การรู้จักพระเจ้า 4

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 120

การเข้าใจสิทธิอำนาจของพระเจ้าจากมุมมองระดับมหัพภาคและจุลภาค

สิทธิอำนาจของพระเจ้านั้นมีเอกลักษณ์ เป็นการแสดงออกถึงคุณลักษณะเฉพาะของพระเจ้าและเป็นแก่นแท้ที่พิเศษของพระเจ้า พระอัตลักษณ์ของพระเจ้าพระองค์เอง ชนิดที่ไม่มีในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและไม่ได้ทรงสร้างใดๆ มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงครองสิทธิอำนาจประเภทนี้  กล่าวคือ มีเพียงพระผู้สร้าง—พระเจ้าพระผู้ทรงเอกลักษณ์—ที่แสดงออกในหนทางนี้และมีแก่นแท้นี้  ดังนั้นแล้ว เหตุใดพวกเราจึงควรพูดคุยเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้ากันเล่า?  สิทธิอำนาจของพระเจ้าพระองค์เองนั้นแตกต่างจาก “สิทธิอำนาจ” ที่มนุษย์คิดฝันในใจของเขาอย่างไร?  สิทธิอำนาจมีสิ่งใดพิเศษกระนั้นหรือ?  เหตุใดการพูดคุยเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าในที่นี้จึงมีนัยสำคัญเป็นพิเศษ?  พวกเจ้าแต่ละคนต้องพิจารณาประเด็นปัญหานี้อย่างรอบคอบ  สำหรับผู้คนส่วนใหญ่แล้ว “สิทธิอำนาจของพระเจ้า” เป็นแนวคิดที่คลุมเครือ เป็นแนวความคิดที่พึงต้องใช้ความพยายามอันใหญ่หลวงที่จะทำความเข้าใจ และการเสวนาใดๆ ในเรื่องนี้ก็มีแนวโน้มไปในเชิงนามธรรม  ด้วยเหตุนั้นจึงมักจะมีช่องว่างระหว่างความรู้ที่มนุษย์สามารถมีได้เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าและแก่นแท้ของสิทธิอำนาจของพระเจ้าอยู่เสมอ  ในการที่จะเชื่อมช่องว่างนี้เข้าด้วยกัน ทุกคนต้องค่อยๆ มาทำความรู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้าโดยผ่านทางผู้คน เหตุการณ์ต่างๆ สิ่งต่างๆ  และปรากฏการณ์หลากหลายที่อยู่ภายในขอบเขตของการเอื้อมถึงของมนุษย์และภายในความสามารถที่จะเข้าใจของมนุษย์ในชีวิตจริงของพวกเขา  แม้ว่าวลี “สิทธิอำนาจของพระเจ้า” อาจดูเหมือนมิอาจหยั่งลึกได้ แต่สิทธิอำนาจของพระเจ้าก็ไม่ได้เป็นนามธรรมแต่อย่างใด  พระองค์สถิตอยู่กับมนุษย์โดยตลอดทุกนาทีของชีวิตมนุษย์ ทรงนำทางเขาโดยตลอดในทุกๆ วัน  ดังนั้น ในชีวิตจริงแล้ว บุคคลทุกคนจำเป็นจะต้องมองเห็นและมีประสบการณ์กับแง่มุมที่จับต้องได้มากที่สุดแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า  แง่มุมที่จับต้องได้นี้คือข้อพิสูจน์ที่เพียงพอว่าสิทธิอำนาจของพระเจ้ามีอยู่จริง และยังเปิดโอกาสให้คนเราระลึกรู้และจับใจความได้อย่างครบถ้วนในข้อเท็จจริงที่ว่า พระเจ้าทรงครองสิทธิอำนาจดังกล่าว

พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา และหลังจากที่ได้ทรงสร้างแล้ว พระองค์ก็ทรงมีอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่ง  นอกเหนือจากการมีอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่งแล้ว พระเจ้ายังทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง  แนวคิดที่ว่า “พระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง” นี้หมายความว่าอย่างไร?  จะสามารถอธิบายแนวคิดนี้ได้อย่างไร?  แนวคิดนี้ใช้ได้อย่างไรกับชีวิตจริง?  การเข้าใจข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างนั้นจะสามารถนำไปสู่การเข้าใจสิทธิอำนาจของพระองค์ได้อย่างไร?  จากวลีที่ว่า “พระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง” นี้นี่เองที่พวกเราควรมองเห็นว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงควบคุมนั้นหาใช่ส่วนหนึ่งของหมู่ดาวเคราะห์หรือส่วนหนึ่งของสิ่งทรงสร้างไม่ และยิ่งไม่ใช่ส่วนหนึ่งของมวลมนุษย์ แต่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง กล่าวคือ จากสิ่งที่มีขนาดใหญ่โตไปจนถึงสิ่งที่เล็กจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า จากสิ่งที่มองเห็นได้ไปจนถึงสิ่งที่มองไม่เห็น จากหมู่ดาวแห่งห้วงจักรวาลไปจนถึงสิ่งต่างๆ ที่มีชีวิตบนแผ่นดินโลก ตลอดจนเหล่าจุลชีพที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่ดำรงอยู่ในรูปแบบอื่นๆ  นี่คือนิยามอันเที่ยงตรงของ “ทุกสิ่งทุกอย่าง” ที่พระเจ้าทรง “ควบคุม” เป็นวงเขตแห่งสิทธิอำนาจของพระองค์ ขอบข่ายแห่งอธิปไตยและกฎเกณฑ์ของพระองค์

ก่อนที่มนุษยชาตินี้จะเกิดขึ้น ห้วงจักรวาล—กล่าวคือ ดาวเคราะห์ทั้งมวลและหมู่ดาวทั้งหมดในฟ้าสวรรค์—ได้ดำรงอยู่มาก่อนแล้ว  ในระดับมหัพภาค เทห์ฟากฟ้าเหล่านี้มีการโคจรอย่างเป็นปกติตลอดมาภายใต้การควบคุมของพระเจ้าสำหรับการดำรงอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของพวกมัน ไม่ว่าจะผ่านไปหลายปีดีดักอย่างไรก็ตาม  ดาวเคราะห์ใดไปถึงจุดใด ณ เวลาจำเพาะใด ดาวเคราะห์ใดทำหน้าที่ใดและเมื่อใด ดาวเคราะห์ใดโคจรไปตามวงโคจรใด และมันจะอันตรธานหรือถูกแทนที่เมื่อใด—สิ่งทั้งมวลเหล่านี้ดำเนินไปโดยไม่มีความผิดพลาดแม้แต่น้อย  ตำแหน่งของดาวเคราะห์และระยะห่างระหว่างดาวเคราะห์ทั้งหมดเป็นไปตามแบบแผนต่างๆ อันรัดกุม ซึ่งทั้งหมดนั้นสามารถใช้ข้อมูลอันเที่ยงตรงมาพรรณนาได้ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางที่ดาวเคราะห์เดินทางร่วมกันไป ความเร็วและรูปแบบของวงโคจร เมื่อใดดาวเคราะห์จะไปอยู่ตรงตำแหน่งใด—ทั้งหมดนี้สามารถคำนวณได้อย่างเที่ยงตรงและอธิบายด้วยกฎพิเศษต่างๆ ได้  ดาวเคราะห์ทั้งหลายได้ดำเนินตามกฎเหล่านี้มาหลายกัปหลายกัลป์โดยปราศจากการเบี่ยงเบนแม้แต่น้อย  ไม่มีอำนาจใดสามารถเปลี่ยนหรือขัดขวางวงโคจรของพวกมันหรือแบบแผนที่พวกมันดำเนินตามได้  เนื่องเพราะกฎพิเศษต่างๆ ที่กำกับดูแลการเคลื่อนไหวของพวกมันและข้อมูลอันเที่ยงตรงที่อธิบายกฎเหล่านั้นถูกสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว ดาวเคราะห์ทั้งหลายจึงทำตามกฎเหล่านี้โดยอัตโนมัติภายใต้อธิปไตยและการควบคุมของพระผู้สร้าง  ในระดับมหัพภาค ไม่เป็นการยากที่มนุษย์จะค้นพบแบบแผนบางอย่าง ข้อมูลบางอย่าง และกฎหรือปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดและไม่สามารถอธิบายได้บางอย่าง  แม้มนุษยชาติไม่ยอมรับว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง และไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าพระผู้สร้างได้ทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาและทรงมีอำนาจครอบครองเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และยิ่งไปกว่านั้นไม่ได้ระลึกรู้ถึงการดำรงอยู่แห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง กระนั้นก็ตาม เหล่านักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ และนักฟิสิกส์ทั้งหลายของมนุษย์ก็กำลังค้นพบกันมากขึ้นทุกทีว่า การดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่งในจักรวาล และหลักการกับแบบแผนที่บงการการเคลื่อนที่ของพวกมันทั้งหมดนั้น ถูกกำกับดูแลและควบคุมโดยพลังงานมืดอันไพศาลและมองไม่เห็นอย่างหนึ่ง  ข้อเท็จจริงนี้บีบให้มนุษย์ยอมเผชิญหน้าและยอมรับรู้ว่า มีองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงฤทธิ์ในท่ามกลางแบบแผนการเคลื่อนที่เหล่านี้ที่คอยจัดวางเรียบเรียงทุกสิ่งทุกอย่าง  ฤทธานุภาพของพระองค์นั้นเหนือปกติ และแม้ว่าไม่มีใครสามารถมองเห็นโฉมพระพักตร์ที่แท้จริงของพระองค์ได้ พระองค์ก็ทรงกำกับดูแลและควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในทุกชั่วขณะ  ไม่มีมนุษย์หรือกำลังบังคับใดที่สามารถล่วงพ้นอธิปไตยของพระองค์ได้ ครั้นได้เผชิญกับข้อเท็จจริงนี้แล้ว มนุษย์ย่อมต้องระลึกรู้ว่า กฎต่างๆ ที่กำลังกำกับดูแลการดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่งนั้นไม่สามารถถูกมนุษย์ควบคุมได้ ไม่สามารถถูกใครก็ตามเปลี่ยนแปลงได้ เขาต้องยอมรับอีกด้วยว่า มนุษย์นั้นไม่สามารถเข้าใจกฎเหล่านี้ได้อย่างครบถ้วน และกฎเหล่านี้ไม่ได้กำลังเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ถูกบงการโดยองค์อธิปไตยองค์หนึ่ง  เหล่านี้คือการแสดงออกทั้งหมดของสิทธิอำนาจแห่งพระเจ้าที่มวลมนุษย์สามารถรับรู้ได้ในระดับมหัพภาค

ในระดับจุลภาคนั้น ภูเขา แม่น้ำ ทะเลสาบ ทะเล และผืนแผ่นดินทั้งหมดที่มนุษย์อาจมองเห็นบนแผ่นดินโลก ทุกฤดูกาลที่เขาผ่านประสบการณ์ ทุกสรรพสิ่งที่อาศัยแผ่นดินโลกอยู่ รวมถึงพืชพรรณ สัตว์ จุลชีพ และมนุษย์ ล้วนอยู่ภายใต้อธิปไตยและการควบคุมของพระเจ้า  ภายใต้อธิปไตยและการควบคุมของพระเจ้านั้น ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นหรืออันตรธานไปโดยสอดคล้องกับพระดำริของพระองค์ กฎทั้งหลายเกิดขึ้นมาเพื่อกำกับดูแลการดำรงอยู่ของสิ่งเหล่านี้ และสิ่งเหล่านี้ก็เจริญเติบโตและเพิ่มทวีคูณโดยเป็นไปตามกฎเหล่านี้ ไม่มีมนุษย์หรือสิ่งใดอยู่เหนือกฎเหล่านี้  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  มีเพียงคำตอบเดียวก็คือ เป็นเพราะสิทธิอำนาจของพระเจ้า  หรือพูดอีกอย่างว่า เป็นเพราะพระดำริของพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้า เพราะการกระทำส่วนพระองค์ของพระเจ้าพระองค์เอง  นี่หมายความว่า สิทธิอำนาจของพระเจ้าและพระกมลของพระเจ้านี่เองที่ให้กำเนิดกฎเหล่านี้ซึ่งขยับย้ายและเปลี่ยนแปลงไปตามพระดำริแห่งพระองค์ การขยับย้ายและการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นหรือเลือนหายไปก็เพื่อประโยชน์แห่งแผนการของพระองค์  ตัวอย่างเช่น การเกิดโรคระบาด  โรคเกิดแพร่ระบาดโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า  ไม่มีผู้ใดรู้จุดกำเนิดของพวกมันหรือเหตุผลที่แท้จริงว่าเหตุใดโรคระบาดจึงเกิดขึ้น  และเมื่อใดก็ตามที่โรคหนึ่งแพร่ระบาดไปถึงบางสถานที่ พวกที่ถูกชี้ชะตาไว้ย่อมไม่สามารถหลีกหนีจากหายนะได้  วิทยาศาสตร์ของมนุษย์เข้าใจว่าโรคระบาดทั้งหลายเกิดจากการแพร่กระจายของจุลินทรีย์ที่ร้ายแรงหรือเป็นอันตราย และวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ไม่สามารถคาดคะเนหรือควบคุมความเร็ว  แนวเขต และวิธีการแพร่เชื้อของพวกมันได้  แม้ผู้คนต่อต้านโรคระบาดโดยใช้ทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถควบคุมได้ว่าผู้คนหรือสัตว์ใดจะได้รับผลกระทบอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงเมื่อเกิดการระบาดของโรค  สิ่งเดียวที่มนุษย์ทำได้ก็คือ พยายามป้องกันโรค ต้านทานโรคเอาไว้ และศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพวกมัน  แต่ไม่มีใครรู้มูลเหตุที่อธิบายการเกิดขึ้นหรือการสิ้นสุดของโรคระบาดแต่ละโรค และไม่มีใครสามารถควบคุมพวกมันได้  ครั้นได้เผชิญกับการเกิดขึ้นและการแพร่กระจายของโรคระบาดแล้ว มาตรการแรกที่มนุษย์ใช้ก็คือ การพัฒนาวัคซีนขึ้นมา แต่บ่อยครั้งที่โรคระบาดวายไปเองก่อนที่วัคซีนจะพร้อมใช้  เหตุใดเล่าโรคระบาดจึงสลายตัว?  บ้างก็พูดว่าพวกเชื้อโรคถูกควบคุมไว้ได้แล้ว ในขณะที่คนอื่นพากันพูดว่า พวกมันหายสูญไปก็เพราะการเปลี่ยนไปของฤดูกาล… ในส่วนที่ว่าการคาดเดาส่งเดชเหล่านี้ฟังขึ้นหรือไม่นั้น วิทยาศาสตร์กลับไม่สามารถให้คำอธิบายและไม่สามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้  มนุษยชาติต้องไม่เพียงให้ความสำคัญกับการคาดเดาเหล่านี้ แต่ต้องให้ความสำคัญกับการขาดความเข้าใจและความหวาดกลัวที่มวลมนุษย์มีต่อโรคระบาดด้วย  ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย ไม่มีผู้ใดรู้สาเหตุที่โรคระบาดก่อตัวหรือสาเหตุที่พวกมันจบลง  เนื่องจากมนุษยชาติมีความเชื่อแต่ในวิทยาศาสตร์  วางใจในวิทยาศาสตร์จนหมดสิ้น และไม่ระลึกรู้ถึงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างหรือยอมรับอธิปไตยของพระองค์ พวกเขาย่อมจะไม่มีวันได้มาซึ่งคำตอบ

ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า ทุกสรรพสิ่งถือกำเนิด ใช้ชีวิต และพินาศไปก็เพราะสิทธิอำนาจแห่งพระองค์และการบริหารจัดการของพระองค์  บางสิ่งมาแล้วก็ไปอย่างเงียบเชียบ และมนุษย์ไม่สามารถบอกได้ว่าพวกมันมาจากไหนหรือจับความเข้าใจในแบบแผนที่พวกมันดำเนินตามได้ นับประสาอะไรที่จะเข้าใจเหตุผลต่างๆ ว่าเหตุใดพวกมันจึงมาและไป  แม้ว่ามนุษย์สามารถมองเห็นทั้งหมดที่ผ่านเข้ามาท่ามกลางทุกสรรพสิ่งด้วยตาของเขาเอง และสามารถได้ยินด้วยหูของเขา และสามารถมีประสบการณ์กับมันด้วยร่างกายของเขาเอง แม้ว่าทั้งหมดนั้นมีความเชื่อมโยงกับมนุษย์ และแม้ว่าจิตใต้สำนึกของมนุษย์จะจับความเข้าใจในความไม่ปกติ ความเป็นปกติ หรือแม้แต่ความแปลกประหลาดอันสัมพัทธ์ของนานาปรากฏการณ์ แต่เขาก็ยังคงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเบื้องหลังของปรากฏการณ์เหล่านั้น ซึ่งก็คือน้ำพระทัยและพระกมลของพระผู้สร้าง  มีเรื่องเล่ามากมายเบื้องหลังปรากฏการณ์เหล่านี้ หลายความจริงที่ถูกซ่อนไว้  เนื่องเพราะมนุษย์ได้พเนจรห่างไกลไปจากพระผู้สร้าง และเนื่องเพราะเขาไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า สิทธิอำนาจแห่งพระผู้สร้างกำกับดูแลทุกสรรพสิ่ง เขาก็จะไม่มีวันรู้และจับใจความทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายใต้อธิปไตยแห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างได้  ส่วนใหญ่แล้ว การควบคุมและอธิปไตยของพระเจ้าอยู่เหนือขอบเขตแห่งจินตนาการของมนุษย์ ขอบเขตแห่งความรู้ของมนุษย์ ขอบเขตแห่งความเข้าใจของมนุษย์ และขอบเขตของสิ่งที่วิทยาศาสตร์ของมนุษย์จะสามารถสัมฤทธิ์ นั่นก็คืออยู่เหนือขอบเขตการล่วงรู้ของมนุษยชาติที่ทรงสร้าง  บางคนกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าไม่เคยได้เป็นพยานในอธิปไตยของพระเจ้าด้วยตัวเจ้าเอง เจ้าจะสามารถเชื่อได้อย่างไรว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจแห่งพระองค์?”  การมองเห็นไม่ใช่การเชื่อเสมอไป ทั้งยังไม่ใช่การระลึกรู้และการเข้าใจเสมอไป  ดังนั้นแล้วการเชื่อมาจากแห่งหนใด?  เราสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าการเชื่อมาจากระดับและความลึกซึ้งของการจับความเข้าใจของผู้คนเกี่ยวกับความเป็นจริงและมูลเหตุของสิ่งต่างๆ รวมทั้งประสบการณ์ที่ผู้คนมีกับสิ่งเหล่านั้น  หากเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง แต่เจ้าไม่สามารถระลึกรู้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าสามารถล่วงรู้ได้ถึงข้อเท็จจริงแห่งการควบคุมของพระเจ้าและอธิปไตยของพระเจ้าเหนือทุกสรรพสิ่งแล้วไซร้ ในหัวใจของเจ้า เจ้าก็จะไม่มีวันยอมรับว่าพระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจประเภทนี้ ว่าสิทธิอำนาจของพระเจ้านั้นมีเอกลักษณ์  เจ้าจะไม่มีวันยอมรับพระผู้สร้างว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้าและพระเจ้าของเจ้าอย่างแท้จริง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 121

ชะตากรรมของมนุษยชาติและชะตากรรมแห่งจักรวาลมิอาจแยกจากอธิปไตยของพระผู้สร้างได้

พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นผู้ใหญ่ บางคนอยู่ในวัยกลางคน บางคนได้เข้าสู่วัยชรา  พวกเจ้ามาจากการไม่เชื่อในพระเจ้าจนมาถึงการเชื่อในพระองค์ และจากการเริ่มเชื่อในพระเจ้าจนมาถึงการยอมรับพระวจนะของพระองค์ และการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์  แล้วพวกเจ้ามีความรู้เกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้ามากเพียงใด?  เจ้าได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกอันใดในชะตากรรมมนุษย์บ้าง?  คนเราสามารถสัมฤทธิ์ทุกสิ่งที่คนเราอยากได้อยากมีในชีวิตหรือไม่?  ตลอดไม่กี่ทศวรรษแห่งการดำรงอยู่ของพวกเจ้า มีกี่อย่างที่พวกเจ้าสามารถสำเร็จลุล่วงในทางที่พวกเจ้าปรารถนา?  มีกี่อย่างที่เกิดขึ้นโดยที่เจ้าไม่เคยคาดหวัง?  มีกี่อย่างที่มาในรูปของความประหลาดใจอันน่ายินดี?  มีกี่อย่างที่ผู้คนยังคงรอคอยต่อไปในความมุ่งหวังว่าพวกมันจะให้ดอกผล—โดยรอคอยชั่วขณะที่เหมาะสม รอคอยน้ำพระทัยแห่งฟ้าสวรรค์โดยไม่รู้ตัว?  มีกี่อย่างที่ทำให้ผู้คนรู้สึกอับจนหนทางและถูกสกัดกั้น?  ทุกคนเต็มไปด้วยความหวังเกี่ยวกับชะตากรรมของพวกเขา โดยคาดหวังว่าทุกอย่างในชีวิตของพวกเขาจะเป็นไปตามที่พวกเขาปรารถนา ว่าพวกเขาจะไม่ขาดแคลนอาหารหรือเครื่องนุ่งห่ม ว่าโชคชะตาของพวกเขาจะเฟื่องฟูขึ้นอย่างน่าฮือฮา  ไม่มีใครต้องการชีวิตที่ยากจนและถูกเอารัดเอาเปรียบ เต็มไปด้วยความยากลำบาก และถูกหายนะรุมเร้า  แต่ผู้คนไม่อาจรู้ล่วงหน้าหรือควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้  บางทีสำหรับบางคนแล้ว อดีตเป็นเพียงประสบการณ์จิปาถะอันยุ่งเหยิงปะปน พวกเขาไม่เคยเรียนรู้สิ่งที่เป็นน้ำพระทัยแห่งฟ้าสวรรค์ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจว่าน้ำพระทัยแห่งฟ้าสวรรค์คืออะไร  พวกเขาดำเนินชีวิตของตัวเองไปอย่างไม่คิดอะไร เหมือนสัตว์ทั้งหลายที่ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ใส่ใจเกี่ยวกับชะตากรรมของมนุษยชาติ หรือเหตุใดมนุษย์จึงมีชีวิต หรือมนุษย์ควรจะใช้ชีวิตอย่างไร  ผู้คนเหล่านี้เข้าสู่วัยชราโดยที่ไม่ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับชะตากรรมของมนุษย์เลย และกระทั่งชั่วขณะที่พวกเขาตาย พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าชีวิตคือเรื่องเกี่ยวกับอะไร  ผู้คนเหล่านี้ได้ตายไปแล้ว พวกเขามีชีวิตอยู่โดยปราศจากจิตวิญญาณ พวกเขาคือสัตว์ป่า  แม้ว่าผู้คนใช้ชีวิตอยู่ภายในการทรงสร้างและได้รับความชื่นชมยินดีจากหลายหนทางที่โลกใช้สนองความจำเป็นทางวัตถุของพวกเขา และแม้ว่าพวกเขามองเห็นโลกวัตถุนี้รุดหน้าไปอย่างสม่ำเสมอ กระนั้นประสบการณ์ของพวกเขาเอง—สิ่งที่หัวใจและจิตวิญญาณของพวกเขารู้สึกและมีประสบการณ์—ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับสิ่งที่จับต้องได้ทั้งหลาย และไม่มีวัตถุใดที่ทดแทนประสบการณ์ได้  ประสบการณ์คือการระลึกรู้ลึกลงไปในหัวใจของคนเรา เป็นบางสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า  การระลึกรู้นี้มีอยู่ในความเข้าใจของคนเราและการรับรู้ของคนเราเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์และชะตากรรมมนุษย์  และบ่อยครั้งมันก็นำทางคนเราไปสู่การเข้าใจว่า องค์เจ้านายผู้มิอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่านั้นกำลังทรงจัดการเตรียมการสิ่งต่างๆ ทั้งหมด โดยจัดวางเรียบเรียงทุกอย่างสำหรับมนุษย์  ในท่ามกลางทั้งหมดนี้ คนเราทำได้เพียงยอมรับการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของชะตากรรม คนเราทำได้เพียงยอมรับเส้นทางข้างหน้าที่พระผู้สร้างได้วางเอาไว้ ยอมรับอธิปไตยของพระผู้สร้างเหนือชะตากรรมของคนเรา  นี่คือข้อเท็จจริงประการหนึ่งซึ่งไม่มีข้อโต้แย้ง ไม่ว่าคนเรามีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและท่าทีใดเกี่ยวกับชะตากรรม ก็ไม่มีใครเลยที่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนี้ได้

ในทุกๆ วัน เจ้าจะไปที่ใด เจ้าจะทำสิ่งใด ใครหรืออะไรที่เจ้าจะเผชิญ เจ้าจะพูดอะไร จะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า—มีอันใดในนี้ที่สามารถทำนายได้หรือ?  ผู้คนไม่สามารถคาดการณ์ทั้งหมดนี้ล่วงหน้า นับประสาอะไรที่จะสามารถควบคุมได้ว่าสถานการณ์เหล่านี้จะพัฒนาไปอย่างไร  ในชีวิต เหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้เหล่านี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เหตุการณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวัน  ความผันผวนรายวันเหล่านี้และวิธีที่พวกมันเผยตัวออกมา หรือรูปแบบที่พวกมันเดินตามนั้นเป็นสิ่งเตือนความจำให้แก่มนุษยชาติอยู่เสมอว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างไร้แบบแผน ว่ากระบวนการเกิดขึ้นของแต่ละเหตุการณ์  ธรรมชาติอันมิอาจหลบหลีกได้ของแต่ละเหตุการณ์นั้นไม่อาจขยับเปลี่ยนได้โดยเจตจำนงของมนุษย์  ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถ่ายทอดการเตือนสอนจากพระผู้สร้างมายังมวลมนุษย์ และส่งความนัยมาด้วยว่ามนุษย์ไม่สามารถควบคุมชะตากรรมของตนเองได้  ทุกเหตุการณ์คือการตอบโต้ความทะเยอทะยานลมๆ แล้งๆ อันคะนอง และความอยากที่จะกุมชะตากรรมของตนไว้ในมือตัวเองของมนุษยชาติ  เหตุการณ์เหล่านั้นเป็นเหมือนการตบหน้ามนุษยชาติอย่างแรง คนแล้วคนเล่า บีบให้ผู้คนพิจารณาเสียใหม่ว่าในท้ายที่สุดแล้ว ใครกันที่กำกับดูแลและควบคุมชะตากรรมของพวกเขา  และเมื่อความทะเยอทะยานและความอยากทั้งหลายของพวกเขาถูกสกัดกั้นและทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี จึงเป็นธรรมดาที่มนุษย์ย่อมมาถึงการยอมรับชะตากรรมที่รอท่าอยู่โดยไม่รู้ตัว—การยอมรับความเป็นจริง ยอมรับน้ำพระทัยแห่งฟ้าสวรรค์และอธิปไตยของพระผู้สร้าง  จากความผันผวนรายวันเหล่านี้สู่ชะตากรรมของชีวิตมนุษย์ทั้งหมดทั้งมวล หามีสิ่งใดที่ไม่ได้เปิดเผยแผนการของพระผู้สร้างและอธิปไตยของพระองค์ หามีสิ่งใดที่ไม่ได้ส่งความนัยว่า “สิทธิอำนาจแห่งพระผู้สร้างนั้นมิอาจก้ำเกินได้” หามีสิ่งใดที่ไม่ได้ถ่ายทอดความจริงอันเป็นนิรันดร์ที่ว่า “สิทธิอำนาจแห่งพระผู้สร้างนั้นสูงสุด”

ชะตากรรมของมนุษยชาติและของจักรวาลนั้นเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับอธิปไตยของพระผู้สร้าง ผูกติดอยู่กับการจัดวางเรียบเรียงของพระผู้สร้างโดยมิอาจแยกออกจากกันได้ ในท้ายที่สุดแล้ว ชะตากรรมเหล่านี้ก็ไม่อาจแยกออกจากสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างได้ ในกฎแห่งทุกสรรพสิ่ง มนุษย์จึงมาเข้าใจการจัดวางเรียบเรียงของพระผู้สร้างและอธิปไตยของพระองค์ ในกฎเกณฑ์แห่งการอยู่รอดของทุกสรรพสิ่ง เขาจึงมารับรู้การกำกับดูแลของพระผู้สร้าง ในชะตากรรมของทุกสรรพสิ่ง เขาจึงได้อนุมานวิธีต่างๆ ที่พระผู้สร้างทรงใช้อธิปไตยและการควบคุมของพระองค์เหนือทุกสรรพสิ่ง และในวงจรชีวิตของมนุษย์และทุกสรรพสิ่ง มนุษย์จึงมามีประสบการณ์อย่างแท้จริงกับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างสำหรับทุกสรรพสิ่งและสิ่งมีชีวิต มาเป็นพยานว่าการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการเหล่านั้นอยู่เหนือกฎ กฎเกณฑ์ และขนบประเพณีทางโลกทั้งหมด พลังอำนาจและกำลังบังคับอื่นๆ ทั้งหมด  เมื่อเป็นเช่นนี้ มนุษยชาติจึงถูกบีบให้ยอมระลึกรู้ว่าอธิปไตยของพระผู้สร้างมิอาจถูกสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดฝ่าฝืนได้ ระลึกรู้ว่าไม่มีกำลังบังคับใดสามารถช่วงชิงหรือดัดแปลงเหตุการณ์และสิ่งต่างๆ ที่พระผู้สร้างได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้า  ภายใต้กฎและกฎเกณฑ์แห่งพระเจ้านี่เองที่มนุษย์และทุกสรรพสิ่งล้วนมีชีวิตอยู่และขยายเผ่าพันธุ์รุ่นแล้วรุ่นเล่า  นี่ไม่ใช่รูปจำแลงที่แท้จริงของสิทธิอำนาจแห่งพระผู้สร้างหรอกหรือ?  แม้ว่าในกฎเชิงวัตถุวิสัยทั้งหลาย มนุษย์มองเห็นอธิปไตยของพระผู้สร้างและการสถาปนาทุกเหตุการณ์และทุกสรรพสิ่งของพระองค์ มีกี่คนที่สามารถจับความเข้าใจหลักการแห่งอธิปไตยของพระผู้สร้างซึ่งอยู่เหนือจักรวาลได้?  มีผู้คนมากเท่าใดที่สามารถรู้จัก ระลึกได้ ยอมรับ และนบนอบอย่างแท้จริงต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างที่มีเหนือชะตากรรมของพวกเขาเอง?  เมื่อได้เชื่อในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระผู้สร้างแล้ว ผู้ใดเล่าจะเชื่อและระลึกรู้อย่างแท้จริงว่าพระผู้สร้างทรงบงการชะตากรรมของชีวิตมนุษย์เช่นกัน?  ใครเล่าที่สามารถจับใจความได้อย่างแท้จริงในข้อเท็จจริงที่ว่าชะตากรรมของมนุษย์วางอยู่ในฝ่าพระหัตถ์แห่งพระผู้สร้าง?  ท่าทีแบบใดที่มนุษยชาติควรมีต่ออธิปไตยของพระผู้สร้างเมื่อเผชิญหน้าข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงกำกับดูแลและควบคุมชะตากรรมของมนุษยชาติ?  นั่นเป็นการตัดสินใจซึ่งมนุษย์ทุกคนที่กำลังเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงนี้ต้องทำเพื่อตัวพวกเขาเอง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 122

ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทั้งหกในชีวิตมนุษย์ (บทตอนที่คัดมา)

ในครรลองชีวิตของคนเรา บุคคลทุกคนย่อมมาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่วิกฤติเป็นระยะๆ  เหล่านี้คือขั้นตอนพื้นฐานที่สุดและสำคัญที่สุดที่กำหนดชะตากรรมในชีวิตของบุคคล  ต่อจากนี้คือการบรรยายโดยย่อเกี่ยวกับเครื่องหมายบอกทางเหล่านี้ที่ทุกบุคคลต้องผ่านในครรลองแห่งชีวิตของพวกเขา

หัวเลี้ยวหัวต่อแรก: การเกิด

สถานที่เกิดของบุคคล ครอบครัวที่พวกเขาเกิดมา เพศ รูปลักษณ์ และเวลาเกิดของคนเรา—เหล่านี้คือรายละเอียดของหัวเลี้ยวหัวต่อแรกของชีวิตบุคคล

ไม่มีผู้ใดอาจเลือกรายละเอียดที่แน่นอนของหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ได้ รายละเอียดเหล่านี้ถูกพระผู้สร้างลิขิตไว้ล่วงหน้านานมาแล้ว  รายละเอียดเหล่านี้ไม่ได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมภายนอกแต่อย่างใด และปัจจัยที่มนุษย์สร้างขึ้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงเหล่านี้ ซึ่งถูกพระผู้สร้างลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว  การที่บุคคลหนึ่งจะถือกำเนิดมานั้นหมายความว่า พระผู้สร้างได้ทรงลุล่วงขั้นตอนแรกของชะตากรรมที่พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมการสำหรับบุคคลนั้นแล้ว เนื่องเพราะพระองค์ได้ทรงลิขิตรายละเอียดทั้งหมดนี้ไว้ล่วงหน้านานมาแล้ว จึงไม่มีผู้ใดมีพลังอำนาจในการแก้ไขดัดแปลงรายละเอียดใดๆ  ไม่ว่าชะตากรรมที่ตามมาของบุคคลนั้นจะเป็นเช่นไร เงื่อนไขการเกิดของคนเราได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว และจะคงอยู่อย่างที่มันเป็น กล่าวคือ รายละเอียดเหล่านี้ไม่ได้รับอิทธิพลจากชะตากรรมในชีวิตของคนเราแต่อย่างใดเลย อีกทั้งไม่ส่งผลกระทบในทางใดต่ออธิปไตยของพระผู้สร้างที่มีเหนือชะตากรรมในชีวิตของคนเราด้วย

1) ชีวิตใหม่ถือกำเนิดมาจากแผนการของพระผู้สร้าง

รายละเอียดใดของหัวเลี้ยวหัวต่อแรก—สถานที่เกิดของคนเรา ครอบครัวของคนเรา เพศของคนเรา รูปลักษณ์ทางกายภาพของคนเรา เวลาเกิดของคนเรา—บุคคลหนึ่งสามารถเลือกสิ่งใดได้?  เห็นได้ชัดว่าการเกิดของคนเรานั้นเป็นเหตุการณ์เชิงรับ  คนเราเกิดมาในสถานที่จำเพาะ ณ เวลาจำเพาะ ในครอบครัวจำเพาะ ด้วยรูปลักษณ์จำเพาะทางกายภาพโดยมิได้ตั้งใจเอง คนเรากลายเป็นสมาชิกของครัวเรือนหนึ่ง เป็นกิ่งก้านของสาแหรกตระกูลหนึ่ง โดยมิได้จงใจ  คนเราไม่มีทางเลือก ณ หัวเลี้ยวหัวต่อแรกของชีวิตนี้ แต่กลับถือกำเนิดมาในสภาพแวดล้อมที่ตายตัวตามแผนการของพระผู้สร้างเสียมากกว่า เข้าสู่ครอบครัวที่เจาะจง ด้วยเพศและรูปลักษณ์ที่เจาะจง และ ณ เวลาที่เจาะจงซึ่งเชื่อมโยงใกล้ชิดกับครรลองแห่งชีวิตของบุคคล บุคคลหนึ่งสามารถทำสิ่งใดได้ ณ หัวเลี้ยวหัวต่ออันวิกฤตินี้?  โดยรวมแล้ว คนเราไม่มีทางเลือกเกี่ยวกับรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับกำเนิดของคนเราเหล่านี้แม้แต่อย่างเดียว  หากไม่ใช่เพราะการลิขิตล่วงหน้าของพระผู้สร้างและการทรงนำของพระองค์ ชีวิตที่ถือกำเนิดใหม่ในพิภพนี้คงไม่รู้ว่าจะไปทางไหนหรือจะพำนักอยู่แห่งหนใด คงจะไร้ญาติพี่น้อง ไม่มีพวกพ้อง และไม่มีบ้านที่แท้จริง  แต่เพราะการจัดการเตรียมการอันพิถีพิถันของพระผู้สร้าง ชีวิตใหม่นี้จึงมีที่ให้พำนัก มีบิดามารดา มีสถานที่ให้เป็นส่วนหนึ่งของที่นั่น และมีญาติพี่น้อง และจากนั้น ชีวิตนั้นจึงเริ่มเดินไปบนครรลองแห่งการเดินทางของมัน  ตลอดกระบวนการนี้ การทำให้ชีวิตใหม่นี้เกิดเป็นตัวตนขึ้นมาได้ถูกกำหนดโดยแผนการต่างๆ ของพระผู้สร้าง และทุกอย่างที่ชีวิตนี้จะได้ครอบครองก็จะได้รับการประทานจากพระผู้สร้าง  จากร่างที่ลอยละล่องไร้ทิศทางโดยไม่มีสิ่งใดติดตัว ค่อยๆ กลายมาเป็นมนุษย์ซึ่งมีเลือดเนื้อ มองเห็นได้ จับต้องได้ เป็นหนึ่งในสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า ที่คิด หายใจ และรู้สึกร้อนหนาว สามารถมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมปกติของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในโลกทางวัตถุ และเป็นผู้ที่จะก้าวผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างต้องผ่านประสบการณ์ในชีวิต  การลิขิตล่วงหน้าโดยพระผู้สร้างเกี่ยวกับกำเนิดของบุคคลหมายความว่า พระองค์จะประทานทุกสิ่งซึ่งจำเป็นต่อการอยู่รอดแก่บุคคลนั้น และในทำนองเดียวกัน ข้อเท็จจริงที่ว่าบุคคลหนึ่งได้เกิดมาย่อมหมายความว่า พวกเขาจะได้รับทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการอยู่รอดจากพระผู้สร้าง และจากจุดนั้นเป็นต้นไป พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในอีกรูปหนึ่ง ซึ่งจัดเตรียมให้โดยพระผู้สร้าง และอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระผู้สร้าง

2) เหตุใดมนุษย์ซึ่งต่างกันจึงกำเนิดมาภายใต้รูปการณ์แวดล้อมที่ต่างกัน

บ่อยครั้งที่ผู้คนชอบจินตนาการไปว่า หากพวกเขาได้เกิดใหม่ ก็คงจะเป็นในครอบครัวที่เด่นดัง หากพวกเขาเป็นผู้หญิง พวกเขาคงจะมีหน้าตาดั่งสโนว์ไวท์และเป็นที่รักของทุกคน และหากพวกเขาเป็นผู้ชาย พวกเขาคงจะเป็นเจ้าชายรูปงามซึ่งไม่ขาดแคลนสิ่งใดเลย พร้อมโลกทั้งใบที่คอยทำทุกสิ่งที่ต้องการให้  บ่อยครั้งที่มีพวกที่ตรากตรำทำงานอยู่ภายใต้ภาพมายามากมายเกี่ยวกับกำเนิดของตนและรู้สึกไม่พึงพอใจในกำเนิดของพวกเขาอย่างมาก ไม่พอใจในครอบครัวของพวกเขา รูปลักษณ์ของพวกเขา เพศของพวกเขา แม้กระทั่งเวลาเกิดของพวกเขา  กระนั้นผู้คนก็ยังไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาจึงเกิดมาในครอบครัวเฉพาะครอบครัวหนึ่ง หรือเหตุใดพวกเขาจึงมีรูปร่างหน้าตาเฉพาะแบบหนึ่ง  พวกเขาไม่รู้ว่า ไม่ว่าพวกเขาถือกำเนิด ณ แห่งหนใด หรือพวกเขามีรูปร่างหน้าตาเช่นใด พวกเขาก็จะต้องรับบทบาทอันหลากหลายและทำภารกิจที่แตกต่างกันในการบริหารจัดการของพระผู้สร้างให้ลุล่วง และจุดประสงค์นี้จะไม่มีวันเปลี่ยนไป  ในสายพระเนตรของพระผู้สร้าง สถานที่เกิดของคนเรา เพศของคนเรา และรูปลักษณ์ทางกายของคนเราทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งชั่วคราว พวกมันเป็นอณูเล็กๆ ชุดหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์เล็กจิ๋วในแต่ละระยะของการบริหารจัดการมวลมนุษย์ทั้งปวงของพระองค์  และบั้นปลายกับบทอวสานที่แท้จริงของบุคคลหนึ่งนั้นหาได้ถูกกำหนดพิจารณาโดยการเกิดในระยะเฉพาะใดๆ ของพวกเขาไม่ แต่โดยภารกิจที่พวกเขาทำจนลุล่วงในชีวิตของพวกเขา และโดยการพิพากษาของพระผู้สร้างที่มีต่อพวกเขาเมื่อแผนการบริหารจัดการของพระองค์เสร็จสมบูรณ์

กล่าวกันว่า ทุกผลกระทบย่อมมีต้นเหตุ และว่าไม่มีผลใดที่ไร้เหตุ  ดังนั้น การถือกำเนิดของคนเราจึงจำเป็นต้องผูกติดอยู่กับทั้งชีวิตปัจจุบันของคนเราและชีวิตก่อนหน้านี้  หากความตายของบุคคลคือการจบวาระชีวิตในปัจจุบันของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว การเกิดของบุคคลก็คือการเริ่มต้นวัฏจักรใหม่ หากวัฏจักรเดิมเป็นตัวแทนของชีวิตก่อนหน้านี้ของบุคคล เช่นนั้นแล้วย่อมเป็นธรรมดาที่วัฏจักรใหม่ก็คือชีวิตปัจจุบันของพวกเขา  ในเมื่อกำเนิดของคนเราเชื่อมโยงกับชีวิตในอดีตของคนเรา รวมทั้งชีวิตปัจจุบันของคนเรา จึงกลายเป็นว่าตำแหน่งที่ตั้ง ครอบครัว เพศ รูปลักษณ์ และปัจจัยอื่นๆ ดังกล่าวซึ่งเกี่ยวข้องกับการเกิดของคนเราล้วนจำเป็นต้องสัมพันธ์กับชีวิตปัจจุบันและชีวิตในอดีตของคนเรา  นี่หมายความว่า ปัจจัยทั้งหลายในการเกิดของบุคคลไม่เพียงได้รับอิทธิพลจากชีวิตก่อนหน้านี้ของคนเรา แต่ยังถูกกำหนดพิจารณาจากโชคชะตาในชีวิตปัจจุบันของคนเราด้วย ซึ่งอธิบายความหลากหลายของรูปการณ์แวดล้อมอันแตกต่างกันที่ผู้คนได้ถือกำเนิดมา กล่าวคือ บ้างก็เกิดมาในครอบครัวยากจน ส่วนคนอื่นๆ ก็เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย  บ้างก็เกิดมาในครอบครัวธรรมดาสามัญ ขณะที่คนอื่นมีวงศ์ตระกูลเด่นดัง  บ้างก็เกิดทางใต้ ส่วนคนอื่นเกิดทางเหนือ  บ้างก็เกิดในทะเลทราย ส่วนคนอื่นเกิดในดินแดนอันเขียวขจี  การเกิดของผู้คนบางคนมาพร้อมกับเสียงโห่ร้องยินดี เสียงหัวเราะ และการเฉลิมฉลอง ส่วนการเกิดของคนอื่นนำมาซึ่งน้ำตา หายนะ และวิบัติ  บ้างเกิดมาเป็นที่หวงแหนราวสมบัติล้ำค่า ส่วนคนอื่นเกิดมาก็ถูกทิ้งขว้างราววัชพืช  บ้างเกิดมาพร้อมรูปร่างหน้าตาที่ดี ส่วนคนอื่นมาพร้อมรูปร่างที่คดงอ  บ้างก็น่ารักชวนมอง ส่วนคนอื่นนั้นอัปลักษณ์  บ้างก็เกิดยามเที่ยงคืน ส่วนคนอื่นเกิดภายใต้เปลวแดดของพระอาทิตย์เที่ยงวัน… กำเนิดของผู้คนทุกจำพวกถูกกำหนดพิจารณาโดยชะตากรรมที่พระผู้สร้างทรงเตรียมไว้ให้พวกเขา กำเนิดของพวกเขากำหนดพิจารณาชะตากรรมในชีวิตปัจจุบันของพวกเขา ตลอดจนบทบาทที่พวกเขาจะแสดงและภารกิจที่พวกเขาจะทำให้ลุล่วง  ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระผู้สร้าง ถูกพระองค์ลิขิตไว้ล่วงหน้า ไม่มีใครสามารถหลีกหนีชะตาที่ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าของพวกเขาไปได้ ไม่มีใครเลยที่สามารถเปลี่ยนแปลงกำเนิดของพวกเขาได้ และไม่มีใครเลยที่สามารถเลือกชะตากรรมของพวกเขาได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 123

ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทั้งหกในชีวิตมนุษย์ (บทตอนที่คัดมา)

หัวเลี้ยวหัวต่อที่สอง: การเจริญเติบโต

ผู้คนเจริญเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมทางบ้านที่แตกต่างกัน และเรียนรู้บทเรียนที่แตกต่างกันจากบิดามารดาของพวกเขา โดยขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาถือกำเนิดมาในครอบครัวประเภทใด  ปัจจัยเหล่านี้กำหนดพิจารณาสภาพเงื่อนไขทั้งหลายที่บุคคลหนึ่งจะใช้ก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่ และการเจริญเติบโตก็เป็นตัวแทนของช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออันวิกฤติช่วงที่สองของชีวิตบุคคล  คงไม่จำเป็นต้องกล่าวว่า ผู้คนไม่มีทางเลือก ณ หัวเลี้ยวหัวต่อนี้เช่นกัน  มันถูกกำหนดตายตัว ถูกจัดการเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกัน

1) พระผู้สร้างได้ทรงวางสภาพเงื่อนไขตายตัวสำหรับการก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่ของแต่ละบุคคล

บุคคลไม่สามารถเลือกผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งทั้งหลายที่สอนสั่งและมีอิทธิพลต่อพวกเขาในขณะที่พวกเขาเจริญเติบโต  คนเราไม่สามารถเลือกว่าจะได้รับความรู้หรือทักษะใดมา จะสร้างนิสัยใดขึ้นมา  คนเราไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าบิดามารดาและญาติพี่น้องของตนเป็นใคร คนเราเติบโตขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมแบบใด กล่าวคือ สัมพันธภาพของคนเรากับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ในสภาพแวดล้อมของคนเรา และวิธีที่สิ่งเหล่านั้นมีอิทธิพลต่อพัฒนาการของคนเรา ทั้งหมดนั้นอยู่เหนือการควบคุมของคนเรา  เช่นนั้นแล้วใครกันเล่าที่ตัดสินใจในสิ่งเหล่านี้?  ผู้ใดจัดการเตรียมการสิ่งเหล่านี้?  ในเมื่อผู้คนไม่มีทางเลือกในเรื่องนี้ ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถตัดสินใจในสิ่งเหล่านี้ให้กับตัวเองได้ และในเมื่อเห็นได้ชัดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ จึงไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่า การก่อรูปของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้วางอยู่ในพระหัตถ์ของพระผู้สร้างนั่นเอง  แน่นอนว่า เช่นเดียวกับที่พระผู้สร้างทรงจัดเตรียมรูปการณ์แวดล้อมเฉพาะเกี่ยวกับกำเนิดของทุกบุคคล พระองค์ก็ทรงจัดเตรียมรูปการณ์แวดล้อมที่เฉพาะเจาะจงให้คนเราได้เจริญเติบโตขึ้นเช่นกัน  หากการเกิดของบุคคลหนึ่งนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ รอบตัวพวกเขาแล้วไซร้ การเจริญเติบโตและพัฒนาการของบุคคลนั้นก็จำเป็นจะต้องส่งผลกระทบต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งรอบตัวพวกเขาเช่นกัน  ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนเกิดมาในครอบครัวยากจน แต่เติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่อุดมไปด้วยโภคทรัพย์ ส่วนคนอื่นๆ เกิดมาในครอบครัวที่มั่งคั่ง แต่กลับเป็นเหตุให้โชคลาภต่างๆ ของครอบครัวเสื่อมลง เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงเติบโตขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมแบบยากจน  ไม่มีกำเนิดของใครเลยที่ถูกกำกับดูแลด้วยกฎเกณฑ์ที่ตายตัว และไม่มีใครเลยที่เติบโตขึ้นภายใต้ชุดรูปการณ์แวดล้อมที่ตายตัวและหลีกเลี่ยงไม่ได้  เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่บุคคลหนึ่งสามารถจินตนาการหรือควบคุมได้ พวกมันคือผลิตผลแห่งชะตากรรมของคนเรา และถูกกำหนดพิจารณาจากชะตากรรมของคนเรา  แน่นอนว่า โดยรากเหง้าของพวกมันแล้ว สิ่งเหล่านี้ถูกกำหนดพิจารณาจากชะตากรรมซึ่งพระผู้สร้างทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าสำหรับแต่ละบุคคล พวกมันถูกกำหนดพิจารณาโดยอธิปไตยของพระผู้สร้างที่อยู่เหนือชะตากรรมของบุคคลผู้นั้นและแผนการที่พระองค์ทรงวางไว้เพื่อชะตากรรมนั้น

2) รูปการณ์แวดล้อมอันหลากหลายที่ผู้คนเติบโตขึ้นมานั้นก่อให้เกิดบทบาทที่แตกต่างกัน

ในระดับพื้นฐาน รูปการณ์แวดล้อมทั้งหลายแห่งกำเนิดของบุคคลเป็นตัวกำหนดสิ่งแวดล้อมและรูปการณ์แวดล้อมที่พวกเขาต้องใช้เจริญเติบโตขึ้นมา และในทำนองเดียวกัน รูปการณ์แวดล้อมที่บุคคลหนึ่งเจริญเติบโตขึ้นมาก็คือผลงานของรูปการณ์แวดล้อมแห่งกำเนิดของพวกเขา  ในระหว่างช่วงเวลานี้ คนเราเริ่มเรียนรู้ภาษา และจิตใจของคนเราเริ่มประสบพบเจอและซึมซาบสิ่งใหม่ๆ มากมาย อันเป็นกระบวนการของการที่คนเรากำลังเติบโตขึ้นอย่างสม่ำเสมอ สิ่งทั้งหลายที่บุคคลได้ยินด้วยหูของคนเรา มองเห็นด้วยตาของคนเรา และซึมซับด้วยจิตใจของคนเราจะค่อยๆ เติมและให้ความมีชีวิตชีวาแก่โลกภายในของคนเรา  ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่คนเราได้มาติดต่อสัมพันธ์ด้วย สามัญสำนึก ความรู้ และทักษะที่คนเราเรียนรู้ และวิธีคิดต่างๆ ซึ่งมีอิทธิพลต่อคนเราและถูกใช้ฝังหัวหรือพร่ำสอนคนเรามา ทั้งหมดจะชี้นำและส่งอิทธิพลต่อชะตากรรมในชีวิตของบุคคล  ภาษาที่คนเราเรียนรู้ในขณะที่คนเราเติบโตและวิธีคิดของคนเรานั้นไม่สามารถแยกจากสิ่งแวดล้อมที่คนเราใช้ชีวิตวัยเยาว์ของคนเราได้ และสิ่งแวดล้อมนั้นประกอบด้วยบิดามารดาและพี่น้องร่วมสายเลือด และผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งอื่นๆ รอบตัวพวกเขา  ดังนั้น ครรลองแห่งพัฒนาการของบุคคลจึงถูกกำหนดพิจารณาจากสิ่งแวดล้อมที่คนเราเติบโตขึ้นมา และยังขึ้นอยู่กับผู้คน เหตุการณ์และสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาติดต่อสัมพันธ์กับคนเราในระหว่างช่วงเวลานี้ด้วยเช่นกัน  เนื่องจากเงื่อนไขที่บุคคลเติบโตขึ้นมานั้นถูกลิขิตไว้ล่วงหน้านานมาแล้ว สิ่งแวดล้อมที่คนเราอาศัยอยู่ในระหว่างกระบวนการนี้จึงถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าเป็นธรรมดาด้วยเช่นกัน มันไม่ได้ถูกตัดสินใจจากตัวเลือกหรือความชอบของบุคคล แต่เป็นไปตามแผนการของพระผู้สร้าง ซึ่งกำหนดพิจารณาโดยการจัดการเตรียมการอันรอบคอบของพระผู้สร้างและอธิปไตยของพระองค์เหนือชะตากรรมในชีวิตของบุคคลนั้น  ดังนั้น ผู้คนที่บุคคลใดประสบพบเจอในครรลองของการเจริญเติบโต และสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาติดต่อสัมพันธ์ด้วย จึงล้วนเชื่อมโยงกับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างเป็นธรรมดา  ผู้คนไม่อาจรู้ล่วงหน้าถึงประเภทต่างๆ เหล่านี้ของสัมพันธภาพระหว่างกันอันซับซ้อน ทั้งยังไม่อาจควบคุมพวกมันหรือหยั่งลึกถึงพวกมันได้ ผู้คนและสิ่งต่างๆ มากมายที่แตกต่างกันมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่บุคคลหนึ่งเติบโตขึ้นมา และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถจัดการเตรียมการหรือจัดวางเรียบเรียงโครงข่ายอันไพศาลของการเชื่อมโยงดังกล่าวได้  ไม่มีบุคคลหรือสิ่งใดสามารถควบคุมการปรากฏอยู่ของผู้คน สิ่งต่างๆ และเหตุการณ์ทั้งหมดได้ นอกจากพระผู้สร้าง ทั้งพวกเขาก็ไม่อาจธำรงผู้คนและสิ่งเหล่านั้นเอาไว้หรือควบคุมการอันตรธานไปของผู้คนและสิ่งทั้งหมด แล้วก็เป็นโครงข่ายการเชื่อมโยงอันไพศาลดังกล่าวนั้นนั่นเองที่ปรับรูปทรงของพัฒนาการของบุคคลไปตามที่พระผู้สร้างได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้า และสร้างสิ่งแวดล้อมนานาที่ผู้คนเติบโตขึ้นมา  มันคือสิ่งที่สร้างบทบาทอันหลากหลายซึ่งจำเป็นต่อพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระผู้สร้าง โดยวางรากฐานอันแข็งแกร่งเป็นปึกแผ่นเพื่อให้ผู้คนประสบความสำเร็จในการทำภารกิจของพวกเขาให้ลุล่วง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 124

ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทั้งหกในชีวิตมนุษย์ (บทตอนที่คัดมา)

หัวเลี้ยวหัวต่อที่สาม: ความมีอิสระ

หลังจากที่บุคคลหนึ่งได้ผ่านพ้นวัยเด็กและวัยรุ่น และค่อยๆ ไปถึงภาวะความเป็นผู้ใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก้าวต่อไปก็คือ พวกเขาจะต้องละทิ้งวัยเยาว์ของพวกเขาโดยสมบูรณ์ กล่าวคำอำลากับบิดามารดาของพวกเขา และเผชิญหน้าถนนที่ทอดไปข้างหน้าอย่างผู้ใหญ่ที่มีอิสระคนหนึ่ง  ณ จุดนี้ พวกเขาจะต้องเผชิญกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งต้องเผชิญหน้า เผชิญกับทุกส่วนของชะตากรรมของพวกเขาที่จะเผยตัวในไม่ช้า  นี่คือหัวเลี้ยวหัวต่อที่สามที่บุคคลต้องผ่านล่วงไป

1) หลังจากกลายมามีอิสระ บุคคลก็เริ่มมีประสบการณ์กับอธิปไตยของพระผู้สร้าง

หากการเกิดและการเจริญเติบโตของบุคคลคือ “ช่วงเวลาเตรียมพร้อม” สำหรับการเดินทางในชีวิตของคนเรา โดยเป็นการวางเสาหลักให้กับชะตากรรมของบุคคลแล้วไซร้ เมื่อคนเราเริ่มพึ่งพาตนเองก็คือการเปิดฉากพูดคุยกับชะตากรรมในชีวิตของตน  หากการเกิดและการเจริญเติบโตของบุคคลคือความมั่งคั่งที่พวกเขาได้สั่งสมมาเพื่อตระเตรียมสำหรับชะตากรรมในชีวิตของพวกเขา เช่นนั้นแล้วความมีอิสระของบุคคลก็คือตอนที่พวกเขาเริ่มต้นใช้จ่ายหรือเพิ่มพูนความมั่งคั่งนั้น  เมื่อคนเราจากบิดามารดาของคนเรามา และกลายมามีอิสระ ทั้งเงื่อนไขต่างๆ ทางสังคมที่คนเราเผชิญ และประเภทของงานและอาชีพที่มีให้คนเราทำ ต่างก็ถูกประกาศิตโดยชะตากรรมและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับบิดามารดาของคนเราเลย  ผู้คนบางคนเลือกวิชาเอกที่ดีในมหาวิทยาลัยและจบลงด้วยการได้งานที่พึงพอใจหลังจากสำเร็จการศึกษา สร้างก้าวย่างแรกแห่งชัยชนะในการเดินทางแห่งชีวิตของพวกเขา  ผู้คนบางคนเรียนรู้และชำนาญในทักษะแตกต่างมากมาย แต่กระนั้นก็ยังไม่เคยเจอสักงานที่เหมาะสมกับพวกเขา หรือไม่เคยได้ตำแหน่งที่พวกเขาต้องการ นับประสาอะไรกับอาชีพการงาน กล่าวคือ ณ จุดเริ่มของการเดินทางแห่งชีวิต พวกเขาพบว่าตัวเองติดขัดไปทุกการขยับตัว ถูกรุมเร้าด้วยอุปสรรคปัญหา  ความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จอับเฉา และชีวิตของพวกเขานั้นไม่แน่นอน  ผู้คนบางคนพยายามอย่างขยันขันแข็งในการศึกษาของพวกเขา ทว่ากลับพลาดโอกาสไปอย่างฉิวเฉียดที่จะได้เรียนต่อขั้นอุดมศึกษา พวกเขาดูเหมือนถูกกำหนดชะตากรรมให้ไม่มีวันสัมฤทธิ์ความสำเร็จ ความมุ่งมาดปรารถนาแรกสุดของพวกเขาในการเดินทางแห่งชีวิตของพวกเขาได้สลายไปในอากาศ  ด้วยความที่ไม่รู้ว่าถนนที่ทอดไปข้างหน้านั้นราบเรียบหรือขรุขระ พวกเขาจึงรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าโชคชะตาของมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยความปรวนแปรขนาดไหน และดังนั้นจึงมองชีวิตด้วยความมุ่งหวังและความหวาดหวั่น  ผู้คนบางคนทั้งที่ไม่ได้มีการศึกษาดีนัก กลับเขียนหนังสือและสัมฤทธิ์ชื่อเสียงในระดับหนึ่ง บางคนแม้ว่าแทบจะไม่รู้หนังสือเอาเสียเลย ก็หาเงินได้จากการทำธุรกิจและด้วยเหตุนั้นจึงสามารถค้ำจุนตัวเองได้… อาชีพที่คนเราเลือก วิธีที่คนเราหาเลี้ยงชีพ ผู้คนควบคุมได้หรือไม่ว่าพวกเขาจะเลือกตัวเลือกที่ดีหรือตัวเลือกที่ไม่ดีในบรรดาสิ่งเหล่านี้?  สิ่งเหล่านี้เป็นไปโดยสอดคล้องกับความอยากได้อยากมีและการตัดสินใจของผู้คนหรือไม่?  ผู้คนส่วนใหญ่มีความปรารถนาดังต่อไปนี้คือ ทำงานน้อย ได้เงินมาก ไม่ต้องกรำงานตากแดดตากฝน แต่งกายดี เรืองรองรุ่งโรจน์ไปทุกแห่งหน ตระหง่านง้ำเหนือคนอื่น และนำเกียรติมาสู่บรรพบุรุษของพวกเขา  ผู้คนหวังที่จะมีความเพียบพร้อม แต่เมื่อพวกเขาเหยียบย่างก้าวแรกในการเดินทางของชีวิตพวกเขา พวกเขาจึงค่อยๆ มาตระหนักว่า โชคชะตาของมนุษย์นั้นไม่สมประกอบเพียงใด และเป็นครั้งแรกที่พวกเขาจับความเข้าใจได้อย่างแท้จริงในข้อเท็จจริงที่ว่า แม้คนเราสามารถวางแผนการอันอาจหาญสำหรับอนาคตของคนเรา และแม้คนเราอาจเก็บงำความเพ้อฝันอันบ้าบิ่นต่างๆ เอาไว้ แต่ไม่มีใครมีความสามารถหรือพลังอำนาจที่จะทำให้ความฝันของพวกเขาเองเป็นจริงขึ้นมา และไม่มีใครอยู่ในฐานะที่จะควบคุมอนาคตของตนเองได้  จะมีระยะห่างอยู่เสมอระหว่างความฝันของคนเรากับความเป็นจริงต่างๆ ที่คนเราต้องเผชิญ สิ่งต่างๆ ไม่เคยเป็นดั่งที่คนเราต้องการให้พวกมันเป็น และเมื่อเผชิญกับความเป็นจริงต่างๆ ดังกล่าว ผู้คนก็ไม่มีวันที่จะสามารถสัมฤทธิ์ความพึงพอใจหรือความสุขสมใจได้เลย  ผู้คนบางคนจะพยายามทุกทางที่จินตนาการได้ จะใช้ความอุตสาหะใหญ่หลวงและการพลีอุทิศที่ยิ่งใหญ่เพื่อประโยชน์ของชีวิตความเป็นอยู่และอนาคตของพวกเขา โดยขวนขวายที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเอง  แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ต่อให้พวกเขาสามารถทำให้ความฝันและความอยากได้อยากมีของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมาด้วยวิถีทางแห่งการทำงานหนักของพวกเขาเอง พวกเขาก็ไม่มีวันสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาได้ และไม่ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างหัวเด็ดตีนขาดเพียงใด พวกเขาก็ไม่มีวันไปได้เกินกว่าสิ่งที่โชคชะตาได้จัดสรรไว้ให้พวกเขา  ไม่ว่าความสามารถ เชาวน์ปัญญา และพลังใจมีความแตกต่างกันอย่างไร ผู้คนทั้งหมดล้วนเสมอภาคกันเมื่ออยู่ต่อหน้าชะตากรรมซึ่งไม่แยกความต่างระหว่างคนยิ่งใหญ่กับคนตัวเล็ก คนสูงส่งกับคนต่ำต้อย คนที่ได้รับการยกย่องกับคนต่ำศักดิ์  อาชีพที่คนเราเสาะหา สิ่งที่คนเราทำเพื่อเลี้ยงชีพ และความอุดมสมบูรณ์ในโภคทรัพย์ที่คนเราสั่งสมได้ในชีวิตไม่ได้ถูกชี้ขาดโดยบิดามารดาของคนเรา พรสวรรค์ของคนเรา ความพยายามของคนเรา หรือความทะเยอทะยานของคนเรา แต่ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วโดยพระผู้สร้าง

2) การไปจากบิดามารดาและการเริ่มต้นอย่างจริงจังตั้งใจที่จะรับบทบาทของคนเราในโรงมหรสพแห่งชีวิต

เมื่อคนเราไปถึงภาวะความเป็นผู้ใหญ่ คนเราสามารถที่จะไปจากบิดามารดาของคนเราและดั้นด้นไปตามลำพัง และ ณ จุดนี้เองที่คนเราเริ่มรับบทบาทของคนเราเองอย่างแท้จริง ที่ทุกอย่างแจ่มชัดกว่าเดิม และภารกิจในชีวิตของคนเราค่อยๆ กลายมาเป็นชัดเจน  โดยนามแล้ว คนเรายังคงผูกพันใกล้ชิดกับบิดามารดาของคนเรา แต่ด้วยภารกิจของคนเราและบทบาทที่คนเราแสดงในชีวิตนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมารดาและบิดาของคนเราเลย โดยแก่นแท้แล้ว ความผูกพันใกล้ชิดนี้สลายลงเมื่อบุคคลค่อยๆ กลายมามีอิสระ  จากมุมมองทางชีววิทยา ผู้คนอดไม่ได้ที่จะยังคงพึ่งพิงบิดามารดาของพวกเขาทางจิตใต้สำนึก แต่หากกล่าวไปตามข้อเท็จจริงแล้ว  ทันทีที่พวกเขาเติบโตเต็มที่ พวกเขาก็มีชีวิตที่แยกจากบิดามารดาของพวกเขาโดยสมบูรณ์ และจะแสดงบทบาทที่พวกเขารับมาอย่างเป็นอิสระ  นอกเหนือจากการเกิดและการเลี้ยงดูเด็กแล้ว ความรับผิดชอบที่บิดามารดามีต่อชีวิตลูกๆ ของพวกเขาก็มีแค่จัดเตรียมสิ่งแวดล้อมที่เป็นทางการให้ลูกๆ ได้เจริญเติบโต เพราะไม่มีสิ่งใดนอกจากการลิขิตล่วงหน้าของพระผู้สร้างที่มีอิทธิพลต่อชะตากรรมของบุคคล  ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ว่าบุคคลหนึ่งจะพึงมีอนาคตชนิดใด มันได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้านานมาแล้ว และแม้แต่บิดามารดาของคนเราก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของคนเราได้  ในเรื่องของชะตากรรมนั้น ทุกคนเป็นอิสระ และทุกคนมีชะตากรรมของตนเอง  ดังนั้นจึงไม่มีบิดามารดาของใครที่สามารถหยุดยั้งชะตากรรมในชีวิตของคนเรา หรือแสดงอิทธิพลแม้เพียงน้อยนิดต่อบทบาทที่คนเราแสดงในชีวิต  อาจกล่าวได้ว่า ครอบครัวที่คนเราถูกลิขิตชะตาให้มาเกิดและสิ่งแวดล้อมที่คนเราเติบโตขึ้นมานั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเงื่อนไขล่วงหน้าที่ต้องมีเพื่อการทำให้ภารกิจในชีวิตของคนเรานั้นลุล่วง  ไม่ว่าโดยวิธีใด เงื่อนไขเหล่านี้ไม่ได้กำหนดชะตากรรมในชีวิตของบุคคล หรือประเภทของชะตาลิขิตที่บุคคลพึงปฏิบัติภารกิจของพวกเขาให้ลุล่วง  และดังนั้น ไม่มีบิดามารดาของใครสามารถช่วยเหลือคนเราให้ทำภารกิจในชีวิตจนสำเร็จลุล่วงได้ และในทำนองเดียวกัน ไม่มีญาติพี่น้องของใครที่สามารถช่วยคนเรารับบทบาทในชีวิตของคนเราได้  วิธีที่คนเราทำภารกิจของตนจนสำเร็จลุล่วงและประเภทของสิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่คนเราแสดงบทบาทของคนเราอยู่ภายในนั้น ล้วนถูกกำหนดโดยชะตากรรมในชีวิตของคนเราทั้งหมดทั้งสิ้น  พูดอีกอย่างว่า ไม่มีสภาพเงื่อนไขบนพื้นฐานของความเป็นจริงอื่นใดสามารถแสดงอิทธิพลต่อภารกิจของบุคคล ซึ่งถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าโดยพระผู้สร้าง  ผู้คนทั้งมวลกลายมาเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวในสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา จากนั้นพวกเขาจึงค่อยๆ เริ่มออกเดินทางไปบนถนนแห่งชีวิตของพวกเขาเองทีละก้าวๆ และทำให้ชะตาลิขิตต่างๆ ที่พระผู้สร้างได้ทรงวางแผนการไว้ให้พวกเขาลุล่วงได้  ตามธรรมชาติแล้วพวกเขาย่อมเข้าสู่ทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งมนุษยชาติอย่างไม่ตั้งใจ และรับตำแหน่งหน้าที่ในชีวิตของตัวเอง ที่ซึ่งพวกเขาเริ่มทำให้ความรับผิดชอบต่างๆ ของพวกเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างนั้นลุล่วงเพื่อประโยชน์แห่งการลิขิตไว้ล่วงหน้าของพระผู้สร้าง เพื่อประโยชน์แห่งอธิปไตยของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 125

ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทั้งหกในชีวิตมนุษย์ (บทตอนที่คัดมา)

หัวเลี้ยวหัวต่อที่สี่: การสมรส

เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้นและเป็นผู้ใหญ่ คนเรายิ่งห่างไกลจากบิดามารดาของตนและสิ่งแวดล้อมที่คนเราเกิดมาและได้รับการเลี้ยงดู และกลับเริ่มแสวงหาทิศทางในชีวิตและไล่ตามเสาะหาเป้าหมายชีวิตของตัวเองในลีลาที่ต่างจากบิดามารดาของคนเราแทน  ในระหว่างเวลานี้  คนเราไม่จำเป็นต้องมีบิดามารดาอีกต่อไป แต่กลับมีคู่หูสักคนที่คนเราสามารถใช้ชีวิตด้วยได้ นั่นก็คือ คู่สมรส บุคคลหนึ่งซึ่งชะตากรรมของคนเราเกี่ยวพันเข้าด้วยกันอย่างใกล้ชิด  ดังนั้นเหตุการณ์ใหญ่ของชีวิตเหตุการณ์แรกหลังความเป็นอิสระก็คือการสมรส หัวเลี้ยวหัวต่อที่สี่ที่คนเราต้องผ่านล่วงไป

1) ทางเลือกของปัจเจกบุคคลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสมรส

การสมรสเป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของบุคคลไม่ว่าบุคคลใด เป็นเวลาที่คนเราเริ่มเข้ารับความรับผิดชอบหลากหลายประเภทอย่างแท้จริง และค่อยๆ ทำภารกิจสารพัดประเภทให้เสร็จสิ้นลง  ผู้คนเก็บงำภาพมายาเกี่ยวกับการสมรสเอาไว้มากมายก่อนที่พวกเขาจะมีประสบการณ์กับมันด้วยตนเอง และภาพมายาทั้งหมดเหล่านี้ก็สวยงามทีเดียว  พวกผู้หญิงจินตนาการว่าอีกครึ่งหนึ่งของพวกเธอจะเป็นเจ้าชายรูปงาม และพวกผู้ชายจินตนาการว่าพวกเขาจะสมรสกับสโนว์ไวท์ ความเพ้อฝันเหล่านี้พิสูจน์ว่าทุกบุคคลมีข้อพึงประสงค์ที่แน่นอนสำหรับการสมรสอยู่ อันเป็นชุดข้อเรียกร้องและมาตรฐานต่างๆ ของตัวพวกเขาเอง  แม้ในยุคที่ชั่วนี้ ผู้คนก็ถูกถล่มด้วยข่าวสารที่บิดเบือนเกี่ยวกับการสมรสอยู่ตลอดเวลา ซึ่งยิ่งสร้างข้อพึงประสงค์เพิ่มเติมและทำให้ผู้คนเกิดปมในใจและท่าทีแปลกๆ ทุกชนิดขึ้น บุคคลใดก็ตามที่ผ่านประสบการณ์กับการสมรสแล้วย่อมรู้ว่า ไม่ว่าคนเราเข้าใจมันเช่นไร ไม่ว่าคนเรามีท่าทีต่อมันอย่างไร การสมรสนั้นหาใช่เป็นเรื่องทางเลือกของปัจเจกบุคคลไม่

คนเราเผชิญกับผู้คนมากมายในชีวิตของคนเรา แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าใครจะมาเป็นคู่สมรสของตน  แม้ว่าทุกคนจะมีแนวความคิดของตัวเองและจุดยืนส่วนบุคคลในหัวข้อของการสมรส แต่ไม่มีผู้ใดสามารถรู้ล่วงหน้าว่า แท้จริงแล้วใครจะกลายมาเป็นอีกครึ่งหนึ่งของพวกเขาในที่สุด และแนวความคิดต่างๆ ของคนเราเองในเรื่องนี้นั้นมีความสำคัญน้อยนิด  หลังจากที่ได้พบกับใครบางคนที่เจ้าชอบ เจ้าสามารถไล่ตามไขว่คว้าบุคคลนั้น แต่ไม่ว่าพวกเขาจะสนใจเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถกลายมาเป็นคู่ของเจ้าได้หรือไม่—นั่นหาใช่เรื่องที่เจ้าจะตัดสินใจไม่  เป้าหมายแห่งความเสน่หาของเจ้านั้นไม่จำเป็นต้องเป็นบุคคลที่เจ้าจะสามารถแบ่งปันชีวิตของเจ้าด้วยได้ และในขณะเดียวกัน ใครบางคนที่เจ้าไม่เคยได้คาดหมายก็อาจเข้ามาในชีวิตของเจ้าอย่างเงียบเชียบ และกลายมาเป็นคู่ครองของเจ้า องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในชะตากรรมของเจ้า อีกครึ่งหนึ่งของเจ้า คนที่ชะตากรรมของเจ้าถูกผูกเข้าไว้อย่างแก้ไม่ออก  และดังนั้น แม้มีการสมรสนับหลายล้านในโลกนี้ ทุกๆ การสมรสก็แตกต่างกัน นั่นคือ การสมรสมากมายนักที่ไม่สมดังปรารถนา มากมายนักที่มีความสุข มากมายนักที่เชื่อมโยงระหว่างโลกตะวันออกกับโลกตะวันตก มากมายนักที่เชื่อมโยงทิศเหนือกับทิศใต้ มากมายนักที่เป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบ มากมายนักที่มาจากสังคมระดับเดียวกัน มากมายนักที่มีความสุขและปรองดอง มากมายยิ่งนักที่เจ็บปวดและโศกเศร้า มากมายนักที่ยั่วให้คนอื่นรู้สึกอิจฉา มากมายนักที่ถูกเข้าใจผิดและไม่เป็นที่ยอมรับ มากมายยิ่งนักที่เต็มไปด้วยความชื่นบาน มากมายนักที่นองไปด้วยน้ำตาและนำมาซึ่งความรู้สึกหมดศรัทธาอาลัย… ในหมื่นแสนชนิดของการสมรสเหล่านี้ มนุษย์เปิดเผยความรักภักดีและการผูกพันมั่นหมายชั่วชีวิตต่อการสมรส พวกเขาเปิดเผยความรัก ความผูกพัน และความมิอาจพรากจากกันได้ หรือความกล้ำกลืนฝืนทนและความไม่เข้าใจกัน  บางคนทรยศชีวิตสมรส หรือถึงขั้นรู้สึกชิงชังมัน  ไม่ว่าการสมรสเองนำมาซึ่งความสุขหรือความปวดร้าว ภารกิจของทุกคนในการสมรสนั้นได้ถูกพระผู้สร้างลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วและจะไม่เปลี่ยนแปลง ภารกิจนี้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ทุกคนต้องทำให้เสร็จสิ้น  ชะตากรรมของบุคคลแต่ละคนซึ่งซ่อนอยู่หลังทุกชีวิตสมรสนั้นไม่เปลี่ยนแปลงด้วยถูกกำหนดไว้ล่วงหน้านานแล้วโดยพระผู้สร้าง

2) การสมรสเกิดจากชะตากรรมของคู่สมรสทั้งสอง

การสมรสเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในชีวิตของบุคคล  เป็นผลงานของชะตากรรมของบุคคลและการเชื่อมโยงที่สำคัญยิ่งยวดในชะตากรรมของคนเรา และไม่ได้ตั้งอยู่บนอำนาจการตัดสินใจด้วยตัวเองและการเลือกชอบของตัวบุคคลนั้น และไม่ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอกใดๆ แต่ถูกกำหนดโดยชะตากรรมของทั้งสองฝ่าย โดยการจัดการเตรียมการและการลิขิตล่วงหน้าของพระผู้สร้างสำหรับชะตากรรมของสมาชิกของคู่ครองทั้งสอง  โดยผิวเผินแล้ว จุดประสงค์ของการสมรสก็คือการสืบสานเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ แต่ในความจริง การสมรสไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากพิธีกรรมที่คนเราก้าวผ่านในกระบวนการทำภารกิจของคนเราให้เสร็จสิ้น  ในการสมรส ผู้คนไม่เพียงแค่แสดงบทบาทของการเลี้ยงดูคนรุ่นต่อไป พวกเขายังนำบทบาทอันหลากหลายทั้งหมดมาใช้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการประคับประคองชีวิตสมรสและภารกิจต่างๆ ที่บทบาทเหล่านั้นกำหนดให้คนเราจำเป็นต้องทำจนเสร็จสิ้น  เนื่องจากการเกิดของคนเรามีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ล้อมรอบมันต้องก้าวผ่าน การสมรสของคนเราจึงย่อมจะส่งผลกระทบต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ เหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย และยิ่งไปกว่านั้น ย่อมจะแปลงสภาพสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดในหนทางหลากหลาย

เมื่อคนเรากลายมามีอิสระ คนเราก็เริ่มการเดินทางในชีวิตของคนเราเอง ซึ่งนำทางคนเราให้ตรงไปหาผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่มีความเชื่อมโยงกับการสมรสของคนเราทีละก้าวๆ  ในเวลาเดียวกัน อีกบุคคลหนึ่งที่กำลังจะมาอยู่ในการสมรสนั้นก็กำลังเข้าหาบรรดาผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งเดียวกันทีละก้าวๆ  ภายใต้อธิปไตยของพระผู้สร้าง ผู้คนสองคนที่ไม่มีความสัมพันธ์กัน พร้อมด้วยชะตากรรมที่สัมพันธ์กัน ค่อยๆ เข้าสู่การสมรสเดียวกัน และกลายมาเป็นครอบครัวหนึ่งอย่างปาฏิหาริย์ “ตั๊กแตนโลคัสตาสองตัวเกาะเกี่ยวเชือกเส้นเดียวกัน”  ดังนั้นเมื่อคนเราเข้าสู่ชีวิตสมรส การเดินทางในชีวิตของคนเราจะมีอิทธิพลและกระทบต่ออีกครึ่งหนึ่งของคนเรา และในทำนองเดียวกัน การเดินทางในชีวิตของคู่ของคนเราจะมีอิทธิพลและกระทบต่อชะตากรรมในชีวิตของตัวคนเราเอง  กล่าวอีกอย่างว่า ชะตากรรมของมนุษย์เชื่อมโยงกันและกัน และไม่มีผู้ใดสามารถทำภารกิจในชีวิตของคนเราให้เสร็จสิ้นหรือแสดงบทบาทของคนเราอย่างเป็นอิสระจากผู้อื่นโดยสมบูรณ์  กำเนิดของคนเราส่งผลต่อห่วงโซ่แห่งสัมพันธภาพขนาดมหึมา การเจริญเติบโตก็เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่แห่งสัมพันธภาพอันซับซ้อนด้วยเช่นกัน และในทำนองคล้ายคลึงกัน การสมรสก็ดำรงอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และถูกดำรงไว้ภายในโครงข่ายอันซับซ้อนและไพศาลของการติดต่อสัมพันธ์ของมนุษย์ โดยเกี่ยวข้องกับสมาชิกทุกคนของโครงข่ายนั้น และส่งอิทธิพลต่อชะตากรรมของทุกคนที่เป็นส่วนหนึ่งของมัน  การสมรสหนึ่งไม่ได้เป็นผลที่เกิดขึ้นจากครอบครัวของทั้งสองฝ่าย รูปการณ์แวดล้อมที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา รูปลักษณ์ของพวกเขา อายุของพวกเขา คุณสมบัติของพวกเขา พรสวรรค์ของพวกเขา หรือปัจจัยอื่นใด แต่กลับกัน มันเกิดขึ้นจากภารกิจร่วมและชะตากรรมอันเกี่ยวพัน  นี่คือจุดกำเนิดของการสมรส ผลงานของชะตากรรมมนุษย์ที่พระผู้สร้างทรงจัดวางเรียบเรียงและทรงจัดการเตรียมการ

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 126

ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทั้งหกในชีวิตมนุษย์ (บทตอนที่คัดมา)

หัวเลี้ยวหัวต่อที่ห้า: ผู้สืบสันดาน

หลังการวิวาห์ คนเราเริ่มฟูมฟักคนรุ่นต่อไป  คนเราไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าคนเราจะมีบุตรกี่คนและมีบุตรประเภทใด สิ่งนี้ได้ถูกกำหนดจากชะตากรรมของบุคคล ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าโดยพระผู้สร้างด้วยเช่นกัน  นี่คือหัวเลี้ยวหัวต่อที่ห้าที่บุคคลหนึ่งต้องผ่านพ้น

หากคนเราเกิดมาเพื่อลุล่วงบทบาทของการเป็นบุตรของใครบางคน เช่นนั้นแล้วคนเราก็เลี้ยงดูคนรุ่นต่อไปเพื่อที่จะลุล่วงบทบาทของการเป็นบิดามารดาของใครบางคน  บทบาทที่ขยับเปลี่ยนไปนี้ทำให้คนเรามีประสบการณ์กับระยะที่ต่างกันของชีวิตจากมุมมองที่ต่างกัน  การขยับเปลี่ยนนี้ยังให้ชุดประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกันแก่คนเรา ส่งผลให้คนเรามารู้จักอธิปไตยแห่งพระผู้สร้างซึ่งแสดงบทบาทไปในทางเดียวกันเสมอ และเป็นสิ่งที่ทำให้คนเราเผชิญกับข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีใครสามารถก้าวล้ำหรือดัดแปลงแก้ไขการลิขิตล่วงหน้าของพระผู้สร้าง

1) คนเราไม่มีอำนาจควบคุมเหนือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเชื้อสายของคนเรา

การเกิด การเจริญเติบโต และการสมรสล้วนนำมาซึ่งความผิดหวังหลากหลายประเภทและในระดับที่แตกต่างกัน  ผู้คนบางคนไม่พึงพอใจกับครอบครัวของพวกเขาหรือรูปลักษณ์ทางกายของตัวพวกเขาเอง บ้างก็ไม่ชอบบิดามารดาของตัวเอง บ้างก็คับแค้นใจ หรือมีเรื่องพร่ำบ่นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาได้เติบโตขึ้นมา  และสำหรับผู้คนส่วนใหญ่แล้ว ท่ามกลางความผิดหวังเหล่านี้ การสมรสคือที่สุดของความไม่สมดังปรารถนา  ไม่ว่าคนเราไม่พึงพอใจกับกำเนิด การเติบโตเต็มวัย หรือการสมรสของคนเราอย่างไร ทุกคนที่ได้ก้าวผ่านสิ่งเหล่านี้มาแล้วย่อมรู้ว่า คนเราไม่สามารถเลือกสถานที่และเวลาเกิดของพวกเขา รูปร่างหน้าตาของพวกเขา ผู้ที่เป็นบิดามารดาของพวกเขา และผู้ที่เป็นคู่สมรสของพวกเขาได้ แต่เพียงต้องยอมรับน้ำพระทัยแห่งฟ้าสวรรค์เท่านั้น กระนั้นเมื่อถึงเวลาที่ผู้คนจะฟูมฟักคนรุ่นต่อไป พวกเขาจะทุ่มความอยากได้อยากมีทั้งหมดที่พวกเขาไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ในครึ่งแรกของชีวิตพวกเขาลงบนผู้ที่เป็นพงศ์พันธุ์ของพวกเขา ด้วยความหวังว่าเชื้อสายของพวกเขาจะชดเชยความผิดหวังต่างๆ ในครึ่งแรกของชีวิตของตัวพวกเขาเอง  ดังนั้นผู้คนจึงปล่อยตัวเองให้ดื่มด่ำอยู่ในความเพ้อฝันทุกประเภทเกี่ยวกับลูกๆ ของตัวเอง ว่าลูกสาวของพวกเขาจะโตขึ้นไปเป็นสาวงามผู้ชวนตะลึง ลูกชายของพวกเขาจะเป็นสุภาพบุรุษผู้โก้หรู ว่าลูกสาวของพวกเขาจะรอบรู้วัฒนธรรมและเปี่ยมพรสวรรค์ และลูกชายของพวกเขาจะเป็นนักเรียนที่ฉลาดหัวดีและเป็นดาวกีฬา ว่าลูกสาวของพวกเขาจะสุภาพอ่อนโยน มีคุณธรรม และมีเหตุผล และลูกชายของพวกเขาจะเฉลียวฉลาด มีความสามารถ และเข้าใจความรู้สึกผู้อื่นได้ดี  พวกเขาหวังว่าเชื้อสายของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นลูกสาวหรือลูกชาย จะเคารพผู้ใหญ่ เข้าใจหัวอกพ่อแม่ เป็นที่รักและยกย่องของทุกคน… ณ จุดนี้ ความหวังของชีวิตผลิบานสดชื่น และความหลงใหลใหม่ๆ ก็ถูกจุดประกายขึ้นในหัวใจของผู้คน  ผู้คนรู้ว่าพวกเขาไร้พลังและหมดสิ้นความหวังในชีวิตนี้ ว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสอีกครั้งหรือความหวังอีกครั้งที่จะโดดเด่นออกมาจากฝูงชน และว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับชะตากรรมของพวกเขา  และดังนั้นพวกเขาจึงยัดเยียดความหวังทั้งหมดของพวกเขา ความอยากได้อยากมีและอุดมคติที่ยังไม่เป็นจริงของพวกเขาให้กับคนรุ่นต่อไป โดยหวังว่าเชื้อสายของพวกเขาจะสามารถช่วยให้พวกเขาสัมฤทธิ์ความฝันของพวกเขาและทำให้ความอยากต่างๆ ของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมา หวังว่าลูกสาวและลูกชายของพวกเขาจะนำเกียรติยศมาสู่วงศ์สกุล กลายมามีความสำคัญ ร่ำรวย และโด่งดัง  กล่าวสั้นๆ ก็คือ พวกเขาต้องการเห็นโชควาสนาของลูกๆ ของพวกเขาทะยานขึ้นสูง  แผนการและความเพ้อฝันของผู้คนนั้นสมบูรณ์แบบ พวกเขาไม่รู้หรือว่าจำนวนบุตรที่พวกเขามี รูปลักษณ์ ความสามารถ และอื่นๆ ของลูกๆ ของพวกเขานั้นหาใช่สิ่งที่พวกเขาเป็นผู้ตัดสินใจไม่ พวกเขาไม่รู้หรือว่าไม่มีส่วนใดในชะตากรรมของลูกๆ ของพวกเขาอยู่ในมือพวกเขา?  มนุษย์ไม่ได้เป็นนายแห่งชะตากรรมของตัวพวกเขาเอง ทว่าพวกเขาก็ยังหวังที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของคนรุ่นเยาว์ พวกเขาไร้พลังอำนาจที่จะหลีกหนีชะตากรรมของตัวเอง ทว่าพวกเขากลับพยายามที่จะควบคุมชะตากรรมของลูกชายและลูกสาว  พวกเขาไม่ได้กำลังประเมินตัวเองสูงเกินไปหรอกหรือ?  นี่มิใช่ความโง่เขลาเบาปัญญาและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์หรอกหรือ?  ผู้คนจะพยายามทุกทางเพื่อประโยชน์ของเชื้อสายของพวกเขา แต่ในท้ายที่สุดแล้ว แผนการและความอยากได้อยากมีของคนเราก็มิอาจชี้ขาดว่าคนเราจะมีบุตรกี่คนและบุตรเหล่านั้นจะมีลักษณะอย่างไร  ผู้คนบางคนไร้เงินทอง แต่กลับมีบุตรมากมาย ผู้คนบางคนที่อุดมด้วยโภคทรัพย์กลับยังไม่มีบุตรสักคน  บ้างก็ต้องการลูกสาวแต่ความปรารถนานั้นก็ถูกปฏิเสธ บ้างต้องการลูกชายแต่กลับล้มเหลวที่จะผลิตบุตรชายออกมา สำหรับบางคน ลูกคือพระพร สำหรับคนอื่นๆ ลูกๆ คือคำสาปแช่ง  คู่ครองบางคู่มีความเฉลียวฉลาด ทว่ากลับให้กำเนิดบุตรที่หัวช้า พ่อแม่บางคนขยันขันแข็งและซื่อสัตย์ ทว่าลูกๆ ที่พวกเขาฟูมฟักกลับขี้เกียจสันหลังยาว  พ่อแม่บางคนจิตใจดีและซื่อตรง แต่มีบุตรที่กลับกลายเป็นปลิ้นปล้อนและจิตใจโหดร้าย  พ่อแม่บางคนสมบูรณ์พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ให้กำเนิดบุตรที่ไม่สมประกอบ  พ่อแม่บางคนเป็นคนธรรมดาและไม่ประสบความสำเร็จ ทว่ากลับมีบุตรที่สัมฤทธิ์การใหญ่  พ่อแม่บางคนมีสถานภาพต่ำต้อย ทว่ากลับมีบุตรที่ผงาดสู่ความมีชื่อเสียงเด่นดัง…

2) หลังการฟูมฟักคนรุ่นต่อไป ผู้คนได้รับความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับชะตากรรม

ผู้คนส่วนใหญ่ที่เข้าสู่ชีวิตแต่งงานทำเช่นนั้นในช่วงอายุราวสามสิบปี อันเป็นเวลาในชีวิตที่คนเรายังไม่มีความเข้าใจอันใดเกี่ยวกับชะตากรรมของมนุษย์  แต่เมื่อผู้คนเริ่มฟูมฟักลูกๆ และเมื่อเชื้อสายของพวกเขาเติบโต พวกเขาก็เฝ้ามองคนรุ่นใหม่มีชีวิตและประสบการณ์ทั้งหมดซ้ำรอยคนรุ่นก่อนหน้า และเมื่อมองเห็นอดีตของตัวพวกเขาเองสะท้อนอยู่ในลูกๆ พวกเขาจึงตระหนักว่าเส้นทางเดินของคนรุ่นเยาว์ก็เหมือนกับของพวกเขาเอง คือไม่สามารถถูกวางแผนหรือเลือกได้  ครั้นเผชิญกับข้อเท็จจริงนี้ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับแต่โดยดีว่า ชะตากรรมของบุคคลทุกคนนั้นได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว และโดยไม่ได้ตระหนักถึงมันเสียทีเดียวนัก ผู้คนก็ค่อยๆ วางความอยากได้อยากมีของตนลง และความหลงใหลในหัวใจของพวกเขาก็ทะลักทลายและวายวางลง… ด้วยความที่ได้ผ่านป้ายบอกทางสำคัญๆ ในชีวิตตามที่จำเป็นมาแล้ว ผู้คนในช่วงเวลานี้จึงได้สัมฤทธิ์ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับชีวิต และนำท่าทีใหม่มาใช้  บุคคลหนึ่งในวัยนี้สามารถคาดหวังจากอนาคตได้เท่าใดกัน และความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้อันใดหนอที่พวกเขาต้องตั้งตารอ?  หญิงวัยห้าสิบปีแบบไหนกันที่ยังคงฝันถึงเจ้าชายรูปงาม?  ชายวัยห้าสิบปีแบบไหนกันที่ยังคงมองหาสโนว์ไวท์?  หญิงวัยกลางคนแบบไหนกันที่ยังคงหวังจะพลิกจากลูกเป็ดขี้เหร่มาเป็นหงส์?  ชายชราส่วนใหญ่มีพลังขับดันในอาชีพการงานแบบเดียวกับชายหนุ่มหรือ?  โดยสรุปแล้ว ไม่ว่าคนเราเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ผู้ใดก็ตามที่มีชีวิตมาถึงวัยนี้ย่อมมีแนวโน้มที่จะมีท่าทีซึ่งมีเหตุมีผลและใช้การได้เกี่ยวกับการสมรส ครอบครัว และลูกๆ  โดยหลักแล้วบุคคลดังกล่าวไม่มีทางเลือกเหลืออยู่  ไม่มีแรงกระตุ้นที่จะท้าทายชะตากรรม  ส่วนในด้านประสบการณ์ของมนุษย์นั้น ทันทีที่คนเรามาถึงวัยนี้ คนเราย่อมเกิดท่าทีบางอย่างขึ้นมาเองว่า “คนเราต้องยอมรับชะตากรรม ลูกๆ ของคนเรามีโชควาสนาของพวกเขาเอง ชะตากรรมของมนุษย์นั้นถูกฟ้าสวรรค์ลิขิตไว้”  ผู้คนส่วนใหญ่ที่ไม่เข้าใจความจริง หลังจากได้ฝ่าทุกความผันผวน ความคับข้องขุ่นมัว และความยากลำบากของพิภพนี้มาแล้ว ก็จะสรุปความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ด้วยคำว่า “นี่เป็นชะตากรรม!”  แม้ว่าวลีนี้แสดงความตระหนักในชะตากรรมมนุษย์ของผู้คนทางโลกและบทสรุปที่พวกเขาได้มาถึงแล้วได้อย่างรัดกุม และแม้ว่ามันแสดงให้เห็นความอับจนหนทางของมนุษยชาติและอาจพรรณนาได้คมชัดและแม่นยำ แต่ก็ยังห่างไกลจากความเข้าใจในอธิปไตยของพระผู้สร้างอย่างมาก และไม่อาจแทนที่ความรู้เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างได้เลย

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 127

ความเชื่อในชะตากรรมไม่สามารถแทนที่ความรู้เกี่ยวกับอธิปไตยแห่งพระผู้สร้าง

หลังจากที่ได้ติดตามพระเจ้ามาหลายปีขนาดนี้ มีความแตกต่างอย่างมีสาระสำคัญระหว่างความรู้ของพวกเจ้าเกี่ยวกับชะตากรรม กับความรู้เกี่ยวกับผู้คนทางโลกหรือไม่?  เจ้าเข้าใจอย่างแท้จริงแล้วหรือเกี่ยวกับการลิขิตไว้ล่วงหน้าของพระผู้สร้าง และมารู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้างอย่างแท้จริงแล้วหรือ?  ผู้คนบางคนมีความเข้าใจที่ลุ่มลึกและรับรู้ได้ลึกซึ้งถึงวลีที่ว่า “นั่นเป็นชะตากรรม”  กระนั้นพวกเขาก็ไม่เชื่อในอธิปไตยของพระผู้สร้างแม้แต่น้อย พวกเขาไม่เชื่อว่าชะตากรรมของมนุษย์ได้ถูกจัดการเตรียมการและจัดวางเรียบเรียงโดยพระเจ้า และไม่เต็มใจจะนบนอบต่ออธิปไตยของพระเจ้า  ผู้คนเช่นนั้นช่างเสมือนลอยคออยู่กลางมหาสมุทร ถูกคลื่นซัดสาดโยนไปมา ละล่องคว้างไปตามกระแสน้ำ ไม่มีทางเลือก ได้แต่รอเฉยๆ และกล้ำกลืนยอมรับชะตากรรมของตน  กระนั้นพวกเขาก็หาได้ระลึกรู้ไม่ว่า ชะตากรรมของมนุษย์นั้นอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า พวกเขาไม่สามารถริเริ่มที่จะมารู้จักอธิปไตยของพระเจ้าด้วยตนเอง และด้วยการนั้น สัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้า นบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า หยุดฝืนต้านชะตากรรม และใช้ชีวิตภายใต้การดูแลเอาใจใส่ การปกป้อง และการทรงนำของพระเจ้า  กล่าวได้อีกอย่างว่า การยอมรับชะตากรรมไม่ใช่สิ่งเดียวกับการนบนอบต่ออธิปไตยของพระผู้สร้าง การเชื่อในชะตากรรมหาได้หมายความว่าคนเรายอมรับ ระลึกรู้ และรู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้าง การเชื่อในชะตากรรมเป็นแค่การระลึกรู้ความจริงของชะตากรรมและการสำแดงอันผิวเผินของมัน  นี่แตกต่างจากการรู้ว่าพระผู้สร้างทรงปกครองชะตากรรมของมนุษยชาติอย่างไร จากการระลึกรู้ว่าพระผู้สร้างคือแหล่งกำเนิดแห่งอำนาจครอบครองเหนือชะตากรรมของทุกสรรพสิ่ง และแน่นอนว่ายังห่างไกลอย่างมากจากการนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการสำหรับชะตากรรมของมนุษยชาติของพระผู้สร้าง  หากบุคคลหนึ่งเพียงเชื่อในชะตากรรมเท่านั้น—ต่อให้พวกเขารู้สึกเกี่ยวกับมันอย่างลึกซึ้ง—แต่ด้วยการนั้นกลับไม่สามารถรู้จักและระลึกรู้ในอธิปไตยของพระผู้สร้างเหนือชะตากรรมของมนุษยชาติได้ ไม่สามารถยอมรับและนบนอบต่อสิทธิอำนาจนั้น เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ชีวิตของพวกเขาก็จะเป็นโศกนาฏกรรมหนึ่ง เป็นชีวิตหนึ่งซึ่งอยู่ไปโดยสูญเปล่า เป็นความว่างเปล่า พวกเขาจะยังคงไม่สามารถมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง ไม่สามารถกลายเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างในความหมายที่จริงแท้ที่สุดของคำคำนี้ และไม่สามารถชื่นชมการเห็นชอบของพระผู้สร้างได้  บุคคลหนึ่งซึ่งรู้จักและมีประสบการณ์กับอธิปไตยของพระผู้สร้างอย่างแท้จริงควรอยู่ในสภาวะกระตือรือร้นที่เป็นฝ่ายรุก ไม่ใช่ในสภาวะนิ่งเฉยรอเป็นฝ่ายรับหรือรู้สึกอับจนหนทาง  ในขณะที่บุคคลดังกล่าวอาจจะยอมรับว่าทุกสรรพสิ่งถูกกำหนดชะตากรรม พวกเขาก็ควรมีคำนิยามที่ถูกต้องแม่นยำของคำว่าชีวิตและชะตากรรม นั่นก็คือ ทุกชีวิตอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระผู้สร้าง  เมื่อคนเรามองย้อนกลับไปยังถนนที่คนเราได้เดินมา เมื่อคนเราย้อนรำลึกถึงทุกระยะของการเดินทางของคนเรา คนเราย่อมมองเห็นว่า ในทุกย่างก้าว ไม่ว่าการเดินทางนั้นจะทุลักทุเลหรือราบรื่น พระเจ้าก็กำลังทรงนำทางของคนเรา กำลังทรงวางแผนเส้นทางนั้น  การจัดการเตรียมการอันพิถีพิถันของพระเจ้า การวางแผนอันระมัดระวังของพระองค์นี่เองที่นำทางคนเรามาถึงทุกวันนี้โดยไม่รู้ตัว  การสามารถยอมรับอธิปไตยของพระผู้สร้าง การสามารถรับความรอดของพระองค์—ช่างเป็นโชควาสนาอันยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้!  หากบุคคลมีท่าทีที่เป็นลบต่อชะตากรรม นั่นก็พิสูจน์ว่า พวกเขากำลังฝืนต้านทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้ให้พวกเขา ว่าพวกเขาไม่มีท่าทีนบนอบ  หากคนเรามีท่าทีที่เป็นบวกต่ออธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์ของพระเจ้าแล้วไซร้ เมื่อคนเราย้อนมองการเดินทางของคนเรา เมื่อถึงคราวที่มนุษย์เริ่มที่จะเข้าใจอธิปไตยของพระเจ้า คนเราจะมีความต้องการอย่างจริงจังตั้งใจมากขึ้นที่จะนบนอบต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้ จะมีความตั้งใจแน่วแน่และมีความมั่นใจที่จะยอมให้พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงชะตากรรมของคนเราและหยุดทำการกบฏต่อต้านพระเจ้า ด้วยความที่คนเรามองเห็นว่า เมื่อคนเราไม่จับใจความเกี่ยวกับชะตากรรม เมื่อคนเราไม่เข้าใจอธิปไตยของพระเจ้า เมื่อคนเราคลำทางไปข้างหน้าอย่างดื้อรั้น พยุงสังขารเดินโซเซฝ่าม่านหมอก การเดินทางนั้นย่อมยากเกินไป รวดร้าวหัวใจเกินไป  ดังนั้นเมื่อคนเราระลึกรู้อธิปไตยของพระเจ้าเหนือชะตากรรมมนุษย์ คนที่ฉลาดย่อมเลือกที่จะรู้จักและยอมรับมัน อำลาวันเวลาอันปวดร้าวเมื่อตอนที่พวกเขาได้พยายามจะสร้างชีวิตที่ดีด้วยสองมือของพวกเขาเอง และหยุดดิ้นรนต่อต้านชะตากรรมและไล่ตามเสาะหาสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “เป้าหมายชีวิต” ในหนทางของพวกเขาเอง  เมื่อคนเราไม่มีพระเจ้า เมื่อคนเรามองไม่เห็นพระองค์ เมื่อคนเราไม่สามารถระลึกรู้อย่างชัดเจนถึงอธิปไตยของพระเจ้า ทุกวันก็ย่อมไร้ความหมาย ไร้คุณค่า น่าเวทนา  ไม่ว่าคนเราจะอยู่แห่งหนใด งานการของคนเราจะเป็นอะไร วิธีการดำเนินชีวิตของคนเราและการไล่ตามเสาะหาเป้าหมายของคนเราไม่ได้นำอะไรมาให้คนเราเลยนอกจากหัวใจที่สลายอย่างไม่รู้จบและความทุกข์ทนที่ไม่มีการบรรเทา จนกระทั่งคนเราไม่สามารถทนมองย้อนกลับไปในอดีตของคนเราได้  มีเพียงเมื่อคนเรายอมรับอธิปไตยของพระผู้สร้าง นบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ และแสวงหาชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงเท่านั้นที่คนเราจะค่อยๆ เริ่มหลุดพ้นจากความทุกข์ทนและความเจ็บปวดหัวใจทั้งหมด และกำจัดความว่างเปล่าทั้งปวงในชีวิตให้หมดสิ้นไป

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 128

มีเพียงผู้ซึ่งนบนอบต่ออธิปไตยของพระผู้สร้างเท่านั้นที่สามารถบรรลุอิสรภาพที่แท้จริง

เนื่องเพราะผู้คนไม่ระลึกรู้การจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและอธิปไตยของพระเจ้า พวกเขาจึงเผชิญหน้ากับชะตากรรมอย่างเยาะเย้ยท้าทายและด้วยท่าทีที่เป็นกบฏเสมอ และพวกเขาต้องการที่จะปลดเปลื้องสิทธิอำนาจและอธิปไตยของพระเจ้าและสิ่งต่างๆ ที่ชะตากรรมเตรียมไว้ให้ทิ้งไป โดยหวังลมๆ แล้งๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงรูปการณ์แวดล้อม ณ ปัจจุบันและแก้ไขดัดแปลงชะตากรรมของพวกเขา  แต่พวกเขาไม่มีวันสามารถทำสำเร็จ และถูกขัดขวางในทุกการขยับตัว  การดิ้นรนที่ก่อตัวลึกอยู่ในวิญญาณของคนเรานี้นำมาซึ่งความเจ็บปวดล้ำลึกชนิดที่กัดเซาะเข้าไปถึงกระดูกของคนเราในขณะที่คนเราใช้ชีวิตของตนอย่างทิ้งขว้างไปพลางๆ  อะไรหรือคือสาเหตุของความเจ็บปวดนี้?  มันเป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้า หรือเพราะบุคคลหนึ่งเกิดมาโชคร้าย?  เห็นได้ชัดว่าไม่ถูกทั้งสองอย่าง โดยพื้นฐานแล้ว มันเกิดจากเส้นทางที่ผู้คนเลือกเดิน วิธีที่พวกเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตของพวกเขา  ผู้คนบางคนอาจไม่ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้  แต่เมื่อเจ้ารู้อย่างแท้จริง เมื่อเจ้ามาระลึกรู้อย่างแท้จริงว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์ เมื่อเจ้าเข้าใจอย่างแท้จริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงวางแผนการไว้เพื่อเจ้าและได้ตัดสินพระทัยเพื่อเจ้านั้นคือผลประโยชน์และการคุ้มครองป้องกันอันยิ่งใหญ่ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมรู้สึกว่าความเจ็บปวดของเจ้าเริ่มเบาบางลง และความเป็นอยู่ทั้งปวงของเจ้ากลายมาเป็นผ่อนคลาย อิสระ และเสรี  เมื่อตัดสินจากสภาวะของผู้คนส่วนใหญ่ กล่าวตามความจริงแล้ว พวกเขาไม่สามารถทำใจยอมรับได้อย่างแท้จริงถึงคุณค่าและความหมายในทางปฏิบัติของอธิปไตยของพระผู้สร้างเหนือชะตากรรมมนุษย์ แม้ว่าในระดับความรู้สึกส่วนตัวแล้ว พวกเขาไม่ต้องการดำเนินชีวิตอย่างที่พวกเขาเคยทำมาก่อนอีกต่อไป และต้องการหลุดพ้นจากความเจ็บปวดของพวกเขา แต่ในแง่ความเป็นจริง พวกเขากลับไม่สามารถระลึกรู้และนบนอบต่ออธิปไตยของพระผู้สร้างได้อย่างแท้จริง และยิ่งไม่รู้วิธีแสวงหาและยอมรับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง  ดังนั้น หากผู้คนไม่สามารถระลึกรู้อย่างแท้จริงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระผู้สร้างทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์และเหนือเรื่องราวทั้งหมดของมนุษย์ หากพวกเขาไม่สามารถนบนอบต่ออำนาจครอบครองของพระผู้สร้างได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะเป็นการยากที่พวกเขาจะไม่ถูกล่ามและถูกขับเคลื่อนโดยแนวความคิดที่ว่า “ชะตากรรมของคนเรานั้นอยู่ในมือของคนเราเอง” มันย่อมจะยากที่พวกเขาจะสลัดหลุดจากความเจ็บปวดในการคร่ำเคร่งดิ้นรนต่อต้านชะตากรรมและสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง และคงไม่จำเป็นต้องพูดว่า มันก็จะเป็นการลำบากสำหรับพวกเขาเช่นกันที่จะกลายมามีเสรีภาพและเป็นอิสระอย่างแท้จริง กลายมาเป็นผู้คนที่นมัสการพระเจ้า  แต่มีหนทางที่จะทำให้คนเราเป็นอิสระจากสภาวะนี้อยู่หนทางหนึ่งซึ่งเรียบง่ายยิ่งนัก นั่นก็คือการอำลาวิถีชีวิตแต่เก่าก่อนของคนเรา การกล่าวคำอำลาเป้าหมายชีวิตก่อนหน้านี้ของคนเรา การสรุปและวิเคราะห์ลีลาชีวิต มุมมองของชีวิต การไล่ตามไขว่คว้า ความอยากได้อยากมี และอุดมคติต่างๆ ก่อนหน้านี้ของคนเรา และจากนั้นก็คือการเปรียบเทียบสิ่งเหล่านั้นกับน้ำพระทัยและข้อเรียกร้องที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ และดูว่ามีสิ่งใดบ้างที่สอดคล้องเข้ากันได้กับน้ำพระทัยและข้อเรียกร้องของพระเจ้า ดูว่ามีสิ่งใดบ้างที่มอบคุณค่าที่ถูกต้องของชีวิต นำทางคนเราไปสู่ความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับความจริง และอำนวยให้คนเรามีชีวิตอยู่กับสภาวะความเป็นมนุษย์และสภาพเสมือนมนุษย์คนหนึ่ง  เมื่อเจ้ายังคงเจาะลึกลงไปซ้ำๆ และชำแหละเป้าหมายอันหลากหลายที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาในชีวิตและหนทางการดำเนินชีวิตนับหมื่นแสนของพวกเขาอย่างระมัดระวัง เจ้าจะไม่พบสักอย่างเดียวที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระผู้สร้างซึ่งพระองค์ใช้ในการสร้างมนุษยชาติขึ้นมา  สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดดึงผู้คนให้ห่างออกจากอธิปไตยและการดูแลเอาใจใส่ของพระผู้สร้าง สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดคือกับดักที่เป็นเหตุให้ผู้คนกลายเป็นต่ำช้าและนำทางพวกเขาไปสู่นรก  หลังจากที่เจ้าระลึกรู้การนี้ กิจของเจ้าก็คือการวางมุมมองเก่าของชีวิตลง อยู่ให้ห่างจากกับดักนานา ยอมให้พระเจ้าเข้ากำกับชีวิตของเจ้าและทำการจัดการเตรียมการสำหรับเจ้า มันคือการพยายามเพียงเพื่อที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการทรงนำของพระเจ้า เพื่อที่จะมีชีวิตโดยปราศจากการเลือกของปัจเจกบุคคล และเพื่อที่จะกลายเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งนมัสการพระเจ้า  การนี้ฟังดูง่าย แต่ยากที่จะทำ  ผู้คนบางคนสามารถทนความเจ็บปวดของมันได้ ส่วนคนอื่นๆ นั้นไม่สามารถทนได้ บ้างก็เต็มใจที่จะปฏิบัติตาม ส่วนคนอื่นๆ นั้นไม่เต็มใจ  พวกที่ไม่เต็มใจขาดความพึงปรารถนาและปณิธานที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาตระหนักรู้ในอธิปไตยของพระเจ้าอย่างชัดเจน รู้ดีอย่างครบถ้วนว่าพระเจ้านี่เองที่ทรงวางแผนการและจัดการเตรียมชะตากรรมมนุษย์ แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงเตะถีบดิ้นรน และยังคงไม่ยอมประนีประนอมที่จะวางชะตากรรมของพวกเขาไว้ในฝ่าพระหัตถ์ของพระเจ้าและนบนอบต่ออธิปไตยของพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาคับแค้นใจในการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ดังนั้นจึงมีผู้คนบางคนที่ต้องการดูด้วยตัวเองเสมอว่า พวกเขามีความสามารถอะไร พวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมด้วยสองมือของพวกเขาเอง หรือสัมฤทธิ์ความสุขด้วยพลังอำนาจของพวกเขาเอง ต้องการมองเห็นว่าพวกเขาสามารถก้าวล้ำขอบเขตสิทธิอำนาจของพระเจ้า และผงาดเหนืออธิปไตยของพระเจ้าได้หรือไม่  โศกนาฏกรรมของมนุษย์ไม่ได้อยู่ตรงที่เขาแสวงหาชีวิตที่มีความสุข ไม่ได้อยู่ตรงที่เขาไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและโชควาสนา หรือดิ้นรนต่อต้านชะตากรรมของตัวเขาเองผ่านม่านหมอก แต่อยู่ตรงที่หลังจากที่เขาได้เห็นแล้วว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง หลังจากที่เขาได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์แล้ว เขาก็ยังคงไม่สามารถปรับปรุงพฤติกรรมของตนเองให้ดีขึ้น ไม่สามารถชักเท้าขึ้นจากปลักตม แต่ยังคงใจแข็งและดึงดันในความผิดพลาดของเขา  เขาเลือกที่จะดิ้นพราดอยู่ในโคลนต่อไป แข่งขันชิงดีกับอธิปไตยของพระผู้สร้างอย่างหัวชนฝา ฝืนต้านไปจนกว่าจะจบสิ้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ทั้งหมดนั้นไม่มีความรู้สึกเสียใจในสิ่งที่กระทำไปแม้เพียงเสี้ยวกระผีก  มีเพียงเมื่อเขานอนหมดสิ้นสภาพและโลหิตไหลรินเท่านั้น ที่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจยอมแพ้และหันหลังกลับ นี่คือความโศกเศร้าอันแท้จริงของมนุษย์ ดังนั้น เราพูดเลยว่า บรรดาผู้ที่เลือกนบนอบนั้นมีสติปัญญา และพวกที่เลือกดิ้นรนและหลบหนีช่างโง่เขลาปัญญาเอาเสียจริง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 129

ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทั้งหกในชีวิตมนุษย์ (บทตอนที่คัดมา)

หัวเลี้ยวหัวต่อที่หก: ความตาย

หลังจากความวุ่นวายมากมายเหลือเกิน ความคับข้องขุ่นมัวและความผิดหวังหลายครั้งครา หลังจากความชื่นบานและความเศร้าโศก และการขึ้นๆ ลงๆ มากมายยิ่งนัก หลังจากหลายต่อหลายปีที่ไม่สามารถลืมเลือน หลังจากได้จับตามองฤดูกาลผันเปลี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า คนเราก็ได้ผ่านเครื่องหมายบอกทางสำคัญต่างๆ ของชีวิตโดยปราศจากการสังเกต และในชั่วพริบตา คนเราก็พบว่าตัวเองเข้าสู่วัยสนธยาของคนเราเสียแล้ว มีรอยประทับเครื่องหมายแสดงเวลาทั้งหลายทั่วร่างของคนเรา กล่าวคือ คนเราไม่สามารถยืนหลังตรงได้อีกต่อไป เส้นผมของคนเราเปลี่ยนจากสีเข้มเป็นสีขาว ในขณะที่ดวงตาซึ่งครั้งหนึ่งเคยสดใสและแจ่มชัดเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวและพร่าเลือน ผิวที่เคยเรียบเนียนและนุ่มนวลกลับกลายเป็นยับย่นและมีจุดด่างดำ  การได้ยินของคนเราอ่อนแอลง ฟันของคนเราโยกคลอนและร่วงหล่น ปฏิกิริยาตอบสนองของคนเรากลายเป็นเฉื่อยชา การเคลื่อนไหวของคนเราเชื่องช้า… ณ จุดนี้ คนเราได้แสดงการอำลาครั้งสุดท้ายต่อหลายปีแห่งความรุ่มร้อนของวัยเยาว์ของคนเรา และเข้าสู่สนธยาแห่งชีวิตคนเรา นั่นคือ วัยชรา  อันดับต่อไป คนเราจะเผชิญหน้ากับความตาย หัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายในชีวิตมนุษย์

1) มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงกุมพลังอำนาจแห่งชีวิตและความตายไว้เหนือมนุษย์

หากการเกิดของคนเราถูกลิขิตชะตาโดยชีวิตก่อนหน้าของคนเรา เช่นนั้นแล้วความตายก็เป็นเครื่องหมายแสดงบทอวสานของชะตาลิขิตนั้น  หากการเกิดของคนเราคือตอนเริ่มต้นภารกิจของคนเราในชีวิตนี้ เช่นนั้นแล้ว ความตายของคนเราก็เป็นเครื่องหมายแสดงบทอวสานของภารกิจของคนเรา  เนื่องจากพระผู้สร้างได้ทรงกำหนดชุดของรูปการณ์แวดล้อมที่ตายตัวสำหรับกำเนิดของบุคคลหนึ่งเอาไว้แล้ว มันจึงไม่จำเป็นต้องพูดว่า พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมชุดรูปการณ์แวดล้อมที่ตายตัวสำหรับความตายของคนเราไว้แล้วเช่นกัน  พูดได้อีกอย่างว่า ไม่มีใครเลยที่เกิดมาโดยบังเอิญ ไม่มีความตายของใครเลยที่มาถึงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย และทั้งการเกิดและความตายนั้นจำเป็นต้องเชื่อมโยงสัมพันธ์กับชีวิตในปัจจุบันและชีวิตก่อนหน้าของคนเรา  ทั้งรูปการณ์แวดล้อมของการเกิดและความตายของคนเราได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วโดยพระผู้สร้าง นี่คือชะตาลิขิตของบุคคล ชะตากรรมของบุคคล  เนื่องจากมีคำอธิบายมากมายสำหรับกำเนิดของบุคคลหนึ่ง จึงเป็นความจริงเช่นกันที่ความตายของบุคคลจะเกิดขึ้นเป็นธรรมดาภายใต้ชุดรูปการณ์แวดล้อมพิเศษอันหลากหลายของมันเอง  นี่คือเหตุผลสำหรับอายุขัยที่แปรปรวนของผู้คนและลักษณะกับเวลาแห่งความตายของพวกเขาที่แตกต่างกันไป  ผู้คนบางคนแข็งแรงและมีสุขภาพดี ทว่าตายลงตั้งแต่อายุยังน้อย คนอื่นๆ อ่อนแอและเจ็บออดๆ แอดๆ ทว่ามีชีวิตอยู่จนถึงวัยชราและจากไปอย่างสงบ  บ้างก็พินาศลงด้วยสาเหตุที่ไม่เป็นธรรมชาติ ส่วนคนอื่นๆ ตายอย่างเป็นธรรมชาติ  บ้างก็จบชีวิตของพวกเขาไกลบ้าน ส่วนคนอื่นๆ ปิดเปลือกตาลงเป็นครั้งสุดท้ายโดยมีผู้เป็นที่รักอยู่เคียงข้าง ผู้คนบางคนตายกลางอากาศ คนอื่นๆ ตายใต้พื้นโลก  บ้างก็จมลงใต้น้ำ คนอื่นๆ สูญหายไปในความวิบัติ  บ้างก็ตายในเวลาเช้า คนอื่นๆ ตายตอนกลางคืน… ทุกคนต้องการกำเนิดที่เด่นดัง ชีวิตที่เจิดจรัส และความตายที่มีเกียรติ แต่ไม่มีใครสามารถไปไกลเกินกว่าชะตาลิขิตของพวกเขาเองได้ ไม่มีใครสามารถหลีกพ้นอธิปไตยของพระผู้สร้างได้  นี่เป็นชะตากรรมของมนุษย์  มนุษย์สามารถวางแผนสำหรับอนาคตของพวกเขาได้ทุกประเภท แต่ไม่มีใครสามารถวางแผนลักษณะและเวลาเกิดของพวกเขาและลักษณะกับเวลาของการลาจากโลกนี้ของพวกเขา  แม้ว่าผู้คนทำดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงและต้านทานการมาของความตาย ความตายก็ยังคงคืบคลานเข้ามาใกล้อย่างเงียบกริบโดยที่พวกเขาไม่รู้เลยอยู่ดี  ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะพินาศลงเมื่อใดหรือเช่นไร  ยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ว่าเมื่อใดมันจะเกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่มนุษยชาติที่กุมพลังอำนาจของชีวิตและความตายเอาไว้ ไม่ใช่ชีวิตบางอย่างในโลกธรรมชาติ แต่เป็นพระผู้สร้างผู้ทรงสิทธิอำนาจอันเป็นเอกลักษณ์  ชีวิตและความตายของมวลมนุษย์ไม่ใช่ผลลัพธ์ของกฎบางอย่างแห่งโลกธรรมชาติ แต่เป็นผลสืบเนื่องของอธิปไตยแห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง

2) ผู้ซึ่งไม่รู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้างจะถูกหลอนโดยความหวาดกลัวต่อความตาย

เมื่อคนเราเข้าสู่วัยชรา ความท้าทายที่คนเราเผชิญหน้าไม่ใช่การจัดเตรียมเพื่อครอบครัวหรือการมีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของคนเรา แต่เป็นวิธีที่จะบอกลาชีวิตของคนเรา วิธีที่จะพบจุดจบของชีวิตคนเรา วิธีที่จะใส่เครื่องหมายจุดจบประโยคตรงท้ายประโยคแห่งชีวิตคนเรา  แม้โดยผิวเผินแล้ว ดูเหมือนว่าผู้คนให้ความใส่ใจเพียงน้อยนิดต่อความตาย แต่ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงการสำรวจตรวจค้นหัวข้อนี้ได้ เพราะไม่มีใครเลยที่รู้ว่ามีอีกพิภพหนึ่งนอนรออยู่อีกฟากของความตายหรือไม่ พิภพที่มนุษย์มิอาจล่วงรู้หรือรู้สึกได้ พิภพที่พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย  นี่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวที่จะเผชิญกับความตายที่มาประจันหน้า หวาดกลัวที่จะเผชิญกับมันตามที่พวกเขาควรเผชิญ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับทำทุกอย่างที่จะหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้  และดังนั้นมันจึงเติมความหวาดหวั่นเกี่ยวกับความตายให้กับบุคคลทุกคน และเพิ่มม่านแห่งความล้ำลึกให้กับข้อเท็จจริงซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้นี้ คลี่คลุมเงาถาวรลงบนหัวใจของทุกบุคคล

เมื่อคนเรารู้สึกถึงความเสื่อมของร่างกายคนเรา เมื่อคนเราสำนึกรับรู้ว่าตนกำลังเคลื่อนเข้าใกล้ความตาย คนเราก็รู้สึกถึงความหวาดหวั่นอันคลุมเครืออย่างหนึ่ง ความเกรงกลัวอย่างหนึ่งซึ่งไม่สามารถบรรยายได้ ความเกรงกลัวต่อความตายทำให้คนเรารู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นกว่าเดิมและรู้สึกอับจนหนทางมากขึ้นเรื่อยๆ และที่จุดนี้เอง คนเราจึงถามตัวเองว่ามนุษย์มาจากไหน?  มนุษย์กำลังจะไปที่ใด?  มนุษย์ตายไปพร้อมกับที่ชีวิตของเขาวิ่งผ่านเขาไปอย่างเร่งรีบแบบนี้หรือ?  นี่คือจุดท้ายประโยคที่ทำเครื่องหมายแสดงจุดจบของชีวิตมนุษย์อย่างนั้นหรือ?  ในท้ายที่สุดแล้ว อะไรคือความหมายของชีวิต?  จะว่าไปแล้ว ชีวิตมีค่าอะไรหรือ?  มันเกี่ยวกับความมีชื่อเสียงและโชควาสนาใช่หรือไม่?  มันเกี่ยวกับการฟูมฟักเลี้ยงดูครอบครัวหนึ่งใช่หรือไม่?… ไม่ว่าคนเราจะครุ่นคิดตลอดมาเกี่ยวกับคำถามเฉพาะเหล่านี้อย่างไร ไม่ว่าคนเราจะเกรงกลัวความตายอย่างลึกล้ำเพียงใด ในส่วนลึกของหัวใจของบุคคลทุกคนมีความพึงปรารถนาที่จะหยั่งคะเนความล้ำลึกต่างๆ อันเป็นความรู้สึกหนึ่งของความไม่เข้าใจชีวิต และที่ปะปนมากับสิ่งเหล่านี้ก็คือความรู้สึกซาบซึ้งตรึงใจเกี่ยวกับโลก ความรู้สึกอิดออดที่จะจากไป  บางทีอาจไม่มีใครเลยที่สามารถเสกสรรพรรณนาได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่มนุษย์เกรงกลัวนั้นคืออะไรกันแน่ สิ่งที่มนุษย์แสวงหาคือสิ่งใด สิ่งที่เขารู้สึกอ่อนไหวด้วยนั้นคืออะไร และอะไรที่เขารู้สึกอิดออดไม่อยากทิ้งไว้ข้างหลัง…

ด้วยความที่พวกเขาเกรงกลัวความตาย ผู้คนจึงมีความกังวลมากมายเหลือเกิน ด้วยความที่พวกเขาเกรงกลัวความตาย ผู้คนจึงมีสิ่งต่างๆ มากมายที่พวกเขาไม่อาจปล่อยวางได้  ครั้นถึงเวลาที่พวกเขากำลังจะตาย บางผู้คนก็หงุดหงิดกระสับกระส่ายเกี่ยวกับเรื่องนี้เรื่องนั้น พวกเขากังวลเกี่ยวกับลูกๆ ของพวกเขา คนที่พวกเขารัก ความอุดมในโภคทรัพย์ของพวกเขา ราวกับว่าพวกเขาสามารถลบความทุกข์และความหวาดหวั่นที่ความตายนำมาให้ออกไปได้ด้วยการวิตกกังวลนี้ ราวกับว่าพวกเขาสามารถหลีกหนีความอับจนหนทางและความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเดียวดายที่เคียงคู่มากับความตายได้ด้วยการผดุงความใกล้ชิดกับการดำรงชีวิตประเภทนี้เอาไว้  ในส่วนลึกของหัวใจมนุษย์มีความเกรงกลัวอันคลุมเครือ ความเกรงกลัวการพลัดพรากจากผู้เป็นที่รักทั้งหลายของคนเรา เกรงกลัวว่าจะไม่มีวันได้ทอดสายตามองไปยังผืนนภาสีครามอีกแล้ว ว่าจะไม่มีวันได้มองไปบนโลกวัตถุอีกแล้ว  วิญญาณอันเปลี่ยวดายซึ่งคุ้นชินกับการอยู่ท่ามกลางผู้เป็นที่รัก กำลังอิดออดที่จะคลายมือที่เกาะกุมออกและจากไป คนเดียวตามลำพัง สู่พิภพหนึ่งซึ่งไม่รู้จักและไม่คุ้นเคย

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 130

ชีวิตหนึ่งซึ่งใช้ไปกับการแสวงหาชื่อเสียงและโชควาสนา ทำให้คนเราตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกยามเผชิญหน้ากับความตาย

เพราะอธิปไตยและการลิขิตไว้ล่วงหน้าของพระผู้สร้าง วิญญาณอันเปลี่ยวดายซึ่งได้เริ่มต้นโดยไม่มีอะไรติดตัวมาเลย จึงได้รับบิดามารดาและครอบครัว ได้รับโอกาสที่จะกลายมาเป็นสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ โอกาสที่จะมีประสบการณ์กับชีวิตมนุษย์และได้เห็นโลก  วิญญาณดวงนี้ยังได้รับโอกาสที่จะมีประสบการณ์กับอธิปไตยของพระผู้สร้าง ที่จะรู้จักกับความอัศจรรย์เลิศเลอแห่งการทรงสร้างของพระผู้สร้าง และยิ่งไปกว่านั้น ที่จะรู้จักและกลายมาอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง  ทว่าผู้คนส่วนใหญ่หาได้คว้าโอกาสเหมาะซึ่งหายากและคงอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยามนี้เอาไว้จริงๆ ไม่  คนเราอ่อนระโหยไปกับการใช้คุณค่าของพลังงานทั้งชีวิตเพื่อต่อสู้กับชะตากรรม ใช้เวลาทั้งหมดของคนเราไปกับการชุลมุนวุ่นวายไปทั่ว ในความพยายามที่จะป้อนบำรุงครอบครัวของคนเรา และวิ่งรอกไปมาระหว่างความอุดมโภคทรัพย์กับสถานภาพ  สิ่งต่างๆ ที่ผู้คนหวงแหนราวสมบัติล้ำค่าก็คือครอบครัว เงินทอง และชื่อเสียง และพวกเขามองสิ่งเหล่านี้เหมือนเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต  ผู้คนทั้งหมดพร่ำบ่นเกี่ยวกับชะตากรรมของตนเอง ทว่าพวกเขาก็ยังคงผลักประเด็นปัญหาต่างๆ ที่จำเป็นต้องตรวจสอบและทำความเข้าใจที่สุดไปไว้ที่เบื้องลึกข้างในจิตใจของพวกเขา กล่าวคือประเด็นปัญหาที่ว่า เหตุใดมนุษย์จึงมีชีวิต มนุษย์ควรใช้ชีวิตอย่างไร อะไรคือคุณค่าและความหมายของชีวิต  ไม่ว่าพวกเขาอาจจะอยู่นานแค่ไหน พวกเขาก็แค่ใช้ทั้งชีวิตของพวกเขาให้หมดไปกับการสาละวนแสวงหาชื่อเสียงและโชควาสนา จนกระทั่งวัยเยาว์ของพวกเขาได้หนีจากไป และพวกเขามีแต่ผมขาวและริ้วรอย  พวกเขาใช้ชีวิตในหนทางนี้จนกระทั่งพวกเขามองเห็นว่าชื่อเสียงและโชควาสนาไม่อาจหยุดยั้งการเคลื่อนเข้าไปหาความชราภาพของพวกเขาได้ ว่าเงินทองไม่สามารถเติมเต็มความว่างเปล่าในหัวใจได้ ว่าไม่มีใครเลยที่ได้รับการยกเว้นจากกฎแห่งการเกิด การแก่ การเจ็บป่วย และการตาย ว่าไม่มีใครสามารถหลีกหนีสิ่งที่ชะตากรรมได้เตรียมไว้ให้แล้ว  มีเพียงเมื่อพวกเขาถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายของชีวิตเท่านั้นที่พวกเขาจับความเข้าใจได้อย่างแท้จริงว่า ต่อให้คนเรามีโภคทรัพย์มหาศาลและสินทรัพย์มากล้น ต่อให้คนเรามีสิทธิพิเศษและอยู่ในฐานะสูงส่ง คนเราก็ยังคงไม่สามารถหลบหนีความตายและต้องคืนสู่สถานะดั้งเดิมของพวกเขาอยู่ดี นั่นคือ ดวงวิญญาณอันโดดเดี่ยวที่ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย  ในยามที่ผู้คนมีบิดามารดา พวกเขาเชื่อว่าบิดามารดาคือทุกสิ่งทุกอย่าง ในยามที่ผู้คนมีทรัพย์สมบัติ พวกเขาก็คิดว่าเงินทองคือปัจจัยหลักในการยังชีพของคนเรา ว่ามันคือวิถีทางที่คนเราใช้ในการดำเนินชีวิต ในยามที่ผู้คนมีสถานภาพ พวกเขาก็เกาะเกี่ยวมันไว้อย่างแน่นหนาและจะเสี่ยงชีวิตพวกเขาเพื่อมัน  มีเพียงเมื่อผู้คนกำลังจะปลดปล่อยโลกนี้ไปเท่านั้นที่พวกเขาตระหนักว่า สิ่งต่างๆ ที่พวกเขาใช้ชีวิตไล่ตามเสาะหานั้น ไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากหมู่เมฆที่ลอยผ่านไป ไม่มีอะไรในนั้นเลยที่พวกเขาสามารถเกาะกุมได้ ไม่มีอะไรในนั้นเลยที่พวกเขาสามารถเอาไปด้วยได้ ไม่มีอะไรในนั้นเลยที่สามารถละเว้นพวกเขาจากความตาย ไม่มีอะไรในนั้นเลยที่สามารถจัดเตรียมเพื่อนร่วมทางหรือการปลอบประโลมให้กับดวงวิญญาณที่เปลี่ยวดายระหว่างการเดินทางกลับของพวกเขา  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรในสิ่งเหล่านี้เลยที่สามารถช่วยบุคคลหนึ่งให้รอดและทำให้พวกเขาสามารถอยู่เหนือความตายได้  ชื่อเสียงและโชควาสนาที่คนเราได้รับในโลกวัตถุให้ความพึงพอใจชั่วคราว ความยินดีที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป สำนึกรับรู้แห่งความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจแบบผิดๆ ในระหว่างนั้นพวกมันก็ทำให้คนเราหลงทาง  และดังนั้นผู้คนจึงถูกคลื่นลูกแล้วลูกเล่ากลืนหายไปในระหว่างที่พวกเขาดิ้นตะเกียกตะกายอยู่กลางทะเลแห่งมนุษยชาติอันกว้างใหญ่ไพศาลอย่างกระหายในสันติสุข ความสุขสบาย และความสงบเยือกเย็นในหัวใจ  ในยามที่ผู้คนยังต้องตอบคำถามต่างๆ ที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดต่อการทำความเข้าใจ—ว่าพวกเขามาจากไหน เหตุใดพวกเขาจึงมีชีวิต พวกเขากำลังจะไปที่ใด และอื่นๆ—พวกเขาก็ถูกชื่อเสียงและโชควาสนายั่วใจ ถูกพวกมันควบคุมและชักนำไปในทางที่ผิด และหลงทางไปอย่างไม่อาจย้อนคืน  เวลาผ่านไปเร็วราวกับติดปีก หลายปีผ่านไปในชั่วพริบตา และก่อนที่คนเราตระหนักในสิ่งนี้ คนเราก็ได้บอกลาปีต่างๆ ที่ดีที่สุดของชีวิตคนเราไปแล้ว  เมื่อถึงคราวที่คนเรากำลังจะไปจากโลกนี้ในเร็ววัน คนเราก็มาถึงจุดที่ค่อยๆ ตระหนักว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้กำลังลอยเคว้งคว้างห่างออกไป ว่าคนเราไม่สามารถเกาะกุมสิ่งครอบครองซึ่งเดิมทีเป็นของพวกเขาได้อีกต่อไป เช่นนั้นแล้วคนเราจึงได้รู้สึกอย่างแท้จริงว่า คนเราก็เหมือนเด็กทารกร้องไห้จ้าที่เพิ่งอุบัติเข้ามาสู่พิภพนี้โดยไม่มีอะไรติดตัวมาเลย  ณ จุดนี้เองที่คนเราจำใจต้องใคร่ครวญว่า คนเราได้ทำอะไรลงไปในชีวิตบ้าง การมีชีวิตมีคุณค่าอย่างไร มันมีความหมายอะไร เหตุใดคนเราจึงมาที่โลกนี้  และ ณ จุดนี้นี่เองที่คนเราต้องการรู้มากขึ้นทุกทีว่าชีวิตถัดไปมีอยู่จริงหรือไม่ ว่าสวรรค์มีจริงหรือไม่ ว่าการลงทัณฑ์อันสาสมนั้นมีอยู่จริงหรือไม่… ยิ่งคนเราเข้าใกล้ความตายมากขึ้นเท่าใด คนเราก็ยิ่งต้องการที่จะเข้าใจว่าชีวิตเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งคนเราใกล้ความตายเข้าไปเท่าไร หัวใจของเราก็ยิ่งดูเหมือนว่างเปล่ามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งคนเราใกล้ความตายมากขึ้นเท่าไร คนเราก็ยิ่งรู้สึกอับจนหนทางมากขึ้นเท่านั้น และดังนั้น ความเกรงกลัวที่คนเรามีต่อความตายจึงค่อยๆ เติบโตขึ้นในแต่ละวัน  มีสองเหตุผลที่ความรู้สึกดังกล่าวสำแดงออกมาในผู้คนในยามที่พวกเขาเข้าใกล้ความตาย ประการแรกคือ พวกเขากำลังจะสูญเสียชื่อเสียงและความอุดมในโภคทรัพย์ที่ชีวิตพวกเขาเคยได้อาศัยพึ่งพิง กำลังจะละทิ้งทั้งหมดที่ดวงตามองเห็นในโลกนี้ไว้ข้างหลัง ประการที่สองคือ พวกเขากำลังจะเผชิญหน้า คนเดียวตามลำพัง กับพิภพที่ไม่คุ้นเคย ดินแดนลี้ลับที่ไม่รู้จัก ที่ซึ่งพวกเขากลัวที่จะย่างเท้าลงไป ที่ซึ่งพวกเขาไม่มีผู้เป็นที่รักและไม่มีการค้ำจุนในวิถีทางใดเลย เพราะเหตุผลสองประการนี้ ทุกคนซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับความตายจึงรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ ผ่านประสบการณ์กับความตื่นตระหนกและสำนึกรับรู้แห่งความรู้สึกอับจนหนทางอย่างที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย  มีเพียงเมื่อใครบางคนมาถึงจุดนี้จริงๆ แล้วเท่านั้น ที่พวกเขาตระหนักว่า ตอนที่คนเราก้าวเท้าลงบนแผ่นดินโลก สิ่งแรกที่พวกเขาต้องเข้าใจก็คือมนุษย์มาจากไหน เหตุใดผู้คนจึงมีชีวิต ใครเป็นผู้ลิขิตชะตากรรมของมนุษย์ และใครจัดเตรียมและมีอธิปไตยเหนือการดำรงอยู่ของมนุษย์  ความรู้นี้คือวิถีทางที่แท้จริงที่คนเราใช้ชีวิตอยู่ คือพื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับความอยู่รอดของมนุษย์—ไม่ใช่การเรียนรู้วิธีที่จะจัดเตรียมเพื่อครอบครัวของคนเรา หรือวิธีที่จะสัมฤทธิ์ชื่อเสียงและความอุดมด้วยโภคทรัพย์ ไม่ใช่การเรียนรู้วิธีที่จะโดดเด่นออกมาจากฝูงชน และไม่ใช่วิธีที่จะใช้ชีวิตที่มั่งคั่งกว่าเดิม นับประสาอะไรกับการเรียนรู้วิธีที่จะมีความเก่งกาจยอดเยี่ยมและประสบความสำเร็จในการแข่งขันกับผู้อื่น  แม้ว่าทักษะเพื่อความอยู่รอดอันหลากหลายที่ผู้คนใช้ชีวิตของพวกเขาให้หมดไปกับการฝึกฝนให้เชี่ยวชาญนั้น สามารถเสนอความสุขสบายทางวัตถุได้อย่างล้นเหลือ แต่ทักษะเหล่านี้ก็ไม่เคยพาสันติสุขและการปลอบประโลมที่แท้จริงมาสู่หัวใจของคนเราเลย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับทำให้ผู้คนหลงทิศทางอยู่เนืองนิตย์ มีความลำบากยากเย็นในการควบคุมตนเอง และพลาดทุกโอกาสที่จะเรียนรู้ความหมายของชีวิต ทักษะเพื่อความอยู่รอดเหล่านี้สร้างคลื่นใต้น้ำแห่งความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิธีที่จะเผชิญหน้ากับความตายอย่างเหมาะสม  ชีวิตของผู้คนกำลังถูกทำลายไปในหนทางนี้  พระผู้สร้างทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างยุติธรรม ทรงมอบโอกาสเหมาะทั้งหลายแก่ทุกคน ซึ่งต้องใช้ทั้งชีวิตจึงจะได้มา เพื่อให้ได้รับประสบการณ์และรู้จักอธิปไตยของพระองค์ ทว่ามีเพียงเมื่อความตายขยับเข้ามาใกล้ เมื่อตอนที่ความน่าสะพรึงกลัวของมันปรากฏขึ้นรางๆ เท่านั้น ที่คนเราเริ่มมองเห็นความสว่าง—และแล้ว มันก็สายเกินไป!

ผู้คนใช้ชีวิตหมดไปกับการไล่ล่าเงินทองและชื่อเสียง พวกเขากอดรัดกองฟางเหล่านี้ไว้แนบอก พลางคิดว่าพวกมันเป็นวิถีทางเดียวแห่งการค้ำจุนของพวกเขา ราวกับว่าพวกเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ตลอดไปได้ด้วยการมีสิ่งเหล่านี้ ได้รับการยกเว้นจากความตาย  แต่ในยามที่พวกเขากำลังจะตายแล้วเท่านั้นที่พวกเขาตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้อยู่ห่างไกลจากพวกเขาเพียงใด พวกเขาอ่อนแอขนาดไหนยามที่เผชิญหน้ากับความตาย พวกเขาแตกสลายได้ง่ายขนาดไหน พวกเขาเปลี่ยวดายและอับจนหนทางเพียงไร โดยไม่มีที่ใดให้หันหน้าไปพึ่งพา  พวกเขาตระหนักว่า ชีวิตไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินทองหรือชื่อเสียง ว่าไม่ว่าบุคคลหนึ่งอาจอุดมด้วยโภคทรัพย์เพียงใด ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งขนาดไหน ทุกคนล้วนยากจนและไร้ความสำคัญอย่างเท่าเทียมกันเมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย  พวกเขาตระหนักว่า เงินไม่สามารถซื้อชีวิตได้ ว่าชื่อเสียงไม่สามารถลบความตายได้ ว่าทั้งเงินทองและชื่อเสียงไม่สามารถยืดชีวิตคนเราได้แม้แต่นาทีเดียว วินาทีเดียว  ยิ่งผู้คนรู้สึกเช่นนี้มากขึ้นเท่าใด ผู้คนก็ยิ่งโหยหาที่จะรักษาชีวิตไว้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งผู้คนรู้สึกในหนทางนี้มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งหวาดหวั่นในการย่างกรายเข้ามาใกล้ของความตายมากขึ้นเท่านั้น  มีเพียงที่จุดนี้เท่านั้นที่พวกเขาตระหนักอย่างแท้จริงว่า ชีวิตของพวกเขาไม่ได้เป็นของพวกเขา ไม่ใช่พวกเขาที่จะเป็นผู้ควบคุม และตระหนักว่า คนเราไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าคนเราจะอยู่หรือตาย—ว่าทั้งหมดนี้อยู่นอกการควบคุมของคนเรา

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 131

จงมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง และเผชิญหน้าความตายอย่างสงบ

ณ ชั่วขณะที่บุคคลหนึ่งเกิดมา วิญญาณเปลี่ยวดายดวงหนึ่งก็เริ่มประสบการณ์ของตัวเองบนแผ่นดินโลก เป็นประสบการณ์เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างที่พระผู้สร้างได้ทรงจัดการเตรียมการเพื่อวิญญาณดวงนั้น คงไม่จำเป็นต้องพูดว่า สำหรับบุคคลนั้น—ซึ่งก็คือดวงวิญญาณนั้น—นี่คือโอกาสอันยอดเยี่ยมที่จะได้รับความรู้เกี่ยวกับอธิปไตยของพระผู้สร้าง โอกาสที่จะมารู้จักสิทธิอำนาจของพระองค์ และได้รับประสบการณ์กับมันด้วยตนเอง  ผู้คนใช้ชีวิตของตัวเองภายใต้กฎต่างๆ ของชะตากรรมที่พระผู้สร้างทรงวางไว้ให้พวกเขา และให้แก่บุคคลใดก็ตามที่เป็นคนมีเหตุผลและมโนธรรม การใช้เวลาหลายทศวรรษในชีวิตของพวกเขาทำใจยอมรับอธิปไตยของพระผู้สร้างและการมารู้จักสิทธิอำนาจของพระองค์นั้นหาใช่สิ่งที่ยากเกินจะทำไม่  เพราะฉะนั้น มันน่าจะง่ายมากสำหรับทุกคนที่จะระลึกรู้โดยผ่านทางประสบการณ์ชีวิตกว่าหลายสิบปีของพวกเขาเองว่า ชะตากรรมทั้งปวงของมนุษย์ล้วนถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว และมันควรง่ายที่จะจับความเข้าใจหรือสรุปว่าการมีชีวิตหมายถึงอะไร  ขณะที่คนเราอ้าแขนรับบทเรียนชีวิตเหล่านี้ คนเราจะค่อยๆ มาเข้าใจว่าชีวิตมาจากไหน มาจับความเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่หัวใจจำเป็นต้องมีอย่างแท้จริง อะไรคือสิ่งที่จะนำทางคนเราไปบนเส้นทางชีวิตที่แท้จริง และอะไรคือภารกิจและเป้าหมายที่ควรจะเป็นของชีวิตมนุษย์  คนเราจะค่อยๆ ระลึกรู้ว่า หากคนเราไม่นมัสการพระผู้สร้าง หากคนเราไม่มาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์แล้วไซร้ ครั้นถึงคราวเผชิญกับความตาย—คราที่ดวงวิญญาณของคนเรากำลังจะเผชิญหน้ากับพระผู้สร้างอีกครั้ง—หัวใจของคนเราจะเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและความวุ่นวายสับสนอันไร้ขีดจำกัด  หากบุคคลหนึ่งได้อยู่ในโลกมาหลายสิบปีแล้ว ทว่ายังไม่เข้าใจว่าชีวิตมนุษย์มาจากไหน ทั้งยังไม่ระลึกรู้ว่าชะตากรรมของมนุษย์วางอยู่ในฝ่ามือของใคร เช่นนั้นแล้วก็ไม่น่าประหลาดใจเลยที่พวกเขาจะไม่สามารถเผชิญหน้ากับความตายได้อย่างสงบ  ในหลายสิบปีแห่งประสบการณ์ชีวิตมนุษย์ของพวกเขา บุคคลหนึ่งซึ่งได้รับความรู้เกี่ยวกับอธิปไตยของพระผู้สร้างคือบุคคลที่มีความซาบซึ้งในความหมายและคุณค่าของชีวิตอย่างถูกต้อง  บุคคลเช่นนั้นมีความรู้ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับจุดประสงค์ของชีวิต พร้อมด้วยประสบการณ์และความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับอธิปไตยของพระผู้สร้าง และที่เหนือล้ำไปกว่านั้นก็คือ สามารถที่จะนบนอบต่อสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง  บุคคลเช่นนั้นเข้าใจความหมายแห่งการทรงสร้างมวลมนุษย์ของพระเจ้า เข้าใจว่ามนุษย์ควรนมัสการพระผู้สร้าง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ครอบครองนั้นมาจากพระผู้สร้างและจะคืนกลับไปสู่พระองค์ในสักวันหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลในอนาคต  บุคคลประเภทนี้เข้าใจว่าพระผู้สร้างทรงจัดการเตรียมการกำเนิดของมนุษย์และทรงมีอธิปไตยเหนือความตายของมนุษย์ และว่าทั้งชีวิตและความตายได้ถูกสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว  ดังนั้น เมื่อคนเราจับความเข้าใจได้อย่างแท้จริงในสิ่งเหล่านี้ คนเราจะสามารถเผชิญหน้าความตายได้อย่างสงบเป็นธรรมดา สามารถวางสิ่งครอบครองทางโลกทั้งหมดของคนเราลงอย่างสงบ ยอมรับและน้อมรับทุกสิ่งที่ตามมาอย่างมีความสุข และยินดีต้อนรับหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายซึ่งถูกจัดการเตรียมการโดยพระผู้สร้างอย่างที่มันเป็น แทนที่จะหวาดหวั่นกับมันและดิ้นรนขัดขืนมันอย่างมืดบอด  หากคนเรามองชีวิตเหมือนเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้รับประสบการณ์กับอธิปไตยของพระผู้สร้างและมารู้จักสิทธิอำนาจของพระองค์ หากคนเรามองชีวิตคนเราเป็นดังโอกาสที่หายากในอันที่จะปฏิบัติหน้าที่ของคนเราในฐานะมนุษย์ที่ทรงสร้างและในอันที่จะทำภารกิจของคนเราให้เสร็จสิ้น เช่นนั้นแล้ว คนเราก็จะมีทรรศนะที่ถูกต้องต่อชีวิตอย่างแน่นอน จะใช้ชีวิตที่ได้รับพระพรและได้รับการทรงนำจากพระผู้สร้างอย่างแน่นอน จะเดินในความสว่างแห่งพระผู้สร้างอย่างแน่นอน จะรู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้างอย่างแน่นอน จะมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์อย่างแน่นอน และจะกลายมาเป็นพยานให้กับกิจการอันอัศจรรย์เลิศเลอของพระองค์ พยานต่อสิทธิอำนาจของพระองค์อย่างแน่นอน คงไม่จำเป็นต้องพูดว่า บุคคลเช่นนั้นจะได้รับความรักและการยอมรับจากพระผู้สร้างอย่างแน่นอน และมีเพียงบุคคลเช่นนั้นเท่านั้นที่สามารถมีท่าทีที่สงบต่อความตาย และยินดีต้อนรับหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายของชีวิตด้วยความชื่นบาน  เห็นได้ชัดว่าบุคคลหนึ่งซึ่งมีท่าทีประเภทนี้กับความตายก็คือโยบ โยบอยู่ในสถานะที่ยอมรับหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายของชีวิตอย่างมีความสุข และได้นำการเดินทางแห่งชีวิตของเขาไปสู่บทสรุปที่ราบรื่น และทำภารกิจในชีวิตของเขาจนเสร็จสมบูรณ์ เขาได้กลับคืนไปอยู่เคียงข้างพระผู้สร้าง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 132

กิจที่เสาะแสวงทำและสิ่งที่ได้รับมาในชีวิตของโยบอำนวยให้เขาเผชิญความตายโดยสงบ

ในข้อพระคัมภีร์ได้เขียนเกี่ยวกับโยบไว้ว่า “และโยบก็สิ้นชีวิตเป็นคนแก่หง่อมทีเดียว” (โยบ 42:17)  นี่หมายความว่า เมื่อโยบตายจากไป เขาไม่มีความเสียใจและไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย แต่ไปจากพิภพนี้อย่างเป็นธรรมชาติ  ดังที่ทุกคนรู้กันแล้ว โยบเป็นชายผู้หนึ่งซึ่งยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วในขณะที่เขายังมีชีวิต  ความประพฤติของเขาได้รับการชมเชยจากพระเจ้าและได้รับการรำลึกถึงโดยผู้อื่น และชีวิตของเขาอาจกล่าวได้ว่ามีคุณค่าและนัยสำคัญที่เกินล้ำผู้อื่นทั้งปวง  โยบได้ชื่นชมพระพรของพระเจ้า และได้รับการเรียกขานว่าชอบธรรมจากพระองค์บนแผ่นดินโลก และเขาได้ถูกพระเจ้าทดสอบและได้ถูกซาตานทดสอบเช่นกัน  เขาได้ยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระเจ้าและคู่ควรที่จะได้รับการเรียกขานจากพระองค์ว่าบุคคลผู้ชอบธรรม  ในหลายทศวรรษหลังจากที่เขาถูกพระเจ้าทดสอบ เขาใช้ชีวิตที่ยิ่งมีค่ากว่า เปี่ยมความหมายกว่า เป็นหลักเป็นฐานกว่า และเปี่ยมสันติสุขกว่าแต่ก่อน  เนื่องเพราะความประพฤติอันชอบธรรมของเขา พระเจ้าจึงทรงทดสอบเขา และเนื่องเพราะความประพฤติอันชอบธรรมของเขาอีกเช่นกัน พระเจ้าจึงได้ทรงปรากฏแก่เขาและตรัสกับเขาโดยตรง  ดังนั้น หลายปีหลังจากที่เขาถูกทดสอบ โยบก็ได้เข้าใจและได้ซาบซึ้งในคุณค่าของชีวิตอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ได้บรรลุความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับอธิปไตยของพระผู้สร้าง และได้รับความรู้ที่เที่ยงตรงและแน่ชัดมากขึ้นเกี่ยวกับวิธีที่พระผู้สร้างประทานและนำพระพรของพระองค์คืนไป  หนังสือของโยบบันทึกว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าถึงกับประทานพระพรให้กับโยบมากมายกว่าที่พระองค์เคยทำมาก่อน โดยถึงกับทรงวางโยบในตำแหน่งที่จะรู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้างและเผชิญกับความตายอย่างสงบได้ดีขึ้น  ดังนั้นเมื่อโยบแก่ตัวลงและเผชิญหน้าความตาย แน่นอนว่าเขาย่อมจะไม่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติของเขาเลย  เขาไม่มีความห่วงกังวล ไม่มีอะไรให้เสียใจ และแน่นอนว่าไม่ได้เกรงกลัวความตาย เนื่องเพราะเขาได้ใช้ชีวิตทั้งหมดของเขาไปกับการเดินบนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว  เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องห่วงกังวลเกี่ยวกับจุดจบของตัวเขาเอง  ทุกวันนี้มีผู้คนกี่คนเล่าที่สามารถปฏิบัติในทุกทางเหมือนกับที่โยบได้ทำตอนที่เขาได้เผชิญหน้ากับความตายของตัวเขาเอง?  เหตุใดจึงไม่มีใครสามารถรักษาบุคลิกลักษณะภายนอกที่เรียบง่ายแบบนั้น?  มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นก็คือ โยบได้ใช้ชีวิตของเขาในการไล่ตามเสาะหาการเชื่อ ความระลึกรู้ และการนบนอบต่ออธิปไตยของพระเจ้าด้วยตัวเขาเอง  และด้วยการเชื่อ การระลึกรู้ และการนบนอบนี้เองที่เขาได้ใช้ก้าวผ่านหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญในชีวิต ได้ใช้ชีวิตในช่วงหลายปีสุดท้ายของเขา และได้ต้อนรับหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย  ไม่ว่าสิ่งที่โยบได้รับประสบการณ์จะเป็นอะไร กิจต่างๆ ที่เขาเสาะแสวงทำและเป้าหมายในชีวิตของเขานั้นไม่ได้เต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่เป็นความสุข  เขาไม่ได้มีความสุขเพียงเพราะพระพรต่างๆ หรือการชมเชยที่พระผู้สร้างประทานแก่เขาเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเพราะกิจที่เขาเสาะแสวงทำและเป้าหมายชีวิตของเขา เพราะการเติบโตของความรู้และความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับอธิปไตยของพระผู้สร้างที่เขาได้บรรลุโดยผ่านทางความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว และยิ่งไปกว่านั้น เพราะประสบการณ์ส่วนตัวของเขา ในฐานะผู้ที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระผู้สร้าง อยู่ภายใต้กิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระเจ้า และเพราะประสบการณ์และความทรงจำอันแผ่วเบาทว่าไม่อาจลืมเลือนได้เกี่ยวกับการดำรงอยู่ร่วมกัน การได้ใกล้ชิดสนิทสนม และความเข้าใจในกันและกันระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า  โยบมีความสุขก็เพราะความสุขสบายและความชื่นบานที่มาจากการได้รู้จักน้ำพระทัยแห่งพระผู้สร้าง และเพราะความเคารพซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ได้เห็นว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ น่าอัศจรรย์ ดีงาม และสัตย์ซื่อ  โยบสามารถเผชิญความตายโดยปราศจากความทุกข์ใดๆ ก็เพราะเขาได้รู้ว่า ในการตายนั้น เขาจะได้กลับไปเคียงข้างพระผู้สร้าง  กิจต่างๆ ที่เขาได้เสาะแสวงทำและสิ่งต่างๆ ที่เขาได้รับมาในชีวิตนั่นเองที่ได้อำนวยให้เขาเผชิญกับความตายอย่างสงบ อำนวยให้เขาเผชิญกับความน่าจะเป็นของการที่พระผู้สร้างจะทรงนำชีวิตของเขาคืนไปได้อย่างสงบ และยิ่งไปกว่านั้น อำนวยให้เขาได้ยืนอย่างไร้มลทินและไร้กังวลเฉพาะพระพักตร์ของพระผู้สร้าง  ทุกวันนี้ผู้คนสามารถสัมฤทธิ์ความสุขประเภทที่โยบได้ครอบครองหรือไม่?  พวกเจ้ามีสภาพเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการทำเช่นนั้นหรือไม่?  ในเมื่อทุกวันนี้ผู้คนมีสภาพเงื่อนไขเหล่านี้ เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถที่จะมีชีวิตอย่างเป็นสุขดังเช่นที่โยบได้มี?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถหลีกหนีความทุกข์ของการเกรงกลัวความตายได้?  ในตอนที่กำลังเผชิญกับความตาย ผู้คนบางคนปัสสาวะราดออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ส่วนคนอื่นๆ ก็สั่นเทิ้ม เป็นลมหมดสติ ต่อว่าฟ้าสวรรค์และมนุษย์ไม่ต่างกัน บางคนถึงกับร่ำไห้คร่ำครวญ  เหล่านี้หาใช่ปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันเมื่อความตายคืบใกล้เข้ามาแต่อย่างใดไม่ โดยหลักแล้ว ผู้คนประพฤติไปในทางที่น่าตะขิดตะขวงใจเหล่านี้ก็เพราะลึกลงไปภายในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาเกรงกลัวความตาย เพราะพวกเขาไม่มีความรู้ที่ชัดเจนและความซึ้งคุณค่าในอธิปไตยของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระองค์ นับประสาอะไรที่จะนบนอบต่อสิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริง  ผู้คนมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ก็เพราะพวกเขาไม่ได้ต้องการอะไรเลยนอกจากจัดการเตรียมการและกำกับดูแลทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวพวกเขาเอง ควบคุมชะตากรรมของพวกเขาเอง ชีวิตและความตายของพวกเขาเอง เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจเลยที่พวกเขาไม่เคยสามารถที่จะหลีกหนีความเกรงกลัวที่มีต่อความตายได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 133

โดยการยอมรับอธิปไตยของพระผู้สร้างเท่านั้นที่คนเราจะสามารถคืนกลับไปเคียงข้างพระองค์ได้

เมื่อคนเราไม่มีความรู้และประสบการณ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระองค์ ความรู้ของคนเราเกี่ยวกับชะตากรรมและความตายก็ย่อมจะไม่ปะติดปะต่อกันอย่างเลี่ยงไม่ได้  ผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นวางอยู่ในฝ่าพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่ตระหนักว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมและอธิปไตยของพระเจ้า ไม่ระลึกรู้ว่ามนุษย์ไม่สามารถปลดเปลื้อง หรือหลีกหนีอธิปไตยดังกล่าวไปได้  ด้วยเหตุผลนี้เอง เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาต้องเผชิญกับความตาย จึงมีคำสั่งเสีย ความห่วงกังวล ความเสียใจของพวกเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  พวกเขาหนักอึ้งไปด้วยปมในใจมากมายเหลือเกิน ความรู้สึกอิดออดไม่เต็มใจมากมายเหลือเกิน ความรู้สึกสับสนมากมายเหลือเกิน  นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาเกรงกลัวความตาย  สำหรับบุคคลใดก็ตามที่ได้ถือกำเนิดมาในพิภพนี้ การเกิดเป็นสิ่งจำเป็น และความตายเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่มีใครเลยที่สามารถผงาดเหนือครรลองของสิ่งต่างๆ  หากคนเราปรารถนาที่จะจากพิภพนี้ไปอย่างไร้ความเจ็บปวด หากคนเราต้องการที่จะสามารถเผชิญหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายของชีวิตโดยปราศจากความฝืนใจหรือความห่วงกังวล หนทางเดียวก็คือจากไปอย่างไม่มีความรู้สึกเสียใจ  และหนทางเดียวที่จะจากไปโดยปราศจากความรู้สึกเสียใจเลยก็คือ การรู้จักอธิปไตยของพระเจ้า รู้จักสิทธิอำนาจของพระองค์ และนบนอบต่อพระองค์  มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่คนเราจะสามารถอยู่ห่างไกลจากความต่อสู้ดิ้นรนของมนุษย์ จากความชั่ว จากพันธนาการของซาตาน และเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่คนเราจะสามารถใช้ชีวิตเหมือนชีวิตของโยบ ได้รับการทรงนำและได้รับพระพรจากพระผู้สร้างได้ ชีวิตหนึ่งซึ่งเป็นอิสระและมีเสรีภาพ ชีวิตหนึ่งซึ่งมีค่าและความหมาย ชีวิตหนึ่งซึ่งซื่อสัตย์และจริงใจเปิดเผย  เพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่คนเราจะสามารถน้อมรับต่อการทดสอบและการลิดรอนของพระผู้สร้าง การจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างได้เหมือนกับโยบ  มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่คนเราสามารถนมัสการพระผู้สร้างด้วยชีวิตทั้งหมดของคนเรา และได้รับคำชมเชยของพระองค์ ดังที่โยบได้ทำ และได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ มองเห็นพระองค์ทรงปรากฏ  เพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่คนเราจะสามารถมีชีวิตอยู่และตายไปอย่างเป็นสุข ปราศจากความเจ็บปวด ปราศจากความห่วงกังวล ปราศจากความรู้สึกเสียใจเหมือนกับโยบ เพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่คนเราจะสามารถมีชีวิตอยู่ในความสว่างเหมือนกับโยบ และผ่านทุกหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตในความสว่าง เสร็จสิ้นการเดินทางของคนเราในความสว่างอย่างราบรื่น เสร็จสิ้นภารกิจของคนเราอย่างประสบความสำเร็จ—ได้รับประสบการณ์ เรียนรู้ และมารู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้างในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—และตายจากไปในความสว่าง และยืนเคียงข้างพระผู้สร้างตราบชั่วนิจนิรันดร์ ในฐานะมนุษย์ที่ทรงสร้างและที่พระองค์ทรงชมเชย

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 134

จงอย่าพลาดโอกาสเหมาะที่จะได้รู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้าง

หลายทศวรรษที่ก่อเกิดเป็นชีวิตมนุษย์นั้นไม่ยาวและไม่สั้น ช่วงเวลายี่สิบปีเศษระหว่างการเกิดและการเจริญวัยไปเป็นผู้ใหญ่ผ่านไปในชั่วพริบตา และแม้ว่า ณ จุดนี้ของชีวิต บุคคลหนึ่งถูกพิจารณาว่าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้ว แต่ผู้คนในกลุ่มอายุนี้แทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์และชะตากรรมมนุษย์  เมื่อพวกเขาเริ่มมีประสบการณ์มากขึ้น พวกเขาก็ค่อยๆ ก้าวไปสู่วัยกลางคน  ผู้คนในวัยสามสิบกว่าและสี่สิบกว่ามีประสบการณ์ของชีวิตและชะตากรรมในขั้นหัดบิน แต่แนวคิดของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ก็ยังคงคลุมเครืออยู่มาก  กระทั่งถึงวัยสี่สิบแล้วนั่นเองที่ผู้คนบางคนเริ่มเข้าใจมวลมนุษย์และจักรวาลซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้น และจับความเข้าใจได้ว่าชีวิตมนุษย์นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ชะตากรรมมนุษย์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร  ผู้คนบางคนแม้ได้เป็นผู้ติดตามพระเจ้ามานานแล้วและตอนนี้อยู่ในวัยกลางคน ก็ยังคงไม่สามารถมีความรู้และนิยามที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้า นับประสาอะไรกับการนบนอบที่แท้จริง  ผู้คนบางคนไม่ใส่ใจในสิ่งใดเลยนอกจากการพยายามที่จะได้รับพระพร และแม้ว่าพวกเขามีชีวิตอยู่มาหลายปี พวกเขาก็ไม่รู้หรือเข้าใจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยของพระผู้สร้างที่มีอยู่เหนือชะตากรรมมนุษย์เลยแม้แต่น้อย และไม่เคยแม้แต่จะย่างก้าวที่เล็กที่สุดเข้าสู่บทเรียนในทางปฏิบัติแห่งการนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  ผู้คนเช่นนั้นช่างโง่เขลาเบาปัญญาอย่างสิ้นเชิง และชีวิตของพวกเขาก็ถูกใช้ไปอย่างเปล่าประโยชน์

หากช่วงเวลาของชีวิตมนุษย์ถูกแบ่งออกตามระดับประสบการณ์ชีวิตและความรู้เกี่ยวกับชะตากรรมมนุษย์ของผู้คน พวกมันจะสามารถถูกแบ่งอย่างคร่าวๆ ได้เป็นสามระยะ  ระยะแรกคือวัยเยาว์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาระหว่างการเกิดและวัยกลางคน หรือจากการเกิดกระทั่งถึงวัยสามสิบปี  ระยะที่สองคือการเจริญวัยไปเป็นผู้ใหญ่ จากวัยกลางคนสู่วัยชรา หรือจากอายุสามสิบปีถึงหกสิบปี  และระยะที่สามคือช่วงเวลาแห่งการเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวของคนเรา ซึ่งลงท้ายด้วยการเริ่มต้นของวัยชรา เริ่มจากอายุหกสิบปีจนกระทั่งคนเราไปจากพิภพนี้  พูดอีกอย่างได้ว่า ตั้งแต่การเกิดถึงวัยกลางคน ความรู้ของผู้คนส่วนใหญ่เกี่ยวกับชะตากรรมและชีวิตนั้นถูกจำกัดอยู่กับการลอกเลียนแนวคิดของผู้อื่น และแทบไม่มีสาระที่เป็นจริงในทางปฏิบัติเลย  ในระหว่างช่วงเวลานี้ ทรรศนะที่คนเรามีต่อชีวิตและวิธีที่คนเราสร้างหนทางของคนเราในโลกนั้นค่อนข้างผิวเผินและไร้เดียงสา  นี่คือช่วงเวลาอ่อนเยาว์ของคนเรา  เพียงหลังจากที่คนเราได้ลิ้มรสความชื่นบานและความโศกเศร้าทั้งมวลของชีวิตแล้วเท่านั้นที่คนเราได้รับความเข้าใจที่แท้จริงอย่างหนึ่งเกี่ยวกับชะตากรรม และ—โดยจิตใต้สำนึก ลึกลงไปในหัวใจของคนเรา—ค่อยๆ มาซึ้งคุณค่าของความมิอาจเปลี่ยนกลับได้ของชะตากรรม และตระหนักอย่างช้าๆ ว่า อธิปไตยของพระผู้สร้างเหนือชะตากรรมมนุษย์นั้นมีอยู่จริง  นี่คือช่วงเวลาแห่งการเจริญไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ของคนเรา  บุคคลหนึ่งเข้าสู่ช่วงเวลาเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวของพวกเขาเมื่อพวกเขาหยุดดิ้นรนต่อต้านชะตากรรม และเมื่อพวกเขาไม่เต็มใจที่จะถูกดึงดูดเข้าสู่การต่อสู้ดิ้นรน และกลับรู้จักความเป็นไปของชีวิตตัวเอง นบนอบต่อน้ำพระทัยแห่งฟ้าสวรรค์ สรุปรวมผลสำเร็จและความผิดพลาดต่างๆ ในชีวิตของตนเอง และรอการพิพากษาของพระผู้สร้างที่มีต่อชีวิตของพวกเขาแทน  เมื่อพิจารณาประสบการณ์และสิ่งถือครองอันแตกต่างที่ผู้คนได้มาในระหว่างสามช่วงเวลานี้ ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมปกติ โอกาสทองที่คนเราจะได้รู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้างนั้นไม่ได้มีมากมายนัก  หากคนเรามีชีวิตอยู่ถึงอายุหกสิบปี คนเราย่อมมีเวลาเพียงสามสิบปีโดยประมาณที่จะทำความรู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้าง หากคนเราต้องการช่วงเวลาที่ยาวกว่านั้น นั่นก็เป็นไปได้ต่อเมื่อชีวิตคนเรายืนยาวเพียงพอ ต่อเมื่อคนเราสามารถมีชีวิตอยู่ถึงหนึ่งศตวรรษเท่านั้น  เราจึงพูดเลยว่า ตามกฎการดำรงอยู่ของมนุษย์ตามปกตินั้น แม้เป็นกระบวนการที่ยาวนานมาก นับจากตอนที่คนเราเผชิญกับหัวข้อของการทำความรู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้างเป็นครั้งแรกจนกระทั่งถึงเวลาที่คนเราสามารถระลึกรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยนั้น และจากตรงนั้นจนถึงจุดที่คนเราสามารถนบนอบต่ออธิปไตยของพระผู้สร้าง หากคนเรานับปีดูจริงๆ แล้ว คนเรามีโอกาสไม่เกินสามสิบหรือสี่สิบปีเลยที่จะได้รับบำเหน็จรางวัลเหล่านี้  และบ่อยครั้งที่ผู้คนหลงลืมตัวไปกับความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานของพวกเขาในการที่จะได้รับพระพร  ดังนั้นพวกเขาจึงมิอาจหยั่งรู้ว่า แก่นสารของชีวิตมนุษย์นั้นอยู่ที่ไหนและไม่จับความเข้าใจในความสำคัญของการทำความรู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้าง  ผู้คนเช่นนั้นไม่หวงแหนโอกาสอันล้ำค่าของการเข้าสู่พิภพมนุษย์เพื่อมีประสบการณ์กับชีวิตมนุษย์และอธิปไตยของพระผู้สร้างนี้ และพวกเขาหาได้ตระหนักไม่ว่าการที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้รับการทรงนำจากพระผู้สร้างด้วยพระองค์เองนั้นล้ำค่าอย่างไร  เราจึงพูดเลยว่า ผู้คนที่ต้องการให้พระราชกิจของพระเจ้าจบลงโดยเร็ว ผู้ซึ่งปรารถนาว่าพระเจ้าจะทรงจัดการเตรียมจุดจบของมนุษย์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่พวกเขาอาจมองเห็นสภาวะบุคคลที่แท้จริงของพระองค์ในทันที และได้รับพระพรโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้—พวกเขามีความผิดฐานไม่เชื่อฟังในระดับที่เลวร้ายที่สุด และพวกเขาช่างโง่เขลาอย่างถึงที่สุด  ในขณะเดียวกัน ผู้ที่มีปัญญาในหมู่มนุษย์ บรรดาผู้ที่มีความเฉียบแหลมทางจิตใจอย่างที่สุด คือผู้ที่พึงปรารถนาที่จะคว้าโอกาสอันไม่เหมือนใครนี้ไว้ในช่วงเวลาอันจำกัดของพวกเขา เพื่อทำความรู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้าง  สองความอยากที่แตกต่างกันนี้เผยให้เห็นสองทรรศนะและการไล่ตามเสาะหาที่แตกต่างกันอย่างมหาศาล กล่าวคือ บรรดาผู้ที่แสวงหาพระพรมีความเห็นแก่ตัวและต่ำช้า และแสดงให้เห็นการไร้ความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่เคยพยายามทำความรู้จักอธิปไตยของพระเจ้า ไม่เคยพึงปรารถนาที่จะนบนอบต่ออธิปไตยนั้น แต่แค่ต้องการมีชีวิตตามที่พวกเขาพอใจ  พวกเขาเป็นพวกคนเสื่อมที่ไม่อนาทรร้อนใจ และเป็นผู้คนในหมวดหมู่นี้นี่เองที่จะถูกทำลายล้าง  บรรดาผู้ที่พยายามทำความรู้จักพระเจ้านั้นสามารถวางความอยากของตัวเองลง มีความเต็มใจที่จะนบนอบต่ออธิปไตยของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และพวกเขาพยายามที่จะเป็นผู้คนประเภทที่มีความนบนอบต่อสิทธิอำนาจของพระเจ้าและสนองข้อพึงปรารถนาของพระเจ้า  ผู้คนดังกล่าวมีชีวิตอยู่ในความสว่างและในท่ามกลางพระพรของพระเจ้า และแน่นอนว่าพวกเขาจะได้รับการชมเชยจากพระเจ้า  ไม่ว่าอย่างไร ทางเลือกของมนุษย์นั้นไม่มีประโยชน์ และมนุษย์ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าพระราชกิจของพระเจ้าจะใช้เวลานานเท่าใด  จะเป็นการดีกับผู้คนมากกว่าหากพวกเขาปล่อยตัวเองให้เป็นไปตามพระปรานีของพระเจ้าและนบนอบต่ออธิปไตยของพระองค์  หากเจ้าไม่วางตัวเองให้เป็นไปตามพระปรานีของพระเจ้าแล้วไซร้ อะไรเล่าที่เจ้าจะสามารถทำได้?  พระเจ้าจะทรงได้ผลลัพธ์เป็นการทนทุกข์กับความสูญเสียอันใดอย่างนั้นหรือ?  หากเจ้าไม่ปล่อยตัวเองให้ขึ้นอยู่กับพระปรานีของพระเจ้า แต่กลับพยายามวางตัวเองเป็นผู้กำกับควบคุมแล้วไซร้ เจ้าก็กำลังสร้างทางเลือกที่โง่เขลา และท้ายที่สุดเจ้าก็จะเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่ทนทุกข์กับความสูญเสีย  ต่อเมื่อผู้คนให้ความร่วมมือกับพระเจ้าโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เท่านั้น ต่อเมื่อผู้คนรีบเร่งที่จะยอมรับการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ ทำความรู้จักสิทธิอำนาจของพระองค์ และทำความเข้าใจทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำเพื่อพวกเขาเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีความหวัง  มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่ชีวิตของพวกเขาจะไม่ถูกใช้ให้หมดไปอย่างไร้ประโยชน์ และพวกเขาจะบรรลุในความรอด

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 135

ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่า พระเจ้าทรงกุมอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์

ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า ทุกบุคคลยอมรับอธิปไตยของพระองค์และการจัดการเตรียมการของพระองค์ในเชิงรุกหรือไม่ก็ในเชิงรับ และไม่ว่าคนเราดิ้นรนอย่างไรในครรลองชีวิตของคนเรา ไม่ว่าคนเราเดินไปบนเส้นทางคดเคี้ยวสักกี่สาย ในท้ายที่สุดแล้ว คนเราจะกลับคืนสู่วงโคจรแห่งชะตากรรมที่พระผู้สร้างได้ทรงขีดเส้นไว้ให้พวกเขา  นี่คือความมิอาจถูกพิชิตได้แห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างและลักษณะที่สิทธิอำนาจของพระองค์ควบคุมและกำกับดูแลจักรวาล  การควบคุมและกำกับดูแลในรูปแบบของความมิอาจถูกพิชิตได้นี้นี่เองที่ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบกฎต่างๆ ที่ลิขิตชีวิตของทุกสรรพสิ่ง อำนวยให้มนุษย์มาเกิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยปราศจากการแทรกแซง ทำให้โลกหมุนตามปกติและเคลื่อนไปข้างหน้าวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า  พวกเจ้าได้เป็นพยานให้กับข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้และเจ้าเข้าใจพวกมัน ไม่ว่าจะอย่างผิวเผินหรือลึกซึ้ง และความลึกซึ้งของความเข้าใจของเจ้าก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับความจริง และขึ้นอยู่กับความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้า  เจ้ารู้จักความเป็นจริงความจริงดีเพียงใด เจ้าผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าไปมากเพียงใดแล้ว เจ้ารู้จักแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้าดีเพียงใด—เหล่านี้ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งของความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  การดำรงอยู่ของอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าขึ้นอยู่กับการที่มนุษย์นบนอบหรือไม่นบนอบต่อพวกมันหรือไม่?  ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงครองสิทธิอำนาจนี้ถูกกำหนดโดยการที่มนุษยชาตินบนอบหรือไม่นบนอบต่อสิทธิอำนาจนี้หรือไม่?  สิทธิอำนาจของพระเจ้าดำรงอยู่ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมจะเป็นอย่างไร  ในทุกสถานการณ์ พระเจ้าทรงสั่งการและจัดการเตรียมการทุกชะตากรรมมนุษย์และทุกสรรพสิ่งตามพระดำริของพระองค์และความปรารถนาของพระองค์  ความเปลี่ยนแปลงของมนุษย์จะไม่ส่งผลให้การนี้เปลี่ยนแปลงไป  มันเป็นอิสระจากเจตจำนงของมนุษย์ ไม่สามารถถูกแก้ไขดัดแปลงโดยความเปลี่ยนแปลงใดๆ ของกาลเวลา พื้นที่ และภูมิประเทศ เนื่องเพราะสิทธิอำนาจของพระเจ้านั้นคือแก่นแท้ของพระองค์นั่นเอง  ไม่ว่ามนุษย์จะสามารถรู้จักและยอมรับอธิปไตยของพระเจ้าได้หรือไม่ และไม่ว่ามนุษย์จะสามารถนบนอบต่ออธิปไตยนี้ได้หรือไม่—ข้อพิจารณาทั้งสองนี้ไม่ได้ดัดแปลงแก้ไขข้อเท็จจริงที่ว่าอธิปไตยของพระเจ้าอยู่เหนือชะตากรรมมนุษย์แม้แต่น้อย  กล่าวได้ว่า ไม่ว่ามนุษย์มีท่าทีเช่นไรต่ออธิปไตยของพระเจ้า ท่าทีนั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงกุมอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์และเหนือทุกสรรพสิ่งได้อยู่ดี  ต่อให้เจ้าไม่นบนอบต่ออธิปไตยของพระเจ้า พระองค์ก็ยังทรงบัญชาชะตากรรมของเจ้าอยู่ดี ต่อให้เจ้าไม่สามารถรู้จักอธิปไตยของพระองค์ สิทธิอำนาจของพระองค์ก็ยังคงมีอยู่จริง  สิทธิอำนาจของพระเจ้าและข้อเท็จจริงที่อธิปไตยของพระเจ้าอยู่เหนือชะตากรรมมนุษย์นั้นเป็นอิสระจากเจตจำนงของมนุษย์ และไม่เปลี่ยนแปลงไปตามการเลือกชอบหรือทางเลือกของมนุษย์  สิทธิอำนาจของพระเจ้านั้นอยู่ในทุกแห่งหน ทุกโมงยาม ทุกขณะเวลา  ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะจากไป แต่สิทธิอำนาจของพระองค์จะไม่มีวันจากไป เพราะพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง พระองค์ทรงครองสิทธิอำนาจอันเป็นเอกลักษณ์ และสิทธิอำนาจของพระองค์ไม่ถูกจำกัดหรือขีดคั่นโดยผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งต่างๆ โดยห้วงอวกาศ หรือภูมิประเทศ  ตลอดเวลาทั้งหมด พระเจ้าทรงกวัดไกวสิทธิอำนาจของพระองค์ แสดงพระอิทธิฤทธิ์ของพระองค์ สืบสานพระราชกิจบริหารจัดการของพระองค์ดังพระองค์ได้ทรงทำเสมอ ตลอดเวลาทั้งหมด พระองค์ทรงปกครองทุกสรรพสิ่ง ทรงจัดเตรียมเพื่อทุกสรรพสิ่ง ทรงจัดวางเรียบเรียงทุกสรรพสิ่ง—ดังเช่นที่พระองค์ได้ทรงทำเสมอ  ไม่มีใครเลยที่เปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้  มันคือข้อเท็จจริง มันคือความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยนับแต่ครั้งโบราณกาล!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 136

ท่าทีและการปฏิบัติอันเหมาะสมสำหรับผู้ซึ่งปรารถนาจะนบนอบต่อสิทธิอำนาจของพระเจ้า

ตอนนี้มนุษย์รู้และคำนึงถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้าและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าเหนือชะตากรรมของมนุษย์ด้วยท่าทีอะไร?  นี่คือปัญหาที่แท้จริงปัญหาหนึ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าทุกบุคคล  ในเวลาที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาในชีวิตจริง เจ้าควรรู้จักและเข้าใจสิทธิอำนาจของพระเจ้าและอธิปไตยของพระองค์อย่างไร?  เมื่อเจ้าถูกประจันหน้าด้วยปัญหาเหล่านี้ และไม่รู้ว่าจะทำความเข้าใจ รับมือ และรับประสบการณ์กับมันอย่างไร ท่าทีอะไรที่เจ้าควรนำมาใช้เพื่อแสดงให้เห็นจริงถึงเจตนาของเจ้าที่จะนบนอบ ความอยากที่จะนบนอบ และความเป็นจริงของการนบนอบของเจ้าต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า?  ก่อนอื่น เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะรอคอย จากนั้นเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะแสวงหา แล้วเจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะนบนอบ  “การรอคอย” หมายถึงการรอคอยเวลาของพระเจ้า  การรอผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการเพื่อเจ้า การรอคอยน้ำพระทัยของพระองค์ที่จะค่อยๆ เปิดเผยตัวเองต่อเจ้า  “การแสวงหา” หมายถึง การสังเกตและการทำความเข้าใจพระเจตนาอันเปี่ยมด้วยพระดำริของพระเจ้าที่มีต่อเจ้าโดยผ่านทางผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงวางโครงร่างเอาไว้ การทำความเข้าใจความจริงโดยผ่านทางสิ่งเหล่านั้น การเข้าใจสิ่งที่พวกมนุษย์ต้องทำให้สำเร็จลุล่วงและหนทางต่างๆ ที่พวกเขาต้องยึดถือไว้ การทำความเข้าใจในผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงตั้งใจที่จะสัมฤทธิ์ในมนุษย์และความสำเร็จลุล่วงอะไรที่พระองค์ทรงตั้งใจบรรลุในพวกเขา  “การนบนอบ” แน่นอนว่าย่อมอ้างอิงถึงการยอมรับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงจัดวางเรียบเรียงเอาไว้ การยอมรับในอธิปไตยของพระองค์ และโดยผ่านการยอมรับนี้ มารู้ว่าพระผู้สร้างทรงลิขิตขีดเขียนชะตากรรมมนุษย์อย่างไร พระองค์ทรงจัดหาให้กับมนุษย์ด้วยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างไร พระองค์ทรงพระราชกิจความจริงในมนุษย์อย่างไร  ทุกสรรพสิ่งภายใต้การจัดการเตรียมการและอธิปไตยของพระเจ้าเป็นไปโดยสอดคล้องกับกฎธรรมชาติต่างๆ และหากเจ้าตั้งปณิธานว่าจะยอมให้พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการและลิขิตขีดเขียนทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเจ้า เจ้าควรเรียนรู้ที่จะรอคอย เจ้าควรเรียนรู้ที่จะแสวงหา และเจ้าควรเรียนรู้ที่จะนบนอบ  นี่คือท่าทีที่ทุกบุคคลผู้ซึ่งต้องการที่จะนบนอบต่อสิทธิอำนาจของพระเจ้าต้องนำมาใช้ คุณสมบัติพื้นฐานที่ทุกบุคคลผู้ซึ่งต้องการที่จะยอมรับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าต้องมี  เพื่อที่จะมีท่าทีเช่นนั้น เพื่อที่จะมีคุณสมบัติเช่นนั้น เจ้าต้องทำงานหนักขึ้น  นี่คือหนทางเดียวที่เจ้าสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงที่แท้จริงได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 137

การยอมรับพระเจ้าเป็นองค์เจ้านายผู้ทรงเอกลักษณ์ของเจ้าคือก้าวแรกในการบรรลุความรอด

ความจริงต่างๆ ที่เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าคือความจริงที่ทุกบุคคลต้องคำนึงถึงอย่างจริงจัง ต้องได้รับประสบการณ์และเข้าใจด้วยหัวใจของพวกเขา เพราะความจริงเหล่านี้มีผลต่อชีวิตของทุกบุคคล ต่ออดีต ปัจจุบัน และอนาคตของทุกบุคคล  ต่อหัวเลี้ยวหัวต่ออันสำคัญยิ่งยวดที่ทุกบุคคลต้องผ่านในชีวิต ต่อความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าและท่าทีที่คนเราควรใช้เผชิญกับสิทธิอำนาจของพระเจ้า และต่อบั้นปลายสุดท้ายของทุกบุคคลเป็นธรรมดา  ดังนั้นจึงต้องใช้พลังงานทั้งชีวิตในการรู้จักและทำความเข้าใจความจริงเหล่านี้  เมื่อเจ้ามองดูสิทธิอำนาจของพระเจ้าอย่างตรงๆ เต็มตา เมื่อเจ้ายอมรับอธิปไตยของพระองค์ เจ้าจะค่อยๆ มาตระหนักและเข้าใจความจริงของการดำรงอยู่ของสิทธิอำนาจของพระเจ้า  แต่หากเจ้าไม่เคยระลึกรู้สิทธิอำนาจของพระเจ้า และไม่เคยยอมรับอธิปไตยของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้ามีชีวิตอยู่กี่ปี เจ้าก็จะไม่ได้รับความรู้เกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าแม้แต่น้อยเลย  หากเจ้าไม่รู้จักและเข้าใจสิทธิอำนาจของพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้วไซร้ เมื่อเจ้าไปถึงสุดปลายถนน ต่อให้เจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามาหลายทศวรรษ เจ้าก็จะไม่มีอะไรมาแสดงให้เห็นว่าชีวิตเจ้าสัมฤทธิ์สิ่งใดบ้าง และเจ้าก็จะไม่มีความรู้แม้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าเหนือชะตากรรมมนุษย์เป็นธรรมดา  นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่าเศร้ามากหรอกหรือ?  ดังนั้น ไม่ว่าเจ้าได้เดินมาไกลเพียงใดแล้วในชีวิต ไม่ว่าตอนนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว ไม่ว่าการเดินทางที่เหลือของเจ้าอาจยาวไกลสักเท่าใด ก่อนอื่น เจ้าต้องระลึกรู้สิทธิอำนาจของพระเจ้าและจริงจังกับมัน และยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า พระเจ้าคือองค์เจ้านายผู้ทรงเอกลักษณ์ของเจ้า  การบรรลุความรู้ที่ชัดเจนแม่นยำและการเข้าใจความจริงเหล่านี้เกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าเหนือชะตากรรมมนุษย์คือบทเรียนภาคบังคับสำหรับทุกคน มันคือกุญแจของการรู้จักชีวิตมนุษย์และการบรรลุความจริง  เช่นนั้นคือชีวิตแห่งการทำความรู้จักพระเจ้า เป็นหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของมันที่ทุกคนต้องเผชิญในแต่ละวัน ซึ่งไม่มีใครเลยที่สามารถเลี่ยงหนีได้  หากใครบางคนปรารถนาที่จะใช้ทางลัดในการไปถึงเป้าหมายนี้ เช่นนั้นแล้ว เราบอกเจ้าตอนนี้เลยว่า มันเป็นไปไม่ได้!  หากเจ้าต้องการหลีกหนีอธิปไตยของพระเจ้า นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่!  พระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงองค์เดียวของมนุษย์ พระเจ้าคือองค์เจ้านายแต่เพียงองค์เดียวของชะตากรรมมนุษย์ และดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะลิขิตชะตากรรมของเขาเอง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะก้าวออกนอกชะตากรรมนั้น  ไม่ว่าคนเราจะมีความสามารถมากมายขนาดไหน คนเราก็ไม่สามารถมีอิทธิพลต่อชะตากรรมของผู้อื่น นับประสาอะไรที่จะสามารถจัดวางเรียบเรียง จัดการเตรียมการ ควบคุม หรือเปลี่ยนแปลงชะตากรรมเหล่านั้น  มีเพียงพระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ เท่านั้นที่ทรงลิขิตทุกสรรพสิ่งให้กับมนุษย์  เนื่องจากมีเพียงพระเจ้าพระองค์เองพระผู้ทรงเอกลักษณ์เท่านั้นที่ทรงครองสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์และกุมอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์ มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่เป็นองค์เจ้านายผู้ทรงเอกลักษณ์ของมนุษย์  สิทธิอำนาจของพระเจ้าไม่เพียงกุมอธิปไตยเหนือมนุษยชาติที่ทรงสร้างมาเท่านั้น แต่เหนือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้ทรงสร้างซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดสามารถมองเห็นได้ เหนือหมู่ดาว และเหนือห้วงจักรวาลอีกด้วย  นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจโต้แย้งได้ ข้อเท็จจริงที่ดำรงอยู่จริง ซึ่งไม่มีบุคคลใดหรือสิ่งใดสามารถเปลี่ยนแปลงได้  หากยังมีพวกเจ้าสักคนหนึ่งไม่พึงพอใจกับสิ่งต่างๆ ตามที่พวกมันเป็นอยู่ โดยเชื่อว่าเจ้ามีทักษะหรือความสามารถพิเศษบางอย่าง และยังคิดไปอีกว่าด้วยจังหวะแห่งโชคดีบางอย่าง เจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงรูปการณ์แวดล้อมต่างๆ ในปัจจุบันของเจ้าได้ หรือไม่เช่นนั้นก็หลีกหนีพวกมันได้ หากเจ้าพยายามที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเจ้าเองโดยใช้ความพยายามของมนุษย์ ซึ่งจะส่งผลให้เจ้าโดดเด่นกว่ามิตรสหายของเจ้าและทำให้มีชื่อเสียงและโชควาสนา เช่นนั้นแล้ว เราบอกเจ้าเลยว่า เจ้ากำลังทำสิ่งต่างๆ ให้ยากสำหรับตัวเจ้าเอง เจ้าแค่กำลังหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น เจ้ากำลังขุดหลุมศพให้ตัวเอง!  สักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว เจ้าจะค้นพบว่าตัวเจ้าได้เลือกทางผิดไป และความพยายามต่างๆ ของเจ้านั้นสูญเปล่า  ความทะเยอทะยานของเจ้า ความอยากที่จะดิ้นรนต่อต้านชะตากรรม และการประพฤติปฏิบัติอันผิดมหันต์ของตัวเจ้าเองจะนำเจ้าล่องไปตามถนนที่ไม่มีทางย้อนคืน และเจ้าจะต้องจ่ายราคาที่สาสมกับการกระทำนี้  แม้ว่าในตอนนี้เจ้ามองไม่เห็นความรุนแรงของผลสืบเนื่องที่ตามมา แต่เมื่อเจ้ามีประสบการณ์กับความจริงต่อไปและซึ้งคุณค่าของความจริงอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่า พระเจ้าคือองค์เจ้านายของชะตากรรมมนุษย์ เจ้าจึงจะมาตระหนักอย่างช้าๆ ในสิ่งที่เราพูดถึงในวันนี้และความนัยที่แท้จริงของมัน  การที่เจ้าจะมีหัวใจและจิตวิญญาณอย่างแท้จริงหรือไม่ และการที่เจ้าจะเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งรักความจริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับท่าทีที่เจ้ามีต่ออธิปไตยของพระเจ้าและต่อความจริงว่าเป็นท่าทีแบบใด  โดยธรรมชาติแล้ว นี่จึงเป็นสิ่งที่กำหนดว่าเจ้าสามารถที่จะรู้จักและเข้าใจสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงหรือไม่  หากในชีวิตของเจ้า เจ้าไม่เคยเลยที่จะสำนึกรับรู้ถึงอธิปไตยของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระองค์ และยิ่งไม่เคยระลึกรู้และยอมรับสิทธิอำนาจของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะไร้คุณค่าอย่างถึงที่สุด และไม่ต้องสงสัยเลยว่า เจ้าจะเป็นเป้าของความเกลียดและการปฏิเสธของพระเจ้า อันเนื่องมาจากเส้นทางที่เจ้าได้ใช้เดินและทางเลือกที่เจ้าได้เลือกไป  แต่ในพระราชกิจของพระเจ้า บรรดาผู้ที่สามารถยอมรับการทดสอบของพระองค์ ยอมรับอธิปไตยของพระองค์ นบนอบต่อสิทธิอำนาจของพระองค์ และค่อยๆ ได้รับประสบการณ์จริงของพระวจนะของพระองค์ จะได้บรรลุความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้า และความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับอธิปไตยของพระองค์ พวกเขาจะกลายเป็นขึ้นตรงต่อพระผู้สร้างอย่างแท้จริง  ผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่จะได้รับการช่วยให้รอดอย่างแท้จริง  เพราะพวกเขาได้รู้จักอธิปไตยของพระเจ้าแล้ว เพราะพวกเขาได้ยอมรับมันแล้ว ความซึ้งคุณค่าที่พวกเขามีต่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าเหนือชะตากรรมมนุษย์ ความนบนอบที่พวกเขามีต่ออธิปไตยนั้นเป็นจริงและถูกต้องแม่นยำ เมื่อพวกเขาเผชิญความตาย พวกเขาจะมีจิตใจที่ไม่สะทกสะท้านต่อความตายเหมือนกับโยบ และนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการในทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า โดยไม่มีตัวเลือกของปัจเจกบุคคล ไม่มีความอยากของปัจเจกบุคคล  มีเพียงบุคคลเช่นนั้นเท่านั้นที่จะสามารถหวนคืนไปเคียงข้างพระผู้สร้างในฐานะมนุษย์ทรงสร้างที่แท้จริง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 138

พระบัญชาที่พระยาห์เวห์พระเจ้ามีต่อมนุษย์

ปฐมกาล 2:15-17  พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอาศัยอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและดูแลสวน  พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงตรัสสั่งมนุษย์นั้นว่า “ผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ตามใจชอบ แต่ผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วนั้น ห้ามเจ้ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่”

การล่อลวงหญิงนั้นของงู

ปฐมกาล 3:1-5  ในบรรดาสัตว์ป่าทั้งหมด ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงสร้างนั้น งูฉลาดกว่าทั้งหมด มันถามหญิงนั้นว่า “จริงหรือ?  ที่พระเจ้าตรัสว่า ‘ห้ามพวกเจ้ากินผลจากต้นไม้ทุกต้นในสวนนี้’” หญิงนั้นจึงตอบงูว่า “ผลของต้นไม้ในสวนนี้ เรากินได้ เว้นแต่ผลของต้นไม้ที่อยู่กลางสวนนั้น พระเจ้าตรัสว่า ‘ห้ามพวกเจ้ากินและแตะต้องมัน มิฉะนั้นพวกเจ้าจะตาย’” งูจึงพูดกับหญิงนั้นว่า “พวกเจ้าไม่ใช่ว่าจะต้องตายแน่ เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ว่า พวกเจ้ากินผลจากต้นไม้นั้นวันใด ตาของพวกเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วพวกเจ้าจะเป็นเหมือนอย่างพระเจ้า คือรู้ความดีและความชั่ว”

สองบทตอนนี้คัดมาจากหนังสือปฐมกาลในพระคัมภีร์  พวกเจ้าทุกคนคุ้นเคยกับสองบทตอนนี้หรือไม่?  สองบทตอนนี้เกี่ยวโยงกับเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในปฐมกาล เมื่อครั้งที่มวลมนุษย์ได้ถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องจริง  ก่อนอื่น พวกเรามาดูว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าได้มีพระบัญชาประเภทใดกับอาดัมและเอวา เนื้อหาของพระบัญชานี้สำคัญสำหรับหัวข้อของพวกเราในวันนี้มาก  “พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงตรัสสั่งมนุษย์นั้นว่า ‘ผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ตามใจชอบ แต่ผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วนั้น ห้ามเจ้ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่’”  อะไรคือสิ่งสำคัญในพระบัญชาที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ในบทตอนนี้?  ประการแรก พระเจ้าตรัสบอกมนุษย์ว่าสิ่งใดที่เขาสามารถกินได้ ซึ่งก็คือ ผลไม้จากต้นไม้หลายชนิด  ทั้งหมดนั้นไม่มีอันตรายและไม่มีพิษ สามารถกินได้และกินได้โดยอิสระตามที่มนุษย์ปรารถนา โดยไม่ต้องกังวลและสงสัยเลย  นี่คือส่วนหนึ่งของพระบัญชาของพระเจ้า  อีกส่วนหนึ่งเป็นคำเตือน  ในคำเตือนนี้ พระเจ้าตรัสบอกมนุษย์ว่าเขาต้องไม่กินผลไม้จากต้นไม้แห่งความรู้เกี่ยวกับความดีและความชั่ว  จะเกิดสิ่งใดขึ้นหรือหากเขากินผลจากต้นไม้นี้?  พระเจ้าได้ตรัสบอกมนุษย์ว่า หากเจ้ากินผลจากมัน เจ้าจะตายอย่างแน่นอน  พระวจนะเหล่านี้ตรงไปตรงมาไม่ใช่หรือ?  หากพระเจ้าตรัสบอกเจ้าอย่างนี้ แต่เจ้าไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด เจ้าจะปฏิบัติต่อพระวจนะของพระองค์เสมือนเป็นกฎเกณฑ์หรือคำสั่งที่ต้องเชื่อฟังหรือไม่?  พระวจนะดังกล่าวควรได้รับการเชื่อฟัง  แต่ไม่ว่ามนุษย์จะสามารถเชื่อฟังหรือไม่ พระวจนะของพระเจ้าก็ไม่อ้อมค้อม  พระเจ้าได้ตรัสบอกมนุษย์อย่างชัดเจนยิ่งนักว่าสิ่งใดที่เขาอาจกินได้และสิ่งใดที่เขาไม่อาจกินได้ และจะเกิดอะไรขึ้นหากเขากินสิ่งที่เขาไม่อาจกินได้  ในพระวจนะสั้นๆ ที่พระเจ้าตรัสนี้ เจ้าสามารถเห็นสิ่งใดเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือไม่?  พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าเที่ยงแท้หรือไม่?  มีการหลอกลวงใดๆ หรือไม่?  มีความเท็จใดๆ หรือไม่?  มีการข่มขู่ใดๆ หรือไม่?  (ไม่มี)  พระเจ้าได้ตรัสบอกมนุษย์อย่างซื่อสัตย์ ตามความจริง และอย่างจริงใจถึงสิ่งที่เขาอาจกินได้และสิ่งที่เขาไม่อาจกินได้  พระเจ้าได้ตรัสอย่างชัดเจนและตรงๆ  มีความหมายซ่อนเร้นใดๆ อยู่ในพระวจนะเหล่านี้หรือไม่?  พระวจนะเหล่านี้ไม่ตรงไปตรงมาหรอกหรือ?  มีความจำเป็นต้องคาดคะเนหรือไม่?  ไม่มีความจำเป็นต้องคาดเดาเลย  ความหมายของพระวจนะเหล่านี้ชัดแจ้งในทันทีที่มอง  เมื่อได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ คนเรารู้สึกเข้าใจชัดเจนอย่างครบถ้วนถึงความหมายของมัน  นั่นคือ สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะตรัสและสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะแสดงออกนั้นมาจากพระทัยของพระองค์  สิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงแสดงนั้นสะอาด ตรงไปตรงมา และชัดเจน  ไม่มีสิ่งจูงใจแอบแฝง อีกทั้งไม่มีความหมายซ่อนเร้นใดๆ  พระองค์ตรัสกับมนุษย์โดยตรง ทรงบอกเขาถึงสิ่งที่เขาอาจกินได้และสิ่งที่เขาไม่อาจกินได้  กล่าวคือ โดยผ่านทางพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า มนุษย์สามารถมองเห็นได้ว่าพระทัยของพระเจ้านั้นโปร่งใสและเที่ยงแท้  ไม่มีร่องรอยของความเท็จในที่นี้ นั่นไม่ใช่กรณีของการบอกเจ้าว่าเจ้าไม่อาจกินสิ่งที่กินได้ หรือการบอกเจ้าว่า “จงกินแล้วดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น” กับสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่สามารถกินได้  พระเจ้าไม่ได้ทรงหมายถึงการนี้  ไม่ว่าพระเจ้าดำริสิ่งใดในพระทัยของพระองค์ นั่นคือสิ่งที่พระองค์ตรัส  หากเราพูดว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์เพราะพระองค์ทรงแสดงและเปิดเผยพระองค์เองภายในพระวจนะเหล่านี้ในหนทางนี้ เจ้าก็อาจรู้สึกว่าเราทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ หรือว่าเราได้ขยายประเด็นออกไปค่อนข้างไกลเกิน  หากเป็นเช่นนั้น จงอย่ากังวลเลย พวกเรายังไม่แล้วเสร็จ

ตอนนี้พวกเรามาพูดคุยกันเกี่ยวกับ “การล่อลวงหญิงนั้นของงู” กันเถิด  ผู้ใดคืองูนั้น?  ซาตาน  มันเล่นบทตัวประกอบเสริมความเด่นในแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า และนั่นเป็นบทบาทที่พวกเราต้องกล่าวถึงเมื่อพวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  หากเจ้าไม่รู้จักความชั่วและความเสื่อมทรามของซาตาน หากเจ้าไม่รู้จักธรรมชาติของซาตาน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่มีทางที่จะรับรู้ความบริสุทธิ์ และเจ้าไม่สามารถรู้ว่าจริงๆ แล้วความบริสุทธิ์คือสิ่งใด  ผู้คนเชื่อด้วยความสับสนว่าสิ่งที่ซาตานทำนั้นถูกต้อง เพราะพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ภายในอุปนิสัยที่เสื่อมทรามประเภทนี้  เมื่อไม่มีตัวประกอบเสริมความเด่น ไม่มีจุดเปรียบเทียบ เจ้าก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าความบริสุทธิ์คือสิ่งใด  นั่นคือเหตุผลที่ซาตานต้องถูกกล่าวพาดพิงในที่นี้  การกล่าวพาดพิงดังกล่าวไม่ใช่การพูดคุยที่ว่างเปล่า  พวกเราจะมองเห็นโดยผ่านทางคำพูดและความประพฤติซาตานว่าซาตานกระทำการอย่างไร ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามอย่างไร และสิ่งใดคือธรรมชาติและโฉมหน้าของซาตาน  ดังนั้นแล้ว หญิงนั้นได้กล่าวสิ่งใดกับงูหรือ?  หญิงนั้นได้เล่าให้งูฟังว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าได้ตรัสสิ่งใดแก่นาง  เมื่อนางได้กล่าวคำพูดเหล่านี้ นางมั่นใจหรือไม่ว่าสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสกับนางนั้นเที่ยงแท้?  นางไม่สามารถแน่ใจได้  ในฐานะใครบางคนที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ๆ นางไม่มีความสามารถที่จะแยกแยะความดีออกจากความชั่ว และนางไม่มีความคิดอ่านใดๆ เกี่ยวกับสิ่งใดรอบตัวนางเลย  เมื่อตัดสินจากคำพูดที่นางพูดกับงู นางไม่แน่ใจในหัวใจของนางว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นถูกต้อง ท่าทีของนางเป็นเช่นนั้น  ดังนั้น เมื่องูมองเห็นว่าหญิงนั้นมีท่าทีของความไม่มั่นใจต่อพระวจนะของพระเจ้า มันจึงได้กล่าวว่า “พวกเจ้าไม่ใช่ว่าจะต้องตายแน่ เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ว่า พวกเจ้ากินผลจากต้นไม้นั้นวันใด ตาของพวกเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วพวกเจ้าจะเป็นเหมือนอย่างพระเจ้า คือรู้ความดีและความชั่ว”  มีสิ่งใดเป็นปัญหาในคำพูดเหล่านี้หรือไม่?  เมื่อพวกเจ้าอ่านประโยคนี้ พวกเจ้ามีสำนึกรับรู้เกี่ยวกับเจตนาของงูหรือไม่?  เจตนาเหล่านั้นคือสิ่งใด?  มันต้องการที่จะทดลองหญิงผู้นี้ ต้องการให้นางเลิกใส่ใจพระวจนะของพระเจ้า  แต่มันไม่ได้พูดสิ่งเหล่านี้โดยตรง  ด้วยเหตุนี้ พวกเราสามารถกล่าวได้ว่ามันฉลาดแกมโกงมาก  มันแสดงจุดมุ่งหมายของมันออกมาในหนทางที่กลับกลอกและหลบหลีกเพื่อที่จะเข้าถึงวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ของมัน ซึ่งมันปกปิดไว้ภายในใจของมัน ซ่อนเร้นจากมนุษย์—เช่นนั้นคือความฉลาดแกมโกงของงู  นี่คือหนทางของการพูดและการกระทำของซาตานตลอดมา  มันพูดว่า “ไม่แน่” โดยไม่ได้ยืนยันทางหนึ่งทางใด  แต่เมื่อได้ยินดังนี้ หัวใจของหญิงที่ไม่รู้เท่าทันคนนี้ก็หวั่นไหว  งูนั้นจึงยินดี เพราะคำพูดของมันมีผลตามที่อยากได้แล้ว—เช่นนั้นคือเจตนาที่ฉลาดแกมโกงของงูนั้น  ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการสัญญาถึงผลสุดท้ายที่ดูเหมือนน่าพึงปรารถนาสำหรับมนุษย์ มันได้ล่อลวงนางโดยกล่าวว่า “พวกเจ้ากินผลจากต้นไม้นั้นวันใด ตาของพวกเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น” ดังนั้นนางจึงครุ่นคิดว่า “การที่ตาของฉันสว่างขึ้นย่อมเป็นสิ่งที่ดี!”  และเมื่อนั้นมันจึงได้พูดบางอย่างที่เป็นการชักนำมากขึ้นไปอีก เป็นคำพูดที่มนุษย์ไม่เคยรู้จักมาก่อน คำพูดที่มีอำนาจทดลองอันใหญ่หลวงเหนือบรรดาผู้ที่ได้ยิน นั่นคือ “พวกเจ้าจะเป็นเหมือนอย่างพระเจ้า คือรู้ความดีและความชั่ว”  คำพูดเหล่านี้ไม่เป็นการล่อลวงมนุษย์อย่างทรงพลังหรอกหรือ?  มันเป็นเหมือนการที่ใครบางคนพูดกับเจ้าว่า “ใบหน้าของเธอมีรูปทรงที่น่าอัศจรรย์ เสียแต่ว่าดั้งจมูกของเธอสั้นไปนิด  หากเธอแก้ไขตรงนั้น เช่นนั้นแล้วเธอก็จะสวยระดับโลกไปเลย!”  คำพูดเหล่านี้จะขับเคลื่อนหัวใจของใครบางคนที่ไม่เคยมีความอยากที่จะทำศัลยกรรมความงามมาก่อนเลยหรือไม่?  คำพูดเหล่านี้ไม่เป็นการล่อลวงหรอกหรือ?  การล่อลวงนี้ไม่ใช่กำลังทดลองเจ้าหรอกหรือ?  และนี่ไม่ใช่การทดลองหรอกหรือ?  (ใช่)  พระเจ้าตรัสสิ่งทั้งหลายอย่างนี้หรือไม่?  มีเค้าอันใดของการนี้ในพระวจนะของพระเจ้าที่พวกเราเพิ่งได้อ่านไปอย่างละเอียดเมื่อครู่หรือไม่?  พระเจ้าตรัสสิ่งที่พระองค์ดำริในพระทัยของพระองค์หรือไม่?  มนุษย์สามารถมองเห็นพระทัยของพระเจ้าโดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์ได้หรือไม่?  (ได้)  แต่เมื่องูกล่าวคำพูดเหล่านั้นกับหญิงนั้น เจ้าสามารถมองเห็นหัวใจของมันได้หรือไม่?  ไม่ได้  และเนื่องจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์ มนุษย์จึงถูกคำพูดของงูล่อลวงโดยง่าย แล้วก็ติดเบ็ดอย่างง่ายดาย  ดังนั้นแล้ว เจ้าสามารถมองเห็นเจตนาของซาตานหรือไม่?  เจ้าสามารถมองเห็นจุดประสงค์เบื้องหลังสิ่งที่ซาตานพูดหรือไม่?  เจ้าสามารถมองเห็นแผนร้ายและเล่ห์กระเท่ห์ของซาตานได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  วิธีพูดของซาตานเป็นตัวแทนของอุปนิสัยประเภทใด?  เจ้าได้เห็นเนื้อแท้ประเภทใดในตัวซาตานโดยผ่านทางคำพูดเหล่านี้?  มันไม่แฝงเล่ห์ร้ายหรอกหรือ?  บางทีทางเปลือกนอกมันยิ้มให้เจ้า หรือบางทีมันไม่เผยการแสดงออกใดๆ ก็ตามทางสีหน้าเลย  แต่ในหัวใจของมันนั้น มันกำลังคิดคำนวณอยู่ว่าจะได้มาซึ่งวัตถุประสงค์ของมันอย่างไร และเป็นวัตถุประสงค์นี้นี่เองที่เจ้าไม่สามารถมองเห็นได้  สัญญาทั้งหมดที่มันทำกับเจ้า ข้อได้เปรียบทั้งหมดที่มันพรรณนานั้นคือหน้ากากที่อำพรางการล่อลวงของมัน  เจ้ามองเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งดี ดังนั้น เจ้าจึงรู้สึกว่าสิ่งที่มันพูดมีประโยชน์มากกว่า มีสาระสำคัญมากกว่าสิ่งที่พระเจ้าตรัส  เมื่อการนี้เกิดขึ้น มนุษย์จะไม่กลายเป็นนักโทษผู้นบนอบหรอกหรือ?  กลยุทธ์ที่ซาตานใช้ไม่เลวทรามต่ำช้าหรอกหรือ?  เจ้ายอมให้ตัวเจ้าเองจมลงสู่ความเสื่อม  เจ้ากลายเป็นมีความสุขที่จะติดตามซาตานไป ทำตามซาตาน โดยที่ซาตานไม่ต้องกระดิกนิ้ว แต่แค่พูดสองประโยคนี้เท่านั้น  ด้วยเหตุนี้ ซาตานจึงบรรลุวัตถุประสงค์  เจตนานี้ไม่ได้ชั่วร้ายเลวทรามหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่โฉมหน้าดั้งเดิมที่สุดของซาตานหรอกหรือ?  จากคำพูดของซาตาน มนุษย์สามารถมองเห็นแรงจูงใจอันชั่วร้ายเลวทรามของมัน มองเห็นโฉมหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวของมันและมองเห็นเนื้อแท้ของมัน  นั่นไม่เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ?  หากเปรียบเทียบประโยคเหล่านี้โดยไม่วิเคราะห์ บางทีเจ้าอาจรู้สึกราวกับว่าพระวจนะของพระยาห์เวห์พระเจ้านั้นจืดชืด ไม่น่าสนใจ และไม่มีความแปลกใหม่ รู้สึกว่าพระวจนะเหล่านั้นไม่ควรแก่การบรรยายอย่างกระตือรือร้นเพื่อสรรเสริญความซื่อสัตย์ของพระเจ้าในที่นี้  อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเราเข้าใจคำพูดของซาตานและโฉมหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวของซาตานในฐานะตัวประกอบเสริมความเด่น พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าไม่มีความหมายต่อผู้คนในวันนี้อย่างมีนัยสำคัญหรอกหรือ?  (มี)  มนุษย์สามารถสำนึกรับรู้ความไร้ตำหนิอันพิสุทธิ์ของพระเจ้าโดยผ่านทางการเปรียบเทียบนี้  ทุกคำที่ซาตานพูด ตลอดจนแรงจูงใจ เจตนา และวิธีพูดของซาตาน—ทั้งหมดนั้นล้วนมีสิ่งเจือปน  ลักษณะสำคัญหลักๆ ในวิธีการพูดของซาตานคือสิ่งใด?  ซาตานใช้การพูดอ้อมค้อมเพื่อล่อลวงเจ้า โดยไม่ปล่อยให้เจ้ามองทะลุการตีสองหน้าของมัน อีกทั้งไม่ยอมให้เจ้าหยั่งรู้วัตถุประสงค์ของมัน ซาตานปล่อยเจ้าฮุบเหยื่อ แต่แล้วเจ้ายังต้องสรรเสริญและร้องขับขานคุณความดีของมันอีกด้วย  ลูกเล่นนี้ไม่ใช่วิธีการที่ซาตานเลือกทำจนเป็นนิสัยหรอกหรือ?  (ใช่)

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 4

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 139

บทสนทนาระหว่างซาตานกับพระยาห์เวห์พระเจ้า (บทตอนที่คัดมา)

โยบ 1:6-11  อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเหล่าทูตสวรรค์มารายงานตัวต่อพระยาห์เวห์ ซาตานได้มาในหมู่เขาด้วย พระยาห์เวห์ตรัสถามซาตานว่า “เจ้ามาจากไหน?”  ซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า “จากไปๆ มาๆ บนแผ่นดินโลก และจากเดินไปเรื่อยๆ บนนั้น” และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย?”  แล้วซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า “โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆ หรือ?  พระองค์ไม่ได้ทรงกั้นรั้วรอบตัวเขา ครอบครัวของเขา และทุกสิ่งที่เขามีอยู่เสียทุกด้านหรือ?  พระองค์ได้ทรงอวยพรงานที่มือเขาทำ และฝูงปศุสัตว์ของเขาได้ทวีขึ้นในแผ่นดิน แต่ขอยื่นพระหัตถ์แตะต้องสิ่งของทั้งสิ้นที่เขามีอยู่ แล้วเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์”

โยบ 2:1-5  และอยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเหล่าทูตสวรรค์มารายงานตัวต่อพระยาห์เวห์ ซาตานได้มาในหมู่เขา เพื่อรายงานตัวต่อพระยาห์เวห์ด้วย และพระยาห์เวห์ตรัสถามซาตานว่า “เจ้ามาจากไหน?”  ซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า “จากไปๆ มาๆ บนแผ่นดินโลก และจากเดินไปเรื่อยๆ บนนั้น” และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย?  เขายังยึดมั่นในความซื่อสัตย์ของเขาอยู่ ถึงแม้เจ้าชวนเราให้ต่อสู้กับเขา เพื่อทำลายเขาโดยไม่มีเหตุ” แล้วซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า “หนังแทนหนัง คนย่อมให้ทุกอย่างที่เขามีอยู่แทนชีวิตของเขา แต่บัดนี้ขอเหยียดพระหัตถ์แตะต้องกระดูกและเนื้อของเขา แล้วเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์”

สองบทตอนนี้ประกอบด้วยบทสนทนาระหว่างพระเจ้ากับซาตานทั้งสิ้น โดยบันทึกสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสและสิ่งที่ซาตานได้พูด  พระเจ้าไม่ได้ตรัสมากมาย และพระองค์ตรัสอย่างเรียบง่ายยิ่งนัก  พวกเราสามารถมองเห็นความบริสุทธิ์ของพระเจ้าภายในพระวจนะที่เรียบง่ายของพระองค์ได้หรือไม่?  บางคนจะพูดว่าการนี้ไม่ใช่ทำได้อย่างง่ายดาย  ดังนั้นแล้ว พวกเราสามารถมองเห็นความน่าเกลียดน่ากลัวของซาตานในคำตอบของมันได้หรือไม่?  ก่อนอื่นพวกเรามาดูว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าได้ตรัสถามคำถามประเภทใดกับซาตาน  “เจ้ามาจากไหน?”  นี่ไม่ใช่คำถามที่ตรงไปตรงมาหรอกหรือ?  มีความหมายซ่อนเร้นใดๆ หรือไม่?  ย่อมไม่มี นี่เป็นเพียงคำถามที่ตรงไปตรงมาคำถามหนึ่งเท่านั้น  หากเราจะถามพวกเจ้าว่า “เจ้ามาจากไหน?”  เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจะตอบอย่างไร?  มันเป็นคำถามที่ตอบยากหรือ?  พวกเจ้าจะกล่าวว่า “จากไปๆ มาๆ และจากเดินไปเรื่อยๆ” หรือไม่?  (ไม่)  พวกเจ้าคงจะไม่ตอบเยี่ยงนี้  ดังนั้นแล้วพวกเจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อพวกเจ้าเห็นซาตานตอบแบบนี้?  (พวกเรารู้สึกว่าซาตานกำลังไร้สาระ แต่ก็เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงด้วย)  พวกเจ้าบอกได้หรือไม่ว่าเรากำลังรู้สึกอย่างไร?  ทุกครั้งที่เรามองเห็นคำพูดเหล่านี้ของซาตาน เรารู้สึกขยะแขยง เพราะซาตานพูดคุย ทว่าคำพูดของมันก็ไม่บรรจุเนื้อหาสาระเอาไว้เลย  ซาตานได้ตอบคำถามของพระเจ้าหรือไม่?  ไม่ คำที่ซาตานพูดนั้นไม่ใช่คำตอบ คำพูดเหล่านั้นไม่ได้ให้อะไร  คำพูดเหล่านั้นไม่ใช่คำตอบต่อคำถามของพระเจ้า  “จากไปๆ มาๆ บนแผ่นดินโลก และจากเดินไปเรื่อยๆ บนนั้น”  พวกเจ้าเข้าใจคำพูดเหล่านี้ว่าอย่างไร?  ซาตานมาจากไหนหรือ?  พวกเจ้าได้รับคำตอบของคำถามนี้หรือไม่?  (ไม่)  นี่คือ “อัจฉริยภาพ” แห่งกลอุบายฉลาดแกมโกงของซาตาน—ไม่ปล่อยให้ผู้ใดค้นพบว่าที่จริงแล้วมันกำลังพูดสิ่งใด  เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว เจ้าก็ยังคงไม่สามารถหยั่งรู้สิ่งที่มันพูดไปแล้วได้ ถึงแม้ว่ามันได้ตอบคำถามเสร็จแล้วก็ตาม  แม้กระนั้นซาตานก็เชื่อว่ามันได้ตอบคำถามอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว  เช่นนั้นแล้วเจ้ารู้สึกอย่างไร?  ขยะแขยงหรือไม่?  (ใช่)  ตอนนี้พวกเจ้าเริ่มรู้สึกขยะแขยงคำพูดเหล่านี้  คำพูดของซาตานมีลักษณะอย่างหนึ่งคือ สิ่งที่ซาตานพูดทำให้เจ้าต้องเกาศีรษะ ไร้ความสามารถที่จะล่วงรู้ที่มาของคำพูดของมัน  บางครั้งซาตานมีเหตุจูงใจและพูดอย่างจงใจ และบางครั้งเมื่อถูกธรรมชาติของมันเองกำกับควบคุม คำพูดเหล่านี้ก็หลอมรวมกันไปเองและตรงออกมาจากปากของซาตาน  ซาตานไม่ได้ใช้เวลาชั่งน้ำหนักคำพูดเหล่านี้นานนัก แต่กลับกล่าวคำพูดเหล่านี้โดยไม่คิด  เมื่อพระเจ้าตรัสถามซาตานว่ามันมาจากไหน ซาตานจึงตอบด้วยคำพูดที่กำกวมไม่กี่คำ  เจ้ารู้สึกฉงนฉงายมาก ไม่มีวันรู้อย่างแน่ชัดว่าซาตานมาจากที่ใด  มีใครในหมู่พวกเจ้าพูดเยี่ยงนี้บ้างหรือไม่?  นี่เป็นวิธีพูดประเภทใดกัน?  (มันกำกวมและไม่ให้คำตอบที่แน่ชัด)  พวกเราควรใช้คำพูดประเภทใดเพื่อบรรยายวิธีพูดแบบนี้?  คำพูดว่ามันทำให้ไขว้เขวและชวนให้เข้าใจไปในทางที่ผิด  สมมุติว่าใครบางคนไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าพวกเขาทำสิ่งใดเมื่อวานนี้  เจ้าถามพวกเขาว่า “ฉันเห็นเธอเมื่อวานนี้ เธอกำลังไปไหนหรือ?”  พวกเขาไม่บอกเจ้าโดยตรงว่าพวกเขาไปที่ใด  ตรงกันข้าม พวกเขากล่าวว่า “เมื่อวานนี้เป็นวันอะไรก็ไม่รู้  ช่างน่าเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก!”  พวกเขาได้ตอบคำถามของเจ้าหรือไม่?  พวกเขาตอบ แต่พวกเขาไม่ได้ให้คำตอบที่เจ้าต้องการ  นี่คือ “อัจฉริยภาพ” ที่อยู่ภายในชั้นเชิงแห่งวาทะของมนุษย์  เจ้าไม่มีวันสามารถค้นพบว่าพวกเขาหมายความถึงสิ่งใด อีกทั้งไม่สามารถล่วงรู้แหล่งที่มาหรือเจตนาของคำพูดของพวกเขา  เจ้าไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพยายามที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งใดเพราะพวกเขามีเรื่องราวของพวกเขาเองอยู่ในหัวใจของพวกเขา—นี่คือแฝงเล่ห์ร้าย  มีพวกเจ้าคนใดที่มักจะพูดในหนทางนี้ด้วยหรือไม่?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้วจุดประสงค์ของพวกเจ้าคือสิ่งใด?  บางครั้งมันเป็นไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพวกเจ้าเอง บางครั้งเพื่อรักษาความภาคภูมิใจ ตำแหน่ง และภาพลักษณ์ของพวกเจ้าเอง เพื่อปกป้องความลับในชีวิตส่วนตัวของพวกเจ้าเอาไว้ใช่หรือไม่?  ไม่ว่าจะเป็นจุดประสงค์อะไรก็ตาม มันไม่สามารถแยกจากผลประโยชน์ของพวกเจ้าได้ มันเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ของพวกเจ้า  นี่ไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์หรอกหรือ?  ทุกคนที่มีธรรมชาติเยี่ยงนี้ หากไม่ใช่ครอบครัวของซาตาน ก็ย่อมสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมัน  พวกเราสามารถพูดเช่นนี้ได้ไม่ใช่หรือ?  กล่าวโดยทั่วไปแล้ว การสำแดงนี้น่ารังเกียจและและน่าชิงชัง  บัดนี้ พวกเจ้ารู้สึกขยะแขยงด้วยเช่นกันมิใช่หรือ?  (ใช่)

พวกเรามาดูข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้กันเถิด ซาตานตอบคำถามของพระยาห์เวห์อีกครั้งโดยกล่าวว่า “โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆ หรือ?”  ซาตานกำลังเปิดฉากโจมตีการประเมินโยบของพระยาห์เวห์ และการโจมตีนี้ก็ย้อมไปด้วยสีแห่งความไม่เป็นมิตร  “พระองค์ไม่ได้ทรงกั้นรั้วรอบตัวเขา ครอบครัวของเขา และทุกสิ่งที่เขามีอยู่เสียทุกด้านหรือ?”  นี่คือความเข้าใจและการประเมินที่ซาตานมีเกี่ยวกับพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทรงทำกับโยบ  ซาตานประเมินพระราชกิจนั้นเยี่ยงนี้ โดยกล่าวว่า “พระองค์ได้ทรงอวยพรงานที่มือเขาทำ และฝูงปศุสัตว์ของเขาได้ทวีขึ้นในแผ่นดิน แต่ขอยื่นพระหัตถ์แตะต้องสิ่งของทั้งสิ้นที่เขามีอยู่ แล้วเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์”  ซาตานพูดอย่างกำกวมเสมอ แต่ในที่นี้มันกลับพูดอย่างแน่ชัด  อย่างไรก็ตาม คำพูดเหล่านี้ถึงแม้ว่าจะพูดอย่างแน่ชัด แต่ก็เป็นการโจมตี การหมิ่นประมาท และการกระทำที่เยาะเย้ยท้าทายพระยาห์เวห์พระเจ้า ต่อพระเจ้าพระองค์เอง  พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้?  พวกเจ้ารู้สึกไม่ชอบใจใช่หรือไม่?  พวกเจ้าสามารถมองเห็นเจตนาของซาตานอย่างทะลุปรุโปร่งหรือไม่?  ก่อนอื่น ซาตานปฏิเสธการประเมินที่พระยาห์เวห์ทรงมีต่อโยบ—มนุษย์ผู้ซึ่งยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ต่อจากนั้นซาตานก็ปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่โยบพูดและทำ กล่าวคือ มันปฏิเสธความยำเกรงที่เขามีต่อพระยาห์เวห์  นี่ไม่ใช่การกล่าวหาหรอกหรือ?  ซาตานกำลังกล่าวหา กำลังปฏิเสธ และกำลังตั้งข้อสงสัยกับทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงกระทำและตรัส  มันไม่เชื่อ โดยกล่าวว่า “หากพระองค์ตรัสสิ่งทั้งหลายเยี่ยงนี้ เช่นนั้นแล้ว ข้าพระองค์มองไม่เห็นมันได้อย่างไร?  พระองค์ประทานพรมากมายยิ่งนักให้แก่เขา ดังนั้น เขาจะไม่ยำเกรงพระองค์ได้อย่างไร?”  นี่ไม่ใช่การปฏิเสธทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำหรอกหรือ?  การกล่าวหา การปฏิเสธ การหมิ่นประมาท—คำพูดของซาตานไม่ใช่การเล่นงานหรอกหรือ?  คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่การแสดงออกที่แท้จริงถึงสิ่งที่ซาตานคิดอยู่ในหัวใจของมันหรอกหรือ?  คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่แบบเดียวกันกับคำพูดที่พวกเราอ่านกันอยู่ในตอนนี้อย่างแน่นอน นั่นคือ “จากไปๆ มาๆ บนแผ่นดินโลก และจากเดินไปเรื่อยๆ บนนั้น”  คำพูดเหล่านี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  โดยผ่านทางคำพูดเหล่านี้ ซาตานได้ตีแผ่เนื้อหาในหัวใจของมันอย่างสมบูรณ์—ซึ่งก็คือ ท่าทีที่มันมีต่อพระเจ้าและการที่มันเกลียดความยำเกรงพระเจ้าของโยบ  เมื่อการนี้เกิดขึ้น เจตนาร้ายและธรรมชาติที่ชั่วร้ายของมันก็ถูกเปิดโปงอย่างสมบูรณ์  มันเกลียดบรรดาผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า เกลียดบรรดาผู้ที่หลบเลี่ยงความชั่ว และยิ่งเกลียดพระยาห์เวห์ที่ประทานพรแก่มนุษย์มากยิ่งกว่านั้นอีก  มันต้องการที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อทำลายโยบ ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงยกชูด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง เพื่อทำให้เขาล่มจม โดยกล่าวว่า “พระองค์ตรัสว่าโยบยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่ว  ข้าพระองค์เห็นต่างออกไป”  มันใช้หนทางต่างๆ นานาเพื่อยั่วยุและทดลองพระยาห์เวห์ และใช้ลูกเล่นต่างๆ นานาเพื่อให้พระยาห์เวห์พระเจ้าส่งตัวโยบให้ซาตานบงการ ทำอันตราย และทารุณกรรมตามใจชอบ  มันต้องการที่จะฉวยโอกาสนี้ทำลายมนุษย์ผู้นี้ซึ่งชอบธรรมและมีความเพียบพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า  ซาตานมีหัวใจประเภทนี้เพียงเพราะแรงกระตุ้นชั่ววูบใช่หรือไม่?  ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น  มันใช้เวลานานถึงกลายมาเป็นเช่นนี้  เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจ ดูแลบุคคลผู้หนึ่ง และทรงเฝ้ามองบุคคลผู้นี้ และเมื่อพระองค์ทรงโปรดปรานและให้ความเห็นชอบในตัวบุคคลผู้นี้ ซาตานย่อมตามไปอย่างใกล้ชิด พยายามจะหลอกและทำร้ายบุคคลดังกล่าว  หากพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะได้บุคคลผู้นี้เอาไว้ ซาตานก็จะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในอำนาจของมันเพื่อขัดขวางพระเจ้า ใช้ลูกเล่นชั่วร้ายต่างๆ นานาเพื่อทดลองพระราชกิจของพระเจ้า ทำให้พระราชกิจหยุดชะงักและลดทอนพระราชกิจ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ที่ซ่อนเร้นของมัน  วัตถุประสงค์นี้คืออะไร?  มันไม่ต้องการให้พระเจ้าได้รับผู้ใดสักคน  มันต้องการช่วงชิงผู้ที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะได้ไว้มาครอบครองเสียเอง มันต้องการที่จะควบคุมพวกเขา กำกับดูแลพวกเขาเพื่อให้พวกเขาเคารพบูชามัน เพื่อให้พวกเขาเข้าร่วมกับมันในการกระทำความชั่วและต้านทานพระเจ้า  นี่ไม่ใช่แรงจูงใจที่ชั่วร้ายเลวทรามของซาตานหรอกหรือ?  พวกเจ้ามักจะกล่าวบ่อยครั้งว่าซาตานนั้นชั่วยิ่งนัก แย่ยิ่งนัก แต่พวกเจ้าเคยมองเห็นมันแล้วหรือ?  พวกเจ้าสามารถมองเห็นได้ว่ามวลมนุษย์แย่อย่างไร พวกเจ้ายังมองไม่เห็นว่าซาตานตัวจริงแย่อย่างไร  กระนั้นในเรื่องของโยบ พวกเจ้าก็ได้สังเกตดูอย่างชัดแจ้งแล้วว่าซาตานชั่วเพียงใดกันแน่  เรื่องนี้ได้ทำให้โฉมหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวของซาตานและแก่นแท้ของมันแจ่มชัดมาก  ในการทำสงครามกับพระเจ้า และในการสะกดรอยตามมาข้างหลังพระองค์นั้น วัตถุประสงค์ของซาตานคือเพื่อรื้อทำลายพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำ เพื่อยึดครองและควบคุมบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะได้รับ เพื่อทำให้บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะได้รับนั้นดับสิ้นไปโดยสิ้นเชิง  หากพวกเขาไม่ถูกทำให้ดับสิ้นไป เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะมาเป็นสิ่งครอบครองของซาตาน เพื่อให้มันใช้งาน—นี่คือวัตถุประสงค์ของมัน  แล้วพระเจ้าทรงทำสิ่งใดเล่า?  พระเจ้าตรัสเพียงประโยคที่เรียบง่ายในบทตอนนี้เท่านั้น ไม่มีบันทึกเพิ่มเติมถึงสิ่งใดที่พระเจ้าทรงทำอีก แต่พวกเรากลับเห็นว่ามีบันทึกเพิ่มเติมอีกมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่ซาตานทำและพูด  ในบทตอนต่อไปนี้จากข้อพระคัมภีร์ พระยาห์เวห์ตรัสถามซาตานว่า “เจ้ามาจากไหน?”  คำตอบของซาตานเป็นอย่างไร?  (นั่นยังคงเป็น “จากไปๆ มาๆ บนแผ่นดินโลก และจากเดินไปเรื่อยๆ บนนั้น”)  นั่นยังคงเป็นประโยคเดียวกันนั้นเอง  นี่ได้กลายมาเป็นคติประจำใจของซาตาน นามบัตรของซาตาน  การนี้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?  ไม่ใช่ว่าซาตานจงเกลียดจงชังหรอกหรือ?  แน่นอนว่าการเอ่ยประโยคที่น่าขยะแขยงนี้เพียงแค่ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว  เหตุใดซาตานจึงคอยกล่าวมันซ้ำๆ?  นี่พิสูจน์สิ่งหนึ่ง นั่นก็คือ ธรรมชาติของซาตานนั้นไม่เปลี่ยนแปลง  ซาตานไม่สามารถใช้การเสแสร้งมาปกปิดใบหน้าอันอัปลักษณ์ของมันได้  พระเจ้าตรัสถามคำถามหนึ่งกับมันและนี่คือวิธีที่มันตอบ  ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วไซร้ ก็จงจินตนาการดูว่ามันจะต้องปฏิบัติต่อมนุษย์อย่างไร!  ซาตานไม่กลัวพระเจ้า ไม่ยำเกรงพระเจ้า และไม่เชื่อฟังพระเจ้า  ดังนั้นมันจึงกล้าที่จะทะลึ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าตามใจชอบ กล้าที่จะใช้คำพูดเดียวกันนี้เพื่อปัดคำถามของพระเจ้าทิ้ง กล้าที่จะใช้คำตอบเดียวกันนี้ซ้ำๆ กับคำถามของพระเจ้า กล้าที่จะพยายามใช้คำตอบนี้สร้างความประหลาดใจสับสนให้กับพระเจ้า—นี่คือใบหน้าอันอัปลักษณ์ของซาตาน  มันไม่เชื่อในความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า ไม่เชื่อในสิทธิอำนาจของพระเจ้า และแน่นอนว่าไม่เต็มใจที่จะนบนอบต่ออำนาจครอบครองของพระเจ้า  มันต่อต้านพระเจ้าอยู่เนืองนิตย์ โดยโจมตีทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำเป็นเนืองนิตย์ พยายามที่จะทำให้ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำอับปางลง—นี่คือวัตถุประสงค์ชั่วร้ายของมัน

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 4

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 140

บทสนทนาระหว่างซาตานกับพระยาห์เวห์พระเจ้า (บทตอนที่คัดมา)

โยบ 1:6-11  อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเหล่าทูตสวรรค์มารายงานตัวต่อพระยาห์เวห์ ซาตานได้มาในหมู่เขาด้วย พระยาห์เวห์ตรัสถามซาตานว่า “เจ้ามาจากไหน?”  ซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า “จากไปๆ มาๆ บนแผ่นดินโลก และจากเดินไปเรื่อยๆ บนนั้น” และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย?”  แล้วซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า “โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆ หรือ?  พระองค์ไม่ได้ทรงกั้นรั้วรอบตัวเขา ครอบครัวของเขา และทุกสิ่งที่เขามีอยู่เสียทุกด้านหรือ?  พระองค์ได้ทรงอวยพรงานที่มือเขาทำ และฝูงปศุสัตว์ของเขาได้ทวีขึ้นในแผ่นดิน แต่ขอยื่นพระหัตถ์แตะต้องสิ่งของทั้งสิ้นที่เขามีอยู่ แล้วเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์”

โยบ 2:1-5  และอยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเหล่าทูตสวรรค์มารายงานตัวต่อพระยาห์เวห์ ซาตานได้มาในหมู่เขา เพื่อรายงานตัวต่อพระยาห์เวห์ด้วย และพระยาห์เวห์ตรัสถามซาตานว่า “เจ้ามาจากไหน?”  ซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า “จากไปๆ มาๆ บนแผ่นดินโลก และจากเดินไปเรื่อยๆ บนนั้น” และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย?  เขายังยึดมั่นในความซื่อสัตย์ของเขาอยู่ ถึงแม้เจ้าชวนเราให้ต่อสู้กับเขา เพื่อทำลายเขาโดยไม่มีเหตุ” แล้วซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า “หนังแทนหนัง คนย่อมให้ทุกอย่างที่เขามีอยู่แทนชีวิตของเขา แต่บัดนี้ขอเหยียดพระหัตถ์แตะต้องกระดูกและเนื้อของเขา แล้วเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์”

ดังที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือโยบนั้น วาทะสองบทตอนที่ซาตานได้เปล่งออกไปและสิ่งทั้งหลายที่ซาตานได้ทำนั้นแสดงให้เห็นการต้านทานที่มันมีต่อพระเจ้าในแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์—ในที่นี้ ตัวตนที่แท้จริงของซาตานได้ถูกเปิดเผยออกมา  เจ้าได้มองเห็นคำพูดและความประพฤติของซาตานในชีวิตจริงแล้วหรือยัง?  เมื่อเจ้ามองเห็นสิ่งเหล่านั้น เจ้าอาจไม่คิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ซาตานพูด แต่กลับคิดว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์พูดแทน  เมื่อสิ่งทั้งหลายเช่นนี้ถูกมนุษย์พูดออกไป นั่นแสดงให้เห็นถึงสิ่งใดหรือ?  นั่นแสดงให้เห็นถึงซาตาน  ต่อให้เจ้าระลึกรู้ เจ้าก็ยังคงไม่สามารถล่วงรู้ว่าจริงๆ แล้วนั่นเป็นสิ่งที่ซาตานพูด  แต่ในที่นี้และในตอนนี้เจ้าได้เห็นอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่ซาตานได้พูดด้วยตัวมันเอง  ตอนนี้เจ้ามีความเข้าใจที่กระจ่างชัด ไม่อ้อมค้อม เกี่ยวกับโฉมหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวและความชั่วของซาตาน  ดังนั้นสองบทตอนที่ซาตานได้พูดไปนี้มีคุณค่าในการช่วยให้ผู้คนในวันนี้ได้รับความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของซาตานหรือไม่?  สองบทตอนนี้มีค่าคู่ควรแก่การสงวนรักษาอย่างพิถีพิถันหรือไม่ เพื่อที่มวลมนุษย์ในวันนี้จะสามารถระลึกรู้โฉมหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวของซาตานได้ สามารถระลึกรู้โฉมหน้าดั้งเดิมที่แท้จริงของซาตานได้?  ถึงแม้ว่านี่อาจดูเหมือนเป็นสิ่งซึ่งไม่ถูกต้องเหมาะสมที่จะพูด แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม คำพูดเหล่านี้ เมื่อกล่าวเช่นนี้ ก็สามารถพิจารณาได้ว่าถูกต้องแม่นยำ  แท้จริงแล้วนี่เป็นเพียงหนทางเดียวที่เราสามารถแสดงแนวคิดนี้ได้ และหากพวกเจ้าสามารถเข้าใจแนวคิดดังกล่าวได้ เช่นนั้นแล้ว นั่นก็เพียงพอแล้ว  ซาตานโจมตีสิ่งทั้งหลายที่พระยาห์เวห์ทรงทำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยกล่าวหาความยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของโยบ  ซาตานพยายามที่จะยั่วยุพระยาห์เวห์ด้วยวิธีการต่างๆ นานา โดยพยายามที่จะให้พระยาห์เวห์ไม่ทรงเอาผิดการทดลองโยบของมัน  เพราะฉะนั้นคำพูดต่างๆ ของมันจึงมีลักษณะยั่วยุอย่างมาก  ดังนั้น จงบอกเราที ทันทีที่ซาตานได้กล่าวคำพูดเหล่านี้ พระเจ้าสามารถทอดพระเนตรเห็นสิ่งที่ซาตานต้องการทำได้อย่างชัดเจนหรือไม่?  (ทรงเห็นได้)  ในพระทัยของพระเจ้า โยบ มนุษย์ที่พระองค์ทรงเฝ้ามองคนนี้—ผู้รับใช้ของพระเจ้าคนนี้ที่พระเจ้าทรงถือว่าเป็นคนชอบธรรม คนเพียบพร้อม—เขาสามารถทานทนต่อการทดลองประเภทนี้ได้หรือไม่?  (ทนได้)  เหตุใดพระเจ้าจึงแน่พระทัยยิ่งนักเกี่ยวกับการนั้น?  พระเจ้าทรงตรวจสอบหัวใจของมนุษย์อยู่เสมอหรือ?  (ใช่)  แล้วซาตานสามารถตรวจสอบหัวใจของมนุษย์หรือไม่?  ซาตานทำไม่ได้  ต่อให้ซาตานสามารถมองเห็นหัวใจของเจ้า ธรรมชาติอันชั่วของมันก็จะไม่มีวันปล่อยให้มันเชื่อว่าความบริสุทธิ์คือความบริสุทธิ์ หรือว่าความโสมมคือความโสมม  ซาตานชั่วไม่มีวันสามารถมองเห็นคุณค่าของสิ่งใดที่บริสุทธิ์ ชอบธรรม หรือสว่างสดใสได้  ซาตานอดไม่ได้ที่จะกระทำการไปตามธรรมชาติของมัน ความชั่วของมัน อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย และโดยผ่านทางวิธีการอันเป็นนิสัยของมัน  ถึงแม้ต้องแลกด้วยการที่ตัวมันเองถูกพระเจ้าทรงลงโทษหรือทำลาย มันก็ไม่ลังเลที่จะต่อต้านพระเจ้าอย่างดื้อด้าน—นี่คือความชั่ว นี่คือธรรมชาติของซาตาน  ดังนั้น ในบทตอนนี้ซาตานจึงพูดว่า “หนังแทนหนัง คนย่อมให้ทุกอย่างที่เขามีอยู่แทนชีวิตของเขา แต่บัดนี้ขอเหยียดพระหัตถ์แตะต้องกระดูกและเนื้อของเขา แล้วเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์”  ซาตานคิดว่าความยำเกรงพระเจ้าของมนุษย์นั้นเป็นเพราะมนุษย์ได้มาซึ่งข้อได้เปรียบมากมายยิ่งนักจากพระเจ้า  มนุษย์ได้มาซึ่งข้อได้เปรียบทั้งหลายจากพระเจ้า ดังนั้นเขาจึงพูดว่าพระเจ้าทรงดีงาม  แต่นั่นไม่ใช่เพราะพระเจ้าทรงดีงาม นั่นเป็นเพียงเพราะมนุษย์ได้มาซึ่งข้อได้เปรียบมากมายยิ่งนักต่างหาก เขาจึงสามารถยำเกรงพระเจ้าในหนทางนี้ได้  ทันทีที่พระเจ้าทรงลิดรอนข้อได้เปรียบเหล่านี้ไปจากเขา เมื่อนั้นเขาก็จะละทิ้งพระเจ้า  ในธรรมชาติที่ชั่วร้ายของซาตานนั้น มันไม่เชื่อว่าหัวใจมนุษย์สามารถยำเกรงพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  เนื่องเพราะธรรมชาติอันชั่วของมัน มันจึงไม่รู้ว่าความบริสุทธิ์คือสิ่งใด นับประสาอะไรที่จะรู้ว่าความเคารพอย่างยำเกรงนั้นคือสิ่งใด  มันไม่รู้ว่าการเชื่อฟังพระเจ้าคือสิ่งใดหรือการยำเกรงพระเจ้าคือสิ่งใด  เนื่องเพราะมันไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ มันจึงคิดว่ามนุษย์ไม่สามารถยำเกรงพระเจ้าด้วยเช่นกัน  จงบอกเรามา ซาตานไม่ชั่วหรอกหรือ?  นอกจากคริสตจักรของเราแล้ว ไม่มีศาสนาและนิกายใด หรือกลุ่มทางศาสนาและทางสังคมใดเลยที่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า นับประสาอะไรที่พวกเขาจะเชื่อว่าพระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และกำลังปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษา ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าสิ่งที่เจ้าเชื่อไม่ใช่พระเจ้า  มนุษย์ที่สำส่อนมองไปรอบตัวเขาและมองเห็นคนอื่นทุกคนว่าสำส่อนเช่นเดียวกับเขา  มนุษย์ที่ปลิ้นปล้อนมองไปรอบตัวเขาและเห็นแต่เพียงความไม่ซื่อสัตย์และคำโกหก  มนุษย์ที่ชั่วมองเห็นคนอื่นทุกคนว่าชั่วและต้องการที่จะต่อสู้กับทุกคนที่เขามองเห็น  บรรดาผู้ที่มีความซื่อสัตย์อยู่ประมาณหนึ่งย่อมมองคนอื่นทุกคนว่าซื่อสัตย์ ดังนั้นพวกเขาจึงถูกหลอกอยู่เสมอ ถูกโกงอยู่เสมอ และพวกเขาไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับการนั้นได้เลย  เราให้ตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับพวกเจ้า กล่าวคือ ธรรมชาติอันชั่วของซาตานไม่ใช่แรงผลักดันเพียงชั่วประเดี๋ยวหรือถูกกำหนดพิจารณาโดยรูปการณ์แวดล้อม อีกทั้งไม่ใช่การสำแดงชั่วคราวที่เกิดจากเหตุผลหรือปัจจัยเชิงบริบทใดๆ  ไม่ใช่โดยสิ้นเชิง!  ซาตานเพียงอดไม่ได้ที่จะเป็นแบบนี้!  มันไม่สามารถทำสิ่งใดที่ดีได้  ถึงแม้เมื่อมันพูดบางสิ่งบางอย่างที่น่ายินดีเข้าหู มันก็แค่เป็นไปเพื่อล่อลวงเจ้า  ยิ่งคำพูดของมันน่ายินดีมากขึ้นเท่าใด แยบคายมากขึ้นเท่าใด สุภาพมากขึ้นเท่าใด เจตนาเบื้องหลังคำพูดเหล่านี้ก็ยิ่งมุ่งร้ายและชั่วร้ายเลวทรามมากขึ้นเท่านั้น  ซาตานแสดงใบหน้าประเภทใดและธรรมชาติประเภทใดในสองบทตอนนี้?  (ยอกย้อน มุ่งร้าย และชั่ว)  ลักษณะเฉพาะเบื้องต้นของซาตานคือความชั่ว ซาตานนั้นชั่วและมุ่งร้ายเหนืออื่นใดทั้งหมด

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 4

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 141

พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์และได้ทรงนำชีวิตของมวลมนุษย์นับแต่นั้นเรื่อยมา  ไม่ว่าจะเป็นการประทานพระพรแก่มวลมนุษย์ การทรงสร้างธรรมบัญญัติและพระบัญญัติทั้งหลายให้แก่มนุษย์ หรือการวางกฎเกณฑ์ต่างๆ สำหรับชีวิต พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าจุดมุ่งหมายตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าในการทรงทำสิ่งเหล่านี้คือสิ่งใด?  ก่อนอื่น เจ้าสามารถพูดด้วยความแน่ใจได้หรือไม่ว่า ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำนั้นเป็นไปเพื่อช่วยมวลมนุษย์?  นี่อาจดูเหมือนเป็นคำพูดที่อลังการและไร้ค่าไม่จริงใจสำหรับพวกเจ้า แต่เมื่อตรวจดูรายละเอียดภายในแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำนั้นมีเจตนารมณ์ที่จะนำทางและนำมนุษย์ไปสู่การดำรงชีวิตแบบปกติมิใช่หรือ?  ไม่ว่าจะเป็นการทำให้มนุษย์ยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทั้งหลายของพระองค์หรือรักษาธรรมบัญญัติทั้งหลายของพระองค์ จุดมุ่งหมายของพระเจ้าก็คือเพื่อไม่ให้มนุษย์ตกไปสู่การเคารพบูชาซาตานและไม่ให้ถูกซาตานทำอันตราย นี่คือพื้นฐานสำคัญที่สุด และนี่คือสิ่งที่ได้ทรงทำในตอนแรกเริ่มสุด  ในตอนแรกเริ่มสุด เมื่อมนุษย์ยังไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้านั้น พระเจ้าได้ทรงสร้างธรรมบัญญัติและกฎเกณฑ์บางอย่างที่เรียบง่ายและได้สร้างกฎข้อบังคับที่ครอบคลุมทุกเรื่องที่พอจะนึกได้  กฎข้อบังคับเหล่านี้เรียบง่าย ทว่าภายในกฎข้อบังคับเหล่านี้ก็บรรจุน้ำพระทัยของพระเจ้าเอาไว้  พระเจ้าทรงทะนุถนอมความล้ำค่า อุ้มชู และรักมวลมนุษย์อย่างสุดซึ้ง  ดังนั้น พวกเราสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระทัยของพระองค์นั้นบริสุทธิ์?  พวกเราสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระทัยของพระองค์นั้นสะอาด?  (ได้)  พระเจ้าทรงมีสิ่งจูงใจเพิ่มเติมใดๆ หรือไม่?  (ไม่มี)  ดังนั้น จุดมุ่งหมายนี้ของพระองค์ถูกต้องและเป็นบวกใช่หรือไม่?  ในครรลองแห่งพระราชกิจของพระเจ้า กฎข้อบังคับทั้งหมดที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นนั้นมีผลเชิงบวกต่อมนุษย์ นำทางให้แก่มนุษย์  ดังนั้นแล้ว ในพระทัยของพระเจ้ามีพระดำริที่เห็นแก่ประโยชน์ของพระองค์เองบ้างหรือไม่?  พระเจ้าทรงมีจุดมุ่งหมายอันใดเพิ่มเติมเกี่ยวกับมนุษย์บ้างหรือไม่?  พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะใช้ประโยชน์จากมนุษย์ในหนทางใดบ้างหรือไม่?  ไม่แม้แต่นิดเดียว  พระเจ้าทรงทำดังเช่นที่พระองค์ตรัส และพระวจนะและการกระทำของพระองค์สอดคล้องกันกับพระดำริในพระทัยของพระองค์  ไม่มีจุดประสงค์ที่ด่างพร้อย ไม่มีพระดำริที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนพระองค์  ไม่มีสิ่งใดเลยที่พระองค์ทรงทำที่เป็นไปเพื่อพระองค์เอง ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำนั้น พระองค์ทรงทำเพื่อมนุษย์ โดยไม่มีวัตถุประสงค์ส่วนพระองค์ใดๆ  ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงมีแผนและเจตนารมณ์ทั้งหลาย ซึ่งพระองค์ทรงวางให้กับมนุษย์ แต่ไม่มีส่วนใดในนั้นเลยที่เป็นไปเพื่อพระองค์เอง  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำล้วนทำไปเพื่อมวลมนุษย์ เพื่อปกป้องมวลมนุษย์ เพื่อป้องกันมวลมนุษย์จากการถูกชักนำให้หลงผิด ดังนั้น พระทัยของพระองค์นี้ไม่ล้ำค่าหรอกหรือ?  เจ้าสามารถมองเห็นแม้กระทั่งเครื่องบ่งชี้ขนาดเล็กจิ๋วที่สุดของหัวใจซึ่งล้ำค่าเช่นนั้นในตัวซาตานได้หรือไม่?  เจ้าไม่สามารถมองเห็นเค้าเงื่อนเกี่ยวกับการนี้ในตัวซาตานแม้แต่น้อย เจ้าไม่สามารถมองเห็นได้เลย  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำถูกเปิดเผยอย่างเป็นธรรมชาติ  บัดนี้ พวกเรามาดูวิธีที่พระเจ้าทรงพระราชกิจกันเถิด พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์อย่างไร?  พระเจ้าทรงเอาธรรมบัญญัติเหล่านี้และพระวจนะของพระองค์มามัดรอบศีรษะของทุกบุคคลอย่างแน่นหนาเหมือนคาถารัดเกล้า[ก]  อันเป็นการบังคับใช้สิ่งเหล่านั้นกับมนุษย์ทุกคนหรือไม่?  พระองค์ทรงพระราชกิจในหนทางนี้หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ดังนั้นพระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์ในหนทางใด?  พระองค์ทรงข่มขู่หรือไม่?  พระองค์ทรงอ้อมค้อมเวลาตรัสกับพวกเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  เมื่อเจ้าไม่เข้าใจความจริง พระเจ้าทรงนำเจ้าอย่างไร?  พระองค์ทรงฉายความสว่างบนตัวเจ้า โดยตรัสบอกเจ้าอย่างชัดเจนว่าการทำเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับความจริง และแล้วพระองค์ก็ตรัสบอกเจ้าว่าเจ้าควรทำสิ่งใด  จากหนทางที่พระเจ้าทรงใช้ทำพระราชกิจนี้ เจ้ารู้สึกว่าเจ้ามีสัมพันธภาพประเภทใดกับพระเจ้า?  เจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าทรงอยู่เกินเอื้อมหรือไม่?  (ไม่)  ดังนั้น เจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อเจ้ามองเห็นหนทางเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงใช้ทำพระราชกิจ?  พระวจนะของพระเจ้านั้นจริงเป็นพิเศษ และสัมพันธภาพที่พระองค์ทรงมีกับมนุษย์ก็ปกติเป็นพิเศษ  พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิดกับเจ้าเป็นพิเศษ ไม่มีระยะห่างระหว่างเจ้ากับพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงนำเจ้า เมื่อพระองค์ทรงจัดเตรียมให้เจ้า ทรงช่วยเจ้าและทรงสนับสนุนเจ้า เจ้ารู้สึกได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นกันเองเพียงใด รู้สึกถึงความเคารพที่มีพระองค์เป็นแรงบันดาลใจ เจ้ารู้สึกได้ว่าพระองค์ทรงน่ารักน่าชื่นชมเพียงใด เจ้ารู้สึกถึงความอบอุ่นของพระองค์  แต่เมื่อพระเจ้าทรงตำหนิเจ้าเรื่องความเสื่อมทราม หรือเมื่อพระองค์ทรงพิพากษาและบ่มวินัยเจ้าในเรื่องที่กบฏต่อพระองค์ พระองค์ทรงใช้วิธีการใด?  พระองค์ทรงตำหนิเจ้าด้วยพระวจนะหรือไม่?  พระองค์ทรงบ่มวินัยเจ้าโดยผ่านทางสภาพแวดล้อมของเจ้าและโดยผ่านทางผู้คน กิจธุระ และสิ่งทั้งหลายหรือไม่?  (ใช่)  พระเจ้าทรงบ่มวินัยเจ้าถึงขอบเขตใด?  พระเจ้าทรงบ่มวินัยมนุษย์ถึงระดับเดียวกันกับที่ซาตานทำอันตรายมนุษย์หรือไม่?  (ไม่ พระเจ้าทรงบ่มวินัยมนุษย์เพียงถึงขอบเขตที่มนุษย์สามารถสู้ทนได้)  พระเจ้าทรงพระราชกิจในหนทางที่สุภาพ ละเอียดอ่อน น่ารักน่าชื่นชม และใส่พระทัย ในหนทางที่ถูกต้องเหมาะสมและผ่านการไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบเหนือธรรมดา  หนทางของพระองค์ไม่ยั่วยุปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เข้มข้นในตัวเจ้า เช่น  “พระเจ้าต้องทรงยอมให้ข้าพระองค์ทำการนี้” หรือ “พระเจ้าต้องทรงยอมให้ข้าพระองค์ทำการนั้น”  พระเจ้าไม่เคยทรงมอบความตึงเครียดทางจิตใจหรือทางอารมณ์ประเภทที่ทำให้สิ่งทั้งหลายเกินจะแบกรับได้แก่เจ้า  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  แม้กระทั่งเมื่อเจ้ายอมรับพระวจนะแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า จากนั้น เจ้ารู้สึกอย่างไร?  เมื่อเจ้าสำนึกรับรู้ถึงสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้า และแล้ว เจ้ารู้สึกอย่างไร?  เจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าทรงศักดิ์สิทธิ์และไม่อาจฝ่าฝืนได้หรือไม่?  เจ้ารู้สึกถึงระยะห่างระหว่างตัวเจ้าเองกับพระเจ้าในเวลาเหล่านี้หรือไม่?  เจ้ารู้สึกถึงความยำเกรงพระเจ้าหรือไม่?  ไม่—แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้ารู้สึกเคารพอย่างยำเกรงต่อพระเจ้าต่างหาก  ไม่ใช่เพราะพระราชกิจของพระเจ้าหรอกหรือที่ผู้คนรู้สึกถึงสิ่งทั้งหมดนี้?  พวกเขาจะมีความรู้สึกเหล่านี้หรือไม่หากว่าซาตานเป็นผู้ทำงานนี้?  ไม่อย่างแน่นนอนที่สุด  พระเจ้าทรงใช้พระวจนะของพระองค์ ความจริงของพระองค์ และพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อจัดเตรียมให้มนุษย์ เพื่อสนับสนุนมนุษย์อย่างต่อเนื่อง  เมื่อมนุษย์อ่อนแอ เมื่อมนุษย์กำลังรู้สึกท้อแท้ แน่นอนว่าพระเจ้าไม่ตรัสอย่างเกรี้ยวกราด โดยการตรัสว่า  “ห้ามรู้สึกท้อแท้  มีสิ่งใดให้ต้องท้อแท้หรือ?  เหตุใดเจ้าจึงอ่อนแอ?  มีเหตุผลใดให้ต้องอ่อนแอหรือ?  เจ้าอ่อนแอยิ่งนัก และเจ้าคิดลบยิ่งนักตลอดเวลา!  มีประโยชน์อันใดในการที่เจ้ามีชีวิตอยู่เล่า?  จงตายไปเสียและให้มันจบไปเสียที!”  พระเจ้าทรงพระราชกิจในหนทางนี้หรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจที่จะกระทำการในหนทางนี้หรือไม่?  ย่อมมี พระองค์ทรงมี  กระนั้นพระเจ้าก็ไม่ทรงกระทำการในหนทางนี้  เหตุผลที่พระเจ้าไม่ทรงกระทำการในหนทางนี้ก็เป็นเพราะแก่นแท้ของพระองค์ แก่นแท้แห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ความรักที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ การมองมนุษย์ว่าล้ำค่าและการทะนุถนอมมนุษย์ของพระองค์ไม่สามารถแสดงออกได้อย่างชัดเจนด้วยประโยคเพียงแค่หนึ่งหรือสองประโยค  นั่นไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นจากการอวดตัวของมนุษย์ แต่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่พระเจ้าทรงนำออกมาจากการปฏิบัติจริง นั่นเป็นการเปิดเผยถึงแก่นแท้ของพระเจ้า  หนทางทั้งหมดเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงใช้ทำพระราชกิจสามารถทำให้มนุษย์มองเห็นความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้หรือไม่?  ในหนทางทั้งหมดเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงใช้ทำพระราชกิจ รวมทั้งเจตนารมณ์ที่ดีของพระเจ้า รวมทั้งผลที่พระเจ้าทรงปรารถนาให้เกิดกับมนุษย์ รวมถึงหนทางแตกต่างกันที่พระเจ้าทรงนำมาใช้เพื่อทรงพระราชกิจกับมนุษย์ พระราชกิจประเภทที่พระองค์ทรงทำ สิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ให้มนุษย์เข้าใจ—เจ้าได้เห็นความชั่วหรือความหลอกลวงใดๆ ในเจตนารมณ์อันดีของพระเจ้าบ้างหรือไม่?  (ไม่เห็น)  ดังนั้นในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าตรัส ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ดำริในพระทัยของพระองค์ ตลอดจนแก่นแท้ของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเปิดเผยนั้น—พวกเราสามารถเรียกพระเจ้าว่าบริสุทธิ์ได้หรือไม่?  (ได้)  มีมนุษย์คนใดเคยได้เห็นความบริสุทธิ์นี้ในโลกหรือภายในตัวเขาเองหรือไม่?  นอกเหนือจากพระเจ้าแล้ว เจ้าเคยได้เห็นสิ่งนี้ในตัวมนุษย์คนใดหรือในซาตานหรือไม่?  (ไม่เคย)  ตามที่พวกเราหารือกันมาจนถึงตอนนี้ พวกเราสามารถเรียกพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์ว่า พระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงบริสุทธิ์ได้หรือไม่?  (ได้)  ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงมอบแก่มนุษย์ รวมทั้งพระวจนะของพระเจ้า หนทางแตกต่างกันที่พระเจ้าทรงใช้ทำพระราชกิจกับมนุษย์ สิ่งที่พระเจ้าตรัสบอกมนุษย์ สิ่งที่พระเจ้าทรงเตือนความจำแก่มนุษย์ สิ่งที่พระองค์ทรงแนะนำและหนุนใจ—ทั้งหมดล้วนมีต้นกำเนิดมาจากแก่นแท้หนึ่งเดียว นั่นก็คือ ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  หากไม่มีพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์เช่นนั้น ก็ย่อมไม่มีมนุษย์คนใดสามารถแทนที่พระองค์เพื่อทำพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำ  หากพระเจ้าได้ทรงส่งมอบมนุษย์เหล่านี้ให้แก่ซาตานจนหมด พวกเจ้าเคยพิจารณากันหรือไม่ว่าพวกเจ้าทั้งหมดจะอยู่ในสภาพเงื่อนไขประเภทใดในวันนี้?  พวกเจ้าทั้งหมดจะยังนั่งอยู่ในที่นี้อย่างพร้อมมูลและไม่ถูกล่วงล้ำทำลายกระนั้นหรือ?  เจ้าจะกล่าวด้วยว่า “จากไปๆ มาๆ บนแผ่นดินโลก และจากเดินไปเรื่อยๆ บนนั้น” หรือไม่?  เจ้าจะเป็นคนหน้าทนเหลือเกิน มั่นใจเกินเหตุและถือดีเหลือเกินจนกล้ากล่าวคำพูดเช่นนั้นและอวดตัวโดยไม่ละอายเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรือไม่?  เจ้าจะเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน โดยไม่มีข้อสงสัยเลย!  ท่าทีที่ซาตานมีต่อมนุษย์เปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นว่าแก่นแท้ธรรมชาติของซาตานนั้นแตกต่างไปจากแก่นแท้ธรรมชาติของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  มีสิ่งใดเกี่ยวกับแก่นแท้ของซาตานที่ตรงกันข้ามกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าหรือ?  (ความชั่วของซาตาน)  ธรรมชาติอันชั่วของซาตานเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เหตุผลที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ระลึกรู้วิวรณ์แห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้านี้และแก่นแท้แห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้านี้ ก็เพราะพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน ภายในความเสื่อมทรามของซาตานและภายในวงล้อมแห่งชีวิตของซาตาน  พวกเขาไม่รู้ว่าความบริสุทธิ์คือสิ่งใด หรือจะนิยามความบริสุทธิ์ว่าอย่างไร  ถึงแม้เมื่อเจ้าล่วงรู้ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เจ้าก็ยังคงไม่สามารถนิยามสิ่งนั้นได้อย่างมั่นใจว่าเป็นความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  นี่คือความแตกต่างที่สังเกตเห็นได้ภายในความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 4

เชิงอรรถ:

ก. “คาถารัดเกล้า” คือ คาถาที่พระถังซัมจั๋งใช้ในนิยายจีนเรื่องไซอิ๋ว  เขาใช้คาถานี้เพื่อควบคุมซุนหงอคง ด้วยการรัดห่วงโลหะรอบศีรษะของฝ่ายหลัง ซึ่งทำให้เขาปวดศีรษะอย่างรุนแรง และด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาตกอยู่ภายใต้การควบคุม  นั่นได้กลายเป็นคำอุปมาเพื่อพรรณนาถึงบางสิ่งบางอย่างที่ผูกมัดบุคคลหนึ่งไว้


พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 142

อะไรคือลักษณะของงานที่ซาตานทำกับมนุษย์?  พวกเจ้าควรเรียนรู้การนี้โดยผ่านทางประสบการณ์ของพวกเจ้าเอง—นั่นคือลักษณะตามแบบฉบับของซาตาน เป็นสิ่งที่มันทำซ้ำๆ สิ่งที่มันพยายามทำกับทุกผู้คน  บางทีพวกเจ้าอาจไม่สามารถมองเห็นลักษณะพิเศษนี้ ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่รู้สึกว่าซาตานน่าขวัญผวาและน่าเกลียดยิ่งนัก  ผู้ใดบ้างที่รู้ว่าลักษณะพิเศษนี้คือสิ่งใด?  (มันล่อใจ ชักจูงและทดลองมนุษย์)  นั่นถูกต้อง เหล่านี้คือหลากหลายหนทางที่ลักษณะพิเศษนี้สำแดงออกมา  ซาตานยังลวงตา โจมตีและกล่าวหามนุษย์ด้วย—เหล่านี้ล้วนเป็นการสำแดงของมัน  ยังมีอีกหรือไม่?  (มันพูดโกหก)  การโกงและการโกหกเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดสำหรับซาตาน  มันมักจะทำสิ่งเหล่านี้บ่อยๆ  นอกจากนี้ยังสั่งการแก่ผู้คน ยุแยงพวกเขา บีบบังคับให้พวกเขาทำสิ่งต่างๆ ออกคำสั่ง และบีบให้พวกเขากลายเป็นคนของมัน  บัดนี้ เราจะบรรยายบางสิ่งบางอย่างให้พวกเจ้าฟัง ซึ่งจะทำให้พวกเจ้าขนลุก แต่เราไม่ได้ทำเพื่อให้พวกเจ้าตกใจกลัว  พระเจ้าทรงพระราชกิจกับมนุษย์และทรงทะนุถนอมมนุษย์ทั้งในท่าทีของพระองค์และในพระทัยของพระองค์  ในทางกลับกัน ซาตานไม่ได้ทะนุถนอมมนุษย์แต่อย่างใด และมันใช้เวลาทั้งหมดที่มันมีคิดหาวิธีทำร้ายมนุษย์  นี่ย่อมเป็นดังนี้มิใช่หรือ?  เมื่อมันกำลังคิดเกี่ยวกับการทำอันตรายมนุษย์ สภาวะทางจิตของมันเป็นสภาวะของความเร่งด่วนหรือไม่?  (เป็น)  ดังนั้น ในแง่ของงานที่ซาตานทำกับมนุษย์ เรามีสองวลีที่สามารถบรรยายความชั่วและความมุ่งร้ายของซาตานได้อย่างถึงขนาด และสามารถเปิดโอกาสให้พวกเจ้ารู้จักความน่าเกลียดชังของซาตานได้อย่างแท้จริง กล่าวคือ ในการเข้าหามนุษย์ของซาตานนั้น มันมักต้องการที่จะบังคับยึดครองและครอบครองมนุษย์ทุกๆ คน จนถึงขอบเขตที่มันสามารถเข้าควบคุมมนุษย์ได้แบบเต็มที่และทำอันตรายมนุษย์ได้อย่างแสนสาหัส เพื่อให้มันสามารถสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของมันและทำให้ความทะเยอทะยานอันป่าเถื่อนของมันลุล่วงได้  คำว่า “บังคับยึดครอง” หมายความว่าอย่างไร?  มันคือบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นด้วยความยินยอมของเจ้า หรือโดยที่เจ้าไม่ยินยอมกันแน่?  มันเกิดขึ้นโดยที่เจ้ารู้ หรือโดยที่เจ้าไม่รู้กันแน่?  คำตอบก็คือว่า มันเกิดขึ้นโดยที่เจ้าไม่รู้โดยสิ้นเชิง!  มันเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เจ้าไม่ตระหนักรู้ บางครั้งอาจจะโดยที่มันไม่แม้กระทั่งพูดหรือทำสิ่งใดกับเจ้า ไม่มีเรื่องราว ไม่มีบริบท—ซาตานอยู่ตรงนั้นละ กำลังวนเวียนดูลาดเลา ตีวงโอบล้อมเจ้า  มันมองหาโอกาสที่จะหาประโยชน์และแล้วมันจะบังคับยึดครองเจ้า ครอบครองเจ้า สัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของมันในการได้ควบคุมเจ้าอย่างเต็มที่และในการทำให้เจ้าเป็นอันตราย  นี่คือเจตนาและพฤติกรรมที่เป็นแบบฉบับเฉพาะตัวที่สุดของซาตานในขณะที่มันดิ้นรนที่จะกระชากมวลมนุษย์ไปจากพระเจ้า  พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินเช่นนี้?  (หวาดกลัวและหวั่นเกรงอยู่ในหัวใจของพวกเรา)  พวกเจ้ารู้สึกขยะแขยงหรือไม่?  (รู้สึก)  ในขณะที่พวกเจ้ารู้สึกถึงความขยะแขยงนี้ พวกเจ้าคิดว่าซาตานไร้ยางอายหรือไม่?  เมื่อพวกเจ้าคิดว่าซาตานไร้ยางอาย แล้วพวกเจ้ารู้สึกขยะแขยงผู้คนเหล่านั้นรอบตัวเจ้าที่ต้องการควบคุมพวกเจ้าอยู่เสมอ พวกที่ทะเยอทะยานอย่างป่าเถื่อนเพื่อสถานะและผลประโยชน์หรือไม่?  (รู้สึก)  ดังนั้น ซาตานใช้วิธีการใดเพื่อบังคับครอบครองและยึดครองมนุษย์?  พวกเจ้าเข้าใจการนี้ชัดเจนหรือไม่?  เมื่อพวกเจ้าได้ยินสองคำนี้คือ “การบังคับยึดครอง” และ “การครอบครอง” พวกเจ้ารู้สึกขยะแขยง และพวกเจ้าสามารถสำนึกรับรู้ถึงความชั่วร้ายในคำเหล่านี้  ซาตานครอบครองเจ้า บังคับยึดครองเจ้า และทำให้เจ้าเสื่อมทรามโดยที่เจ้าทั้งไม่ยินยอมและไม่รู้ตัว  เจ้าสามารถลิ้มรสสิ่งใดในหัวใจของเจ้า?  เจ้ารู้สึกเกลียดและขยะแขยงหรือไม่?  (รู้สึก)  เมื่อเจ้ารู้สึกถึงการเกลียดและความขยะแขยงนี้ต่อหนทางเหล่านี้ของซาตาน เจ้ามีความรู้สึกประเภทใดต่อพระเจ้า?  (สำนึกรู้คุณ)  สำนึกรู้คุณต่อพระเจ้าสำหรับการช่วยเจ้าให้รอด  ดังนั้นตอนนี้ ณ ชั่วขณะนี้ เจ้ามีความอยากหรือเจตจำนงที่จะยอมให้พระเจ้าทรงเข้าถือครองและควบคุมทั้งหมดที่เจ้ามีและที่เจ้าเป็นหรือไม่?  (มี)  เจ้าตอบเช่นนี้ในบริบทใด?  เจ้าพูดว่า “มี” เพราะเจ้ากลัวการถูกซาตานบังคับยึดครองและครอบครองใช่หรือไม่?  (ใช่)  เจ้าต้องไม่มีความรู้สึกนึกคิดประเภทนี้  มันไม่ถูกต้อง  จงอย่ากลัว เพราะพระเจ้าสถิตอยู่ที่นี่  ไม่มีสิ่งใดที่ต้องกลัว  ทันทีที่เจ้าได้เข้าใจแก่นแท้ที่ชั่วร้ายของซาตานแล้ว เจ้าควรจะมีความเข้าใจที่ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้นหรือการทะนุถนอมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อความรักของพระเจ้า เจตนารมณ์ที่ดีของพระเจ้า ความเมตตาสงสารและความยอมผ่อนปรนต่อมนุษย์ของพระเจ้าและพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระเจ้า  ซาตานนั้นน่าเกลียดชังยิ่งนัก แต่ทว่าหากการนี้ยังคงไม่บันดาลใจให้เจ้าเกิดความรักต่อพระเจ้า และให้เจ้าพึ่งพาและไว้วางใจในพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้านับเป็นบุคคลประเภทใดกัน?  เจ้าเต็มใจที่จะยอมให้ซาตานทำอันตรายเจ้าเช่นนั้นหรือ?  หลังจากได้เห็นความชั่วและความน่าเกลียดน่ากลัวของซาตานแล้ว พวกเราก็หันกลับมาดูพระเจ้ากันเถิด  ความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้าได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงอันใดแล้วหรือยังในตอนนี้?  พวกเราสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์?  พวกเราสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงไร้ตำหนิ?  “พระเจ้าคือความบริสุทธิ์อันมีเอกลักษณ์”—พระเจ้าทรงสามารถดำรงพระองค์ตามสมญานามนี้ได้หรือไม่?  (ได้)  ดังนั้น ในโลกนี้และท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง มีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นมิใช่หรือที่สามารถดำรงพระองค์ตามความเข้าใจนี้ที่มนุษย์มีเกี่ยวกับพระเจ้า?  (ใช่)  ดังนั้น  แท้ที่จริงแล้วพระเจ้าทรงมอบสิ่งใดให้มนุษย์กันแน่?  พระองค์เพียงแค่ทรงมอบการดูแล ความใส่พระทัย และการคำนึงถึงให้แก่เจ้าเพียงเล็กน้อยโดยที่เจ้าไม่ตระหนักรู้เลยกระนั้นหรือ?  พระเจ้าได้ทรงมอบสิ่งใดให้มนุษย์หรือ?  พระเจ้าได้ทรงมอบชีวิตให้มนุษย์ ได้ทรงมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้มนุษย์ และประทานทั้งหมดนี้แก่มนุษย์อย่างไม่มีเงื่อนไข โดยปราศจากการเรียกร้องสิ่งใด โดยไม่มีสิ่งจูงใจแอบแฝงอันใด  พระองค์ทรงใช้ความจริง พระวจนะของพระองค์ และพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อทรงนำและชี้ทางให้มนุษย์ โดยทรงพามนุษย์ออกห่างจากอันตรายของซาตาน ออกห่างจากการทดลองและการชักจูงของซาตาน ทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์มองทะลุธรรมชาติที่ชั่วร้ายและโฉมหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวของซาตานอย่างชัดเจน  ความรักและความห่วงใยที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์นั้นเที่ยงแท้หรือไม่?  นั่นเป็นบางสิ่งบางอย่างที่พวกเจ้าทุกคนสามารถมีประสบการณ์หรือไม่?  (เป็น)

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 4

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 143

จงมองย้อนกลับไปในชีวิตของพวกเจ้าจนกระทั่งถึงตอนนี้ ดูที่พระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงทำกับเจ้าตลอดเวลาหลายปีแห่งความเชื่อของเจ้า  ไม่ว่าความรู้สึกทั้งหลายที่การนี้กระตุ้นให้เกิดขึ้นในตัวเจ้านั้นจะลึกซึ้งหรือตื้นเขินก็ตาม  นี่ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นที่สุดที่เจ้าต้องมีหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องได้มามากที่สุดหรอกหรือ?  (เป็นสิ่งจำเป็น)  นี่ไม่ใช่ความจริงหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่ชีวิตหรอกหรือ?  (ย่อมใช่)  เคยไหมที่พระเจ้าประทานความรู้แจ้งแก่เจ้า แล้วต่อมาก็ทรงขอให้เจ้ามอบบางสิ่งแก่พระองค์เป็นการตอบแทนทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงมอบให้เจ้า?  (ไม่เคย)  ดังนั้น จุดประสงค์ของพระเจ้าคือสิ่งใด?  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงทำเช่นนี้?  พระเจ้าทรงมีวัตถุประสงค์เป็นการยึดครองเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะเสด็จขึ้นสู่บัลลังก์ของพระองค์ภายในหัวใจของมนุษย์ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดังนั้น สิ่งใดคือความแตกต่างระหว่างการที่พระเจ้าเสด็จขึ้นสู่บัลลังก์ของพระองค์กับการบังคับยึดครองของซาตาน?  พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะได้รับหัวใจของมนุษย์ พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะยึดครองหัวใจของมนุษย์—การนี้หมายความว่าอย่างไร?  นี่หมายความว่าพระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้มนุษย์กลายเป็นหุ่นเชิดของพระองค์ เครื่องจักรของพระองค์กระนั้นหรือ?  (ไม่)  ดังนั้น จุดประสงค์ของพระเจ้าคือสิ่งใด?  มีความแตกต่างกันหรือไม่ระหว่างการที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะยึดครองหัวใจของมนุษย์กับการที่ซาตานบังคับยึดครองและครอบครองมนุษย์?  (มี)  อะไรคือความแตกต่าง?  เจ้าบอกเราอย่างชัดเจนได้หรือไม่?  (ซาตานทำเช่นนั้นโดยใช้กำลังบังคับ ในขณะที่พระเจ้าทรงยอมให้มนุษย์สมัครใจทำเอง)  นี่ใช่ความแตกต่างหรือ?  พระเจ้าทรงได้ประโยชน์อันใดจากหัวใจของเจ้า?  และพระเจ้าทรงได้ประโยชน์อันใดจากการยึดครองเจ้า?  ในหัวใจของพวกเจ้านั้นพวกเจ้าเข้าใจคำว่า “พระเจ้าทรงยึดครองหัวใจมนุษย์” ว่าอย่างไร?  พวกเราต้องเป็นธรรมในวิธีที่พวกเราพูดคุยกันถึงพระเจ้าในที่นี้ มิฉะนั้นผู้คนจะเข้าใจผิดและคิดอยู่เสมอว่า “พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะยึดครองฉันอยู่เสมอ  พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะยึดครองฉันเพื่อสิ่งใด?  ฉันไม่ต้องการถูกยึดครอง ฉันเพียงแค่ต้องการที่จะเป็นนายของตัวฉันเอง  พระองค์ตรัสว่าซาตานยึดครองมนุษย์ แต่พระเจ้าก็ทรงยึดครองมนุษย์ด้วยเช่นกัน  นั่นไม่ใช่หนทางเดียวกันด้วยหรอกหรือ?  ฉันไม่ต้องการให้ผู้ใดยึดครองฉัน  ฉันเป็นตัวฉันเอง!”  ความแตกต่างในที่นี้คืออะไรหรือ?  จงตรองกันดูที  เราถามพวกเจ้าว่า คำว่า “พระเจ้าทรงยึดครองมนุษย์” เป็นวลีที่ว่างเปล่าหรือไม่?  การที่พระเจ้าทรงยึดครองมนุษย์หมายความว่าพระองค์ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ในหัวใจของเจ้าและทรงควบคุมทุกคำพูดและทุกการเคลื่อนไหวของเจ้าใช่หรือไม่?  หากพระองค์ตรัสบอกเจ้าให้นั่ง เจ้าไม่กล้าที่จะยืนหรอกหรือ?  หากพระองค์ตรัสบอกเจ้าให้ไปทางทิศตะวันออก เจ้าไม่กล้าที่จะไปทางทิศตะวันตกหรอกหรือ?  “การยึดครอง” นี้อ้างอิงถึงบางสิ่งบางอย่างในทำนองเหล่านี้ใช่หรือไม่?  (ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น  พระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้มนุษย์ดำรงชีวิตตามสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น)  ตลอดหลายปีที่พระเจ้าได้ทรงบริหารจัดการมนุษย์ ในพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำกับมนุษย์จนกระทั่งถึงตอนนี้ในช่วงระยะสุดท้ายนี้ สิ่งใดคือผลที่ทรงตั้งเจตนารมณ์ไว้ว่าพระวจนะทั้งหมดที่พระองค์ได้ตรัสไปจะก่อให้เกิดกับมนุษย์?  ใช่การที่มนุษย์ดำรงชีวิตตามสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นหรือไม่?  เมื่อดูที่ความหมายตามตัวอักษรของคำว่า “พระเจ้าทรงยึดครองหัวใจมนุษย์” ก็ดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงเอาหัวใจมนุษย์ไปและยึดครองมันไว้ ดำรงพระชนม์ชีพในนั้นและไม่เสด็จออกมาอีกเลย พระองค์ทรงกลายเป็นเจ้านายของมนุษย์ และทรงสามารถที่จะครอบงำและบงการหัวใจมนุษย์ได้ตามประสงค์ เพื่อให้มนุษย์ต้องทำสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงบอกให้เขาทำ  ในความหมายนี้ มันคงจะดูเหมือนว่าทุกบุคคลสามารถกลายเป็นพระเจ้าและครอบครองแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระองค์ได้  ดังนั้นในกรณีนี้ มนุษย์สามารถทำกิจการทั้งหลายของพระเจ้าได้ด้วยหรือไม่?  คำว่า “การยึดครอง” สามารถอธิบายในหนทางนี้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ดังนั้น นั่นคือสิ่งใด?  เราถามพวกเจ้าว่า พระวจนะและความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าทรงจัดหาให้มนุษย์นั้นคือวิวรณ์แห่งแก่นแท้ของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นใช่หรือไม่?  (ใช่)  การนี้จริงแท้อย่างแน่นอน  แต่มันสำคัญหรือไม่ที่พระเจ้าพระองค์เองจะทรงครอบครองและปฏิบัติตามพระวจนะทั้งหมดที่พระองค์ทรงจัดหาให้มนุษย์?  จงตรองถึงการนี้บ้าง  เมื่อพระเจ้าทรงพิพากษามนุษย์ เหตุใดพระองค์จึงทรงพิพากษา?  พระวจนะเหล่านี้มีขึ้นมาได้อย่างไร?  เนื้อหาของพระวจนะที่พระเจ้าตรัสเมื่อพระองค์ทรงพิพากษามนุษย์นี้คือสิ่งใด?  พระวจนะเหล่านี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานใด?  พระวจนะเหล่านี้มีพื้นฐานอยู่บนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์นั่นเองใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดังนั้นผลที่สัมฤทธิ์จากการพิพากษามนุษย์ของพระเจ้านั้นมีพื้นฐานอยู่บนแก่นแท้ของพระเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดังนั้น “การยึดครองมนุษย์” ของพระเจ้าเป็นวลีที่ว่างเปล่าหรือไม่?  ไม่ใช่อย่างแน่นอน  ดังนั้น เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสพระวจนะเหล่านี้กับมนุษย์?  พระประสงค์ของพระองค์ในการตรัสพระวจนะเหล่านี้คืออะไร?  พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะใช้พระวจนะเหล่านี้มาทำหน้าที่เป็นชีวิตของมนุษย์ใช่หรือไม่?  (ใช่)  พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะใช้ความจริงทั้งหมดที่พระองค์ได้ตรัสไปในพระวจนะเหล่านี้มาทำหน้าที่เป็นชีวิตของมนุษย์  เมื่อมนุษย์รับเอาความจริงทั้งหมดนี้และพระวจนะของพระเจ้าไว้ และแปลงสภาพทั้งความจริงและพระวจนะให้เป็นชีวิตของเขาเอง เช่นนั้นแล้วมนุษย์จะสามารถเชื่อฟังพระเจ้าได้หรือไม่?  เช่นนั้นแล้วมนุษย์สามารถยำเกรงพระเจ้าได้หรือไม่?  เช่นนั้นแล้วมนุษย์สามารถหลบเลี่ยงความชั่วได้หรือไม่?  เมื่อมนุษย์ได้มาถึงจุดนี้ เช่นนั้นแล้วเขาจะสามารถเชื่อฟังอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้หรือไม่?  เช่นนั้นแล้วมนุษย์อยู่ในตำแหน่งที่จะนบนอบต่อสิทธิอำนาจของพระเจ้าหรือไม่?  เมื่อผู้คนอย่างเช่นโยบ หรืออย่างเช่นเปโตร มาถึงสุดปลายถนนของพวกเขา เมื่อชีวิตของพวกเขาสามารถถือได้ว่าได้มาถึงความเป็นผู้ใหญ่แล้ว เมื่อพวกเขามีความเข้าใจอันแท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า—เช่นนั้นแล้วซาตานยังคงสามารถนำทางพวกเขาห่างออกไปได้หรือไม่?  เช่นนั้นแล้วซาตานยังคงสามารถยึดครองพวกเขาได้หรือไม่?  ซาตานยังคงสามารถบังคับครอบครองพวกเขาได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ดังนั้น นี่เป็นบุคคลประเภทใด?  นี่คือใครบางคนที่ได้ถูกพระเจ้าทรงรับไว้อย่างครบบริบูรณ์แล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  ในความหมายระดับนี้ พวกเจ้ามองบุคคลประเภทที่พระเจ้าทรงรับไว้อย่างครบบริบูรณ์นี้ว่าเป็นอย่างไร?  จากมุมมองของพระเจ้า ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ พระองค์ได้ทรงยึดครองหัวใจของบุคคลนี้แล้ว  ว่าแต่บุคคลนี้รู้สึกอย่างไร?  เป็นอันว่าพระวจนะของพระเจ้า สิทธิอำนาจของพระเจ้า และทางแห่งพระเจ้ากลายเป็นชีวิตภายในตัวมนุษย์ใช่หรือไม่ แล้วจากนั้น ชีวิตนี้ก็ยึดครองการเป็นอยู่ทั้งหมดของมนุษย์ โดยทำให้สิ่งทั้งหลายที่เขาใช้ดำเนินชีวิต ตลอดจนแก่นแท้ของเขาเพียงพอที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยใช่หรือไม่?  จากมุมมองของพระเจ้า หัวใจของมวลมนุษย์ในชั่วขณะนี้ได้ถูกพระองค์ยึดครองแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเจ้าเข้าใจความหมายระดับนี้ว่าอย่างไรในตอนนี้?  เป็นพระวิญญาณของพระเจ้าใช่หรือไม่ที่ยึดครองเจ้า?  (ไม่ใช่ เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่ยึดครองพวกเรา)  เป็นทางแห่งพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่ได้กลายเป็นชีวิตของเจ้า และเป็นความจริงนั่นเองที่ได้กลายเป็นชีวิตของเจ้า  ในเวลาเช่นนี้ มนุษย์ย่อมครองชีวิตที่มาจากพระเจ้า แต่พวกเราไม่สามารถพูดได้ว่าชีวิตนี้คือพระชนม์ชีพของพระเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเราไม่สามารถพูดได้ว่าชีวิตที่มนุษย์ได้มาจากพระวจนะของพระเจ้านั้นเป็นพระชนม์ชีพของพระเจ้า  ดังนั้นไม่ว่ามนุษย์ติดตามพระเจ้านานเพียงใด ไม่ว่ามนุษย์ได้รับพระวจนะจากพระเจ้ามากเพียงใด มนุษย์ก็ไม่มีวันสามารถกลายเป็นพระเจ้าได้  ต่อให้วันหนึ่งพระเจ้าตรัสว่า “เราได้ยึดครองหัวใจของเจ้า บัดนี้เจ้าครองชีวิตของเรา” เช่นนั้นแล้วเจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าเป็นพระเจ้ากระนั้นหรือ?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้วเจ้าจะกลายเป็นสิ่งใด?  เจ้าจะไม่มีการเชื่อฟังพระเจ้าโดยสมบูรณ์หรอกหรือ?  หัวใจของเจ้าไม่ได้เต็มไปด้วยชีวิตที่พระเจ้าได้ประทานแก่เจ้าหรอกหรือ?  นี่คงจะเป็นการสำแดงที่ปกติอย่างยิ่งถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าทรงยึดครองหัวใจของมนุษย์  นี่คือข้อเท็จจริง  ดังนั้น เมื่อมองจากแง่มุมนี้ มนุษย์สามารถกลายเป็นพระเจ้าได้หรือไม่?  เมื่อมนุษย์สามารถใช้ชีวิตตามความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า และเป็นผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ เมื่อนั้นมนุษย์จะสามารถครอบครองแก่นแท้ของชีวิตและความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้  ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น เมื่อพิจารณาทุกๆ อย่างแล้ว มนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์อยู่ดี  เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งจากการทรงสร้าง เมื่อเจ้าได้รับพระวจนะของพระเจ้าจากพระเจ้าและได้รับทางแห่งพระเจ้าไว้แล้ว เจ้าก็เพียงแต่ครองชีวิตที่มาจากพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น เจ้ากลายเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงสรรเสริญ แต่เจ้าจะไม่มีวันครองแก่นแท้แห่งชีวิตที่พระเจ้าทรงมี ยิ่งไม่พักต้องพูดถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 4

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 144

การทดลองของซาตาน (บทตอนที่คัดมา)

มัทธิว 4:1-4  ครั้งนั้น พระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อมารจะได้มาทดลอง และพระองค์ทรงอดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน ภายหลังพระองค์ก็ทรงหิว ส่วนผู้ทดลองมาหาพระองค์ทูลว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง” พระองค์ตรัสตอบว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’”

เหล่านี้คือคำพูดที่มารใช้เพื่อพยายามทดลององค์พระเยซูเจ้าเป็นครั้งแรก  เนื้อหาของสิ่งที่มารได้กล่าวไว้คืออะไร?  (“ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง”)  คำพูดที่มารได้พูดไปเหล่านี้ช่างเรียบง่ายทีเดียว ว่าแต่มีปัญหาเกี่ยวกับแก่นแท้ของคำพูดเหล่านี้หรือไม่?  มารกล่าวว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” แต่ในหัวใจของมันนั้น มันรู้หรือมันไม่รู้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า?  มันรู้หรือมันไม่รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์  (มันรู้)  เช่นนั้นแล้วเหตุใดมันจึงกล่าวว่า “ถ้าท่านเป็น”?  (มันกำลังพยายามที่จะทดลองพระเจ้า)  แต่จุดประสงค์ของมันในการทำเช่นนั้นคืออะไรหรือ?  มันได้กล่าวว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า”  ในหัวใจของมันนั้น มันรู้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มันรู้อยู่แก่ใจของมัน แต่ทั้งที่รู้การนี้ มันได้นบนอบต่อพระองค์และนมัสการพระองค์หรือไม่?  (ไม่)  มันต้องการทำสิ่งใด?  มันต้องการที่จะใช้วิธีการนี้และคำพูดเหล่านี้เพื่อทำให้องค์พระเยซูเจ้ากริ้ว และจากนั้นจึงหลอกพระองค์ให้กระทำการอยู่ในแนวเดียวกับเจตนาของมัน  นี่ไม่ใช่ความหมายเบื้องหลังคำพูดของมารหรอกหรือ?  ในหัวใจของซาตาน มันรู้อย่างชัดเจนว่านี่คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า แต่อย่างไรก็ดีมันได้กล่าวคำพูดเหล่านี้ไป  นี่ไม่ใช่ธรรมชาติของซาตานหรอกหรือ?  ธรรมชาติของซาตานคือสิ่งใด?  (กลับกลอก ชั่ว และไม่มีความเคารพต่อพระเจ้า)  ผลสืบเนื่องใดที่จะส่งผลจากการไม่มีความเคารพต่อพระเจ้า?  นั่นไม่ใช่การที่มันต้องการโจมตีพระเจ้าหรอกหรือ?  มันได้ต้องการใช้วิธีการนี้โจมตีพระเจ้า และดังนั้นมันจึงได้กล่าวว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง”  นี่ไม่ใช่เจตนาชั่วของซาตานหรอกหรือ?  จริงๆ แล้วมันกำลังพยายามที่จะทำสิ่งใด?  จุดประสงค์ของมันชัดแจ้งมาก กล่าวคือ มันกำลังพยายามที่จะใช้วิธีการนี้เพื่อปฏิเสธพระสถานภาพและพระอัตลักษณ์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า  สิ่งที่ซาตานหมายถึงในคำพูดเหล่านั้นก็คือ “หากท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงแปรสภาพก้อนหินเหล่านี้ให้เป็นขนมปัง  หากท่านไม่สามารถทำการนี้ได้ เช่นนั้นแล้วท่านก็ไม่ใช่พระบุตรของพระเจ้า ดังนั้น ท่านก็ไม่ควรดำเนินงานของท่านอีกต่อไป”  การนี้ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ?  มันต้องการที่จะใช้วิธีการนี้เพื่อโจมตีพระเจ้า มันต้องการที่จะรื้อถอนและทำลายพระราชกิจของพระเจ้า นี่คือความมุ่งร้ายของซาตาน  การปองร้ายของมันเป็นการแสดงออกตามธรรมชาติถึงธรรมชาติของมัน  ถึงแม้ว่ามันจะรู้ว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นการทรงจุติเป็นมนุษย์จริงๆ ของพระเจ้าพระองค์เอง แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะทำสิ่งประเภทนี้ โดยติดตามเบื้องหลังพระปฤษฎางค์ของพระเจ้าอย่างใกล้ชิด โจมตีพระองค์อย่างยืนกรานไม่ลดละและพยายามอย่างหนักที่จะก่อวินาศกรรมและทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงัก

บัดนี้ พวกเรามาวิเคราะห์วลีนี้ที่ซาตานได้พูดกันเถิด นั่นคือ “จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง”  การแปรสภาพก้อนหินให้เป็นขนมปัง—นี่หมายถึงสิ่งใดหรือไม่?  หากมีอาหาร เหตุใดจึงไม่กินอาหาร?  เหตุใดจึงจำเป็นต้องแปรสภาพก้อนหินให้เป็นอาหาร?  สามารถกล่าวได้หรือว่า ตรงนี้ไม่มีความหมายอะไรอยู่เลย?  ถึงแม้ว่าพระองค์กำลังทรงอดพระกระยาหารอยู่ ณ เวลานั้น แน่หรือว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงมีพระกระยาหารเพื่อเสวย?  (พระองค์ทรงมี)  ดังนั้น ตรงนี้ พวกเราสามารถมองเห็นความวิปริตในคำพูดของซาตานได้  สำหรับการหักหลังและการคิดร้ายทั้งหมดของซาตานนั้น พวกเรายังคงสามารถมองเห็นความวิปริตและความไร้สาระของมัน  ซาตานทำสิ่งทั้งหลายมากมายที่ทำให้พวกเจ้าสามารถมองเห็นธรรมชาติที่คิดร้ายของมัน เจ้าสามารถมองเห็นว่ามันทำสิ่งทั้งหลายที่ก่อวินาศกรรมต่อพระราชกิจของพระเจ้า และเมื่อเห็นการนี้ เจ้ารู้สึกว่ามันน่าเกลียดชังและน่าโกรธเกรี้ยว  แต่ในทางตรงกันข้าม เจ้าไม่เห็นธรรมชาติที่เป็นเด็กไม่รู้จักโตและน่าขันเบื้องหลังคำพูดและการกระทำของมันหรอกหรือ?  นี่เป็นการเปิดเผยหนึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของซาตาน ในเมื่อมันมีธรรมชาติประเภทนี้ มันก็จะทำสิ่งประเภทนี้  สำหรับผู้คนในวันนี้ คำพูดเหล่านี้ของซาตานวิปริตและน่าหัวเราะ  แต่ซาตานก็มีความสามารถในการเปล่งคำพูดเช่นนั้นจริงๆ  พวกเราพูดได้หรือไม่ว่ามันไม่รู้เท่าทันและไร้สาระ?  ความชั่วของซาตานมีอยู่ทุกหนทุกแห่งและมันกำลังถูกเปิดเผยอยู่เนืองนิตย์  และองค์พระเยซูเจ้าตรัสตอบมันอย่างไรหรือ?  (“มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”)  พระวจนะเหล่านี้มีพลังอำนาจอันใดบ้างหรือไม่?  (พระวจนะเหล่านี้มีพลังอำนาจ)  เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่าพระวจนะเหล่านี้มีพลังอำนาจ?  นั่นก็เพราะว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นความจริง  บัดนี้ มนุษย์ดำรงชีวิตด้วยขนมปังเพียงอย่างเดียวหรือไม่?  องค์พระเยซูเจ้าทรงอดพระกระยาหารเป็นเวลาสี่สิบวันและสี่สิบคืน  พระองค์ไม่ได้ทรงอดอยากจนสิ้นพระชนม์หรอกหรือ?  พระองค์ไม่ได้อดอยากจนสิ้นพระชนม์ ดังนั้นซาตานจึงได้เข้าหาพระองค์ กระตุ้นเตือนพระองค์ให้แปรสภาพก้อนหินให้เป็นอาหารโดยพูดสิ่งทั้งหลายเช่น “หากท่านแปรสภาพก้อนหินให้เป็นอาหารได้ เช่นนั้นแล้วท่านก็จะมีของให้กินไม่ใช่หรือ?  เช่นนั้นแล้วท่านก็จะไม่ต้องอดอาหาร ไม่ต้องหิวอีกต่อไปไม่ใช่หรือ?”  แต่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสว่า “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้”  ซึ่งหมายความว่า ถึงแม้มนุษย์มีชีวิตอยู่ในร่างทางกายภาพ แต่ก็ไม่ใช่อาหารที่ช่วยให้ร่างทางกายภาพของเขามีชีวิตอยู่หรือหายใจได้ แต่เป็นพระวจนะทุกคำที่ดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าต่างหาก  ในด้านหนึ่ง พระวจนะเหล่านี้เป็นความจริง  พระวจนะเหล่านี้ให้ความเชื่อแก่ผู้คน ทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาสามารถพึ่งพาอาศัยพระเจ้าได้ และว่าพระองค์ทรงเป็นความจริง  ในอีกด้านหนึ่ง มีแง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงต่อพระวจนะเหล่านี้หรือไม่?  องค์พระเยซูเจ้ายังคงประทับยืนอยู่ ยังคงดำรงพระชนม์อยู่หลังการอดพระกระยาหารสี่สิบวันและสี่สิบคืนมิใช่หรือ?  นี่มิใช่ตัวอย่างจริงหรอกหรือ?  พระองค์มิได้เสวยพระกระยาหารมาเป็นเวลาสี่สิบวันและสี่สิบคืน แต่กระนั้นพระองค์ยังคงดำรงพระชนม์อยู่  นี่คือหลักฐานอันทรงพลังซึ่งยืนยันถึงความจริงแห่งพระวจนะของพระองค์  พระวจนะเหล่านั้นเรียบง่าย แต่สำหรับองค์พระเยซูเจ้าแล้วนั้น พระองค์ตรัสพระวจนะเหล่านั้นเฉพาะเมื่อซาตานทดลองพระองค์เท่านั้น หรือพระวจนะเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์โดยธรรมชาติอยู่แล้ว?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงเป็นความจริง และพระเจ้าทรงเป็นชีวิต แต่ความจริงและชีวิตของพระเจ้านั้นเป็นการเพิ่มเติมในภายหลังหรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นเกิดจากประสบการณ์ในเวลาต่อมาหรือไม่?  ไม่—สิ่งเหล่านั้นมีมาแต่เดิมในพระเจ้า  กล่าวคือ ความจริงและชีวิตคือเนื้อแท้ของพระเจ้า  ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับพระองค์ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงเปิดเผยล้วนเป็นความจริง  ความจริงนี้ พระวจนะเหล่านี้—ไม่ว่าเนื้อหาของพระดำรัสจะยาวหรือสั้น—ก็สามารถทำให้มนุษย์มีชีวิตและให้ชีวิตแก่มนุษย์ได้ พระวจนะเหล่านี้สามารถทำให้ผู้คนมีความสามารถที่จะได้รับความจริงและความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับเส้นทางแห่งชีวิตมนุษย์ และทำให้พวกเขามีความสามารถที่จะมีความเชื่อในพระเจ้าได้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ที่มาของการที่พระเจ้าทรงใช้ประโยชน์จากพระวจนะเหล่านี้เป็นไปในเชิงบวก  ดังนั้น พวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าสิ่งที่เป็นเชิงบวกนี้บริสุทธิ์?  (ได้)  คำพูดเหล่านั้นของซาตานมาจากธรรมชาติของซาตาน  ซาตานเปิดเผยธรรมชาติชั่วและคิดร้ายของมันทุกหนแห่งอยู่เนืองนิตย์  บัดนี้ ซาตานทำการเปิดเผยเหล่านี้อย่างเป็นธรรมชาติหรือไม่?  มีใครชี้นำให้มันทำการนี้หรือไม่?  มีใครช่วยมันหรือไม่?  มีใครบังคับขู่เข็ญมันหรือไม่?  ไม่มี  มันทำการเปิดเผยทั้งหมดเหล่านี้ด้วยความพร้อมใจของมันเอง  นี่คือธรรมชาติชั่วของซาตาน  สิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำ และพระองค์ทรงทำมันอย่างไรก็ตาม ซาตานตามติดทุกย่างพระบาทของพระองค์  สาระสำคัญและธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งเหล่านี้ที่ซาตานพูดและทำนั้นเป็นธาตุแท้ของซาตาน—ธาตุแท้ที่ชั่วและคิดร้าย  บัดนี้ เมื่อพวกเราอ่านต่อไป

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 145

การทดลองของซาตาน (บทตอนที่คัดมา)

มัทธิว 4:5-7  แล้วมารก็นำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับที่ยอดหลังคาพระวิหาร แล้วทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงกระโดดลงไป เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘พระเจ้าจะรับสั่งเรื่องท่านต่อบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์ และทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ ไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน’” พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’”

ก่อนอื่นพวกเรามาดูคำพูดที่ซาตานได้กล่าวไว้ตรงนี้กันเถิด  ซาตานได้พูดว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงกระโดดลงไป”  และต่อมามันได้อ้างคำพูดจากคัมภีร์ทั้งหลายว่า “พระเจ้าจะรับสั่งเรื่องท่านต่อบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์ และทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ ไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน”  เจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อเจ้าได้ยินคำพูดของซาตาน?  คำพูดเหล่านั้นเป็นเหมือนเด็กไม่รู้จักโตอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  คำพูดเหล่านั้นเป็นเหมือนเด็กไม่รู้จักโต วิปริต และน่าขยะแขยง  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  ซาตานมักทำสิ่งที่โง่เขลาทั้งหลาย และมันเชื่อว่าตัวมันเองหลักแหลมมาก  บ่อยครั้งที่มันอ้างคำพูดทั้งหลายจากคัมภีร์—แม้กระทั่งพระวจนะที่พระเจ้าตรัสเอง—โดยพยายามที่จะพลิกพระวจนะเหล่านั้นกลับมาหาพระเจ้าเพื่อโจมตีพระองค์และเพื่อทดลองพระองค์ด้วยความพยายามที่จะสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของมันในการก่อวินาศกรรมต่อแผนการแห่งพระราชกิจของพระเจ้า  เจ้าสามารถมองเห็นสิ่งใดในคำพูดเหล่านี้ที่ซาตานพูดหรือไม่?  (ซาตานเก็บงำเจตนาชั่วเอาไว้)  ในทุกสิ่งที่ซาตานทำนั้น มันได้พยายามที่จะทดลองมวลมนุษย์อยู่เสมอ  ซาตานไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมา แต่พูดในหนทางที่อ้อมค้อมโดยใช้การทดลอง การหลอกล่อ และการล่อลวง  ซาตานนำการทดลองของมันเข้าหาพระเจ้าราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ธรรมดา โดยเชื่อว่าพระองค์ย่อมไม่ทรงรู้เท่าทัน ทรงโง่เขลา และไม่ทรงสามารถแยกแยะรูปสัณฐานที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลายได้อย่างชัดเจนไม่ผิดกับที่มนุษย์ก็ไม่มีความสามารถแยกแยะได้เช่นกัน  ซาตานคิดว่าพระเจ้าและมนุษย์ก็เหมือนกันที่ไม่มีความสามารถที่จะมองทะลุถึงธาตุแท้ของมันและความหลอกลวงและเจตนาส่อแววร้ายของมัน  นี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นความโง่เขลาของซาตานหรอกหรือ?  ยิ่งไปกว่านั้น  ซาตานอ้างคำพูดจากคัมภีร์ทั้งหลายอย่างเปิดเผย โดยเชื่อว่าการทำเช่นนั้นจะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับมัน และว่าเจ้าจะไม่สามารถจับข้อตำหนิใดๆ ในคำพูดของมันหรือหลีกเลี่ยงการถูกหลอกได้  นี่ไม่ใช่ความไร้สาระและความเป็นเด็กไม่รู้จักโตของซาตานหรอกหรือ?  การนี้เป็นเหมือนกันไม่มีผิดกับตอนที่ผู้คนเผยแพร่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานต่อพระเจ้า กล่าวคือ บางครั้งพวกผู้ปราศจากความเชื่อก็พูดบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกันกับสิ่งที่ซาตานพูดไม่ใช่หรือ?  พวกเจ้าได้ยินผู้คนพูดบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกันแล้วหรือไม่?  เจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อเจ้าได้ยินสิ่งทั้งหลายดังกล่าวนั้น?  เจ้ารู้สึกขยะแขยงใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อเจ้ารู้สึกขยะแขยง เจ้าก็รู้สึกไม่ชอบและเกลียดชังใช่หรือไม่?  เมื่อเจ้ามีความรู้สึกเหล่านี้เจ้าสามารถระลึกได้หรือไม่ว่าซาตานและอุปนิสัยเสื่อมทรามที่ซาตานทำงานเข้าไปในตัวมนุษย์นั้นเป็นความเลว?  ในหัวใจของเจ้า เจ้าเคยมีความตระหนักนี้หรือไม่ว่า “เมื่อซาตานพูด มันทำเช่นนั้นเพื่อให้เป็นการโจมตีและการทดลอง คำพูดของซาตานนั้นไร้สาระ น่าหัวเราะ เป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต และน่าขยะแขยง อย่างไรก็ตาม พระเจ้าคงจะไม่มีวันตรัสหรือทรงพระราชกิจในหนทางเช่นนั้น และที่จริงแล้วพระองค์ก็ไม่เคยทรงทำเช่นนั้น”?  แน่นอนว่า ในสถานการณ์นี้ผู้คนมีความสามารถสำนึกรับรู้ถึงมันได้เพียงเลือนรางเท่านั้น และยังคงไม่มีความสามารถที่จะจับความเข้าใจความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้  ด้วยวุฒิภาวะปัจจุบันของพวกเจ้านั้น พวกเจ้าแค่รู้สึกว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าตรัสคือความจริง เป็นประโยชน์ต่อพวกเรา และพวกเราต้องยอมรับการนั้น”  ไม่ว่าเจ้าจะสามารถยอมรับการนี้ได้หรือไม่ก็ตาม เจ้าพูดโดยไม่มีการยกเว้นว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง แต่เจ้าไม่รู้ว่าความจริงโดยตัวของมันเองนั้นบริสุทธิ์และว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์

ดังนั้น การโต้ตอบของพระเยซูต่อคำพูดเหล่านี้ของซาตานเป็นอย่างไร?  พระเยซูได้ตรัสกับมันว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’” มีความจริงในพระวจนะเหล่านี้ที่พระเยซูตรัสหรือไม่?  แน่นอนว่ามีความจริงอยู่ในพระวจนะเหล่านี้  โดยผิวเผินแล้ว พระวจนะเหล่านี้เป็นพระบัญชาหนึ่งสำหรับผู้คนที่จะติดตาม เป็นวลีที่เรียบง่าย แต่กระนั้นอย่างไรก็ตาม ทั้งมนุษย์และซาตานมักทำให้พระวจนะเหล่านี้ขุ่นเคืองบ่อยครั้ง  ดังนั้น องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับซาตานว่า “อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน” เพราะการนี้เป็นสิ่งที่ซาตานทำบ่อยครั้ง โดยพยายามอย่างหนักขณะที่มันดำเนินการเรื่องนี้  สามารถกล่าวได้ว่าซาตานทำการนี้อย่างหน้าไม่อายและปราศจากความละอาย  มันอยู่ในแก่นแท้ธรรมชาติของซาตานที่ไม่ยำเกรงพระเจ้าและที่ไม่มีความเคารพต่อพระเจ้าในหัวใจของมัน  ถึงแม้เมื่อซาตานได้ยืนเคียงข้างพระเจ้าและสามารถมองเห็นพระองค์ มันก็อดไม่ได้ที่ตัวมันจะทำการทดลองพระเจ้า  เพราะฉะนั้น องค์พระเยซูเจ้าจึงได้ตรัสกับซาตานว่า “อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน”  เหล่านี้คือพระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสกับซาตานบ่อยครั้ง  ดังนั้น มันถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ที่จะนำวลีนี้มาประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน?  (ใช่ เพราะพวกเราก็มักจะทดลองพระเจ้าบ่อยครั้งด้วยเช่นกัน)  เหตุใดผู้คนจึงมักจะทดลองพระเจ้าอยู่บ่อยๆ?  นั่นเป็นเพราะผู้คนเต็มไปด้วยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตานใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดังนั้นคำพูดของซาตานข้างต้นเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนมักพูดบ่อยครั้งใช่หรือไม่?  และผู้คนพูดคำพูดเหล่านี้ในสถานการณ์ใด?  คนเราอาจสามารถพูดได้ว่าผู้คนพูดสิ่งทั้งหลายเช่นนี้มาโดยตลอดโดยไม่คำนึงถึงเวลาและสถานที่  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าอุปนิสัยของผู้คนนั้นไม่แตกต่างไปจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานเลย  องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสพระวจนะซึ่งเรียบง่ายไม่กี่คำ พระวจนะซึ่งเป็นตัวแทนของความจริง พระวจนะซึ่งผู้คนจำเป็นต้องมี  อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์นี้ องค์พระเยซูเจ้ากำลังตรัสในหนทางเช่นนี้เพื่อโต้เถียงกับซาตานกระนั้นหรือ?  มีสิ่งใดที่เป็นการเผชิญหน้าด้วยความรุนแรงอยู่ในสิ่งที่พระองค์ตรัสกับซาตานหรือไม่?  (ไม่มี)  องค์พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกอย่างไรในพระทัยของพระองค์เกี่ยวกับการทดลองของซาตาน?  พระองค์ทรงรู้สึกขยะแขยงและผลักไสหรือไม่?  องค์พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกผลักไสและขยะแขยง แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็มิได้ทรงโต้เถียงกับซาตาน และนับประสาอะไรที่พระองค์จะได้ตรัสถึงหลักการยิ่งใหญ่อันใด  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า?  (ก็เพราะซาตานเป็นเช่นนี้เสมอ มันไม่เคยเปลี่ยนแปลงได้เลย)  กล่าวได้หรือไม่ว่าซาตานไม่สะทกสะท้านกับเหตุผล?  (ใช่)  ซาตานสามารถระลึกได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง?  ซาตานจะไม่มีวันระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริงและจะไม่มีวันยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง นี่คือธรรมชาติของมัน  ยังมีอีกแง่มุมหนึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของซาตานที่น่าผลักไส  สิ่งนั้นคืออะไรหรือ?  ในความพยายามของมันที่จะทดลององค์พระเยซูเจ้านั้น ซาตานได้คิดไปว่าต่อให้มันไม่ได้ประสบความสำเร็จ แต่ถึงอย่างนั้น มันก็จะยังคงพยายามทำเช่นนั้นอยู่  แม้ว่ามันจะถูกลงโทษ แต่มันก็ได้เลือกแล้วที่จะลองพยายาม  แม้ว่ามันคงจะไม่ได้รับข้อได้เปรียบเลยจากการทำเช่นนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็จะลองพยายาม ยืนกรานในความพยายามของมันและยืนหยัดต่อต้านพระเจ้าจนถึงที่สุด  นี่คือธรรมชาติจำพวกใดกัน?  มันไม่ใช่ความชั่วหรอกหรือ?  หากมนุษย์กลายเป็นโกรธเกรี้ยวและบันดาลโทสะขึ้นมาเมื่อมีการกล่าวเปรยถึงพระเจ้า เขาได้เห็นพระเจ้าแล้วหรือไร?  เขารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ใด?  เขาไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ใด ไม่เชื่อในพระองค์ และพระเจ้าไม่ได้ตรัสกับเขา  พระเจ้าไม่เคยสร้างปัญหาให้เขา ดังนั้นเหตุใดเขาจึงต้องโมโห?  พวกเราสามารถพูดได้หรือไม่ว่าบุคคลผู้นี้ชั่ว?  กระแสนิยมทางโลก การกิน การดื่ม และการแสวงหาความหรรษายินดี การไล่ตามคนเด่นคนดัง—ไม่มีสิ่งใดในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่จะทำให้ผู้คนเช่นนั้นรู้สึกทุกข์ร้อน  อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการกล่าวเปรยถึงคำว่า “พระเจ้า” หรือถึงความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า เขาก็บันดาลโทสะขึ้นมา  นี่ไม่ประกอบขึ้นเป็นการมีธรรมชาติชั่วหรอกหรือ?  การนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า นี่คือธรรมชาติชั่วของมนุษย์  ตอนนี้ เมื่อพูดถึงตัวของพวกเจ้าเอง มีหรือไม่ เวลาที่พวกเจ้ารู้สึกไม่ชอบเมื่อมีการกล่าวถึงความจริง หรือเมื่อมีการกล่าวถึงการทดสอบมวลมนุษย์ของพระเจ้า หรือพระวจนะเกี่ยวกับการพิพากษามนุษย์ของพระเจ้า พวกเจ้ารู้สึกผลักไส และพวกเจ้าไม่ต้องการได้ยินสิ่งทั้งหลาย เช่นนั้น?  หัวใจของพวกเจ้าอาจคิดว่า “ผู้คนทั้งหมดล้วนพูดว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริงไม่ใช่หรือ?  พระวจนะเหล่านี้บางคำไม่ใช่ความจริง!  เห็นได้ชัดว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นเพียงพระวจนะแห่งการตักเตือนมายังมนุษย์!”  ผู้คนบางคนอาจถึงขั้นรู้สึกไม่ชอบอย่างรุนแรงในหัวใจของพวกเขา และคิดว่า “การนี้ถูกพูดถึงทุกวัน—การทดสอบของพระองค์ การพิพากษาของพระองค์ เมื่อใดหรือมันถึงจะจบสิ้น?  เมื่อใดพวกเราถึงจะได้รับบั้นปลายที่ดี?”  ไม่รู้เลยว่าความโมโหแบบไม่มีเหตุผลนี้มาจากไหน  นี่เป็นธรรมชาติจำพวกใดกัน?  (ธรรมชาติชั่ว)  มันได้รับการกำกับและนำโดยธรรมชาติชั่วของซาตาน  จากมุมมองของพระเจ้าในแง่ของธรรมชาติที่ชั่วร้ายของซาตานและอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษย์นั้น พระองค์ไม่เคยทรงโต้เถียงหรือเก็บความแค้นเคืองต่อผู้คน และพระองค์ไม่เคยทรงทำให้เป็นเรื่องใหญ่เมื่อผู้คนกระทำการอย่างโง่เขลา  เจ้าจะไม่มีวันเห็นว่าพระเจ้าทรงมีทรรศนะคล้ายกันกับมนุษย์ในเรื่องของสิ่งทั้งหลาย และที่มากกว่านั้นคือ เจ้าจะไม่เห็นว่าพระองค์ทรงใช้ทัศนคติ ความรู้ วิทยาศาสตร์ ปรัชญา หรือการจินตนาการของมวลมนุษย์เพื่อรับมือกับเรื่องทั้งหลาย  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำและทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงเปิดเผยนั้นเชื่อมโยงกับความจริง  กล่าวคือ พระวจนะทุกคำที่พระองค์ได้ตรัสไปและการกระทำทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำไปนั้นผูกติดอยู่กับความจริง  ความจริงนี้ไม่ใช่ผลิตผลของความเพ้อฝันบางอย่างซึ่งไร้พื้นฐาน พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยความจริงนี้และพระวจนะเหล่านี้โดยคุณความดีแห่งเนื้อแท้ของพระองค์และพระชนม์ชีพของพระองค์  เนื่องจากพระวจนะเหล่านี้และเนื้อแท้ของทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำไปนั้นคือความจริง พวกเราจึงสามารถพูดได้ว่าเนื้อแท้ของพระเจ้าบริสุทธิ์  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าตรัสและทรงกระทำนำพาความมีชีวิตชีวาและความสว่างมาให้ผู้คน ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายที่เป็นเชิงบวกและความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายที่เป็นเชิงบวกเหล่านั้น และชี้หนทางให้แก่มนุษยชาติเพื่อที่พวกเขาจะได้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง  สิ่งเหล่านี้ล้วนได้รับการกำหนดพิจารณาโดยเนื้อแท้ของพระเจ้าและโดยเนื้อแท้แห่งความบริสุทธิ์ของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 146

การทดลองของซาตาน (บทตอนที่คัดมา)

มัทธิว 4:8-11  อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาที่สูงมาก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร แล้วได้ทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านจะก้มลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน” พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’” แล้วมารจึงไปจากพระองค์ และมีพวกทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์

ครั้นลูกเล่นสองครั้งก่อนของมันล้มเหลว มารซาตานก็ยังได้พยายามอีกครั้ง กล่าวคือ มันได้แสดงราชอาณาจักรทั้งหมดในโลกและความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้องค์พระเยซูเจ้าทอดพระเนตร และได้ขอให้พระองค์นมัสการมัน  เจ้าสามารถมองเห็นสิ่งใดเกี่ยวกับคุณสมบัติเฉพาะที่แท้จริงของมารจากสถานการณ์นี้?  มารซาตานไม่ใช่ไร้ยางอายโดยสิ้นเชิงหรอกหรือ?  (ใช่)  มันไร้ยางอายอย่างไร?  ทุกสรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า แต่ถึงกระนั้นซาตานยังได้หันกลับ และแสดงทุกสรรพสิ่งให้พระเจ้าทอดพระเนตร โดยกล่าวว่า “จงมองดูความอุดมด้วยโภคทรัพย์และความรุ่งโรจน์ของทุกสิ่งในราชอาณาจักรเหล่านี้ หากพระองค์นมัสการเรา เราจะมอบทั้งหมดนี้ให้แก่พระองค์”  นี่ไม่ใช่การพลิกบทบาทโดยสิ้นเชิงหรอกหรือ?  ซาตานไม่ไร้ยางอายหรอกหรือ?  พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง แต่พระองค์ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งขึ้นมาเพื่อความชื่นชมยินดีของพระองค์เองกระนั้นหรือ?  พระเจ้าได้ทรงมอบทุกสิ่งทุกอย่างแก่มวลมนุษย์ แต่ซาตานต้องการที่จะยึดมันทั้งหมดและครั้นได้ยึดมันทั้งหมดไปแล้ว มันก็มาบอกพระเจ้าว่า “จงนมัสการเรา!  นมัสการเราแล้วเราจะมอบทั้งหมดนี้แก่พระองค์”  นี่คือโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ของซาตาน มันไร้ยางอายโดยสิ้นเชิง!  ซาตานไม่รู้แม้กระทั่งความหมายของคำว่า “ละอาย”  นี่เป็นแค่อีกตัวอย่างหนึ่งของความชั่วของมัน  มันไม่รู้แม้กระทั่งว่าความละอายคืออะไร  ซาตานรู้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและว่าพระองค์ทรงบริหารจัดการและทรงมีอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่ง  ทุกสรรพสิ่งไม่ใช่เป็นของมนุษย์ และนับประสาอะไรที่จะเป็นของซาตาน แต่เป็นของพระเจ้า แต่ถึงกระนั้นมารซาตานยังได้กล่าวอย่างหน้าไม่อายว่ามันจะให้ทุกสรรพสิ่งแก่พระเจ้า  นี่มิใช่อีกตัวอย่างหนึ่งของการที่ซาตานกระทำการอย่างไร้สาระและอย่างไร้ยางอายอีกครั้งหนึ่งหรอกหรือ?  การนี้เป็นเหตุให้พระเจ้าทรงเกลียดชังซาตานมากยิ่งขึ้นไปอีกมิใช่หรือ?  ถึงกระนั้นไม่สำคัญว่าซาตานได้พยายามสิ่งใด องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกหลอกหรือไม่?  องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสสิ่งใด?  (“จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว”)  พระวจนะเหล่านี้มีความหมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่?  (มี)  ความหมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงจำพวกใด?  พวกเรามองเห็นความชั่วและความไร้ยางอายของซาตานในวาทะของมัน  ดังนั้นหากมนุษย์เคารพบูชาซาตาน บทอวสานจะเป็นอย่างไร?  พวกเขาจะได้รับความอุดมด้วยโภคทรัพย์และความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรทั้งหมดหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาจะได้รับสิ่งใด?  มวลมนุษย์จะแค่กลายเป็นไร้ยางอายและน่าหัวเราะเหมือนซาตานหรือไม่?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้วพวกเขาคงจะไม่แตกต่างไปจากซาตานเลย  เพราะฉะนั้น องค์พระเยซูเจ้าจึงได้ตรัสพระวจนะเหล่านี้ ซึ่งสำคัญสำหรับมนุษย์ทุกคน นั่นคือ “จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว”  นี่หมายความว่านอกจากองค์พระผู้เป็นเจ้า นอกจากพระเจ้าพระองค์เองแล้วนั้น หากเจ้ารับใช้สิ่งอื่น หากเจ้าเคารพบูชามารซาตาน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คงจะเกลือกกลิ้งอยู่ในความโสมมแบบเดียวกันกับซาตาน  เมื่อนั้นเจ้าคงจะร่วมแบ่งปันความไร้ยางอายและความชั่วของซาตานไปกับมัน และเจ้าคงจะทดลองพระเจ้าและโจมตีพระเจ้าเช่นเดียวกันกับซาตาน  เช่นนั้นแล้ว บทอวสานจะเป็นอย่างไรสำหรับเจ้า?  เจ้าคงจะถูกพระเจ้าทรงเกลียด ถูกพระเจ้าทรงตีกระหน่ำลง ถูกพระเจ้าทำลาย  หลังจากซาตานได้ทดลององค์พระเยซูเจ้าหลายครั้งโดยไม่สำเร็จแล้ว มันได้พยายามอีกครั้งหรือไม่?  ซาตานไม่ได้พยายามอีกแล้วจากนั้นมันก็ได้จากไป  การนี้พิสูจน์สิ่งใด?  มันพิสูจน์ให้เห็นว่าธรรมชาติชั่วของซาตาน ความคิดร้ายของมัน และความไร้สาระกับความวิปริตของมันนั้นไม่มีคุณค่าคู่ควรแม้กระทั่งจะกล่าวเปรยถึงต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า  องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำให้ซาตานปราชัยด้วยสามประโยคเท่านั้น ซึ่งหลังจากนั้นมันก็โกยอ้าวหนีไปแบบหางจุกก้น อับอายเกินกว่าที่จะแสดงให้เห็นใบหน้าของมัน และมันไม่เคยทดลององค์พระเยซูเจ้าอีกเลย  เนื่องจากองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำให้การทดลองของซาตานครั้งนี้ปราชัยไปแล้ว บัดนี้พระองค์จึงสามารถสานต่อพระราชกิจที่พระองค์จำเป็นต้องทรงกระทำและกิจทั้งหลายซึ่งวางอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้อย่างง่ายดาย  ทุกสิ่งทุกอย่างที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำและได้ตรัสไปในสถานการณ์นี้มีความหมายซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงอันใดหรือไม่สำหรับมนุษย์ทุกคนหากนำมันมาใช้กับวันปัจจุบัน?  (มี)  ความหมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงจำพวกใด?  การทำให้ซาตานปราชัยเป็นสิ่งง่ายที่จะทำกระนั้นหรือ?  ผู้คนต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับธรรมชาติชั่วของซาตานหรือไม่?  ผู้คนต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับการทดลองของซาตานหรือไม่?  (ต้องมี)  เมื่อเจ้าได้รับประสบการณ์กับการทดลองของซาตานในชีวิตของเจ้าเอง หากเจ้าสามารถมองทะลุถึงธรรมชาติชั่วของซาตาน เจ้าจะสามารถทำให้มันปราชัยได้หรือไม่?  หากเจ้ารู้ถึงความไร้สาระและความวิปริตของซาตาน เจ้าจะยังคงยืนอยู่ข้างซาตานและโจมตีพระเจ้าหรือไม่?  หากเจ้าเข้าใจว่าความคิดร้ายและความไร้ยางอายของซาตานกำลังถูกเปิดเผยโดยผ่านทางตัวเจ้าอย่างไร—หากเจ้าระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้และเข้าใจอย่างชัดเจน—เจ้าจะยังคงโจมตีและทดลองพระเจ้าในหนทางนี้อยู่หรือไม่?  (ไม่ พวกเราจะไม่ทำ)  พวกเจ้าจะทำสิ่งใด?  (พวกเราจะกบฏต่อซาตานและทิ้งมันไป)  นั่นเป็นสิ่งง่ายดายที่จะทำกระนั้นหรือ?  นั่นไม่ง่ายเลย  ในการทำการนี้ ผู้คนต้องอธิษฐานบ่อยๆ พวกเขาต้องวางตัวเองเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและตรวจสอบตัวเอง  และพวกเขาต้องยอมให้ความมีวินัยของพระเจ้าและการพิพากษากับการตีสอนของพระองค์เกิดขึ้นกับพวกเขา  มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่ผู้คนจะค่อยๆ แกะตัวเองออกจากการหลอกลวงและการควบคุมของซาตานได้

บัดนี้ เมื่อดูที่คำพูดเหล่านี้ทั้งหมดที่ซาตานได้พูดไปนั้น พวกเราจะสรุปสิ่งทั้งหลายที่ประกอบขึ้นเป็นธาตุแท้ของซาตานกัน  ก่อนอื่น ธาตุแท้ของซาตานสามารถกล่าวถึงได้โดยทั่วไปว่าเป็นสิ่งชั่ว ซึ่งตรงกันข้ามกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เหตุใดเราจึงพูดว่าธาตุแท้ของซาตานนั้นชั่ว?  เพื่อตอบคำถามนี้ คนเราต้องตรวจดูผลสืบเนื่องของสิ่งที่ซาตานทำกับผู้คน  ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามและควบคุมมนุษย์ และมนุษย์กระทำการภายใต้อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของซาตาน และดำรงชีวิตอยู่ในพิภพหนึ่งซึ่งผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม  มวลมนุษย์ถูกซาตานครอบงำและดูดซึมเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นมนุษย์จึงมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของซาตาน ซึ่งเป็นธรรมชาติของซาตาน  จากทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานได้พูดและทำไปนั้น เจ้าได้เห็นความโอหังของมันแล้วหรือยัง?  เจ้าได้เห็นความหลอกลวงและความคิดร้ายของมันแล้วหรือยัง?  ความโอหังของซาตานส่วนใหญ่แล้วถูกแสดงออกมาอย่างไร?  ซาตานเก็บงำความอยากที่จะยึดครองตำแหน่งของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลาหรือไม่?  ซาตานต้องการที่จะฉีกทึ้งพระราชกิจของพระเจ้าและตำแหน่งของพระเจ้า และเอาสิ่งนั้นมาให้ตัวมันเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่ผู้คนจะได้ติดตาม สนับสนุน และเคารพบูชาซาตาน นี่คือธรรมชาติอันโอหังของซาตาน  เมื่อซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทราม มันบอกพวกเขาตรงๆ หรือไม่ว่าพวกเขาควรทำสิ่งใด?  เมื่อซาตานทดลองพระเจ้า มันออกมาพูดหรือไม่ว่า “ข้าพระองค์กำลังทดลองพระองค์ ข้าพระองค์กำลังจะโจมตีพระองค์”?  มันไม่ทำเช่นนั้นโดยเด็ดขาด  ดังนั้นซาตานใช้วิธีการใด?  มันล่อลวง ทดลอง โจมตี และวางกับดัก และถึงขั้นอ้างพระวจนะจากคัมภีร์  ซาตานพูดและกระทำการในหนทางต่างๆ นานาเพื่อสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ที่ส่อแววร้ายของมันและทำให้เจตนาของมันลุล่วง  หลังจากซาตานได้ทำการนี้แล้ว สามารถมองเห็นสิ่งใดจากสิ่งที่สำแดงอยู่ในตัวมนุษย์?  ผู้คนกลายเป็นโอหังด้วยหรือไม่?  มนุษย์ได้ทนทุกข์จากความเสื่อมทรามของซาตานมาเป็นเวลาหลายพันปี และดังนั้นมนุษย์จึงได้กลายเป็นโอหัง หลอกลวง คิดร้าย และอยู่เหนือเหตุผล  ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเนื่องจากธรรมชาติของซาตาน  ในเมื่อธรรมชาติของซาตานนั้นชั่ว มันจึงได้ให้ธรรมชาติชั่วนี้แก่มนุษย์และนำพาอุปนิสัยชั่วและเสื่อมทรามนี้มาให้มนุษย์  ดังนั้น มนุษย์จึงดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน และต้านทานพระเจ้า โจมตีพระเจ้า และทดลองพระองค์เหมือนซาตาน จนถึงขั้นที่มนุษย์ไม่สามารถนมัสการพระเจ้าได้และไม่มีหัวใจที่เคารพพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 147

วิธีที่ซาตานใช้ความรู้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

ความรู้คือบางสิ่งบางอย่างที่ทุกคนพิจารณาว่าเป็นสิ่งที่เป็นบวกใช่หรือไม่?  อย่างน้อยที่สุด ผู้คนคิดว่าความหมายแฝงของคำว่า “ความรู้” เป็นเชิงบวกมากกว่าเชิงลบ  ดังนั้น เหตุใดพวกเราจึงกำลังกล่าวถึงในที่นี้ว่าซาตานใช้ความรู้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม?  ทฤษฎีวิวัฒนาการไม่ใช่แง่มุมหนึ่งของความรู้หรอกหรือ?  กฎวิทยาศาสตร์ของนิวตันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความรู้หรอกหรือ?  แรงโน้มถ่วงของโลกก็เป็นส่วนหนึ่งของความรู้ด้วยมิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้น เหตุใด ความรู้จึงถูกระบุรายการให้อยู่ท่ามกลางสิ่งทั้งหลายที่ซาตานใช้เพื่อทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม?  ทรรศนะของพวกเจ้าในการนี้เป็นอย่างไร?  ความรู้มีความจริงแม้สักเศษเสี้ยวหนึ่งในตัวมันหรือไม่?  (ไม่มี)  เช่นนั้นแล้ว เนื้อแท้ของความรู้คือสิ่งใด?  ความรู้ทั้งหมดที่ผู้คนขวนขวายได้เรียนรู้นั้นอยู่บนพื้นฐานของสิ่งใด?  มันอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการใช่หรือไม่?  มิใช่ความรู้หรอกหรือที่มนุษย์ได้มาโดยผ่านทางการสำรวจค้น และการรวมยอด บนพื้นฐานของอเทวนิยม?  ความรู้นี้มีความเชื่อมโยงกับพระเจ้าบ้างหรือไม่?  มันเชื่อมโยงกับการนมัสการพระเจ้าหรือไม่?  มันเชื่อมโยงกับความจริงหรือไม่?  (ไม่)  ดังนั้น ซาตานใช้ความรู้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามอย่างไร?  เราเพิ่งกล่าวไปว่าไม่มีสิ่งใดจากความรู้นี้ที่เชื่อมโยงกับการนมัสการพระเจ้าหรือกับความจริงเลย  ผู้คนบางคนคิดถึงมันเช่นนี้ว่า “ความรู้อาจไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับความจริง แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนเสื่อมทราม”  ทรรศนะของพวกเจ้าในเรื่องนี้เป็นอย่างไร?  เจ้าได้รับการสอนด้วยความรู้ที่ว่าความสุขของบุคคลหนึ่งต้องสร้างขึ้นด้วยสองมือของพวกเขาเองใช่หรือไม่?  ความรู้สอนเจ้าว่าชะตากรรมของมนุษย์อยู่ในมือของเขาเองใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่เป็นการพูดคุยประเภทใด?  (มันเป็นการพูดคุยที่ชั่วร้าย)  ถูกต้องที่สุด!  มันเป็นการพูดคุยที่ชั่วร้าย!  ความรู้เป็นเรื่องซับซ้อนที่จะสนทนากัน  เจ้าอาจกล่าวระบุอย่างเรียบง่ายว่าสาขาของความรู้ไม่ใช่สิ่งใดมากไปกว่าความรู้  นั่นก็คือสาขาหนึ่งของความรู้ที่เรียนรู้บนพื้นฐานของการไม่นมัสการพระเจ้าและบนการไม่เข้าใจว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง  เมื่อผู้คนศึกษาความรู้ชนิดนี้ พวกเขามองไม่เห็นว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง พวกเขามองไม่เห็นว่าพระเจ้าทรงกำกับดูแลหรือบริหารจัดการทุกสรรพสิ่ง  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ทั้งหมดที่พวกเขาทำก็คือการศึกษาวิจัยและสำรวจค้นความรู้สาขาวิชานั้นอย่างไม่รู้จบ และแสวงค้นคำตอบบนพื้นฐานของความรู้  อย่างไรก็ตาม มันไม่ถูกหรือที่ว่าหากผู้คนไม่เชื่อในพระเจ้าและกลับไล่ตามเสาะหาการศึกษาวิจัยเท่านั้น พวกเขาจะไม่มีวันพบเจอคำตอบที่แท้จริง?  ทั้งหมดที่ความรู้สามารถมอบให้เจ้าได้ก็คือการทำมาหากิน อาชีพการงาน รายได้ เพื่อที่เจ้าจะไม่ต้องหิวโหย แต่มันจะไม่มีวันทำให้เจ้านมัสการพระเจ้า และมันจะไม่มีวันรักษาเจ้าให้ห่างจากความชั่ว  ยิ่งผู้คนศึกษาหาความรู้มากขึ้น พวกเขาก็จะยิ่งอยากเป็นกบฏต่อพระเจ้า อยากให้พระเจ้าอยู่ภายใต้การศึกษาของตน อยากทดลองพระเจ้า และอยากต้านทานพระเจ้ามากขึ้น  ดังนั้น บัดนี้ พวกเรามองเห็นว่าความรู้กำลังสอนสิ่งใดให้ผู้คน?  ทั้งหมดก็คือปรัชญาของซาตานนั่นเอง  ปรัชญาและกฎแห่งการอยู่รอดที่ซาตานเผยแพร่ไปท่ามกลางมนุษย์ที่เสื่อมทรามมีความสัมพันธ์อันใดกับความจริงบ้างหรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับความจริงเลย และในข้อเท็จจริงแล้วเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความจริง  ผู้คนมักกล่าวบ่อยครั้งว่า “ชีวิตคือการเคลื่อนที่” และ “มนุษย์คือเหล็ก ข้าวคือเหล็กกล้า มนุษย์รู้สึกหิวอย่างรุนแรงหากเขาข้ามอาหารไปสักมื้อ” คติพจน์เหล่านี้คือสิ่งใด?  คติพจน์เหล่านี้เป็นเหตุผลวิบัติ และการได้ยินคติพจน์เหล่านี้ทำให้เกิดความรู้สึกขยะแขยง  ในสิ่งที่เรียกว่าความรู้ของมนุษย์นั้น ซาตานได้ชุบย้อมปรัชญาสำหรับการดำรงชีวิตของมันและการคิดของมันเอาไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว  และขณะที่ซาตานทำการนี้ มันเปิดโอกาสให้มนุษย์นำการคิด ปรัชญา และทัศนคติของมันไปใช้เพื่อที่มนุษย์อาจปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้า ปฏิเสธอำนาจครอบครองของพระเจ้าเหนือสรรพสิ่งและเหนือชะตากรรมของมนุษย์  ดังนั้นขณะที่การศึกษาของมนุษย์ก้าวหน้าไปและเขาได้รับความรู้มากขึ้น เขารู้สึกว่าการดำรงอยู่ของพระเจ้ากลายเป็นคลุมเครือ และอาจถึงขั้นไม่รู้สึกอีกต่อไปว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่  เนื่องจากซาตานได้ปลูกฝังความคิด ทรรศนะ และมโนคติอันหลงผิดบางอย่างไว้ในตัวมนุษย์ ครั้นซาตานได้ปลูกฝังพิษนี้ไว้ในตัวมนุษย์แล้ว มนุษย์จะไม่ถูกซาตานลวงและทำให้เสื่อมทรามหรอกหรือ?  ดังนั้นพวกเจ้าคิดว่าผู้คนทุกวันนี้ดำเนินชีวิตตามสิ่งใด?  พวกเขาไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความรู้และความคิดที่ซาตานปลูกฝังหรอกหรือ?  และสิ่งทั้งหลายที่ซ่อนเร้นอยู่ในความรู้นี้และความคิดทั้งหลาย—สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปรัชญาและน้ำพิษของซาตานหรือ?  มนุษย์ดำเนินชีวิตตามปรัชญาและพิษของซาตาน  และสิ่งใดคือแก่นของการที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม?  ซาตานต้องการทำให้มนุษย์ปฏิเสธ ต่อต้าน และยืนหยัดคัดค้านพระเจ้าเหมือนที่มันทำ นี่คือเป้าหมายของซาตานในการทำให้มนุษย์เสื่อมทราม และยังเป็นวิถีทางที่ซาตานใช้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามอีกด้วย

พวกเราจะเริ่มด้วยการกล่าวถึงแง่มุมที่ผิวเผินที่สุดของความรู้  ไวยากรณ์และคำพูดในภาษาสามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้หรือไม่?  คำพูดสามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้หรือไม่?  คำพูดไม่สามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้ คำพูดเป็นเครื่องมือที่ผู้คนใช้เพื่อพูดและคำพูดยังเป็นเครื่องมือที่ผู้คนใช้สื่อสารกับพระเจ้าอีกด้วย ไม่ต้องกล่าวถึงว่าในปัจจุบัน ภาษาและคำพูดคือวิธีที่พระเจ้าทรงสื่อสารกับผู้คนด้วย  คำพูดเป็นเครื่องมือ และคำพูดเป็นสิ่งจำเป็น  หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง และสองคูณสองเท่ากับสี่ นี่ไม่ใช่ความรู้หรอกหรือ?  แต่การนี้สามารถทำให้เจ้าเสื่อมทรามได้หรือไม่?  นี่เป็นความรู้ทั่วไป—มันเป็นรูปแบบที่ตายตัว—และดังนั้นมันไม่สามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้  ดังนั้น ความรู้ประเภทใดหรือที่ทำให้ผู้คนเสื่อมทราม?  ความรู้ที่ทำให้เสื่อมทรามคือความรู้ที่ระคนไปด้วยทัศนคติและความคิดของซาตาน  ซาตานพยายามที่จะพร่ำฝังทัศนคติและความคิดเหล่านี้เข้าไปในมนุษยชาติโดยผ่านทางสื่อกลางของความรู้  ยกตัวอย่างเช่น ในบทความหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดผิดเกี่ยวกับคำที่เขียนขึ้นในตัวของมันเอง  ปัญหาอยู่ที่ทัศนคติและเจตนาของผู้เขียนตอนที่พวกเขาได้เขียนบทความนั้น ตลอดจนเนื้อหาจากความคิดของพวกเขาด้วย  เหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายซึ่งมีจิตวิญญาณ สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้  ยกตัวอย่างเช่น หากเจ้ากำลังดูรายการแสดงทางโทรทัศน์ สิ่งทั้งหลายประเภทใดในรายการนั้นหรือ ที่สามารถเปลี่ยนทรรศนะของผู้คนได้?  สิ่งที่ผู้แสดงพูด คำพูดในตัวมันเองจะทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้หรือไม่?  (ไม่)  สิ่งทั้งหลายจำพวกใดที่จะทำให้ผู้คนเสื่อมทราม?  มันคงจะเป็นแก่นความคิดทั้งหลายและเนื้อหาของรายการแสดงนั้น ซึ่งคงจะเป็นตัวแทนของทรรศนะของผู้กำกับ  ข้อมูลที่พกพามาในทรรศนะเหล่านี้สามารถแกว่งหัวใจและจิตใจของผู้คนได้  นั่นไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?  บัดนี้พวกเจ้ารู้แล้วว่าเรากำลังอ้างอิงถึงสิ่งใดในการเสวนาเกี่ยวกับการที่ซาตานใช้ความรู้เพื่อทำให้ผู้คนเสื่อมทราม เจ้าจะไม่เข้าใจผิดแล้วใช่หรือไม่?  ดังนั้น ครั้งต่อไปที่เจ้าอ่านนวนิยายสักเรื่องหรือบทความสักบทความ เจ้าจะสามารถประเมินค่าได้ใช่หรือไม่ว่า ความคิดที่แสดงออกอยู่ในคำทั้งหลายที่เขียนไว้นั้น จะทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามหรือจะมีคุณูปการต่อมนุษยชาติ?  (ใช่ ได้นิดหน่อย)  นี่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ต้องศึกษาและได้รับประสบการณ์อย่างช้าๆ และไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่เข้าใจได้อย่างง่ายดายในทันที  ยกตัวอย่างเช่น เมื่อทำการวิจัยหรือศึกษาในสาขาวิชาหนึ่งของความรู้ แง่มุมในเชิงบวกบางอย่างของความรู้นั้นอาจช่วยให้เจ้าเข้าใจความรู้ทั่วไปบางอย่างเกี่ยวกับสาขานั้น ในขณะที่ยังทำให้เจ้าสามารถรู้ว่าผู้คนควรหลีกเลี่ยงสิ่งใดอีกด้วย  จงดู “ไฟฟ้า” เป็นตัวอย่าง—นี่เป็นสาขาหนึ่งของความรู้มิใช่หรือ?  เจ้าจะไม่เป็นคนไม่รู้เท่าทันหรอกหรือหากเจ้าไม่รู้ว่าไฟฟ้าสามารถช็อตและทำร้ายผู้คนได้?  แต่ทันทีที่เจ้าเข้าใจสาขาของความรู้นี้ เจ้าก็จะไม่ประมาทในการสัมผัสกับวัตถุที่มีกระแสไฟฟ้า และเจ้าก็จะรู้วิธีการที่จะใช้ไฟฟ้า  เหล่านี้เป็นสิ่งเชิงบวกทั้งคู่  ตอนนี้เจ้าเข้าใจชัดเจนแล้วใช่หรือไม่กับสิ่งที่พวกเราได้สนทนากันมาในแง่ที่เกี่ยวกับวิธีที่ความรู้ทำให้ผู้คนเสื่อมทราม?  มีความรู้อีกหลายชนิดที่ศึกษากันในโลกนี้ และพวกเจ้าต้องใช้เวลาเพื่อแยกความต่างของความรู้เหล่านั้นด้วยตัวพวกเจ้าเอง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 148

วิธีที่ซาตานใช้วิทยาศาสตร์เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

วิทยาศาสตร์คือสิ่งใด?  วิทยาศาสตร์มีเกียรติสูงในจิตใจของมนุษย์ทุกคนและถือว่าลุ่มลึกมิใช่หรือ?  เมื่อกล่าวถึงวิทยาศาสตร์ ผู้คนไม่รู้สึกหรือว่า  “นี่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่เกินเอื้อมถึงสำหรับผู้คนธรรมดา นี่เป็นหัวข้อที่นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์เท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้ นี่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราชาวบ้านธรรมดาทั่วไปแต่อย่างใด”?  มันมีความเชื่อมโยงอันใดกับผู้คนธรรมดาหรือไม่?  (มี)  ซาตานใช้วิทยาศาสตร์ทำให้ผู้คนเสื่อมทรามอย่างไร?  ในการสนทนาของพวกเราตรงนี้ พวกเราจะพูดคุยถึงสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนมักจะเผชิญในชีวิตของพวกเขาเองเท่านั้น และไม่พูดถึงเรื่องอื่นๆ  มีคำหนึ่งคือ “ยีน”  เจ้าเคยได้ยินคำนี้หรือไม่?  พวกเจ้าทุกคนคุ้นเคยกับคำนี้  ยีนไม่ได้ถูกค้นพบโดยผ่านทางวิทยาศาสตร์หรอกหรือ?  อันที่จริงแล้วยีนมีความหมายต่อผู้คนอย่างไร?  ยีนไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าร่างกายเป็นสิ่งลึกลับหรอกหรือ?  เมื่อผู้คนได้ถูกแนะนำให้รู้จักกับหัวข้อนี้ จะไม่มีผู้คนบางคน—โดยเฉพาะคนอยากรู้อยากเห็น—ที่ต้องการจะรู้มากขึ้นและต้องการรายละเอียดมากขึ้นหรอกหรือ?  ผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นเหล่านี้จะมุ่งเน้นพลังงานของพวกเขาไปกับหัวเรื่องนี้ และเมื่อพวกเขาไม่มีสิ่งอื่นใดให้ทำ พวกเขาก็จะค้นคว้าหาข้อมูลในหนังสือและทางอินเทอร์เน็ตเพื่อเรียนรู้รายละเอียดที่มากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งนั้น  วิทยาศาสตร์คือสิ่งใด?  กล่าวตรงๆ ได้ว่า วิทยาศาสตร์คือความคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่มนุษย์อยากรู้อยากเห็น สิ่งทั้งหลายที่ยังไม่รู้ และพระเจ้าไม่ได้ตรัสบอกแก่พวกเขา วิทยาศาสตร์คือความคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับสิ่งลึกลับทั้งหลายที่มนุษย์ต้องการสำรวจค้น  วงเขตของวิทยาศาสตร์คือสิ่งใด?  เจ้าสามารถกล่าวได้ว่ามันค่อนข้างกว้าง มนุษย์ค้นคว้าและศึกษาทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาสนใจ  วิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับการศึกษาวิจัยรายละเอียดและกฎของสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ และต่อมาเป็นการนำเสนอทฤษฎีที่เป็นไปได้ทั้งหลายซึ่งทำให้ทุกคนต้องคิดว่า “นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้เป็นเลิศจริงๆ!  พวกเขารู้มากมายยิ่งนัก เพียงพอแล้วที่เข้าใจสิ่งเหล่านี้!”  พวกเขามีความเลื่อมใสอย่างมากให้แก่นักวิทยาศาสตร์มิใช่หรือ?  ผู้คนที่ศึกษาวิจัยวิทยาศาสตร์ พวกเขามีทรรศนะแบบใดกัน?  พวกเขาไม่ต้องการศึกษาวิจัยจักรวาล ศึกษาวิจัยสิ่งลึกลับทั้งหลายในสาขาวิชาที่พวกเขาสนใจหรอกหรือ?  บทอวสานสุดท้ายของการนี้เป็นอย่างไร?  ในวิทยาศาสตร์บางอย่าง ผู้คนได้บทสรุปของพวกเขาด้วยการคาดคะเน และในด้านอื่นๆ พวกเขาพึ่งพาประสบการณ์แบบมนุษย์เพื่อให้ได้บทสรุป  ถึงกระนั้นในสาขาอื่นๆ ของวิทยาศาสตร์ ผู้คนก็มาถึงบทสรุปของพวกเขาบนพื้นฐานของการสังเกตการณ์เชิงประวัติศาสตร์หรือทางภูมิหลัง  นี่ไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?  ดังนั้นวิทยาศาสตร์ทำสิ่งใดให้ผู้คนหรือ?  สิ่งที่วิทยาศาสตร์ทำก็แค่เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนมองเห็นวัตถุในโลกทางกายภาพ และเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ แต่มันไม่สามารถทำให้มนุษย์สามารถมองเห็นธรรมบัญญัติที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อมีอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่ง  มนุษย์ดูเหมือนว่าจะหาคำตอบในวิทยาศาสตร์ แต่คำตอบเหล่านั้นน่าฉงนฉงายและนำมาเพียงความพึงพอใจชั่วคราวเท่านั้น ความพึงพอใจที่ทำหน้าที่เพียงเพื่อจำกัดขอบเขตหัวใจของมนุษย์ไว้กับโลกทางวัตถุเท่านั้น  มนุษย์รู้สึกว่าพวกเขาได้รับคำตอบจากวิทยาศาสตร์แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดประเด็นปัญหาใดขึ้นก็ตาม พวกเขาใช้ทรรศนะทางวิทยาศาสตร์ของพวกเขาเป็นพื้นฐานเพื่อพิสูจน์และยอมรับประเด็นปัญหานั้น  หัวใจมนุษย์ถูกวิทยาศาสตร์ล่อลวงและครอบงำจนถึงจุดที่มนุษย์ไม่มีจิตใจอีกต่อไปที่จะรู้จักพระเจ้า นมัสการพระเจ้า และเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งมาจากพระเจ้าและว่ามนุษย์ควรมองที่พระองค์เพื่อหาคำตอบ  นี่ไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?  ยิ่งบุคคลหนึ่งเชื่อในวิทยาศาสตร์มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งกลายเป็นไร้สาระมากขึ้นเท่านั้น โดยเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีทางออกเชิงวิทยาศาสตร์ ว่าการศึกษาวิจัยสามารถแก้ปัญหาได้ทุกสิ่ง  พวกเขาไม่แสวงหาพระเจ้าและพวกเขาไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่  มีผู้ที่เชื่อในพระเจ้ามานานซึ่งเมื่อเผชิญกับปัญหาอันใด ก็จะใช้คอมพิวเตอร์ค้นหาสิ่งทั้งหลายและสำรวจหาคำตอบ พวกเขาเชื่อแต่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์  พวกเขาไม่เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง พวกเขาไม่เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดของมวลมนุษย์ได้ พวกเขาไม่ได้มองดูปัญหาอันมากมายมหาศาลของมวลมนุษย์จากมุมมองของความจริง  ไม่ว่าพวกเขาเผชิญปัญหาใด พวกเขาก็ไม่เคยอธิษฐานต่อพระเจ้าหรือแสวงหาการแก้ปัญหาด้วยการค้นหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  ในหลายๆ เรื่อง พวกเขาอยากจะเชื่อว่าความรู้สามารถแก้ปัญหาได้ สำหรับพวกเขาแล้ว วิทยาศาสตร์คือคำตอบสุดท้าย  พระเจ้าขาดหายไปจากหัวใจของผู้คนเช่นนี้อย่างสิ้นเชิง  พวกเขาเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ และทรรศนะของพวกเขาเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าก็ไม่แตกต่างจากทรรศนะทั้งหลายของนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงมากมายหลายคน ที่พยายามตรวจสอบพระเจ้าตลอดเวลาโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์  ยกตัวอย่างเช่น มีผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาหลายคนที่ได้ไปยังภูเขาที่เรือใหญ่ได้มาหยุดพัก และด้วยเหตุนี้พวกเขาได้พิสูจน์การมีอยู่ของเรือใหญ่นั้น  แต่ในการปรากฏของเรือใหญ่นั้นพวกเขามองไม่เห็นการดำรงอยู่ของพระเจ้า  พวกเขาเพียงแต่เชื่อในเรื่องราวและประวัติศาสตร์เท่านั้น นี่คือผลลัพธ์ของการที่พวกเขาศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์และศึกษาโลกทางวัตถุ  หากเจ้าศึกษาวิจัยสิ่งทั้งหลายทางวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นจุลชีววิทยา ดาราศาสตร์ หรือภูมิศาสตร์ เจ้าจะไม่มีวันพบผลลัพธ์ที่กำหนดพิจารณาว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือว่าพระองค์ทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง  ดังนั้นวิทยาศาสตร์ทำสิ่งใดเพื่อมนุษย์เล่า?  มันมิได้ทำให้มนุษย์มีระยะห่างจากพระเจ้าหรอกหรือ?  มันมิได้เป็นเหตุให้ผู้คนนำพระเจ้ามาอยู่ภายใต้การศึกษาทั้งหลายหรอกหรือ?  มันมิได้ทำให้ผู้คนกังขามากยิ่งขึ้นในการดำรงอยู่และอธิปไตยของพระเจ้า และดังนั้นจึงปฏิเสธและทรยศพระเจ้าหรอกหรือ?  นี่คือผลสืบเนื่อง  ดังนั้นเมื่อซาตานใช้วิทยาศาสตร์มาทำให้มนุษย์เสื่อมทราม จุดมุ่งหมายใดที่ซาตานพยายามจะสัมฤทธิ์?  มันต้องการที่จะใช้บทสรุปทางวิทยาศาสตร์มาหลอกลวงผู้คนและทำให้พวกเขามึนชา และใช้คำตอบที่กำกวมกุมหัวใจของผู้คนเอาไว้เพื่อที่พวกเขาจะไม่เสาะหาหรือเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า  ดังนั้น นี่คือเหตุผลที่เราพูดว่าวิทยาศาสตร์คือหนึ่งในหนทางทั้งหลายที่ซาตานใช้เพื่อทำให้ผู้คนเสื่อมทราม

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 149

วิธีที่ซาตานใช้วัฒนธรรมตามประเพณีเพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

สิ่งทั้งหลายมากมายที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมตามประเพณีนั้น มีอยู่หรือว่าไม่มี?  (มี)  “วัฒนธรรมตามประเพณี” นี้หมายถึงสิ่งใด?  บางคนพูดว่ามันถูกส่งผ่านลงมาจากบรรพบุรุษ—นี่คือแง่มุมหนึ่ง  ตั้งแต่ปฐมกาล วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม คติพจน์ และกฎเกณฑ์ทั้งหลายได้ถูกส่งผ่านลงมาภายในครอบครัว กลุ่มชาติพันธุ์ และแม้กระทั่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด และสิ่งเหล่านั้นได้กลายเป็นถูกปลูกฝังอยู่ในความคิดของผู้คน  ผู้คนพิจารณาว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นส่วนที่ขาดเสียไม่ได้ในชีวิตของพวกเขาและถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นกฎเกณฑ์ โดยถือปฏิบัติสิ่งเหล่านั้นเสมือนว่ามันเป็นชีวิตเสียเอง  แท้จริงแล้ว พวกเขาไม่เคยต้องการเปลี่ยนแปลงหรือทอดทิ้งสิ่งเหล่านี้เลย เพราะสิ่งเหล่านั้นถูกส่งผ่านลงมาจากบรรพบุรุษของพวกเขา  มีแง่มุมอื่นๆ เกี่ยวกับวัฒนธรรมตามประเพณีที่ขุดฝังอยู่ในกระดูกดำของผู้คน เช่นเดียวกับสิ่งทั้งหลายที่ส่งผ่านลงมาจากขงจื๊อและเม่งจื๊อ และสิ่งทั้งหลายที่ลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื๊อสอนแก่ผู้คน  นี่ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ?  วัฒนธรรมตามประเพณีนั้นรวมสิ่งใดไว้บ้าง?  มันรวมถึงวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่ผู้คนเฉลิมฉลองหรือไม่?  ยกตัวอย่างเช่น เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ เทศกาลโคมไฟ วันเช็งเม้ง เทศกาลไหว้ขนมจ่าง ตลอดจนเทศกาลสารทจีน เทศกาลไหว้พระจันทร์  บางครอบครัวถึงขั้นเฉลิมฉลองวันที่ผู้อาวุโสลุถึงวัยเฉพาะ หรือเมื่อลูกหลานมีอายุถึงหนึ่งเดือนหรือหนึ่งร้อยวัน  และอื่นๆ เหล่านี้คือวันหยุดนักขัตฤกษ์ตามประเพณีทั้งสิ้น  วัฒนธรรมตามประเพณีไม่ได้เป็นฐานที่มาของวันหยุดนักขัตฤกษ์เหล่านี้หรอกหรือ?  แก่นของวัฒนธรรมตามประเพณีคือสิ่งใด?  มันมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับการนมัสการพระเจ้าหรือไม่?  มันมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับการบอกให้ผู้คนปฏิบัติความจริงหรือไม่?  มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ใดเพื่อให้ผู้คนถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ไปยังแท่นบูชาพระเจ้า และรับคำสอนของพระองค์บ้างหรือไม่?  มีวันหยุดนักขัตฤกษ์เยี่ยงนี้บ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  ผู้คนทำสิ่งใดในวันหยุดทั้งหมดเหล่านี้?  ในยุคสมัยใหม่ วันหยุดเหล่านั้นถูกมองว่าเป็นวาระโอกาสสำหรับการกิน การดื่ม และความสนุกสนาน  แหล่งกำเนิดใดเป็นฐานที่มาวัฒนธรรมตามประเพณี?  วัฒนธรรมตามประเพณีมาจากผู้ใด?  มันมาจากซาตาน  เบื้องหลังฉากของวันหยุดตามประเพณีเหล่านี้ ซาตานปลูกฝังบางสิ่งเฉพาะในตัวมนุษย์  สิ่งเหล่านี้คือสิ่งใด?  การทำให้แน่ใจว่าผู้คนจะจดจำบรรพบุรุษของพวกเขาคือหนึ่งในสิ่งเหล่านั้นใช่หรือไม่?  ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงระหว่างวันเช็งเม้ง ผู้คนปัดกวาดเช็ดถูสุสานและถวายเครื่องบูชาแก่บรรพบุรุษของพวกเขา เพื่อที่จะไม่ลืมบรรพบุรุษของพวกเขา  อีกทั้งซาตานยังทำให้แน่ใจด้วยว่าผู้คนจะจดจำการเป็นคนรักชาติ ซึ่งตัวอย่างของการนี้ก็คือเทศกาลไหว้ขนมจ่าง  แล้วเทศกาลไหว้พระจันทร์คือสิ่งใด?  (งานรวมญาติ)  ภูมิหลังของการรวมญาติคือสิ่งใด?  สิ่งใดคือเหตุผลสำหรับการนี้?  มันเป็นไปเพื่อสื่อสารและเชื่อมโยงกันทางอารมณ์  แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นการฉลองวันส่งท้ายปีเก่าทางจันทรคติหรือเทศกาลโคมไฟ มีหนทางมากมายในการบรรยายเหตุผลเบื้องหลังการฉลองเหล่านี้  ไม่ว่าคนเราจะบรรยายเหตุผลเหล่านั้นอย่างไร แต่ละเหตุผลคือหนทางที่ซาตานปลูกฝังปรัชญาของมันและความคิดของมันในตัวผู้คน เพื่อที่พวกเขาจะไถลห่างไปจากพระเจ้าและไม่รู้ว่ามีพระเจ้า และถวายเครื่องบูชาให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขาหรือไม่ก็แก่ซาตาน หรือกิน ดื่ม และมีความสนุกสนานกันเพื่อประโยชน์ของความอยากได้อยากมีแห่งเนื้อหนัง  ขณะที่มีการฉลองวันหยุดเหล่านี้แต่ละวัน ความคิดและทรรศนะของซาตานก็ถูกปลูกลึกลงภายในจิตใจของผู้คนโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว  เมื่อผู้คนมีอายุถึงสี่สิบปี ห้าสิบปี หรือแม้กระทั่งมีอายุมากขึ้น ความคิดและทัศนคติเหล่านี้ของซาตานก็ได้หยั่งรากลึกลงไปในหัวใจของพวกเขาแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนทำจนสุดกำลังของพวกเขาเพื่อถ่ายทอดแนวคิดเหล่านี้ต่อไปยังคนรุ่นต่อไปไม่ว่าจะถูกหรือผิด โดยไม่แยกแยะและโดยไม่มีข้อสงสัย  นี่ไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?  (ใช่แล้ว)  วัฒนธรรมตามประเพณีและวันหยุดนักขัตฤกษ์เหล่านี้ทำให้ผู้คนเสื่อมทรามอย่างไร?  เจ้ารู้หรือไม่?  (ผู้คนกลายเป็นถูกกักขังและถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์ของประเพณีเหล่านี้ จนกระทั่งพวกเขาไม่มีเวลาหรือพลังงานที่จะแสวงหาพระเจ้า)  นี่เป็นหนึ่งแง่มุม  ยกตัวอย่างเช่น ทุกคนฉลองในช่วงระหว่างตรุษจีน—หากเจ้าไม่ฉลองมัน เจ้าจะไม่รู้สึกเศร้าใจหรอกหรือ?  มีความเชื่อเหนือธรรมชาติที่เจ้ายึดถือในหัวใจของเจ้าบ้างหรือไม่?  เจ้าอาจจะรู้สึกว่า “ฉันไม่ได้ฉลองปีใหม่ และในเมื่อวันตรุษจีนเป็นวันไม่ดี ตลอดทั้งปีที่เหลือก็จะไม่ดีไปด้วย” ใช่หรือไม่?  เจ้าจะรู้สึกไม่สบายใจและกลัวอยู่บ้างนิดหน่อยมิใช่หรือ?  มีแม้กระทั่งผู้คนบางคนที่ไม่ได้ทำเครื่องบูชาให้บรรพบุรุษของพวกเขามาหลายปี และผู้ซึ่งจู่ๆ ก็ฝันว่าคนที่ตายไปแล้วมาขอเงินจากพวกเขา  พวกเขาจะรู้สึกอย่างไร?  “น่าเศร้าอะไรเช่นนี้ที่ตอนนี้บุคคลผู้นี้จำเป็นต้องใช้เงิน!  ฉันจะเผาเงินกระดาษให้พวกเขาบ้าง  หากฉันไม่ทำ นั่นคงจะไม่ถูกต้องแน่  มันอาจจะทำให้เกิดปัญหากับพวกเราคนที่ยังมีชีวิตอยู่—ใครจะบอกได้ว่าโชคร้ายจะกระหน่ำมาเมื่อใด?”  พวกเขาจะมีเค้าเมฆเล็กๆ แห่งความเกรงกลัวและความกังวลนี้ในหัวใจของพวกเขาอยู่เสมอ  ใครให้ความกังวลนี้แก่พวกเขา?  ซาตานคือแหล่งกำเนิดของความกังวลนี้  นี่ไม่ใช่หนึ่งในหลายหนทางที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามหรอกหรือ?  มันใช้วิธีการและข้ออ้างทั้งหลายเพื่อควบคุมเจ้า เพื่อขู่เจ้า และเพื่อผูกมัดเจ้า จนเจ้าตกอยู่ในความงุนงงและยอมแพ้และนบนอบต่อมัน นี่คือวิธีที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม  บ่อยครั้งเมื่อผู้คนอ่อนแอหรือเมื่อพวกเขาไม่ตระหนักรู้อย่างเต็มที่ถึงสถานการณ์ พวกเขาอาจทำบางสิ่งบางอย่างโดยไม่ตั้งใจในหนทางที่สับสนปนเป กล่าวคือ พวกเขาตกอยู่ในเงื้อมมือของซาตานโดยไม่ตั้งใจและอาจจะกระทำการโดยไม่รู้ตัว อาจจะทำสิ่งทั้งหลายโดยไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่  นี่คือหนทางที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม  ถึงขึ้นมีผู้คนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่ตอนนี้ลังเลที่จะแยกไปจากวัฒนธรรมตามประเพณีที่หยั่งรากลึก ผู้ที่เพียงไม่สามารถละวางมันได้  โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาอ่อนแอและนิ่งเฉยเสียจนพวกเขาปรารถนาที่จะฉลองวันหยุดประเภทเหล่านี้และพวกเขาปรารถนาที่จะพบกับซาตานและทำให้ซาตานพึงพอใจอีกครั้ง เพื่อนำความชูใจมาสู่หัวใจของพวกเขา  ภูมิหลังของวัฒนธรรมตามประเพณีคือสิ่งใด?  มือสีดำของซาตานกำลังชักใยอยู่เบื้องหลังฉากเหล่านี้ใช่หรือไม่?  ธรรมชาติชั่วของซาตานกำลังบงการและควบคุมอยู่ใช่หรือไม่?  ซาตานมีอิทธิพลควบคุมเหนือทั้งหมดนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อผู้คนดำรงชีวิตอยู่ในวัฒนธรรมตามประเพณีหนึ่งและฉลองวันหยุดตามประเพณีประเภทเหล่านี้ พวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่านี่คือสภาพแวดล้อมที่พวกเขากำลังถูกซาตานหลอกและทำให้เสื่อมทราม และที่มากกว่านั้นก็คือ พวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าพวกเขามีความสุขที่ถูกซาตานหลอกและทำให้เสื่อมทราม?  (ได้)  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่พวกเจ้าทุกคนยอมรับ คือบางสิ่งบางอย่างที่พวกเจ้ารู้ดี

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 150

วิธีที่ซาตานใช้ความเชื่อเหนือธรรมชาติเพื่อทำให้ผู้คนเสื่อมทราม

ซาตานใช้ความเชื่อเหนือธรรมชาติเพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามอย่างไรหรือ?  ผู้คนล้วนต้องการรู้โชคชะตาของตนเอง ดังนั้น ซาตานจึงหาประโยชน์จากความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาเพื่อชักนำพวกเขา  ผู้คนเข้ามาพัวพันในการดูดวง การทำนายโชคชะตา และการอ่านโหงวเฮ้งเพื่อที่จะเรียนรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขาในอนาคต และถนนประเภทใดที่ทอดอยู่ข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ในที่สุด โชคชะตาและความสำเร็จที่คาดว่าจะเป็นไปได้ที่ผู้คนเป็นกังวลถึงยิ่งนักนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของผู้ใดเล่า?  (ในพระหัตถ์ของพระเจ้า)  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  โดยการใช้วิธีการเหล่านี้ ซาตานต้องการให้ผู้คนรู้สิ่งใด?  ซาตานต้องการที่จะใช้การอ่านโหงวเฮ้งและการทำนายโชคชะตาเพื่อบอกกับผู้คนว่ามันรู้โชคชะตาในอนาคตของพวกเขา และว่ามันไม่เพียงแค่รู้สิ่งเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังควบคุมสิ่งเหล่านั้นด้วย  ซาตานต้องการที่จะใช้ข้อได้เปรียบจากโอกาสนี้และใช้วิธีการนี้เพื่อควบคุมผู้คน จนกระทั่งผู้คนมีความเชื่อในตัวมันแบบไม่ลืมหูลืมตาและเชื่อฟังทุกคำพูดของมัน  ยกตัวอย่างเช่น หากเจ้ารับการอ่านโหงวเฮ้ง หากหมอดูหลับตาของเขาและบอกเจ้าถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นกับเจ้าในไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านไปด้วยความกระจ่างแจ้งอย่างเพียบพร้อม เจ้าจะรู้สึกอย่างไรภายใน?  เจ้าจะรู้สึกในทันทีว่า “เขาช่างถูกต้องแม่นยำยิ่งนัก!  ฉันไม่เคยบอกอดีตของฉันแก่ผู้ใดมาก่อน เขารู้เกี่ยวกับมันได้อย่างไรนี่?  ฉันเลื่อมใสหมอดูคนนี้จริงๆ!”  สำหรับซาตานแล้ว มันไม่ใช่ง่ายดายเหลือเกินหรอกหรือที่จะรู้อดีตของเจ้า?  พระเจ้าได้ทรงนำเจ้ามาถึงที่ที่เจ้าอยู่ในวันนี้ และตลอดเวลานั้นซาตานก็ทำให้ผู้คนเสื่อมทรามและติดตามเจ้ามาโดยตลอด  ช่วงตอนในหลายทศวรรษของชีวิตของเจ้าไม่มีความหมายใดต่อซาตาน และไม่ลำบากยากเย็นสำหรับซาตานเลยที่จะรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้  เมื่อเจ้าเรียนรู้ว่าทั้งหมดที่ซาตานพูดนั้นถูกต้องแม่นยำ เจ้าจะไม่มอบหัวใจของเจ้าให้มันหรอกหรือ?  เจ้าไม่ใช่กำลังพึ่งพาอาศัยมันในการควบคุมอนาคตของเจ้าและโชคชะตาของเจ้าหรอกหรือ?  ในทันทีนั้น หัวใจของเจ้าจะรู้สึกนับถือหรือเคารพมันอยู่บ้าง และสำหรับผู้คนบางคนนั้น ดวงจิตของพวกเขาอาจจะถูกมันฉกไปแล้วตรงจุดนี้  และเจ้าจะถามหมอดูทันทีว่า “ฉันควรทำสิ่งใดต่อไป?  ฉันควรหลีกเลี่ยงสิ่งใดในปีที่จะมาถึงนี้?  ฉันต้องไม่ทำสิ่งใดบ้าง?”  และต่อมา เขาจะพูดว่า “เจ้าต้องไม่ไปที่นั่น เจ้าต้องไม่ทำการนี้ ต้องไม่สวมเสื้อผ้าสีนั้นสีนี้ เจ้าควรไปสถานที่นั้นๆ ให้น้อยลง ทำสิ่งนั้นๆ ให้มากขึ้น…”  เจ้าจะไม่รับเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดไว้กับหัวใจในทันทีหรอกหรือ?  เจ้าจะจดจำคำพูดของเขารวดเร็วกว่าพระวจนะของพระเจ้า  เหตุใดเจ้าจึงจะจดจำสิ่งเหล่านั้นอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้?  เพราะเจ้าคงจะต้องการพึ่งพาซาตานเพื่อโชคดี  นี่ไม่ใช่เวลาที่มันยึดหัวใจของเจ้าหรอกหรือ?  เมื่อการทำนายของมันเป็นจริง ครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าจะไม่ต้องการตรงกลับไปหามันเพื่อค้นหาว่าปีต่อไปจะนำพาโชคชะตาใดมากระนั้นหรือ?  (ใช่)  เจ้าคงจะทำสิ่งใดก็ตามที่ซาตานบอกให้เจ้าทำและเจ้าคงจะหลีกเลี่ยงสิ่งทั้งหลายที่มันบอกให้หลีกเลี่ยง  ในหนทางนี้ เจ้าไม่ใช่กำลังเชื่อฟังสิ่งทั้งหลายที่มันพูดหรอกหรือ?  เจ้าจะตกไปสู่อ้อมกอดของมัน ถูกหลอกลวง และมาอยู่ภายใต้การควบคุมของมันอย่างรวดเร็วมาก  การนี้เกิดขึ้นเพราะเจ้าเชื่อว่าสิ่งที่มันพูดเป็นความจริง และเพราะเจ้าเชื่อว่ามันรู้เกี่ยวกับชีวิตในอดีตของเจ้า ชีวิตของเจ้าในตอนนี้ และสิ่งที่อนาคตจะนำมา  นี่คือวิธีการที่ซาตานใช้เพื่อควบคุมผู้คน  แต่ในความเป็นจริงนั้น ผู้ใดหรือคือผู้ควบคุมจริงๆ?  พระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นผู้ควบคุม ไม่ใช่ซาตาน  ซาตานแค่กำลังใช้ลูกเล่นอันหลักแหลมของมันในกรณีนี้เพื่อใช้เล่ห์เหลี่ยมกับผู้คนที่ไม่รู้เท่าทัน ใช้เล่ห์เหลี่ยมกับผู้คนที่เพียงแค่มองเห็นโลกทางวัตถุเท่านั้น ให้มาเชื่อและพึ่งพามัน  เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจึงตกอยู่ในเงื้อมมือของซาตานและเชื่อคำพูดทุกคำของมัน  แต่ซาตานเคยคลายกำมือของมันหรือไม่เมื่อผู้คนต้องการที่จะเชื่อและติดตามพระเจ้า?  ซาตานไม่เคยทำเช่นนั้น  ในสถานการณ์นี้ ผู้คนกำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของซาตานจริงๆ ใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเราสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพฤติกรรมของซาตานในด้านนี้ช่างไร้ยางอาย?  (ได้)  เหตุใดพวกเราจึงกล่าวเช่นนั้นได้?  เพราะเหล่านี้คือชั้นเชิงที่ฉ้อฉลและหลอกลวง  ซาตานไร้ยางอายและชี้นำให้ผู้คนเข้าใจผิดคิดไปว่ามันควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขาและว่ามันควบคุมชะตากรรมจริงๆ ของพวกเขา  การนี้เป็นเหตุให้ผู้คนที่ไม่รู้เท่าทันเชื่อฟังมันอย่างสิ้นเชิง  พวกเขาถูกหลอกด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ  ผู้คนก็กราบไหว้ลงต่อหน้ามันในความมึนงงของพวกเขา  ดังนั้น ซาตานใช้วิธีการแบบใด มันพูดสิ่งใดเพื่อทำให้เจ้าเชื่อในมัน?  ยกตัวอย่างเช่น  เจ้าอาจไม่ได้บอกซาตานว่ามีกี่คนในครอบครัวของเจ้า แต่มันอาจจะยังคงสามารถบอกเจ้าได้ว่ามีกี่คน และบอกอายุบิดามารดาและลูกหลานของเจ้า  ถึงแม้เจ้าอาจจะได้มีความสงสัยและกังขาเกี่ยวกับซาตานมาก่อนหน้านี้ แต่หลังจากได้ยินมันพูดสิ่งเหล่านี้ เมื่อนั้นเจ้าจะไม่รู้สึกว่ามันน่าเชื่อมากขึ้นสักเล็กน้อยหรอกหรือ?  เมื่อนั้นซาตานอาจจะพูดว่า งานนั้นลำบากยากเย็นสำหรับเจ้าเพียงใดในช่วงนี้ ว่าผู้บังคับบัญชาของเจ้าไม่ให้การยอมรับแก่เจ้าอย่างที่เจ้าสมควรได้รับ และทำงานขัดแย้งกับเจ้าอยู่เสมอ และอื่นๆ  หลังจากได้ยินการนั้นแล้ว เจ้าคงจะคิดว่า “นั่นถูกต้องไม่มีผิด!  สิ่งทั้งหลายในเรื่องงานไม่ได้ราบรื่นเลย”  ดังนั้นเจ้าคงจะเชื่อซาตานมากขึ้นนิดหน่อย  ต่อมามันคงจะพูดสิ่งอื่นบางอย่างเพื่อหลอกลวงเจ้า ทำให้เจ้าเชื่อมันมากยิ่งขึ้นไปอีก  เจ้าคงจะพบทีละเล็กทีละน้อยว่าตัวเจ้าเองไม่สามารถต้านทานหรือยังคงสงสัยมันได้อีกต่อไป  ซาตานแค่ใช้เล่ห์เหลี่ยมยิบย่อยไม่กี่อย่าง แม้กระทั่งเล่ห์เหลี่ยมสัพเพเหระ และทำให้เจ้าประหลาดใจสับสนในหนทางนี้  เมื่อเจ้ากลายเป็นประหลาดใจสับสน เจ้าจะไม่สามารถระลึกได้ว่าตัวเจ้านั้นอยู่ตำแหน่งแห่งหนใดกันแน่ เจ้าจะทำอะไรไม่ถูก และเจ้าจะเริ่มทำตามสิ่งที่ซาตานพูด  นี่คือวิธีการ “อันปราดเปรื่อง” ที่ซาตานใช้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ซึ่งทำให้เจ้าตกไปอยู่ในกับดักของมันและถูกมันล่อลวงโดยไม่รู้ตัว  ซาตานบอกเจ้าไม่กี่อย่างที่ผู้คนจินตนาการว่าดี และต่อมามันบอกเจ้าว่าให้ทำสิ่งใดและให้หลีกเลี่ยงสิ่งใด  นี่คือวิธีที่เจ้าถูกทำให้หลงกลโดยไม่รู้ตัว  ทันทีที่เจ้าตกหลุมกลลวงนั้น สิ่งทั้งหลายจะแก้ยากสำหรับเจ้า เจ้าจะคิดถึงสิ่งที่ซาตานพูดและสิ่งที่มันบอกให้เจ้าทำอยู่เนืองนิตย์ และเจ้าจะไม่รู้ตัวว่าถูกมันครอบงำ  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  นั่นเป็นเพราะมวลมนุษย์ขาดพร่องความจริง และดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะตั้งมั่นและต้านทานการล่อลวงและการทดลองของซาตานได้  เมื่อเผชิญหน้ากับความชั่วของซาตานและการหลอกลวง การหักหลัง และความคิดร้ายของมัน มวลมนุษย์ช่างไม่รู้เท่าทัน ไม่เป็นผู้ใหญ่ และอ่อนแอ มิใช่หรือ?  นี่ไม่ใช่หนึ่งในหนทางที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามหรอกหรือ?  (ใช่)  มนุษย์ถูกหลอกและถูกใช้เล่ห์เหลี่ยมทีละเล็กทีละน้อยด้วยวิธีการหลากหลายของซาตานโดยไม่รู้ตัว เพราะพวกเขาขาดพร่องความสามารถในการแยกความต่างระหว่างด้านบวกและด้านลบ  พวกเขาขาดพร่องวุฒิภาวะนี้และความสามารถที่จะมีชัยเหนือซาตาน

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 151

วิธีที่ซาตานใช้กระแสนิยมทางสังคมเพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

กระแสนิยมทางสังคมได้มามีขึ้นเมื่อใด?  สิ่งเหล่านั้นเพียงแค่มามีอยู่ในปัจจุบันนี้เท่านั้นหรือ?  คนเราสามารถพูดได้ว่ากระแสนิยมทางสังคมเกิดขึ้นเมื่อซาตานเริ่มทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม  กระแสนิยมทางสังคมรวมถึงสิ่งใดบ้าง?  (ลีลาการแต่งกายและการแต่งหน้า)  เหล่านี้คือสิ่งที่ผู้คนมักเข้ามาติดต่อสัมพันธ์ด้วย  ลักษณะแนวของเสื้อผ้า แฟชั่น และกระแสนิยม—สิ่งเหล่านี้ประกอบขึ้นเป็นหนึ่งแง่มุมเล็กๆ แง่มุมหนึ่ง  มีสิ่งอื่นใดอีกหรือไม่?  วลียอดนิยมทั้งหลายที่ผู้คนมักจะโพล่งออกมาบ่อยครั้งนั้นนับด้วยหรือไม่?  ลีลาชีวิตที่ผู้คนอยากได้อยากมีนับด้วยหรือไม่?  นักร้องดาวรุ่ง คนเด่นคนดัง นิตยสาร นวนิยายที่ผู้คนชอบนับด้วยหรือไม่?  (นับ)  ในจิตใจของพวกเจ้านั้น แง่มุมใดของกระแสนิยมทางสังคมที่สามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้?  สิ่งใดจากกระแสนิยมเหล่านี้ที่จูงใจพวกเจ้ามากที่สุด?  ผู้คนบางคนอาจกล่าวว่า “พวกเราล้วนมาถึงวัยเฉพาะแล้ว พวกเราอยู่ในวัยห้าสิบหรือหกสิบปี เจ็ดสิบหรือแปดสิบปี  และพวกเราไม่สามารถเข้ากันได้กับกระแสนิยมเหล่านี้อีกต่อไป และกระแสนิยมเหล่านี้ไม่อยู่ในความสนใจของพวกเราจริงๆ”  การนี้ถูกต้องใช่หรือไม่?  คนอื่นๆ อาจกล่าวว่า “พวกเราไม่ทำตามพวกคนเด่นคนดัง นั่นเป็นบางสิ่งบางอย่างที่พวกคนหนุ่มสาวในวัยยี่สิบกว่าๆ ทำกัน พวกเราไม่สวมเสื้อผ้าตามแฟชั่นด้วย นั่นเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนซึ่งใส่ใจภาพลักษณ์ทำกัน”  ดังนั้นอะไรหรือในสิ่งเหล่านี้ที่สามารถทำให้พวกเจ้าเสื่อมทรามได้?  (คติพจน์ยอดนิยม)  คติพจน์เหล่านี้สามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้หรือไม่?  เราจะให้ตัวอย่างหนึ่ง แล้วพวกเจ้าจึงสามารถมองเห็นได้ว่ามันทำให้ผู้คนเสื่อมทรามหรือไม่ กล่าวคือ  “เงินทำให้โลกหมุนไป” นี่เป็นกระแสนิยมอย่างหนึ่งหรือไม่?  เมื่อเปรียบเทียบกับกระแสนิยมด้านแฟชั่นและอาหารชั้นเลิศที่พวกเจ้าได้กล่าวเปรยถึง นี่ไม่เลวร้ายกว่ามากหรอกหรือ?  “เงินทำให้โลกหมุนไป” เป็นปรัชญาหนึ่งของซาตาน มันแพร่หลายไปท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งหมด ในทุกสังคมมนุษย์ เจ้าสามารถกล่าวได้ว่ามันเป็นกระแสนิยมอย่างหนึ่ง  นี่เป็นเพราะมันถูกปลูกฝังอยู่ในหัวใจของทุกคนที่ไม่ได้ยอมรับคำกล่าวนี้แต่แรก แต่ต่อมากลับให้การยอมรับมันโดยปริยายเมื่อพวกเขาเข้ามาติดต่อสัมพันธ์กับชีวิตจริง และเริ่มที่จะรู้สึกว่าอันที่จริงแล้วคำพูดเหล่านี้จริงแท้  นี่ไม่ใช่กระบวนการที่ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามหรอกหรือ?  บางทีผู้คนอาจไม่เข้าใจคติพจน์นี้ในระดับเดียวกัน แต่ทุกคนก็มีระดับการตีความและการยอมรับคติพจน์ที่แตกต่างกันไปโดยมีพื้นฐานมาจากสิ่งทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้นรอบตัวพวกเขาและจากประสบการณ์ส่วนบุคคลของพวกเขาเอง  นั่นไม่ใช่กรณีนี้หรอกหรือ?  ไม่ว่าใครบางคนจะมีประสบการณ์กับคติพจน์นี้มากเพียงใด ผลด้านลบใดหรือที่มันสามารถมีต่อหัวใจของใครบางคนได้?  บางสิ่งบางอย่างถูกเปิดเผยโดยผ่านทางอุปนิสัยแบบมนุษย์ของผู้คนในพิภพนี้ รวมถึงพวกเจ้าแต่ละคน  นี่คือสิ่งใด?  มันคือการบูชาเงิน  มันยากที่จะลบเรื่องนี้ออกไปจากหัวใจของใครบางคนใช่หรือไม่?  มันยากมาก!  ดูเหมือนว่าการทำให้มนุษย์เสื่อมทรามของซาตานจะลึกซึ้งจริงๆ!  ซาตานใช้เงินทองมาทดลองผู้คน และทำให้พวกเขาเสื่อมทรามจนบูชาเงินตราและเทิดทูนวัตถุสิ่งของ  แล้วการบูชาเงินตรานี้สำแดงในตัวผู้คนอย่างไร?  พวกเจ้ารู้สึกว่าพวกเจ้าไม่สามารถอยู่รอดในพิภพนี้ได้โดยปราศจากเงินเลย ว่าแม้แต่วันหนึ่งที่ปราศจากเงินก็คงจะเป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่?  สถานะของผู้คนขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีเงินมากเพียงใด เช่นเดียวกับความนับถือที่พวกเขาอยากได้มา  หลังของคนยากจนก้มโค้งด้วยความอดสู ในขณะที่คนมั่งคั่งชื่นชมสถานที่สูงส่งของพวกเขา  พวกเขาเชิดและเย่อหยิ่ง พูดเสียงดังและดำรงชีวิตอย่างโอหัง  คติพจน์และกระแสนิยมนี้นำพาสิ่งใดมาสู่ผู้คนหรือ?  จริงหรือไม่ที่ผู้คนมากมายทำการพลีอุทิศทุกอย่างในการไล่ตามเสาะหาเงินตรา?  ผู้คนมากมายไม่ได้สูญเสียศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของพวกเขาไปในการไล่ตามเสาะหาเงินตราที่มากขึ้นหรอกหรือ?  ผู้คนมากมายไม่ได้สูญเสียโอกาสในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาและติดตามพระเจ้าไปเพื่อประโยชน์ของเงินหรอกหรือ?  การสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความจริงและได้รับการช่วยให้รอดไม่ใช่การสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้คนหรอกหรือ?  ซาตานไม่ส่อแววร้ายหรอกหรือที่ใช้วิธีการนี้และคติพจน์นี้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามถึงระดับเช่นนั้น?  นี่ไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมที่คิดร้ายหรอกหรือ?  ขณะที่เจ้าก้าวจากการคัดค้านคติพจน์ยอดนิยมนี้ไปสู่การยอมรับในที่สุดว่ามันเป็นความจริง หัวใจของเจ้าก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของซาตานโดยบริบูรณ์ และดังนั้นเจ้าก็ได้มาดำรงชีวิตอยู่ด้วยคติพจน์นี้โดยไม่ตั้งใจ  คติพจน์นี้ส่งผลต่อเจ้าถึงระดับใด?  เจ้าอาจจะรู้จักหนทางที่แท้จริง และเจ้าอาจจะรู้จักความจริง แต่เจ้าไร้พลังที่จะไล่ตามเสาะหาการนั้น  เจ้าอาจจะรู้อย่างชัดเจนว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง แต่เจ้าไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคา หรือที่จะทนทุกข์เพื่อให้ได้รับความจริงนั้นมา  ในทางกลับกัน เจ้าคงจะพลีอุทิศอนาคตและชะตาลิขิตของเจ้าเองเพื่อต้านทานพระเจ้าจนถึงที่สุดมากกว่า  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใด ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด ไม่สำคัญว่าเจ้าจะเข้าใจหรือไม่ว่าความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเจ้านั้นลึกซึ้งเพียงใดหรือยิ่งใหญ่เพียงใด เจ้าคงจะยืนกรานอย่างดื้อด้านในการที่จะมีหนทางของเจ้าเองและจ่ายราคาให้แก่คติพจน์นี้  ซึ่งหมายความว่า คติพจน์นี้ได้หลอกลวงและควบคุมความคิดของเจ้าแล้ว มันเข้ากำกับพฤติกรรมของเจ้าแล้ว และเจ้าเลือกที่จะปล่อยให้มันปกครองชะตากรรมของเจ้ามากกว่าจะละวางการไล่ตามโภคทรัพย์  การที่ผู้คนสามารถปฏิบัติตนเช่นนี้ การที่คำพูดของซาตานสามารถควบคุมและบงการพวกเขา—นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาได้ถูกซาตานหลอกลวงและทำให้เสื่อมทรามแล้วหรอกหรือ?  ปรัชญาและกรอบความคิดของซาตาน และอุปนิสัยของซาตาน ไม่ได้หยั่งรากลงไปในหัวใจของเจ้าแล้วหรอกหรือ?  เมื่อเจ้าไล่ตามโภคทรัพย์อย่างมืดบอด และทอดทิ้งการไล่ตามเสาะหาความจริง ซาตานไม่ได้สัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายที่จะหลอกลวงเจ้าแล้วหรอกหรือ?  ย่อมเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน  ดังนั้น เจ้าสามารถรู้สึกถึงการนี้ได้หรือไม่เมื่อเจ้าถูกซาตานหลอกลวงและทำให้เสื่อมทราม?  เจ้าไม่สามารถรู้สึกได้  หากเจ้าไม่สามารถมองเห็นซาตานยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า หรือรู้สึกว่าซาตานกำลังกระทำการอย่างลับๆ เจ้าจะสามารถมองเห็นความชั่วร้ายของซาตานได้หรือ?  เจ้าจะรู้ได้หรือว่าซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามด้วยวิธีใด?  ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามในทุกที่และทุกเวลา  ซาตานทำให้เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ที่จะป้องกันตัวจากความเสื่อมทรามนี้ และทำให้มนุษย์อับจนหนทางที่จะต่อต้านมัน  ซาตานทำให้เจ้ายอมรับความคิดของมัน ทัศนคติของมัน และสิ่งชั่วทั้งหลายที่มาจากมันในสถานการณ์ที่เจ้าไม่รู้ตัวและเมื่อเจ้าไม่มีการระลึกรู้ว่ากำลังเกิดสิ่งใดกับเจ้า  ผู้คนยอมรับสิ่งเหล่านี้และไม่มีการยกเว้นใดๆ ต่อสิ่งเหล่านี้เลย  พวกเขาทะนุถนอมและยึดมั่นกับสิ่งเหล่านี้เหมือนทรัพย์สมบัติล้ำค่า พวกเขาปล่อยให้สิ่งเหล่านี้บงการพวกเขาและทำกับพวกเขาเหมือนเป็นของเล่น นี่คือการที่ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ใต้อำนาจของซาตาน และเชื่อฟังซาตานโดยไม่รู้ตัว และการทำให้มนุษย์เสื่อมทรามของซาตานนั้นยิ่งลงลึกมากขึ้นทุกที

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 152

ซาตานใช้หลายวิธีการเหล่านี้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม  มนุษย์มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการทางวิทยาศาสตร์บางอย่าง มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของวัฒนธรรมตามประเพณี และมนุษย์ทุกคนเป็นผู้รับมรดกและผู้ถ่ายทอดวัฒนธรรมตามประเพณี  มนุษย์ถูกผูกมัดให้ต้องดำเนินวัฒนธรรมตามประเพณีที่ซาตานมอบให้เขานี้ต่อไป และมนุษย์ยังปฏิบัติตามกระแสนิยมทางสังคมที่ซาตานจัดเตรียมให้แก่มวลมนุษย์อีกด้วย  มนุษย์ไม่สามารถแยกจากซาตานได้ ปฏิบัติตามทุกอย่างที่ซาตานทำอยู่ตลอดเวลา โดยยอมรับความชั่ว การหลอกลวง ความคิดร้าย และความโอหังของมัน  ทันทีที่มนุษย์ได้มาครองอุปนิสัยเหล่านี้ของซาตาน เขามีความสุขหรือเศร้าโศกที่ได้มาดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามนี้?  (โศกเศร้า)  เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้นเล่า?  (เพราะมนุษย์ถูกมัดและควบคุมโดยสิ่งทั้งหลายที่เสื่อมทรามเหล่านี้ เขาใช้ชีวิตอยู่ในบาปและชีวิตของเขาถูกโอบล้อมอยู่ในการต่อสู้ดิ้นรนที่ยากลำเค็ญ)  ผู้คนบางคนสวมแว่นสายตา โดยมีลักษณะภายนอกเป็นผู้มีภูมิปัญญาอย่างยิ่ง พวกเขาอาจพูดอย่างน่านับถือยิ่งนัก มีวาทศิลป์และเหตุผล และเนื่องจากพวกเขาได้ก้าวผ่านสิ่งทั้งหลายมามากมาย พวกเขาอาจมีประสบการณ์และทันสมัยอย่างมาก พวกเขาอาจมีความสามารถที่จะพูดในรายละเอียดของเรื่องทั้งหลายทั้งใหญ่และเล็กได้ ทั้งพวกเขายังอาจจะมีความสามารถที่จะประเมินความน่าเชื่อถือและให้เหตุผลสิ่งทั้งหลายด้วยเช่นกัน  บางคนอาจจะมองดูที่พฤติกรรมและการปรากฏของผู้คนเหล่านี้ ตลอดจนบุคลิกลักษณะ สภาวะความเป็นมนุษย์ การประพฤติ และอื่นๆ ของพวกเขา และพบว่าพวกเขาไม่มีข้อผิดพลาดเลย  ผู้คนเช่นนั้นมีความสามารถเป็นพิเศษในการปรับตัวให้เข้ากับกระแสนิยมทางสังคมปัจจุบัน  ถึงแม้ว่าผู้คนเหล่านี้อาจสูงวัย พวกเขาก็ไม่เคยล้าหลังกระแสนิยมทั้งหลายของยุคนั้นและไม่เคยแก่เกินเรียน  เมื่อมองผิวเผิน ไม่มีผู้ใดสามารถพบข้อผิดพลาดในบุคคลเช่นนี้ได้ แต่ทว่าเมื่อทบทวนแก่นแท้ภายในของพวกเขานั้น พวกเขาถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างถึงที่สุดและโดยสิ้นเชิง  ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถพบข้อผิดพลาดภายนอกจากผู้คนเหล่านี้ได้ ถึงแม้ว่าบนเปลือกนอกนั้นพวกเขาเป็นคนสุภาพ ได้รับการถลุง และครองความรู้และความมีศีลธรรมเฉพาะอย่าง และพวกเขามีความสัตย์สุจริต และถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีทางด้อยกว่าผู้คนรุ่นเยาว์ในด้านของความรู้ ทว่าในแง่ของแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา ผู้คนเช่นนี้เป็นแบบอย่างอันสมบูรณ์และมีชีวิตของซาตาน พวกเขาเป็นสำเนาถูกต้องของซาตาน  นี่คือ “ดอกผล” ของการที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม  สิ่งที่เราได้พูดไปอาจทำให้พวกเจ้าเจ็บปวด แต่ทั้งหมดนั้นจริงแท้  ความรู้ที่มนุษย์ศึกษา วิทยาศาสตร์ที่เขาเข้าใจ และวิถีทางที่เขาเลือกเพื่อทำให้เขาเข้ากันได้กับกระแสนิยมทางสังคมนั้น คือเครื่องมือที่ซาตานใช้ทำให้มนุษย์เสื่อมทรามโดยไม่มีการยกเว้น  การนี้แท้จริงอย่างแน่นอน  เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงดำรงชีวิตอยู่ภายในอุปนิสัยที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง และมนุษย์ไม่มีหนทางที่จะรู้ว่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้าคือสิ่งใดหรือเนื้อแท้ของพระเจ้าคือสิ่งใด  นี่เป็นเพราะบนเปลือกนอกนั้น คนเราไม่สามารถพบข้อผิดพลาดกับหนทางที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามได้ คนเราไม่สามารถบอกได้จากพฤติกรรมของใครบางคนว่าสิ่งใดผิดปกติ  ทุกคนทำงานของตนเองอย่างเป็นปกติและดำรงชีวิตตามปกติ พวกเขาอ่านหนังสือและหนังสือพิมพ์อย่างเป็นปกติ พวกเขาศึกษาและพูดอย่างเป็นปกติ ผู้คนบางคนได้เรียนรู้จริยธรรมมาเล็กน้อยและพูดเก่ง มีความเข้าใจและเป็นมิตร ชอบช่วยเหลือและใจบุญ และไม่หาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งหยุมหยิมหรือเอาเปรียบผู้คน  อย่างไรก็ตาม อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานนี้หยั่งรากลึกภายในตัวพวกเขา และธาตุแท้นี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยอาศัยความพยายามภายนอก  เนื่องจากธาตุแท้นี้ มนุษย์จึงไม่สามารถรู้จักความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ และถึงแม้เนื้อแท้แห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะได้เผยแก่มนุษย์ มนุษย์ก็ไม่จริงจังกับมัน  นี่เป็นเพราะซาตานได้มาครอบงำความรู้สึก แนวคิด ทัศนคติ และความคิดของมนุษย์ไว้แล้วอย่างสิ้นเชิงโดยผ่านทางวิถีทางต่างๆ นานา  การครอบงำและความเสื่อมทรามนี้ไม่ใช่ชั่วคราวหรือเป็นบางโอกาส แต่ปรากฏอยู่ทุกที่และตลอดเวลา  ด้วยเหตุนี้  ผู้คนมากมายยิ่งนักที่เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาสามหรือสี่ปี หรือแม้กระทั่งห้าหรือหกปีแล้ว ก็ยังคงนึกว่าความคิด ทรรศนะ ตรรกะที่ชั่วร้ายเหล่านี้ และปรัชญาทั้งหลายที่ซาตานได้ปลูกฝังไว้ในตัวพวกเขาเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่า และไร้ความสามารถที่จะปล่อยสิ่งเหล่านั้นไปได้  เพราะมนุษย์ได้ยอมรับสิ่งทั้งหลายที่ชั่ว โอหัง และคิดร้ายที่มาจากธรรมชาติของซาตาน จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความขัดแย้ง ข้อโต้เถียง และความเข้ากันไม่ได้อยู่บ่อยๆ ในสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นจากธรรมชาติอันโอหังของซาตาน  หากซาตานได้มอบสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกแก่มวลมนุษย์—ยกตัวอย่างเช่น หากลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋าจากวัฒนธรรมตามประเพณีที่มนุษย์ได้ยอมรับนั้นเป็นสิ่งที่ดี—ผู้คนประเภทที่คล้ายกันควรสามารถไปด้วยกันได้หลังจากที่ยอมรับสิ่งเหล่านั้นแล้ว  ดังนั้น เหตุใดจึงมีการแบ่งแยกมากมายระหว่างผู้คนที่ได้ยอมรับในสิ่งเดียวกัน?  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  นั่นเป็นเพราะสิ่งเหล่านี้มาจากซาตานและซาตานได้สร้างการแบ่งแยกขึ้นท่ามกลางผู้คน  สิ่งเหล่านี้จากซาตาน ไม่สำคัญว่าสิ่งเหล่านี้จะปรากฏทางเปลือกนอกว่ามีศักดิ์ศรีหรือยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม ย่อมนำพาความโอหังมาสู่มนุษย์และทำให้มันแสดงออกในชีวิตของมนุษย์เท่านั้นเอง และไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าความหลอกลวงจากธรรมชาติชั่วของซาตาน  นั่นไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?  ใครบางคนที่สามารถปลอมตัว ที่ครองความอุดมทรัพย์ทางความรู้ หรือผู้ที่มีการอบรมเลี้ยงดูที่ดีก็จะยังคงมีเวลาที่ยากลำบากในการปกปิดอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขาอยู่  กล่าวคือ ไม่สำคัญว่าบุคคลนี้จะห่มคลุมตัวเองสักกี่วิธี ไม่ว่าเจ้าจะคิดถึงพวกเขาในฐานะวิสุทธิชนหรือไม่ หรือเจ้าจะคิดว่าพวกเขาเป็นคนมีความเพียบพร้อมหรือไม่ หรือเจ้าจะคิดว่าพวกเขาเป็นทูตสวรรค์หรือไม่ ไม่สำคัญว่าเจ้าจะคิดว่าพวกเขาบริสุทธิ์หมดจดเพียงใด ชีวิตจริงของพวกเขาเป็นเยี่ยงใดเล่าเบื้องหลังฉาก?  ธาตุแท้ใดหรือที่เจ้าจะมองเห็นในการเปิดเผยอุปนิสัยของพวกเขา?  ไม่ต้องกังขาเลยว่าเจ้าคงจะมองเห็นธรรมชาติชั่วของซาตาน  การพูดเช่นนั้นพอจะยอมรับได้หรือไม่?  (ได้)  ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้ารู้จักใครบางคนที่ใกล้ชิดกับพวกเจ้า ผู้ที่เจ้าคิดว่าเป็นคนดี อาจจะเป็นใครบางคนที่เจ้าชื่นชู  ด้วยวุฒิภาวะปัจจุบันของเจ้า เจ้าคิดถึงพวกเขาอย่างไร?  อย่างแรก เจ้าประเมินว่าบุคคลประเภทนี้มีสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่ ว่าพวกเขาซื่อสัตย์หรือไม่ ว่าพวกเขามีความรักแท้จริงต่อผู้คนหรือไม่ ว่าคำพูดและการกระทำของพวกเขาเป็นประโยชน์และช่วยผู้อื่นหรือไม่  (พวกเขาไม่เป็นเช่นนั้น)  สิ่งที่เรียกว่าความใจดีมีเมตตา ความรัก หรือความดีงามอันใดที่ผู้คนเหล่านี้เปิดเผยออกมา?  ทั้งหมดนั้นเป็นเท็จ ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงหน้าฉาก  เบื้องหลังหน้าฉากนี้มีจุดประสงค์ชั่วแอบแฝง นั่นก็คือ เพื่อทำให้บุคคลนั้นเป็นที่รักใคร่บูชาและชื่นชู  พวกเจ้ามองเห็นการนี้อย่างชัดเจนใช่หรือไม่?  (ใช่)

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 153

วิธีการที่ซาตานใช้เพื่อทำให้ผู้คนเสื่อมทรามนั้น นำพาสิ่งใดมาสู่มวลมนุษย์หรือ?  วิธีการเหล่านั้นนำพาสิ่งใดที่เป็นบวกมาหรือไม่?  ก่อนอื่น มนุษย์สามารถแยกความต่างระหว่างความดีและความชั่วได้หรือไม่?  เจ้าจะพูดหรือไม่ว่า ในพิภพนี้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือยิ่งใหญ่บางคน หรือนิตยสารหรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ มาตรฐานที่พวกเขาใช้เพื่อตัดสินว่าบางสิ่งบางอย่างดีหรือชั่วและถูกหรือผิดนั้น ถูกต้องแม่นยำหรือไม่?  การประเมินของพวกเขาที่มีต่อเหตุการณ์และผู้คนยุติธรรมหรือไม่?  การประเมินเหล่านั้นบรรจุไปด้วยความจริงหรือไม่?  พิภพนี้ มนุษยชาตินี้ ประเมินสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกและเป็นลบบนพื้นฐานของมาตรฐานแห่งความจริงหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดผู้คนจึงไม่มีความสามารถนั้น?  ผู้คนได้ศึกษาความรู้มากมายยิ่งนัก และรู้มากมายยิ่งนักเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ดังนั้นพวกเขาจึงครองความสามารถยิ่งใหญ่มิใช่หรือ?  ดังนั้นเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถแยกระหว่างสิ่งที่เป็นบวกและเป็นลบได้?  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  (เพราะผู้คนไม่มีความจริง วิทยาศาสตร์และความรู้ไม่ใช่ความจริง)  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานนำมาให้แก่มนุษยชาติคือความชั่ว ความเสื่อมทราม และการขาดพร่องความจริง ชีวิต และหนทาง  ด้วยความชั่วและความเสื่อมทรามที่ซาตานนำพามาสู่มนุษย์ เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าซาตานมีความรัก?  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่ามนุษย์มีความรัก?  ผู้คนบางคนอาจจะพูดว่า  “ท่านผิดแล้ว มีผู้คนมากมายทั่วโลกที่ช่วยเหลือคนยากจนและไร้บ้าน  ผู้คนเหล่านั้นไม่ใช่คนดีหรอกหรือ?  ยังมีองค์กรการกุศลทั้งหลายที่ทำงานที่ดีงามอีกด้วย  งานที่พวกเขาทำไม่ใช่งานที่ดีงามหรอกหรือ?”  เจ้าจะพูดอย่างไรต่อการนั้น?  ซาตานใช้วิธีการและทฤษฎีที่แตกต่างกันมากมายเพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม  ความเสื่อมทรามนี้ของมนุษย์เป็นมโนทัศน์ที่คลุมเครือใช่หรือไม่?  ไม่ใช่ มันไม่คลุมเครือ  ซาตานยังทำบางสิ่งบางอย่างที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอีกด้วย และมันยังส่งเสริมทัศนคติหรือทฤษฎีในพิภพนี้และในสังคมอีกด้วย  มันส่งเสริมทฤษฎีและปลูกฝังความคิดเข้าไปในจิตใจของมนุษย์ ในทุกราชวงศ์และในทุกยุคสำคัญในประวัติศาสตร์  ความคิดและทฤษฎีเหล่านี้ค่อยๆ หยั่งรากในหัวใจของผู้คน และต่อมาพวกเขาก็เริ่มดำรงชีวิตด้วยสิ่งเหล่านั้น  ทันทีที่พวกเขาเริ่มดำรงชีวิตด้วยสิ่งเหล่านี้ พวกเขาไม่กลายเป็นซาตานโดยไม่รู้ตัวหรอกหรือ?  เช่นนั้นแล้วผู้คนไม่กลายเป็นหนึ่งเดียวกับซาตานหรอกหรือ?  เมื่อผู้คนได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับซาตานแล้ว ท่าทีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าในท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร?  มันจะไม่ใช่ท่าทีแบบเดียวกันกับที่ซาตานมีต่อพระเจ้าหรอกหรือ?  ไม่มีผู้ใดกล้ายอมรับการนี้ใช่หรือไม่?  ช่างน่าสยองขวัญยิ่งนัก!  เหตุใดเราจึงพูดว่าธรรมชาติของซาตานนั้นชั่วร้าย?  เราไม่ได้พูดการนี้อย่างเลื่อนลอย ในทางตรงกันข้าม ธรรมชาติของซาตานถูกกำหนดพิจารณาและวิเคราะห์บนพื้นฐานของสิ่งที่มันได้ทำไปและสิ่งทั้งหลายที่มันได้เปิดเผยไป  หากเราแค่พูดว่าซาตานชั่ว พวกเจ้าจะคิดอย่างไร?  พวกเจ้าคงจะคิดว่า “เห็นได้ชัดว่าซาตานนั้นชั่ว”  ดังนั้นเราถามเจ้าว่า “แง่มุมใดของซาตานที่ชั่ว?”  หากเจ้าพูดว่า “การต้านทานของซาตานที่มีต่อพระเจ้านั้นชั่ว” เจ้ายังคงไม่ได้พูดด้วยความกระจ่างแจ้ง  บัดนี้ที่เราได้พูดเกี่ยวกับข้อเฉพาะเจาะจงทั้งหลายในหนทางนี้แล้ว พวกเจ้ามีความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงในธาตุแท้แห่งความชั่วของซาตานแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่แล้ว)  หากเจ้าสามารถมองเห็นธรรมชาติชั่วของซาตานได้อย่างชัดเจน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมองเห็นสภาพเงื่อนไขทั้งหลายของเจ้าเอง  มีสัมพันธภาพใดระหว่างสองสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  การนี้มีประโยชน์ต่อพวกเจ้าหรือไม่?  (มี)  เมื่อเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเนื้อแท้แห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้า จำเป็นหรือไม่ที่เราต้องสามัคคีธรรมเกี่ยวกับธาตุแท้ชั่วของซาตาน?  พวกเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการนี้?  (ใช่แล้ว มันจำเป็น)  เพราะเหตุใดเล่า?  (ความชั่วของซาตานขับให้ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นที่สะดุดตาขึ้นมา)  มันเป็นเช่นนั้นหรือ?  นี่ถูกต้องเป็นบางส่วน เพราะหากปราศจากความชั่วของซาตาน ผู้คนก็คงจะไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์ มันจึงถูกต้องที่กล่าวเช่นนี้  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าพูดว่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเพียงแค่มีอยู่เนื่องจากความที่มันต่างกันคนละขั้วกับความชั่วของซาตาน นี่ถูกต้องหรือไม่?  การคิดในหนทางแบบวิภาษวิธีเช่นนี้ไม่ถูกต้อง  ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นเนื้อแท้ประจำพระองค์ของพระเจ้า แม้เมื่อพระเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งนั้นโดยผ่านทางกิจการทั้งหลายของพระองค์ นี่ยังคงเป็นการแสดงออกตามธรรมชาติถึงเนื้อแท้ของพระเจ้า และนั่นยังคงเป็นเนื้อแท้ประจำพระองค์ของพระเจ้า นั่นดำรงอยู่เสมอและเป็นเนื้อในแต่ดั้งเดิมของพระเจ้าพระองค์เอง แม้ว่ามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นสิ่งนั้นได้  นี่เป็นเพราะมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานและอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตาน และพวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับความบริสุทธิ์ นับประสาอะไรที่จะรู้เกี่ยวกับเนื้อหาอันเฉพาะเจาะจงในความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ดังนั้น มันจำเป็นอย่างยิ่งหรือไม่ที่พวกเราต้องสามัคคีธรรมเกี่ยวกับธาตุแท้ชั่วของซาตานก่อน?  (ใช่ มันสำคัญ)  ผู้คนบางคนอาจแสดงความกังขาบางอย่างว่า “ท่านกำลังสามัคคีธรรมเกี่ยวกับพระเจ้าพระองค์เอง ดังนั้นเหตุใดท่านจึงพูดคุยอยู่เสมอเกี่ยวกับว่า ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามอย่างไร และธรรมชาติของซาตานชั่วร้ายอย่างไร?”  บัดนี้เจ้าได้คลายความกังขาเหล่านี้แล้ว มิใช่หรือ?  เมื่อผู้คนมีวิจารณญาณเกี่ยวกับความชั่วของซาตาน และเมื่อพวกเขามีคำนิยามถูกต้องแม่นยำให้กับมัน เมื่อผู้คนสามารถมองเห็นเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงและการสำแดงถึงความชั่ว แหล่งกำเนิดและธาตุแท้ของความชั่วได้อย่างชัดเจน เมื่อนั้นเท่านั้น ผู้คนจึงสามารถตระหนักหรือระลึกได้ว่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นอย่างไร ความบริสุทธิ์คือสิ่งใด โดยผ่านทางการเสวนาถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  หากเราไม่เสวนาถึงความชั่วของซาตาน ผู้คนบางคนจะเชื่ออย่างเข้าใจผิดว่า บางสิ่งที่ผู้คนทำในสังคมและท่ามกลางผู้คน—หรือสิ่งเฉพาะทั้งหลายที่มีอยู่ในพิภพนี้—อาจจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับความบริสุทธิ์  นี่เป็นทัศนคติที่ผิดไม่ใช่หรือ?  (ใช่ มันผิด)

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 154

ซาตานใช้ความรู้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม และมันใช้ชื่อเสียงกับผลประโยชน์ควบคุมมนุษย์ (บทตอนที่คัดมา)

ในบรรดาห้าวิธีที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามนั้น วิธีแรกที่พวกเราได้กล่าวถึงคือความรู้ ดังนั้นพวกเรามาใช้ความรู้เป็นหัวข้อแรกของพวกเราสำหรับการสามัคคีธรรมกันเถิด  ซาตานใช้ความรู้เป็นเหยื่อล่อ  จงฟังให้ดีว่า ความรู้เป็นแค่เหยื่อล่อชนิดหนึ่งเท่านั้น  ผู้คนถูกล่อลวงให้เรียนหนักและปรับปรุงตัวเองวันแล้ววันเล่า เพื่อปรับใช้ความรู้เป็นอาวุธและเตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยความรู้นั้น และก็เพื่อใช้ความรู้เพื่อเปิดประตูใหญ่สู่วิทยาศาสตร์ อีกนัยหนึ่งก็คือ ยิ่งเจ้าได้รับความรู้มากขึ้นเพียงใด เจ้าก็ยิ่งจะเข้าใจมากขึ้นเท่านั้น  ซาตานบอกการนี้ทั้งหมดแก่ผู้คน มันบอกให้ผู้คนหล่อเลี้ยงอุดมคติอันสูงส่งขณะที่พวกเขากำลังศึกษาหาความรู้ อบรมสั่งสอนให้พวกเขาสร้างสมความมักใหญ่ใฝ่สูงและความทะเยอทะยาน  ซาตานถ่ายทอดข่าวสารมากมายเยี่ยงนี้โดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัวเลย อันเป็นเหตุให้ผู้คนรู้สึกไปโดยไม่รู้ตัวว่าสิ่งเหล่านี้ถูกต้องหรือเป็นประโยชน์  ผู้คนเหยียบย่างบนเส้นทางนี้โดยที่ไม่รู้ตัว ถูกนำทางไปข้างหน้าโดยอุดมคติและความมักใหญ่ใฝ่สูงของพวกเขาเองโดยที่ไม่รู้ตัว  พวกเขาก็เรียนรู้ไปทีละขั้นทีละตอนโดยที่ไม่ได้ตั้งใจจากความรู้ที่ซาตานมอบให้เกี่ยวกับวิธีคิดของผู้คนที่ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียง  พวกเขายังเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากความประพฤติของผู้คนที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นพวกวีรบุรุษ  ซาตานกำลังให้การสนับสนุนอะไรแก่มนุษย์หรือ ในความประพฤติทั้งหลายของวีรบุรุษเหล่านี้?  มันต้องการปลูกฝังอะไรในมนุษย์?  มนุษย์ผู้นั้นจะต้องรักชาติ มีความสัตย์สุจริตต่อชาติ และมีจิตวิญญาณอันหาญกล้า  มนุษย์เรียนรู้อะไรหรือจากเรื่องราวทั้งหลาย ทางประวัติศาสตร์หรืออัตชีวประวัติของบรรดาบุคคลสำคัญที่เป็นวีรบุรุษ?  เรียนรู้ที่จะมีสำนึกรับรู้เกี่ยวกับความจงรักภักดีส่วนบุคคล เรียนรู้ที่จะตระเตรียมทำอะไรก็ตามให้กับเพื่อนฝูงและบรรดาพี่น้องของคนเรา  ภายในความรู้นี้ของซาตาน มนุษย์เรียนรู้หลายสิ่งโดยไม่รู้ตัว ซึ่งไม่ใช่ด้านบวกเลยแม้แต่น้อย  ในท่ามกลางการไม่ตระหนักรู้ของมนุษย์ เมล็ดพันธุ์ซึ่งซาตานได้ตระเตรียมเอาไว้ก็ถูกปลูกเพาะลงในจิตใจที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ของผู้คน  เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาควรที่จะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ ควรที่จะมีชื่อเสียง ควรที่จะเป็นวีรบุรุษ ควรที่จะรักชาติ เป็นคนที่รักครอบครัวของพวกเขา และเป็นคนที่จะทำอะไรก็ตามเพื่อเพื่อนและมีสำนึกแห่งความจงรักภักดีส่วนบุคคล  เมื่อถูกซาตานล่อใจ พวกเขาเดินไปบนถนนที่มันได้เตรียมไว้ให้พวกเขาโดยไม่รู้ตัว  ขณะที่พวกเขาเดินไปตามถนนสายนี้ พวกเขาถูกบีบบังคับให้ยอมรับกฎเกณฑ์ของซาตานสำหรับการดำรงชีวิต  โดยที่ไม่ตระหนักรู้อย่างสิ้นเชิง พวกเขาพัฒนากฎเกณฑ์ของพวกเขาเองซึ่งพวกเขาใช้ในการดำรงชีวิต แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อะไรมากไปกว่ากฎเกณฑ์ของซาตาน ซึ่งมันได้ปลูกฝังในตัวพวกเขาอย่างหนักแน่น  ในระหว่างกระบวนการเรียนรู้ ซาตานทำให้พวกเขาหล่อเลี้ยงวัตถุประสงค์ของพวกเขาเองและกำหนดเป้าหมายในชีวิต กฎเกณฑ์ที่จะใช้ในการดำรงชีวิต และทิศทางในชีวิตของพวกเขาเอง ปลูกฝังสิ่งทั้งหลายของซาตานในตัวพวกเขาตลอดเวลา โดยใช้เรื่องราว อัตชีวประวัติทั้งหลาย และวิถีทางอื่นทั้งหมดที่เป็นไปได้เพื่อล่อลวงผู้คนทีละน้อยจนกว่าพวกเขาจะฮุบเหยื่อ  ด้วยวิธีนี้ ในช่วงระหว่างการเรียนรู้ของพวกเขา บางคนมาชอบวรรณคดี บางคนชอบเศรษฐศาสตร์ คนอื่นๆ ชอบดาราศาสตร์หรือภูมิศาสตร์  แล้วก็มีบางคนที่มาชอบการเมือง บางคนที่ชอบฟิสิกส์ บางคนชอบวิชาเคมี และยังมีแม้กระทั่งคนอื่นซึ่งเป็นผู้ที่ชอบเทววิทยา  เหล่านี้ล้วนเป็นส่วนทั้งหลายของสิ่งที่ใหญ่กว่ามากซึ่งก็คือความรู้  ในหัวใจของเจ้า เจ้าแต่ละคนรู้ว่าสิ่งเหล่านี้แท้จริงแล้วเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร เจ้าแต่ละคนได้เคยสัมผัสกับพวกมันมาก่อน  เจ้าแต่ละคนสามารถพูดเรื่อยไปอย่างไม่สิ้นสุดเกี่ยวกับสาขาใดสาขาหนึ่งของความรู้เหล่านี้  และดังนั้นจึงชัดเจนว่าความรู้นี้ได้เข้าสู่จิตใจของพวกมนุษย์อย่างดิ่งลึกเพียงใด ง่ายเหลือเกินที่จะมองเห็นตำแหน่งที่ถูกความรู้นี้ยึดครองในจิตใจของผู้คน และเห็นว่าผลที่มันมีต่อพวกเขานั้นดิ่งลึกเพียงใด  ครั้นใครบางคนเริ่มมีความชื่นชอบในหน้าฉากหนึ่งของความรู้ เมื่อบุคคลหนึ่งได้ตกหลุมรักมันอย่างดิ่งลึก พวกเขาก็ย่อมเริ่มมีความมักใหญ่ใฝ่สูงโดยไม่รู้ตัว อาทิเช่น ผู้คนบางคนต้องการเป็นนักเขียน บางคนต้องการเป็นนักประพันธ์วรรณกรรม บางคนต้องการมีอาชีพการงานทางการเมือง และบางคนต้องการมีส่วนร่วมในทางเศรษฐศาสตร์และกลายเป็นพวกคนทำธุรกิจ  แล้วก็ยังมีผู้คนในสัดส่วนหนึ่งที่ต้องการเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ หรือมีชื่อเสียง  ไม่ว่าใครคนหนึ่งต้องการเป็นบุคคลประเภทใดก็ตาม เป้าหมายของพวกเขาก็คือการรับวิธีการศึกษาหาความรู้นี้ไว้และใช้มันเพื่อปลายทางของพวกเขาเอง เพื่อทำให้ความอยากได้อยากมีของพวกเขาเอง ความมักใหญ่ใฝ่สูงของพวกเขาเอง  ไม่สำคัญว่ามันจะฟังดูดีเพียงใด—ไม่ว่าพวกเขาต้องการสัมฤทธิ์ความฝันของพวกเขา ไม่ต้องการสูญชีวิตของพวกเขาไปเปล่าๆ หรือต้องการมีอาชีพการงานเฉพาะสักอย่างหรือไม่ก็ตาม—พวกเขาหล่อเลี้ยงอุดมคติและความมักใหญ่ใฝ่สูงอันสูงส่งเหล่านี้ไว้ ว่าแต่ทั้งหมดนี้โดยแก่นแท้แล้วมันมีไว้เพื่ออะไร?  พวกเจ้าเคยพิจารณาคำถามนี้มาก่อนหรือไม่?  เหตุใดหตุใดซาตานจึงกระทำการในหนทางนี้?  อะไรคือจุดประสงค์ของซาตานในการปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ในมนุษย์?  หัวใจของพวกเจ้าต้องเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับคำถามนี้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 155

ซาตานใช้ความรู้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม และมันใช้ชื่อเสียงกับผลประโยชน์ควบคุมมนุษย์ (บทตอนที่คัดมา)

ช่วงระหว่างกระบวนการของการศึกษาหาความรู้ของมนุษย์ ซาตานใช้วิธีการทุกลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่อง การให้ความรู้เพียงแค่บางส่วนแก่พวกเขา หรือการเปิดโอกาสให้พวกเขาตอบสนองความอยากได้อยากมีหรือความมักใหญ่ใฝ่สูงมักใหญ่ใฝ่สูงของพวกเขา  ซาตานต้องการนำทางเจ้าล่องไปตามถนนใดกัน?  ผู้คนคิดว่าการศึกษาหาความรู้นั้นไม่มีอะไรผิด ว่ามันเป็นธรรมชาติโดยทั้งหมดทั้งสิ้น  หากจะพูดในแบบที่ฟังดูแล้วน่าสนใจ การหล่อเลี้ยงอุดมคติอันสูงส่งหรือการมีความมักใหญ่ใฝ่สูงก็คือการมีแรงขับเคลื่อน และนี่ควรจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต  นั่นไม่ใช่หนทางอันรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าสำหรับการดำรงชีวิตของผู้คนหรอกหรือ หากพวกเขาสามารถตระหนักถึงอุดมคติของพวกเขาเอง หรือตั้งหลักในอาชีพการงานได้อย่างประสบความสำเร็จ?  โดยการทำสิ่งเหล่านี้ คนเราไม่เพียงแค่สามารถให้เกียรติแก่บรรพบุรุษของตนได้เท่านั้น แต่ยังมีโอกาสที่จะทิ้งรอยประทับของตนไว้ในประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน—นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีหรอกหรือ?  นี่เป็นสิ่งที่ดีในสายตาของผู้คนทางโลก และสำหรับพวกเขามันควรเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมและเป็นด้านบวก  อย่างไรก็ดี ซาตานพาผู้คนไปตามถนนแบบนี้ด้วยสิ่งจูงใจอันส่อแววร้ายของมัน และทั้งหมดรวมแล้วก็มีเท่านั้นใช่หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ใช่  ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่สำคัญว่าอุดมคติของมนุษย์จะสูงส่งเพียงใด ไม่สำคัญว่าความอยากได้อยากมีของมนุษย์จะสอดคล้องกับความเป็นจริงเพียงใด หรือสิ่งเหล่านั้นจะถูกต้องเหมาะสมเพียงใด ทั้งหมดที่มนุษย์ต้องการจะสัมฤทธิ์ผล ทั้งหมดที่มนุษย์แสวงหา เชื่อมโยงกับคำสองคำอย่างแยกกันไม่ออก  คำสองคำนี้สำคัญยิ่งชีพต่อชีวิตของทุกคน และคำสองคำนี้เป็นสิ่งที่ซาตานตั้งใจที่จะปลูกฝังในมนุษย์  คำสองคำนี้คืออะไรนะหรือ?  คำสองคำนี้ก็คือ “ชื่อเสียง” และ “ผลตอบแทน”  ซาตานใช้วิธีการชนิดที่แยบยลมาก วิธีการซึ่งเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน ซึ่งไม่แตกต่างกันทางความคิดเลยแม้แต่น้อย มันอาศัยวิธีการนี้ทำให้ผู้คนยอมรับหนทางแห่งการดำรงชีวิตของมัน กฎเกณฑ์ในการดำรงชีวิตของมัน โดยไม่รู้ตัว และทำให้ผู้คนตั้งเป้าหมายในชีวิตและทิศทางในชีวิตของพวกเขา และในการทำเช่นนั้นพวกเขายังเกิดความมักใหญ่ใฝ่สูงในชีวิตโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยเช่นกัน  ไม่สำคัญว่าความมักใหญ่ใฝ่สูงในชีวิตเหล่านี้อาจดูโอ่อ่าผ่าเผยเพียงใด มันถูกเชื่อมโยงกับ “ชื่อเสียง” และ “ผลตอบแทน” อย่างแยกกันไม่ออก  ทุกสิ่งทุกอย่างที่บุคคลที่ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียงคนใดก็ตาม—ในข้อเท็จจริงนั้นก็คือผู้คนทั้งหมด—ดำเนินรอยตามในชีวิต มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสองคำนี้เท่านั้นคือ “ชื่อเสียง” และ “ผลตอบแทน”  ผู้คนคิดว่าทันทีที่พวกเขามีชื่อเสียงและผลตอบแทน พวกเขาก็ย่อมสามารถใช้สิ่งเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์เพื่อให้ได้ชื่นชมสถานะอันสูงส่งและความมั่งคั่งอันใหญ่หลวง และเพื่อชื่นชมชีวิต  พวกเขาคิดว่าชื่อเสียงและผลตอบแทนคือต้นทุนอย่างหนึ่งที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิตแห่งการแสวงหาความยินดีและความชื่นชมยินดีแบบมัวเมาของเนื้อหนัง  เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทนซึ่งมวลมนุษย์ละโมบยิ่งนัก ผู้คนจึงมอบร่างกาย จิตใจของพวกเขา ทั้งหมดที่พวกเขามี อนาคตของพวกเขาและโชคชะตาของพวกเขาให้ซาตานอย่างเต็มใจ แม้ไม่รู้ตัวก็ตาม  พวกเขาทำเช่นนั้นโดยที่ไม่มีความลังเลแม้แต่อึดใจ ไม่รู้เท่าทันอยู่ร่ำไปถึงความจำเป็นที่จะต้องเอาทั้งหมดที่พวกเขาได้มอบไปแล้วกลับคืนมา  ผู้คนสามารถรักษาการควบคุมตัวเองได้หรือไม่ในเมื่อพวกเขาได้หลบภัยอยู่ในซาตานในลักษณะนี้และกลายเป็นจงรักภักดีต่อมันแล้ว?  แน่นอนว่าไม่  พวกเขาถูกซาตานควบคุมอย่างสมบูรณ์และอย่างถึงที่สุด พวกเขาได้จมดิ่งลงในปลักตมอย่างสมบูรณ์และอย่างถึงที่สุด และไร้ความสามารถที่จะปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระได้ เมื่อใครสักคนจมปลักอยู่ในชื่อเสียงและผลตอบแทน พวกเขาจะไม่แสวงหาสิ่งที่สดใส สิ่งที่ชอบธรรม หรือบรรดาสิ่งที่สวยงามและดีงามอีกต่อไป  นี่เป็นเพราะพลังยั่วยวนที่ชื่อเสียงและผลตอบแทนมีอยู่เหนือผู้คนนั้นมากเกินไป  พวกมันกลายเป็นสิ่งสำหรับให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาชั่วชีวิตของพวกเขาและกระทั่งชั่วนิรันดร์โดยไม่มีที่สิ้นสุด  นี่ไม่จริงหรือไร?  บางคนจะพูดว่าการศึกษาหาความรู้ไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่าการอ่านหนังสือหรือการเรียนรู้ไม่กี่สิ่งที่พวกเขายังไม่รู้ เพื่อที่จะได้ไม่ล้าสมัยหรือตามโลกไม่ทัน  ความรู้นั้นเพียงเรียนรู้กันก็เพื่อที่พวกเขาจะสามารถหาอาหารมาวางบนโต๊ะได้ เพื่ออนาคตของพวกเขาเอง หรือเพื่อจัดเตรียมสิ่งจำเป็นพื้นฐานทั้งหลาย  มีบุคคลใดหรือไม่ที่จะสู้ทนกับการเรียนหนักเป็นเวลาหนึ่งทศวรรษเพียงเพื่อสิ่งจำเป็นพื้นฐานทั้งหลาย แค่เพื่อแก้ปัญหาเรื่องปากท้อง?  ไม่ ไม่มีใครเยี่ยงนี้เลย  ดังนั้นแล้วเหตุใดเล่าบุคคลหนึ่งจึงทนทุกข์จากความยากลำบากเหล่านี้ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา?  มันเป็นไปเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน  ชื่อเสียงและผลตอบแทนกำลังรอคอยพวกเขาอยู่ในที่ห่างไกล กวักมือเรียกพวกเขา และพวกเขาเชื่อว่าเพียงผ่านทางความขยัน ความยากลำบาก และการต่อสู้ดิ้นรนสารพัดของพวกเขาเองเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถเดินไปตามถนนที่จะนำทางพวกเขาไปสู่การได้รับชื่อเสียงและผลตอบแทนได้  บุคคลดังกล่าวต้องทนทุกข์จากความยากลำบากเหล่านี้เพื่อเส้นทางในภายภาคหน้าของพวกเขาเอง เพื่อความชื่นชมยินดีในภายภาคหน้าของพวกเขา และเพื่อได้รับชีวิตที่ดีขึ้น  ความรู้นี้คืออะไรหนอ—พวกเจ้าบอกเราได้หรือไม่?  คือกฎและปรัชญาในการใช้ชีวิต อาทิ “รักพรรค รักชาติ และรักศาสนาของท่าน” และ “คนฉลาดนบนอบรูปการณ์แวดล้อม” มิใช่หรือที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวมนุษย์?  มันไม่ใช่ “อุดมคติอันสูงส่ง” ของชีวิตที่ซาตานปลูกฝังเข้าในตัวมนุษย์หรอกหรือ?  ดูตัวอย่างจากแนวคิดทั้งหลายของผู้คนที่ยิ่งใหญ่  ความสัตย์สุจริตของคนที่มีชื่อเสียงหรือจิตวิญญาณหาญกล้าของบรรดาบุคคลสำคัญเยี่ยงวีรบุรุษ หรือดูความห้าวหาญและความเมตตาของบรรดาตัวละครเอกและนักดาบในนวนิยายศิลปะการต่อสู้—เหล่านี้ไม่ใช่หนทางทั้งหมดที่ซาตานใช้ในการปลูกฝังอุดมคติเหล่านี้หรอกหรือ?  แนวคิดเหล่านี้มีอิทธิพลต่อคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า และผู้คนของแต่ละรุ่นก็ถูกชักนำให้ยอมรับแนวคิดเหล่านี้  พวกเขาดิ้นรนต่อสู้อยู่เนืองนิตย์เพื่อไล่ตามเสาะหา “อุดมคติอันสูงส่ง” ที่พวกเขาถึงกับจะพลีอุทิศชีวิตให้  ซาตานใช้ความรู้มาทำให้ผู้คนเสื่อมทรามด้วยวิธีการและแนวทางเช่นนี้  ดังนั้นหลังจากที่ซาตานนำทางผู้คนมาบนเส้นทางนี้ พวกเขาจะสามารถเชื่อฟังและนมัสการพระเจ้าได้หรือ?  และพวกเขาจะสามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือ?  ไม่อย่างแน่นอน—เพราะพวกเขาถูกซาตานนำทางให้หลงผิดเสียแล้ว  พวกเรามาดูความรู้ ความคิด และความเห็นที่ซาตานปลูกฝังในตัวผู้คนกันอีกครั้ง กล่าวคือ สิ่งเหล่านี้มีความจริงของการเชื่อฟังพระเจ้าและนมัสการพระเจ้าอยู่หรือไม่?  มีความจริงของการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอยู่หรือไม่?  มีพระวจนะอันใดของพระเจ้าอยู่บ้างหรือไม่?  มีอะไรในสิ่งเหล่านี้ที่สัมพันธ์กับความจริงหรือไม่?  ไม่มีเลย—ไม่มีทั้งหมดนี้อย่างสิ้นเชิง  พวกเจ้าแน่ใจได้หรือไม่ว่าสิ่งที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวผู้คนไม่มีความจริง?  เจ้าไม่กล้าแน่ใจ—แต่นี่ไม่สำคัญ  ตราบเท่าที่เจ้าระลึกรู้ได้ว่า “ชื่อเสียง” และ “ผลตอบแทน” เป็นสองคำสำคัญที่ซาตานใช้ล่อลวงผู้คนไปสู่เส้นทางแห่งความชั่ว เช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว

พวกเรามาทบทวนกันแบบรวบรัดถึงสิ่งที่พวกเราได้หารือกันมาจนถึงตอนนี้เถิดว่า ซาตานใช้อะไรทำให้มนุษย์อยู่ภายในการควบคุมของมันอย่างมั่นคง?  (ชื่อเสียงและผลตอบแทน)  ดังนั้น ซาตานใช้ชื่อเสียงและผลตอบแทนควบคุมความคิดของมนุษย์ จนกระทั่งทั้งหมดที่ผู้คนสามารถนึกถึงได้ก็คือชื่อเสียงและผลตอบแทน  พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน ทนทุกข์จากความยากลำบากทั้งหลายเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน สู้ทนความอัปยศอดสูเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน พลีอุทิศทุกสิ่งที่พวกเขามีเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน และพวกเขาจะทำการพิพากษาหรือการตัดสินใจอันใดก็เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทน  ซาตานผูกมัดผู้คนเข้ากับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นก็ด้วยวิธีนี้ และพวกเขาก็ไม่มีทั้งความเข้มแข็งและความกล้าที่จะขว้างโซ่ตรวนออกไป  พวกเขาแบกโซ่ตรวนเหล่านี้ไว้โดยที่ไม่รู้ตัว และเดินต่อไปข้างหน้าด้วยความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวง  เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทนนี้ มนุษย์หลบเลี่ยงพระเจ้าและทรยศพระองค์และกลายเป็นเลวยิ่งขึ้นทุกที  ดังนั้น คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจึงถูกทำลายในท่ามกลางชื่อเสียงและผลตอบแทนของซาตานด้วยวิธีนี้นี่เอง  ทีนี้ พอมองดูการกระทำทั้งหลายของซาตาน สิ่งจูงใจส่อแววร้ายทั้งหลายของมันไม่น่ารังเกียจอย่างถึงที่สุดหรอกหรือ?  บางทีวันนี้พวกเจ้ายังคงไม่สามารถมองทะลุถึงสิ่งจูงใจอันส่อแววร้ายของซาตาน เพราะพวกเจ้าคิดว่าคนเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากชื่อเสียงและผลตอบแทน  พวกเจ้าคิดว่าหากผู้คนทิ้งชื่อเสียงและผลตอบแทนไว้ข้างหลัง พวกเขาจะไม่สามารถเห็นหนทางข้างหน้าได้อีกต่อไป ไม่สามารถเห็นเป้าหมายของพวกเขาได้อีกต่อไป คิดว่าอนาคตของพวกเขาจะกลายเป็นมืดมิด คลุมเครือ และหม่นมัว  แต่ทว่าวันหนึ่งพวกเจ้าทั้งหมดจะระลึกรู้ได้อย่างช้าๆ ว่าชื่อเสียงและผลตอบแทนเป็นโซ่ตรวนอันมหึมาที่ซาตานใช้ผูกมัดมนุษย์  เมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าจะต้านทานการควบคุมของซาตานอย่างถ้วนทั่วและต้านทานโซ่ตรวนที่ซาตานใช้เพื่อผูกมัดเจ้าอย่างถ้วนทั่ว  เมื่อถึงเวลาที่เจ้าปรารถนาจะขว้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวเจ้าออกไป เมื่อนั้นเจ้าจึงจะแยกทางกันอย่างเด็ดขาดกับซาตาน และเจ้าจะเกลียดทั้งหมดที่ซาตานได้นำมาให้เจ้าอย่างแท้จริง  เมื่อนั้นเท่านั้นมวลมนุษย์จึงจะมีความรักและการโหยหาจริงต่อพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 156

ซาตานใช้วิทยาศาสตร์เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

ซาตานใช้นามของวิทยาศาสตร์สนองความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ ความอยากของมนุษย์ที่จะสำรวจวิทยาศาสตร์และสืบสาวราวเรื่องความล้ำลึกทั้งหลาย  ในนามของวิทยาศาสตร์ ซาตานสนองความต้องการด้านวัตถุของมนุษย์และข้อเรียกร้องของมนุษย์เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง  ฉะนั้นซาตานจึงใช้วิทยาศาสตร์ทำให้มนุษย์เสื่อมทรามด้วยข้ออ้างนี้นี่เอง  เพียงการคิดของมนุษย์หรือจิตใจของมนุษย์เท่านั้นเองหรือที่ซาตานใช้วิทยาศาสตร์ทำให้เสื่อมทรามด้วยวิธีนี้?  ในบรรดาผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย ในสิ่งรอบตัวของพวกเราที่พวกเราสามารถเห็นได้และที่พวกเราได้มาสัมผัสด้วย มีอะไรอื่นอีกในบรรดาสิ่งเหล่านี้ที่ซาตานทำให้เสื่อมทรามด้วยวิทยาศาสตร์?  (สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ)  ถูกต้อง  ดูเหมือนว่าพวกเจ้าได้รับอันตรายจากการนี้อย่างดิ่งลึก และได้รับผลกระทบอย่างดิ่งลึก  นอกเหนือจากการใช้ผลของการสืบค้นและข้อสรุปนานาสารพันของวิทยาศาสตร์เพื่อหลอกลวงมนุษย์แล้ว ซาตานยังใช้วิทยาศาสตร์เป็นวิถีทางในการดำเนินการทำลายล้างแบบเมามัน และการแสวงหาผลประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่มนุษย์อีกด้วย  มันทำการนี้ภายใต้ข้ออ้างที่ว่า หากมนุษย์ดำเนินการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เช่นนั้นแล้วสิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิตและคุณภาพของชีวิตของมนุษย์ย่อมจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า จุดประสงค์ของการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์นั้นก็เพื่อจัดสนองความต้องการที่จำเป็นทางด้านวัตถุที่เพิ่มขึ้นรายวันของผู้คน รวมทั้งความต้องการที่จำเป็นของพวกเขาที่จะทำให้คุณภาพของชีวิตของพวกเขาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง  นี่คือพื้นฐานทางทฤษฎีของการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของซาตาน  อย่างไรก็ดี วิทยาศาสตร์ได้นำสิ่งใดมาสู่มวลมนุษย์เล่า?  สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของพวกเรา—และสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของมวลมนุษย์ทั้งปวง—ไม่ได้สกปรกปนเปื้อนไปแล้วหรอกหรือ?  อากาศที่มนุษย์หายใจไม่ได้ถูกปนเปื้อนไปแล้วหรอกหรือ?  น้ำที่พวกเราดื่มไม่ได้มีมลพิษไปแล้วหรอกหรือ?  อาหารที่พวกเรากินยังคงมาจากเกษตรอินทรีย์และเป็นธรรมชาติอยู่หรือ?  ธัญพืชและผักส่วนใหญ่มีการดัดแปลงพันธุกรรม เจริญเติบโตด้วยปุ๋ย และบางชนิดก็เป็นสายพันธุ์ที่ใช้วิทยาศาสตร์สร้างขึ้นมา  ผักและผลไม้ที่เรากินนั้นไม่เป็นธรรมชาติอีกต่อไป  แม้กระทั่งไข่ธรรมชาติก็พบได้ไม่ง่ายอีกต่อไป  และไข่ก็ไม่มีรสชาติเหมือนที่เคยมีอีกต่อไป เมื่อได้ถูกแปรรูปโดยสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ของซาตานไปแล้ว  เมื่อมองดูที่ภาพใหญ่ บรรยากาศทั้งสิ้นได้ถูกทำลายและทำให้เป็นมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ทะเลสาบ ป่าไม้ แม่น้ำ มหาสมุทร และทุกสิ่งที่อยู่เหนือและใต้ผืนดินทั้งหมดได้ถูกทำให้ย่อยยับโดยสิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ สรุปรวบรัดได้ว่า สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติทั้งมวล สิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิตซึ่งพระเจ้าได้ทรงมอบแก่มวลมนุษย์ได้ถูกทำลายและถูกทำให้ย่อยยับโดยสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์  แม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนมากที่ได้รับสิ่งที่พวกเขาหวังอยู่ตลอดเวลาในด้านคุณภาพของชีวิตที่พวกเขาแสวงหา สนองทั้งความอยากได้อยากมีของพวกเขาและเนื้อหนังของพวกเขา สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่นั้นโดยสาระสำคัญแล้วได้ถูกทำลายและทำให้ย่อยยับโดย “ผลสัมฤทธิ์” อันหลากหลายซึ่งวิทยาศาสตร์นำพามา  บัดนี้ พวกเราไม่มีสิทธิ์อีกแล้วที่จะหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปสักเฮือกหนึ่ง  นี่ไม่ใช่ความโศกเศร้าของมวลมนุษย์หรอกหรือ?  มีความสุขใดหลงเหลือให้มนุษย์พูดถึงบ้างไหม ในเมื่อพวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่แบบนี้?  พื้นที่และสภาพแวดล้อมสำหรับดำรงชีวิตซึ่งมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่นี้ถูกพระเจ้าสร้างขึ้นเพื่อมนุษย์ตั้งแต่แรกเริ่ม  น้ำที่ผู้คนดื่ม อากาศที่ผู้คนหายใจเข้าไป อาหารอันหลากหลายที่ผู้คนกิน รวมทั้งพืชและสิ่งมีชีวิต แม้กระทั่งภูเขา ทะเลสาบ และมหาสมุทร—ทุกส่วนของสภาพแวดล้อมสำหรับดำรงชีวิตนี้ พระเจ้าได้ทรงมอบแก่มนุษย์ มันเป็นธรรมชาติ ปฏิบัติการโดยสอดคล้องกับกฎธรรมชาติซึ่งปูไว้โดยพระเจ้า  หากไม่มีวิทยาศาสตร์ ผู้คนก็จะยังคงปฏิบัติตามวิธีการทั้งหลายที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขา พวกเขาจะสามารถชื่นชมทุกสิ่งที่สะอาดหมดจดและเป็นธรรมชาติ และพวกเขาย่อมจะเป็นสุข  อย่างไรก็ดี ตอนนี้ ทั้งหมดนี้ได้ถูกซาตานทำลายและทำให้ย่อยยับไปแล้ว พื้นที่อยู่อาศัยโดยรากฐานของมนุษย์ไม่ได้อยู่ในสภาพเดิมอีกต่อไป  แต่ก็ไม่มีใครสามารถระลึกรู้ได้ว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดการนี้หรือการนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมีผู้คนอีกมากที่เข้าหาวิทยาศาสตร์และเข้าใจมันโดยผ่านทางแนวคิดที่ซาตานปลูกฝังในตัวพวกเขา  นี่ไม่น่ารังเกียจหรือน่าเวทนาอย่างถึงที่สุดหรอกหรือ?  ด้วยการที่ตอนนี้ซาตานได้เข้าครองพื้นที่ซึ่งผู้คนดำรงอยู่แล้ว รวมถึงสิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิตของพวกเขา และทำให้พวกเขาเสื่อมทรามอยู่ในสภาวะนี้แล้ว และด้วยการที่มวลมนุษย์ยังคงพัฒนาต่อไปในหนทางนี้ มีความต้องการที่จำเป็นอันใดหรือไม่เล่าที่พระเจ้าจะต้องทำลายผู้คนเหล่านี้ด้วยพระองค์เอง?  หากผู้คนยังคงพัฒนาต่อไปในหนทางนี้ พวกเขาจะเป็นไปในทิศทางใดเล่า?  (พวกเขาจะถูกถอนรากถอนโคน)  พวกเขาจะถูกถอนรากถอนโคนอย่างไรเล่า?  นอกเหนือจากการค้นหาอันละโมบของผู้คนที่มีต่อชื่อเสียงและผลตอบแทนแล้ว พวกเขายังดำเนินการสำรวจทางวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่องและดำดิ่งลึกเข้าไปในการค้นคว้าวิจัย แล้วยังกระทำการอย่างไม่หยุดหย่อนในหนทางที่สนองความต้องการที่จำเป็นทางด้านวัตถุและความอยากได้อยากมีของพวกเขาเอง เช่นนั้นแล้วอะไรหรือคือผลสืบเนื่องสำหรับมนุษย์?  อันดับแรกเลยก็คือความสมดุลของระบบนิเวศถูกทำลายลง และเมื่อการนี้เกิดขึ้น ร่างกายของผู้คน อวัยวะภายในของพวกเขาก็ถูกปนเปื้อนและได้รับความเสียหายจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่สมดุลนี้ และโรคติดต่อและโรคระบาดนานาสารพัดก็แพร่กระจายไปทั่วโลก  ไม่จริงหรือไรว่านี่คือสถานการณ์ที่มนุษย์ไม่มีการควบคุมได้เลย?  มาถึงตอนนี้ที่พวกเจ้าเข้าใจการนี้แล้ว หากมวลมนุษย์ไม่ติดตามพระเจ้า แต่ติดตามซาตานในหนทางนี้อยู่เสมอ—โดยใช้ความรู้เพื่อทำให้ตัวพวกเขาเองมั่งคั่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใช้วิทยาศาสตร์เพื่อสำรวจอนาคตของชีวิตมนุษย์อย่างไม่หยุดหย่อน ใช้วิธีการชนิดนี้เพื่อดำรงชีวิตต่อไป—เจ้าสามารถระลึกรู้ได้หรือไม่ว่าการนี้จะจบลงอย่างไรสำหรับมวลมนุษย์?  มวลมนุษย์จะสูญสิ้นไปตามธรรมชาติ กล่าวคือ มวลมนุษย์ย่อมเดินหน้าเข้าหาความย่อยยับทีละก้าว เข้าหาการทำลายตนเอง!  นี่ไม่ใช่การนำความพินาศมาสู่ตนเองหรอกหรือ?  และนี่ไม่ใช่ผลสืบเนื่องของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์หรอกหรือ?  ตอนนี้ดูราวกับว่าวิทยาศาสตร์เป็นยาปรุงอันวิเศษชนิดหนึ่งที่ซาตานได้ตระเตรียมให้กับมนุษย์ เพื่อที่เมื่อพวกเจ้าพยายามที่จะหยั่งรู้สิ่งทั้งหลาย พวกเจ้าจะทำเช่นนั้นอยู่ในหมอกหนาทึบ ไม่สำคัญว่าเจ้าจะเขม้นมองเพียงใด เจ้าก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายได้อย่างชัดเจน และไม่สำคัญว่าเจ้าจะพยายามอย่างหนักเพียงใด เจ้าก็ไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้  อย่างไรก็ดี ซาตานใช้นามของวิทยาศาสตร์เพื่อยั่วน้ำลายเจ้าและจูงจมูกเจ้า ให้ตั้งหน้าตั้งตาเดินเข้าไป ไปสู่หุบเหวลึกและความตาย  และในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คนก็จะมองเห็นอย่างชัดเจนว่าอันที่จริงแล้ว ความย่อยยับของมนุษย์นั้นเกิดจากน้ำมือของซาตาน—ซาตานคือตัวการ

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 157

ซาตานใช้วัฒนธรรมดั้งเดิมเพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

ซาตานใช้วัฒนธรรมตามประเพณีมาทำให้มนุษย์เสื่อมทราม  ระหว่างวัฒนธรรมตามประเพณีและความเชื่อโชคลางนั้นมีความคล้ายคลึงกันอยู่หลายประการ แต่ความแตกต่างก็คือว่า วัฒนธรรมตามประเพณีนั้นมีเรื่องราว การพาดพิงถึง และแหล่งที่มาที่แน่นอน  ซาตานได้ประดิษฐ์และปั้นแต่งนิทานพื้นบ้านหรือเรื่องราวมากมายที่ปรากฏอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ ทิ้งให้ผู้คนอยู่กับความประทับใจอันลึกซึ้งที่มีต่อบุคคลสำคัญทางด้านวัฒนธรรมตามประเพณีหรือด้านโชคลางเหนือธรรมชาติ  ตัวอย่างเช่น ในประเทศจีนมี “แปดเซียนข้ามทะเล” “การเดินทางสู่ดินแดนตะวันตก” “จักรพรรดิหยก” “นาจาพิชิตราชามังกร” และ “สถาปนาเหล่าทวยเทพ”  เหล่านี้ไม่ได้กลายเป็นหยั่งรากลึกในจิตใจของมนุษย์หรอกหรือ?  ต่อให้เจ้าบางคนไม่รู้รายละเอียดทั้งหมด เจ้ายังคงรู้เรื่องราวทั่วไปอยู่ดี และเป็นเนื้อหาทั่วไปนี้นี่เองที่ติดแน่นอยู่ในหัวใจของเจ้าและจิตใจของเจ้า จนทำให้เจ้าไม่สามารถลืมพวกมันได้  เหล่านี้คือสารพัดแนวคิดและตำนานที่ซาตานได้ตระเตรียมไว้สำหรับมนุษย์นานมาแล้ว และคือสิ่งซึ่งได้ถูกเผยแพร่ไปในช่วงเวลาที่ต่างกัน  สิ่งเหล่านี้เป็นอันตรายและกัดกร่อนดวงจิตของผู้คนโดยตรงและทำให้ผู้คนตกอยู่ภายใต้มนตร์สะกดที่ตามติดกันมาครั้งแล้วครั้งเล่า  นั่นจึงกล่าวได้ว่า ทันทีที่เจ้าได้ยอมรับวัฒนธรรมตามประเพณี เรื่องราวหรือสิ่งที่เป็นเชิงเหนือธรรมชาติเหล่านี้ ทันทีพวกมันถูกก่อขึ้นในจิตใจของเจ้า และทันทีที่พวกมันติดแน่นอยู่ในหัวใจของเจ้า จากนั้นแล้ว เจ้าก็เหมือนดังต้องมนตร์—เจ้ากลายเป็นพัวพันและได้รับอิทธิพลจากกับดักทางวัฒนธรรมเหล่านี้ แนวคิดและเรื่องราวทางประเพณีเหล่านี้  พวกมันมีอิทธิพลต่อชีวิตของเจ้า ต่อทัศนะของเจ้าที่มีต่อชีวิต และการตัดสินที่เจ้ามีให้กับสิ่งทั้งหลาย  ยิ่งไปกว่านั้นก็คือพวกมันมีอิทธิพลต่อการที่เจ้าไล่ตามเสาะหาเส้นทางที่แท้จริงของชีวิต กล่าวคือ นี่คือมนตร์เลวโดยแท้  ถึงเจ้าจะพยายามอย่างไร เจ้าก็ไม่สามารถสลัดให้พวกมันหลุดไปได้ เจ้าฟันไปที่พวกมันแต่เจ้าก็ไม่สามารถฟันพวกมันจนโค่นลงได้ เจ้าทุบตีพวกมันแต่เจ้าก็ไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้  ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ผู้คนตกอยู่ภายใต้มนตร์สะกดประเภทนี้โดยไม่รู้ตัว พวกเขาก็เริ่มนมัสการซาตานโดยไม่รู้ตัว อันเป็นการหล่อเลี้ยงภาพลักษณ์ของซาตานไว้ในหัวใจของพวกเขา  อีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเขาตั้งซาตานขึ้นเป็นรูปเคารพของพวกเขา เป็นวัตถุเป้าหมายสำหรับให้พวกเขาบูชาและเคารพยกย่อง จนไปไกลถึงขั้นที่ถือว่ามันเป็นพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ  สิ่งเหล่านี้อยู่ในหัวใจของผู้คน ควบคุมคำพูดและความประพฤติของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว  ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนแรกเจ้าถือว่าเรื่องราวและตำนานเหล่านี้เป็นเท็จ แต่แล้วเจ้าก็ยอมรับรู้การดำรงอยู่ของพวกมันโดยไม่รู้ตัว ทำให้พวกมันเป็นรูปร่างจริงและทำให้พวกมันแปรไปเป็นวัตถุจริงที่มีตัวตน  ในการไม่ตระหนักรู้ของเจ้า เจ้าได้รับแนวคิดเหล่านี้และการดำรงอยู่ของสิ่งเหล่านี้โดยจิตใต้สำนึก  เจ้ายังได้รับบรรดาปีศาจ ซาตาน และรูปเคารพทั้งหลายไว้ในบ้านของเจ้าเองและไว้ในหัวใจของเจ้าเองโดยจิตใต้สำนึกอีกด้วย—นี่คือมนตร์สะกดโดยแท้  คำเหล่านี้ตรงใจพวกเจ้าหรือไม่?  (ตรงใจ)  มีใครบ้างในหมู่พวกเจ้าที่ได้จุดธูปและนมัสการพระพุทธเจ้า?  (มี)  แล้วจุดประสงค์ของการจุดธูปและการนมัสการพระพุทธเจ้าคืออะไรเล่า?  (การอธิษฐานให้มีสันติสุข)  เมื่อคิดถึงมันตอนนี้ มันไม่ไร้สาระหรอกหรือที่อธิษฐานต่อซาตานให้มีสันติสุข?  ซาตานนำสันติสุขมาให้หรือไม่?  (ไม่)  เจ้าไม่เห็นหรือว่าตอนนั้นเจ้าไม่รู้เท่าทันเพียงใด?  พฤติกรรมเช่นนั้นไร้สาระ ไม่รู้เท่าทัน และไร้เดียงสา ใช่หรือไม่?  ซาตานสนใจเพียงวิธีที่จะทำให้เจ้าเสื่อมทรามเท่านั้น  ไม่อาจเป็นไปได้ที่ซาตานจะมอบสันติสุขให้แก่เจ้า แค่การหยุดพักชั่วคราวเท่านั้น  แต่เพื่อที่จะได้รับการหยุดพักนี้ เจ้าจะต้องปฏิญาณ และหากเจ้าผิดคำสัญญาของเจ้าหรือคำปฏิญาณที่เจ้าได้ทำกับซาตาน แล้วเจ้าก็จะเห็นเลยว่ามันทรมานเจ้าอย่างไร  ในการที่ให้เจ้าปฏิญาณนั้น ที่จริงแล้วมันต้องการควบคุมเจ้า  ตอนที่พวกเจ้าได้อธิษฐานเพื่อสันติสุข พวกเจ้าได้รับสันติสุขหรือไม่?  (ไม่)  เจ้าไม่ได้รับสันติสุข แต่ในทางตรงกันข้ามความพยายามของเจ้าได้นำมาซึ่งโชคร้ายและความวิบัติไม่มีที่สิ้นสุด—แท้จริงแล้วก็คือมหาสมุทรแห่งความขมขื่นที่ไร้ขอบเขต  สันติสุขไม่อยู่ภายในแดนครอบครองของซาตาน และนี่คือข้อเท็จจริงจริงๆ  นี่คือผลสืบเนื่องซึ่งความเชื่อเหนือธรรมชาติในระบบศักดินาและวัฒนธรรมตามประเพณีได้นำพามาสู่มวลมนุษย์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 158

ซาตานใช้กระแสนิยมทางสังคมเพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

ซาตานใช้กระแสนิยมทางสังคมมาทำให้มนุษย์เสื่อมทรามและควบคุมมนุษย์  กระแสนิยมทางสังคมครอบคลุมหลายแง่มุม รวมถึงด้านต่างๆ อาทิ การเคารพบูชาบุคคลที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ รวมทั้งดาราภาพยนตร์และนักดนตรี การเคารพบูชาคนดัง เกมออนไลน์ เป็นต้น—ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระแสนิยมทางสังคม และไม่มีความจำเป็นต้องลงรายละเอียดในที่นี้  พวกเราจะพูดถึงแต่แนวคิดที่กระแสนิยมทางสังคมทำให้เกิดขึ้นในผู้คน หนทางที่สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้ผู้คนประพฤติปฏิบัติตนในโลก และเป้าหมายชีวิตและทัศนะที่สิ่งเหล่านั้นทำให้เกิดขึ้นในผู้คน  เหล่านี้สำคัญมาก สิ่งเหล่านั้นสามารถควบคุมและมีอิทธิพลต่อความคิดและความเห็นของผู้คน  กระแสนิยมเหล่านั้นเกิดขึ้นตามติดกันมา และพวกมันทั้งหมดล้วนแต่มีอิทธิพลชั่วที่ทำให้มวลมนุษย์ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้ผู้คนสูญสิ้นมโนธรรม สภาวะความเป็นมนุษย์และเหตุผล ทำให้ศีลธรรมของพวกเขาและคุณภาพของลักษณะนิสัยของพวกเขายิ่งอ่อนด้อยลงไปจนถึงขอบข่ายที่พวกเราถึงกับกล่าวได้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ตอนนี้ไม่มีความสัตย์สุจริต ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ อีกทั้งยังพวกเขาไม่มีมโนธรรมอันใด นับประสาอะไรที่จะมีเหตุผลอันใด  ดังนั้นแล้วกระแสนิยมทางสังคมเหล่านี้คืออะไรหรือ?  พวกมันคือกระแสนิยมทั้งหลายที่เจ้าไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า  ในยามที่กระแสนิยมใหม่อย่างหนึ่งวูบสะพัดไปทั่วโลกนั้น บางทีก็แค่มีผู้คนเพียงจำนวนเล็กน้อยที่ล้ำหน้ากว่าผู้อื่น กระทำตนเป็นพวกสร้างกระแสนิยม  พวกเขาเริ่มด้วยการทำสิ่งใหม่บางอย่าง จากนั้นก็เป็นการยอมรับแนวคิดบางชนิดหรือมุมมองบางชนิด  อย่างไรก็ดี ผู้คนส่วนใหญ่จะถูกทำให้ติดเชื้อ ถูกกระแสนิยมนี้ดึงดูดและกลืนอย่างต่อเนื่องในสภาวะของความไม่ตระหนักรู้ จนกระทั่งพวกเขาล้วนแต่ยอมรับมันไปโดยไม่รู้ตัวและไม่ได้ตั้งใจ และกลายเป็นจุ่มแช่อยู่ในนั้นและถูกมันควบคุม  กระแสนิยมเช่นนี้ กระแสแล้วกระแสเล่า เป็นเหตุให้ผู้คนที่ไม่มีร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์ ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไรและไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นบวกกับที่เป็นลบได้ ยอมรับกระแสนิยมเหล่านั้น ตลอดจนทรรศนะชีวิตและค่านิยมทั้งหลายที่มาจากซาตานอย่างเป็นสุข  พวกเขายอมรับสิ่งที่ซาตานบอกกับพวกเขาเกี่ยวกับวิธีเข้าหาชีวิตและหนทางในการดำรงชีวิตที่ซาตาน “ประทาน” ให้พวกเขา และพวกเขาไม่มีทั้งเรี่ยวแรงและความสามารถ นับประสาอะไรที่จะมีความตระหนักรู้ที่จะต้านทาน  ดังนั้นแล้วจะดูกระแสนิยมเหล่านี้ออกได้อย่างไร?  เราได้เลือกตัวอย่างง่ายๆ ที่พวกเจ้าอาจค่อยๆ มาเข้าใจ  ตัวอย่างเช่น ผู้คนในอดีตดำเนินธุุรกิจของพวกเขาโดยที่ไม่มีใครถูกโกง พวกเขาขายของรายการต่างๆ ในราคาเดียวกันไม่ว่าผู้ที่กำลังซื้ออยู่นั้นจะเป็นใครก็ตาม  ตรงนี้ไม่ได้สื่อให้เห็นองค์ประกอบบางอย่างของมโนธรรมและสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีหรอกหรือ?  เมื่อผู้คนดำเนินธุรกิจเยี่ยงนี้โดยสุจริต ย่อมสามารถมองเห็นได้ว่า ณ เวลานั้น พวกเขายังคงมีมโนธรรมบางอย่างและสภาวะความเป็นมนุษย์บางอย่าง แต่ด้วยอุปสงค์ของมนุษย์ที่มีต่อเงินตราเพิ่มขึ้นทุกที ผู้คนจึงได้มารักเงินตรา ผลตอบแทนและความยินดีมากขึ้นทุกทีโดยไม่รู้ตัว  ผู้คนไม่ได้ให้ความสำคัญกับเงินตรามากกว่าที่เคยหรอกหรือ?  เมื่อผู้คนมองเงินตราว่าสำคัญยิ่ง พวกเขาก็เริ่มให้ความสำคัญน้อยลงต่อความมีหน้ามีตาของพวกเขา ความโด่งดังของพวกเขา ชื่อเสียงอันดีงามของพวกเขา และความสัตย์สุจริตของพวกเขาน้อยลงโดยไม่รู้ตัว ใช่หรือไม่?  เมื่อเจ้าทำธุรกิจ และเจ้ามองเห็นผู้อื่นรวยขึ้นจากการฉ้อโกงผู้คน  แม้ว่าเงินที่หามานั้นได้มาโดยมิชอบ แต่พวกเขาก็ร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ  การได้เห็นทุกสิ่งที่ครอบครัวของพวกเขาสุขสำราญด้วยทำให้เจ้าไม่พอใจว่า “พวกเราทั้งคู่ทำธุรกิจ แต่พวกเขากลับร่ำรวย  ทำไมฉันจึงทำเงินมากๆ ไม่ได้?  ฉันรับไม่ได้—ฉันต้องหาวิธีทำเงินเพิ่ม”  หลังจากนั้น ทั้งหมดที่เจ้าคิดก็คือทำอย่างไรให้เจ้าได้เงินก้อนใหญ่  เมื่อเจ้ายอมทิ้งความเชื่อที่ว่า “ควรหาเงินด้วยมโนธรรมโดยไม่หลอกลวงผู้ใด” เมื่อนั้นวิธีคิดของเจ้าที่ถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ของเจ้าเอง ย่อมเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย เช่นเดียวกับหลักธรรมเบื้องหลังการกระทำทั้งหลายของเจ้า  เมื่อเจ้าฉ้อโกงใครบางคนเป็นครั้งแรก เจ้าย่อมรู้สึกว่าถูกมโนธรรมของเจ้าตำหนิ และหัวใจของเจ้าก็บอกเจ้าว่า “พอทำการนี้เสร็จแล้ว นี่ย่อมเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะฉ้อโกงใครบางคน  การฉ้อโกงผู้คนตลอดเวลาจะส่งผลให้เกิดโทษทัณฑ์!”  นี่คือการทำงานของมโนธรรมของมนุษย์—เพื่อทำให้เจ้ารู้สึกถึงความกระดากใจและเพื่อตำหนิเจ้า เพื่อที่จะได้รู้สึกไม่ธรรมดาเมื่อเจ้าโกงใครสักคน  แต่หลังจากที่เจ้าได้ประสบความสำเร็จในการหลอกลวงใครสักคนแล้ว เจ้าเห็นว่าบัดนี้เจ้ามีเงินมากกว่าที่เจ้าเคยมีมาก่อน และเจ้าคิดว่าวิธีการนี้สามารถเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับเจ้า  ทั้งที่ในใจเจ้านั้นปวดหนึบ เจ้ายังรู้สึกอยากแสดงความยินดีกับตัวเองในความสำเร็จของเจ้าอยู่ดี และเจ้ารู้สึกค่อนข้างยินดีกับตัวเอง  เป็นครั้งแรกที่เจ้าเห็นชอบกับพฤติกรรมของเจ้าเอง วิถีทางอันหลอกหลวงของเจ้าเอง  ทันทีที่มนุษย์ถูกปนเปื้อนโดยการโกงนี้แล้ว มันก็เป็นเช่นเดียวกับใครบางคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการพนันและแล้วก็กลายเป็นนักพนัน  ในการไม่ตระหนักรู้ของเจ้า เจ้าเห็นชอบในพฤติกรรมการโกงของเจ้าเองและยอมรับมัน  ในการไม่ตระหนักรู้ เจ้าใช้การโกงเป็นพฤติกรรมเชิงพานิชย์ซึ่งถูกกฎหมายและวิถีทางที่มีประโยชน์มากที่สุดสำหรับการอยู่รอดและการครองชีพของเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถสร้างโชคลาภได้อย่างรวดเร็วโดยการทำการนี้  นี่คือกระบวนการหนึ่ง กล่าวคือ  ในตอนเริ่มต้น ผู้คนไม่สามารถยอมรับพฤติกรรมประเภทนี้ได้และพวกเขาดูแคลนพฤติกรรมและการปฏิบัตินี้  จากนั้นพวกเขาก็เริ่มทดลองพฤติกรรมนี้ด้วยตัวเอง และทดสอบมันด้วยวิธีของพวกเขาเอง และหัวใจของพวกเขาก็ค่อยๆ เริ่มแปลงสภาพ  นี่คือการแปลงสภาพประเภทไหนกัน?  มันคือการเห็นชอบและการยอมรับแต่โดยดีในกระแสนิยมนี้ ในแนวคิดนี้ซึ่งถูกปลูกฝังในตัวเจ้าโดยกระแสนิยมทางสังคม  โดยไม่ตระหนักรู้ หากเจ้าไม่โกงผู้คนเมื่อทำธุรกิจกับพวกเขา เจ้ารู้สึกว่าเจ้าแย่ลง หากเจ้าไม่โกงผู้คน เจ้ารู้สึกราวกับว่าเจ้าได้สูญเสียอะไรบางอย่างไป  การโกงนี้กลายเป็นดวงจิตจริงๆ ของเจ้า กระดูกสันหลังของเจ้า และพฤติกรรมประเภทที่ขาดเสียไม่ได้ซึ่งเป็นหลักธรรมหนึ่งในชีวิตเจ้าโดยที่ไม่รู้ตัว  หลังจากที่มนุษย์ได้ยอมรับพฤติกรรมนี้และการคิดนี้แล้ว นี่ไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหัวใจของพวกเขาหรอกหรือ?  หัวใจของเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นความสัตย์สุจริตของเจ้าก็ได้เปลี่ยนไปเช่นกันกระนั้นหรือ?  สภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าได้เปลี่ยนไปหรือยัง?  มโนธรรมของเจ้าเปลี่ยนไปหรือยัง?  ทั้งหมดที่เจ้าเป็น ตั้งแต่หัวใจของเจ้าไปจนถึงความคิดของเจ้า จากภายในจนถึงภายนอก ล้วนเปลี่ยนแปลงไป และนี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ  การเปลี่ยนแปลงนี้ดึงเจ้าให้ห่างจากพระเจ้าออกไปไกลขึ้นทุกที และเจ้ากลายเป็นมีความคิดไปในแนวเดียวกันกับซาตานอย่างใกล้ชิดมากขึ้นทุกที เจ้ากลายเป็นเหมือนกับซาตานมากขึ้นทุกที พร้อมกับผลลัพธ์ที่ว่าความเสื่อมทรามของซาตานทำให้เจ้ากลายเป็นปีศาจ

เมื่อมองกระแสนิยมทางสังคมเหล่านี้ เจ้าจะพูดได้หรือไม่ว่าพวกมันมีอิทธิพลอย่างมากต่อผู้คน?  พวกมันมีผลกระทบที่เป็นอันตรายลึกต่อผู้คนหรือไม่?  พวกมันมีผลกระทบที่เป็นอันตรายลึกมากต่อผู้คน  ซาตานใช้กระแสนิยมเหล่านี้มาทำให้แง่มุมใดของมนุษย์เสื่อมทราม?  โดยหลักแล้ว ซาตานทำให้มโนธรรม สำนึก สภาวะความเป็นมนุษย์ ศีลธรรม และมุมมองชีวิตของมนุษย์เสื่อมทราม  แล้วกระแสนิยมทางสังคมเหล่านี้ไม่ด้อยค่าและทำให้ผู้คนเสื่อมทรามทีละน้อยหรอกหรือ?  ซาตานใช้กระแสนิยมทางสังคมเหล่านี้ล่อใจผู้คนเข้าสู่รังของพวกปีศาจทีละก้าว เพื่อให้ผู้คนที่หลงติดอยู่กับกระแสนิยมทางสังคมให้การสนับสนุนเงินตราและความอยากได้อยากมีทางวัตถุ ความเลว และความรุนแรงโดยไม่รู้ตัว  ครั้นสิ่งเหล่านี้ได้เข้าสู่หัวใจของมนุษย์แล้ว มนุษย์กลายเป็นสิ่งใดเล่า?  มนุษย์กลายเป็นปีศาจ ซาตาน!  เหตุใดนะหรือ?  ก็เพราะความโน้มเอียงทางจิตอันใดเล่าที่อยู่ในหัวใจของมนุษย์?  สิ่งใดเล่าที่มนุษย์เคารพ?  มนุษย์เริ่มที่จะหาความยินดีในความเลวและความรุนแรง ไม่แสดงความรักในความสวยงามหรือความดีงาม นับประสาอะไรที่จะรักสันติสุข  ผู้คนไม่เต็มใจที่จะดำรงชีวิตที่เรียบง่ายของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แต่กลับปรารถนาที่จะชื่นชมสถานะอันสูงส่งและความอุดมด้วยโภคทรัพย์อย่างมหาศาล ที่จะสำราญอยู่ในความยินดีของเนื้อหนัง พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ความพึงพอใจแก่เนื้อหนังของพวกเขาเอง โดยไม่มีข้อจำกัด ไม่มีพันธะใดฉุดรั้งพวกเขาไว้ อีกนัยหนึ่งก็คือ ทำอะไรก็ตามที่พวกเขาอยากทำ  ดังนั้นแล้วเมื่อมนุษย์ได้กลายเป็นจมจ่อมอยู่กับกระแสนิยมชนิดเหล่านี้ ความรู้ที่เจ้าได้เรียนรู้มาจะสามารถช่วยให้เจ้าปลดปล่อยตัวเจ้าเองเป็นอิสระได้หรือ?  ความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับวัฒนธรรมตามประเพณีและความเชื่อเรื่องโชคลางสามารถช่วยให้เจ้าหลีกหนีจากการตกที่นั่งลำบากหนักนี้ได้หรือไม่?  ศีลธรรมและพิธีกรรมตามประเพณีที่มนุษย์รู้จักนั้นสามารถช่วยให้ผู้คนนำความยับยั้งชั่งใจออกมาใช้ได้หรือไม่?  จงดูคัมภีร์หลุนอวี่และเต้าเต๋อจิงเป็นตัวอย่าง  สองเล่มนี้สามารถช่วยให้ผู้คนดึงเท้าออกจากหล่มของกระแสนิยมอันชั่วเหล่านี้ได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้  ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงกลับกลายเป็นโอหัง ยกตนข่มท่าน เห็นแก่ตัว และมุ่งร้ายมากขึ้นทุกที  ไม่มีความรักระหว่างผู้คนอีกต่อไป ไม่มีความรักอันใดอีกต่อไประหว่างสมาชิกในครอบครัว ไม่มีความเข้าใจอันใดอีกต่อไปในหมู่ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง  สัมพันธภาพของมนุษย์ได้กลายมามีลักษณะเฉพาะเป็นความรุนแรง  บุคคลทุกคนพยายามใช้วิธีการรุนแรงในการดำรงชีวิตท่ามกลางเพื่อนมนุษย์ พวกเขาฉวยคว้าขนมปังรายวันของพวกเขาโดยใช้ความรุนแรง พวกเขาเอาชนะจนได้ตำแหน่งและได้รับผลกำไรโดยใช้ความรุนแรง และพวกเขาใช้วิธีที่ชั่วและรุนแรงในการทำอะไรตามที่ต้องการ  มวลมนุษย์นี้ไม่น่าสะพรึงกลัวหรอกหรือ?  น่าสะพรึงกลัว และอย่างมากด้วย กล่าวคือ พวกเขาไม่เพียงตรึงกางเขนพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังจะเข่นฆ่าทุกคนที่ติดตามพระองค์อีกด้วย—เพราะมนุษย์ชั่วร้ายเกินไป  ภายหลังจากที่ได้ยินสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดที่เราเพิ่งจะพูดถึง พวกเจ้าไม่คิดหรือว่ามันน่าหวาดกลัวที่จะใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมนี้ ในโลกนี้ และท่ามกลางผู้คนประเภทเหล่านี้ ภายในที่ซึ่งซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม?  (น่าหวาดกลัว)  แล้วพวกเจ้าเคยรู้สึกว่าตัวเองน่าสมเพชบ้างไหม?  ในอึดใจนี้ เจ้าต้องรู้สึกถึงมันอยู่บ้างเล็กน้อย ใช่ไหม?  (ข้าพระองค์รู้สึก)  เมื่อได้ยินน้ำเสียงของพวกเจ้า ดูราวกับว่าเจ้ากำลังคิดอยู่ว่า “ซาตานมีวิธีที่แตกต่างกันมากมายยิ่งนักที่จะทำให้มนุษย์เสื่อมทราม มันฉวยคว้าทุกโอกาสเหมาะและอยู่ทุกแห่งหนที่พวกเราหันไป  มนุษย์ยังคงสามารถได้รับการช่วยให้รอดอยู่หรือ?”  มนุษย์ยังคงสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?  มนุษย์สามารถช่วยตัวเองให้รอดได้หรือไม่?  (ไม่)  จักรพรรดิหยกสามารถช่วยมนุษย์ให้รอดได้หรือไม่?  ขงจื๊อสามารถช่วยมนุษย์ให้รอดได้หรือไม่?  พระโพธิสัตว์กวนอิมสามารถช่วยมนุษย์ให้รอดได้หรือไม่?  (ไม่)  แล้วใครกันเล่าที่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอด?  (พระเจ้า)  อย่างไรก็ดี ผู้คนบางคนก็จะตั้งคำถามในหัวใจของพวกเขา อย่างเช่น “ซาตานทำอันตรายพวกเราอย่างเตลิดเปิดเปิงเหลือเกิน ด้วยความบ้าคลั่งวิกลจริตยิ่งนัก จนพวกเราไม่มีความหวังที่จะดำเนินชีวิตและความมั่นใจอันใดที่จะดำเนินชีวิต  พวกเราล้วนดำรงชีวิตอยู่ในท่ามกลางความเสื่อมทราม และไม่ว่าจะอย่างไร ทุกตัวบุคคลล้วนต้านทานพระเจ้า และบัดนี้หัวใจของพวกเราได้จมต่ำลงเท่าที่พวกมันจะดิ่งไปได้  แล้วพระเจ้าสถิตอยู่ที่ใดเล่าในขณะที่ซาตานกำลังทำให้พวกเราเสื่อมทราม?  พระเจ้ากำลังทรงทำอะไรอยู่?  อะไรก็ตามที่พระเจ้ากำลังทรงทำเพื่อพวกเรานั้น พวกเราไม่เคยรู้สึกถึงมันเลย!”  บางคนรู้สึกเศร้าสลดและค่อนข้างท้อแท้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  สำหรับพวกเจ้าแล้ว ความรู้สึกนี้ดิ่งลึกมาก เพราะทั้งหมดที่เราได้พูดมาตลอดนั้นได้เป็นไปเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนได้มาเข้าใจอย่างช้าๆ รู้สึกมากขึ้นทุกทีว่าพวกเขาไร้ซึ่งความหวัง รู้สึกมากขึ้นทุกทีว่าพวกเขาได้ถูกพระเจ้าละทิ้งแล้ว  แต่จงอย่าเป็นกังวลไปเลย  หัวข้อ “ความชั่วของซาตาน” ของการสามัคคีธรรมของพวกเราสำหรับวันนี้นั้น ไม่ใช่กระทู้ที่แท้จริงของพวกเรา  อย่างไรก็ดี หากจะพูดถึงแก่นแท้แห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้า พวกเราก็ต้องหารือถึงวิธีที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามและความชั่วของซาตานเสียก่อน เพื่อที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นว่ามนุษย์อยู่ในภาวะประเภทใดในขณะนี้  จุดมุ่งหมายหนึ่งของการพูดคุยเกี่ยวกับการนี้คือการเปิดโอกาสให้ผู้คนรู้จักความชั่วของซาตาน ในขณะที่จุดมุ่งหมายอื่นคือการเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าใจลึกซึ้งมากขึ้นว่าความบริสุทธิ์ที่แท้จริงคืออะไร

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 159

การเข้าใจความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าผ่านทางสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อมนุษย์ (บทตอนที่คัดมา)

เมื่อใดก็ตามที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามหรือก่อให้เกิดอันตรายบานปลายต่อมนุษย์ พระเจ้าไม่ทรงยืนมองเฉยไม่ทรงทำสิ่งใด อีกทั้งพระองค์ก็มิใช่ไม่สนพระทัยหรือไม่ทรงไยดีต่อบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงเลือกสรร  พระเจ้าทรงเข้าใจอย่างชัดแจ้งบริบูรณ์ในทั้งหมดที่ซาตานทำ  ไม่สำคัญว่าซาตานทำอะไร ไม่สำคัญว่ามันเป็นเหตุให้เกิดกระแสนิยมใดขึ้น พระเจ้าก็ทรงรู้ทั้งหมดที่ซาตานกำลังพยายามทำ และพระเจ้าก็ไม่ทรงละทิ้งบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงเลือกสรร  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น โดยที่ไม่เรียกร้องความสนใจอันใด—โดยลับๆ เงียบเชียบ—พระเจ้าทรงทำทุกสิ่งที่จำเป็น  เมื่อพระเจ้าทรงเริ่มพระราชกิจกับใครสักคน เมื่อพระองค์ได้ทรงเลือกใครสักคน พระองค์ไม่ทรงกล่าวประกาศข่าวนี้แก่ใคร อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงกล่าวประกาศข่าวนี้แก่ซาตาน นับประสาอะไรที่จะทรงแสดงท่าทางยิ่งใหญ่อันใด  พระเจ้าแค่ทรงทำสิ่งที่จำเป็นอย่างเงียบเชียบมาก อย่างเป็นธรรมชาติมาก  อันดับแรก พระองค์ทรงเลือกครอบครัวให้เจ้า ภูมิหลังครอบครัวของเจ้า บิดามารดาของเจ้า บรรพบุรุษของเจ้า—ทั้งหมดนี้พระเจ้าทรงกำหนดตัดสินล่วงหน้า  อีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าไม่ทรงทำการกำหนดตัดสินเหล่านี้จากอารมณ์ชั่ววูบ ในทางตรงกันข้าม พระองค์ได้ทรงเริ่มพระราชกิจนี้นานมาแล้ว  ทันทีที่พระเจ้าได้ทรงเลือกครอบครัวให้เจ้า จากนั้นพระองค์จึงทรงเลือกวันที่ซึ่งเจ้าจะถือกำเนิด  จากนั้น พระเจ้าทรงเฝ้าดูขณะที่เจ้าถือกำเนิดและส่งเสียงร้องจ้ามาสู่โลก  พระองค์ทรงเฝ้าดูการเกิดของเจ้า ทรงเฝ้าดูขณะที่เจ้าเปล่งคำพูดแรกของเจ้า ทรงเฝ้าดูขณะที่เจ้าเดินสะดุดและเดินเตาะแตะในย่างก้าวแรกเมื่อเจ้าหัดเดิน  เจ้าก้าวเดินก้าวแรกก่อนและแล้วเจ้าก็ก้าวเดินอีกก้าว—และตอนนี้เจ้าสามารถวิ่ง กระโดด พูดคุย และแสดงความรู้สึกทั้งหลายของเจ้าได้… เมื่อผู้คนเติบโตขึ้น สายตาของซาตานจะจับจ้องไปที่พวกเขาทุกคนเหมือนพยัคฆ์ที่จ้องเหยื่อของมัน  แต่ในการทรงพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าไม่เคยทรงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดอันใดที่เกิดจากผู้คน เหตุการณ์หรือสิ่งทั้งหลาย พื้นที่หรือเวลา พระองค์ทรงทำสิ่งที่พระองค์ควรทรงทำและสิ่งที่พระองค์ต้องทรงทำ  ในกระบวนการแห่งการเจริญเติบโต เจ้าอาจเผชิญกับหลายสิ่งหลายอย่างซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เจ้าชอบ เช่น ความเจ็บป่วยและความหงุดหงิดผิดหวัง  แต่ขณะที่เจ้าเดินไปบนเส้นทางนี้ ชีวิตของเจ้าและอนาคตของเจ้าอยู่ภายใต้การทรงดูแลของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด  พระเจ้าทรงมอบการรับประกันอันถ่องแท้ซึ่งจะคงอยู่ชั่วชีวิตเจ้าให้แก่เจ้าด้วยการที่พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างเจ้าตรงนั้นเสมอ ทรงคุ้มกันเจ้าและทรงดูแลเอาใจใส่เจ้า  เจ้าเติบโตขึ้นโดยที่ไม่ตระหนักรู้ถึงการนี้  เจ้าเริ่มมาสัมผัสกับสิ่งใหม่ๆ และเริ่มที่จะรู้จักโลกใบนี้และมวลมนุษย์นี้  ทุกสิ่งนั้นสดและใหม่สำหรับเจ้า  เจ้ามีบางสิ่งที่เจ้าชื่นชมยินดีที่จะทำ  เจ้าดำรงชีวิตอยู่ภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าเอง เจ้าดำรงชีวิตอยู่ภายในพื้นที่ของเจ้าเอง และเจ้าไม่มีความตระหนักเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของพระเจ้าแม้แต่น้อย  แต่พระเจ้าทรงเฝ้าดูเจ้าในทุกย่างก้าวของหนทางขณะที่เจ้าเติบโตขึ้น และพระองค์ทรงเฝ้าดูเจ้าขณะที่เจ้าสาวเท้าไปข้างหน้าในทุกย่างก้าว  แม้ในยามที่เจ้ากำลังศึกษาหาความรู้หรือกำลังศึกษาวิทยาศาสตร์ พระเจ้าไม่เคยทรงห่างเจ้าแม้เพียงก้าวเดียว  เจ้าก็แค่เป็นเหมือนคนอื่นๆ ในเรื่องที่ว่า ในครรลองแห่งการได้มารู้จักโลกและผูกพันกับมัน เจ้าได้ตั้งอุดมคติของเจ้าขึ้นมาเอง เจ้ามีงานอดิเรกของเจ้าเอง ความสนใจของเจ้าเอง และเจ้ายังเก็บงำความมักใหญ่ใฝ่สูงอันสูงส่งไว้อีกด้วย  เจ้ามักจะไตร่ตรองอนาคตของเจ้าเอง มักร่างเค้าโครงว่าอนาคตของเจ้าควรมีรูปร่างอย่างไร  แต่ไม่สำคัญว่าอะไรจะปรากฏขึ้นระหว่างทาง พระเจ้าทรงเห็นมันทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างชัดเจน  บางทีเจ้าอาจลืมอดีตของตัวเจ้าเองไปแล้ว แต่สำหรับพระเจ้า ไม่มีใครที่สามารถเข้าใจเจ้าได้ดีไปกว่าพระองค์  เจ้าดำรงชีวิตอยู่ภายใต้สายพระเนตรอันจับจ้องของพระเจ้า เติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น  ในระหว่างช่วงเวลานี้ กิจที่สำคัญที่สุดของพระเจ้าคือบางสิ่งบางอย่างซึ่งไม่มีใครเคยล่วงรู้ บางสิ่งบางอย่างซึ่งไม่มีใครรู้จัก  พระเจ้าไม่ทรงบอกใครเกี่ยวกับการนี้เป็นแน่  ดังนั้นแล้วอะไรหรือคือสิ่งสำคัญยิ่งยวดที่สุด?  อาจกล่าวได้ว่า นั่นก็คือการรับประกันว่าพระเจ้าจะทรงช่วยบุคคลให้รอด  นี่หมายความว่าหากพระเจ้าทรงต้องประสงค์ช่วยบุคคลนี้ให้รอด พระองค์ต้องทรงทำการนี้  กิจนี้สำคัญยิ่งชีพต่อทั้งมนุษย์และพระเจ้า  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ามันคืออะไร?  ดูเหมือนว่าพวกเจ้าไม่มีความรู้สึกอันใดเกี่ยวกับการนี้ หรือมโนทัศน์อันใดเกี่ยวกับการนี้ ดังนั้นเราก็จะบอกพวกเจ้า  ตั้งแต่เวลาที่เจ้าถือกำเนิดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน พระเจ้าได้ทรงดำเนินพระราชกิจมากมายกับเจ้า แต่พระองค์ไม่ทรงบอกเล่าแบบหมดเปลือกในทุกสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำแก่เจ้า  พระเจ้าไม่ได้ทรงอนุญาตให้เจ้ารู้การนี้ และพระองค์ไม่ได้ทรงบอกเจ้า  อย่างไรก็ดี สำหรับมวลมนุษย์ ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นสำคัญ  ตามพระดำริของพระเจ้านั้น มันคือบางสิ่งบางอย่างที่พระองค์ต้องทรงทำ ในพระทัยของพระองค์มีบางสิ่งสำคัญที่พระองค์ทรงจำเป็นต้องทำซึ่งเกินเลยสิ่งใดในบรรดาสิ่งเหล่านี้ไปมาก  นั่นคือ ตั้งแต่เวลาที่บุคคลถือกำเนิดมาจนถึงปัจจุบัน พระเจ้าต้องทรงรับประกันความปลอดภัยของพวกเขา  เมื่อเจ้าได้ยินพระวจนะเหล่านี้ เจ้าอาจรู้สึกราวกับว่าพวกเจ้าไม่เข้าใจอย่างครบถ้วน  เจ้าอาจถามว่า “ความปลอดภัยนี้สำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ?”  ถ้าอย่างนั้น อะไรหรือคือความหมายตามตัวอักษรของ “ความปลอดภัย”?  บางทีพวกเจ้าอาจเข้าใจว่ามันหมายถึงสันติสุข หรือบางทีพวกเจ้าอาจเข้าใจว่ามันหมายถึงการไม่เคยผ่านประสบการณ์กับความวิบัติหรือหายนะใด การดำรงชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย การดำเนินชีวิตปกติ  แต่ในหัวใจของพวกเจ้า เจ้าต้องรู้ว่ามันไม่เรียบง่ายอย่างนั้น  ดังนั้น อันที่จริงแล้วสิ่งนี้ที่เราได้พูดถึงมาตลอด ว่าพระเจ้าต้องทรงทำนั้น คืออะไรกันแน่?  ความปลอดภัยหมายถึงอะไรสำหรับพระเจ้า?  มันใช่เครื่องรับประกันความหมายปกติของ “ความปลอดภัย” จริงๆ หรือ?  ไม่ใช่  ดังนั้นแล้วอะไรเล่าคือสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ?  “ความปลอดภัย” นี้หมายความว่าเจ้าจะไม่ถูกซาตานสวาปามเข้าไป  นี่สำคัญไหม?  การไม่ถูกซาตานสวาปามเข้าไป—นี่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเจ้าหรือไม่?  ใช่แล้ว นี่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยส่วนตัวของเจ้า และไม่อาจมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าได้  ทันทีที่เจ้าถูกซาตานสวาปามเข้าไป ดวงจิตของเจ้าและเนื้อหนังของเจ้าไม่เป็นของพระเจ้าอีกต่อไป  พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอดอีกต่อไป  พระเจ้าทรงละทิ้งบรรดาดวงจิตและผู้คนที่ถูกซาตานสวาปามเข้าไป  ดังนั้นเราจึงกล่าวว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่พระเจ้าต้องทรงทำก็คือการรับประกันความปลอดภัยนี้ของเจ้า เพื่อรับประกันว่าเจ้าจะไม่ถูกซาตานสวาปามเข้าไป  เรื่องนี้สำคัญมาก ไม่ใช่หรอกหรือ?  ดังนั้นแล้ว เหตุใดพวกเจ้าจึงตอบกันไม่ได้เล่า?  ดูเหมือนว่าพวกเจ้านั้นไร้ความสามารถที่จะรู้สึกถึงพระเมตตาอันใหญ่หลวงของพระเจ้าสินะ!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 160

การเข้าใจความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าผ่านทางสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อมนุษย์ (บทตอนที่คัดมา)

พระเจ้าทรงทำมากมายที่นอกเหนือกว่าการรับประกันความปลอดภัยของผู้คน การรับประกันว่าพวกเขาจะไม่ถูกซาตานสวาปามเข้าไป  พระองค์ยังทรงปฏิบัติพระราชกิจขั้นเตรียมการอย่างมากมายมหาศาลก่อนที่จะทรงเลือกสรรและทรงช่วยใครบางคนให้รอดอีกด้วย  ก่อนอื่นเลยก็คือ พระเจ้าทรงทำการตระเตรียมที่พิถีพิถันเกี่ยวกับการที่เจ้าจะมีลักษณะนิสัยแบบใด เจ้าจะถือกำเนิดในครอบครัวประเภทใด ใครจะเป็นบิดามารดาของเจ้า เจ้าจะมีพี่น้องชายหญิงกี่คน และสถานการณ์ สถานะทางเศรษฐกิจ และภาวะทั้งหลายของครอบครัวที่เจ้าจะถือกำเนิดนั้นจะเป็นอย่างไร  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าส่วนใหญ่ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรนั้นถือกำเนิดในครอบครัวประเภทใด?  ครอบครัวเหล่านั้นเป็นครอบครัวที่มีชื่อเสียงหรือไม่?  พวกเราไม่อาจกล่าวได้แน่นอนว่าไม่มีใครเลยที่ถือกำเนิดในครอบครัวที่มีชื่อเสียง  อาจมีจำนวนหนึ่ง แต่พวกเขาก็มีจำนวนน้อยมาก  พวกเขาถือกำเนิดในครอบครัวที่อุดมด้วยโภคทรัพย์เป็นพิเศษ ครอบครัวเศรษฐีพันล้าน หรือมหาเศรษฐีหรือไม่?  ไม่ พวกเขาแทบจะไม่เคยถือกำเนิดในครอบครัวประเภทนี้เลย  ดังนั้นแล้ว ครอบครัวประเภทใดหรือที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้กับผู้คนเหล่านี้ส่วนใหญ่?  (ครอบครัวธรรมดา)  ถ้าอย่างนั้นแล้วครอบครัวใดบ้างที่อาจพิจารณาได้ว่าเป็น “ครอบครัวธรรมดา”?  ครอบครัวเหล่านั้นรวมไปถึงครอบครัวของคนทำงาน นั่นก็คือ ครอบครัวทั้งหลายที่อาศัยเงินค่าจ้างเพื่อความอยู่รอด ที่สามารถหาซื้อปัจจัยจำเป็นพื้นฐานได้ และที่ไม่มั่งมีเกินไปนัก ครอบครัวเหล่านี้รวมไปถึงครอบครัวที่ทำการเกษตร ชาวนาที่อาศัยการเพาะปลูกพืชผลเพื่อเป็นอาหารของพวกเขา—มีธัญพืชไว้กิน และเสื้อผ้าไว้สวมใส่ และไม่ต้องหิวโหยหรือหนาวจนจะแข็งตาย  แล้วก็มีบางครอบครัวที่ทำธุรกิจเล็กๆ และบางครอบครัวที่พ่อแม่เป็นปัญญาชน และครอบครัวเหล่านี้ยังสามารถนับได้ว่าเป็นครอบครัวธรรมดาเช่นกัน  ยังมีพ่อแม่บางคนที่เป็นพนักงานบริษัทหรือข้าราชการชั้นผู้น้อยด้วย ที่ไม่สามารถนับได้เช่นกันว่าเป็นครอบครัวที่มีความโดดเด่น  ส่วนถือกำเนิดกันในครอบครัวธรรมดา และการนี้ทั้งหมดได้รับการจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า  ก่อนอื่น นั่นกล่าวได้ว่า สภาพแวดล้อมนี้ที่เจ้าดำรงชีวิตอยู่ไม่ใช่ครอบครัวที่มีฐานะมั่งคั่งตามที่ผู้คนอาจจะจินตนาการกันไป และนี่เป็นครอบครัวที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดตัดสินให้เจ้า และผู้คนส่วนใหญ่จะดำรงชีวิตอยู่ภายในขีดจำกัดของครอบครัวประเภทนี้  ดังนั้นแล้วสถานะทางสังคมเล่าเป็นเช่นไร?  ภาวะเศรษฐกิจของพ่อแม่ส่วนใหญ่ก็ปานกลางและพวกเขาไม่มีสถานะทางสังคมที่สูงส่ง—สำหรับพวกเขานั้นแค่มีหน้าที่การงานก็ดีแล้ว  ผู้คนเหล่านี้รวมไปถึงบรรดาพวกผู้ปกครองหรือไม่?  หรือบรรดาประธานาธิบดีของประเทศ?  ไม่รวม ถูกต้องหรือไม่?  อย่างมากที่สุดพวกเขาก็เป็นผู้คนอย่างเช่นพวกผู้จัดการในธุรกิจขนาดเล็กหรือเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก  สถานะทางสังคมของพวกเขานั้นดีพอใช้และภาวะทางเศรษฐกิจของเขานั้นอยู่ระดับปานกลาง  อีกปัจจัยหนึ่งคือสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของครอบครัว  ก่อนอื่น ไม่มีพ่อแม่คนใดท่ามกลางครอบครัวเหล่านี้ที่ชัดเจนว่ามีอิทธิพลให้ลูกๆ ของพวกเขาเดินเข้าไปสู่เส้นทางแห่งการทำนายโชคชะตาหรือการดูดวง เหล่านี้คือไม่กี่ครอบครัวเลยที่เกี่ยวพันกับสิ่งทั้งหลายดังกล่าว  พ่อแม่ส่วนใหญ่นั้นค่อนข้างปกติ  ในเวลาเดียวกันกับที่พระเจ้าทรงเลือกสรรประชากร พระองค์ทรงกำหนดสภาพแวดล้อมประเภทนี้ให้พวกเขา ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อพระราชกิจแห่งการช่วยผู้คนให้รอดของพระองค์  เมื่อดูอย่างผิวเผิน ดูเหมือนว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงทำอะไรซึ่งเป็นการเขย่าโลกเป็นพิเศษสำหรับมนุษย์ พระองค์แค่ทรงดำเนินหน้าต่อไปอย่างเงียบเชียบและอย่างลับๆ ในการทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำอย่างถ่อมพระทัยและในความเงียบ  แต่ในข้อเท็จจริงนั้น ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำ พระองค์ทรงทำเพื่อที่จะวางรากฐานสำหรับความรอดของเจ้า เพื่อตระเตรียมถนนเบื้องหน้าและภาวะที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อความรอดของเจ้า  ถัดไปนั้น พระเจ้าก็ทรงนำพาทุกตัวบุคคลกลับมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ทีละคนในเวลาที่เฉพาะเจาะจง  พอถึงตอนนั้นที่เจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า นั่นก็ถึงตอนที่เจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์พอดี  เมื่อถึงคราที่การนี้เกิดขึ้น บางคนได้กลายเป็นพ่อแม่ไปเสียเองแล้ว ในขณะที่คนอื่นๆ ยังคงเป็นลูกของใครบางคนอยู่  อีกนัยหนึ่งคือ บางคนได้แต่งงานและมีลูกแล้ว ในขณะที่บางคนยังคงเป็นโสด ยังไม่ได้เริ่มต้นครอบครัวของพวกเขาเอง  แต่ไม่ว่าสถานการณ์ของคนเราจะเป็นอย่างไรก็ตาม พระเจ้าได้ทรงกำหนดเวลาไว้แล้วที่พวกเจ้าจะถูกเลือกสรรและเวลาที่ข่าวประเสริฐและพระวจนะของพระองค์จะมาถึงเจ้า  พระเจ้าได้ทรงกำหนดรูปการณ์แวดล้อมไว้แล้ว ซึ่งกำหนดตัดสินในเรื่องของบุคคลบางคนหรือบริบทบางอย่างซึ่งจะใช้ในการส่งผ่านข่าวประเสริฐต่อไปยังเจ้า เพื่อที่เจ้าจะได้ยินพระวจนะของพระเจ้า  พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมภาวะที่จำเป็นทั้งหมดไว้ให้เจ้าแล้ว  ด้วยหนทางนี้ แม้มนุษย์ไม่ตระหนักรู้ว่ามันกำลังเกิดขึ้น มนุษย์ก็ได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์และกลับสู่ครอบครัวของพระเจ้า  มนุษย์ยังติดตามพระเจ้าและเข้าสู่แต่ละขั้นตอนของพระราชกิจของพระองค์โดยไม่รู้ตัวอีกด้วย อันเป็นการเข้าสู่แต่ละขั้นตอนของวิธีทรงพระราชกิจของพระเจ้าซึ่งพระองค์ได้ทรงตระเตรียมไว้เพื่อมนุษย์  พระเจ้าทรงใช้หนทางใดหรือเมื่อพระองค์ทรงทำสิ่งทั้งหลายเพื่อมนุษย์ ณ เวลานี้?  ก่อนอื่น อย่างน้อยที่สุดเลยก็คือการทรงดูแลและการทรงคุ้มครองซึ่งมนุษย์ชื่นชมยินดี  นอกเหนือจากนี้ พระเจ้าทรงกำหนดผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งนานาสารพันเพื่อที่มนุษย์อาจมองเห็นการดำรงอยู่ของพระองค์และกิจการของพระองค์โดยผ่านทางสิ่งเหล่านี้  ตัวอย่างเช่น มีบางคนที่เชื่อในพระเจ้าเพราะใครบางคนในครอบครัวของพวกเขามีอาการป่วย  เมื่อคนอื่นๆ ประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา พวกเขาก็เริ่มที่จะเชื่อในพระเจ้า และการเชื่อนี้เกิดขึ้นเพราะสถานการณ์นี้  ดังนั้นแล้วใครกันที่ได้จัดการเตรียมการสถานการณ์นี้?  (พระเจ้า)  โดยวิถีทางของอาการป่วยนี้ มีบางครอบครัวที่ทุกคนเป็นผู้เชื่อ ในขณะที่มีครอบครัวอื่นๆ ที่ในครอบครัวมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อ  เมื่อดูอย่างผิวเผิน อาจดูเหมือนว่าใครบางคนในครอบครัวของเจ้าประสบกับความเจ็บป่วย แต่ในข้อเท็จจริงแล้วมันเป็นภาวะหนึ่งที่ถูกประทานแก่เจ้าเพื่อที่เจ้าอาจมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า—นี่คือพระเมตตาของพระเจ้า  เพราะชีวิตครอบครัวนั้นยากลำบากสำหรับผู้คนบางคนและพวกเขาไม่สามารถพบสันติสุขได้เลย เป็นไปได้ว่าโอกาสเหมาะที่จะทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จอาจนำเสนอตัวมันเองออกมา—ใครบางคนส่งต่อข่าวประเสริฐและกล่าวว่า “จงเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าแล้วเจ้าจะมีสันติสุข”  ด้วยเหตุนี้ โดยมิได้ตระหนักรู้ พวกเขาจึงได้มาเชื่อในพระเจ้าภายใต้รูปการณ์แวดล้อมอันเป็นธรรมชาติอย่างมาก ดังนั้นนี่ไม่ใช่ภาวะชนิดหนึ่งหรอกหรือ?  และข้อเท็จจริงที่ว่าครอบครัวของพวกเขาไม่อยู่ในสันติสุขนั้น เป็นพระคุณที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้พวกเขาใช่หรือไม่?  ยังมีบางคนอีกเช่นกันที่มาเชื่อในพระเจ้าด้วยเหตุผลอื่นๆ  มีเหตุผลที่แตกต่างกันและหนทางที่แตกต่างกันของการเชื่อ แต่ไม่สำคัญว่าเหตุผลใดนำพาให้เจ้าเชื่อในพระองค์ ที่เป็นจริงก็คือทั้งหมดถูกจัดการเตรียมการและได้รับการทรงนำโดยพระเจ้า  ในตอนแรกนั้น พระเจ้าทรงใช้หนทางสารพัดที่จะเลือกสรรเจ้าและนำพาเจ้าเข้ามาสู่ครอบครัวของพระองค์  นี่คือพระคุณที่พระเจ้าประทานแก่บุคคลทุกคน

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 161

การเข้าใจความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าผ่านทางสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อมนุษย์ (บทตอนที่คัดมา)

ช่วงระยะปัจจุบันของพระราชกิจในเรื่องเหล่านี้ของพระเจ้าในยุคสุดท้าย พระองค์ไม่เพียงแค่ประทานพระคุณและพระพรแก่มนุษย์เหมือนกับที่พระองค์ทรงเคยทำมาก่อน อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงเกลี้ยกล่อมมนุษย์ให้ก้าวไปข้างหน้าอีกต่อไป  ในช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ อะไรหรือที่มนุษย์ได้เห็นจากแง่มุมทั้งหมดของพระราชกิจของพระเจ้าที่พวกเขามีประสบการณ์ด้วย?  มนุษย์ได้เห็นความรักของพระเจ้าและการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า  ในระหว่างช่วงเวลานี้พระเจ้าทรงจัดเตรียม ทรงเกื้อหนุน ทรงให้ความรู้แจ้ง และทรงนำมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ค่อยๆ มารู้จักเจตนารมณ์ของพระองค์ รู้จักพระวจนะที่พระองค์ตรัส และความจริงที่พระองค์ประทานแก่มนุษย์  ยามที่มนุษย์อ่อนแอ ยามที่พวกเขาท้อแท้ ยามที่พวกเขาไม่มีที่ไหนให้หันไปหา พระเจ้าจะทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อชูใจ แนะนำ และหนุนใจมนุษย์ เพื่อให้วุฒิภาวะอันน้อยนิดของมนุษย์สามารถค่อยๆ เติบโตด้วยความแข็งแกร่ง ลุกขึ้นด้วยความคิดบวก และกลายเป็นเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือกับพระเจ้า  แต่เมื่อมนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้าหรือต้านทานพระองค์ หรือเมื่อมนุษย์เปิดเผยความเสื่อมทรามของพวกเขา พระเจ้าจะไม่ทรงแสดงพระกรุณาในการสั่งสอนและการบ่มวินัยมนุษย์  อย่างไรก็ดี พระเจ้าจะทรงแสดงความยอมผ่อนปรนและความอดทนต่อความโง่เขลา ความไม่รู้เท่าทัน ความอ่อนแอ และความไม่เป็นผู้ใหญ่ของมนุษย์  ด้วยหนทางนี้ โดยผ่านทางพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำเพื่อมนุษย์ มนุษย์ค่อยๆ เป็นผู้ใหญ่ขึ้น เติบโตขึ้น และมารู้จักเจตนารมณ์ของพระเจ้า มารู้จักความจริงบางอย่าง มารู้ว่าสิ่งใดเป็นบวกและสิ่งใดเป็นลบ มารู้ว่าความชั่วและความมืดคืออะไร  พระเจ้าไม่ทรงใช้วิธีการเดียวโดยการสั่งสอนและการบ่มวินัยมนุษย์ตลอดเวลา แต่พระองค์ก็ไม่ทรงแสดงความยอมผ่อนปรนและความอดทนตลอดเวลา  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพระองค์ทรงจัดเตรียมให้แต่ละบุคคลในหนทางที่แตกต่างกันที่ช่วงระยะที่แตกต่างกัน และตามวุฒิภาวะและขีดความสามารถที่แตกต่างกันของพวกเขา  พระองค์ทรงทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อมนุษย์และด้วยต้นทุนที่ยิ่งใหญ่ มนุษย์ไม่ล่วงรู้อะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้หรือเกี่ยวกับต้นทุนนี้ กระนั้นก็ตามในทางปฏิบัติแล้ว ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำก็เป็นการดำเนินการกับแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง  ความรักของพระเจ้านั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริง กล่าวคือ โดยผ่านทางพระคุณของพระเจ้า มนุษย์หลีกพ้นความวิบัติครั้งแล้วครั้งเล่า และตลอดเวลานั้นพระเจ้าทรงแสดงความยอมผ่อนปรนซ้ำแล้วซ้ำอีกสำหรับความอ่อนแอของมนุษย์  การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าเปิดโอกาสให้มนุษย์ค่อยๆ มารู้จักความเสื่อมทรามและแก่นแท้เยี่ยงซาตานของมวลมนุษย์  สิ่งซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียม ความรู้แจ้งของพระองค์เกี่ยวกับมนุษย์ และการทรงนำของพระองค์ทั้งหมดเปิดโอกาสให้มวลมนุษย์รู้จักแก่นแท้ของความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ และรู้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ถึงสิ่งที่ผู้คนต้องการ ถนนเส้นที่พวกเขาควรใช้ รู้ว่าพวกเขาใช้ชีวิตเพื่ออะไร รู้ถึงคุณค่าและความหมายของชีวิตของพวกเขา และวิธีเดินไปบนถนนข้างหน้า  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำไม่สามารถแยกจากพระประสงค์ดั้งเดิมหนึ่งประการของพระองค์ได้  เช่นนั้นแล้วอะไรหรือคือพระประสงค์นี้?  เหตุใดหรือพระเจ้าจึงทรงใช้วิธีการเหล่านี้ดำเนินพระราชกิจของพระองค์กับมนุษย์?  พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใด?  อีกนัยหนึ่ง พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะเห็นสิ่งใดในมนุษย์?  พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะได้รับอะไรจากมนุษย์?  สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะเห็นก็คือการที่หัวใจของมนุษย์สามารถฟื้นคืนได้  วิธีการเหล่านี้ที่พระองค์ทรงใช้ในการทรงพระราชกิจกับมนุษย์นั้นเป็นความพยายามต่อเนื่องเพื่อปลุกหัวใจของมนุษย์ เพื่อปลุกจิตวิญญาณของมนุษย์ เพื่อทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจว่าพวกเขามาจากที่ไหน ใครกำลังนำ เกื้อหนุน และจัดเตรียมให้พวกเขา และใครได้อนุญาตให้มนุษย์มีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน วิธีการเหล่านี้เป็นวิถีทางเพื่อทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจว่าใครคือพระผู้สร้าง พวกเขาควรนมัสการใคร ถนนประเภทใดที่พวกเขาควรเดิน และในหนทางใดที่มนุษย์ควรมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกมันเป็นวิถีทางที่จะค่อยๆ ฟื้นคืนหัวใจของมนุษย์ เพื่อที่มนุษย์จะได้รู้จักพระหทัยของพระเจ้า เข้าใจพระหทัยของพระเจ้า และจับใจความได้ถึงการทรงดูแลอันยิ่งใหญ่และความคิดที่อยู่เบื้องหลังพระราชกิจของพระองค์ในการช่วยมนุษย์ให้รอด  เมื่อหัวใจของมนุษย์ฟื้นคืน มนุษย์ไม่ปรารถนาที่จะใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยอันต่ำทรามและเสื่อมทรามอีกต่อไป แต่กลับปรารถนาจะไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  เมื่อหัวใจของมนุษย์ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น มนุษย์ก็ย่อมสามารถฉีกตัวออกจากซาตานได้อย่างสิ้นเชิง  พวกเขาจะไม่ถูกซาตานทำอันตรายอีกต่อไป ไม่ถูกควบคุมหรือถูกมันหลอกอีกต่อไป  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มนุษย์สามารถให้ความร่วมมืออย่างเป็นเชิงรุกในพระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์เพื่อทำให้พระเจ้าสมดังพระทัย ด้วยเหตุนี้จึงบรรลุถึงความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว  นี่คือจุดประสงค์ดั้งเดิมของพระราชกิจของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 162

การเข้าใจความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าผ่านทางสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อมนุษย์ (บทตอนที่คัดมา)

การหารือที่พวกเราเพิ่งจัดไปเกี่ยวกับความชั่วของซาตานนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับว่า มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความทุกข์ใจอันใหญ่หลวง และรู้สึกว่าชีวิตของมนุษย์ถูกรุมเร้าด้วยโชคร้าย  แต่บัดนี้ที่เรากำลังพูดถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้าและพระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัติกับมนุษย์ นั่นทำให้พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรหรือ?  (มีความสุขมาก)  ตอนนี้ พวกเราสามารถเห็นได้ว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการให้กับมนุษย์อย่างอุตสาหะนั้นไม่มีจุดด่างพร้อย  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นปราศจากข้อผิดพลาด ซึ่งหมายความว่ามันไม่มีที่ติ ไม่จำเป็นต้องมีใครมาแก้ไข แนะนำ หรือทำการเปลี่ยนแปลงอันใดกับมัน  ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำเพื่อทุกปัจเจกบุคคลนั้นไม่ต้องกังขาเลย พระองค์ทรงนำทางทุกคนโดยการจูงมือ ทรงให้การดูแลเจ้าในทุกชั่วขณะที่กำลังผ่านไป และไม่เคยทรงไปห่างเจ้าแม้สักครั้ง  เมื่อผู้คนเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมแบบนี้และด้วยภูมิหลังแบบนี้ พวกเราจะกล่าวได้หรือไม่ว่าในข้อเท็จจริงแล้วผู้คนเติบโตขึ้นในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้า?  (ได้)  แล้วตอนนี้พวกเจ้ายังคงรู้สึกถึงสำนึกแห่งความสูญเสียหรือไม่?  มีใครบ้างไหมที่ยังคงรู้สึกท้อแท้?  มีใครบ้างไหมที่รู้สึกว่าพระเจ้าได้ทรงละทิ้งมวลมนุษย์?  (ไม่)  ถ้าเช่นนั้น อันที่จริงแล้วพระเจ้าได้ทรงทำสิ่งใดกันแน่?  (พระองค์ได้ทรงเฝ้าดูมวลมนุษย์)  ความคิดและการทรงดูแลอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงใส่เข้าไปในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นเกินกว่าจะตั้งคำถาม  ที่มากไปกว่านั้นคือ ในการดำเนินพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ได้ทรงทำเช่นนั้นโดยปราศจากเงื่อนไขเสมอมา  พระองค์ไม่เคยทรงพึงประสงค์ให้เจ้าคนใดต้องรู้ราคาที่พระองค์ทรงจ่ายเพื่อเจ้าเพื่อทำให้เจ้ารู้สึกสำนึกบุญคุณต่อพระองค์อย่างลึกซึ้ง  พระเจ้าได้ทรงเคยพึงประสงค์การนี้จากเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  ในครรลองอันยาวนานของชีวิตมนุษย์ แทบจะทุกปัจเจกบุคคลได้เคยเผชิญกับสถานการณ์อันตรายมากมายและเผชิญหน้ากับการทดลองมากมาย  นี่เป็นเพราะซาตานกำลังยืนอยู่ข้างๆ เจ้า ดวงตาของมันจับจ้องที่เจ้าตลอดเวลา  เมื่อความวิบัติซัดใส่เจ้า ซาตานสำราญในการนี้ เมื่อภัยพิบัติเกิดแก่เจ้า เมื่อไม่มีอะไรเลยที่ถูกต้องสำหรับเจ้า เมื่อเจ้ากลายเป็นติดพันอยู่ในใยของซาตาน ซาตานมีความชื่นชมยินดีอันใหญ่หลวงจากสิ่งเหล่านี้  ในส่วนของสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงทำอยู่นั้น พระองค์กำลังทรงคุ้มครองเจ้ากับทุกชั่วขณะที่กำลังผ่านไป ทรงคัดท้ายเจ้าให้ห่างจากโชคร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าและจากความวิบัติครั้งแล้วครั้งเล่า  นี่คือเหตุผลที่เรากล่าวว่าทุกอย่างที่มนุษย์มี—สันติสุขและความชื่นบานยินดี พระพรและความปลอดภัยส่วนบุคคล—ในข้อเท็จจริงแล้วทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า  พระองค์ทรงนำและทรงกำหนดตัดสินชะตากรรมของทุกปัจเจกบุคคล  ว่าแต่พระเจ้าทรงมีมโนคติที่หลงผิดเกินขนาดเกี่ยวกับพระฐานะของพระองค์ดังที่ผู้คนบางคนพูดกันกระนั้นหรือ?  พระเจ้าทรงประกาศกับเจ้ากระนั้นหรือว่า “เราคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาทั้งหมด  เป็นเรานั่นเองที่ควบคุมดูแลพวกเจ้า  พวกเจ้าต้องร้องขอความกรุณาจากเรา และการไม่เชื่อฟังจะถูกลงโทษด้วยความตาย”?  พระเจ้าทรงเคยข่มขู่มวลมนุษย์ในหนทางนี้หรือ?  (ไม่เคย)  พระองค์เคยตรัสหรือไม่ว่า “มวลมนุษย์นั้นเสื่อมทราม ดังนั้นเราปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไรย่อมไม่สำคัญ และพวกเขาอาจได้รับการปฏิบัติในหนทางอันใดก็ย่อมได้ เราไม่จำเป็นต้องทำการจัดการเตรียมการอันสมเหตุสมผลให้กับพวกเขา”?  พระเจ้าทรงพระดำริในหนทางนี้หรือ?  พระเจ้าได้ทรงปฏิบัติพระองค์ในหนทางนี้หรือ?  (ไม่)  ในทางตรงกันข้าม การปฏิบัติของพระเจ้าต่อแต่ละบุคคลนั้นเป็นไปอย่างจริงจังจริงใจ และด้วยความรับผิดชอบ พระองค์ทรงปฏิบัติกับเจ้าอย่างรับผิดชอบมากกว่าที่เจ้าปฏิบัติกับตัวเอง  นี่ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ?  พระเจ้าไม่ตรัสอย่างหาสาระไม่ได้ อีกทั้งพระองค์ก็ไม่ทรงโอ้อวดพระฐานะของพระองค์ในแบบยกระดับเกินจริงหรือหลอกลวงผู้คนอย่างตลกคะนอง  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพระองค์ทรงทำสิ่งทั้งหลายที่พระองค์เองทรงจำเป็นต้องทำอย่างซื่อสัตย์และอย่างเงียบกริบ  สิ่งเหล่านี้นำพระพร สันติสุข และความชื่นบานยินดีมาสู่มนุษย์  พวกมันนำพามนุษย์เข้ามาอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้าและมาอยู่ในครอบครัวของพระองค์อย่างสันติสุขและอย่างมีความสุข แล้วจากนั้นพวกเขาจึงดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับความรอดของพระเจ้าด้วยเหตุผลและการคิดที่เป็นปกติ  แล้วพระเจ้าได้ทรงเคยตีสองหน้ากับมนุษย์ในพระราชกิจของพระองค์กระนั้นหรือ?  พระองค์ได้ทรงเคยจัดแสดงความเมตตาเทียมเท็จ โดยตอนแรกก็หลอกลวงมนุษย์ด้วยการพูดเล่นไม่กี่อย่างแล้วจึงทรงหันหลังให้ใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  พระเจ้าได้เคยตรัสอย่างแล้วทำอย่างกระนั้นหรือ?  พระเจ้าได้ทรงเคยให้คำสัญญาอันว่างเปล่าและอวดตัวโดยทรงบอกผู้คนว่าพระองค์สามารถทำนี่เพื่อพวกเขาได้หรือช่วยพวกเขาทำนั่นได้แต่แล้วก็ทรงหายวับไปกระนั้นหรือ?  (ไม่เคย)  ไม่มีการหลอกลวงในพระเจ้า ไม่มีความเทียมเท็จ  พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ และพระองค์ทรงจริงแท้ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ  พระองค์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวเท่านั้นที่ผู้คนสามารถเชื่อใจได้ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งผู้คนสามารถมอบความไว้วางใจในชีวิตของพวกเขาและทุกสิ่งที่พวกเขามีได้  เนื่องจากในพระเจ้านั้นไม่มีเล่ห์ลวง พวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงจริงใจที่สุด?  (ได้)  แน่นอนว่าพวกเราสามารถกล่าวได้!  แม้คำว่า “จริงใจ” นั้นอ่อนกำลังเกินไป มีความเป็นมนุษย์มากเกินไปเมื่อนำไปประยุกต์ใช้กับพระเจ้า มีคำอื่นใดเล่าให้พวกเราใช้?  เช่นนั้นเองที่เป็นขีดจำกัดของภาษาของมนุษย์  แม้จะไม่เหมาะนักที่จะเรียกพระเจ้าว่า “จริงใจ” กระนั้นพวกเราก็จะใช้คำนี้สำหรับตอนนี้  พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและจริงใจ  ดังนั้นแล้วตอนที่พวกเราพูดถึงแง่มุมเหล่านี้ พวกเรากำลังอ้างอิงถึงอะไรอยู่หรือ?  พวกเรากำลังอ้างอิงถึงความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ และความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับซาตานใช่หรือไม่?  ใช่ พวกเราอาจกล่าวเช่นนั้นได้  นี่เป็นเพราะมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นสักร่องรอยของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานในพระเจ้า  เราพูดถูกหรือไม่ในเรื่องนี้?  อาเมน?  (อาเมน!)  ในพระเจ้านั้นไม่มีอุปนิสัยชั่วของซาตานเผยให้เห็นเลย  ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำและทรงเปิดเผยให้เห็นนั้นเป็นประโยชน์และช่วยมนุษย์ทั้งสิ้น ทำเพื่อจัดเตรียมให้กับมนุษย์โดยทั้งสิ้น เต็มเปี่ยมด้วยชีวิตและให้มนุษย์มีถนนที่จะติดตามและมีทิศทางที่จะใช้  พระเจ้าไม่ทรงเสื่อมทราม และยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เมื่อมองดูทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ พวกเราสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์?  เนื่องจากพระเจ้าไม่ทรงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมวลมนุษย์หรือสิ่งใดที่ละม้ายคล้ายแก่นแท้เยี่ยงซาตานของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม จากมุมมองนี้พวกเราสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์  พระเจ้าไม่ทรงแสดงความเสื่อมทรามอันใดและในเวลาเดียวกันกับที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ พระเจ้าก็ทรงเผยแก่นแท้ของพระองค์เอง ซึ่งยืนยันด้วยประการทั้งปวงว่าพระเจ้าพระองค์เองทรงบริสุทธิ์  พวกเจ้าเห็นการนี้หรือไม่?  เพื่อที่จะรู้จักแก่นแท้อันบริสุทธิ์ของพระเจ้า ตอนนี้พวกเรามาดูสองแง่มุมนี้กันเถิด ประการแรก ไม่มีร่องรอยของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามในพระเจ้า และประการที่สอง แก่นแท้แห่งพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำในตัวมนุษย์นั้นเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้เห็นแก่นแท้ของพระเจ้าเอง และแก่นแท้นี้เป็นด้านบวกทั้งสิ้น  เนื่องจากสิ่งทั้งหลายที่พระราชกิจทุกส่วนของพระเจ้านำมาสู่มนุษย์นั้นล้วนเป็นด้านบวก  ก่อนอื่น พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์นั้นซื่อสัตย์—นี่ไม่ใช่เรื่องด้านบวกหรอกหรือ?  พระเจ้าทรงมอบปัญญาแก่มนุษย์—นี่ไม่ใช่ด้านบวกหรอกหรือ?  พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์สามารถแยกแยะระหว่างความดีกับความชั่วได้—นี่ไม่ใช่ด้านบวกหรอกหรือ?  พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์เข้าใจความหมายและคุณค่าของชีวิตมนุษย์—นี่ไม่ใช่ด้านบวกหรอกหรือ?  พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นเข้าไปข้างในแก่นแท้ของผู้คน เหตุการณ์ทั้งหลาย และสิ่งทั้งหลายซึ่งสอดคล้องกับความจริง—นี่ไม่ใช่ด้านบวกหรอกหรือ?  ย่อมเป็นด้านบวก และผลลัพธ์ของทั้งหมดนี้ก็คือ มนุษย์ไม่ถูกซาตานหลอกอีกต่อไป จะไม่ถูกซาตานทำอันตรายหรือควบคุมอีกต่อไป  อีกนัยหนึ่งก็คือ สิ่งเหล่านี้เปิดโอกาสให้ผู้คนปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระจากความเสื่อมทรามของซาตานโดยครบบริบูรณ์ และดังนั้นจึงค่อยๆ เดินไปบนเส้นทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 163

ที่ซาตานนำมาใช้ทำให้มนุษย์เสื่อมทรามนั้นมีอยู่หกเล่ห์กลหลัก

เล่ห์กลแรกคือการควบคุมและการบีบบังคับ  นั่นคือ ซาตานจะทำทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อควบคุมหัวใจของเจ้า  “การบีบบังคับ” หมายถึงอะไร?  มันหมายถึงการใช้การข่มขู่และยุทธวิธีแบบใช้กำลังเพื่อทำให้เจ้าเชื่อฟังมัน ทำให้เจ้าคิดถึงผลที่ตามมาหากเจ้าไม่เชื่อฟัง  เจ้ากลัวและไม่กล้าท้าทายมัน ดังนั้นเจ้าจึงนบนอบต่อมัน

เล่ห์กลที่สองคือการโกงและการใช้เล่ห์เหลี่ยม “การโกงและการใช้เล่ห์เหลี่ยม” พ่วงท้ายมาด้วยอะไรหรือ?  ซาตานสร้างเรื่องราวและการโกหกบางอย่าง ใช้เล่ห์ลวงให้เจ้าให้เข้าไปสู่การที่เชื่อในเรื่องเหล่านั้น  มันไม่เคยบอกเจ้าว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ แต่มันก็ไม่กล่าวตรงๆ ว่าเจ้าไม่ได้ถูกทำขึ้นโดยพระเจ้า  มันไม่ใช้คำว่า “พระเจ้า” เลย แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับใช้สิ่งอื่นบางอย่างเป็นตัวแทน โดยใช้สิ่งนี้หลอกลวงเจ้าเพื่อให้เจ้าไม่มีแนวคิดเรื่องการดำรงอยู่ของพระเจ้าเลยโดยพื้นฐาน  แน่อยู่แล้วว่า “การใช้เล่ห์เหลี่ยม” นี้รวมไปถึงแง่มุมมากมาย ไม่ใช่แค่แง่มุมนี้เท่านั้น

เล่ห์กลที่สามคือการฝังคำสอนแบบใช้กำลังบังคับ  ผู้คนถูกฝังคำสอนแบบใช้กำลังบังคับด้วยสิ่งใดหรือ?  การฝังคำสอนโดยใช้กำลังบังคับทำโดยทางเลือกของมนุษย์เองหรือไม่?  มันทำด้วยความยินยอมของมนุษย์หรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอน  ต่อให้เจ้าไม่ยินยอม เจ้าก็ไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับมันได้เลย  ซาตานฝังคำสอนให้เจ้า ปลูกฝังเจ้าด้วยการคิดของมัน กฎเกณฑ์ชีวิตของมัน และแก่นแท้ของมันโดยที่เจ้านั้นไม่ตระหนักรู้เลย

เล่ห์กลที่สี่คือการข่มขวัญและการล่อลวง  นั่นคือ ซาตานนำสารพัดเล่ห์กลมาใช้เพื่อให้เจ้ายอมรับมัน ทำตามมัน และทำงานปรนนิบัติมัน  มันก็จะทำอะไรก็ตามเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของมัน  บางครั้งมันให้ความอนุเคราะห์เล็กน้อยแก่เจ้า โดยตลอดเวลานั้นก็ยั่วใจให้เจ้ากระทำบาป  หากเจ้าไม่ทำตามมัน มันจะทำให้เจ้าทุกข์ทนและลงโทษเจ้า และใช้สารพัดหนทางโจมตีและวางแผนร้ายใส่เจ้า

เล่ห์กลที่ห้าคือการหลอกลวงและทำให้ไม่รู้สึกรู้สา  “การหลอกลวงและทำให้ไม่รู้สึกรู้สา” ก็คือเมื่อซาตานปลูกฝังบางแนวคิดและถ้อยคำที่ฟังหวานหู ซึ่งทั้งอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คนและดูน่าเชื่อถือไว้ในตัวพวกเขา เพื่อทำให้ดูราวกับว่ามันกำลังให้ความคำนึงถึงสถานการณ์ฝ่ายเนื้อหนังของผู้คน ถึงชีวิตและอนาคตของพวกเขา เมื่ออันที่จริงแล้วเป้าหมายเดียวของมันคือการหลอกเจ้า  แล้วมันก็ทำให้เจ้าไม่รู้สึกรู้สาเพื่อที่เจ้าจะไม่รู้ว่าอะไรถูกและอะไรผิด เพื่อที่เจ้าจะได้ถูกเล่นเล่ห์โดยที่ไม่รู้ตัวและมาอยู่ใต้การควบคุมของมันด้วยเหตุนั้น

เล่ห์กลที่หกคือการทำลายร่างกายและจิตใจ  ซาตานทำลายส่วนใดของมนุษย์หรือ?  ซาตานทำลายจิตใจของเจ้า ทำให้เจ้าไร้พลังที่จะต้านทาน หมายความว่า หัวใจของเจ้าหันไปหาซาตานทีละน้อยๆ โดยที่เจ้าไม่นึกฝัน  มันปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ในตัวเจ้าทุกวัน ใช้แนวคิดและวัฒนธรรมเหล่านี้ทุกวันเพื่อส่งอิทธิพลและเตรียมเจ้าให้พร้อม บ่อนทำลายเจตจำนงของเจ้าทีละน้อยๆ เพื่อที่ในท้ายที่สุดเจ้าก็ไม่อยากเป็นคนดีอีกต่อไป เพื่อให้เจ้าไม่ปรารถนาที่จะลุกขึ้นยืนเพื่อสิ่งที่เจ้าเรียกว่า “ความชอบธรรม” อีกต่อไป  เจ้าไม่มีพลังใจที่จะว่ายทวนกระแสอีกต่อไป แต่กลับไหลไปตามมันไปโดยไม่รู้ตัว  “การทำลายล้าง” หมายความว่าซาตานทรมานผู้คนมากจนกระทั่งพวกเขากลายเป็นเงาร่างของตัวเอง ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป  นี่คือเวลาที่ซาตานโถมเข้าใส่ คว้ากุมไว้และสวาปามพวกเขาเข้าไป

แต่ละเล่ห์กลเหล่านี้ที่ซาตานนำมาใช้ทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ทำให้มนุษย์ไร้พลังที่จะต้านทาน เล่ห์กลหนึ่งใดในเหล่านี้ก็สามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตต่อมนุษย์ได้  อีกนัยหนึ่งก็คือ อะไรก็ตามที่ซาตานทำและเล่ห์กลอันใดที่มันนำมาก็ใช้สามารถทำให้เจ้าเสื่อมสภาพได้ สามารถนำพาเจ้าไปอยู่ภายใต้การควบคุมของซาตาน และสามารถทำให้เจ้าติดหล่มแห่งความชั่วและบาปได้  เหล่านี้เองคือเล่ห์กลที่ซาตานนำมาใช้ทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 164

สำหรับตอนนี้ ความเข้าใจของเจ้าซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานการรับรู้ของเจ้าเกี่ยวกับแก่นแท้ของพระเจ้านั้นยังพึงต้องมีช่วงเวลายาวนานที่จะเรียนรู้ ที่จะยืนยัน ที่จะรู้สึก และที่จะผ่านประสบการณ์กับมัน จนกระทั่งถึงวันหนึ่ง พวกเจ้าก็จะรู้จากใจกลางหัวใจของเจ้าว่า “ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า” หมายความว่า แก่นแท้ของพระเจ้านั้นไร้ข้อตำหนิ ว่าความรักของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัว ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้มนุษย์ไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัว และเจ้าจะมารู้ว่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้านั้นไม่มีมลทินและไม่อาจตำหนิได้เลย  แง่มุมเหล่านี้ของแก่นแท้ของพระเจ้าไม่ใช่แค่พระวจนะที่พระองค์ทรงใช้เพื่อโอ้อวดพระฐานะของพระองค์ แต่ในทางตรงกันข้าม พระองค์ทรงใช้แก่นแท้ของพระองค์เพื่อปฏิบัติกับแต่ละคนและทุกคนด้วยความจริงใจอันสงบเงียบ  อีกนัยหนึ่งก็คือ แก่นแท้ของพระเจ้าไม่ว่างเปล่า และไม่เป็นไปในเชิงทฤษฎีหรือเชิงคำสอน และแน่นอนว่าไม่ใช่ความรู้ชนิดหนึ่ง  ไม่ใช่การศึกษาชนิดหนึ่งสำหรับมนุษย์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น แก่นแท้ของพระเจ้าคือการเปิดเผยที่แท้จริงถึงการกระทำของพระเจ้าเอง และคือแก่นแท้ที่ถูกเปิดเผยเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น  มนุษย์ควรรู้จักแก่นแท้นี้และจับใจความได้ เพราะทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำและพระวจนะทุกคำที่พระองค์ตรัสนั้นมีคุณค่าใหญ่หลวงและมีนัยสำคัญใหญ่หลวงต่อบุคคลทุกๆ คน  ครั้นเจ้ามาจับใจความได้ถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมสามารถเชื่อในพระเจ้าได้อย่างแท้จริง ครั้นเจ้ามาจับใจความได้ถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมสามารถตระหนักได้จริงถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “พระเจ้าพระองค์เอง ผู้ทรงเอกลักษณ์”  เจ้าจะไม่เพ้อฝันอีกต่อไป โดยคิดไปว่ามีเส้นทางอื่นๆ ที่เจ้าสามารถเลือกเดินได้นอกเหนือจากเส้นทางนี้ และเจ้าจะไม่เต็มใจอีกต่อไปแล้วที่จะทรยศทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้ให้เจ้า  เนื่องเพราะแก่นแท้ของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ นั่นจึงหมายความว่า เจ้าสามารถก้าวเดินไปตลอดชีวิตบนเส้นทางแห่งความสว่างอันชอบธรรมได้ก็โดยผ่านทางพระเจ้าเท่านั้น เจ้าสามารถรู้ความหมายของชีวิตได้ก็โดยผ่านทางพระเจ้าเท่านั้น เจ้าสามารถใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์จริง และทั้งครองและรู้จักความจริงได้ก็โดยผ่านทางพระเจ้าเท่านั้น  เจ้าสามารถได้มาซึ่งชีวิตจากความจริงได้ก็โดยผ่านทางพระเจ้าเท่านั้น  เฉพาะพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่สามารถช่วยให้เจ้าหลบเลี่ยงความชั่วและช่วยเจ้าให้รอดพ้นจากอันตรายและการควบคุมของซาตานได้  นอกเหนือจากพระเจ้าแล้ว ไม่มีผู้ใดและไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถช่วยเจ้าให้รอดจากทะเลแห่งความทุกข์เพื่อที่เจ้าจะไม่ทุกข์ทนอีกต่อไป  การนี้กำหนดตัดสินโดยแก่นแท้ของพระเจ้า  เฉพาะพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงช่วยเจ้าให้รอดโดยไม่เห็นแก่ตัวเลย  เฉพาะพระเจ้าเท่านั้นที่ท้ายที่สุดแล้วทรงรับผิดชอบต่ออนาคตของพวกเจ้า ต่อโชคชะตาของพวกเจ้าและต่อชีวิตของพวกเจ้า และพระองค์ทรงจัดการเตรียมการทุกสรรพสิ่งเพื่อเจ้า  นี่คือบางสิ่งบางอย่างซึ่งไม่มีสิ่งใดที่ถูกสร้างหรือที่ไม่ได้ถูกสร้างสามารถสัมฤทธิ์ได้  เพราะไม่มีสิ่งใดที่ถูกสร้างหรือที่ไม่ได้ถูกสร้างที่จะมีแก่นแท้เฉกเช่นแก่นแท้ของพระเจ้า ไม่มีบุคคลใดหรือสิ่งใดมีความสามารถที่จะช่วยเจ้าให้รอดหรือนำทางเจ้าได้  นี่คือความสำคัญของแก่นแท้ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์  บางทีพวกเจ้าอาจรู้สึกว่าโดยหลักแล้ว วจนะเหล่านี้ที่เราได้กล่าวไปอาจช่วยได้เล็กน้อย  แต่หากเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง หากเจ้ารักความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะได้มามีประสบการณ์กับการที่ถ้อยคำเหล่านี้จะไม่เพียงเปลี่ยนโชคชะตาของเจ้าเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น วจนะเหล่านี้จะนำพาเจ้าไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องของชีวิตมนุษย์  เจ้าเข้าใจการนี้ใช่หรือไม่?

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 165

เราอยากจะพูดกับพวกเจ้าเกี่ยวกับบางสิ่งที่พวกเจ้าได้ทำเมื่อตอนต้นของการชุมนุมของพวกเราวันนี้ซึ่งทำให้เราประหลาดใจ  พวกเจ้าบางคนอาจกำลังเลี้ยงดูสำนึกแห่งความกตัญญู บางทีเจ้าอาจกำลังรู้สึกสำนึกในบุญคุณ และดังนั้นภาวะอารมณ์ของเจ้าจึงนำมาซึ่งการกระทำอันสอดรับกัน  สิ่งที่เจ้าได้ทำไปนั้นไม่ใช่อะไรบางอย่างที่จำเป็นต้องมีการตำหนิ มันไม่ใช่ทั้งถูกหรือผิด  แต่เราอยากให้พวกเจ้าเข้าใจอะไรบางอย่าง  อะไรเล่าคือสิ่งที่เราต้องการให้เจ้าเข้าใจ?  ก่อนอื่น เราอยากถามพวกเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเจ้าเพิ่งทำไปตอนนี้  นั่นใช่การหมอบกราบหรือการคุกเข่าลงเพื่อนมัสการหรือไม่?  ใครบอกเราได้หรือไม่?  (พวกเราเชื่อว่ามันคือการหมอบกราบ)  พวกเจ้าเชื่อว่ามันคือการหมอบกราบ ถ้าอย่างนั้นแล้ว อะไรหรือคือความหมายของการหมอบกราบ?  (นมัสการ)  ถ้าอย่างนั้นแล้ว อะไรหรือคือการคุกเข่าลงเพื่อนมัสการ?  เราไม่เคยสามัคคีธรรมกับพวกเจ้าเกี่ยวกับการนี้มาก่อนเลย แต่วันนี้เรารู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น  พวกเจ้าหมอบกราบในการชุมนุมตามปกติของเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  พวกเจ้าหมอบกราบเมื่อเจ้ากล่าวคำอธิษฐานของเจ้าหรือไม่?  (หมอบกราบ)  ยามที่สถานการณ์เอื้ออำนวย แต่ละครั้งที่เจ้าอธิษฐาน เจ้าหมอบกราบหรือไม่?  (หมอบกราบ)  นั่นก็ดีแล้ว  แต่วันนี้ สิ่งที่เราอยากให้พวกเจ้าเข้าใจก็คือ พระเจ้าเพียงทรงยอมรับการแสดงความเคารพโดยการคุกเข่าหรือโค้งคำนับของผู้คนสองประเภทเท่านั้น  พวกเราไม่จำเป็นต้องค้นหาข้อมูลจากพระคัมภีร์หรือความประพฤติและการประพฤติปฏิบัติของบุคคลฝ่ายจิตวิญญาณคนใด  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เราจะบอกบางอย่างที่แท้จริงแก่พวกเจ้าตรงนี้เดี๋ยวนี้เลย  ก่อนอื่น การหมอบกราบและการคุกเข่าลงเพื่อนมัสการนั้นไม่ใช่เรื่องเดียวกัน  เหตุใดเล่าพระเจ้าจึงทรงยอมรับการแสดงความเคารพโดยการคุกเข่าหรือโค้งคำนับของบรรดาผู้ที่หมอบกราบด้วยตัวเอง?  นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงเรียกใครบางคนให้มาหาพระองค์และทรงเรียกตัวบุคคลผู้นี้ให้ยอมรับพระบัญชาของพระเจ้า พระเจ้าจึงจะทรงอนุญาตให้เขาหมอบกราบเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์  นี่คือบุคคลประเภทแรก  ประเภทที่สองคือผู้ที่คุกเข่าลงเพื่อนมัสการของใครบางคนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  มีเพียงผู้คนสองประเภทนี้เท่านั้น แล้วพวกเจ้าเป็นคนประเภทใดหรือ?  พวกเจ้าสามารถบอกได้หรือไม่?  นี่คือข้อเท็จจริงจริงๆ แม้มันอาจทำร้ายความรู้สึกของเจ้าไปสักนิด  ไม่มีอะไรที่ต้องพูดเกี่ยวกับการแสดงความเคารพโดยการคุกเข่าหรือโค้งคำนับของผู้คนช่วงระหว่างการอธิษฐาน—นี่ถูกต้องเหมาะสมและเป็นดังที่ควรเป็น เพราะยามที่ผู้คนอธิษฐานนั้น โดยมากก็เป็นการอธิษฐานเพื่อให้ได้อะไรบางอย่าง เป็นการเปิดใจของพวกเขาต่อพระเจ้าและมาเผชิญหน้ากันกับพระองค์  นั่นเป็นการสัมพันธ์สนิทและการแลกเปลี่ยนแบบใจแลกใจกับพระเจ้า  การนมัสการด้วยการคุกเข่าไม่ควรเป็นแค่พิธีการธรรมดาเท่านั้น  เรามิใช่หมายที่จะตำหนิเจ้าสำหรับสิ่งที่พวกเจ้าได้ทำไปในวันนี้  เราแค่ต้องการทำให้เป็นที่ชัดเจนต่อพวกเจ้าเพื่อให้เจ้าเข้าใจหลักธรรมนี้—เจ้ารู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่ พวกเรารู้)  เรากำลังบอกเรื่องนี้กับเจ้าเพื่อให้เรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นอีก  ดังนั้นแล้ว ผู้คนมีโอกาสเหมาะอันใดที่จะหมอบกราบและคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าหรือไม่?  มันไม่ใช่ว่าจะไม่มีวันมีโอกาสเหมาะนี้  วันนั้นจะมาถึงในอีกไม่ช้าไม่นาน แต่เวลานั้นไม่ใช่ตอนนี้  เจ้าเห็นหรือไม่?  เรื่องนี้ทำให้พวกเจ้าอารมณ์เสียหรือไม่?  (ไม่)  นั่นก็ดีแล้ว  บางทีวจนะเหล่านี้อาจสร้างแรงจูงใจหรือบันดาลใจพวกเจ้า ให้พวกเจ้าสามารถรู้อยู่ในใจถึงที่นั่งลำบากปัจจุบันระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ และรู้ว่าสัมพันธภาพประเภทใดที่มีอยู่ตอนนี้ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์  แม้เมื่อไม่นานมานี้พวกเราได้พูดถึงและแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมกันไปบ้างแล้ว ความเข้าใจของมนุษย์เกี่ยวกับพระเจ้าก็ยังคงไม่พอเพียงเอาเสียเลย  มนุษย์ยังมีหนทางอีกยาวไกลที่ต้องไปต่อบนถนนสายนี้แห่งการพยายามที่จะเข้าใจพระเจ้า  ไม่ใช่เจตนารมณ์ของเราในการที่จะให้พวกเจ้าทำการนี้ให้เป็นเรื่องเร่งด่วน หรือให้รีบร้อนแสดงความทะเยอทะยานหรือความรู้สึกประเภทเหล่านี้  สิ่งที่พวกเจ้าได้ทำลงไปในวันนี้อาจเผยให้เห็นและแสดงออกถึงความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเจ้า และเราก็ได้รู้สึกถึงพวกมัน  ดังนั้นในขณะที่พวกเจ้ากำลังทำสิ่งนั้นอยู่ เราก็แค่ต้องการยืนขึ้นและมอบความปรารถนาดีของเราแก่พวกเจ้า เพราะเราปรารถนาให้พวกเจ้าทั้งหมดอยู่ดี  ดังนั้น ในทุกคำพูดและทุกการกระทำของเรา เราทำอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือพวกเจ้า เพื่อนำพวกเจ้า เพื่อให้พวกเจ้าสามารถมีความเข้าใจที่ถูกต้องและทรรศนะที่ถูกต้องเกี่ยวกับทุกสรรพสิ่ง  พวกเจ้าสามารถจับใจความการนี้ได้ หรือไม่ได้?  (ได้)  นั่นก็ดีแล้ว  แม้ว่าผู้คนมีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันหลากหลายของพระเจ้า แง่มุมต่างๆ ของสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำ ส่วนใหญ่ของความเข้าใจนี้ก็ไปไม่ไกลเกินกว่าการอ่านพระวจนะบนหน้ากระดาษ หรือการทำความเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นในหลักทั่วไป หรือแค่การนึกถึงพระวจนะเหล่านั้น  สิ่งที่ผู้คนขาดพร่องที่สุดก็คือความเข้าใจจริงและความรู้ความเข้าใจเชิงลึกซึ่งมาจากประสบการณ์ที่เป็นจริง  แม้ว่าพระเจ้าทรงใช้วิธีการสารพัดเพื่อปลุกหัวใจของมนุษย์ให้ตื่น แต่ก็ยังมีถนนสายยาวที่ต้องเดินก่อนที่การนี้จะสำเร็จลุล่วง  เราไม่ต้องการเห็นใครก็ตามรู้สึกราวกับว่าพระเจ้าได้ทรงทิ้งพวกเขาไว้ในความหนาวเย็น ว่าพระเจ้าได้ทรงทอดทิ้งพวกเขาหรือได้หันหลังให้กับพวกเขา  ทั้งหมดที่เราต้องการเห็นก็คือ ทุกคนอยู่บนถนนที่ไปสู่การไล่ตามเสาะหาความจริงและการพยายามเข้าใจพระเจ้า โดยตบเท้าเดินหน้าอย่างหาญกล้าด้วยความมุ่งมั่นไม่เรรวน โดยปราศจากข้อเคลือบแคลงหรือภาระอันใด  ไม่สำคัญว่าเจ้าได้กระทำความผิดใดไป ไม่สำคัญว่าเจ้าได้ไถลห่างไปไกลเพียงใด หรือเจ้าได้ฝ่าฝืนไปอย่างรุนแรงเพียงใด จงอย่าปล่อยให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นภาระหรือสัมภาระส่วนเกินที่เจ้าต้องแบกไปด้วยในการไล่ตามเสาะหาการเข้าใจพระเจ้าของเจ้า  จงตบเท้าเดินหน้าต่อไป  พระเจ้าทรงยึดถือความรอดของมนุษย์ไว้ในพระทัยของพระองค์ตลอดเวลา การนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  นี่คือส่วนที่ล้ำค่าที่สุดของแก่นแท้ของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

ก่อนหน้า: การรู้จักพระเจ้า 3

ถัดไป: การรู้จักพระเจ้า 5

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger