึงที่สุดและซึมซับอย่างเต็มที่ ไม่สามารถมีการทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ อย่างพอเป็นพิธีได้ ผู้ใดที่ไม่ให้ความสนใจต่อวจนะของเราจะถือว่าต้านทานเราโดยตรง ผู้ใดที่ไม่กินวจนะของเรา หรือไม่พยายามที่จะรู้จักวจนะเหล่านั้น จะถือว่าไม่ให้ความสนใจต่อเรา และจะถูกกวาดออกนอกประตูบ้านของเราโดยตรง นี่เป็นเพราะ อย่างที่เราได้พูดแล้วในอดีต สิ่งที่เราต้องการนั้นไม่ใช่จำนวนที่มากมายของผู้คน แต่เป็นความดีเลิศ จากผู้คนหนึ่งร้อยคน หากเพียงคนเดียวมีความสามารถที่จะรู้จักเราได้โดยผ่านทางวจนะของเรา เช่นนั้นแล้วเราก็ย่อมจะขว้างคนอื่นๆ ทั้งหมดทิ้งอย่างเต็มใจเพื่อมุ่งเน้นไปที่การให้ความรู้แจ้งและการให้ความกระจ่างแก่คนคนเดียวผู้นี้ จากการนี้เจ้าสามารถเห็นได้ว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นจริงว่า จำนวนคนที่มากกว่าเพียงอย่างเดียวนั้นสามารถสำแดงเราให้ประจักษ์และใช้ชีวิตตามแบบอย่างเราได้ สิ่งที่เราต้องการคือข้าวสาลี (แม้ว่าเมล็ดอาจไม่เต็มก็ตาม) และไม่ใช่ข้าวละมาน (แม้ในคราที่เมล็ดนั้นเต็มพอที่จะมองดูด้วยความชื่นชอบได้) ในส่วนของพวกที่ไม่ให้การคำนึงถึงที่จะแสวงหา แต่กลับเป็นผู้ที่ประพฤติตัวในลักษณะเกียจคร้าน พวกเขาควรจากไปโดยสมัครใจ เราไม่ปรารถนาที่จะเห็นพวกเขาอีกต่อไป ด้วยเกรงว่าพวกเขายังคงนำความเสื่อมเสียมาสู่ชื่อของเราต่อไป
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 5
596. เราไม่ได้เร่งจะลงโทษใคร และเราก็มิได้ปฏิบัติต่อผู้ใดอย่างไม่เที่ยงธรรม—เรานั้นชอบธรรมต่อทุกคน เรารักบุตรทั้งหลายของเราอย่างแน่นอน และเราเกลียดชังคนชั่วเหล่านั้นที่ท้าทายเราอย่างแน่นอน ข้อนี้คือหลักการเบื้องหลังการกระทำทั้งหลายของเรา พวกเจ้าทุกคนควรมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราไว้บ้าง หากพวกเจ้าไม่มี พวกเจ้าก็ย่อมจะไม่มีความยำเกรงสักนิด และจะกระทำการโดยประมาทต่อหน้าเรา อีกทั้งพวกเจ้าจะไม่รู้ว่าอะไรที่เราต้องการสัมฤทธิ์ผล อะไรที่เราต้องการทำให้สำเร็จลุล่วง อะไรที่เราต้องการได้รับไว้ หรือบุคคลประเภทใดที่ราชอาณาจักรของเราต้องประสงค์
ประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา คือ
1) ไม่สำคัญว่าเจ้าจะเป็นใคร หากในหัวใจของเจ้าโต้แย้งเรา เจ้าย่อมจะได้รับการพิพากษา
2) บรรดาผู้ที่เราได้เลือกสรรทั้งหลาย จะได้รับการบ่มวินัยสำหรับการคิดที่ไม่ถูกต้องใดๆ โดยทันที
3) เราจะจัดรวมพวกที่ไม่เชื่อในเราไว้ข้างหนึ่ง เราจะอนุญาตให้พวกเขาพูดและกระทำการโดยประมาทจนถึงที่สิ้นสุด คือเมื่อเราจะลงโทษพวกเขาโดยครบถ้วนและจำแนกประเภทพวกเขา
4) เราจะดูแลและคุ้มครองบรรดาผู้ที่เชื่อในเราตลอดเวลา ตลอดเวลานั้นเราจะจัดหาชีวิตให้พวกเขาด้วยหนทางแห่งความรอด ผู้คนเหล่านี้จะมีความรักของเรา และพวกเขาจะไม่ล้มหรือหลงทางอย่างแน่นอน จุดอ่อนใดๆ ที่พวกเขามีจะอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น และเราจะไม่จดจำจุดอ่อนเหล่านั้นของพวกเขาอย่างแน่นอน
5) พวกที่ดูเหมือนจะเชื่อ แต่ไม่ได้เชื่อจริงๆ–ผู้ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าแต่ไม่แสวงหาพระคริสต์ กระนั้นก็ไม่ได้ต้านทานด้วย—คนเหล่านี้คือผู้คนชนิดที่น่าสงสารมากที่สุด และเราจะทำให้พวกเขามองเห็นอย่างชัดเจนโดยผ่านทางกิจการทั้งหลายของเรา เราจะช่วยผู้คนเช่นนั้นให้รอดและนำพวกเขากลับคืนมาโดยหนทางแห่งการกระทำทั้งหลายของเรา
6) บรรดาบุตรหัวปี คนแรกที่ยอมรับชื่อของเรา จะได้รับพร! เราจะประสาทพรต่างๆ ที่ดีที่สุดแก่พวกเจ้า เปิดโอกาสให้พวกเจ้าชื่นชมยินดีกับพรเหล่านั้นอย่างเต็มหัวใจอย่างแน่นอน ไม่มีผู้ใดจะกล้าขัดขวางการนี้ ทั้งหมดทั้งปวงนี้จะได้รับการตระเตรียมเอาไว้เพื่อพวกเจ้า เพราะนี่คือประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 56
597. บัดนี้เราขอประกาศกฤษฎีกาบริหารแห่งราชอาณาจักรของเรา กล่าวคือ สรรพสิ่งอยู่ภายในการพิพากษาของเรา สรรพสิ่งอยู่ภายในความชอบธรรมของเรา สรรพสิ่งอยู่ภายในบารมีของเรา และเราปฏิบัติความชอบธรรมของเราต่อสิ่งทั้งปวง บรรดาผู้ที่พูดว่าพวกเขาเชื่อในเรา แต่ลึกลงไปกลับย้อนแย้งเรา หรือพวกที่หัวใจของพวกเขาได้ทอดทิ้งเรา จะถูกขับไล่ออกไป—แต่ทั้งหมดจะเป็นไปในเวลาอันเหมาะสมของเราเอง ผู้คนที่พูดถึงเราอย่างเหน็บแนม แต่ก็ทำด้วยวิธีที่คนอื่นๆ ไม่สังเกตเห็น จะตายโดยทันที (พวกเขาจะพินาศในวิญญาณ ร่างกายและจิตใจ) พวกที่บีบคั้นหรือเย็นชาต่อผู้เป็นที่รักของเราจะถูกพิพากษาทันทีโดยความโกรธกริ้วของเรา นี่หมายความว่าผู้คนที่อิจฉาริษยาบรรดาผู้ที่เรารัก และผู้คนที่คิดว่าเราไม่ชอบธรรม จะถูกส่งมอบให้รับการพิพากษาโดยผู้เป็นที่รักของเรา ทุกคนที่ประพฤติดี เรียบง่าย และซื่อสัตย์ (รวมไปถึงบรรดาผู้ที่ขาดปัญญา) และผู้ที่ปฏิบัติต่อเราด้วยความจริงใจที่มุ่งมั่น ทั้งหมดจะยังคงอยู่ในราชอาณาจักรของเรา บรรดาผู้ที่ยังไม่ก้าวผ่านการฝึกฝน—หมายถึงผู้คนที่ซื่อสัตย์เหล่านั้นผู้ซึ่งขาดปัญญาและความรู้ความเข้าใจเชิงลึก—จะมีพลังอำนาจในราชอาณาจักรของเรา อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะถูกจัดการและถูกทำลาย การที่พวกเขายังไม่ได้ก้าวผ่านการฝึกฝนก็ไม่ใช่ทั้งหมด ตรงกันข้าม เราจะแสดงให้ทุกคนได้เห็นมหิทธิฤทธิ์และปรีชาญาณของเรา โดยผ่านทางสิ่งต่างๆ เหล่านี้นี่เอง เราจะขับไล่พวกที่ยังคงสงสัยเราออกไปทั้งหมด เราไม่ต้องประสงค์พวกเขาสักคนเลย (เรารังเกียจผู้คนที่ยังคงสงสัยเราในเวลาเช่นนี้) เราจะแสดงให้ผู้คนที่ซื่อสัตย์เห็นถึงความน่าอัศจรรย์ของการกระทำของเราด้วยหนทางแห่งกิจการทั้งหลายที่เราทำทั่วทั้งจักรวาล ครั้นแล้วจึงทำให้ปัญญา ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและวิจารณญาณของพวกเขาเติบโต เราจะทำให้ผู้คนที่หลอกลวงถูกทำลายในทันทีทันใดอันเป็นผลมาจากกิจการอันน่าอัศจรรย์ทั้งหลายของเรา บรรดาบุตรหัวปีทั้งหมดที่ยอมรับนามของเราก่อน (หมายถึงบรรดาผู้คนที่ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์และไม่มีมลทิน) จะเป็นกลุ่มแรกที่บรรลุถึงการเข้าสู่ราชอาณาจักรและได้ปกครองเหนือชนชาติทั้งปวงและกลุ่มคนทั้งมวลเคียงข้างเรา ได้ครองราชย์ในฐานะกษัตริย์ในราชอาณาจักรและพิพากษาชนชาติทั้งปวงและกลุ่มชนทั้งหมด (การนี้อ้างอิงถึงบรรดาบุตรหัวปีทั้งหมดในราชอาณาจักรและไม่มีผู้อื่น) บรรดาผู้ที่อยู่ท่ามกลางชนชาติทั้งปวงและกลุ่มชนทั้งหมดที่ถูกพิพากษา และผู้ที่ได้กลับใจ จะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของเราและกลายเป็นประชากรของเรา ขณะที่พวกที่ดื้อรั้นและไม่กลับใจจะถูกโยนลงไปในบาดาลลึก (ให้พินาศตลอดกาล) การพิพากษาในราชอาณาจักรจะเป็นการสุดท้าย และนั่นจะเป็นการที่เราจะชำระโลกให้สะอาดโดยถ้วนทั่ว จากนั้นก็จะไม่มีความอยุติธรรม ความโศกเศร้า น้ำตาหรือการคร่ำครวญอีกต่อไป และที่มากยิ่งกว่านั้นคือ จะไม่มีโลกอีกต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นการสำแดงถึงพระคริสต์ และทั้งหมดจะเป็นราชอาณาจักรของพระคริสต์ ช่างเป็นสง่าราศียิ่งนัก! ช่างเป็นสง่าราศียิ่งนัก!
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 79
598. บัดนี้เราขอประกาศใช้ประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรากับพวกเจ้า (มีผลตั้งแต่วันที่มีการประกาศใช้ โดยการกำหนดให้มีการตีสอนแตกต่างกันไปแก่ผู้คนที่แตกต่างกัน)
เรารักษาสัญญาของเรา และทุกสิ่งอยู่ในมือของเรา กล่าวคือ ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่กังขาจะต้องถูกฆ่าอย่างแน่นอน ไม่มีที่ว่างสำหรับการพิจารณาใดๆ พวกเขาจะถูกกำจัดในทันที ทั้งนี้ก็เพื่อขจัดความเกลียดชังในใจของเรา (นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เป็นที่ยืนยันแล้วว่า ผู้ใดก็ตามที่ถูกฆ่าต้องไม่ใช่สมาชิกของอาณาจักรของเรา และต้องเป็นพงศ์พันธุ์ของซาตาน)
ในฐานะบุตรหัวปี เจ้าควรรักษาตำแหน่งของเจ้าเอง และทำหน้าที่ของตัวเจ้าเองให้ลุล่วงเป็นอย่างดี และต้องไม่สอดรู้สอดเห็น เจ้าควรมอบถวายตัวเจ้าเองเพื่อแผนการบริหารจัดการของเรา และทุกแห่งหนที่เจ้าไป เจ้าควรเป็นพยานที่ดีต่อเรา และถวายเกียรตินามของเรา จงอย่ากระทำพฤติกรรมที่น่าอับอายทั้งหลาย จงเป็นตัวอย่างให้แก่บรรดาบุตรของเราและประชากรของเราทั้งหมด จงอย่าเสื่อมศีลธรรมแม้เพียงชั่วขณะ กล่าวคือ เจ้าต้องปรากฏต่อหน้าทุกคนโดยมีอัตลักษณ์ของบุตรหัวปีเสมอ และจงอย่าประจบประแจง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าควรก้าวไปข้างหน้าด้วยใบหน้าที่เชิดสูง เรากำลังขอให้พวกเจ้าถวายเกียรตินามของเรา ไม่ใช่ทำให้เสื่อมเสียนามของเรา บรรดาผู้ที่เป็นบุตรหัวปีแต่ละคนมีหน้าที่แต่ละอย่างของตนเอง และไม่สามารถทำทุกสิ่งได้ นี่คือความรับผิดชอบที่เรามอบให้แก่พวกเจ้า และมันต้องไม่มีการหลบเลี่ยง เจ้าต้องทุ่มเทอุทิศตนเองอย่างเต็มหัวใจ และด้วยจิตใจทั้งหมดของเจ้าและความแข็งแกร่งทั้งหมดของเจ้า เพื่อปฏิบัติสิ่งที่เราได้มอบหมายให้แก่พวกเจ้าให้ลุล่วงไป
นับจากวันนี้ไป ทั่วทั้งสากลพิภพ หน้าที่ในการเลี้ยงดูบุตรทั้งหมดของเรา และประชากรทั้งหมดของเรา จะถูกมอบหมายให้แก่บรรดาบุตรหัวปีของเราเพื่อทำให้ลุล่วง และเราจะตีสอนผู้ใดก็ตามที่ไม่สามารถทุ่มเทอุทิศหัวใจและจิตใจทั้งดวงของพวกเขาเพื่อทำให้มันลุล่วงได้ นี่คือความชอบธรรมของเรา เราจะไม่ละเว้นหรือผ่อนปรนแม้แต่กับบุตรหัวปีของเรา
หากมีผู้ใดท่ามกลางบุตรของเรา หรือท่ามกลางประชากรของเรา ที่เยาะเย้ยและดูหมิ่นหนึ่งในบรรดาบุตรหัวปีของเรา เราจะลงโทษพวกเขาอย่างรุนแรง ด้วยบุตรหัวปีของเราเป็นตัวแทนของตัวเราเอง สิ่งที่คนผู้หนึ่งปฏิบัติต่อพวกเขา พวกเขาก็ปฏิบัติต่อเราเช่นกัน นี่คือเรื่องที่ร้ายแรงที่สุดในประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา เราจะอนุญาตให้บุตรหัวปีของเราบริหารความชอบธรรมของเราตามความปรารถนาของพวกเขาต่อบรรดาบุตรของเราและประชากรของเราผู้ซึ่งละเมิดประกาศกฤษฎีกานี้
เราจะค่อยๆ ทอดทิ้งผู้ใดก็ตามที่นับถือเราอย่างฉาบฉวย และจดจ่อเพียงกับอาหาร เสื้อผ้า และการนอนหลับของเรา ใส่ใจเพียงเรื่องภายนอกต่างๆ ของเรา และไม่พิจารณาถึงภาระของเรา และไม่ให้ความสนใจที่จะทำหน้าที่ของพวกเขาเองให้ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสม การนี้มุ่งตรงไปยังทุกคนที่มีหู
ผู้ใดก็ตามที่เสร็จสิ้นการทำงานปรนนิบัติให้เราต้องถอนตัวออกไปอย่างเชื่อฟังโดยปราศจากความวุ่นวาย จงระวัง มิเช่นนั้นเราจะคัดเจ้าออก (นี่คือประกาศกฤษฎีกาเพิ่มเติม)
นับจากนี้บุตรหัวปีของเราจะยกคทาเหล็กขึ้น และเริ่มใช้สิทธิอำนาจของเราเพื่อปกครองชนชาติและปวงชนทั้งมวล เดินไปท่ามกลางชนชาติและปวงชนทั้งมวล และดำเนินการพิพากษา ความชอบธรรม และบารมีของเรา ท่ามกลางชนชาติและปวงชนทั้งมวล บรรดาบุตรของเราและประชากรของเราจะต้องยำเกรงเรา สรรเสริญเรา ทำให้เราชื่นใจ และถวายเกียรติเราโดยไม่ย่นย่อ เพราะว่าแผนการบริหารจัดการของเราได้รับการทำให้ลุล่วง และบรรดาบุตรหัวปีของเราสามารถปกครองร่วมกับเราได้
นี่คือส่วนหนึ่งของประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา หลังจากนี้ เราจะบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับประกาศกฤษฎีกาบริหารเหล่านั้นเมื่องานคืบหน้า จากประกาศกฤษฎีกาบริหารข้างต้น พวกเจ้าจะเห็นย่างก้าวที่เราใช้ในการทำงานของเรา รวมไปถึงขั้นตอนที่งานของเราได้ไปถึงแล้ว นี่จะเป็นการยืนยัน
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 88
599. ประกาศกฤษฎีกาบริหารสิบประการซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในยุคแห่งราชอาณาจักรต้องเชื่อฟัง
(บทที่คัดสรรจาก พระวจนะของพระเจ้า)
1) มนุษย์ไม่ควรเชิดชูตัวเองและไม่ควรยกย่องตัวเอง เขาควรนมัสการและยกย่องพระเจ้า
2) จงทำทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อพระราชกิจของพระเจ้า และไม่ทำสิ่งใดที่ส่งผลเสียต่อผลประโยชน์แห่งพระราชกิจของพระเจ้า จงปกป้องพระนามของพระเจ้า คำพยานของพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้า
3) เงิน วัตถุที่จับต้องได้ และทรัพย์สมบัติทั้งหมดในครัวเรือนของพระเจ้าเป็นของถวายซึ่งมนุษย์ควรเป็นผู้ถวาย ไม่มีผู้ใดนอกจากปุโรหิตและพระเจ้าที่อาจชื่นชมของถวายเหล่านี้ ด้วยเหตุที่ของถวายจากมนุษย์นั้นมีไว้เพื่อความชื่นชมยินดีของพระเจ้า พระเจ้าเพียงทรงแบ่งปันของถวายเหล่านี้กับปุโรหิต ไม่มีใครอื่นอีกที่มีคุณสมบัติเหมาะสมหรือมีสิทธิ์ที่จะชื่นชมส่วนใดของของถวายเหล่านี้ ของถวายจากมนุษย์ (รวมถึงเงินและสิ่งของที่จับต้องได้ซึ่งสามารถเป็นที่ชื่นชมได้) ทั้งหมดถูกถวายแด่พระเจ้า ไม่ใช่ให้แก่มนุษย์ และดังนั้นสิ่งของเหล่านี้จึงไม่ควรได้รับการชื่นชมโดยมนุษย์ หากมนุษย์หมายจะชื่นชมสิ่งของเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเขาก็ย่อมจะกำลังลักขโมยของถวาย ใครก็ตามที่ทำการนี้ย่อมเป็นยูดาสคนหนึ่ง ด้วยเหตุที่ นอกเหนือไปจากการเป็นผู้หักหลังแล้ว ยูดาสยังได้ถือวิสาสะหยิบฉวยสิ่งที่ใส่ไว้ในถุงเงินไปอีกด้วย
4) มนุษย์มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และยิ่งไปกว่านั้น ยังถูกครอบงำด้วยอารมณ์ เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้สมาชิกสองคนซึ่งเป็นเพศตรงกันข้ามทำงานร่วมกันโดยไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วยเมื่อรับใช้พระเจ้า ใครก็ตามที่ถูกพบว่าทำเช่นนั้นจะถูกขับไล่ โดยไม่มีข้อยกเว้น
5) จงอย่าทำการตัดสินพระเจ้าหรือหารือเรื่องราวทั้งหลายซึ่งเกี่ยวข้องกับพระเจ้าอย่างเรื่อยเปื่อย จงทำอย่างที่มนุษย์ควรจะทำ และจงพูดอย่างที่มนุษย์ควรจะพูด และจงอย่าล้ำเส้นขีดจำกัดทั้งหลายหรือล่วงละเมิดอาณาเขตทั้งหลาย จงระวังลิ้นของเจ้าเองและใส่ใจที่ซึ่งเจ้าย่างก้าวลงไป เพื่อหลีกเลี่ยงการทำสิ่งใดก็ตามที่ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า
6) จงทำสิ่งซึ่งมนุษย์ควรจะทำ และจงดำเนินภาระผูกพันของเจ้าให้เสร็จสิ้น และทำให้ความรับผิดชอบของเจ้าลุล่วงไป และจงยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้า ในเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็ควรร่วมสนับสนุนพระราชกิจของพระเจ้า หากเจ้าไม่ทำ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมไม่เหมาะที่จะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และไม่เหมาะที่จะดำรงชีวิตอยู่ในครัวเรือนของพระเจ้า
7) ในงานและเรื่องราวทั้งหลายของคริสตจักร นอกเหนือไปจากการเชื่อฟังพระเจ้าแล้ว จงปฏิบัติตามคำแนะนำทั้งหลายของมนุษย์ผู้ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานในทุกสิ่ง แม้แต่การละเมิดเพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้ จงเด็ดขาดในการปฏิบัติตามของเจ้า และจงอย่าวิเคราะห์ว่าถูกหรือผิด สิ่งที่ถูกหรือผิดไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า เจ้าต้องให้ตัวเจ้าเองกังวลอยู่กับการเชื่อฟังอย่างเบ็ดเสร็จเท่านั้น
8) ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าควรเชื่อฟังพระเจ้าและนมัสการพระองค์ จงอย่ายกย่องหรือนิยมบูชาบุคคลใด จงอย่าวางพระเจ้าเป็นลำดับแรก ผู้คนที่เจ้าเคารพนับถือเป็นลำดับที่สอง และตัวเจ้าเองเป็นลำดับที่สาม ไม่มีบุคคลใดที่ควรมีความสำคัญในหัวใจของเจ้า และเจ้าไม่ควรพิจารณาผู้คน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ที่เจ้าเคารพเทิดทูน—ว่าเสมอกับพระเจ้าหรือเทียบเท่าพระองค์ นี่เป็นเรื่องที่มิอาจทนยอมรับได้สำหรับพระเจ้า
9) จงรักษาความคิดของเจ้าให้อยู่กับงานของคริสตจักร จงวางความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเนื้อหนังของเจ้าเองไว้ก่อน จงเฉียบขาดเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว จงอุทิศตัวเจ้าเองต่อพระราชกิจของพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ และจงวางพระราชกิจของพระเจ้าเป็นลำดับแรกและชีวิตของเจ้าเองเป็นลำดับที่สอง นี่คือความถูกต้องตามความควรไม่ควรของวิสุทธิชนคนหนึ่ง
10) ญาติที่ไม่มีความเชื่อ (ลูกหลานของเจ้า สามีหรือภรรยาของเจ้า พี่น้องหญิงของเจ้าหรือบิดามารดาของเจ้า เป็นต้น) ไม่ควรถูกบังคับให้เข้าสู่คริสตจักร ครัวเรือนของพระเจ้าไม่ขาดแคลนสมาชิก และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องชดเชยจำนวนสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้าด้วยผู้คนที่ไม่มีประโยชน์ ทุกคนที่ไม่เชื่ออย่างเปรมปรีดิ์ต้องไม่ถูกนำทางเข้าสู่คริสตจักร ประกาศกฤษฎีกานี้มุ่งตรงไปที่ผู้คนทั้งหมด พวกเจ้าควรตรวจตรา สอดส่อง และเตือนความจำซึ่งกันและกันในเรื่องนี้ ไม่มีผู้ใดอาจฝ่าฝืนมันได้ แม้แต่ในยามที่ญาติผู้ซึ่งไม่มีความเชื่อเข้าสู่คริสตจักรอย่างอิดออด พวกเขาก็ต้องไม่ได้รับแจกหนังสือและไม่ได้รับการตั้งชื่อให้ใหม่ ผู้คนเช่นนั้นไม่ได้อยู่ในครัวเรือนของพระเจ้า และการเข้าสู่คริสตจักรของพวกเขาต้องถูกหยุดยั้งด้วยวิถีทางใดก็ตามที่จำเป็น หากการบุกรุกของปีศาจทั้งหลายนำพาปัญหารุมเร้ามาสู่คริสตจักร เช่นนั้นแล้วตัวเจ้าเองก็ย่อมจะถูกขับไล่ออกไปหรือข้อห้ามทั้งหลายก็จะถูกนำมาใช้กับเจ้า สรุปสั้นๆ ก็คือ ทุกคนมีความรับผิดชอบในเรื่องนี้ กระนั้นเจ้าก็ไม่ควรบุ่มบ่าม และไม่ควรใช้มันเพื่อชำระความแค้นส่วนตัว
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า
600. ผู้คนต้องยึดมั่นกับหน้าที่ต่างๆ มากมายที่พวกเขาควรจะปฏิบัติ นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรจะยึดมั่น และนี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องดำเนินการ จงปล่อยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำสิ่งที่ต้องทำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ มนุษย์ไม่สามารถเล่นบทตอนใดในนั้นได้ มนุษย์ควรจะยึดมั่นกับสิ่งที่ควรจะทำโดยมนุษย์ ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ มันมิใช่สิ่งใดนอกจากสิ่งที่ควรจะทำโดยมนุษย์ และควรจะยึดมั่นในฐานะพระบัญญัติ ให้เหมือนการยึดมั่นกับธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิม ถึงแม้ว่าบัดนี้มิใช่ยุคธรรมบัญญัติ แต่ยังคงมีพระวจนะต่างๆ มากมายที่ควรจะยึดมั่น ซึ่งเป็นประเภทเดียวกันกับพระวจนะทั้งหลายที่ได้ตรัสไว้ในยุคธรรมบัญญัติ พระวจนะเหล่านี้มิได้ถูกนำมาดำเนินการเพียงโดยการพึ่งพากับสัมผัสจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น แต่ตรงกันข้าม พระวจนะเหล่านี้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์ควรจะยึดมั่น ตัวอย่างเช่น เจ้าจะต้องไม่ตัดสินพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริง เจ้าจะต้องไม่ต่อต้านมนุษย์ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงเป็นพยานให้ เฉพาะพระพักตร์พระเจ้านั้น เจ้าจะต้องรักษาตำแหน่งของเจ้าและจะต้องไม่เหลวไหล เจ้าควรจะพอประมาณในวาทะ และคำพูดทั้งหลายกับการกระทำทั้งหลายของเจ้านั้นต้องติดตามการจัดการเตรียมการของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงเป็นพยานให้ เจ้าควรจะเคารพคำพยานของพระเจ้า เจ้าจะต้องไม่เพิกเฉยกับพระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะทั้งหลายจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เจ้าจะต้องไม่เอาอย่างพระกระแสเสียงและจุดมุ่งหมายในถ้อยดำรัสของพระเจ้า โดยภายนอกนั้น เจ้าจะต้องไม่กระทำสิ่งใดๆ ที่ต่อต้านอย่างชัดแจ้งต่อมนุษย์ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงเป็นพยานให้ และอื่นๆ เหล่านี้คือสิ่งที่แต่ละคนควรจะยึดมั่น
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระบัญญัติแห่งยุคใหม่
601. วันนี้ ไม่มีสิ่งใดสำคัญยิ่งยวดสำหรับมนุษย์ที่จะยึดมั่นมากไปกว่าการติดตาม กล่าวคือ เจ้าต้องไม่พยายามที่จะโอ้โลมพระเจ้าที่ทรงยืนอยู่ต่อหน้าต่อตาเจ้า หรือปกปิดสิ่งใดๆ จากพระองค์ เจ้าจะต้องไม่เปล่งถ้อยคำความโสโครกหรือการพูดคุยยโสโอหังเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าซึ่งอยู่ต่อหน้าเจ้า เจ้าจะต้องไม่หลอกลวงพระเจ้าซึ่งอยู่ต่อหน้าต่อตาเจ้าโดยคำพูดที่หวานปานน้ำผึ้งและวาทะสวยงามเพื่อที่จะได้รับความไว้วางพระทัยของพระองค์ เจ้าจะต้องไม่กระทำอย่างขาดความเคารพเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าจะต้องเชื่อฟังทุกอย่างที่ตรัสออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า และจะต้องไม่ต้านทาน ต่อต้าน หรือโต้แย้งพระวจนะทั้งหลายของพระองค์ เจ้าจะต้องไม่ตีความตามที่เจ้าเห็นว่าเหมาะกับพระวจนะทั้งหลายที่ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า เจ้าควรจะระวังลิ้นของเจ้าเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มันเป็นเหตุให้เจ้าตกเป็นเหยื่อของแผนหลอกลวงของคนชั่ว เจ้าควรจะระวังย่างก้าวของเจ้าเพื่อหลีกเลี่ยงการล่วงละเมิดอาณาเขตที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้สำหรับเจ้า หากเจ้าล่วงละเมิด นี่จะเป็นเหตุให้เจ้ายืนในตำแหน่งของพระเจ้าและพูดคำพูดที่หยิ่งผยองและอวดดี และด้วยเหตุนี้เจ้าจะกลายเป็นที่เกลียดชังโดยพระเจ้า เจ้าจะต้องไม่เผยแพร่พระวจนะทั้งหลายที่ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าอย่างประมาท มิฉะนั้นคนอื่นๆ จะเยาะเย้ยเจ้า และพวกมารจะทำให้เจ้าดูโง่ เจ้าจะต้องเชื่อฟังพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าแห่งวันนี้ แม้ว่าเจ้าไม่เข้าใจมัน เจ้าก็จะต้องไม่ตัดสินมัน ทั้งหมดที่เจ้าสามารถทำได้คือแสวงหาและสามัคคีธรรม บุคคลใดจะล่วงละเมิดสถานที่ดั้งเดิมของพระเจ้าไม่ได้ เจ้าไม่สามารถทำสิ่งใดได้มากไปกว่ารับใช้พระเจ้าของวันนี้จากตำแหน่งของมนุษย์ เจ้าไม่สามารถสอนพระเจ้าของวันนี้จากตำแหน่งของมนุษย์ได้—การทำเช่นนั้นคือการหลงผิด ไม่อาจมีผู้ใดสามารถยืนในที่ของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงเป็นพยานให้ได้ ในคำพูด การกระทำ และความคิดด้านในสุดของเจ้านั้น เจ้ายืนอยู่ในตำแหน่งของมนุษย์ นี่คือสิ่งที่ต้องถือปฏิบัติตาม มันคือความรับผิดชอบของมนุษย์ และไม่อาจมีผู้ใดปรับเปลี่ยนมันได้ การพยายามทำแบบนั้นจะเป็นการฝ่าฝืนประกาศกฤษฎีกาบริหาร ทุกคนควรจะจดจำการนี้ไว้
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระบัญญัติแห่งยุคใหม่
602. ทุกประโยคที่เราเปล่งออกไปมีสิทธิอำนาจและการพิพากษา และไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงวจนะของเราได้ ทันทีที่วจนะของเราถูกส่งออกไป สิ่งทั้งหลายถูกทำให้สำเร็จลุล่วงโดยสอดคล้องกับวจนะของเราอย่างแน่นอน นี่คืออุปนิสัยของเรา วจนะของเราคือสิทธิอำนาจและใครก็ตามที่แก้ไขวจนะเหล่านี้ก็ทำให้การตีสอนของเราขุ่นเคือง และเราต้องบดขยี้พวกเขาจนคว่ำลงไป ในกรณีที่รุนแรงพวกเขานำพาความล่มสลายมาสู่ชีวิตของพวกเขาเองและพวกเขาก็ไปสู่แดนคนตาย หรือไปสู่บาดาลลึก นี่คือวิธีเดียวเท่านั้นที่เราใช้จัดการกับมวลมนุษย์ และมนุษย์ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนมันได้—นี่คือประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา จงจำการนี้ไว้! ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้ทำให้ประกาศกฤษฎีกาของเราขุ่นเคือง สิ่งทั้งหลายต้องกระทำให้สอดคล้องกับเจตจำนงของเรา! ในอดีต เราเมตตาพวกเจ้ามากเกินไปและเจ้าเผชิญกับวจนะของเราเท่านั้น วจนะที่เรากล่าวเกี่ยวกับการบดขยี้ผู้คนจนคว่ำลงไปยังไม่ได้เกิดขึ้น แต่นับจากวันนี้ไป ความวิบัติทั้งหมด (ความวิบัติเหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกับประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา) จะมาถึงทีละอย่างทีละอย่างเพื่อลงโทษพวกคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ไม่สอดคล้องกับเจตจำนงของเรา ต้องมีการกำเนิดขึ้นของข้อเท็จจริงทั้งหลาย—หาไม่แล้วผู้คนก็คงจะไม่สามารถมองเห็นความโกรธกริ้วของเราแต่ก็คงจะพาตัวเองให้กระทำชั่วครั้งแล้วครั้งเล่า นี่คือขั้นตอนหนึ่งของแผนการบริหารจัดการของเรา และเป็นวิธีที่เราใช้กระทำขั้นตอนถัดไปของงานของเรา เรากล่าวการนี้ต่อพวกเจ้าล่วงหน้าเพื่อที่ว่าพวกเจ้าจะสามารถหลีกเลี่ยงการทำให้ขุ่นเคืองและการทนทุกข์กับความพินาศไปตลอดกาล นั่นกล่าวได้ว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป เราจะทำให้ผู้คนทั้งปวงยกเว้นบรรดาบุตรหัวปีของเราอยู่ในที่ที่เหมาะสมของพวกเขาโดยสอดคล้องกับเจตจำนงของเรา และเราจะตีสอนพวกเขาทีละคน เราจะไม่ปล่อยให้แม้กระทั่งพวกเขาคนหนึ่งคนใดรอดไปได้ เพียงแค่พวกเจ้ากล้ากระทำชั่วอีกครั้ง! เพียงแค่พวกเจ้ากล้าเป็นกบฏอีกครั้ง! เราได้กล่าวมาก่อนแล้วว่าเราชอบธรรมต่อคนทั้งปวง ว่าเราไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของอารมณ์ความรู้สึก และการนี้ทำหน้าที่เพื่อแสดงให้เห็นว่าอุปนิสัยของเราต้องไม่ถูกทำให้ขุ่นเคือง นี่คือสภาวะบุคคลของเรา ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงการนี้ได้ ผู้คนทั้งปวงได้ยินวจนะของเราและผู้คนทั้งปวงเห็นโฉมหน้าอันเปี่ยมสง่าราศีของเรา ผู้คนทั้งปวงต้องเชื่อฟังเราอย่างสมบูรณ์และอย่างแน่นอน—นี่คือประกาศกฤษฎีการบริหารของเรา ผู้คนทั้งปวงทั่วทั้งจักรวาลและที่สุดปลายแผ่นดินโลกควรสรรเสริญและถวายเกียรติแด่เรา ด้วยว่าเราคือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์ เพราะเราเป็นสภาวะบุคคลของพระเจ้า ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงวจนะและถ้อยคำของเรา วาทะและท่าทางของเราได้ ด้วยว่าเหล่านี้เป็นเรื่องสำหรับเราเพียงผู้เดียว และเหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่เราได้ครองจากช่วงเวลาโบราณกาลที่สุด และจะดำรงอยู่ไปตลอดกาล
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 100
603. การพิพากษาของเรามาถึงทุกคน ประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรามีผลถึงทุกคน และวจนะของเรากับสภาวะบุคคลของเราได้รับการเผยต่อทุกคน นี่เป็นเวลาแห่งงานอันยิ่งใหญ่ของวิญญาณเรา (ณ เวลานี้ บรรดาผู้ที่จะได้รับพรและพวกที่จะทนทุกข์กับโชคร้ายถูกแยกความต่างออกจากกัน) ทันทีที่วจนะของเราเปล่งออกไป เราก็ได้แยกความต่างของบรรดาผู้ที่จะได้รับพร รวมทั้งพวกที่จะทนทุกข์กับโชคร้าย ทั้งหมดนี้ย่อมชัดเจนยิ่ง และเราสามารถเห็นทั้งหมดในปราดเดียว (เรากำลังกล่าวดังนี้เกี่ยวกับสภาวะความเป็นมนุษย์ของเรา ดังนั้นวจนะเหล่านี้ย่อมไม่ขัดแย้งกับการลิขิตไว้ล่วงหน้าและการคัดสรรของเรา) เราท่องไปรอบภูเขาและแม่น้ำสายต่างๆ และท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง ทั่วพื้นที่ทั้งหลายของจักรวาล โดยสังเกตการณ์และชำระทุกที่ให้สะอาดเพื่อที่ว่าที่ตั้งอันมีมลทินเหล่านั้นกับแผ่นดินลามกเสเพลเหล่านั้นทั้งหมดจะไม่มีอยู่อีกต่อไปและถูกเผาผลาญไปสู่การไม่มีสิ่งใดอันเป็นผลจากวจนะของเรา สำหรับเราแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างง่ายดาย หากบัดนี้เป็นเวลาที่เราได้ลิขิตไว้ล่วงหน้าสำหรับการทำลายล้างโลก เราย่อมจะสามารถกลืนโลกให้หายไปด้วยการเปล่งถ้อยคำคำเดียว อย่างไรก็ตาม บัดนี้ไม่ใช่เวลานั้น ทั้งหมดทั้งปวงจะต้องพร้อมก่อนที่เราจะทำงานนี้เพื่อให้แผนของเราไม่ถูกรบกวนและการบริหารจัดการของเราไม่ถูกขัดจังหวะ เรารู้วิธีทำการนี้อย่างสมเหตุสมผล กล่าวคือเรามีปัญญาของเรา และเรามีการจัดการเตรียมการของเราเอง ผู้คนต้องไม่ขยับสักนิ้วมือหนึ่ง จงรอบคอบระมัดระวังที่จะไม่ถูกสังหารด้วยมือของเรา การนี้ได้เกี่ยวพันกับประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราเรียบร้อยแล้ว จากการนี้ คนผู้หนึ่งจะสามารถมองเห็นความเกรี้ยวกราดแห่งประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราได้ รวมทั้งหลักการเบื้องหลังประกาศเหล่านั้น ซึ่งมีสองด้านในตัว กล่าวคือในด้านหนึ่ง เราประหารคนทั้งปวงที่ไม่อยู่ในแนวเดียวกับเจตจำนงของเราและที่ล่วงละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา อีกด้านหนึ่ง ในความโกรธเคืองของเรา เราสาปแช่งคนทั้งปวงที่ล่วงละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา สองแง่มุมนี้จำเป็นอย่างยิ่งยวด และเป็นหลักการบริหารเบื้องหลังประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา ทุกคนได้รับการจัดการอย่างสอดคล้องกับสองหลักการนี้โดยปราศจากอารมณ์ ไม่ว่าบุคคลหนึ่งอาจจงรักภักดีเพียงใดก็ตาม การนี้เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นความชอบธรรมของเรา บารมีของเรา และความโกรธเคืองของเรา ซึ่งจะเผาผลาญทุกสรรพสิ่งทางแผ่นดินโลก ทุกสรรพสิ่งฝ่ายโลก และทุกสรรพสิ่งที่ไม่อยู่ในแนวเดียวกับเจตจำนงของเรา ภายในวจนะของเราคือความล้ำลึกทั้งหลายที่ยังคงซ่อนเร้น และภายในวจนะของเราก็มีความล้ำลึกทั้งหลายที่ได้ถูกเผยไปแล้วเช่นกัน ด้วยเหตุนั้น ในความสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดแบบมนุษย์และในความรู้สึกนึกคิดแบบมนุษย์ วจนะของเราจึงไม่อาจจับใจความได้ตลอดกาล และหัวใจของเราก็ไม่อาจหยั่งลึกได้ตลอดกาล นั่นคือเราต้องขับพวกมนุษย์ออกจากมโนคติอันหลงผิดและการคิดของพวกเขา นี่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในแผนการบริหารจัดการของเรา เราต้องทำการนี้ด้วยวิธีนี้เพื่อให้ได้รับบรรดาบุตรหัวปีของเราไว้ และเพื่อสำเร็จลุล่วงสิ่งต่างๆ ที่เราต้องการจะทำ
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 103
604. ตราบที่พิภพเก่ายังคงมีอยู่ต่อไป เราจะทุ่มความเดือดดาลของเราไปที่ชนชาติต่างๆ ของมัน แถลงการณ์ประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราอย่างเปิดเผยให้ทั่วทั้งจักรวาล และนำการตีสอนมาให้ทุกข์แก่ผู้ใดก็ตามที่ฝ่าฝืนมัน
เมื่อเราหันหน้าพูดกับจักรวาล มวลมนุษย์ทั้งปวงได้ยินเสียงเรา และในทันใดนั้นเอง ก็มองเห็นงานทั้งหมดที่เราได้ทำลงไปทั่วทั้งจักรวาล พวกที่ตั้งตนต่อต้านเจตจำนงแห่งเรา กล่าวคือ ผู้ที่ต่อต้านเราด้วยความประพฤติของมนุษย์ จะต้องตกอยู่ภายใต้การตีสอนของเรา เราจะนำเอามวลหมู่ดารามหาศาลในสวรรค์ชั้นฟ้ามาและทำให้พวกมันใหม่ และดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ก็จะถูกทำให้ใหม่เพราะเรา—ผืนฟ้าทั้งหลายจะไม่เป็นเหมือนดังที่พวกมันเคยเป็นอีกต่อไป และสิ่งต่างๆ นับหมื่นแสนบนแผ่นดินโลกจะถูกทำใหม่ ทั้งหมดจะกลายเป็นครบบริบูรณ์โดยผ่านทางวจนะของเรา ประชาชาติทั้งหลายภายในจักรวาลจะถูกแบ่งกั้นสัดส่วนใหม่และแทนที่ด้วยราชอาณาจักรของเรา เพื่อที่ประชาชาติบนแผ่นดินโลกจะหายลับไปตลอดกาล และทั้งหมดจะกลายเป็นราชอาณาจักรหนึ่งซึ่งนมัสการเรา ประชาชาติทั้งมวลแห่งแผ่นดินโลกจะถูกทำลายและยุติการดำรงอยู่ พวกมนุษย์ภายในจักรวาล บรรดาพวกที่เป็นของมารทั้งหมดจะถูกทำลายจนสิ้นซาก และพวกที่บูชาซาตานทั้งหมดจะคว่ำคะมำลงโดยไฟของเราที่กำลังเผาผลาญ—นั่นก็คือ ยกเว้นบรรดาผู้ที่อยู่ในกระแสตอนนี้ ทั้งหมดจะกลายเป็นเถ้าถ่าน เมื่อเราตีสอนกลุ่มชนทั้งหลาย บรรดาผู้ที่อยู่ในโลกศาสนาจะคืนสู่อาณาจักรของเรา ถูกงานของเราพิชิตในขอบข่ายที่ต่างกันไป เนื่องเพราะพวกเขาจะได้เห็นการลงมาจุติขององค์หนึ่งเดียวผู้บริสุทธิ์โดยการขี่เมฆขาวแล้ว ผู้คนทั้งหมดจะถูกแยกจากกันตามประเภทของพวกเขา และจะได้รับการตีสอนที่สมน้ำสมเนื้อกับการกระทำของพวกเขา ผู้คนทั้งหมดที่ได้ยืนต้านเราจะมีอันพินาศ นั่นคือ สำหรับบรรดาผู้ที่ความประพฤติของพวกเขาบนแผ่นดินโลกไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรา พวกเขาจะดำรงอยู่บนแผ่นดินโลกต่อไปภายใต้การปกครองของบุตรทั้งหลายของเราและประชากรของเรา ทั้งนี้ก็เพราะวิธีการที่พวกเขาได้พ้นผิดด้วยตัวพวกเขาเอง เราจะเปิดเผยตัวเราต่อกลุ่มชนนับหมื่นแสนและชนชาตินับหมื่นแสน และด้วยเสียงของเราเอง เราจะส่งเสียงก้องไปบนแผ่นดินโลก ป่าวประกาศถึงการเสร็จสิ้นงานอันยิ่งใหญ่ของเราเพื่อที่มวลมนุษย์ทั้งปวงจะได้เห็นด้วยตาของพวกเขาเอง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 26