การรู้จักพระเจ้า 5

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 166

พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าความรู้ใดที่เป็นกุญแจสำคัญไปสู่การเข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า?  มีหลายอย่างที่อาจกล่าวได้จากประสบการณ์เกี่ยวกับหัวข้อนี้ แต่ก่อนอื่นมีประเด็นหลักอยู่สองสามข้อที่เราต้องบอกพวกเจ้า  เพื่อเข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า คนเราต้องเข้าใจความรู้สึกของพระเจ้าก่อน กล่าวคือ พระองค์ทรงเกลียดชังสิ่งใด พระองค์ทรงเกลียดสิ่งใด พระองค์ทรงรักสิ่งใด พระองค์ทรงยอมผ่อนปรนและทรงปรานีต่อผู้ใด และพระองค์ประทานความปรานีนั้นแก่ผู้คนชนิดใด  นี่คือประเด็นหลักหนึ่ง  คนเรายังต้องเข้าใจด้วยว่า ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงดีงามเพียงใด ไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงมีความปรานีและความรักต่อผู้คนมากเพียงใด พระเจ้าไม่ทรงยอมผ่อนปรนต่อผู้ใดที่ทำให้พระสถานภาพและตำแหน่งของพระองค์ขุ่นเคือง อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงยอมผ่อนปรนต่อผู้ใดที่ทำให้ความทรงเกียรติของพระองค์ขุ่นเคือง  ถึงแม้ว่าพระเจ้าทรงรักผู้คน พระองค์ก็ไม่ทรงพะเน้าพะนอพวกเขา  พระองค์ทรงมอบความรักของพระองค์ ความปรานีของพระองค์ และความยอมผ่อนปรนของพระองค์ให้แก่ผู้คน แต่พระองค์ไม่เคยทรงประคบประหงมพวกเขา พระเจ้าทรงมีหลักการของพระองค์และขีดจำกัดของพระองค์  ไม่ว่าเจ้าจะได้รู้สึกถึงความรักของพระเจ้ามากเพียงใด ไม่ว่าความรักนั้นอาจจะลึกซึ้งเพียงใด เจ้าต้องไม่มีวันปฏิบัติต่อพระเจ้าดังเช่นที่เจ้าจะปฏิบัติต่ออีกบุคคลหนึ่ง  ในขณะที่จริงอยู่ว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความสนิทสนมอย่างที่สุด หากบุคคลหนึ่งมองพระเจ้าว่าทรงเป็นแค่บุคคลอีกคนหนึ่ง ราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอีกอย่างหนึ่ง เหมือนเป็นมิตรสหายหรือวัตถุสำหรับนมัสการ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็จะทรงซ่อนเร้นพระพักตร์ของพระองค์จากพวกเขาและทรงละทิ้งพวกเขา  นี่คือพระอุปนิสัยของพระองค์ และผู้คนต้องไม่ทำอย่างสิ้นคิดกับประเด็นปัญหานี้  ดังนั้น บ่อยครั้งที่พวกเรามองเห็นพระวจนะเช่นนี้ที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระองค์ว่า  ไม่สำคัญว่าเจ้าได้เดินทางไปบนถนนกี่สายแล้ว พวกเจ้าได้ทำงานไปมากเพียงใดแล้ว หรือพวกเจ้าได้สู้ทนกับความทุกข์ไปมากเพียงใดแล้ว ทันทีที่เจ้าทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคือง พระองค์จะทรงชดใช้คืนให้เจ้าแต่ละคนบนพื้นฐานของสิ่งที่เจ้าได้ทำไป  ความหมายของการนี้ก็คือว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความสนิทสนมอย่างที่สุด ถึงกระนั้นผู้คนก็ต้องไม่ปฏิบัติต่อพระเจ้าเสมือนมิตรสหายคนหนึ่งหรือญาติคนหนึ่ง  จงอย่าเรียกพระเจ้าว่า “เพื่อน”  ไม่สำคัญว่าเจ้าได้รับความรักจากพระองค์มากเพียงใด ไม่สำคัญว่าพระองค์ได้ทรงมอบความยอมผ่อนปรนให้เจ้ามากเพียงใด เจ้าต้องไม่มีวันปฏิบัติต่อพระเจ้าเสมือนมิตรสหายของเจ้า  นี่คือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  เราจำเป็นต้องพูดเกี่ยวกับการนี้มากกว่านี้หรือไม่?  พวกเจ้ามีความเข้าใจอันใดก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการนี้บ้างหรือไม่?  พูดโดยทั่วไปแล้ว นี่เป็นความผิดที่ง่ายที่สุดที่ผู้คนจะทำ ไม่ว่าพวกเขาจะเข้าใจคำสอนทั้งหลายหรือไม่ หรือว่าพวกเขาไม่เคยได้ไตร่ตรองประเด็นปัญหานี้มาก่อนก็ตาม  เมื่อผู้คนทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคือง นั่นอาจจะไม่ใช่เพราะเหตุการณ์หนึ่งหรือสิ่งหนึ่งที่พวกเขาพูดไป แต่เพราะท่าทีที่พวกเขามีและสภาวะที่พวกเขาเป็นอยู่มากกว่า  นี่คือสิ่งที่น่าขวัญผวาอย่างยิ่ง  ผู้คนบางคนเชื่อว่าพวกเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้า ว่าพวกเขามีความรู้บางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า และพวกเขาอาจจะถึงขั้นทำบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  พวกเขาเริ่มรู้สึกเท่าเทียมกับพระเจ้าและรู้สึกว่าพวกเขาได้กรุยทางพาตัวเองเข้าสู่มิตรภาพกับพระเจ้าแล้วอย่างแยบยล  ความรู้สึกชนิดเหล่านี้ผิดอย่างมหันต์  หากเจ้าไม่มีความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการนี้—หากเจ้าไม่เข้าใจการนี้อย่างชัดเจน—เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคืองและทำให้พระอุปนิสัยของพระองค์ขุ่นเคืองอย่างง่ายดายยิ่ง  บัดนี้เจ้าเข้าใจการนี้ใช่หรือไม่?  พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่เป็นเอกลักษณ์หรอกหรือ?  สิ่งนั้นจะสามารถจะมีบุคลิกลักษณะหรือจุดยืนทางศีลธรรมเสมอเหมือนกันกับมนุษย์ได้หรือ?  ไม่มีวันเสมอเหมือนได้เลย  ดังนั้น เจ้าต้องไม่ลืมว่า ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไร หรือพระองค์มีดำริถึงผู้คนอย่างไร ตำแหน่ง สิทธิอำนาจ และพระสถานภาพของพระเจ้าก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง  สำหรับมวลมนุษย์นั้น พระเจ้าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่งและเป็นพระผู้สร้างเสมอ

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 7

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 167

เรื่องเล่าที่ 1: เมล็ดพันธุ์ แผ่นดินโลก ต้นไม้ แสงอาทิตย์ นก และมนุษย์

เมล็ดพันธุ์เล็กๆ เมล็ดหนึ่งตกลงสู่ดิน  ฝนตกหนัก และเมล็ดพันธุ์นั้นก็ได้เติบโตเป็นต้นอ่อน ในขณะที่รากของมันซอกซอนเข้าไปในดินที่อยู่ข้างใต้อย่างช้าๆ  หน่อนี้เติบโตสูงขึ้นตามเวลา โดยสู้ทนสายลมอันใจร้ายและสายฝนอันเกรี้ยวกราด เป็นพยานการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลขณะที่ดวงจันทร์เปลี่ยนเป็นข้างขึ้นและข้างแรม  ในฤดูร้อน แผ่นดินโลกได้นำของประทานที่เป็นน้ำออกมาใช้เพื่อที่หน่อนั้นอาจสู้ทนความร้อนที่แผดเผาของฤดูนั้นไปได้  และเพราะแผ่นดินโลกนี้เอง หน่อนั้นจึงไม่ท่วมท้นด้วยความร้อน และด้วยเหตุนี้เองความร้อนที่เลวร้ายที่สุดของฤดูร้อนก็ได้ผ่านพ้นไป  เมื่อฤดูหนาวมาถึง แผ่นดินโลกได้ห่อหุ้มหน่อนั้นไว้ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของมัน และแผ่นดินโลกกับหน่อนั้นก็ได้โอบกอดกันอย่างแนบแน่น  แผ่นดินโลกให้ความอบอุ่นแก่หน่อนั้น และด้วยเหตุนี้มันจึงได้รอดชีวิตจากความหนาวเหน็บของฤดูนั้น ไม่ได้รับอันตรายจากพายุลมหนาวและพายุหิมะ  เมื่อมีแผ่นดินโลกเป็นที่กำบัง หน่อนั้นก็เติบโตอย่างกล้าหาญและมีความสุข ได้รับการเลี้ยงดูอย่างไม่เห็นแก่ตัวโดยแผ่นดินโลก มันเติบโตอย่างมีสุขภาพและแข็งแรง  มันเติบโตอย่างมีความสุข ขับร้องอยู่ในสายฝน เต้นรำและแกว่งไกวอยู่ในสายลม  หน่อนั้นและแผ่นดินโลกพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน…

หลายปีผ่านไป และหน่อนั้นได้เติบโตขึ้นเป็นต้นไม้สูงตระหง่าน  มันยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งอยู่บนแผ่นดินโลก มีกิ่งก้านสาขาหนาทึบประดับยอดด้วยใบนับไม่ถ้วน  รากของต้นไม้นี้ยังคงขุดเข้าไปในแผ่นดินโลกดังเช่นที่พวกมันได้เคยทำมาก่อน และบัดนี้รากนั้นได้ดิ่งลึกเข้าไปในดินที่อยู่ข้างใต้  แผ่นดินโลกซึ่งครั้งหนึ่งเคยปกป้องหน่อเล็กๆ นี้ไว้ ตอนนี้ได้เป็นรากฐานสำหรับต้นไม้ที่เปี่ยมพละกำลังต้นหนึ่ง

รังสีของแสงอาทิตย์ฉายส่องลงมาบนต้นไม้นั้น ต้นไม้แกว่งไกวร่างของมันและยืดเหยียดแขนของมันกว้างออกไปและหายใจอย่างล้ำลึกด้วยอากาศอาบแสงอาทิตย์  พื้นเบื้องล่างหายใจไปพร้อมกันกับต้นไม้นี้ และแผ่นดินโลกรู้สึกได้รับการสร้างใหม่  เมื่อนั้นเอง สายลมโชยสดชื่นก็ได้พัดออกมาจากท่ามกลางกิ่งก้านเหล่านั้น และต้นไม้ก็สั่นไหวด้วยความปีติยินดี กระเพื่อมด้วยพลังงาน  ต้นไม้และแสงอาทิตย์พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน…

ผู้คนนั่งใต้ร่มเงาเย็นฉ่ำของต้นไม้และอาบแดดในอากาศหอมยวนชื่นใจ  อากาศได้ชำระหัวใจและปอดของพวกเขาให้สะอาด และมันได้ชำระเลือดภายในตัวพวกเขาให้สะอาด และร่างกายของพวกเขาก็ไม่เซื่องซึมหรือถูกกักขังอีกต่อไป  ผู้คนและต้นไม้พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน…

ฝูงนกน้อยที่กำลังส่งเสียงร้องจิ๊บๆ ร่อนลงบนกิ่งก้านของต้นไม้นั้น  บางทีพวกมันก็อาจจะลงสู่พื้นดินตรงนั้นเพื่อหลบเลี่ยงนักล่า หรือเพื่อผสมพันธุ์และฟูมฟักลูกน้อยของพวกมัน หรือบางทีพวกมันเพียงแค่หยุดพักสักชั่วขณะหนึ่ง  นกและต้นไม้พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน…

รากของต้นไม้ที่คดเคี้ยวและพันเกี่ยวกันขุดลึกลงในแผ่นดินโลก  ด้วยลำต้นของมันนั้น มันได้กำบังแผ่นดินโลกจากลมและฝน และมันยืดขยายกิ่งก้านของมันออกไปเพื่อปกป้องแผ่นดินโลกที่อยู่เบื้องใต้เท้าของมัน  ต้นไม้ทำเช่นนั้นเพราะแผ่นดินโลกคือมารดาของมัน  พวกมันเสริมความแข็งแกร่งให้กันและกัน และพึ่งพากันและกัน และพวกมันจะไม่มีวันแยกจากกัน…

…………

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเพิ่งได้พูดถึงนั้นเป็นสิ่งที่พวกเจ้าเคยได้เห็นมาก่อน  ตัวอย่างเช่น เมล็ดพันธุ์—พวกมันเติบโตขึ้นเป็นต้นไม้ และแม้ว่าเจ้าอาจจะไม่สามารถมองเห็นทุกรายละเอียดของกระบวนการนี้ เจ้าก็รู้ว่ามันเกิดขึ้น มิใช่หรือ?  เจ้ารู้เกี่ยวกับแผ่นดินโลกและแสงอาทิตย์ด้วยเช่นกัน  ภาพลักษณ์ของนกที่เกาะอยู่บนต้นไม้ก็เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ทุกคนเคยเห็น ใช่หรือไม่?  และภาพลักษณ์ของผู้คนที่ทำให้พวกเขาเองเย็นฉ่ำอยู่ในร่มเงาของต้นไม้—นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่พวกเจ้าล้วนเคยได้เห็น ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดังนั้น เมื่อสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดอยู่ในภาพลักษณ์เดี่ยว ภาพลักษณ์นั้นจะทำให้เกิดความรู้สึกใด?  (ความรู้สึกถึงความกลมเกลียว)  แต่ละอย่างจากสิ่งเหล่านั้นในภาพลักษณ์ดังกล่าวมาจากพระเจ้าหรือไม่?  (ใช่)  ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นมาจากพระเจ้า พระเจ้าทรงรู้คุณค่าและนัยสำคัญของการดำรงอยู่ทางแผ่นดินโลกของสิ่งที่แตกต่างกันเหล่านี้ทั้งปวง  เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง เมื่อพระองค์ได้ทรงวางแผนและได้ทรงสร้างแต่ละสิ่ง พระองค์ได้ทรงทำดังนั้นด้วยความตั้งพระทัย และเมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างสิ่งเหล่านั้น แต่ละอย่างก็อิ่มเอิบด้วยชีวิต  สภาพแวดล้อมที่พระองค์ได้ทรงสร้างเพื่อการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์ดังที่เพิ่งได้บรรยายไปในเรื่องเล่าของพวกเรานั้น เป็นเรื่องเล่าที่เมล็ดพันธุ์และแผ่นดินโลกพึ่งพาอาศัยกันและกัน ที่ซึ่งมนุษย์สามารถบำรุงเลี้ยงเมล็ดพันธุ์ และเมล็ดพันธุ์ผูกติดกับแผ่นดินโลก  สัมพันธภาพนี้ได้รับการลิขิตไว้โดยพระเจ้าในตอนเริ่มแรกแห่งการทรงสร้างของพระองค์  ฉากของต้นไม้ แสงอาทิตย์ นก และพวกมนุษย์เป็นการบรรยายภาพสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นเพื่อมวลมนุษย์  ก่อนอื่น ต้นไม้ไม่สามารถไปจากแผ่นดินโลกได้ อีกทั้งมันไม่สามารถอยู่โดยปราศจากแสงอาทิตย์ได้  ดังนั้น พระประสงค์ของพระเจ้าในการสร้างต้นไม้คือสิ่งใด?  พวกเราสามารถพูดว่ามันมีความหมายสำหรับแผ่นดินโลกเท่านั้นได้หรือไม่?  พวกเราสามารถพูดว่ามันมีความหมายสำหรับนกเท่านั้นได้หรือไม่?  พวกเราสามารถพูดว่ามันมีความหมายสำหรับผู้คนเท่านั้นได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  สัมพันธภาพระหว่างสิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างไร?  สัมพันธภาพระหว่างสิ่งเหล่านั้นเป็นสัมพันธภาพแห่งการเสริมกำลังซึ่งกันและกัน พึ่งพาอาศัยกัน และไม่อาจแยกจากกันได้  กล่าวคือ แผ่นดินโลก ต้นไม้ แสงอาทิตย์ นก และผู้คนพึ่งพากันและกันเพื่อการดำรงอยู่และการเลี้ยงดูกันและกัน  ต้นไม้คุ้มครองปกป้องแผ่นดินโลก และแผ่นดินโลกก็เลี้ยงดูต้นไม้ แสงอาทิตย์จัดเตรียมให้แก่ต้นไม้ ในขณะที่ต้นไม้ได้รับอากาศสดชื่นจากแสงอาทิตย์และลดทอนความร้อนที่แผดเผาของดวงอาทิตย์บนแผ่นดินโลก  ผู้ใดได้ประโยชน์จากการนี้ในท้ายที่สุด?  ก็เป็นมวลมนุษย์นั่นเองมิใช่หรือ?  นี่คือหนึ่งในหลักการทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังสภาพแวดล้อมที่มวลมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้างไว้ นั่นเป็นอย่างที่พระเจ้าได้ตั้งพระทัยให้มันเป็นตั้งแต่แรก  ถึงแม้ว่าภาพลักษณ์นี้จะเป็นภาพลักษณ์ที่เรียบง่าย แต่พวกเราก็สามารถมองเห็นพระปรีชาญาณของพระเจ้าและเจตนารมณ์ของพระองค์ภายในนั้น  มวลมนุษย์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากแผ่นดินโลก หรือปราศจากต้นไม้ นับประสาอะไรที่จะอยู่ได้โดยปราศจากนกและแสงอาทิตย์  การนี้ไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?  ถึงแม้ว่านี่จะเป็นแค่เรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่เรื่องนี้วาดภาพให้เห็นคือเอกภพเล็กๆ แห่งการทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งของพระเจ้าและของประทานของพระองค์ในสภาพแวดล้อมที่มวลมนุษย์อาจดำรงชีวิตอยู่ได้

เพื่อมวลมนุษย์นั่นเองที่พระเจ้าได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่ง ตลอดจนสภาพแวดล้อมในการอยู่อาศัย  ประการแรก ประเด็นหลักที่เรื่องของพวกเรากล่าวถึงก็คือการเสริมกำลังซึ่งกันและกัน การพึ่งพาอาศัยกัน และการดำรงอยู่ร่วมกันของทุกสรรพสิ่ง  ภายใต้หลักการนี้ สภาพแวดล้อมแห่งการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์ได้รับการปกป้อง มันสามารถดำรงอยู่และได้รับการค้ำชู  เนื่องจากการนี้ มวลมนุษย์จึงสามารถเจริญก้าวหน้าและสืบพันธุ์ได้  ภาพลักษณ์ที่พวกเรามองเห็นคือภาพลักษณ์ของต้นไม้ แผ่นดินโลก แสงอาทิตย์ นก และผู้คนอยู่ด้วยกัน  พระเจ้าทรงอยู่ในภาพนี้หรือไม่?  คนเราไม่ได้มองเห็นพระองค์ในนั้น  แต่คนเรามองเห็นกฎแห่งการเสริมกำลังซึ่งกันและกัน และการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างสิ่งทั้งหลายในฉากนี้ ในกฎเกณฑ์นี้ คนเราสามารถมองเห็นการดำรงอยู่และอธิปไตยของพระเจ้าได้  พระเจ้าทรงใช้หลักการเช่นนั้นและกฎเกณฑ์เช่นนั้นเพื่อสงวนรักษาชีวิตและการดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่ง  ในหนทางนี้ พระองค์ทรงจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่งและให้แก่มวลมนุษย์  เรื่องนี้เชื่อมโยงกับอรรถบทหลักของพวกเราหรือไม่?  โดยผิวเผินแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่เชื่อมโยงกัน แต่ในความเป็นจริง กฎเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อสร้างทุกสรรพสิ่งและการทรงเป็นนายเหนือทุกสรรพสิ่งของพระองค์นั้นสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นกับการที่พระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง  ข้อเท็จจริงเหล่านี้ไม่สามารถแยกจากกันได้  บัดนี้ พวกเจ้ากำลังเริ่มที่จะเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างแล้ว!

พระเจ้าทรงบัญชากฎเกณฑ์ที่ปกครองดูแลการปฏิบัติการของทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงบัญชากฎเกณฑ์ที่ปกครองดูแลการอยู่รอดของทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงควบคุมทุกสรรพสิ่ง และทรงกำหนดให้สิ่งเหล่านั้นทั้งเสริมแรงและพึ่งพาอาศัยกันและกัน เพื่อที่สิ่งเหล่านั้นจะไม่พินาศและปลาสนาการไป  ด้วยเหตุนี้เท่านั้นมวลมนุษย์จึงสามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ ด้วยเหตุนี้เท่านั้น พวกเขาจึงสามารถดำรงชีวิตภายใต้การทรงนำของพระเจ้าในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นได้  พระเจ้าทรงเป็นเจ้านายของกฎเกณฑ์ทั้งหลายแห่งการปฏิบัติการ และไม่มีผู้ใดสามารถแทรกแซงกฎเกณฑ์เหล่านั้นได้ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์เหล่านั้นได้  มีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นทรงรู้กฎเกณฑ์เหล่านี้และมีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นทรงบริหารจัดการกฎเกณฑ์เหล่านี้  เมื่อต้นไม้จะแตกหน่อ เมื่อฝนจะตก แผ่นดินโลกจะให้น้ำมากเพียงใดและสารอาหารมากเพียงใดแก่ต้นพืชทั้งหลาย ใบไม้จะร่วงหล่นในฤดูกาลใด ต้นไม้จะออกผลในฤดูกาลใด แสงอาทิตย์จะให้สารอาหารมากเพียงใดแก่ต้นไม้ ต้นไม้จะคายสิ่งใดออกมาหลังจากได้รับอาหารด้วยแสงอาทิตย์ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดนั้นพระเจ้าได้ทรงทำการลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วเมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่ง ให้เป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่มีผู้ใดสามารถทำลายได้  สิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าได้ทรงสร้างนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ซึ่งพระองค์ทรงควบคุมพวกมันและปกครองเหนือพวกมัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต หรือในสายตาของมนุษย์แล้วจะเป็นสิ่งไม่มีชีวิตก็ตาม  ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงหรือทำลายกฎเกณฑ์เหล่านี้ได้  กล่าวคือ เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งนั้น พระองค์ได้ทรงกำหนดพิจารณาไว้ล่วงหน้าว่า หากปราศจากแผ่นดินโลก ต้นไม้ก็ไม่สามารถฝังรากลงไป แตกหน่อ และเติบโตได้ ว่าหากแผ่นดินโลกไม่มีต้นไม้ เช่นนั้นแล้วมันก็จะแห้งแล้ง ว่าต้นไม้ควรจะกลายเป็นบ้านของนกและสถานที่ซึ่งพวกมันอาจใช้เป็นที่กำบังจากลม  ต้นไม้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้หรือไม่หากปราศจากแผ่นดินโลก?  แน่นอนว่าไม่ได้  ต้นไม้สามารถดำรงชีวิตโดยไม่มีแสงอาทิตย์หรือน้ำฝนหรือไม่?  ย่อมทำไม่ได้เช่นกัน  สิ่งเหล่านี้ทั้งปวงเป็นไปเพื่อมวลมนุษย์ เพื่อการอยู่รอดของมนุษย์  มนุษย์ได้รับอากาศสดชื่นจากต้นไม้ และมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก ซึ่งได้รับการปกป้องจากต้นไม้  มนุษย์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากแสงอาทิตย์หรือสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย  ถึงแม้ว่าสัมพันธภาพเหล่านี้จะซับซ้อน แต่เจ้าก็ต้องจำได้ว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างกฎเกณฑ์ทั้งหลายที่ปกครองดูแลทุกสรรพสิ่งขึ้นมา ก็เพื่อที่พวกมันอาจเสริมกำลังซึ่งกันและกัน พึ่งพาอาศัยกันและกัน และดำรงอยู่ด้วยกัน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทุกๆ สิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างมีคุณค่าและนัยสำคัญ  หากพระเจ้าได้ทรงสร้างบางสิ่งบางอย่างโดยไม่มีนัยสำคัญ พระเจ้าคงจะให้มันปลาสนาการไป  นี่คือหนึ่งในวิธีการทั้งหลายที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่ง  คำว่า “จัดเตรียมให้” อ้างอิงถึงสิ่งใดในเรื่องนี้?  พระเจ้าทรงรดน้ำต้นไม้ทุกวันหรือไม่?  ต้นไม้จำเป็นต้องมีการช่วยของพระเจ้าเพื่อหายใจหรือไม่?  (ไม่)  “จัดเตรียมให้” ในที่นี้อ้างอิงถึงการบริหารจัดการทุกสรรพสิ่งของพระเจ้าหลังจากการทรงสร้างสิ่งเหล่านั้น นั่นเพียงพอแล้วสำหรับพระเจ้าที่จะบริหารจัดการสิ่งเหล่านั้นหลังจากการสถาปนากฎเกณฑ์ที่ปกครองดูแลสิ่งเหล่านั้น  ทันทีที่เมล็ดพันธุ์ถูกเพาะปลูกในแผ่นดินโลก ต้นไม้ก็เติบโตด้วยตัวของมันเอง  สภาพเงื่อนไขสำหรับการเติบโตของมันนั้นพระเจ้าก็ได้ทรงสร้างไว้ทั้งหมดแล้ว  พระเจ้าได้ทรงสร้างแสงอาทิตย์ น้ำ ดิน อากาศ และสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัว พระเจ้าได้ทรงสร้างลม น้ำค้างแข็ง หิมะ และฝน และฤดูกาลทั้งสี่  มีสภาพเงื่อนไขที่ต้นไม้จำเป็นต้องมีเพื่อที่จะเติบโต และเหล่านี้คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมไว้  ดังนั้น พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดของสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตนี้หรือไม่?  (ใช่)  พระเจ้าต้องทรงนับใบไม้แต่ละใบบนต้นไม้ทุกวันหรือไม่?  ไม่!  อีกทั้งพระเจ้าไม่ทรงจำเป็นต้องช่วยต้นไม้ให้หายใจหรือต้องปลุกแสงอาทิตย์ทุกวัน โดยตรัสว่า “บัดนี้ ถึงเวลาที่จะส่องแสงให้ต้นไม้แล้ว”  พระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงทำเช่นนั้น  แสงอาทิตย์ส่องด้วยตัวมันเองเมื่อถึงเวลาที่มันต้องส่องแสง โดยสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ทั้งหลาย มันปรากฏและส่องแสงแก่ต้นไม้ และต้นไม้ก็ซึมซับแสงอาทิตย์เมื่อมันจำเป็น และเมื่อมันไม่จำเป็น ต้นไม้ก็ยังคงดำรงชีวิตอยู่ภายในกฎเกณฑ์เหล่านี้  พวกเจ้าอาจไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อย่างชัดเจน แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็คือข้อเท็จจริงซึ่งทุกคนสามารถมองเห็นและยอมรับได้  ทั้งหมดที่เจ้าจำเป็นต้องทำก็คือระลึกได้ว่า กฎเกณฑ์เหล่านี้ที่ปกครองดูแลการดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่งนั้นมาจากพระเจ้า และรู้ว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือการเติบโตและการอยู่รอดของทุกสรรพสิ่ง

บัดนี้ เรื่องนี้บรรจุสิ่งที่ผู้คนอ้างอิงถึงว่าเป็น “อุปมาอุปมัย” หรือไม่?  มันเป็นบุคคลสมมุติใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  เราได้บอกเล่าเรื่องจริง  สิ่งมีชีวิตทุกจำพวก ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีชีวิต ถูกปกครองโดยพระเจ้า สิ่งมีชีวิตแต่ละอย่างอิ่มเอิบด้วยชีวิตโดยพระเจ้าเมื่อตอนที่มันได้ถูกสร้างขึ้น ชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกอย่างมาจากพระเจ้า และติดตามครรลองและธรรมบัญญัติที่ชี้นำมัน  การนี้ไม่พึงประสงค์ให้มนุษย์มาปรับเปลี่ยนมัน อีกทั้งไม่พึงต้องมีการช่วยของมนุษย์ มันคือหนึ่งในหนทางทั้งหลายที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่ง  เจ้าเข้าใจมิใช่หรือ?  พวกเจ้าคิดว่ามันจำเป็นสำหรับผู้คนที่ต้องระลึกรู้ในการนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดังนั้น เรื่องนี้มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับชีววิทยาหรือไม่?  มันสัมพันธ์กับสาขาหนึ่งของความรู้หรือแขนงหนึ่งของการเรียนรู้ในบางหนทางใช่หรือไม่?  พวกเราไม่ใช่กำลังสนทนากันเรื่องชีววิทยา และพวกเราไม่ใช่กำลังทำการศึกษาวิจัยทางชีววิทยาอย่างแน่นอน  แนวคิดหลักของการพูดคุยของพวกเราคืออะไร?  (พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง)  พวกเจ้าได้มองเห็นสิ่งใดภายในการทรงสร้าง?  พวกเจ้าได้มองเห็นต้นไม้หรือไม่?  พวกเจ้าได้มองเห็นแผ่นดินโลกหรือไม่?  (เห็น)  พวกเจ้าได้มองเห็นแสงอาทิตย์ มิใช่หรือ?  พวกเจ้าได้มองเห็นนกเกาะบนต้นไม้หรือไม่?  (พวกเราเห็น)  มวลมนุษย์มีความสุขที่จะดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นใช่หรือไม่?  (ใช่)  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงใช้งานทุกสรรพสิ่ง—สิ่งทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงสร้าง—เพื่อธำรงรักษาและปกป้องบ้านของมวลมนุษย์ สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของพวกเขา  ในหนทางนี้ พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่มวลมนุษย์และแก่ทุกสรรพสิ่ง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 7

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 168

เรื่องเล่าที่ 2: ภูเขาใหญ่ ลำธารน้อย ลมรุนแรง และคลื่นยักษ์

มีลำธารสายน้อยสายหนึ่งที่เลี้ยวลดไปมา จนในที่สุดก็มาถึงที่ตีนภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง  ภูเขาได้บังกั้นเส้นทางของลำธารจิ๋วนี้ไว้ ดังนั้น ลำธารจึงได้กล่าวกับภูเขาด้วยเสียงเล็กๆ ที่อ่อนแรงของมัน  “โปรดปล่อยให้ฉันผ่านไปเถิด ท่านกำลังยืนขวางทางของฉันและบังกั้นเส้นทางไปข้างหน้าของฉัน”  “ท่านกำลังไปที่ใด?”  ภูเขาได้ถามไป  “ฉันกำลังมองหาบ้านของฉัน” ลำธารได้โต้ตอบไป  “ก็ได้ เชิญไปได้และไหลข้ามตรงไปบนฉันเลย!”  แต่ลำธารน้อยนี้อ่อนแอเกินไปและเยาว์วัยเกินไป ดังนั้นมันจึงไม่มีหนทางใดที่จะไหลข้ามภูเขาใหญ่เช่นนั้น  มันสามารถทำได้เพียงไหลต่อไปตรงนั้นไปตามตีนเขานั้น…

ลมรุนแรงพัดกวาดมา หอบเอาทรายและเศษซากไปยังที่ซึ่งภูเขาตั้งอยู่  ลมได้แผดร้องใส่ภูเขาว่า “จงให้ฉันผ่านไป!”  “ท่านกำลังไปที่ใด?”  ภูเขาถาม  “เราต้องการข้ามไปยังอีกด้านหนึ่งของภูเขา”  ลมส่งเสียงโหยหวนโต้ตอบไป  “ก็ได้ หากท่านสามารถทะลวงผ่านเอวของฉัน เช่นนั้นแล้วท่านก็สามารถไปได้!”  ลมรุนแรงได้ส่งเสียงโหยหวนไปทางนี้ทีทางนั้นที แต่ไม่สำคัญว่ามันจะพัดอย่างระห่ำเพียงใด มันก็ไม่สามารถทะลวงผ่านเอวของภูเขาไปได้  ลมเริ่มเหนื่อยและหยุดพัก—และที่อีกด้านหนึ่งของภูเขานั้น สายลมโชยได้เริ่มโบกโบยให้ความยินดีแก่ผู้คนที่นั่น  นี่คือการทักทายของภูเขาที่มีต่อผู้คน…

ณ ชายฝั่งทะเล ละอองน้ำจากมหาสมุทรม้วนตัวอย่างอ่อนโยนเข้าฝั่งที่เป็นโขดหิน  ทันใดนั้นเอง คลื่นยักษ์ได้ก่อตัวขึ้นและคำรามกระหึ่มมาตามทางตรงมายังภูเขานั้น  “จงหลีกไป!”  คลื่นยักษ์ตะโกน  “ท่านกำลังไปที่ใด?”  ภูเขาถาม  คลื่นซึ่งไม่สามารถหยุดการเดินหน้าของมันได้ก็แผดเสียงตอบไปว่า “ฉันกำลังขยายเขตแดนของฉัน!  ฉันต้องการยืดแขนของฉันออกไป!”  “ก็ได้ หากท่านสามารถผ่านข้ามยอดสูงของฉันไปได้ ฉันจะปล่อยให้ท่านผ่านทางไป”  คลื่นใหญ่ถอยไปพอได้ระยะห่าง แล้วก็ถาโถมเข้าใส่ภูเขาอีกครั้ง  แต่ไม่สำคัญว่ามันได้พยายามอย่างหนักเพียงใด มันก็ไม่ได้สามารถข้ามยอดสูงของภูเขาไปได้  คลื่นทำได้แค่เพียงม้วนกลับออกไปสู่ทะเลอย่างช้าๆ…

เป็นเวลาหลายพันปีแล้ว ลำธารน้อยไหลอย่างอ่อนโยนไปรอบตีนภูเขา  โดยติดตามการชี้นำทางของภูเขา ลำธารน้อยนี้ก็ได้สร้างทางกลับบ้านของมัน ที่ซึ่งมันได้รวมเข้ากับแม่น้ำ ซึ่งด้วยการนั้นจึงได้รวมเข้ากับทะเล  ลำธารน้อยนี้ไม่เคยหลงทางภายใต้การดูแลของภูเขานี้  ลำธารและภูเขาได้เสริมกำลังซึ่งกันและกัน และพึ่งพาอาศัยกันและกัน ทั้งสองได้เสริมกำลังซึ่งกันและกัน ตอบโต้กันและกัน และดำรงอยู่ด้วยกัน

เป็นเวลาหลายพันปีแล้ว ลมรุนแรงได้ส่งเสียงโหยหวนตามนิสัยของมัน  มันยังคงมา “เยือน” ภูเขาบ่อยครั้ง พร้อมกับปั่นทรายมากมายเข้ามาในสายลมกระโชกของมัน มันคุกคามภูเขา แต่ไม่เคยฝ่าพ้นไหล่เขา  ลมและภูเขาเสริมแรงกันและพึ่งพาอาศัยกัน ต่างฝ่ายต่างเสริมความแข็งแกร่งให้แก่กัน ลดผลกระทบที่เกิดจากอีกฝ่าย และดำรงอยู่ด้วยกัน

เป็นเวลาหลายพันปีแล้ว คลื่นยักษ์ไม่เคยหยุดพัก และมันเดินขบวนไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ขยายดินแดนของมันอย่างต่อเนื่อง  มันคำรามและถาโถมเข้าหาภูเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงกระนั้นภูเขาก็ไม่เคยขยับสักนิ้ว  ภูเขาเฝ้ามองดูทะเล และในหนทางนี้ สรรพสิ่งที่ทรงสร้างในทะเลได้เพิ่มทวีและเจริญรุ่งเรือง  คลื่นและภูเขาเสริมแรงกันและกัน และพึ่งพาอาศัยกันและกัน ทั้งสองได้เสริมกำลังกันและกัน ตอบโต้กันและกัน และดำรงอยู่ด้วยกัน

ดังนั้นเรื่องเล่าของพวกเราจึงจบลง  ก่อนอื่น จงบอกเราว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งใด?  เริ่มต้นตรงที่ มีภูเขาใหญ่ ลำธารน้อย ลมรุนแรง และคลื่นยักษ์  ได้เกิดสิ่งใดขึ้นกับลำธารน้อย กับภูเขาใหญ่นั้นในบทตอนแรก?  เหตุใดเราจึงได้เลือกสรรที่จะพูดคุยเกี่ยวกับลำธารและภูเขา?  (ภายใต้การดูแลของภูเขา ลำธารไม่เคยหลงทาง  พวกมันพึ่งพากันและกัน)  เจ้าจะพูดว่าภูเขาปกป้องหรือเป็นอุปสรรคต่อลำธารน้อยนั้น?  (มันปกป้องลำธาร)  ว่าแต่มันได้เป็นอุปสรรคต่อลำธารหรือไม่?  ภูเขาและลำธารเฝ้าระวังภัยให้กันและกัน ภูเขาปกป้องลำธารและเป็นอุปสรรคต่อมันด้วยเช่นกัน  ภูเขาได้ปกป้องลำธารขณะที่มันได้รวมเข้ากับแม่น้ำ แต่ก็ได้เป็นอุปสรรคต่อมันเพื่อกักมันไม่ให้ไหลไปในที่ซึ่งมันอาจจะก่อให้เกิดน้ำท่วมและนำพาความวิบัติมาสู่ผู้คน  นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับบทตอนนั้นหรอกหรือ?  ด้วยการปกป้องลำธารและด้วยการบังกั้นมัน ภูเขาก็ได้พิทักษ์บ้านเรือนของผู้คน  ลำธารน้อยนี้จึงได้รวมเข้ากับแม่น้ำที่ตีนภูเขาและได้ไหลต่อไปลงสู่ทะเล  นี่ไม่ใช่กฎเกณฑ์ที่ปกครองดูแลการดำรงอยู่ของลำธารหรอกหรือ?  สิ่งใดทำให้ลำธารสามารถรวมเข้ากับแม่น้ำและทะเลได้?  สิ่งนั้นไม่ใช่ภูเขาหรอกหรือ?  ลำธารพึ่งพาการปกป้องของภูเขาและการเป็นอุปสรรคของมัน  ดังนั้น นี่ไม่ใช่ประเด็นหลักหรอกหรือ?  เจ้ามองเห็นความสำคัญของภูเขาที่มีต่อน้ำในการนี้หรือไม่?  พระเจ้ามีพระประสงค์ของพระองค์ในการสร้างภูเขาทุกลูก ไม่ว่าใหญ่หรือเล็กใช่หรือไม่?  (ใช่)  บทตอนสั้นๆ นี้ที่ไม่มีสิ่งใดนอกจากหนึ่งลำธารน้อยกับหนึ่งภูเขาใหญ่ ทำให้พวกเราได้มองเห็นคุณค่าและนัยสำคัญแห่งการทรงสร้างสองสิ่งเหล่านี้ของพระเจ้า มันแสดงให้พวกเราเห็นถึงพระปรีชาญาณและพระประสงค์ในการปกครองเหนือสิ่งเหล่านั้นของพระองค์อีกด้วย  นั่นไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?

บทตอนที่สองของเรื่องเล่านี้เกี่ยวข้องกับสิ่งใด?  (ลมแรงกับภูเขาใหญ่)  ลมเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่?  (ใช่แล้ว)  ไม่จำเป็น—บางครั้งลมก็แรงเกินไปและทำให้เกิดความวิบัติ  เจ้ารู้สึกอย่างไรหากเจ้าถูกทำให้ต้องไปยืนอยู่ในสายลมที่รุนแรง?  นี่ขึ้นอยู่กับความแรงของมัน  หากมันเป็นสายลมระดับสามหรือสี่ มันก็คงจะเป็นที่ทนยอมรับได้  อย่างมากที่สุด บุคคลหนึ่งอาจจะมีปัญหาในการเปิดตาของพวกเขาค้างเอาไว้  แต่หากลมนั้นรุนแรงขึ้นและกลายเป็นพายุเฮอริเคน เจ้าจะสามารถทนทานมันได้หรือไม่?  เจ้าคงจะไม่สามารถ  ดังนั้น จึงผิดสำหรับการที่ผู้คนกล่าวว่าลมนั้นดีอยู่เสมอ หรือว่ามันไม่ดีอยู่เสมอ และการนี้ขึ้นอยู่กับเรี่ยวแรงของมัน  บัดนี้ หน้าที่ของภูเขาในที่นี้คือสิ่งใด?  หน้าที่ของมันไม่ใช่เพื่อกรองลมหรอกหรือ?  ภูเขาลดลมรุนแรงไปเป็นสิ่งใด?  (สายลมโชย)  บัดนี้ ในสภาพแวดล้อมที่พวกมนุษย์อาศัยอยู่ ผู้คนส่วนใหญ่ได้รับประสบการณ์กับลมพายุหรือสายลมโชย?  (สายลมโชย)  นี่ไม่ใช่หนึ่งในพระประสงค์ของพระเจ้า หนึ่งในเจตนารมณ์ของพระองค์ในการทรงสร้างภูเขาหรอกหรือ?  มันจะเป็นอย่างไรหากผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทรายถูกพัดปลิวในสายลมอย่างลำพอง โดยไม่มีการเหนี่ยวรั้งและกลั่นกรอง?  มันอาจจะเป็นว่าแผ่นดินที่ถูกรุมเร้าด้วยทรายและหินที่ปลิวว่อนนั้นคงจะไม่สามารถอยู่อาศัยได้ใช่หรือไม่?  ก้อนหินอาจจะกระหน่ำโดนผู้คน และทรายอาจจะทำให้พวกเขาตาบอด  ลมอาจจะพัดกวาดผู้คนจนเท้าลอยหรือหอบพาพวกเขาไปในอากาศ  บ้านเรือนอาจจะถูกทำลาย และคงจะเกิดความวิบัติทุกลักษณะ  กระนั้นยังมีคุณค่าในการดำรงอยู่ของลมรุนแรงหรือไม่?  เราพูดว่ามันไม่ดี ดังนั้น คนผู้หนึ่งอาจรู้สึกว่ามันไม่มีคุณค่า แต่การนั้นเป็นดังนั้นหรือ?  มันไม่มีคุณค่าทันทีที่มันได้เปลี่ยนไปเป็นสายลมโชยหรือไม่?  ผู้คนต้องการสิ่งใดมากที่สุดตอนที่สภาพอากาศชื้นหรืออบอ้าว?  พวกเขาต้องการให้สายลมโชยพัดมาที่พวกเขาอย่างอ่อนโยน เพื่อทำให้พวกเขาสดชื่นและสมองปลอดโปร่ง เพื่อทำให้ความคิดของพวกเขาเฉียบคมขึ้น เพื่อซ่อมแซมและปรับปรุงสภาวะทางจิตใจของพวกเขา  บัดนี้ เพื่อเป็นตัวอย่าง พวกเจ้าทั้งหมดนั่งในห้องที่มีผู้คนมากมายและอากาศอุดอู้—พวกเจ้าต้องการสิ่งใดมากที่สุด?  (สายลมโชย)  การไปในที่ซึ่งอากาศขมุกขมัวและโสโครกสามารถทำให้ความคิดของคนเราเชื่องช้า ลดการไหลเวียนโลหิตของคนเรา และลดความกระจ่างแจ้งในจิตใจของคนเราได้  อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวและการไหลเวียนทำให้อากาศสดชื่นขึ้น และผู้คนรู้สึกแตกต่างออกไปในอากาศสดชื่น  ถึงแม้ว่าลำธารน้อยนั้นจะสามารถก่อให้เกิดความวิบัติได้ ถึงแม้ว่าลมรุนแรงสามารถก่อให้เกิดความวิบัติได้ ตราบเท่าที่ภูเขาอยู่ที่นั่น มันจะเปลี่ยนอันตรายนั้นให้เป็นกำลังที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คน  นั่นไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?

บทตอนที่สามของเรื่องนี้เกี่ยวกับสิ่งใด?  (ภูเขาใหญ่กับคลื่นยักษ์)  ภูเขาใหญ่กับคลื่นยักษ์  บทตอนนี้เกิดขึ้น ณ ชายฝั่งทะเลที่ตีนภูเขา  พวกเรามองเห็นภูเขา ละอองน้ำจากมหาสมุทร และคลื่นลูกใหญ่  ในตัวอย่างนี้ภูเขาเป็นสิ่งใดสำหรับคลื่น?  (ผู้คุ้มครองปกป้องและกำแพง)  มันเป็นทั้งผู้คุ้มครองปกป้องและกำแพงกั้น  ในฐานะผู้คุ้มครองปกป้อง มันรักษาทะเลไว้ไม่ให้ปลาสนาการไป เพื่อที่สรรพสิ่งทรงสร้างที่อาศัยอยู่ในทะเลอาจเพิ่มทวีและเจริญเติบโต  ในฐานะกำแพง ภูเขากักน้ำในทะเลไว้ไม่ให้ไหลท่วมและก่อให้เกิดความวิบัติ ไม่ให้ก่อให้เกิดอันตรายและการทำลายบ้านเรือนของผู้คน  ดังนั้น พวกเราสามารถกล่าวได้ว่าภูเขาเป็นทั้งผู้คุ้มครองปกป้องและกำแพง

นี่คือนัยสำคัญของการเชื่อมโยงระหว่างกันระหว่างภูเขาใหญ่กับลำธารน้อย ภูเขาใหญ่กับลมรุนแรง และภูเขาใหญ่กับคลื่นยักษ์ นี่คือนัยสำคัญของการเสริมกำลังและการตอบโต้กันและกันของสิ่งเหล่านั้น และนัยสำคัญของการดำรงอยู่ร่วมกันของสิ่งเหล่านั้น  สิ่งเหล่านี้ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นนั้น ได้รับการปกครองดูแลในการดำรงอยู่ของพวกมันด้วยกฎเกณฑ์หนึ่งและธรรมบัญญัติหนึ่ง  ดังนั้น เจ้ามองเห็นกิจการใดของพระเจ้าในเรื่องนี้?  พระเจ้าได้ทรงเมินเฉยต่อทุกสรรพสิ่งนับตั้งแต่พระองค์ได้ทรงสร้างพวกมันขึ้นมาหรือไม่?  พระองค์ได้ทรงสร้างกฎเกณฑ์และทรงออกแบบหนทางทั้งหลายที่ทุกสรรพสิ่งทำหน้าที่ เพียงเพื่อที่จะเมินเฉยต่อพวกมันหลังจากนั้นหรือ?  นั่นคือสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกระนั้นหรือ?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้ว  ได้เกิดสิ่งใดขึ้น?  พระเจ้ายังคงทรงอยู่ในการควบคุม  พระองค์ทรงควบคุมทะเล ลม และคลื่น  พระองค์ไม่ทรงปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นอาละวาดเพ่นพ่าน อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงปล่อยให้พวกมันก่อให้เกิดอันตรายหรือทำลายบ้านเรือนที่ผู้คนดำรงชีวิตอยู่  เนื่องจากการนี้ ผู้คนสามารถดำรงชีวิตต่อไปและเพิ่มทวีและเจริญเติบโตบนแผ่นดินได้  การนี้หมายความว่า เมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระเจ้าได้ทรงวางแผนกฎเกณฑ์สำหรับการดำรงอยู่ของพวกมันไว้แล้ว  เมื่อพระเจ้าได้ทรงทำแต่ละสิ่ง พระองค์ทรงทำให้แน่ใจว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ และพระองค์ทรงเข้าควบคุมเหนือสิ่งนั้น เพื่อที่สิ่งนั้นอาจจะไม่เป็นปัญหาแก่มวลมนุษย์หรือก่อให้เกิดความวิบัติแก่เขา  หากไม่ใช่เพราะการบริหารจัดการของพระเจ้า น้ำคงจะไหลโดยปราศจากการยับยั้งมิใช่หรือ?  ลมคงจะพัดโดยปราศจากการยับยั้งมิใช่หรือ?  น้ำและลมปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทั้งหลายหรือไม่?  หากพระเจ้ามิได้ทรงบริหารจัดการพวกมัน ก็คงจะไม่มีกฎเกณฑ์ใดปกครองดูแลพวกมัน และลมคงจะพัดโหยหวนและน้ำคงจะไม่ได้ถูกยับยั้งไว้และก่อให้เกิดน้ำท่วม  หากคลื่นสูงกว่าภูเขา ทะเลจะสามารถดำรงอยู่ได้หรือไม่?  มันคงจะไม่สามารถ  หากภูเขาไม่สูงเท่าคลื่น ทะเลคงจะไม่ดำรงอยู่ และภูเขาก็คงจะสูญเสียคุณค่าและนัยสำคัญของมัน

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 7

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 169

พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำรงอยู่ และพระองค์ทรงครองอธิปไตยแห่งทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำรงอยู่ พระองค์ทรงบริหารจัดการทุกอย่างของมัน และพระองค์ทรงทำการจัดเตรียมเพื่อทุกอย่างของมัน และภายในทุกสรรพสิ่งนั้น พระองค์ทรงมองเห็นและพินิจพิเคราะห์ทุกคำพูดและการกระทำของทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำรงอยู่  ดังนั้น พระเจ้าทรงมองเห็นและทรงพินิจพิเคราะห์ทุกมุมของชีวิตมนุษย์ด้วยเช่นกัน  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าทรงรู้อย่างแนบแน่นในแต่ละรายละเอียดของทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำรงอยู่ภายในการทรงสร้างของพระองค์ ตั้งแต่หน้าที่ของแต่ละสิ่ง ธรรมชาติของมัน กฎเกณฑ์แห่งการอยู่รอดของมันไปจนถึงนัยสำคัญแห่งชีวิตของมันและคุณค่าแห่งการดำรงอยู่ของมัน พระเจ้าทรงรู้ทั้งหมดนี้โดยความครบถ้วนบริบูรณ์ของมัน  พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง—พวกเจ้าคิดว่าพระองค์ทรงจำเป็นต้องศึกษากฎเกณฑ์ทั้งหลายที่ปกครองดูแลสิ่งเหล่านั้นหรือ?  พระเจ้าทรงจำเป็นต้องศึกษาความรู้และวิทยาศาสตร์แบบมนุษย์เพื่อเรียนรู้และเข้าพระทัยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นหรือไม่?  (ไม่)  มีผู้ใดท่ามกลางมวลมนุษย์ที่มีการเรียนรู้และความคงแก่เรียนเพื่อเข้าใจทุกสรรพสิ่งดังเช่นที่พระเจ้าทรงรู้หรือไม่?  มีนักดาราศาสตร์หรือนักชีววิทยาคนใดที่เข้าใจกฎเกณฑ์ทั้งหลายที่สรรพสิ่งใช้เพื่อดำรงชีวิตและเติบโตหรือไม่?  พวกเขาสามารถเข้าใจคุณค่าของการดำรงอยู่ของแต่ละสิ่งได้อย่างแท้จริงหรือไม่?  (ไม่ พวกเขาไม่สามารถ)  การนี้เป็นเพราะทุกสรรพสิ่งได้รับการทรงสร้างโดยพระเจ้า และไม่สำคัญว่ามวลมนุษย์จะศึกษาความรู้นี้มากเพียงใดหรืออย่างลึกซึ้งเพียงใด หรือพวกเขาอุตสาหะพยายามที่จะเรียนรู้มันมายาวนานเพียงใด พวกเขาก็จะไม่มีวันสามารถหยั่งลึกความล้ำลึกหรือพระประสงค์แห่งการทรงสร้างทุกสรรพสิ่งของพระเจ้าได้  นั่นไม่ใช่กรณีนี้หรอกหรือ?  บัดนี้ จากการสนทนาของเรามาจนถึงตอนนี้ พวกเจ้ารู้สึกว่าพวกเจ้าได้รับความเข้าใจบางส่วนเกี่ยวกับความหมายที่แท้จริงของวลีที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง” แล้วหรือยัง?  (รู้สึก)  เรารู้ว่าเมื่อเราได้สนทนาหัวข้อนี้ พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง ผู้คนมากมายคงจะคิดถึงอีกวลีหนึ่งทันทีที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นความจริง และพระเจ้าทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อจัดเตรียมให้แก่พวกเรา” และไม่มีสิ่งใดเกินพ้นระดับความหมายนั้นของหัวข้อนี้  บางคนอาจถึงขั้นรู้สึกว่าการจัดเตรียมของพระเจ้าด้านชีวิตมนุษย์ ด้านอาหารและเครื่องดื่มประจำวัน และสิ่งจำเป็นประจำวันทุกสิ่งไม่นับว่าเป็นการจัดเตรียมของพระองค์สำหรับมนุษย์  ไม่ได้มีบางคนหรอกหรือที่รู้สึกอย่างนี้?  ถึงกระนั้น ความตั้งพระทัยของพระเจ้าในการทรงสร้างของพระองค์ไม่แน่ชัดหรอกหรือ—ที่เปิดโอกาสให้มวลมนุษย์ดำรงอยู่และใช้ชีวิตอยู่อย่างปกติ?  พระเจ้าทรงธำรงรักษาไว้ซึ่งสภาพแวดล้อมที่ผู้คนใช้ดำรงชีวิต และพระองค์ทรงจัดเตรียมสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มวลมนุษย์จำเป็นต้องมีเพื่อการอยู่รอดของพวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงบริหารจัดการและทรงถือครองอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง  ทั้งหมดนี้เปิดโอกาสให้มวลมนุษย์ได้ใช้ชีวิตและเจริญเติบโตและเพิ่มทวีอย่างปกติ ในหนทางนี้นี่เองที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมเพื่อสิ่งทรงสร้างทั้งปวงและเพื่อมวลมนุษย์  ไม่จริงหรอกหรือที่มนุษย์จำเป็นต้องระลึกได้และเข้าใจสิ่งเหล่านี้?  บางทีบางคนอาจจะกล่าวว่า “หัวข้อนี้ไกลเกินไปจากความรู้ของพวกเราเกี่ยวกับพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง และพวกเราไม่ต้องการรู้การนี้เพราะพวกเราไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยขนมปังอย่างเดียว แต่กลับดำรงชีวิตด้วยพระวจนะของพระเจ้าแทน”  การเข้าใจนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง?  พวกเจ้าสามารถมีความเข้าใจที่ครบบริบูรณ์เกี่ยวกับพระเจ้าได้หรือไม่หากพวกเจ้าเพียงแค่มีความรู้เกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าได้ตรัสไป?  หากเจ้าเพียงแค่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าและยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าเท่านั้น เจ้าสามารถมีความเข้าใจที่ครบบริบูรณ์เกี่ยวกับพระเจ้าได้หรือไม่?  หากเจ้าเพียงแค่รู้ส่วนน้อยเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า ส่วนน้อยเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจะพิจารณาว่านั่นเพียงพอที่จะสัมฤทธิ์การทำความเข้าใจพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  การกระทำของพระเจ้าเริ่มด้วยการทรงสร้างทุกสรรพสิ่งของพระองค์ และสิ่งเหล่านั้นดำเนินต่อไปในวันนี้—การกระทำของพระเจ้าปรากฏชัดตลอดเวลา ทุกชั่วขณะ  หากคนเราเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่เพียงเพราะพระองค์ได้ทรงเลือกสรรผู้คนกลุ่มหนึ่งเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์และเพื่อช่วยให้รอด และว่าไม่มีสิ่งอื่นใดมีความเกี่ยวข้องอันใดกับพระเจ้า ไม่ทั้งสิทธิอำนาจของพระองค์ สถานะของพระองค์ และการกระทำของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว สามารถพิจารณาได้หรือไม่ว่าคนเรามีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า?  ผู้คนที่มี “ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า” ที่ว่านี้ มีเพียงความเข้าใจแบบด้านเดียวเท่านั้น ตามสิ่งที่พวกเขาใช้จำกัดขอบเขตกิจการทั้งหลายของพระองค์ต่อผู้คนหนึ่งกลุ่ม  นี่คือความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าหรือไม่?  ผู้คนที่มีความรู้ประเภทนี้ไม่ใช่กำลังปฏิเสธการทรงสร้างทุกสรรพสิ่งของพระเจ้าและอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระองค์หรอกหรือ?  ผู้คนบางคนไม่ปรารถนาที่จะมีส่วนร่วมกับประเด็นนี้ กลับคิดในใจแทนว่า “ฉันไม่เคยเห็นอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า แนวคิดนี้จึงถูกลบออกไป และฉันไม่ใส่ใจที่จะเข้าใจมัน  พระเจ้าทรงทำสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ และนั่นไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับฉัน  ฉันก็แค่ยอมรับความเป็นผู้นำของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์เพื่อให้ฉันสามารถได้รับการช่วยให้รอดและการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าเท่านั้น  ไม่มีสิ่งอื่นใดสำคัญต่อฉัน  กฎเกณฑ์ทั้งหลายของพระเจ้าที่ถูกทำขึ้นเมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง และสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่งและให้แก่มวลมนุษย์ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับฉัน”  นี่เป็นการพูดคุยประเภทใดกัน?  นี่ไม่ใช่การกระทำจากการกบฏหรอกหรือ?  มีผู้ใดท่ามกลางพวกเจ้าที่มีความเข้าใจเช่นนี้บ้างหรือไม่?  เรารู้ว่ามีจำนวนมากมายในหมู่พวกเจ้าในที่นี้ที่คิดเช่นนั้น แม้ว่าพวกเจ้าจะไม่ได้พูดเช่นนั้นก็ตาม  ผู้คนที่ยึดถือหนังสือเยี่ยงนี้มองดูทุกสิ่งทุกอย่างจากมุมมอง “ฝ่ายวิญญาณ” ของพวกเขาเอง  พวกเขาต้องการเพียงแค่จำกัดพระเจ้าไว้กับพระคัมภีร์ จำกัดพระเจ้าด้วยพระวจนะที่พระองค์ได้ตรัสไป ไว้กับสำนึกรับรู้ที่ได้จากพระวจนะตามตัวอักษรที่เขียนไว้  พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะรู้จักพระเจ้าให้มากขึ้น และพวกเขาไม่ต้องการให้พระเจ้าทรงแยกความสนพระทัยของพระองค์ออกเป็นส่วนด้วยการทำสิ่งอื่น  ความคิดประเภทนี้เป็นเด็กไม่รู้ภาษา และยังเคร่งศาสนามากเกินไปอีกด้วย  ผู้คนที่ยึดทรรศนะเหล่านี้สามารถรู้จักพระเจ้าได้หรือไม่?  นั่นคงจะลำบากยากเย็นอย่างยิ่งสำหรับพวกเขาที่จะรู้จักพระเจ้า  วันนี้เราได้เล่าไปสองเรื่องแล้ว แต่ละเรื่องระบุถึงแง่มุมที่ต่างกัน  เมื่อเพิ่งจะได้มาติดต่อสัมพันธ์กับเรื่องเล่าเหล่านี้ พวกเจ้าอาจจะรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้ลุ่มลึกหรือเป็นนามธรรมสักเล็กน้อย ลำบากยากเย็นที่จะจับใจความและทำความเข้าใจ  อาจจะลำบากยากเย็นในการเชื่อมโยงเรื่องเหล่านั้นเข้ากับการกระทำของพระเจ้าและพระเจ้าพระองค์เอง  อย่างไรก็ตาม การกระทำทั้งหมดของพระเจ้าและทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงทำไปภายในการทรงสร้างและท่ามกลางมวลมนุษย์นั้น ควรจะเป็นที่รู้อย่างชัดเจนและอย่างถูกต้องแม่นยำโดยทุกบุคคล โดยทุกคนที่พยายามรู้จักพระเจ้า  ความรู้นี้จะให้ความมั่นใจแก่เจ้าในการเชื่อของเจ้าในการดำรงอยู่ที่แท้จริงของพระเจ้า  มันยังจะให้ความรู้ที่ถูกต้องแม่นยำแก่เจ้าเกี่ยวกับพระปรีชาญาณ ฤทธานุภาพของพระองค์ และลักษณะที่พระองค์ทรงใช้เพื่อจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่งอีกด้วย  มันจะเปิดโอกาสให้เจ้าเข้าใจอย่างชัดเจนถึงการดำรงอยู่ที่แท้จริงของพระเจ้า และมองเห็นว่าการดำรงอยู่ของพระองค์นั้นไม่ใช่เรื่องแต่ง ไม่ใช่ตำนาน ไม่คลุมเครือ ไม่ใช่ทฤษฎี และไม่ใช่การปลอบโยนทางวิญญาณชนิดหนึ่งอย่างแน่นอน แต่เป็นการดำรงอยู่จริง  ยิ่งไปกว่านั้น นั่นจะเปิดโอกาสให้ผู้คนรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้แก่สรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงและให้แก่มวลมนุษย์อยู่เสมอ พระเจ้าทรงทำการนี้ในหนทางของพระองค์เองและโดยสอดคล้องกับจังหวะของพระองค์เอง  ดังนั้น เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและได้ทรงให้กฎเกณฑ์ทั้งหลายแก่สิ่งเหล่านั้นนั่นเอง พวกมันแต่ละสิ่งจึงมีความสามารถที่จะปฏิบัติกิจตามที่ได้รับแบ่งสรรของพวกมัน ปฏิบัติความรับผิดชอบของพวกมันให้ลุล่วง แสดงบทบาทของพวกมันเองภายใต้การทรงลิขิตล่วงหน้าของพระองค์ แต่ละสิ่งมีประโยชน์ของมันเองในการปรนนิบัติมวลมนุษย์และพื้นที่และสภาพแวดล้อมที่มวลมนุษย์อยู่อาศัย ภายใต้การทรงลิขิตล่วงหน้าของพระองค์  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงทำเช่นนั้น และมวลมนุษย์ไม่ได้มีสภาพแวดล้อมเพื่ออยู่อาศัย เช่นนั้นแล้ว การเชื่อในพระเจ้าหรือการติดตามพระองค์ก็คงจะเป็นไปไม่ได้สำหรับมวลมนุษย์ ทั้งหมดนั้นคงจะไม่เป็นสิ่งใดมากไปกว่าการพูดคุยที่ว่างเปล่า  นั่นไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 7

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 170

สภาพแวดล้อมพื้นฐานสำหรับชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างสำหรับมวลมนุษย์ (บทตอนที่คัดมา)

พวกเราได้เสวนาหัวข้อมากมายและเนื้อหามากมายซึ่งเกี่ยวข้องกับคำพูดที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง” แต่พวกเจ้ารู้ในหัวใจของพวกเจ้าหรือไม่ว่าสิ่งใดที่พระเจ้าประทานแก่มวลมนุษย์ นอกเหนือจากการทรงจัดเตรียมพระวจนะของพระองค์ให้แก่พวกเจ้าและการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์กับพวกเจ้า?  ผู้คนบางคนอาจจะพูดว่า “พระเจ้าประทานพระคุณและพระพรแก่ฉัน พระองค์ทรงมอบการบ่มวินัยและสิ่งชูใจแก่ฉัน และพระองค์ทรงให้การดูแลและการทรงอารักขาแก่ฉันในทุกหนทางที่เป็นไปได้”  คนอื่นๆ จะพูดว่า “พระเจ้าประทานอาหารและเครื่องดื่มประจำวันแก่ฉัน” ในขณะที่บางคนจะถึงกับพูดว่า “พระเจ้าได้ประทานทุกสิ่งทุกอย่างให้ฉัน”  พวกเจ้าอาจจะโต้ตอบประเด็นปัญหาเหล่านั้นที่ผู้คนเผชิญในชีวิตประจำวันของพวกเขาในหนทางที่สัมพันธ์กับวงเขตแห่งประสบการณ์ชีวิตเชิงเนื้อหนังของพวกเจ้าเอง  พระเจ้าประทานสิ่งทั้งหลายมากมายให้กับแต่ละบุคคล แม้ว่าสิ่งที่พวกเรากำลังเสวนากันตรงนี้ไม่ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่กับวงเขตแห่งความต้องการที่จำเป็นรายวันของผู้คนเท่านั้น แต่ยังหมายที่จะขยายพื้นที่ทรรศนะของแต่ละบุคคล  และยอมให้เจ้าเห็นสิ่งทั้งหลายจากมุมมองมหัพภาค  ในเมื่อพระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงธำรงรักษาชีวิตของทุกสรรพสิ่งอย่างไรเล่า?  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สิ่งใดหรือที่พระเจ้าทรงให้แก่ทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระองค์เพื่อธำรงรักษาการดำรงอยู่ของพวกมันและธรรมบัญญัติทั้งหลายที่เกื้อหนุนมันอยู่ เพื่อที่พวกมันอาจดำรงอยู่ต่อไป?  นั่นคือประเด็นหลักของการเสวนาของพวกเราในวันนี้… เราหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถเชื่อมโยงหัวข้อนี้และสิ่งที่เราจะพูดเข้ากับกิจการของพระเจ้ามากกว่าที่จะเข้ากับความรู้ วัฒนธรรมมนุษย์ หรือการศึกษาวิจัยอันใด  เรากำลังพูดคุยเกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้น  นี่คือข้อเสนอแนะของเราต่อพวกเจ้า  เราแน่ใจว่าพวกเจ้าเข้าใจ ใช่หรือไม่?

พระเจ้าได้ประทานสิ่งทั้งหลายมากมายให้มวลมนุษย์  เราจะเริ่มต้นด้วยการพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้คนสามารถมองเห็นได้ นั่นก็คือสิ่งที่พวกเขาสามารถรู้สึกได้  เหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนสามารถยอมรับและเข้าใจได้ในหัวใจของพวกเขา  ดังนั้นก่อนอื่น พวกเรามาเริ่มต้นด้วยการพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าได้จัดเตรียมให้แก่มวลมนุษย์ด้วยการเสวนาเกี่ยวกับโลกทางวัตถุ

1. อากาศ

แรกที่สุด พระเจ้าได้ทรงสร้างอากาศเพื่อให้มนุษย์ได้หายใจ  อากาศเป็นสสารที่มนุษย์สามารถสัมผัสได้เป็นประจำทุกวันและเป็นสิ่งที่มนุษย์พึ่งพาอยู่ในทุกๆ ชั่วขณะ แม้ในยามที่พวกเขาหลับ  อากาศที่พระเจ้าทรงสร้างไว้นั้นมีความสำคัญอย่างมหันต์ต่อมวลมนุษย์ กล่าวคือ อากาศจำเป็นอย่างยิ่งต่อทุกลมหายใจของพวกเขาและต่อชีวิตเอง  สสารนี้ซึ่งสามารถรู้สึกได้เท่านั้นแต่ไม่สามารถเห็นได้ เป็นของประทานชิ้นแรกของพระเจ้าแก่สรรพสิ่งทั้งปวงแห่งการทรงสร้างของพระองค์  แต่หลังจากทรงสร้างอากาศแล้ว พระเจ้าได้ทรงหยุด โดยถือว่าพระราชกิจของพระองค์นั้นเสร็จไปแล้วใช่หรือไม่?  หรือว่าพระองค์ได้ทรงพิจารณาว่าอากาศน่าจะมีความหนาแน่นเพียงใด?  พระองค์ได้ทรงพิจารณาหรือไม่ว่า อากาศน่าจะบรรจุไปด้วยสิ่งใดบ้าง?  พระเจ้ากำลังทรงดำริอะไรหรือ เมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงสร้างอากาศ?  เหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงสร้างอากาศ และเหตุผลของพระองค์คืออะไร?  มนุษย์จำเป็นต้องมีอากาศ—พวกเขาจำเป็นต้องหายใจ  ประการแรกความหนาแน่นของอากาศควรเหมาะกับปอดของมนุษย์  มีผู้ใดรู้ความหนาแน่นของอากาศหรือไม่?  ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่มีความต้องการที่จำเป็นโดยเฉพาะเลยที่ผู้คนจะต้องรู้คำตอบของคำถามนี้ในรูปของตัวเลขหรือข้อมูล และว่ากันจริงๆ แล้ว ก็ไม่จำเป็นเลยทีเดียวที่จะต้องรู้คำตอบ—แค่มีเพียงแนวคิดทั่วไปเท่านั้น ก็เพียงพออย่างสมบูรณ์แบบแล้ว พระเจ้าได้ทรงสร้างอากาศด้วยความหนาแน่นซึ่งน่าจะเหมาะสมที่สุดสำหรับปอดมนุษย์ที่จะหายใจ  นั่นคือพระองค์ได้ทรงสร้างอากาศเพื่อที่มันอาจจะเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้อย่างง่ายดายโดยผ่านทางลมหายใจของพวกเขา และเพื่อที่อากาศจะไม่ทำอันตรายต่อร่างกายในขณะที่ร่างกายนั้นหายใจ  เหล่านี้คือข้อคำนึงพิจารณาของพระเจ้าเมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างอากาศ  ถัดไป พวกเราจะพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่บรรจุอยู่ในอากาศ  สิ่งทั้งหลายที่บรรจุอยู่ในอากาศไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และจะไม่สร้างความเสียหายแก่ปอดหรือส่วนอื่นใดของร่างกาย  พระเจ้าได้ทรงจำเป็นต้องพิจารณาทั้งหมดนี้  พระเจ้าได้ทรงจำเป็นต้องพิจารณาว่า อากาศที่มนุษย์หายใจควรเข้าสู่และออกจากร่างกายอย่างราบรื่น และว่า หลังจากถูกสูดเข้าไปแล้ว ธรรมชาติและปริมาณของสสารทั้งหลายภายในอากาศควรอยู่ในระดับที่เลือด ตลอดจนอากาศเสียในปอดและร่างกายโดยรวม จะถูกเผาผลาญอย่างถูกต้องเหมาะสม  ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ได้ทรงจำเป็นต้องพิจารณาว่า อากาศไม่ควรประกอบด้วยสสารมีพิษใดๆ  จุดมุ่งหมายของเราในการบอกเจ้าเกี่ยวกับมาตรฐานทั้งสองนี้สำหรับอากาศนั้น ไม่ใช่เพื่อป้อนความรู้เฉพาะอันใดให้พวกเจ้า แต่เพื่อแสดงให้พวกเจ้าเห็นว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกๆ สิ่งภายในการทรงสร้างของพระองค์โดยสอดคล้องกับข้อคำนึงพิจารณาทั้งหลายของพระองค์เอง และทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงสร้างนั้นดีที่สุดเท่าที่มันสามารถเป็นได้  นอกจากนี้ สำหรับปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ และปริมาณของฝุ่นผง ทราย และดินบนแผ่นดินโลก รวมทั้งปริมาณฝุ่นละอองที่ล่องลอยลงจากท้องฟ้ามายังแผ่นดินโลก—พระเจ้าทรงมีหนทางของพระองค์สำหรับบริหารจัดการสิ่งเหล่านี้เช่นกัน หนทางแห่งการนำสิ่งเหล่านี้ออกไปหรือทำให้พวกมันสลายไป  แม้ว่าจะมีฝุ่นละอองอยู่ในปริมาณหนึ่ง พระเจ้าได้ทรงทำเช่นนั้นก็เพื่อที่ฝุ่นละอองจะไม่ทำอันตรายร่างกายมนุษย์หรือทำให้การหายใจของมนุษย์ตกอยู่ในอันตราย และพระองค์ได้ทรงสร้างอนุภาคฝุ่นซึ่งมีขนาดที่จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย  การที่พระเจ้าทรงสร้างอากาศไม่ได้เป็นความล้ำลึกหรอกหรือ?  นั่นเป็นเรื่องเรียบง่ายเฉกเช่นการทรงเป่าลมปราณจากพระโอษฐ์ของพระองค์หรือไม่?  (ไม่)  แม้แต่ในการที่พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งหลายซึ่งเรียบง่ายที่สุด ความล้ำลึกของพระเจ้า การทำงานของพระหฤทัยของพระองค์ หนทางที่พระองค์ทรงพระดำริ และพระปัญญาของพระองค์ ทั้งหมดล้วนแจ่มแจ้ง  พระเจ้าไม่ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงหรอกหรือ?  (ใช่แล้ว พระองค์ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง)  สิ่งที่การนี้หมายถึงก็คือว่า แม้แต่ในการทรงสร้างสิ่งที่เรียบง่าย พระเจ้าก็ได้กำลังทรงดำริถึงมนุษยชาติ  ประการแรก อากาศที่มนุษย์หายใจนั้นสะอาด และสิ่งที่บรรจุอยู่ในอากาศก็เหมาะที่จะให้มนุษย์หายใจ ไม่เป็นพิษและไม่ก่ออันตรายต่อมนุษย์ ในทำนองเดียวกัน ความหนาแน่นของอากาศนั้นก็เหมาะสมสำหรับการหายใจของมนุษย์  อากาศนี้ซึ่งมนุษย์หายใจเข้าและหายใจออกอยู่เป็นนิตย์นั้น จำเป็นอย่างยิ่งต่อร่างกายมนุษย์ ต่อเนื้อหนังมนุษย์  นี่คือเหตุผลที่มนุษย์อาจหายใจได้อย่างอิสระโดยปราศจากการจำกัดควบคุมหรือความวิตกกังวล  ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถหายใจได้โดยปกติ  อากาศคือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นในปฐมกาล และเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการหายใจของมนุษย์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 8

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 171

สภาพแวดล้อมพื้นฐานสำหรับชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างสำหรับมวลมนุษย์ (บทตอนที่คัดมา)

2. อุณหภูมิ

สิ่งที่สองที่พวกเราจะเสวนากันคือ อุณหภูมิ  ทุกคนรู้ว่าอุณหภูมิคืออะไร  อุณหภูมิเป็นบางสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับความอยู่รอดของมนุษย์  หากอุณหภูมิสูงเกินไป—ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าอุณหภูมิสูงกว่าสี่สิบองศาเซลเซียส—นี่จะไม่เป็นการสูญเสียน้ำอย่างมากสำหรับมนุษย์หรอกหรือ?  นี่จะไม่น่าอ่อนเพลียสำหรับมนุษย์ที่ดำรงชีวิตอยู่ในสภาพเงื่อนไขเช่นนั้นหรอกหรือ?  แล้วถ้าหากอุณหภูมิต่ำเกินไปล่ะ?  สมมุติว่าอุณหภูมิลงไปถึงลบสี่สิบองศาเซลเซียส—มนุษย์ก็คงไม่อาจทานทนต่อสภาพเงื่อนไขเหล่านี้ได้เช่นกัน  เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงพิถีพิถันมากในการกำหนดช่วงอุณหภูมิซึ่งเป็นช่วงอุณหภูมิที่ร่างกายมนุษย์สามารถปรับตัวเข้าหาได้ ซึ่งตกอยู่ระหว่างลบสามสิบองศาเซลเซียสกับสี่สิบองศาเซลเซียสโดยประมาณ  อุณหภูมิในแผ่นดินทั้งหลายจากเหนือจรดใต้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตกอยู่ภายในช่วงนี้  ในภูมิภาคที่หนาวจัด อุณหภูมิสามารถลดฮวบลงได้จนบางทีไปถึงลบห้าสิบหรือหกสิบองศาเซลเซียส  พระเจ้าคงจะไม่ทรงให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในภูมิภาคเช่นนั้น  ดังนั้น เหตุใดภูมิภาคเยือกแข็งเหล่านี้จึงดำรงอยู่เล่า?  พระเจ้าทรงมีพระปัญญาของพระองค์เอง และพระองค์ทรงมีเจตนารมณ์ของพระองค์เองสำหรับการนี้  พระองค์จะไม่ทรงให้เจ้าไปใกล้สถานที่เหล่านั้น  สถานที่ซึ่งร้อนเกินไปและเย็นเกินไปนั้นได้รับการทรงอารักขาโดยพระเจ้า หมายความว่า พระองค์มิได้ทรงวางแผนให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ที่นั่น  สถานที่เหล่านี้ไม่ได้มีไว้สำหรับมวลมนุษย์  แต่เหตุใดเล่า พระเจ้าจึงทรงให้มีสถานที่เช่นนั้นดำรงอยู่บนแผ่นดินโลก?  หากสถานที่เหล่านี้เป็นสถานที่ซึ่งพระเจ้าน่าจะไม่ทรงให้มนุษย์อาศัยอยู่หรือแม้แต่อยู่รอด เช่นนั้นแล้วเหตุใดเล่า พระเจ้าจึงจะทรงสร้างสถานที่เหล่านั้นขึ้นมา?  มีพระปัญญาของพระเจ้าอยู่ในเรื่องนั้น  นั่นก็คือ พระเจ้าได้ทรงปรับเทียบช่วงอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมที่มนุษย์อยู่รอดอย่างสมเหตุสมผล  ยังมีกฎธรรมชาติกำลังทำงานอยู่ตรงนี้ด้วยเช่นกัน  พระเจ้าได้ทรงสร้างสิ่งทั้งหลายเฉพาะอย่างขึ้นก็เพื่อธำรงรักษาและควบคุมอุณหภูมิ  สิ่งเหล่านั้นคืออะไรหรือ?  อย่างแรก ดวงอาทิตย์สามารถนำพาความอบอุ่นมาให้ผู้คนได้ แต่ผู้คนมีความสามารถที่จะสู้ทนความอบอุ่นนี้ได้หรือไม่ เมื่อมันสูงมากเกินไป?  มีผู้ใดบ้างที่กล้าเข้าหาดวงอาทิตย์?  มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ใดบ้างบนแผ่นดินโลกที่สามารถเข้าหาดวงอาทิตย์ได้?  (ไม่มี)  เหตุใดจึงไม่มี?  ดวงอาทิตย์ร้อนเกินไป  สิ่งใดที่มาใกล้เกินไปจะหลอมละลาย  เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงได้ทรงพระราชกิจอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อกำหนดความสูงของดวงอาทิตย์เหนือมวลมนุษย์และระยะห่างของมันจากมนุษย์โดยสอดคล้องกับการทรงคำนวณอย่างละเอียดรอบคอบของพระองค์และมาตรฐานของพระองค์  แล้วก็ยังมีขั้วทั้งสองของแผ่นดินโลก ที่ทิศใต้และทิศเหนือ  ภูมิภาคทั้งสองนี้เยือกแข็งและเป็นธารน้ำแข็ง  มวลมนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ในภูมิภาคที่เป็นธารน้ำแข็งได้หรือ?  สถานที่ทั้งหลายเช่นนั้นเหมาะสมต่อความอยู่รอดของมนุษย์หรือไม่?  ไม่ ดังนั้นผู้คนจึงไม่ไปยังสถานที่เหล่านี้  ในเมื่อผู้คนไม่ไปที่ขั้วโลกใต้และขั้วโลกเหนือ ธารน้ำแข็งของที่นั่นจึงได้รับการอนุรักษ์และมีความสามารถที่จะทำหน้าที่ตามจุดประสงค์ของพวกมันได้ ซึ่งก็คือการควบคุมอุณหภูมิ  เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่?  หากไม่ได้มีขั้วโลกใต้และไม่ได้มีขั้วโลกเหนือ เช่นนั้นแล้วความร้อนอันต่อเนื่องของดวงอาทิตย์ก็คงจะทำให้ผู้คนบนแผ่นดินโลกมีอันพินาศ  ว่าแต่พระเจ้าทรงรักษาอุณหภูมิไว้ภายในช่วงที่เหมาะสมต่อความอยู่รอดของมนุษย์โดยผ่านทางสองสิ่งนี้เท่านั้นใช่หรือไม่?  ไม่  ยังมีสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทุกจำพวกอีกด้วย อาทิ หญ้าในทุ่งหญ้า ต้นไม้สารพัดชนิด และพืชทุกประเภทในป่าไม้ที่ดูดซับความร้อนของดวงอาทิตย์ และการทำเช่นนั้นทำให้พลังงานความร้อนของดวงอาทิตย์เป็นกลางอยู่ในหนทางที่บังคับควบคุมอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่  แหล่งน้ำทั้งหลาย อาทิ แม่น้ำและทะเลสาบก็มีอยู่ด้วยเช่นกัน  ไม่มีผู้ใดสามารถตัดสินได้เกี่ยวกับพื้นที่ที่แม่น้ำและทะเลสาบนั้นครอบคลุม  ไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมปริมาณน้ำที่มีบนแผ่นดินโลก หรือแห่งหนที่น้ำไหลไป ทิศทางการไหลของน้ำ ปริมาตรของการไหล หรือความเร็วของการไหล  พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้  แหล่งน้ำสารพันเหล่านี้ ตั้งแต่น้ำใต้ดินไปจนถึงแม่น้ำและทะเลสาบที่มองเห็นได้เหนือพื้นดิน สามารถควบคุมอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ได้  นอกเหนือจากแหล่งน้ำทั้งหลายแล้ว ยังมีการก่อตัวทางภูมิศาสตร์ทุกประเภท อาทิ ภูเขา ที่ราบ หุบผาชัน และพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งทั้งหมดควบคุมอุณหภูมิในขอบข่ายที่เป็นสัดส่วนเหมาะสมกับวงเขตและพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ของพวกมัน  ตัวอย่างเช่น หากภูเขาลูกหนึ่งมีเส้นรอบวงหนึ่งร้อยกิโลเมตร เช่นนั้นแล้ว หนึ่งร้อยกิโลเมตรนั้นก็จะมีส่วนร่วมสนับสนุนการใช้ประโยชน์เทียบเท่ากับหนึ่งร้อยกิโลเมตร  สำหรับการที่จำนวนเทือกเขาและหุบผาชันดังกล่าวที่พระเจ้าได้ทรงสร้างบนแผ่นดินโลกมีเท่าใดกันแน่นั้น นี่เป็นตัวเลขที่พระเจ้าได้ทรงพิจารณาแล้ว  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มีเรื่องราวอยู่เบื้องหลังการดำรงอยู่ของทุกๆ สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง และแต่ละสิ่งบรรจุไปด้วยพระปัญญาและแผนการของพระเจ้า  ลองพิจารณาตัวอย่างเช่น ป่าไม้และพืชพรรณหลากหลายประเภททั้งหมด—แนวเขตและขอบข่ายของพื้นที่ซึ่งพวกมันดำรงอยู่และเติบโตนั้น อยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์คนใด และไม่มีผู้ใดมีส่วนในการตัดสินใจเหนือสิ่งเหล่านี้  ในทำนองเดียวกัน ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถควบคุมปริมาณน้ำที่พวกมันดูดซับ หรือปริมาณพลังงานความร้อนที่พวกมันดูดซับจากดวงอาทิตย์ได้  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดตกอยู่ภายในวงเขตของแผนการที่พระเจ้าได้ทรงทำเมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง

นั่นเป็นเพราะการทรงวางแผน การทรงพิจารณาและการทรงจัดการเตรียมการอย่างรอบคอบของพระเจ้าในทุกๆ ความคิดคำนึงนั่นเอง มนุษย์จึงสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิเหมาะสมเช่นนี้ได้  เพราะฉะนั้นทุกๆ สิ่งที่มนุษย์มองเห็นด้วยตาของมนุษย์ เช่นดวงอาทิตย์ ขั้วโลกใต้และขั้วโลกเหนือที่ผู้คนได้ยินเกี่ยวกับพวกมันอยู่บ่อยๆ ตลอดจนสิ่งมีชีวิตอันหลากหลายทั้งบนและใต้พื้นดินและในน้ำ และปริมาณของพื้นที่ซึ่งปกคลุมโดยป่าไม้และพืชพรรณจำพวกอื่นๆ และแหล่งน้ำ น่านน้ำอันหลากหลาย ปริมาณน้ำทะเลและน้ำจืด และสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน—เหล่านี้คือทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงใช้ในการธำรงรักษาอุณหภูมิปกติเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์  นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนเด็ดขาด  นั่นเป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงดำริอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการนี้ทั้งหมดแล้วเท่านั้น มนุษย์จึงมีความสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิเหมาะสมเช่นนั้นได้  มันต้องไม่เย็นเกินไปหรือร้อนเกินไป กล่าวคือ สถานที่ซึ่งร้อนเกินไป ที่ซึ่งมีอุณหภูมิเกินกว่าที่ร่างกายมนุษย์จะสามารถปรับเข้าหาได้นั้น พระเจ้าไม่ทรงกันไว้ให้เจ้าอย่างแน่นอน  สถานที่ซึ่งเย็นเกินไป ที่ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำเกินไป ซึ่งหลังจากไปถึงที่นั่นแล้ว มนุษย์จะหนาวเย็นจนเยือกแข็งไปทั้งตัวในเวลาเพียงไม่กี่นาที จนถึงระดับที่พวกเขาไม่สามารถพูดได้ สมองของพวกเขาเย็นจนเยือกแข็ง พวกเขาไร้ความสามารถที่จะคิด และในไม่ช้าพวกเขาก็จะทนทุกข์กับภาวะขาดอากาศหายใจ—สถานที่เช่นนั้นพระเจ้าก็ไม่ทรงกันไว้สำหรับมนุษย์เช่นกัน  ไม่สำคัญว่ามนุษย์ต้องการดำเนินการศึกษาวิจัยประเภทใดให้เสร็จสิ้น และไม่ว่าพวกเขาต้องการที่จะคิดค้นหรือฝ่าทะลุข้อจำกัดเหล่านี้หรือไม่—ไม่ว่าผู้คนจะมีความคิดอะไรก็ตาม พวกเขาจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะไปเกินขีดจำกัดของสิ่งที่ร่างกายมนุษย์สามารถปรับเข้าหาได้  พวกเขาจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะปลดทิ้งข้อจำกัดเหล่านี้ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างให้แก่มนุษย์ได้  นี่เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ และพระเจ้าทรงรู้ดีที่สุดว่า อุณหภูมิใดที่ร่างกายมนุษย์สามารถปรับเข้าหาได้  แต่มนุษย์เองนั้นไม่รู้  ทำไมเราจึงพูดว่ามนุษย์ไม่รู้?  มนุษย์ได้ทำสิ่งโง่ๆ อะไรไปบ้างหรือ?  ผู้คนมากมายไม่ได้พยายามท้าทายขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้อยู่เนืองนิตย์หรอกหรือ?  ผู้คนเช่นนั้นได้ต้องการไปยังสถานที่เหล่านั้นเสมอ เพื่อยึดครองแผ่นดิน เพื่อที่พวกเขาจะสามารถตั้งรกรากที่นั่นได้  นั่นน่าจะเป็นการกระทำที่ไร้สาระสิ้นดี  ต่อให้เจ้าได้ศึกษาวิจัยขั้วโลกทั้งสองแล้วอย่างถ้วนทั่ว แล้วยังไงหรือ?  ต่อให้เจ้าสามารถปรับตัวเข้ากับอุณหภูมิได้และมีความสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ที่นั่น มันจะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ในหนทางใดหนทางหนึ่งหรือ หากเจ้าจะต้อง “ปรับปรุง” สภาพแวดล้อมปัจจุบันเพื่อชีวิตแห่งขั้วโลกใต้และขั้วโลกเหนือ?  มวลมนุษย์มีสภาพแวดล้อมที่มวลมนุษย์สามารถอยู่รอดได้ในนั้น ทว่าพวกมนุษย์ไม่ได้ยังคงอยู่ที่นั่นอย่างสงบนิ่งและคล้อยตาม แต่กลับยืนกรานที่จะเสี่ยงไปยังสถานที่ที่พวกเขาไม่สามารถอยู่รอดได้แทน  การนี้หมายความเช่นไรหรือ?  พวกเขาได้กลายเป็นเบื่อหน่ายและหมดความอดทนกับชีวิตในอุณหภูมิที่เหมาะสมนี้ และได้ชื่นชมพระพรไปมากมายเกินไป  นอกจากนั้น สภาพแวดล้อมอันเป็นปกตินี้สำหรับชีวิต ก็ได้ถูกทำลายไปจนแทบหมดสิ้นโดยมวลมนุษย์ ดังนั้นบัดนี้ พวกเขาจึงคิดว่า พวกเขาอาจจะไปยังขั้วโลกใต้และขั้วโลกเหนือด้วยเช่นกัน เพื่อทำความเสียหายให้มากขึ้น หรือไล่ตามเสาะหา “เหตุ” บางอย่างให้พวกเขาสามารถพบบางหนทางแห่งการ “บุกเบิกลู่ทางใหม่” ได้  นี่ไม่ใช่เรื่องโง่ๆ หรอกหรือ?  กล่าวคือ ภายใต้การนำของกำพืดซาตานของพวกเขา มวลมนุษย์นี้ทำสิ่งไร้สาระครั้งแล้วครั้งเล่าติดๆ กัน พร้อมกับทำลายบ้านอันสวยงามที่พระเจ้าได้ทรงสร้างให้แก่พวกเขาอย่างบ้าบิ่นและพิเรนทร์  นี่เป็นการกระทำของซาตาน  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเห็นว่าความอยู่รอดของมวลมนุษย์บนแผ่นดินโลกค่อนข้างตกอยู่ในอันตราย ผู้คนมากมายจึงแสวงหาหนทางไปเยี่ยมดวงจันทร์ โดยต้องการจัดตั้งหนทางที่จะอยู่รอดขึ้นที่นั่น  แต่ในท้ายที่สุด ดวงจันทร์ก็ขาดออกซิเจน  มนุษย์จะสามารถอยู่รอดโดยปราศจากออกซิเจนได้หรือ?  ในเมื่อดวงจันทร์ขาดออกซิเจน นั่นจึงไม่ใช่สถานที่ที่มนุษย์สามารถพำนักอยู่ได้ ทว่ามนุษย์ยืนกรานในความอยากของเขาที่จะไปที่นั่น  พฤติกรรมนี้ควรเรียกว่าอะไร?  นี่เป็นการทำลายตัวเองเช่นกัน  ดวงจันทร์เป็นสถานที่ที่ไม่มีอากาศ และอุณหภูมิที่นั่นก็ไม่เหมาะกับความอยู่รอดของมนุษย์—ดังนั้นจึงไม่ใช่สถานที่ที่พระเจ้าทรงกันไว้ให้มนุษย์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 8

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 172

สภาพแวดล้อมพื้นฐานสำหรับชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างสำหรับมวลมนุษย์ (บทตอนที่คัดมา)

3. เสียง

สิ่งที่สามคืออะไร?  มันก็เป็นบางสิ่งที่เป็นส่วนจำเป็นอย่างยิ่งของสภาพแวดล้อมปกติของการดำรงอยู่ของมนุษย์ บางสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจำเป็นต้องทำการจัดการเตรียมการเมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งด้วยเช่นกัน  มันสำคัญมากต่อพระเจ้าและต่อมนุษย์ทุกๆ คน  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงดูแลสิ่งนี้ มันก็คงจะได้มีการแทรกแซงความอยู่รอดของมวลมนุษย์อย่างใหญ่หลวง ซึ่งหมายความว่า มันคงจะได้ส่งผลกระทบซึ่งมีนัยสำคัญต่อชีวิตของมนุษย์และกายฝ่ายเนื้อหนังของเขามากเสียจนมวลมนุษย์คงจะไม่ได้มีความสามารถที่จะอยู่รอดในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น  อาจพูดได้ว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดจะสามารถอยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น  ดังนั้น สิ่งที่เราพูดถึงนี้คืออะไร?  เรากำลังพูดเกี่ยวกับเสียง  พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งทุกอย่างดำรงชีวิตอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  สิ่งทั้งหลายทั้งปวงแห่งการทรงสร้างของพระเจ้ากำลังดำรงชีวิตและกำลังพลิกหมุนอยู่ในการเคลื่อนที่ต่อเนื่องภายในสายพระเนตรของพระองค์  โดยการนี้ เราหมายความว่า แต่ละสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้างมีคุณค่าและความหมายในการดำรงอยู่ของมัน นั่นคือ มีบางสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของทุกๆ สิ่ง  ในสายพระเนตรของพระเจ้า แต่ละสิ่งนั้นมีชีวิต และในเมื่อทุกสรรพสิ่งนั้นมีชีวิต แต่ละสิ่งเหล่านี้จึงให้กำเนิดเสียง  ยกตัวอย่างเช่น แผ่นดินโลกกำลังหมุนอย่างต่อเนื่อง ดวงอาทิตย์กำลังหมุนอย่างต่อเนื่อง และดวงจันทร์ก็กำลังหมุนอย่างต่อเนื่องเช่นกัน  ในขณะที่ทุกสรรพสิ่งแพร่พันธุ์ พัฒนา และเคลื่อนที่ พวกมันก็กำลังส่งกระจายเสียงอย่างต่อเนื่อง  สิ่งทั้งหลายทั้งปวงจากการทรงสร้างของพระเจ้าที่ดำรงอยู่บนแผ่นดินโลก ล้วนมีการแพร่พันธุ์ การพัฒนา และการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง  ตัวอย่างเช่น ฐานของภูเขากำลังเคลื่อนตัวและขยับตำแหน่ง และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในห้วงลึกของทะเลกำลังว่ายน้ำและเคลื่อนที่ไปมา  นี่หมายความว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ทุกสรรพสิ่งในสายพระเนตรของพระเจ้า กำลังเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องเป็นปกติประจำโดยสอดคล้องกับแบบแผนที่ได้สถาปนาไว้แล้ว  ดังนั้น สิ่งใดหรือ ที่ถูกทำให้มีขึ้นมาโดยสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดซึ่งแพร่พันธุ์และพัฒนาอยู่ในความมืดและเคลื่อนไหวอยู่อย่างลับๆ?  เสียง—เสียงที่ยิ่งใหญ่ทรงพลัง  นอกเหนือจากดาวเคราะห์โลกแล้ว ดาวเคราะห์ทุกประเภทก็มีการเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องเช่นกัน และสิ่งมีชีวิตและจุลชีพทั้งหลายบนดาวเคราะห์เหล่านี้ก็กำลังแพร่พันธุ์ กำลังพัฒนา และกำลังเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน  นั่นก็คือ ทุกสรรพสิ่งที่มีชีวิตและที่ไม่มีชีวิตกำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องในสายพระเนตรของพระเจ้า และในขณะที่สิ่งเหล่านั้นทำเช่นนั้น สิ่งเหล่านั้นแต่ละสิ่งก็กำลังส่งเสียงออกมา  พระเจ้าได้ทรงทำการจัดการเตรียมการสำหรับเสียงเหล่านี้เช่นกัน และเราเชื่อว่าพวกเจ้ารู้เหตุผลของพระองค์สำหรับการนี้แล้วใช่หรือไม่?  เมื่อเจ้าเข้าไปใกล้เครื่องบินลำหนึ่ง เสียงคำรามของเครื่องยนต์มีผลกระทบอะไรต่อเจ้า?  หากเจ้าอยู่ใกล้มันนานเกินไป หูของเจ้าก็จะหนวก  แล้วหัวใจของเจ้าล่ะ—จะมีความสามารถที่จะทานทนต่อความทุกข์ยากสาหัสเช่นนี้ได้หรือ?  ผู้คนบางคนซึ่งมีหัวใจอ่อนแอคงจะไม่สามารถ  แน่นอนว่าแม้แต่พวกที่มีหัวใจแข็งแกร่งก็จะไม่มีความสามารถที่จะทานทนได้นานเกินไป  กล่าวคือ ผลกระทบของเสียงต่อร่างกายมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นกับหูหรือหัวใจ มีนัยสำคัญอย่างสุดขีดต่อมนุษย์ทุกคน และเสียงที่ดังเกินไปจะเป็นอันตรายต่อผู้คน  เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งขึ้นมา และหลังจากที่ทุกสรรพสิ่งได้เริ่มต้นทำหน้าที่ได้ตามปกติแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงทำการจัดการเตรียมการที่เหมาะสมสำหรับเสียงเหล่านี้ เสียงทั้งหลายของทุกสรรพสิ่งที่กำลังเคลื่อนที่  นี่ก็เป็นหนึ่งในประเด็นปัญหาทั้งหลายที่พระเจ้าได้ทรงจำเป็นต้องพิจารณาเมื่อทรงสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับมวลมนุษย์

ก่อนอื่น ความสูงของชั้นบรรยากาศเหนือพื้นผิวของแผ่นดินโลกมีผลกระทบต่อเสียง  นอกจากนี้ขนาดของช่องว่างในดินก็จะบงการและส่งผลกระทบต่อเสียงเช่นกัน  แล้วก็ยังมีสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์อันหลากหลาย ซึ่งการมาบรรจบกันของพวกมันนั้น ส่งผลกระทบต่อเสียงด้วยเช่นกัน  กล่าวคือ พระเจ้าทรงใช้วิธีการเฉพาะที่จะกำจัดเสียงบางเสียง เพื่อที่มนุษย์จะได้อยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่หูและหัวใจของพวกเขาสามารถทานทนได้  มิฉะนั้น เสียงก็จะกลายเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อความอยู่รอดของมนุษย์ กลายเป็นสิ่งรบกวนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของพวกเขาและก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงสำหรับพวกเขา  นี่หมายความว่า พระเจ้าได้ทรงพิถีพิถันมากในการทรงสร้างแผ่นดิน ชั้นบรรยากาศ และสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์หลากหลายประเภทของพระองค์ และที่บรรจุอยู่ภายในสิ่งเหล่านี้แต่ละสิ่ง ก็คือพระปัญญาของพระเจ้า  ความเข้าใจของมวลมนุษย์ในการนี้ไม่จำเป็นต้องมีรายละเอียดมากเกินไปนัก—การที่ผู้คนรู้ว่าในนั้นมีการกระทำของพระเจ้าบรรจุอยู่ก็เพียงพอแล้ว  ทีนี้พวกเจ้าจงบอกเราทีเถิดว่า พระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงทำนี้—การปรับเทียบเสียงอย่างแม่นยำเพื่อที่จะธำรงรักษาสภาพแวดล้อมเพื่อการดำรงชีวิตของมวลมนุษย์และชีวิตที่เป็นปกติของพวกเขา—จำเป็นหรือไม่?  (จำเป็น)  ในเมื่อพระราชกิจนี้จำเป็น เช่นนั้นแล้ว จากมุมมองนี้ จะสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า พระเจ้าได้ทรงใช้พระราชกิจนี้เป็นหนทางหนึ่งที่จะจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่ง?  พระเจ้าได้ทรงสร้างสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบเช่นนี้เพื่อการจัดเตรียมให้แก่มวลมนุษย์ เพื่อให้ร่างกายมนุษย์สามารถดำรงชีวิตอย่างเป็นปกติอย่างยิ่งอยู่ภายในนั้นได้ โดยไม่ต้องทนทุกข์กับการแทรกแซงอันใด และเพื่อที่มวลมนุษย์จะมีความสามารถที่จะดำรงอยู่และดำรงชีวิตอย่างเป็นปกติได้  เช่นนั้นแล้ว นี่ไม่ใช่หนึ่งในหนทางทั้งหลายที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่มนุษย์หรอกหรือ?  นี่ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญมากที่พระเจ้าได้ทรงทำหรอกหรือ?  (เป็น)  มีความต้องการที่จำเป็นอย่างมากสำหรับสิ่งนี้  ดังนั้นพวกเจ้าซาบซึ้งต่อสิ่งนี้อย่างไร?  แม้ว่าพวกเจ้าจะไม่สามารถรู้สึกว่านี่คือการกระทำของพระเจ้า อีกทั้งพวกเจ้าไม่รู้ว่าพระเจ้าได้ทรงปฏิบัติการกระทำนี้อย่างไร ณ กาลสมัยนั้น เจ้ายังคงสามารถสำนึกรับรู้ความจำเป็นของการที่พระเจ้าได้ทรงทำสิ่งนี้ได้หรือไม่?  เจ้าสามารถรู้สึกถึงพระปัญญาของพระเจ้า กับความห่วงใยและพระดำริที่พระองค์ได้ทรงใส่ลงไปในนั้นหรือไม่?  (ใช่ พวกเราสามารถ)  หากพวกเจ้ามีความสามารถที่จะรู้สึกถึงการนี้ เช่นนั้น นั่นก็เพียงพอแล้ว  มีการกระทำมากมายที่พระเจ้าได้ทรงปฏิบัติท่ามกลางสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงสร้างซึ่งผู้คนไม่สามารถรู้สึกหรือมองเห็น  เรายกการนี้ขึ้นมาพูดก็เพียงเพื่อแจ้งให้พวกเจ้ารู้เกี่ยวกับการกระทำทั้งหลายของพระเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าอาจมารู้จักพระเจ้า เหล่านี้คือเบาะแสทั้งหลายที่สามารถทำให้พวกเจ้าสามารถรู้จักและเข้าใจพระเจ้าได้ดียิ่งขึ้น

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 8

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 173

สภาพแวดล้อมพื้นฐานสำหรับชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างสำหรับมวลมนุษย์ (บทตอนที่คัดมา)

4. แสง

สิ่งที่สี่นั้นเกี่ยวข้องกับดวงตาของผู้คน นั่นก็คือ แสง  นี่ก็สำคัญมากเช่นกัน  เมื่อเจ้าเห็นแสงจ้าและความจ้าของแสงนั้นไปถึงความแรงกล้าเฉพาะในระดับหนึ่ง มันก็จะสามารถทำให้ดวงตามนุษย์บอดได้  จะว่าไปแล้วดวงตามนุษย์เป็นดวงตาแห่งเนื้อหนัง  ตามนุษย์ไม่สามารถทนทานต่อการระคายเคืองได้  มีผู้ใดกล้าจ้องมองเข้าไปในดวงอาทิตย์ตรงๆ หรือไม่?  ผู้คนบางคนได้ลองดูแล้ว และหากพวกเขากำลังสวมแว่นกันแดดอยู่ มันก็ทำงานได้ดีทีเดียว—แต่นั่นพึงต้องมีการใช้เครื่องมือ  หากปราศจากเครื่องมือ ดวงตาเปลือยเปล่าของมนุษย์ย่อมไม่มีความสามารถที่จะเผชิญหน้ากับดวงอาทิตย์และจ้องมองดวงอาทิตย์โดยตรงได้  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าได้ทรงสร้างดวงอาทิตย์ขึ้นมาเพื่อนำแสงมาสู่มวลมนุษย์ และแสงนี้ก็เป็นบางสิ่งที่พระองค์ได้ทรงดูแลด้วยเช่นกัน  พระเจ้าไม่เพียงได้ทรงสร้างดวงอาทิตย์จนเสร็จ วางดวงอาทิตย์ไว้ที่ใดสักแห่ง แล้วก็เพิกเฉยต่อมัน นั่นไม่ใช่วิธีที่พระเจ้าทรงทำสิ่งทั้งหลาย  พระองค์ทรงระมัดระวังอย่างยิ่งในการกระทำของพระองค์ และทรงดำริการกระทำทั้งหลายอย่างถ้วนทั่ว  พระเจ้าได้ทรงสร้างดวงตาให้แก่มวลมนุษย์เพื่อที่พวกเขาอาจมองเห็น และพระองค์ได้ทรงกำหนดค่าตัวแปรจำกัดทั้งหลายของแสงซึ่งมนุษย์ใช้ในการมองเห็นสิ่งทั้งหลายไว้ล่วงหน้าอีกด้วย  คงจะไม่ดีแน่หากแสงสลัวเกินไป  เมื่อมันมืดเสียจนผู้คนไม่สามารถมองเห็นนิ้วมือของพวกเขาที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาได้ เช่นนั้นแล้วดวงตาของพวกเขาก็ย่อมได้สูญเสียการทำหน้าที่ของพวกมันไปและไม่ให้ประโยชน์อะไรเลย  แต่แสงที่จ้าเกินไปก็ส่งผลให้ดวงตามนุษย์ไร้ความสามารถพอกันในการที่จะมองเห็นสิ่งทั้งหลาย เพราะความสว่างจ้านั้นสุดที่จะทนได้  เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงประดับประดาสภาพแวดล้อมแห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์ด้วยแสงในจำนวนที่เหมาะสมสำหรับดวงตามนุษย์—จำนวนที่จะไม่ทำร้ายหรือทำลายดวงตาของผู้คน นับประสาอะไรที่จะทำให้ดวงตามนุษย์สูญเสียการทำหน้าที่ของพวกมัน  นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าได้ทรงเพิ่มชั้นเมฆรอบดวงอาทิตย์และแผ่นดินโลก และเหตุผลที่ความหนาแน่นของอากาศมีความสามารถอย่างถูกต้องเหมาะสมที่จะกรองแสงชนิดต่างๆ ซึ่งสามารถทำร้ายดวงตาหรือผิวหนังของผู้คนได้—เหล่านี้ได้สัดส่วนเหมาะสมกัน  นอกจากนี้สีสันทั้งหลายของแผ่นดินโลกที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้น ก็ยังสะท้อนแสงอาทิตย์และแสงประเภทอื่นทั้งหมด และมีความสามารถที่จะกำจัดแสงจำพวกที่จ้าเกินกว่าที่ดวงตามนุษย์จะปรับเข้าหาได้  ดังนั้นผู้คนจึงมีความสามารถที่จะเดินอยู่ข้างนอกและดำเนินชีวิตของพวกเขาไปได้โดยไม่จำเป็นต้องสวมแว่นกันแดดอันมืดทึบอยู่เป็นนิตย์  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมปกตินั้น ดวงตามนุษย์สามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายภายในลานสายตาของพวกเขาได้โดยไม่ถูกแสงรบกวน  กล่าวคือ คงจะไม่ดีแน่ หากแสงแยงตาเกินไปหรือหากแสงสลัวเกินไป  หากแสงสลัวเกินไป ดวงตาของผู้คนก็จะได้รับความเสียหาย และหมดสภาพหลังจากการใช้งานระยะสั้น หากแสงจ้าเกินไป ดวงตาของผู้คนก็จะไม่มีความสามารถที่จะทานทนได้  แสงแท้จริงนี้ที่ผู้คนมีอยู่นั้น ต้องเหมาะสมสำหรับดวงตามนุษย์ที่จะมองเห็น และพระเจ้าได้ทรงลดความเสียหายที่แสงก่อให้เกิดต่อดวงตามนุษย์ให้เหลือน้อยที่สุดโดยผ่านทางวิธีการหลากหลาย และแม้ว่าแสงนี้อาจเป็นประโยชน์หรือเป็นภัยต่อดวงตามนุษย์ แต่มันก็เพียงพอที่จะให้ผู้คนไปถึงปลายทางแห่งชีวิตของพวกเขาในขณะที่ยังคงธำรงการใช้งานดวงตาของพวกเขาอยู่  พระเจ้าไม่ได้ทรงได้พิจารณาการนี้อย่างถ้วนทั่วแล้วหรอกหรือ?  กระนั้นมารซาตานก็ยังปฏิบัติตัวโดยไม่เคยได้มีการพิจารณาเช่นนั้นทะลุผ่านไปถึงจิตใจของมันเลย  กับซาตานแล้ว แสงนั้น ถ้าไม่จ้าเกินไปก็สลัวเกินไปเสมอ  นี่คือวิธีที่ซาตานปฏิบัติตัว

พระเจ้าได้ทรงทำสิ่งเหล่านี้กับทุกด้านของร่างกายมนุษย์—กับการมองเห็น การได้ยิน การลิ้มรส การหายใจ ความรู้สึก และอื่นๆ—เพื่อที่จะเพิ่มความสามารถปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์ให้สูงที่สุด เพื่อที่พวกเขาจะสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติและทำเช่นนั้นต่อไปได้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สภาพแวดล้อมปัจจุบันที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นเพื่อชีวิตนั้น เป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ที่สุดต่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์  ผู้คนบางคนอาจคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนักหนา ว่าเป็นสิ่งธรรมดามากที่สุดสิ่งหนึ่ง  เสียง แสง และอากาศเป็นสิ่งที่ผู้คนรู้สึกว่าเป็นสิทธิแต่กำเนิดของพวกเขาซึ่งพวกเขาได้ชื่นชมมาตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาเกิด  แต่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ซึ่งเจ้ามีความสามารถที่จะชื่นชม พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจอยู่ นี่คือบางสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องเข้าใจ บางสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องรู้  ไม่สำคัญว่าเจ้าจะรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือรู้จักสิ่งเหล่านี้หรือไม่ โดยสังเขปแล้ว เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา พระองค์ได้ทรงดำริมากมายเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น พระองค์ได้ทรงมีแผนการ พระองค์ได้ทรงมีแนวคิดเฉพาะบางอย่าง  พระองค์ไม่ทรงวางมวลมนุษย์ไว้ในสภาพแวดล้อมสำหรับชีวิตเช่นนั้นอย่างขอไปทีหรืออย่างง่ายๆ โดยปราศจากพระดำริอันใดในเรื่องนี้  พวกเจ้าอาจคิดว่าเราได้พูดเกี่ยวกับสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้แต่ละอย่างอย่างคุยโวเกินไป แต่ในทรรศนะของเรา แต่ละสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้แก่มนุษย์นั้น จำเป็นต่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ  มีการกระทำของพระเจ้าอยู่ในการนี้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 8

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 174

สภาพแวดล้อมพื้นฐานสำหรับชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างสำหรับมวลมนุษย์ (บทตอนที่คัดมา)

5. กระแสลม

สิ่งที่ห้าคืออะไร?  สิ่งนี้เกี่ยวโยงอย่างใกล้ชิดกับชีวิตของแต่ละบุคคลในแต่ละวัน  ความสัมพันธ์ของสิ่งนี้กับชีวิตมนุษย์ใกล้ชิดมากเสียจนร่างกายมนุษย์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในโลกเชิงวัตถุนี้ได้หากปราศจากมัน  สิ่งนี้คือกระแสลมนั่นเอง  ลางทีไม่ว่าใครก็สามารถเข้าใจคำนามว่า “กระแสลม” ได้ แม้เพิ่งเคยได้ยินคำนี้  ดังนั้นกระแสลมคืออะไรหรือ?  เจ้าสามารถพูดได้ว่า “กระแสลม” เป็นเพียงความเคลื่อนไหวที่ไหลเลื่อนไปของอากาศ  กระแสลมเป็นลมที่ดวงตามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้  มันยังเป็นหนทางหนึ่งที่ก๊าซทั้งหลายเคลื่อนที่ด้วย  กระนั้นในการพูดคุยนี้ ในเบื้องต้นแล้ว “กระแสลม” อ้างอิงถึงอะไรเล่า?  ทันทีที่เราพูด พวกเจ้าจะเข้าใจ  แผ่นดินโลกบรรทุกภูเขา ทะเลและสรรพสิ่งทั้งปวงแห่งการทรงสร้างไปด้วยเมื่อมันหมุน และเมื่อมันหมุน มันก็หมุนด้วยความเร็ว  แม้ว่าเจ้าจะไม่รู้สึกถึงการปั่นหมุนนี้แต่อย่างใด การหมุนรอบตัวของแผ่นดินโลกก็ยังดำรงอยู่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม  การหมุนรอบตัวของแผ่นดินโลกก่อให้เกิดสิ่งใดหรือ?  เมื่อเจ้าวิ่ง ลมไม่เกิดขึ้นและแล่นวูบผ่านหูของเจ้าไปหรอกหรือ?  หากลมสามารถกำเนิดออกมาได้ยามที่เจ้าวิ่ง จะไม่สามารถมีลมเมื่อแผ่นดินโลกหมุนรอบตัวได้อย่างไร?  เมื่อแผ่นดินโลกหมุนรอบตัว ทุกสรรพสิ่งก็อยู่ในการเคลื่อนที่  แผ่นดินโลกเองกำลังอยู่ในการเคลื่อนที่และหมุนรอบตัวด้วยความเร็วเฉพาะ ในขณะที่ทุกสรรพสิ่งบนแผ่นดินโลกก็กำลังแพร่พันธุ์และพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน  เพราะฉะนั้นการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วเฉพาะจะทำให้เกิดกระแสลมโดยธรรมชาติ  นี่คือสิ่งที่เราให้ความหมาย “กระแสลม”  กระแสลมนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์ในขอบข่ายหนึ่งหรอกหรือ?  ลองพิจารณาพายุไต้ฝุ่นดูสิว่า พายุไต้ฝุ่นปกติไม่มีพลังเป็นพิเศษ แต่เมื่อพวกมันซัดกระหน่ำ ผู้คนไม่สามารถแม้แต่จะยืนได้อย่างคงที่ไม่สั่นคลอน และมันยากเย็นที่พวกเขาจะเดินในลม  แม้แต่ก้าวเดียวก็ลำบากยากเข็ญแล้ว และผู้คนบางคนอาจถึงกับถูกลมดันไปอัดติดกับบางสิ่งบางอย่างโดยไร้ความสามารถที่จะขยับได้  นี่คือหนึ่งในหนทางทั้งหลายที่กระแสลมสามารถส่งผลกระทบต่อมวลมนุษย์ได้  หากทั้งแผ่นดินโลกถูกปกคลุมด้วยที่ราบ เช่นนั้นแล้วเมื่อโลกและทุกสรรพสิ่งหมุนรอบตัว ร่างกายมนุษย์ก็คงจะไม่มีความสามารถที่จะทานทนได้โดยสิ้นเชิงต่อกระแสลมที่ถูกผลิตขึ้นจากการนั้น  มันจะลำบากยากเย็นสุดขั้วที่จะตอบโต้สถานการณ์เช่นนั้น  หากเป็นเช่นนั้นจริง กระแสลมเช่นนี้คงจะไม่เพียงแค่นำอันตรายมาสู่มวลมนุษย์ แต่จะนำมาซึ่งการทำลายล้างโดยสมบูรณ์  มนุษย์คงจะไม่มีความสามารถที่จะอยู่รอดในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น  นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าได้ทรงสร้างสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันเพื่อแก้ปัญหากระแสลมเช่นนั้น—ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันกระแสลมจะอ่อนตัวลง เปลี่ยนทิศทางของพวกมัน เปลี่ยนความเร็วของพวกมัน และเปลี่ยนกำลังของพวกมัน  นั่นคือเหตุผลที่ผู้คนสามารถมองเห็นลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน เช่นภูเขา เทือกเขาขนาดใหญ่ ที่ราบ เนินเขา ลุ่มน้ำ หุบเขา ที่ราบสูง และแม่น้ำสายใหญ่  ด้วยคุณสมบัติพิเศษทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันเหล่านี้ พระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนความเร็ว ทิศทาง และกำลังของกระแสลม  นี่คือวิธีการที่พระองค์ทรงใช้เพื่อลดหรือบงการกระแสลมให้เป็นลมที่มีความเร็ว ทิศทาง และกำลังที่เหมาะสม เพื่อให้มนุษย์มีสภาพแวดล้อมปกติที่จะดำรงชีวิตอยู่ในนั้นได้  มีความจำเป็นที่ต้องมีการนี้หรือไม่?  (มี)  การทำบางสิ่งเช่นนี้ดูเหมือนจะลำบากยากเย็นสำหรับมนุษย์ แต่เป็นเรื่องง่ายสำหรับพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงสังเกตการณ์ทุกสรรพสิ่ง  สำหรับพระองค์แล้ว การสร้างสภาพแวดล้อมที่มีกระแสลมซึ่งเหมาะสมสำหรับมนุษย์ไม่สามารถเรียบง่ายหรือง่ายดายไปกว่านี้อีกแล้ว  เพราะฉะนั้นในสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงสร้างเช่นนี้ แต่ละสิ่งภายในการทรงสร้างทั้งหมดของพระองค์จึงมิอาจขาดไปได้  การดำรงอยู่ของทุกๆ สิ่งนั้นมีคุณค่าและความจำเป็น  อย่างไรก็ตามซาตานหรือมนุษย์ซึ่งถูกทำให้เสื่อมทรามแล้วนั้นไม่เข้าใจหลักธรรมนี้  พวกเขายังคงทำลายและพัฒนาและหาประโยชน์ต่อไป ด้วยความฝันอันสูญเปล่าที่จะแปรสภาพภูเขาให้กลายเป็นพื้นที่ราบ ถมหุบผาชันให้เต็มและสร้างตึกระฟ้าบนพื้นที่ราบเพื่อสร้างป่าคอนกรีต  เป็นความหวังของพระเจ้าว่ามวลมนุษย์จะสามารถดำรงชีวิตอย่างมีความสุข เติบโตอย่างมีความสุข และใช้แต่ละวันอย่างมีความสุขในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดนี้ ซึ่งพระองค์ได้ทรงตระเตรียมไว้ให้พวกเขา  นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าไม่เคยได้ทรงประมาทในวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่  จากอุณหภูมิถึงอากาศ จากเสียงถึงแสง พระเจ้าได้ทรงทำแผนการและการจัดการเตรียมการที่สลับซับซ้อนเพื่อที่ร่างกายของพวกมนุษย์และสภาพแวดล้อมเพื่อการมีชีวิตของพวกเขาจะไม่อยู่ภายใต้การแทรกแซงอันใดจากสภาพเงื่อนไขทางธรรมชาติทั้งหลาย และเพื่อที่มวลมนุษย์จะมีความสามารถที่จะดำรงชีวิตและเพิ่มทวีคูณตามปกติ และดำรงชีวิตอย่างเป็นปกติกับทุกสรรพสิ่งในการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนแทน  พระเจ้าทรงจัดเตรียมทั้งหมดนี้ให้แก่ทุกสรรพสิ่งและให้แก่มวลมนุษย์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 8

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 175

บัดนี้พวกเจ้าได้กลายเป็นตระหนักรู้ถึงความแตกต่างอันยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างพระเจ้ากับมวลมนุษย์แล้วหรือไม่?  ในท้ายที่สุดแล้ว ผู้ใดหรือที่เป็นเจ้านายของทุกสรรพสิ่ง?  เป็นมนุษย์หรือ?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้วอะไรเล่าคือความแตกต่างระหว่างวิธีที่พระเจ้าและมนุษย์ปฏิบัติต่อสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง?  (พระเจ้าทรงปกครองและทรงจัดการเตรียมการทุกสรรพสิ่ง ในขณะที่มนุษย์ชื่นชมสิ่งเหล่านั้น)  พวกเจ้าเห็นด้วยกับการนี้หรือไม่?  ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างพระเจ้ากับมวลมนุษย์ก็คือการที่พระเจ้าทรงปกครองและจัดเตรียมให้แก่สรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง  พระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง และในขณะที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่สรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง มวลมนุษย์ก็ชื่นชมทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านั้น  กล่าวคือ มนุษย์ชื่นชมสรรพสิ่งทั้งปวงแห่งการทรงสร้างเมื่อเขายอมรับชีวิตที่พระเจ้าประทานให้แก่ทุกสรรพสิ่ง  พระเจ้าทรงเป็นองค์เจ้านาย และมวลมนุษย์ชื่นชมดอกผลของการที่พระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง  เช่นนั้นแล้วจากมุมมองของสรรพสิ่งทั้งมวลแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า สิ่งใดหรือ คือความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับมวลมนุษย์?  พระเจ้าสามารถมองเห็นกฎทั้งหลายแห่งวิธีที่ทุกสรรพสิ่งเติบโตได้อย่างชัดเจน และพระองค์ทรงควบคุมและมีอำนาจครอบครองอยู่เหนือกฎเหล่านี้  นั่นคือ ทุกสรรพสิ่งอยู่ภายในสายพระเนตรของพระเจ้าและภายในวงเขตแห่งการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์  มวลมนุษย์สามารถมองเห็นทุกสรรพสิ่งได้หรือ?  สิ่งที่มวลมนุษย์สามารถมองเห็นได้ถูกจำกัดอยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาโดยตรง  หากเจ้าปีนขึ้นภูเขา เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้ามองเห็นก็คือภูเขานั้นเท่านั้น  เจ้าไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขาได้  หากเจ้าไปที่ชายฝั่ง สิ่งที่เจ้าเห็นเป็นเพียงด้านหนึ่งของมหาสมุทร และเจ้าไม่สามารถรู้ได้ว่าอีกด้านของมหาสมุทรเป็นเหมือนอะไร  หากเจ้าเข้าไปในป่าไม้เจ้าจะสามารถมองเห็นพืชพรรณที่อยู่เบื้องหน้าเจ้าและรอบๆ เจ้า แต่เจ้าไม่สามารถเห็นสิ่งที่ตั้งอยู่ไกลออกไปข้างหน้า  มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นสถานที่ที่สูงกว่า ไกลกว่า ลึกกว่าได้  ทั้งหมดที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้คือสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาโดยตรง ภายในลานสายตาของพวกเขา  ต่อให้มนุษย์จะรู้จักกฎที่บงการฤดูกาลทั้งสี่ของปี หรือกฎทั้งหลายแห่งวิธีที่ทุกสรรพสิ่งเติบโต พวกเขาก็ยังคงไร้ความสามารถที่จะบริหารจัดการหรือบงการทุกสรรพสิ่งได้  กระนั้นหนทางที่พระเจ้าทรงมองเห็นสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งปวงเป็นเช่นเดียวกับที่พระองค์จะทรงมองเห็นเครื่องจักรที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นด้วยพระองค์เองไม่มีผิด  พระองค์ทรงคุ้นเคยอย่างลึกซึ้งกับทุกส่วนประกอบและทุกการเชื่อมต่อ สิ่งที่เป็นหลักการของสิ่งเหล่านั้น สิ่งที่เป็นแบบแผนของสิ่งเหล่านั้น และสิ่งที่เป็นจุดประสงค์ของสิ่งเหล่านั้น—พระเจ้าทรงรู้ทั้งหมดนี้ด้วยความกระจ่างแจ้งในระดับสูงสุด  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเป็นพระเจ้า และมนุษย์ก็คือมนุษย์!  แม้ว่ามนุษย์อาจลงลึกในการศึกษาวิจัยวิทยาศาสตร์ของเขาและกฎทั้งหลายที่ปกครองทุกสรรพสิ่ง แต่การศึกษาวิจัยนั้นมีวงเขตที่จำกัด ในขณะที่พระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งสำหรับมนุษย์แล้วเป็นการควบคุมที่เป็นอนันต์  มนุษย์ผู้หนึ่งอาจสามารถใช้เวลาทั้งชีวิตทำการศึกษาวิจัยกิจการที่เล็กที่สุดของพระเจ้าโดยไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์แท้จริงอันใด  นี่คือเหตุผลที่เจ้าจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะรู้จักพระเจ้าหรือเข้าใจพระองค์ได้หากเจ้าใช้แค่ความรู้และสิ่งที่เจ้าได้เรียนรู้เพื่อศึกษาพระเจ้า  แต่หากเจ้าเลือกวิธีแห่งการแสวงหาความจริงและแสวงหาพระเจ้า และมองดูพระเจ้าจากมุมมองแห่งการมารู้จักพระองค์ เช่นนั้นแล้วสักวันหนึ่งเจ้าจะระลึกได้ว่า การกระทำของพระเจ้าอยู่ทุกแห่งหนและพระปรีชาญาณของพระเจ้าอยู่ทุกแห่งหนในเวลาเดียวกัน และเจ้าจะรู้เหตุผลที่พระเจ้าทรงได้รับการเรียกขานว่าองค์เจ้านายแห่งทุกสรรพสิ่งและแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง  ยิ่งเจ้าได้รับความเข้าใจเช่นนี้มากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งเข้าใจว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงได้รับการเรียกขานว่าองค์เจ้านายแห่งทุกสรรพสิ่งมากขึ้นเท่านั้น  ทุกสรรพสิ่งและทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งตัวเจ้า กำลังได้รับการจัดเตรียมของพระเจ้าที่หลั่งไหลแบบคงเส้นคงวาอยู่เป็นนิตย์  เจ้าจะสามารถสำนึกรับรู้ได้อย่างชัดเจนอีกด้วยว่า ในโลกนี้และท่ามกลางมวลมนุษย์นี้ ไม่มีผู้ใดเลยนอกเหนือจากพระเจ้าที่จะสามารถมีความสามารถและแก่นแท้ที่พระองค์ทรงใช้ปกครอง บริหารจัดการ และธำรงรักษาการดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่ง  เมื่อเจ้าไปถึงความเข้าใจนี้ เจ้าก็จะระลึกได้อย่างแท้จริงว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเจ้า  เมื่อเจ้าไปถึงจุดนี้ เจ้าย่อมจะได้ยอมรับพระเจ้าอย่างแท้จริงและได้ให้โอกาสพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเจ้าและองค์เจ้านายของเจ้าแล้ว  เมื่อเจ้าได้รับความเข้าใจเช่นนั้นแล้วและชีวิตของเจ้าได้ไปถึงจุดดังกล่าวแล้ว พระเจ้าก็จะไม่ทรงทดสอบเจ้าและพิพากษาเจ้าอีกต่อไป อีกทั้งพระองค์จะไม่ทรงทำการเรียกร้องอันใดจากเจ้า เพราะเจ้าจะเข้าใจพระเจ้า จะรู้จักพระหฤทัยของพระองค์ และจะได้ยอมรับพระเจ้าอย่างแท้จริงในหัวใจของเจ้าแล้ว  นี่คือเหตุผลสำคัญในการสามัคคีธรรมในหัวข้อเหล่านี้เกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงมีอำนาจครอบครองและทรงบริหารจัดการทุกสรรพสิ่ง  การทำเช่นนี้หมายที่จะให้ความรู้และความเข้าใจมากขึ้นแก่ผู้คน—ไม่ใช่เพียงเพื่อให้เจ้ายอมรับรู้ แต่เพื่อให้เจ้ารู้จักและเข้าใจการกระทำทั้งหลายของพระเจ้าในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 8

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 176

อาหารและเครื่องดื่มประจำวันที่พระเจ้าทรงตระเตรียมให้แก่มวลมนุษย์ (บทตอนที่คัดมา)

เมล็ดธัญพืช ผลไม้ และผักทั้งหลาย และถั่วเปลือกแข็งทุกชนิด—เหล่านี้เป็นอาหารมังสวิรัติทั้งสิ้น  อาหารเหล่านี้ประกอบด้วยสารอาหารเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการที่จำเป็นของร่างกายมนุษย์แม้ว่าพวกมันเป็นอาหารมังสวิรัติก็ตาม  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ได้ตรัสว่า “เราจะให้เพียงแค่อาหารเหล่านี้แก่มวลมนุษย์  ให้พวกเขากินสิ่งเหล่านี้เท่านั้น!”  พระเจ้าไม่ได้ทรงหยุดตรงนั้น แต่ได้ทรงไปต่อเพื่อตระเตรียมอาหารทั้งหลายที่อร่อยยิ่งขึ้นไว้ให้กับมวลมนุษย์มากขึ้น  อาหารเหล่านี้คืออะไร?  อาหารเหล่านี้คือเนื้อสัตว์และปลาหลากหลายประเภทที่พวกเจ้าส่วนใหญ่มีความสามารถที่จะมองเห็นและกินได้  พระองค์ได้ทรงตระเตรียมทั้งเนื้อสัตว์และปลามากมายหลายประเภทไว้ให้มนุษย์  ปลาอาศัยอยู่ในน้ำ และเนื้อหนังของปลาในน้ำแตกต่างอย่างมีสาระสำคัญจากเนื้อหนังของสัตว์ที่อาศัยบนแผ่นดิน และมันสามารถให้สารอาหารต่างๆ แก่มนุษย์ได้  ปลายังมีคุณสมบัติที่สามารถกำกับควบคุมความเย็นและความร้อนในร่างกายมนุษย์ได้ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อมนุษย์อีกด้วย  แต่อาหารอร่อยต้องไม่กินมากจนเกินไป  อย่างที่เราได้กล่าวไปแล้ว พระเจ้าประทานปริมาณที่ถูกต้องแก่มวลมนุษย์ ณ เวลาที่ถูกต้อง เพื่อให้ผู้คนสามารถชื่นชมได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับการประทานของพระองค์ในหนทางปกติและสอดคล้องกับฤดูกาลและเวลา  ทีนี้ อาหารประเภทใดหรือที่รวมอยู่ในหมวดหมู่สัตว์ปีก?  ไก่ นกคุ่ม นกพิราบ และอื่นๆ เป็นต้น  ผู้คนมากมายกินเป็ดและห่านด้วย  แม้ว่าพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมเนื้อสัตว์ประเภทเหล่านี้ไว้ทั้งหมด แต่พระองค์ก็ได้ทรงตั้งข้อพึงประสงค์บางประการสำหรับประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรและได้ทรงวางขีดจำกัดเฉพาะเจาะจงกับอาหารการกินของพวกเขาในระหว่างยุคธรรมบัญญัติ  ทุกวันนี้ขีดจำกัดเหล่านี้ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละบุคคลและการตีความด้วยตนเอง  เนื้อสัตว์ต่างๆ นานาเหล่านี้จัดเตรียมสารอาหารหลากหลายให้ร่างกายมนุษย์ โดยเติมโปรตีนและธาตุเหล็ก เพิ่มความสมบูรณ์ให้กับเลือด เสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูก และสร้างความแข็งแกร่งของร่างกาย  โดยไม่สำคัญว่าผู้คนจะปรุงและกินอาหารเหล่านี้ด้วยวิธีใด เนื้อสัตว์เหล่านี้สามารถช่วยให้ผู้คนปรับปรุงรสชาติอาหารของพวกเขาและเสริมเพิ่มความอยากอาหารของพวกเขา ในขณะเดียวกันก็ทำให้ท้องของพวกเขาพึงพอใจอีกด้วย  ที่สำคัญที่สุดคืออาหารเหล่านี้สามารถจัดหาความต้องการที่จำเป็นทางโภชนาการรายวันให้กับร่างกายมนุษย์  นี่คือการทรงพิจารณาของพระเจ้าเมื่อพระองค์ได้ทรงเตรียมอาหารให้พร้อมสำหรับมวลมนุษย์  มีผักทั้งหลาย มีเนื้อสัตว์—นี่ไม่ใช่ความอุดมหรอกหรือ?  แต่ผู้คนควรเข้าใจว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไรเมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงตระเตรียมอาหารทั้งหมดให้มวลมนุษย์  ใช่การให้มวลมนุษย์ตามใจตัวเองเกินไปในของกินเหล่านี้หรือ?  อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์กลายเป็นติดกับดักในการพยายามตอบสนองความอยากทางวัตถุเหล่านี้?  เขาจะไม่กลายเป็นได้รับการบำรุงเลี้ยงมากเกินไปหรอกหรือ?  การได้รับการบำรุงเลี้ยงมากเกินไปทำให้ร่างกายมนุษย์เจ็บป่วยในหลายๆ ทางมิใช่หรือ?  (ใช่)  นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงจัดสัดส่วนให้มีปริมาณที่ถูกต้อง ณ เวลาที่ถูกต้อง และทรงให้ผู้คนชื่นชมกับอาหารที่แตกต่างกันโดยสอดคล้องกับช่วงเวลาและฤดูกาลที่แตกต่างกัน  ตัวอย่างเช่น หลังจากฤดูร้อนที่ร้อนมาก ผู้คนสะสมความร้อนอย่างมากไว้ในร่างกายของพวกเขา รวมถึงความแห้งกร้านและความชื้นแฉะซึ่งก่อให้เกิดโรค  เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง ผลไม้หลายประเภทก็สุก และเมื่อผู้คนกินผลไม้เหล่านี้ ความชื้นแฉะในร่างกายของพวกเขาจะถูกขับออกไป  ณ เวลานี้ฝูงปศุสัตว์และแกะก็ได้เติบโตแข็งแรงขึ้นเช่นกัน ดังนั้นนี่จึงเป็นเวลาที่ผู้คนควรกินเนื้อสัตว์มากขึ้นเพื่อการบำรุงเลี้ยง  โดยการกินเนื้อสัตว์หลากหลายประเภท ร่างกายของผู้คนจะได้รับพลังงานและความอบอุ่นเพื่อช่วยให้พวกเขาทานทนต่อความหนาวเย็นของฤดูหนาวได้ และผลลัพธ์ก็คือ พวกเขามีความสามารถที่จะผ่านฤดูหนาวได้อย่างปลอดภัยและมีสุขภาพดี  พระเจ้าทรงควบคุมและประสานงานด้วยความใส่พระทัยและความแม่นยำสูงสุดว่า จะทรงจัดเตรียมอะไรให้แก่มวลมนุษย์ และเมื่อไร และเมื่อไรที่พระองค์จะทรงให้สิ่งต่างๆ เติบโต ออกผล และสุก  การนี้เกี่ยวโยงกับ “วิธีที่พระเจ้าทรงตระเตรียมอาหารที่มนุษย์ต้องการในชีวิตประจำวันของเขา”  นอกเหนือจากอาหารหลายประเภทแล้ว พระเจ้ายังทรงจัดเตรียมแหล่งน้ำให้กับมวลมนุษย์อีกด้วย  หลังจากกินแล้ว ผู้คนยังคงต้องการดื่มน้ำ  ผลไม้เพียงลำพังจะเพียงพอหรือไม่?  ผู้คนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ด้วยผลไม้เพียงลำพัง และนอกจากนี้ บางฤดูกาล  ก็ไม่มีผลไม้  ดังนั้นปัญหาเรื่องน้ำของมวลมนุษย์จะสามารถแก้ไขได้อย่างไร?  พระเจ้าได้ทรงแก้ไขปัญหานั้นโดยการตระเตรียมแหล่งน้ำมากมายทั้งบนและใต้พื้นดิน รวมถึงทะเลสาบ แม่น้ำ และน้ำพุ  แหล่งน้ำเหล่านี้สามารถดื่มได้ตราบเท่าที่ไม่มีการปนเปื้อน และตราบเท่าที่ผู้คนไม่ได้ไปบงการหรือทำให้เสียหาย  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในแง่ของแหล่งอาหารที่ค้ำชูชีวิตของร่างกายทางกายภาพของมวลมนุษย์ พระเจ้าได้ทรงทำการตระเตรียมที่แม่นยำมาก เที่ยงตรงมาก และเหมาะสมมาก เพื่อที่ชีวิตของผู้คนจะได้มั่งคั่งและล้นเหลือและไม่ขาดพร่องสิ่งใด  นี่คือบางสิ่งที่ผู้คนสามารถรู้สึกและมองเห็นได้

นอกจากนี้ พระเจ้าได้ทรงสร้างพืช สัตว์บางอย่าง และสมุนไพรอันหลากหลายขึ้นมาท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง โดยหมายเฉพาะให้รักษาอาการบาดเจ็บหรือเยียวยาความเจ็บป่วยในร่างกายมนุษย์  ยกตัวอย่างเช่น อะไรคือสิ่งที่ใครบางคนควรทำหากถูกไฟไหม้หรือบังเอิญทำน้ำร้อนลวกตัวเอง?  เจ้าสามารถชำระล้างแผลไฟไหม้ด้วยน้ำเท่านั้นก็ได้หรือ?  เจ้าสามารถแค่พันแผลด้วยผ้าเก่าๆ ผืนใดก็ได้หรือ?  หากเจ้าทำเช่นนั้น แผลอาจเต็มไปด้วยหนองหรือกลายเป็นติดเชื้อ  ยกตัวอย่างเช่น หากใครบางคนเป็นไข้หรือติดหวัด ได้รับบาดเจ็บขณะกำลังทำงาน เกิดการเจ็บป่วยเกี่ยวกับกระเพาะอาหารจากการกินสิ่งที่ผิด หรือเป็นโรคบางอย่างที่เกิดจากปัจจัยทั้งหลายตามลักษณะแนวของชีวิตหรือประเด็นปัญหาด้านภาวะอารมณ์ รวมถึงโรคหลอดเลือด สภาพทางจิตวิทยา หรือโรคของอวัยวะภายใน เช่นนั้นแล้วก็มีพืชที่สอดรับกันซึ่งเยียวยาสภาพเงื่อนไขของพวกเขา  มีพืชที่ปรับปรุงการไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้นและขจัดความเมื่อยล้า บรรเทาปวด ห้ามเลือด ให้ยาสลบ ช่วยรักษาผิวหนังและฟื้นฟูผิวหนังสู่สภาพเงื่อนไขปกติ และสลายเลือดหนืดและกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย—โดยสังเขปแล้วพืชเหล่านี้มีการใช้ในชีวิตประจำวัน  ผู้คนสามารถใช้พืชเหล่านี้ได้ และพวกมันได้ถูกตระเตรียมโดยพระเจ้าสำหรับร่างกายมนุษย์ในกรณีที่จำเป็น  พระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้มนุษย์ค้นพบพืชเหล่านี้บางส่วนโดยบังเอิญ ในขณะที่ส่วนอื่นๆ ถูกค้นพบโดยผู้คนที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรให้ค้นพบ หรือเป็นผลลัพธ์จากปรากฏการณ์พิเศษที่พระองค์ได้ทรงจัดวางเรียบเรียง  หลังการค้นพบพืชเหล่านี้มวลมนุษย์ก็จะส่งต่อลงไป และผู้คนมากมายจะได้มารู้เกี่ยวกับพืชเหล่านี้  ดังนั้นการที่พระเจ้าทรงสร้างพืชเหล่านี้ขึ้นจึงมีคุณค่าและความหมาย  โดยสรุป สิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากพระเจ้า ได้รับการตระเตรียมและเพาะปลูกโดยพระองค์เมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อการมีชีวิตของมวลมนุษย์  สิ่งเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่ง  กระบวนการทรงดำริของพระเจ้าถ้วนทั่วกว่ากระบวนการคิดเหล่านั้นของมวลมนุษย์หรือไม่?  เมื่อเจ้ามองเห็นทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงทำ เจ้ามีสำนึกรับรู้ถึงด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าหรือไม่?  พระเจ้าทรงพระราชกิจในความลับ  พระเจ้าได้ทรงสร้างทั้งหมดนี้เมื่อมนุษย์ยังไม่ได้มาอยู่ในพิภพนี้ เมื่อพระองค์ยังไม่ทรงได้มีการติดต่อกับมวลมนุษย์  ทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างโดยทรงคำนึงถึงมวลมนุษย์ เพื่อประโยชน์แห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์ และด้วยพระดำริเพื่อความอยู่รอดของพวกเขา เพื่อที่มวลมนุษย์จะมีชีวิตอย่างมีความสุขในโลกเชิงวัตถุอันมั่งคั่งและล้นเหลือนี้ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงตระเตรียมไว้ให้พวกเขา โดยปราศจากความกังวลเกี่ยวกับอาหารหรือเสื้อผ้า ไม่ขาดพร่องสิ่งใดเลย  ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ มวลมนุษย์ย่อมสามารถขยายพันธุ์และอยู่รอดต่อไปได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 8

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 177

พวกเราได้เริ่มต้นโดยการพูดคุยเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่มนุษย์อาศัยอยู่และสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำเพื่อสภาพแวดล้อมนั้นและการตระเตรียมทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงทำ  พวกเราได้เสวนาถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมการ สัมพันธภาพระหว่างสิ่งทั้งหลายแห่งการทรงสร้าง ซึ่งพระเจ้าได้ทรงตระเตรียมไว้ให้มวลมนุษย์ และวิธีที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมสัมพันธภาพเหล่านี้เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งทั้งหลายแห่งการทรงสร้างของพระองค์ทำอันตรายมวลมนุษย์  พระเจ้ายังได้ทรงลดทอนอันตรายที่ปัจจัยต่างๆ มากมายภายในการทรงสร้างของพระองค์อาจมีต่อสภาพแวดล้อมของมวลมนุษย์อีกด้วย เปิดโอกาสให้สรรพสิ่งทำหน้าที่ตามจุดประสงค์สูงสุดของตน และนำพาสภาพแวดล้อมที่เป็นคุณประโยชน์พร้อมด้วยองค์ประกอบที่เป็นคุณประโยชน์มาสู่มวลมนุษย์ ด้วยเหตุนั้น จึงทำให้มวลมนุษย์สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมเช่นนั้นได้ และดำเนินวงจรชีวิตและการขยายพันธุ์ต่อไปได้อย่างคงที่  ถัดมา พวกเราได้พูดคุยเกี่ยวกับอาหารที่ร่างกายมนุษย์ต้องการ—อาหารและเครื่องดื่มประจำวันของมวลมนุษย์  นี่ก็เป็นสภาพเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับความอยู่รอดของมวลมนุษย์เช่นกัน  กล่าวคือ ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการหายใจเพียงอย่างเดียว โดยมีเพียงแค่แสงอาทิตย์เพื่อการยังชีพ หรือลม หรืออุณหภูมิที่เหมาะสม  มนุษย์ยังจำเป็นต้องเติมท้องของพวกเขาให้เต็มอีกด้วย และพระเจ้าได้ทรงตระเตรียมแหล่งที่มาของสิ่งทั้งหลายไว้สำหรับมวลมนุษย์แล้วโดยไม่มองข้ามสิ่งใดเลย เพื่อที่พวกเขาจะได้ใช้ทำเช่นนั้น ซึ่งก็คือแหล่งอาหารของมวลมนุษย์นั่นเอง  เมื่อเจ้าได้เห็นผลิตผลอันมั่งคั่งและเอื้ออารีเช่นนี้—แหล่งที่มาของอาหารและเครื่องดื่มของมวลมนุษย์—เจ้าจะสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเป็นแหล่งที่มาของการจัดหาสำหรับมวลมนุษย์และสำหรับสรรพสิ่งทั้งมวลแห่งการทรงสร้างของพระองค์?  หากในช่วงระหว่างเวลาแห่งการทรงสร้าง พระเจ้าได้ทรงสร้างเพียงแค่ต้นไม้และต้นหญ้าหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จำนวนเท่าใดก็ตาม และหากสิ่งมีชีวิตและพืชต่างๆ เหล่านี้มีไว้ให้วัวและแกะกินทั้งหมด หรือมีไว้ให้ม้าลาย กวาง และสัตว์ประเภทอื่นๆ อีกหลากหลาย ยกตัวอย่างเช่นสิงโตต้องกินสิ่งทั้งหลายเช่นม้าลายและกวาง และเสือต้องกินสิ่งทั้งหลายเช่นแกะและหมู—แต่ไม่มีแม้สักสิ่งเดียวที่เหมาะสมให้มนุษย์กินแล้ว มันจะใช้ได้หรือไม่?  มันจะใช้ไม่ได้  มวลมนุษย์คงจะไม่มีความสามารถที่จะอยู่รอดได้นาน  จะเกิดอะไรขึ้นหากมนุษย์กินแต่ใบไม้เท่านั้น?  มันจะใช้ได้หรือไม่?  มนุษย์จะสามารถกินต้นหญ้าที่มีไว้สำหรับแกะหรือไม่?  มันอาจจะไม่เป็นไรหากพวกเขาได้ลองสักนิดหน่อย แต่หากพวกเขาได้กินสิ่งทั้งหลายเช่นนั้นเป็นเวลานาน ท้องของพวกเขาก็คงจะไม่มีความสามารถที่จะทนยอมรับได้ และผู้คนก็คงจะไม่ได้มีชีวิตอยู่ยืนยาว  มีแม้แต่สิ่งทั้งหลายที่สัตว์สามารถกินได้แต่เป็นพิษต่อมนุษย์—สัตว์กินพวกมันโดยไม่มีผลสืบเนื่องตามมา แต่สำหรับมนุษย์ไม่เป็นเช่นนั้น  กล่าวคือพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ ดังนั้นพระเจ้าทรงรู้ดีที่สุดถึงหลักการทั้งหลายและโครงสร้างของร่างกายมนุษย์และสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องการ  พระเจ้าทรงรู้จักอย่างกระจ่างแจ้งเพียบพร้อมถึงสิ่งประกอบและสิ่งที่บรรจุอยู่ของร่างกาย ความต้องการที่จำเป็นของร่างกายและการทำหน้าที่ของอวัยวะภายในของร่างกาย และวิธีที่พวกมันดูดซับ กำจัด และเผาผลาญสสารต่างๆ  มนุษย์ไม่รู้ บางครั้งพวกเขากินอย่างผลีผลาม หรือหลงไปใช้วิธีดูแลตนเองอย่างไม่ระมัดระวัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่มากเกินไปเป็นเหตุให้เกิดความไม่สมดุล  หากเจ้ากินและชื่นชมสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมไว้ให้เจ้าในหนทางปกติ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะไม่มีปัญหาสุขภาพ  ต่อให้บางครั้งเจ้าประสบกับอารมณ์เสียต่างๆ และเจ้ามีภาวะเลือดหนืด นี่ก็ไม่สร้างปัญหาอะไรเลย  เจ้าเพียงแค่จำเป็นต้องกินพืชบางประเภท และภาวะเลือดหนืดก็จะหายไป  พระเจ้าได้ทรงทำการตระเตรียมสำหรับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  ดังนั้นในสายพระเนตรของพระเจ้า มวลมนุษย์อยู่เหนือสิ่งมีชีวิตอื่นใดอย่างมาก  พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสภาพแวดล้อมสำหรับพืชแต่ละประเภท และพระองค์ได้ทรงตระเตรียมอาหารและสภาพแวดล้อมสำหรับสัตว์แต่ละประเภท แต่มวลมนุษย์มีความต้องการที่จำเป็นอันเคร่งครัดชัดเจนที่สุดต่อสภาพแวดล้อม และความต้องการที่จำเป็นเหล่านั้นก็ไม่อาจถูกมองข้ามได้แม้เพียงเล็กน้อย หากเป็นเช่นนั้น มวลมนุษย์ก็คงจะไร้ความสามารถที่จะพัฒนาและมีชีวิตอยู่และขยายพันธุ์ต่อไปได้ในหนทางปกติ  เป็นพระเจ้านั่นเองที่ทรงรู้ดีที่สุดในพระทัยของพระองค์  เมื่อพระเจ้าได้ทรงทำเช่นนี้ พระองค์ได้ทรงให้ความสำคัญกับการนั้นมากกว่าสิ่งอื่นใด  ลางทีเจ้าอาจไร้ความสามารถที่จะสำนึกรับรู้ความสำคัญของสิ่งที่ไม่น่าสนใจบางสิ่งที่เจ้าสามารถมองเห็นและชื่นชมในชีวิตของเจ้า หรือบางสิ่งที่เจ้ามองเห็นและชื่นชมซึ่งเจ้าได้มีมาตั้งแต่เกิด แต่พระเจ้าได้ทรงทำการตระเตรียมไว้แล้วสำหรับเจ้านานมาแล้วหรือไม่ก็ทรงทำอย่างลับๆ  พระเจ้าได้ทรงขจัดและทำให้องค์ประกอบเชิงลบทั้งหมดที่ไม่เอื้ออำนวยต่อมวลมนุษย์และอาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ทุเลาลงจนถึงขอบข่ายยิ่งใหญ่ที่สุดที่เป็นไปได้  การนี้แสดงให้เห็นอะไรหรือ?  นั่นแสดงให้เห็นท่าทีที่พระเจ้าได้ทรงมีต่อมวลมนุษย์เมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงสร้างพวกเขาคราวนี้หรือไม่?  ท่าทีนั้นคืออะไร?  ท่าทีของพระเจ้ารอบคอบและเอาจริงเอาจัง และไม่ได้ยอมทนให้มีการแทรกแซงโดยกำลังบังคับของศัตรูหรือปัจจัยภายนอกหรือสภาพเงื่อนไขอันใดที่ไม่ใช่ของพระองค์  ในการนี้สามารถมองเห็นท่าทีของพระเจ้าในการทรงสร้างและบริหารจัดการมวลมนุษย์คราวนี้ได้  และท่าทีของพระเจ้าคืออะไรหรือ?  โดยผ่านทางสภาพแวดล้อมเพื่อความอยู่รอดและชีวิตที่มวลมนุษย์ชื่นชม รวมถึงในอาหารและเครื่องดื่มประจำวันและความต้องการที่จำเป็นรายวันของพวกเขา พวกเราสามารถมองเห็นท่าทีแห่งความรับผิดชอบของพระเจ้าต่อมวลมนุษย์ซึ่งพระองค์ได้ทรงยึดถือมานับตั้งแต่พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ ตลอดจนความมุ่งมั่นของพระองค์ที่จะทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ณ เวลานี้  ความจริงแท้ของพระเจ้าสามารถมองเห็นได้ในสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  ความน่าอัศจรรย์ของพระองค์เล่า?  ความไม่สามารถหยั่งถึงได้ของพระองค์เล่า?  ฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์เล่า?  พระเจ้าทรงใช้หนทางอันทรงพระปัญญาและเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์เพื่อจัดเตรียมไว้ให้มวลมนุษย์ทั้งปวง ตลอดจนการจัดเตรียมสิ่งทั้งหลายทั้งหมดแห่งการทรงสร้างของพระองค์  บัดนี้ที่เราได้พูดกับเจ้าไปมากมายยิ่งนักแล้ว พวกเจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง?  (ได้)  นั่นเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน  เจ้ามีข้อสงสัยอันใดหรือไม่?  (ไม่)  การจัดเตรียมของพระเจ้าสำหรับทุกสรรพสิ่งเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง เพราะพระองค์ทรงเป็นแหล่งที่มาของการจัดเตรียมที่ได้ทำให้ทุกสรรพสิ่งสามารถดำรงอยู่ มีชีวิต ขยายพันธุ์ และดำเนินต่อไป และไม่มีแหล่งที่มาอื่นใดยกเว้นพระเจ้าพระองค์เอง  พระเจ้าทรงจัดเตรียมเพื่อความต้องการที่จำเป็นทั้งหมดของทุกสรรพสิ่งและความต้องการที่จำเป็นทั้งหมดของมวลมนุษย์ ไม่ว่าเหล่านั้นเป็นความต้องการที่จำเป็นด้านสภาพแวดล้อมพื้นฐานที่สุดของผู้คน ความต้องการที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของพวกเขา หรือความต้องการที่จำเป็นสำหรับความจริงที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้แก่จิตวิญญาณของผู้คน  พระอัตลักษณ์ของพระเจ้าและสถานะของพระองค์มีความสำคัญต่อมวลมนุษย์อย่างมากในทุกทาง พระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง  กล่าวคือ พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ปกครอง องค์เจ้านาย และองค์ผู้จัดเตรียมของโลกนี้ โลกนี้ที่ผู้คนสามารถมองเห็นและรู้สึกได้  สำหรับมวลมนุษย์แล้ว นี่ไม่ใช่พระอัตลักษณ์ของพระเจ้าหรอกหรือ?  ไม่มีสิ่งใดเป็นเท็จในการนี้  ดังนั้นเมื่อเจ้าเห็นนกกำลังบินบนท้องฟ้า เจ้าควรรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถบินได้  มีสิ่งมีชีวิตที่ว่ายในน้ำ และพวกมันมีหนทางของพวกมันเองในการอยู่รอด  ต้นไม้และพืชพรรณที่อาศัยอยู่ในดินผลิดอกและงอกงามในฤดูใบไม้ผลิ และออกผลและผลัดใบในฤดูใบไม้ร่วง และเมื่อถึงฤดูหนาวใบไม้ทั้งหมดก็ร่วงไปเมื่อพืชพรรณเหล่านั้นตระเตรียมที่จะกรำฝ่าให้พ้นฤดูหนาวไปได้  นั่นคือหนทางแห่งความอยู่รอดของพวกมัน  พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง และแต่ละสิ่งดำรงชีวิตในรูปแบบที่แตกต่างกันและหนทางที่แตกต่างกันและใช้วิธีการที่แตกต่างกันเพื่อจัดแสดงพลังชีวิตของมันและรูปแบบที่มันดำรงชีวิตอยู่  ไม่สำคัญว่าสิ่งทั้งหลายจะดำเนินชีวิตอย่างไร สิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้า  อะไรหรือคือพระประสงค์ของพระเจ้าในการปกครองรูปแบบที่แตกต่างกันทั้งมวลของชีวิตและสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย?  นั่นเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความอยู่รอดของมวลมนุษย์ใช่หรือไม่?  พระองค์ทรงควบคุมกฎแห่งชีวิตทั้งมวล ทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์แห่งความอยู่รอดของมวลมนุษย์  นี่แสดงให้เห็นเลยว่าความอยู่รอดของมนุษย์สำคัญเพียงใดสำหรับพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 8

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 178

พระเจ้าไม่ทรงเป็นเพียงพระเจ้าของประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร  ในเวลานี้เจ้าติดตามพระเจ้า และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเจ้า แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของพวกที่ไม่ติดตามพระองค์หรือไม่?  พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของพวกผู้คนเหล่านั้นทั้งหมดที่ไม่ติดตามพระองค์หรือไม่?  พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของทุกสรรพสิ่งหรือไม่?  (เป็น)  เช่นนั้นแล้วพระราชกิจและการกระทำของพระเจ้าถูกจำกัดในวงเขตเฉพาะบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์เท่านั้นหรือไม่?  (ไม่)  อะไรคือวงเขตของพระราชกิจและการกระทำของพระองค์?  ในระดับที่เล็กที่สุด วงเขตของพระราชกิจและการกระทำของพระองค์โอบล้อมมวลมนุษย์ทั้งปวงและทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้าง  ในระดับสูงสุด วงเขตนั้นโอบล้อมทั้งจักรวาล ซึ่งผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้  ดังนั้น พวกเราอาจพูดว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์และทรงแสดงการกระทำของพระองค์ท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งปวง และนี่ก็เพียงพอที่จะเปิดโอกาสให้ผู้คนมารู้จักพระเจ้าพระองค์เองในความครบถ้วนทั้งมวลของพระองค์  หากเจ้าต้องการรู้จักพระเจ้า รู้จักพระองค์อย่างแท้จริง เข้าใจพระองค์อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว จงอย่าจำกัดตัวเองอยู่กับพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้า หรืออยู่กับเรื่องราวทั้งหลายเกี่ยวกับพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติในอดีตเท่านั้น  หากเจ้าพยายามรู้จักพระองค์ในหนทางนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังวางข้อจำกัดต่อพระเจ้า กำลังจำกัดขอบเขตพระองค์  เจ้ากำลังเห็นพระเจ้าทรงเป็นบางสิ่งที่เล็กมาก  การทำเช่นนั้นจะส่งผลต่อผู้คนอย่างไร?  เจ้าคงจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะรู้จักความน่าอัศจรรย์และมไหศวรรย์ของพระเจ้า อีกทั้งฤทธานุภาพและฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์และวงเขตแห่งสิทธิอำนาจของพระองค์  ความเข้าใจเช่นนั้นคงจะมีผลกระทบต่อความสามารถของเจ้าที่จะยอมรับความจริงที่ว่า พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ปกครองของทุกสรรพสิ่ง ตลอดจนความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับพระอัตลักษณ์และสถานภาพที่แท้จริงของพระเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้ามีวงเขตที่จำกัด เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าสามารถรับได้ก็จำกัดเช่นกัน  นี่คือเหตุผลที่เจ้าต้องทำให้วงเขตของเจ้ากว้างขึ้นและขยายเส้นขอบฟ้าของเจ้า  เจ้าควรพยายามเข้าใจสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด—วงเขตของพระราชกิจของพระเจ้า การบริหารจัดการของพระองค์ การปกครองของพระองค์ และทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงบริหารจัดการและที่พระองค์ทรงปกครอง  เจ้าควรมาเข้าใจการกระทำของพระเจ้าโดยผ่านทางสิ่งเหล่านี้นี่เอง  ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ เจ้าจะมารู้สึกโดยไม่ทันตระหนักว่าพระเจ้าทรงปกครอง ทรงบริหารจัดการ และทรงจัดเตรียมไว้ให้ทุกสรรพสิ่งท่ามกลางพวกเขา และเจ้าก็จะรู้สึกอย่างแท้จริงว่าเจ้าเป็นส่วนหนึ่งและสมาชิกคนหนึ่งของทุกสรรพสิ่งด้วยเช่นกัน  ในขณะที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ทุกสรรพสิ่ง เจ้าก็กำลังยอมรับการปกครองและการจัดเตรียมของพระเจ้าเช่นกัน  นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธได้  ทุกสรรพสิ่งอยู่ภายใต้กฎของตัวเองภายใต้การปกครองของพระเจ้า และภายใต้การปกครองของพระเจ้า ทุกสรรพสิ่งมีกฎเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง  ชะตากรรมและความต้องการของมวลมนุษย์ก็ถูกพันธนาการไว้ด้วยกันกับการปกครองและการจัดเตรียมของพระเจ้าเช่นกัน  นั่นคือเหตุผลที่ภายใต้อำนาจครอบครองและการปกครองของพระเจ้า มวลมนุษย์และทุกสรรพสิ่งเชื่อมโยงกัน พึ่งพากันและกันและถักทอเข้าด้วยกัน  นี่คือจุดประสงค์และคุณค่าของการที่พระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 8

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 179

นับตั้งแต่ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งขึ้น พวกมันก็ทำหน้าที่และยังคงดำเนินก้าวหน้าต่อไปในวิถีทางที่เป็นระเบียบและโดยสอดคล้องกับธรรมบัญญัติที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติขึ้น  ภายใต้สายพระเนตรอันจับจ้องของพระองค์ ภายใต้การปกครองของพระองค์ มวลมนุษย์อยู่รอดเสมอมา และทุกสรรพสิ่งก็พัฒนาไปในทางที่เป็นระเบียบตลอดมา  ไม่มีสิ่งใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือทำลายธรรมบัญญัติเหล่านี้ได้  การที่สิ่งมีชีวิตทั้งปวงสามารถทวีจำนวนขึ้นได้นั้นเป็นเพราะการปกครองของพระเจ้า และการที่สิ่งมีชีวิตทั้งปวงสามารถอยู่รอดได้นั้นเป็นเพราะการปกครองและการบริหารจัดการของพระองค์  กล่าวคือ ภายใต้การปกครองของพระเจ้านั้นสิ่งมีชีวิตทั้งปวงมาดำรงอยู่ เจริญเติบโต หายไป และเกิดใหม่อย่างเป็นระเบียบ  เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ฝนพรำๆ นำมาซึ่งความรู้สึกของฤดูกาลอันสดชื่นและทำให้แผ่นดินโลกชุ่มชื้น  พื้นดินเริ่มอ่อนนุ่ม และหญ้าก็ดันตัวพ้นดินขึ้นมาและเริ่มแตกหน่อ ในขณะที่ต้นไม้ทั้งหลายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียว  สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ทั้งหมดนำความมีชีวิตชีวาอันสดชื่นมาสู่แผ่นดินโลก  นี่คือสิ่งที่เห็นกันได้เมื่อสิ่งมีชีวิตทั้งปวงกำลังมาดำรงอยู่และเจริญเติบโต  สัตว์ทุกชนิดออกมาจากโพรงของพวกมันเพื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิและเริ่มต้นปีใหม่  สิ่งมีชีวิตทั้งปวงอาบแดดในความร้อนในช่วงระหว่างฤดูร้อนและชื่นชมกับความอบอุ่นซึ่งฤดูกาลนำมา  พวกมันเติบโตอย่างรวดเร็ว  บรรดาต้นไม้ หญ้า และพืชทุกชนิดกำลังเติบโตด้วยความเร็วมาก จนกระทั่งพวกมันผลิดอกและออกผลในที่สุด  สิ่งมีชีวิตทั้งปวง รวมถึงมนุษย์ ต่างก็ยุ่งวุ่นวายในช่วงระหว่างฤดูร้อน  ในฤดูใบไม้ร่วง ฝนนำมาซึ่งความเย็นฉ่ำของฤดูใบไม้ร่วง และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเริ่มรู้สึกถึงการมาถึงของฤดูกาลเก็บเกี่ยว  สิ่งมีชีวิตทั้งปวงผลิดอกออกผล และมนุษย์ก็เริ่มเก็บเกี่ยวผลไม้หลากหลายชนิดเหล่านี้เพื่อที่จะมีอาหารตระเตรียมไว้สำหรับฤดูหนาว  ในฤดูหนาว สิ่งมีชีวิตทั้งปวงค่อยๆ เริ่มที่จะสงบลงในความเงียบและหยุดพักเมื่ออากาศหนาวย่างกรายเข้ามา และผู้คนก็หยุดพักผ่อนในระหว่างฤดูกาลนี้เช่นกัน  จากฤดูกาลสู่ฤดูกาล การเปลี่ยนผ่านจากฤดูใบไม้ผลิไปสู่ฤดูร้อนไปสู่ฤดูใบไม้ร่วงไปสู่ฤดูหนาว—ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเหล่านี้เกิดขึ้นตามธรรมบัญญัติหรือกฎที่พระเจ้าทรงบัญญัติ  พระองค์ทรงนำทางทุกสรรพสิ่งและมวลมนุษย์โดยใช้กฎเหล่านี้และได้ทรงคิดค้นหนทางแห่งชีวิตอันมีสีสันและมั่งคั่งเพื่อมวลมนุษย์ โดยทรงตระเตรียมสภาพแวดล้อมเพื่อการอยู่รอดซึ่งมีอุณหภูมิและฤดูกาลอันแตกต่างหลากหลาย  ดังนั้น ภายในสภาพแวดล้อมอันเป็นระเบียบแบบแผนสำหรับการอยู่รอดประเภทนี้ มนุษย์จึงสามารถอยู่รอดและทวีจำนวนขึ้นในทางอันเป็นระเบียบแบบแผนได้  มนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนกฎเหล่านี้ได้และไม่มีบุคคลหรือสิ่งมีชีวิตใดสามารถทำลายพวกมันได้  แม้ว่าจะได้เกิดการเปลี่ยนแปลงนับไม่ถ้วนขึ้น—กล่าวคือ ทะเลได้กลายเป็นทุ่งหญ้า ในขณะที่ทุ่งหญ้าได้กลายเป็นทะเล—กฎเหล่านี้ก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไป  พวกมันดำรงอยู่เพราะพระเจ้าทรงดำรงอยู่ และเพราะการปกครองของพระองค์และการบริหารจัดการของพระองค์  ด้วยสภาพแวดล้อมอันเป็นระเบียบแบบแผนขนาดใหญ่ประเภทนี้ ชีวิตของผู้คนจึงดำเนินไปภายในธรรมบัญญัติและกฎเกณฑ์เหล่านี้  ผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้ถูกฟูมฟักขึ้นมาภายใต้ธรรมบัญญัติเหล่านี้ และผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้อยู่รอดตลอดมาภายใต้ธรรมบัญญัติ  ผู้คนได้ชื่นชมกับสภาพแวดล้อมอันเป็นระเบียบแบบแผนสำหรับการอยู่รอดนี้ ตลอดจนได้ชื่นชมกับหลายสิ่งหลายอย่างที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นสำหรับชนรุ่นแล้วรุ่นเล่า  แม้ว่าผู้คนจะรู้สึกว่ากฎประเภทนี้มีอยู่ตามธรรมชาติและมองข้ามอย่างดูแคลน และแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถรู้สึกได้ว่าพระเจ้ากำลังทรงจัดวางเรียบเรียงกฎเหล่านี้ ว่าพระเจ้ากำลังทรงปกครองกฎเหล่านี้ ไม่ว่าอะไรก็ตาม พระเจ้าทรงเกี่ยวพันกับพระราชกิจที่ไม่เปลี่ยนแปลงนี้เสมอ  พระประสงค์ของพระองค์ในพระราชกิจที่ไม่เปลี่ยนแปลงนี้คือการอยู่รอดของมวลมนุษย์ และเพื่อที่มวลมนุษย์จะได้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไป

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 9

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 180

พระเจ้าทรงกำหนดอาณาเขตสำหรับทุกสรรพสิ่งเพื่อที่จะเลี้ยงดูมวลมนุษย์ทั้งปวง (บทตอนที่คัดมา)

วันนี้ เราจะพูดถึงหัวข้อเกี่ยวกับว่า กฎประเภทนี้ที่พระเจ้าได้ทรงนำมาสู่ทุกสรรพสิ่งนั้น เลี้ยงดูมวลมนุษย์ทั้งปวงอย่างไร  นี่เป็นหัวข้อที่ค่อนข้างกว้าง ดังนั้นพวกเราจึงสามารถแบ่งมันออกเป็นหลายส่วนและหารือเกี่ยวกับส่วนต่างๆ ทีละหัวข้อเพื่อที่จะสามารถวาดเค้าโครงส่วนต่างๆ เหล่านี้สำหรับพวกเจ้าได้อย่างชัดเจน  ด้วยหนทางนี้ จะเป็นการง่ายขึ้นที่พวกเจ้าจะจับความเข้าใจและพวกเจ้าจะสามารถค่อยๆ เข้าใจมันได้

ส่วนที่หนึ่ง: พระเจ้าทรงกำหนดอาณาเขตสำหรับภูมิประเทศแต่ละชนิด

ดังนั้น พวกเรามาเริ่มกันที่ส่วนแรกเถิด  เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ได้ทรงวาดอาณาเขตสำหรับภูเขา ที่ราบ ทะเลทราย เนินเขา แม่น้ำ และทะเลสาบ  บนแผ่นดินโลกมีภูเขา ที่ราบ ทะเลทราย และเนินเขา ตลอดจนแหล่งน้ำอันหลากหลาย  เหล่านี้ประกอบขึ้นเป็นภูมิประเทศประเภทต่างๆ กัน มิใช่หรือ?  พระเจ้าได้ทรงวาดอาณาเขตขึ้นระหว่างภูมิประเทศเหล่านี้  เมื่อพวกเราพูดถึงการวาดอาณาเขต มันหมายความว่าภูเขามีภาพเค้าโครงของพวกมัน ที่ราบมีภาพเค้าโครงของพวกมันเอง ทะเลทรายมีเขตจำกัดที่แน่นอน และเนินเขามีพื้นที่ตายตัว  ยังมีปริมาณที่ตายตัวของแหล่งน้ำต่างๆ อาทิ แม่น้ำและทะเลสาบอีกด้วย  กล่าวคือ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ได้ทรงแบ่งทุกสิ่งทุกอย่างไว้อย่างชัดเจนมาก  พระเจ้าได้ทรงกำหนดพิจารณาแล้วว่า ภูเขาที่ให้ไว้ลูกใดก็ตามควรมีรัศมีกี่กิโลเมตรและวงเขตของมันคืออะไร  พระองค์ยังได้ทรงกำหนดพิจารณาอีกด้วยว่า ที่ราบที่ให้ไว้ผืนใดควรมีรัศมีกี่กิโลเมตรและวงเขตของมันมีเท่าไร  เมื่อทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ยังได้ทรงกำหนดพิจารณาเขตจำกัดของทะเลทรายตลอดจนแนวเขตของเนินเขาและสัดส่วนของพวกมัน และพวกมันถูกกั้นเขตด้วยอะไรอีกด้วย—ทั้งหมดนี้ถูกกำหนดพิจารณาโดยพระองค์  พระองค์ได้ทรงกำหนดพิจารณาแนวเขตของแม่น้ำและทะเลสาบในระหว่างกิจการแห่งการทรงสร้างพวกมัน—พวกมันทั้งหมดมีอาณาเขตของพวกมัน  ดังนั้นแล้วเมื่อพวกเราพูดคุยเกี่ยวกับ “อาณาเขต” มันหมายถึงอะไร?  พวกเราเพิ่งได้พูดคุยกันไปเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงปกครองทุกสรรพสิ่งโดยการทรงจัดตั้งกฎสำหรับทุกสรรพสิ่ง  กล่าวคือ แนวเขตและอาณาเขตของภูเขาจะไม่ขยายหรือลดลงเพราะการหมุนของแผ่นดินโลกหรือการผ่านพ้นของกาลเวลา  พวกมันคงอยู่ตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลง และเป็นพระเจ้านั่นเองที่เป็นผู้ที่ทรงบงการความไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ของพวกมัน  ในส่วนของพื้นที่ทั้งหลายของที่ราบ แนวเขตของพวกมันคืออะไร พวกมันมีอาณาเขตติดกับอะไร—การนี้ได้ถูกกำหนดโดยพระเจ้า  พวกมันมีอาณาเขตของพวกมัน และดังนั้นจึงคงจะเป็นไปไม่ได้ที่เนินดินจะผุดขึ้นจากพื้นดินของที่ราบอย่างไร้แบบแผน  ที่ราบไม่สามารถกลายเป็นภูเขาได้ในฉับพลันทันใด—นี่คงจะเป็นไปไม่ได้  นี่คือความหมายของกฎและอาณาเขตที่พวกเราเพิ่งพูดคุยกันไป  ในส่วนของทะเลทราย พวกเราจะไม่เอ่ยถึงหน้าที่เฉพาะพิเศษของทะเลทรายหรือภูมิประเทศหรือที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ประเภทอื่นใด ณ ที่นี้ จะเอ่ยถึงเฉพาะอาณาเขตของพวกมันเท่านั้น  ภายใต้การปกครองของพระเจ้า เขตจำกัดของทะเลทรายจะไม่ขยายเช่นกัน  นี่เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงให้กฎของมันแก่มันแล้ว ซึ่งก็คือเขตจำกัดต่างๆ ของมัน  พื้นที่ของมันมีขนาดใหญ่เพียงใดและหน้าที่ของมันคืออะไร มันมีเขตแดนติดกับอะไร และมันตั้งอยู่ที่ใด—การนี้ได้ถูกกำหนดไว้แล้วโดยพระเจ้า  มันจะไม่มีขนาดเกินกว่าเขตจำกัดของมันหรือขยับเคลื่อนจากตำแหน่งของมัน และพื้นที่ของมันจะไม่ขยายโดยพลการ  แม้ว่าการไหลของห้วงน้ำต่างๆ  อาทิ แม่น้ำและทะเลสาบ จะเป็นไปอย่างมีระเบียบและต่อเนื่องทั้งหมด พวกมันจะไม่มีวันเคลื่อนออกนอกแนวเขตของพวกมันหรือเลยออกไปจากอาณาเขตของพวกมัน  พวกมันทั้งหมดไหลไปในทิศทางเดียว ทิศทางซึ่งพวกมันควรจะไหล ในวิถีอันเป็นระเบียบแบบแผน  ดังนั้นภายใต้ธรรมบัญญัติแห่งการปกครองของพระเจ้า ไม่มีแม่น้ำหรือทะเลสาบใดที่จะแห้งเหือดโดยพลการหรือเปลี่ยนทิศทางหรือปริมาณการไหลของมันโดยพลการอันเนื่องมาจากการหมุนของแผ่นดินโลกหรือการผ่านพ้นของกาลเวลา  ทั้งหมดนี้อยู่ภายในการควบคุมของพระเจ้า  นั่นจึงกล่าวได้ว่า ทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างในท่ามกลางมวลมนุษย์นี้มีสถานที่ พื้นที่ และเขตจำกัดของพวกมันที่ถูกกำหนดไว้แล้ว  กล่าวคือ เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งขึ้นมา อาณาเขตของพวกมันได้ถูกตั้งขึ้น และพวกมันไม่สามารถถูกดัดแปลงแก้ไข ทำใหม่ หรือเปลี่ยนแปลงได้โดยพลการ  “โดยพลการ” หมายถึงอะไร?  มันหมายถึงว่าพวกมันจะไม่ขยับเคลื่อน ขยาย หรือเปลี่ยนแปลงรูปทรงดั้งเดิมของพวกมันอย่างไร้แบบแผนเนื่องจากสภาพอากาศ อุณหภูมิ หรือความเร็วในการหมุนของแผ่นดินโลก  ตัวอย่างเช่น ภูเขาลูกหนึ่งมีความสูงที่ระดับหนึ่ง มีฐานครอบคลุมพื้นที่หนึ่ง มีระดับความสูงเหนือน้ำทะเลที่ระดับหนึ่ง และมีพืชพรรณจำนวนหนึ่ง  ทั้งหมดนี้ได้ถูกวางแผนและคำนวณโดยพระเจ้าและมันจะไม่เปลี่ยนแปลงโดยพลการ  ในส่วนของที่ราบ มนุษย์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในที่ราบ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงในภูมิอากาศใดที่จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ของพวกมันหรือคุณค่าของการดำรงอยู่ของพวกมัน  แม้กระทั่งสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ภายในภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์อันหลากหลายเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นก็จะไม่ถูกเปลี่ยนแปลงโดยพลการ  ตัวอย่างเช่น องค์ประกอบของทะเลทราย ชนิดของแหล่งแร่ใต้ดิน ปริมาณของทรายที่มีอยู่ในทะเลทรายและสีสันของมัน ความหนาของทะเลทราย—เหล่านี้จะไม่เปลี่ยนแปลงโดยพลการ  เหตุใดพวกมันจะไม่เปลี่ยนแปลงโดยพลการ?  เป็นเพราะการปกครองของพระเจ้าและการบริหารจัดการของพระองค์  ภายในภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์อันแตกต่างกันเหล่านี้ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น พระองค์กำลังทรงบริหารจัดการทุกสิ่งทุกอย่างในหนทางอันเป็นระเบียบแบบแผนและดังที่ได้วางแผนการไว้  ดังนั้นสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์เหล่านี้ทั้งหมดยังคงดำรงอยู่และยังกำลังทำหน้าที่ของพวกมันมาเป็นเวลาหลายพันปีและกระทั่งหลายหมื่นปีด้วยซ้ำหลังจากที่พวกมันได้ถูกพระเจ้าสร้างขึ้นมา  แม้จะมีบางช่วงเวลาเฉพาะที่ภูเขาไฟระเบิด และช่วงเวลาที่เกิดแผ่นดินไหว และมีการเคลื่อนตัวของแผ่นดินครั้งใหญ่ พระเจ้าจะไม่ทรงยอมให้ภูมิประเทศชนิดใดก็ตามสูญเสียหน้าที่ดั้งเดิมของมันอย่างแน่นอน  เป็นเพราะการบริหารจัดการนี้โดยพระเจ้า การปกครองและการควบคุมกฎเหล่านี้ของพระองค์เท่านั้น ที่ทั้งหมดนี้—กล่าวคือ ทั้งหมดนี้ซึ่งมวลมนุษย์ได้เห็นและได้ชื่นชม—จะสามารถอยู่รอดได้บนแผ่นดินโลกในวิถีอันเป็นระเบียบแบบแผน  ดังนั้นแล้ว เหตุใดเล่าพระเจ้าจึงทรงบริหารจัดการภูมิประเทศอันหลากหลายเหล่านี้ทั้งหมดที่ดำรงอยู่บนแผ่นดินโลกในหนทางนี้?  พระประสงค์ของพระองค์นั้นก็เพื่อที่สิ่งมีชีวิตซึ่งอยู่รอดในสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์อันหลากหลายทั้งหมดจะมีสภาพแวดล้อมที่มั่นคง และเพื่อที่พวกเขาจะมีความสามารถดำรงชีวิตและทวีจำนวนขึ้นต่อไปได้ภายในสภาพแวดล้อมที่มั่นคงนั้น  ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้—สิ่งที่เคลื่อนที่ได้และสิ่งที่เคลื่อนที่ไม่ได้ สิ่งที่หายใจโดยผ่านทางจมูกของพวกมันและสิ่งที่ไม่หายใจ—ประกอบขึ้นเป็นสภาพแวดล้อมอันเป็นเอกลักษณ์สำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์  เฉพาะสภาพแวดล้อมประเภทนี้เท่านั้นที่มีความสามารถที่จะเลี้ยงดูมนุษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าได้ และเฉพาะสภาพแวดล้อมประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถอำนวยให้มนุษย์อยู่รอดต่อไปได้อย่างสันติสุข รุ่นแล้วรุ่นเล่า

สิ่งที่เราเพิ่งจะพูดถึงนั้นเป็นหัวข้อที่ค่อนข้างกว้างสักเล็กน้อย ดังนั้น บางทีมันอาจจะดูเหมือนว่าค่อนข้างห่างไกลจากชีวิตของพวกเจ้า แต่เราเชื่อว่าพวกเจ้าทั้งหมดสามารถเข้าใจมันได้  นั่นจึงกล่าวได้ว่า กฎของพระเจ้าภายในอำนาจครอบครองที่พระองค์ทรงมีเหนือสรรพสิ่งนั้นสำคัญมาก—สำคัญมากจริงๆ!  อะไรคือเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการเติบโตของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงภายใต้กฎเหล่านี้?  เป็นเพราะการปกครองของพระเจ้า  เป็นเพราะการปกครองของพระองค์นั่นเองที่ทุกสรรพสิ่งดำเนินหน้าที่ของพวกมันเองภายในการปกครองของพระองค์  ตัวอย่างเช่น ภูเขาเลี้ยงดูป่าและในทางกลับกันป่าก็เลี้ยงดูและปกป้องนกและสิงสาราสัตว์สารพัดที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในป่า  ที่ราบต่างๆ เป็นเวทีที่ถูกตระเตรียมสำหรับมนุษย์เพื่อเพาะปลูกพืชผลตลอดจนสำหรับบรรดานกและสิงสาราสัตว์สารพัน  ที่ราบอำนวยให้มวลมนุษย์ส่วนใหญ่ดำรงชีวิตบนผืนดินที่ราบเรียบและจัดเตรียมความสะดวกในชีวิตของผู้คน  และที่ราบยังมีทุ่งหญ้ารวมอยู่ด้วย—ทิวแถวอันมหึมาของทุ่งหญ้า  ทุ่งหญ้าจัดเตรียมพืชคลุมดินสำหรับพื้นของแผ่นดินโลก  พวกมันปกป้องดินและเลี้ยงดูบรรดาวัวควาย แกะ และม้าที่อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้า  ทะเลทรายก็มีหน้าที่ของมันเองเช่นกัน  มันไม่ใช่สถานที่ที่มนุษย์จะดำรงชีวิต บทบาทของมันก็คือทำให้ภูมิอากาศชื้นนั้นแห้งขึ้น  การไหลของแม่น้ำและทะเลสาบนำน้ำดื่มมาสู่ผู้คนในหนทางที่สะดวก  ที่ใดก็ตามที่พวกมันไหลไป ผู้คนจะมีน้ำไว้ดื่มและความต้องการน้ำของทุกสรรพสิ่งจะได้รับการตอบสนองอย่างสะดวก  เหล่านี้คืออาณาเขตที่พระเจ้าทรงวาดขึ้นสำหรับภูมิประเทศอันหลากหลาย

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 9

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 181

พระเจ้าทรงกำหนดอาณาเขตสำหรับทุกสรรพสิ่งเพื่อที่จะเลี้ยงดูมวลมนุษย์ทั้งปวง (บทตอนที่คัดมา)

ส่วนที่สอง: พระเจ้าทรงกำหนดอาณาเขตสำหรับชีวิตแต่ละรูปแบบ

เพราะอาณาเขตที่พระเจ้าได้ทรงวาดขึ้นเหล่านี้ ภูมิประเทศอันหลากหลายจึงได้สร้างสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันสำหรับการอยู่รอด และสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดเหล่านี้ก็ได้ให้ความสะดวกสบายสำหรับนกและสิงสาราสัตว์หลากหลายชนิดและยังได้ให้พื้นที่ที่จะอยู่รอดแก่พวกมันอีกด้วย  จากการนี้อาณาเขตของสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตอันหลากหลายได้ถูกพัฒนาขึ้น  นี่คือส่วนที่สองที่พวกเราจะพูดคุยกันเป็นลำดับถัดไป  ก่อนอื่น นกและสิงสาราสัตว์และแมลงทั้งหลายดำรงชีวิตอยู่ที่ไหน?  พวกมันดำรงชีวิตอยู่ในป่าและป่าละเมาะหรือไม่?  เหล่านี้คือบ้านของพวกมัน  ดังนั้นแล้ว นอกเหนือจากการตั้งอาณาเขตสำหรับสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์อันหลากหลายแล้ว พระเจ้ายังได้ทรงวาดอาณาเขตและได้ทรงจัดตั้งกฎต่างๆ สำหรับบรรดานกและสิงสาราสัตว์ ปลา แมลงอันหลากหลาย และพืชพรรณทั้งหมดเช่นกัน  เพราะความแตกต่างระหว่างสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์อันหลากหลายและเพราะการดำรงอยู่ของสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์อันแตกต่างกัน บรรดานกและสิงสาราสัตว์ ปลา แมลงทั้งหลาย และพืชพรรณต่างประเภทกันจึงมีสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่แตกต่างกัน  นกและสิงสาราสัตว์และแมลงทั้งหลายมีชีวิตท่ามกลางพืชพรรณอันหลากหลาย ปลามีชีวิตอยู่ในน้ำ และพืชพรรณเติบโตบนแผ่นดิน  แผ่นดินรวมพื้นที่อันหลากหลาย อาทิ ภูเขา ที่ราบ และเนินเขาเข้าไว้ด้วยกัน  ทันทีที่นกและสัตว์ร้ายมีบ้านที่กำหนดไว้ของพวกมันเองแล้ว พวกมันจะไม่ร่อนเร่ไปทั่วทุกทิศทุกทาง  บ้านของพวกมันคือป่าและภูเขา  หากวันหนึ่งบ้านของพวกมันถูกทำลาย ระเบียบนี้ก็คงจะตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน  ทันทีที่ระเบียบนี้ตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน ผลที่ตามมาคืออะไร?  ใครเป็นคนแรกที่จะบาดเจ็บ?  เป็นมวลมนุษย์นั่นเอง  ภายในกฎและเขตจำกัดเหล่านี้ที่พระเจ้าได้ทรงตั้งขึ้น พวกเจ้าได้เห็นปรากฏการณ์ที่แปลกตาใดๆ หรือไม่?  ตัวอย่างเช่น ช้างที่เดินอยู่ในทะเลทราย  เจ้าได้เห็นอะไรเยี่ยงนี้หรือไม่?  หากการนี้เกิดขึ้นจริงๆ มันคงจะเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกมาก เพราะช้างนั้นใช้ชีวิตอยู่ในป่า และนั่นเป็นสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสำหรับพวกมัน  พวกมันมีสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของพวกมันเองและบ้านที่กำหนดไว้ของพวกมันเอง ดังนั้นแล้วเหตุใดพวกมันจึงจะวิ่งพล่านไปทั่วเล่า?  มีใครบ้างไหมที่เคยเห็นสิงโตหรือเสือที่เดินไปตามชายฝั่งของมหาสมุทร?  ไม่มี พวกเจ้าไม่เคยเห็น  บ้านของสิงโตและเสือคือป่าและภูเขา  มีใครบ้างไหมที่เคยเห็นวาฬหรือปลาฉลามแห่งมหาสมุทรว่ายผ่านทะเลทราย?  ไม่มี พวกเจ้าไม่เคยเห็น  วาฬและปลาฉลามมีบ้านของพวกมันอยู่ในมหาสมุทร  ในสภาพแวดล้อมของการดำรงชีวิตของมนุษย์ มีผู้คนที่ใช้ชีวิตเคียงข้างหมีสีน้ำตาลหรือไม่?  มีผู้คนที่ถูกล้อมรอบไปด้วยนกยูงหรือนกชนิดอื่นๆ ภายในหรือภายนอกบ้านของพวกเขาอยู่เสมอหรือไม่?  มีใครบ้างไหมที่เคยเห็นนกอินทรีหรือห่านป่าเล่นกับลิง?  (ไม่)  เหล่านี้ทั้งหมดคงจะเป็นปรากฏการณ์ที่แปลก  เหตุผลที่เราพูดถึงสิ่งเหล่านี้ซึ่งดูเหมือนว่าแปร่งหูมากสำหรับพวกเจ้าก็เพื่อให้พวกเจ้าเข้าใจว่าทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง—ไม่ว่าพวกมันจะถูกกำหนดให้อยู่ในที่แห่งหนึ่ง หรือไม่ว่าพวกมันสามารถใช้จมูกของพวกมันหายใจได้หรือไม่ก็ตาม—มีกฎสำหรับการอยู่รอดของพวกมันเอง  นานมาแล้วก่อนที่พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ พระองค์ได้ทรงตระเตรียมบ้านของพวกมันเองและสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของพวกมันเองสำหรับพวกมันแล้ว  สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่ตายตัวของพวกมันเอง อาหารของพวกมันเองและบ้านของพวกมันเอง และพวกมันมีสถานที่ซึ่งเหมาะสมสำหรับการอยู่รอดที่ตายตัวของพวกมันเอง สถานที่ซึ่งมีอุณหภูมิอันเหมาะสมสำหรับการอยู่รอดของพวกมัน  ด้วยเหตุนี้ พวกมันจึงจะไม่เร่ร่อนไปทั่วทุกทิศทุกทางหรือบ่อนทำลายการอยู่รอดของมวลมนุษย์หรือส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คน  นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงบริหารจัดการทุกสรรพสิ่ง ทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่ดีที่สุดให้แก่มวลมนุษย์  สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดภายในทุกสรรพสิ่งมีอาหารเพื่อการยังชีพของพวกมันเองภายในสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของพวกมันเอง  ด้วยอาหารนั้น พวกมันจึงชอบสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติสำหรับการอยู่รอดของพวกมัน  ในสภาพแวดล้อมประเภทนั้น พวกมันยังคงอยู่รอด ทวีจำนวน และขยับเดินหน้าต่อไปโดยสอดคล้องกับกฎที่พระเจ้าได้ทรงจัดตั้งขึ้นสำหรับพวกมัน  เพราะกฎชนิดต่างๆ เหล่านี้ เพราะการลิขิตไว้ล่วงหน้าของพระเจ้า ทุกสรรพสิ่งจึงดำรงชีวิตอย่างกลมเกลียวกับมวลมนุษย์ และมวลมนุษย์ดำรงอยู่ร่วมกันกับทุกสรรพสิ่งโดยการพึ่งพาซึ่งกันและกัน

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 9

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 182

พระเจ้าทรงกำหนดอาณาเขตสำหรับทุกสรรพสิ่งเพื่อที่จะเลี้ยงดูมวลมนุษย์ทั้งปวง (บทตอนที่คัดมา)

ส่วนที่สาม: พระเจ้าทรงค้ำชูสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศเพื่อทะนุบำรุงมวลมนุษย์

พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและได้ทรงกำหนดอาณาเขตสำหรับพวกมัน ในท่ามกลางสรรพสิ่งพระองค์ได้ทรงเลี้ยงดูสิ่งมีชีวิตทุกชนิด  ในขณะเดียวกัน พระองค์ยังได้ทรงตระเตรียมวิถีทางที่แตกต่างกันในการอยู่รอดสำหรับมวลมนุษย์ ดังนั้นแล้วเจ้าสามารถเห็นได้ว่ามนุษย์ไม่ได้มีแค่หนทางเดียวที่จะอยู่รอด อีกทั้งพวกเขาไม่ได้มีแค่สภาพแวดล้อมประเภทเดียวสำหรับการอยู่รอด  ก่อนหน้านี้พวกเราได้พูดคุยเกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงตระเตรียมอาหารและแหล่งน้ำนานาชนิดสำหรับมนุษย์ ซึ่งมีความจำเป็นขั้นวิกฤติสำหรับการเปิดโอกาสให้ชีวิตของมวลมนุษย์ในเนื้อหนังได้คงอยู่ต่อไป  อย่างไรก็ดี ท่ามกลางมวลมนุษย์นี้ มิใช่ว่าผู้คนทั้งหมดจะดำรงชีพด้วยธัญพืช  ผู้คนมีวิถีทางในการอยู่รอดอันแตกต่างกันเนื่องจากความแตกต่างในสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์และภูมิประเทศ  วิถีทางในการอยู่รอดเหล่านี้ทั้งหมดได้ถูกตระเตรียมไว้แล้วโดยพระเจ้า  ดังนั้นแล้วมิใช่ว่ามนุษย์ทั้งหมดจะทำการเกษตรเป็นหลัก  กล่าวคือ มิใช่ว่าผู้คนทั้งหมดจะได้อาหารของพวกเขาจากการปลูกพืชผล  นี่คือส่วนที่สามที่พวกเราจะพูดคุยกัน กล่าวคือ อาณาเขตได้เกิดขึ้นเนื่องจากรูปแบบการใช้ชีวิตอันหลากหลายของมวลมนุษย์  ดังนั้นแล้วพวกมนุษย์มีรูปแบบการใช้ชีวิตชนิดอื่นใดอีกหรือ?  ในแง่ของแหล่งอาหารซึ่งแตกต่างกัน มีผู้คนประเภทอื่นใดอีกหรือ?  มีชนิดหลักๆ อยู่หลายชนิดเลย

ชนิดแรกคือลีลาชีวิตแบบการล่าสัตว์  ทุกคนรู้ว่านั่นคืออะไร ผู้คนที่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการล่าสัตว์กินอะไร?  (สัตว์ที่ล่ามาได้)  พวกเขากินนกและสิงสาราสัตว์จากป่า  “สัตว์ที่ล่ามาได้” เป็นคำศัพท์สมัยใหม่  บรรดานายพรานไม่คิดว่ามันเป็นสัตว์ที่ล่ามาได้ พวกเขาคิดว่ามันเป็นอาหาร เป็นเสบียงอาหารในแต่ละวันของพวกเขา  ตัวอย่างเช่น พวกเขาได้กวางมาตัวหนึ่ง  เมื่อพวกเขาได้กวางตัวนี้มา มันก็เหมือนกับชาวนาที่ได้อาหารมาจากผืนดิน  ชาวนาได้อาหารจากผืนดิน และเมื่อเขาเห็นอาหารนี้ เขามีความสุขและรู้สึกสบายใจ  ครอบครัวจะไม่หิวด้วยมีพืชผลให้กิน  หัวใจของชาวนาปราศจากความวิตกกังวลและเขารู้สึกพึงพอใจ  นายพรานก็รู้สึกสบายใจและพึงพอใจเช่นกันเมื่อมองดูสิ่งที่เขาได้จับมาเพราะเขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอาหารอีกต่อไป  มีอะไรให้กินสำหรับมื้ออาหารถัดไปและไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหิวโหย  นี่คือใครบางคนที่ล่าสัตว์เพื่อหาเลี้ยงชีพ  บรรดาผู้ที่ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าบนภูเขา  พวกเขาไม่ทำการเกษตร  มันไม่ง่ายที่จะหาที่ดินที่สามารถทำการเพาะปลูกได้ที่นั่น ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่รอดด้วยสิ่งมีชีวิตอันหลากหลาย เหยื่อหลากหลายประเภท  นี่คือรูปแบบการใช้ชีวิตประเภทแรกที่แตกต่างไปจากผู้คนธรรมดาทั่วไป

ชนิดที่สองคือวิถีชีวิตของคนเลี้ยงสัตว์  ผู้คนที่เลี้ยงสัตว์เพื่อหาเลี้ยงชีพนั้นทำการเกษตรบนที่ดินของพวกเขาไปด้วยหรือไม่?  (ไม่)  ดังนั้นแล้วพวกเขาทำอะไรกันเล่า?  พวกเขาดำรงชีวิตอย่างไร?  (โดยส่วนใหญ่ พวกเขาเลี้ยงวัวควายและแกะเพื่อดำรงชีวิต และในฤดูหนาวพวกเขาก็ฆ่าและกินปศุสัตว์ของพวกเขา  อาหารหลักของพวกเขาคือเนื้อวัวและเนื้อแกะ และพวกเขาดื่มชานม  แม้ว่าบรรดาคนเลี้ยงสัตว์จะมีงานมากตลอดทั้งสี่ฤดูกาล พวกเขาก็กินอย่างดี  พวกเขามีนม ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม และเนื้อสัตว์มากมาย)  ผู้คนที่เลี้ยงสัตว์เพื่อการดำรงชีวิตกินเนื้อวัวและเนื้อแกะเป็นหลัก ดื่มนมแกะและนมวัว และขี่วัวควายและม้าในการเลี้ยงสัตว์ของพวกเขาในทุ่งหญ้าโดยมีสายลมสดชื่นพัดผ่านพวกเขาและแสงแดดอาบใบหน้าของพวกเขา  พวกเขาไม่เผชิญกับความตึงเครียดของชีวิตสมัยใหม่  วันทั้งวันพวกเขาจับจ้องไปที่ท้องฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่ไพศาลและที่ราบอันเต็มไปด้วยต้นหญ้า  ผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งดำรงชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์มีชีวิตอยู่ในทุ่งหญ้า และพวกเขามีความสามารถที่จะสืบสานวิถีชีวิตเร่ร่อนของพวกเขาต่อมาเป็นเวลาหลายชั่วคน  แม้ว่าชีวิตในทุ่งหญ้าจะเงียบเหงาเล็กน้อย แต่มันก็เป็นชีวิตที่มีความสุขมากเช่นกัน  มันหาใช่วิถีชีวิตที่ย่ำแย่ไม่!

ชนิดที่สามคือวิถีชีวิตการทำประมง  มนุษยชาติในสัดส่วนที่เล็กน้อยใช้ชีวิตอยู่ใกล้มหาสมุทรหรือบนเกาะเล็กๆ  พวกเขามีน้ำล้อมรอบ หันหน้าเข้าหามหาสมุทร  ผู้คนเหล่านี้ทำการประมงเพื่อหาเลี้ยงชีพ อะไรคือแหล่งอาหารสำหรับบรรดาผู้ที่ทำการประมงเพื่อหาเลี้ยงชีพ?  แหล่งอาหารของพวกเขารวมถึงปลา อาหารทะเล และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากทะเลทุกชนิด  ผู้คนที่ทำการประมงเพื่อหาเลี้ยงชีพไม่ทำการเกษตรบนที่ดิน แต่กลับใช้ทุกๆ วันในการทำประมง  อาหารหลักของพวกเขาประกอบด้วยปลาและผลิตภัณฑ์จากทะเลหลากหลายชนิด  พวกเขาแลกสิ่งเหล่านี้เป็นข้าว แป้ง และสิ่งจำเป็นพื้นฐานในแต่ละวันเป็นครั้งคราว  นี่คือลีลาชีวิตที่แตกต่างซึ่งผู้คนที่ดำรงชีวิตใกล้น้ำนำมาใช้  ด้วยความที่ดำรงชีวิตใกล้น้ำ พวกเขาจึงพึ่งพาน้ำสำหรับอาหารของพวกเขา และหาเลี้ยงชีพจากการทำประมง  การทำประมงไม่เพียงให้แหล่งอาหารแก่พวกเขาเท่านั้น แต่ยังให้วิถีทางในการทำมาหากินอีกด้วย

นอกเหนือจากการทำการเกษตรบนที่ดินแล้ว มนุษยชาติดำรงชีวิตส่วนใหญ่ตามวิถีชีวิตสามแบบที่กล่าวถึงข้างต้น  อย่างไรก็ดี ผู้คนส่วนใหญ่ทำการเกษตรเพื่อหาเลี้ยงชีพ โดยมีเพียงกลุ่มคนไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่ดำรงชีวิตด้วยการเลี้ยงสัตว์ ทำประมง และล่าสัตว์  และผู้คนที่ดำรงชีวิตด้วยการทำการเกษตรจำเป็นต้องมีอะไร?  สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องมีคือที่ดิน  พวกเขารุ่นแล้วรุ่นเล่าดำรงชีวิตด้วยการเพาะปลูกพืชผลในผืนดิน และไม่ว่าพวกเขาจะปลูกผัก ผลไม้ หรือธัญพืช พวกเขาก็ได้อาหารและสิ่งจำเป็นพื้นฐานในชีวิตประจำวันของพวกเขามาจากแผ่นดินโลกนั่นเอง

อะไรคือสภาพเงื่อนไขพื้นฐานที่สนับสนุนลีลาชีวิตมนุษย์อันแตกต่างกันเหล่านี้?  ไม่ใช่ว่าสภาพแวดล้อมต่างๆ ในที่ซึ่งพวกเขามีความสามารถที่จะอยู่รอดได้นั้นจำเป็นต้องได้รับการสงวนรักษาไว้ในระดับพื้นฐานหรอกหรือ?  กล่าวคือ หากบรรดาผู้ที่ยังชีพด้วยการล่าจะต้องเสียป่าบนภูเขาหรือหมู่นกและสิงสาราสัตว์ไป แหล่งทำมาหากินของพวกเขาคงจะสูญสิ้น  ทิศทางที่ชาติพันธุ์นี้และผู้คนจำพวกนี้ควรไปก็คงจะกลับกลายเป็นไม่แน่นอน และพวกเขาอาจจะหายไปด้วยซ้ำ  แล้วบรรดาผู้ที่ทำมาหากินด้วยการเลี้ยงสัตว์เล่า?  พวกเขาพึ่งพาอะไร?  สิ่งที่พวกเขาพึ่งพาอย่างแท้จริงไม่ใช่ปศุสัตว์ของพวกเขา แต่เป็นสภาพแวดล้อมที่ปศุสัตว์ของพวกเขาสามารถอยู่รอดได้—ทุ่งหญ้า  หากไม่มีทุ่งหญ้า บรรดาคนเลี้ยงสัตว์จะหาหญ้าให้ปศุสัตว์ของพวกเขากินได้ที่ไหน?  วัวควายและแกะจะกินอะไร?  หากปราศจากปศุสัตว์ กลุ่มชนเร่ร่อนเหล่านี้คงจะไม่มีทางทำมาหากิน  หากปราศจากแหล่งที่มาสำหรับการทำมาหากินของพวกเขา กลุ่มชนเหล่านี้จะไปที่ไหน?  มันคงจะกลายเป็นลำบากยากเย็นมากที่พวกเขาจะยังคงอยู่รอดต่อไป พวกเขาคงจะไม่มีอนาคต  หากไม่มีแหล่งน้ำ และแม่น้ำกับทะเลสาบแห้งเหือดไปหมด ปลาทั้งหมดนั้นซึ่งพึ่งพิงน้ำในการมีชีวิตจะยังคงดำรงอยู่หรือไม่?  พวกมันคงจะไม่  ผู้คนเหล่านี้ที่พึ่งพิงน้ำและปลาเพื่อการทำมาหากินของพวกเขาจะยังคงอยู่รอดต่อไปหรือไม่?  เมื่อพวกเขาไม่มีอาหารอีกต่อไป เมื่อพวกเขาไม่มีแหล่งที่มาสำหรับการทำมาหากินของพวกเขาอีกต่อไป กลุ่มชนเหล่านี้คงจะไม่มีความสามารถที่จะอยู่รอดต่อไปได้  กล่าวคือ หากชาติพันธุ์ใดๆ เกิดประสบปัญหาเกี่ยวกับการทำมาหากินของพวกเขาหรือการอยู่รอดของพวกเขา เช่นนั้นแล้วชาติพันธุ์นั้นก็คงจะไม่มีอยู่อีกต่อไป และพวกเขาก็สามารถหายไปจากพื้นโลกและสูญพันธุ์ได้  และหากบรรดาผู้ที่ทำการเกษตรเพื่อหาเลี้ยงชีพสูญเสียที่ดินของพวกเขาไป หากพวกเขาไม่สามารถเพาะปลูกพืชพรรณทุกประเภทและได้รับอาหารจากพืชพรรณเหล่านั้น เช่นนั้นแล้วผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร?  หากปราศจากอาหาร ผู้คนจะไม่อดตายหรอกหรือ?  หากผู้คนกำลังจะอดตาย มนุษย์เผ่าพันธุ์นั้นจะไม่ถูกลบหายไปหรอกหรือ?  ดังนั้นแล้วนี่จึงเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าในการคงไว้ซึ่งสภาพแวดล้อมประเภทต่างๆ กัน  พระเจ้ามีพระประสงค์หนึ่งอย่างเท่านั้นในการธำรงไว้ซึ่งสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศอันแตกต่างกันและสิ่งมีชีวิตอันแตกต่างกันทั้งหมดภายในสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศเหล่านั้น—และนั่นก็เป็นไปเพื่อเลี้ยงดูผู้คนทุกประเภท เพื่อเลี้ยงดูผู้คนที่ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ซึ่งแตกต่างกัน

หากสิ่งทรงสร้างทั้งหมดสูญเสียกฎของพวกมันไป พวกมันคงจะไม่ดำรงอยู่อีกต่อไป หากกฎแห่งทุกสรรพสิ่งได้สูญหายไป เช่นนั้นแล้วสิ่งมีชีวิตท่ามกลางทุกสรรพสิ่งก็คงจะไม่สามารถดำเนินต่อไปได้  มนุษยชาติคงจะสูญเสียสภาพแวดล้อมของพวกเขาซึ่งพวกเขาพึ่งพาเพื่อการอยู่รอดด้วยเช่นกัน  หากมนุษยชาติสูญเสียทั้งหมดนั้น พวกเขาคงจะไม่มีความสามารถที่จะดำเนินต่อไปได้ดังที่พวกเขาได้ทำเรื่อยมา เพื่อเจริญเติบโตและทวีจำนวนรุ่นแล้วรุ่นเล่า  เหตุผลที่มนุษย์ได้อยู่รอดมาจนกระทั่งบัดนี้เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงจัดหาสิ่งทรงสร้างทั้งหมดให้แก่พวกเขาเพื่อเลี้ยงดูพวกเขา เพื่อเลี้ยงดูมวลมนุษย์ในหนทางที่แตกต่างกัน  เป็นเพราะพระเจ้าทรงเลี้ยงดูมวลมนุษย์ในหนทางที่แตกต่างกันเท่านั้น มวลมนุษย์จึงได้อยู่รอดมาจนกระทั่งบัดนี้ในปัจจุบันนี้  ด้วยสภาพแวดล้อมที่ตายตัวสำหรับการอยู่รอดอันเป็นคุณและมีกฎธรรมชาติเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ในนั้น ผู้คนต่างประเภททั้งหมดของแผ่นดินโลก เผ่าพันธุ์ที่ต่างกันทั้งหมด จึงสามารถอยู่รอดได้ภายในพื้นที่ที่กำหนดให้ของพวกเขาเอง  ไม่มีใครสามารถไปพ้นจากพื้นที่เหล่านี้หรือเขตคั่นระหว่างพวกมันได้ เป็นเพราะพระเจ้านั่นเองที่ได้ทรงวาดเค้าโครงพวกมันไว้  เหตุใดหรือพระเจ้าจึงจะทรงวาดเค้าโครงอาณาเขตในหนทางนี้?  นี่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญใหญ่หลวงสำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวง—มีความสำคัญใหญ่หลวงอย่างแท้จริง!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 9

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 183

พระเจ้าทรงกำหนดอาณาเขตสำหรับทุกสรรพสิ่งเพื่อที่จะเลี้ยงดูมวลมนุษย์ทั้งปวง (บทตอนที่คัดมา)

ส่วนที่สี่: พระเจ้าทรงขีดเส้นแบ่งอาณาเขตระหว่างเชื้อชาติต่างๆ

ประการที่สี่ พระเจ้าได้ทรงวาดอาณาเขตระหว่างเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน  บนแผ่นดินโลกมีผู้คนผิวขาว ผู้คนผิวดำ ผู้คนผิวน้ำตาล และผู้คนผิวเหลือง  เหล่านี้คือผู้คนต่างจำพวกกัน  พระเจ้ายังได้ทรงกำหนดวงเขตสำหรับชีวิตของผู้คนต่างจำพวกกันเหล่านี้ด้วย และผู้คนก็ใช้ชีวิตภายในสภาพแวดล้อมอันเหมาะสมสำหรับการอยู่รอดของพวกเขาภายใต้การบริหารจัดการของพระเจ้าโดยที่ไม่ได้ตระหนักรู้ถึงวงเขตนั้นเลย  ไม่มีใครสามารถก้าวออกนอกการนี้ได้  ตัวอย่างเช่น พวกเรามาพิจารณาผู้คนผิวขาวกันเถิด  อะไรคือแนวเขตทางภูมิศาสตร์ซึ่งพวกเขาส่วนใหญ่อาศัยอยู่?  ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกา  แนวเขตทางภูมิศาสตร์ซึ่งผู้คนผิวดำอาศัยอยู่เป็นหลักคือทวีปแอฟริกา  ผู้คนผิวน้ำตาลอาศัยอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้เป็นหลัก ในประเทศอย่างเช่น ประเทศไทย อินเดีย เมียนมาร์ เวียดนาม และลาว  ผู้คนผิวเหลืองอาศัยอยู่ในเอเชียเป็นหลัก กล่าวคือ ในประเทศอย่างเช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้  พระเจ้าได้ทรงกระจายเผ่าพันธุ์ประเภทต่างๆ กันเหล่านี้ทั้งหมดอย่างเหมาะสม เพื่อที่เผ่าพันธุ์ซึ่งต่างกันเหล่านี้จะได้กระจายกันไปตามส่วนที่แตกต่างกันของโลก  ในส่วนที่แตกต่างกันเหล่านี้ของโลก พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่เหมาะสมสำหรับมนุษย์ที่ต่างกันแต่ละเผ่าพันธุ์ไว้นานแล้ว  ภายในสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดเหล่านี้ พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมดินที่มีสีสันและองค์ประกอบแตกต่างกันหลากหลายสำหรับพวกเขา  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ องค์ประกอบที่รวมกันเป็นร่างกายของผู้คนผิวขาวไม่เหมือนกับองค์ประกอบที่รวมกันเป็นร่างกายของผู้คนผิวดำ และพวกมันยังแตกต่างจากองค์ประกอบที่รวมกันเป็นร่างกายของผู้คนจากเผ่าพันธุ์อื่นๆ อีกด้วย  เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์นั้นแล้ว  พระประสงค์ของพระองค์ในการทำเช่นนั้นก็เพื่อที่ว่า เมื่อผู้คนจำพวกนั้นได้เริ่มที่จะมีลูกมีหลานและเพิ่มจำนวนมากขึ้น พวกเขาจะสามารถได้รับการกำหนดให้อยู่ภายในแนวเขตที่แน่นอนได้  ก่อนที่พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ได้ทรงดำริไว้ทั้งหมดแล้ว—พระองค์จะสงวนยุโรปและอเมริกาไว้สำหรับผู้คนผิวขาวเพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาพัฒนาและอยู่รอด  ดังนั้นตอนที่พระเจ้ากำลังทรงสร้างแผ่นดินโลก พระองค์ได้มีแผนการแล้ว พระองค์ได้มีเป้าหมายและพระประสงค์ในการใส่สิ่งที่พระองค์ได้ทรงใส่เข้าไปในผืนแผ่นดินนั้น และในการเลี้ยงดูสิ่งที่พระองค์ได้ทรงเลี้ยงดูบนผืนแผ่นดินนั้น  ตัวอย่างเช่น ภูเขาใดบ้าง ที่ราบกี่แห่ง แหล่งน้ำกี่แห่ง นกและสิงสาราสัตว์ชนิดใด ปลาอะไร และพืชพรรณใดที่จะอยู่บนแผ่นดินนั้น พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมพวกมันทั้งหมดไว้นานมาแล้ว  เมื่อตระเตรียมสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดให้กับมนุษย์จำพวกหนึ่ง ให้กับเผ่าพันธุ์หนึ่ง พระเจ้าทรงจำเป็นต้องพิจารณาประเด็นปัญหามากมายจากสารพัดมุม กล่าวคือ สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ องค์ประกอบของดิน สายพันธุ์ของนกและสิงสาราสัตว์ที่แตกต่างกัน ขนาดของปลาต่างชนิดกัน องค์ประกอบที่รวมกันเป็นตัวปลา ความแตกต่างในคุณภาพของน้ำ ตลอดจนพืชพรรณที่ต่างชนิดกันทั้งหมด… พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมทั้งหมดนั้นนานมาแล้ว  สภาพแวดล้อมแบบนั้นเป็นสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่พระเจ้าได้ทรงสร้างและได้ทรงตระเตรียมสำหรับผู้คนผิวขาว และนั่นก็เป็นของพวกเขาโดยกำเนิด  พวกเจ้าได้เห็นหรือยังว่าเมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ได้ทรงคิดพิจารณาการนั้นอย่างถี่ถ้วนและทรงกระทำการโดยมีแผนการ?  (ใช่ พวกเราได้เห็นแล้วว่าการพิจารณาต่างๆ ของพระเจ้าสำหรับผู้คนหลากหลายจำพวกนั้นรอบคอบมาก  สำหรับสภาพแวดล้อมเพื่อการอยู่รอดที่พระองค์ได้ทรงสร้างให้มนุษย์ต่างจำพวกกัน นกและสิงสาราสัตว์และปลาชนิดใด ภูเขากี่ลูกและที่ราบกี่แห่งที่พระองค์จะทรงตระเตรียม พระองค์ได้ทรงพิจารณาด้วยความรอบคอบและความเที่ยงตรงสูงสุด)  ลองดูตัวอย่างของผู้คนผิวขาว  ผู้คนผิวขาวกินอาหารใดเป็นหลัก?  อาหารที่ผู้คนผิวขาวกินนั้นแตกต่างจากอาหารที่ผู้คนชาวเอเชียกินมาก  อาหารหลักที่ผู้คนผิวขาวกินประกอบด้วยเนื้อสัตว์ ไข่ นม และสัตว์ปีกเป็นหลัก  ธัญพืช เช่น ขนมปังและข้าว โดยทั่วไปแล้วเป็นอาหารเสริมที่วางไว้ข้างจาน  แม้ในยามที่กินสลัดผัก พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะใส่เนื้ออบหรือไก่สองสามชิ้นไว้ด้วย และแม้ในยามที่กินอาหารที่ทำจากข้าวสาลี พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มชีส ไข่ หรือเนื้อสัตว์  นั่นจึงกล่าวได้ว่า อาหารหลักของพวกเขาไม่ได้ประกอบด้วยข้าวหรืออาหารที่ทำจากข้าวสาลี พวกเขากินเนื้อสัตว์และชีสในปริมาณมาก  พวกเขามักดื่มน้ำแข็งเพราะอาหารที่พวกเขากินนั้นมีแคลอรีสูงมาก  ดังนั้น ผู้คนผิวขาวจึงกำยำเป็นพิเศษ  นั่นคือแหล่งกำเนิดของการทำมาหากินของพวกเขาและสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ถูกตระเตรียมสำหรับพวกเขาโดยพระเจ้า ซึ่งเปิดโอกาสให้พวกเขามีวิถีชีวิตแบบนี้ วิถีชีวิตที่แตกต่างไปจากรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนจากเผ่าพันธุ์อื่นๆ  ไม่มีถูกหรือผิดในวิถีชีวิตนี้—มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าโดยพระเจ้า และมันเกิดจากการสั่งการของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระองค์  การที่เผ่าพันธุ์นี้มีวิถีชีวิตนี้และแหล่งที่มาเหล่านี้สำหรับการทำมาหากินของพวกเขาเป็นเพราะเผ่าพันธุ์ของพวกเขา และเพราะสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสำหรับพวกเขา  เจ้าสามารถพูดได้ว่า สภาพแวดล้อมที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสำหรับผู้คนผิวขาว และเสบียงอาหารในแต่ละวันที่พวกเขาได้รับจากสภาพแวดล้อมนั้น มั่งคั่งและล้นเหลือ

พระเจ้ายังได้ทรงตระเตรียมสภาพแวดล้อมที่จำเป็นสำหรับการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์อื่นเช่นกัน  ยังมีผู้คนผิวดำอีกด้วย—ผู้คนผิวดำตั้งรกรากอยู่ที่ไหน?  พวกเขาตั้งรกรากอยู่ในแอฟริกากลางและแอฟริกาใต้เป็นหลัก  พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมอะไรไว้สำหรับพวกเขาในสภาพแวดล้อมสำหรับการดำรงชีวิตประเภทนั้น?  ป่าฝนเขตร้อน นกและสิงสาราสัตว์ทุกชนิด และทั้งทะเลทรายด้วย และพืชพรรณทุกประเภทที่มีชีวิตอยู่เคียงข้างผู้คน  พวกเขามีแหล่งน้ำ การทำมาหากินของพวกเขา และอาหาร  พระเจ้าไม่ได้ทรงมีอคติกับพวกเขา  ไม่ว่าพวกเขาจะได้เคยทำอะไรไว้ การอยู่รอดของพวกเขาไม่เคยเป็นปัญหาเลย  พวกเขาก็จับจองที่ตั้งหนึ่งๆ และพื้นที่หนึ่งๆ ในส่วนหนึ่งของโลกเช่นกัน

ตอนนี้ พวกเรามาพูดถึงผู้คนผิวเหลืองกันเถิด  ผู้คนผิวเหลืองตั้งรกรากอยู่ทางตะวันออกของแผ่นดินโลกเป็นหลัก  อะไรคือความแตกต่างระหว่างสภาพแวดล้อมและตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของโลกตะวันออกและโลกตะวันตก?  ทางตะวันออก ผืนดินส่วนใหญ่นั้นอุดมสมบูรณ์ และมั่งคั่งไปด้วยสารและแหล่งแร่  กล่าวคือ ทรัพยากรบนดินและใต้ดินทุกชนิดนั้นมีมากมาย  และสำหรับผู้คนกลุ่มนี้ สำหรับเผ่าพันธุ์นี้ พระเจ้ายังได้ทรงตระเตรียมดิน สภาพอากาศซึ่งสอดรับกัน และสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์อันหลากหลายที่เหมาะสมกับพวกเขาเช่นกัน  แม้ว่ามีความแตกต่างใหญ่หลวงระหว่างสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์นั้นกับสภาพแวดล้อมในโลกตะวันตก อาหารที่จำเป็น การทำมาหากิน และแหล่งที่มาสำหรับการอยู่รอดของผู้คนก็ยังได้ถูกตระเตรียมโดยพระเจ้าเช่นกัน  มันก็แค่สภาพแวดล้อมสำหรับการดำรงชีวิตที่แตกต่างจากผู้คนผิวขาวในโลกตะวันตก  แต่สิ่งหนึ่งที่เราจำเป็นต้องบอกพวกเจ้าคืออะไร?  จำนวนผู้คนของเผ่าพันธุ์ตะวันออกนั้นมีมากเมื่อเทียบกันแล้ว ดังนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงเพิ่มเติมองค์ประกอบจำนวนมากในส่วนนั้นของแผ่นดินโลกที่แตกต่างจากทางตะวันตก  ที่นั่น พระองค์ได้ทรงเพิ่มภูมิประเทศที่แตกต่างกันมากมายและวัตถุดิบอันอุดมทุกชนิด  ทรัพยากรธรรมชาติที่นั่นอุดมมาก ภูมิประเทศก็ยังแตกต่างและหลากหลายอีกด้วย เพียงพอสำหรับการเลี้ยงดูผู้คนจำนวนมหาศาลของเผ่าพันธุ์ตะวันออก  สิ่งที่แยกโลกตะวันออกจากโลกตะวันตกก็คือว่าในโลกตะวันออก—ตั้งแต่ใต้จรดเหนือ ตะวันออกจรดตะวันตก—สภาพอากาศดีกว่าโลกตะวันตก  ฤดูกาลทั้งสี่นั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน อุณหภูมิเหมาะสม ทรัพยากรธรรมชาติมีมากมาย และทิวทัศน์ธรรมชาติและชนิดของภูมิประเทศก็ดีกว่าโลกตะวันตกมาก  เหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงทำเช่นนี้?  พระเจ้าได้ทรงสร้างสมดุลที่สมเหตุสมผลมากระหว่างผู้คนผิวขาวและผู้คนผิวเหลือง  นี่หมายถึงอะไร?  มันหมายถึงว่าแง่มุมทั้งหมดของอาหารของผู้คนผิวขาว สิ่งต่างๆ ที่พวกเขาใช้ และสิ่งต่างๆ ที่ได้ถูกจัดหาไว้เพื่อความชื่นชมยินดีของพวกเขานั้น ดีกว่าสิ่งที่ผู้คนผิวเหลืองสามารถที่จะชื่นชมได้อย่างมาก  อย่างไรก็ดี พระเจ้าไม่ได้ทรงมีอคติกับเผ่าพันธุ์ใด  พระเจ้าได้ทรงให้สภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่สวยงามกว่าและดีกว่าแก่ผู้คนผิวเหลือง  นี่คือสมดุล

พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าผู้คนประเภทใดควรดำรงชีวิตในส่วนใดของโลก มนุษย์สามารถไปพ้นเขตจำกัดเหล่านี้ได้หรือไม่?  (ไม่ พวกเขาไม่สามารถ)  ช่างเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์จริงๆ!  ต่อให้มีสงครามหรือการรุกล้ำในระหว่างยุคสมัยที่แตกต่างกันหรือในเวลาที่ไม่ธรรมดาต่างๆ  สงครามและการรุกล้ำเหล่านี้ก็ไม่สามารถทำลายสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่พระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าสำหรับแต่ละเผ่าพันธุ์ได้อย่างสิ้นเชิง  กล่าวคือ พระเจ้าได้ทรงกำหนดให้ผู้คนจำพวกหนึ่งอยู่ในส่วนหนึ่งของโลกและพวกเขาไม่สามารถไปพ้นจากเขตจำกัดเหล่านี้ได้  ต่อให้ผู้คนมีความทะเยอทะยานบางอย่างที่จะเปลี่ยนแปลงหรือขยายดินแดนของพวกเขา หากปราศจากการอนุญาตจากพระเจ้า การนี้ก็จะลำบากยากเย็นมากที่จะสัมฤทธิ์ผล  มันจะลำบากยากเย็นมากที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จ  ตัวอย่างเช่น ผู้คนผิวขาวต้องการที่จะขยายดินแดนของพวกเขาและพวกเขาได้ยึดประเทศอื่นๆ บางประเทศเป็นอาณานิคม  ชาวเยอรมันได้บุกรุกบางประเทศ และครั้งหนึ่งอังกฤษก็ได้ยึดครองอินเดีย  ผลสุดท้ายคืออะไร?  ในท้ายที่สุด พวกเขาก็ล้มเหลว  พวกเราเห็นอะไรจากความล้มเหลวของพวกเขา?  สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้านั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ถูกทำลาย  ดังนั้นแล้ว  ไม่สำคัญว่าเจ้าอาจได้เห็นแรงส่งยิ่งใหญ่เพียงใดในการแผ่อาณาเขตของอังกฤษ ในท้ายที่สุดพวกเขายังคงต้องถอนทัพ ทิ้งแผ่นดินนั้นไว้ให้ยังคงเป็นของอินเดีย  บรรดาผู้ที่ดำรงชีวิตบนแผ่นดินผืนนั้นยังคงเป็นชาวอินเดีย ไม่ใช่ชาวอังกฤษ เพราะพระเจ้าคงจะไม่ทรงอนุญาตให้มันเกิดขึ้น  บางคนในบรรดาผู้ที่ค้นคว้าวิจัยประวัติศาสตร์หรือการเมืองได้ให้บทความวิจัยเกี่ยวกับการนี้เอาไว้  พวกเขาให้เหตุผลสำหรับสาเหตุที่อังกฤษล้มเหลว โดยกล่าวว่าอาจเป็นเพราะบางชาติพันธุ์ไม่อาจถูกพิชิตได้ หรืออาจเป็นเพราะเหตุผลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์… เหล่านี้ไม่ใช่เหตุผลอันแท้จริง  เหตุผลอันแท้จริงนั้นเป็นเพราะพระเจ้า—พระองค์จะไม่ทรงอนุญาตให้มันเกิดขึ้น!  พระเจ้าได้ทรงยอมให้ชาติพันธุ์หนึ่งดำรงชีวิตบนแผ่นดินผืนหนึ่งและทรงลงหลักปักฐานให้พวกเขาที่นั่น และหากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้พวกเขาเคลื่อนย้ายจากแผ่นดินผืนนั้น พวกเขาจะไม่มีวันสามารถเคลื่อนย้ายได้  หากพระเจ้าทรงแบ่งสรรพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับพวกเขา พวกเขาจะดำรงชีวิตภายในพื้นที่นั้น  มวลมนุษย์ไม่สามารถเป็นอิสระหรือสลัดตัวพวกเขาเองให้หลุดพ้นจากพื้นที่ที่กำหนดไว้เหล่านี้ได้  นี่เป็นสิ่งที่แน่นอน  ไม่สำคัญว่ากองกำลังของผู้รุกล้ำจะยิ่งใหญ่เพียงใด หรือบรรดาผู้ที่กำลังถูกรุกล้ำจะอ่อนแอเพียงใด ความสำเร็จของผู้รุกรานนั้นท้ายที่สุดแล้วอยู่ที่พระเจ้าจะตัดสินพระทัย  มันได้ถูกพระองค์ลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 9

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 184

พระเจ้าทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่งและจัดเตรียมให้ทุกสิ่ง พระองค์คือพระเจ้าแห่งสรรพสิ่ง (บทตอนที่คัดมา)

เมื่อมองจากมุมมองของกฎที่กำหนดพิจารณาโดยพระเจ้าสำหรับการเติบโตของทุกสรรพสิ่ง มิใช่ว่ามวลมนุษย์ทั้งปวง ในความหลากหลายทั้งหมดของมวลมนุษย์เอง ล้วนได้รับการจัดเตรียมและได้รับการเลี้ยงดูโดยพระเจ้าหรอกหรือ?  หากกฎเหล่านี้ถูกทำลายหรือหากพระเจ้ามิได้ทรงสถาปนากฎเหล่านี้ไว้สำหรับมวลมนุษย์แล้วไซร้ ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของมวลมนุษย์จะเป็นอย่างไร?  ภายหลังจากที่มนุษย์ได้สูญเสียสภาพแวดล้อมพื้นฐานสำหรับการอยู่รอดของพวกเขา พวกเขาจะมีแหล่งอาหารใดหรือไม่?  เป็นไปได้ว่าแหล่งอาหารนั้นจะกลายเป็นปัญหา  หากผู้คนสูญเสียแหล่งอาหารของพวกเขา กล่าวคือ หากพวกเขาไม่สามารถหาอะไรกินได้เลย พวกเขาจะสามารถอยู่ต่อไปได้อีกกี่วัน?  เป็นไปได้ที่พวกเขาคงจะไม่อยู่ได้นานแม้แต่เดือนเดียว และการอยู่รอดจริงๆ ของพวกเขาก็คงจะกลายเป็นปัญหา  ดังนั้นแล้วทุกๆ สิ่งที่พระเจ้าทรงทำสำหรับการอยู่รอดของผู้คน สำหรับการดำรงอยู่อันต่อเนื่อง การสืบพันธุ์ และความเป็นอยู่ของพวกเขานั้นสำคัญมาก  ทุกๆ สิ่งที่พระเจ้าทรงทำท่ามกลางสิ่งต่างๆ แห่งการทรงสร้างของพระองค์นั้นมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดและไม่สามารถแยกจากการอยู่รอดของมวลมนุษย์ได้  หากการอยู่รอดของมวลมนุษย์ได้กลายเป็นปัญหา การบริหารจัดการของพระเจ้าจะสามารถดำเนินต่อไปได้หรือไม่?  การบริหารจัดการของพระเจ้าจะยังคงมีอยู่หรือไม่?  การบริหารจัดการของพระเจ้าอยู่คู่กันกับความอยู่รอดของมวลมนุษย์ทั้งปวงผู้ซึ่งพระองค์ทรงเลี้ยงดู ดังนั้นแล้วไม่ว่าพระเจ้าทรงตระเตรียมการอะไรสำหรับทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระองค์และพระองค์ทรงทำอะไรสำหรับพวกมนุษย์ การนี้ทั้งหมดจำเป็นสำหรับพระองค์ และมันสำคัญมากสำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์  หากกฎเหล่านี้ที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดพิจารณาสำหรับทุกสรรพสิ่งถูกพรากจากไป หากกฎเหล่านี้ถูกทำลายลงหรือถูกทำให้หยุดชะงัก ทุกสรรพสิ่งก็คงจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีกต่อไป สภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์ก็คงจะไม่ดำรงอยู่ต่อไป อีกทั้งเสบียงอาหารในแต่ละวันของพวกเขาก็เช่นกัน และมวลมนุษย์เองก็เช่นกัน  ด้วยเหตุผลนี้ การบริหารจัดการของพระเจ้าเกี่ยวกับความรอดของมวลมนุษย์ก็คงจะไม่มีอยู่ต่อไปอีกแล้วเช่นกัน

ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราได้หารือกัน ทุกๆ สิ่ง ทุกรายการนั้นเชื่อมโยงกับการอยู่รอดของทุกๆ คนอย่างใกล้ชิด  พวกเจ้าอาจพูดว่า “สิ่งที่พระองค์กำลังตรัสถึงนั้นใหญ่เกินไป มันไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่พวกเราสามารถเห็นได้” และบางทีอาจมีผู้คนที่จะพูดว่า “สิ่งที่พระองค์กำลังตรัสถึงนั้นไม่เกี่ยวข้องกับข้าพระองค์”  อย่างไรก็ดี จงอย่าลืมว่าเจ้ากำลังใช้ชีวิตโดยเป็นแค่ส่วนหนึ่งของทุกสรรพสิ่ง เจ้าคือผู้หนึ่งท่ามกลางทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างภายใต้การปกครองของพระเจ้า  สิ่งต่างๆ แห่งการทรงสร้างของพระเจ้าไม่สามารถถูกแยกออกจากการปกครองของพระองค์ได้ และไม่มีบุคคลสักคนเดียวที่สามารถแยกตัวพวกเขาเองออกจากการปกครองของพระองค์ได้  การสูญเสียการปกครองของพระองค์และการจัดเตรียมของพระองค์ย่อมจะหมายความว่า ชีวิตของผู้คน ชีวิตฝ่ายเนื้อหนังของผู้คน จะหายไป  นี่คือความสำคัญของการที่พระเจ้าทรงกำหนดสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์  ไม่สำคัญว่าเจ้าเป็นของเผ่าพันธุ์ใดหรือเจ้าดำรงชีวิตอยู่บนแผ่นดินผืนใด ไม่ว่าจะเป็นในโลกตะวันตกหรือโลกตะวันออก—เจ้าไม่สามารถแยกตัวเจ้าเองจากสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่พระเจ้าได้ทรงจัดตั้งไว้สำหรับมวลมนุษย์ และเจ้าไม่สามารถแยกตัวเจ้าเองออกจากการเลี้ยงดูและการจัดเตรียมของสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่พระองค์ได้ทรงจัดตั้งสำหรับมนุษย์  ไม่ว่าการทำมาหากินของเจ้าคืออะไร เจ้าพึ่งพาอะไรเพื่อมีชีวิตอยู่ และเจ้าพึ่งพาอะไรเพื่อยังชีพของเจ้าในเนื้อหนัง เจ้าก็ไม่สามารถแยกตัวเจ้าเองออกจากการปกครองของพระเจ้าและการบริหารจัดการของพระองค์ได้  บางคนพูดว่า “ฉันไม่ใช่เกษตรกร ฉันไม่ได้เพาะปลูกพืชผลเพื่อหาเลี้ยงชีพ  ฉันไม่ได้พึ่งพาฟ้าสวรรค์สำหรับอาหารของฉัน ดังนั้นการอยู่รอดของฉันจึงไม่ได้กำลังเกิดขึ้นภายในสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่กำหนดโดยพระเจ้า  ฉันไม่ได้รับสิ่งใดเลยจากสภาพแวดล้อมแบบนั้น”  นั่นถูกต้องหรือ?  เจ้าพูดว่าเจ้าไม่ได้เพาะปลูกพืชผลเพื่อการดำรงชีวิตของเจ้า แต่เจ้าไม่กินธัญพืชหรอกหรือ?  เจ้าไม่กินเนื้อสัตว์และไข่หรอกหรือ?  และเจ้าไม่กินผักและผลไม้หรอกหรือ?  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ากิน สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดที่เจ้าจำเป็นต้องมี ไม่สามารถแยกจากสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่พระเจ้ากำหนดให้แก่มวลมนุษย์ได้  และแหล่งที่มาของทุกสิ่งทุกอย่างที่มวลมนุษย์พึงต้องมีนั้นไม่สามารถแยกจากทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างได้ ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงของพวกมันประกอบขึ้นเป็นสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของเจ้า  น้ำที่เจ้าดื่ม เสื้อผ้าที่เจ้าสวมใส่ และทุกสรรพสิ่งที่เจ้าใช้—สิ่งใดหรือในบรรดาสิ่งเหล่านี้ ที่ไม่ได้รับมาจากในท่ามกลางสิ่งต่างๆ แห่งการทรงสร้างของพระเจ้า?  บางคนพูดว่า “มีสิ่งของบางรายการที่ไม่ได้รับมาจากสิ่งต่างๆ แห่งการทรงสร้างของพระเจ้า  พระองค์ทรงเห็นหรือไม่ พลาสติกคือหนึ่งในรายการสิ่งของเหล่านั้น  มันเป็นสิ่งของทางเคมี สิ่งของที่มนุษย์สร้างขึ้น”  นั่นถูกต้องหรือ?  พลาสติกจริงๆ แล้วคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น และมันเป็นสิ่งของทางเคมี แต่องค์ประกอบดั้งเดิมของพลาสติกมาจากไหนกัน?  องค์ประกอบดั้งเดิมนั้นได้มาจากวัสดุที่พระเจ้าทรงสร้าง  สิ่งต่างๆ ที่เจ้าเห็นและชื่นชม ทุกๆ สิ่งที่เจ้าใช้ มันทั้งหมดได้มาจากสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงสร้าง  นั่นจึงกล่าวได้ว่า ไม่ว่าบุคคลหนึ่งจะเป็นของเผ่าพันธุ์ใด ไม่ว่าพวกเขาอาจใช้ชีวิตอยู่ในการทำมาหากินอะไรหรือในสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดจำพวกใด พวกเขาไม่สามารถแยกตัวพวกเขาเองออกจากสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 9

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 185

พระเจ้าทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่งและจัดเตรียมให้ทุกสิ่ง พระองค์คือพระเจ้าแห่งสรรพสิ่ง (บทตอนที่คัดมา)

ความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของผู้คนมีมากเพียงใด ขอบข่ายของพระฐานะที่พระองค์ทรงมีในหัวใจของพวกเขาก็มีมากเพียงนั้นด้วย  ระดับของความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขายิ่งใหญ่เพียงใด พระเจ้าในหัวใจของพวกเขาก็ทรงยิ่งใหญ่เพียงนั้น  หากพระเจ้าที่เจ้ารู้จักนั้นว่างเปล่าและคลุมเครือ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าที่เจ้าเชื่อก็ว่างเปล่าและคลุมเครือด้วยเช่นกัน  พระเจ้าที่เจ้ารู้จักถูกจำกัดไว้ที่วงเขตของชีวิตส่วนตัวของเจ้าเอง และไม่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เองเลย  ด้วยเหตุนี้ การรู้จักการกระทำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้า การรู้จักความเป็นจริงของพระเจ้าและฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์ การรู้จักพระอัตลักษณ์ที่แท้จริงของพระเจ้าพระองค์เอง การรู้จักสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น การรู้จักการกระทำที่พระองค์ได้ทรงสำแดงท่ามกลางทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระองค์—สิ่งเหล่านี้สำคัญมากต่อบุคคลทุกๆ คนที่ไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า  พวกมันมีผลกระทบโดยตรงต่อการที่ผู้คนจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่  หากเจ้าจำกัดความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้าไว้ที่แค่พระวจนะ หากเจ้าจำกัดมันไว้ที่ประสบการณ์เล็กน้อยของเจ้าเอง ไว้ที่สิ่งที่เจ้าคิดว่าเป็นพระคุณของพระเจ้า หรือคำพยานเล็กน้อยของเจ้าต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเรากล่าวว่าพระเจ้าที่เจ้าเชื่อนั้นไม่ใช่พระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เองอย่างแน่นอน  ไม่เพียงแค่นั้น ทว่ายังสามารถกล่าวได้อีกด้วยว่าพระเจ้าที่เจ้าเชื่อนั้นเป็นพระเจ้าในจินตนาการ ไม่ใช่พระเจ้าเที่ยงแท้  นี่เป็นเพราะพระเจ้าเที่ยงแท้ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่ปกครองทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ทรงดำเนินไปท่ามกลางทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ทรงบริหารจัดการทุกสิ่งทุกอย่าง  พระองค์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่กุมชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวงและของทุกสิ่งทุกอย่างในพระหัตถ์ของพระองค์  พระราชกิจและการกระทำของพระเจ้าที่เรากำลังพูดถึงนั้นไม่ได้ถูกจำกัดไว้แค่ตรงผู้คนในสัดส่วนเล็กๆ  กล่าวคือ พวกมันไม่ได้ถูกจำกัดไว้แค่ตรงผู้คนที่ติดตามพระองค์ในปัจจุบัน  กิจการของพระองค์นั้นสำแดงออกท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง ในการอยู่รอดของทุกสรรพสิ่ง และในกฎต่างๆ แห่งการเปลี่ยนแปลงของทุกสรรพสิ่ง  หากเจ้าไม่สามารถเห็นหรือระลึกได้ถึงกิจการใดๆ ของพระเจ้าท่ามกลางทุกสรรพสิ่งของการทรงสร้างของพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่สามารถเป็นคำพยานต่อกิจการใดๆ ของพระองค์ได้  หากเจ้าไม่สามารถเป็นคำพยานให้กับพระเจ้า หากเจ้ายังคงพูดต่อไปถึงผู้ที่เรียกกันว่า “พระเจ้า” องค์เล็กๆ ที่เจ้ารู้จัก พระเจ้าองค์นั้นผู้ถูกจำกัดไว้ที่แนวคิดของเจ้าเองและดำรงอยู่เฉพาะภายในขอบเขตอันคับแคบของจิตใจของเจ้าเท่านั้น หากเจ้ายังคงพูดต่อไปถึงพระเจ้าประเภทนั้น เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่มีวันทรงสรรเสริญความเชื่อของเจ้า  ตอนที่เจ้าเป็นคำพยานให้กับพระเจ้า หากเจ้าทำเช่นนั้นเฉพาะในแง่ของวิธีการที่เจ้าชื่นชมพระคุณของพระเจ้า วิธีการที่เจ้ายอมรับการบ่มวินัยของพระเจ้าและการตีสอนของพระองค์ และวิธีการที่เจ้าชื่นชมพรของพระองค์ในการเป็นพยานของเจ้าสำหรับพระองค์แล้วไซร้ นั่นก็ห่างไกลจากคำว่าพอและไม่แม้แต่จะใกล้เคียงกับการทำให้พระองค์พึงพอพระทัย  หากเจ้าต้องการเป็นพยานให้กับพระเจ้าในหนทางที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นพยานให้กับพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นจากการกระทำของพระองค์  เจ้าต้องเห็นสิทธิอำนาจของพระเจ้าจากการควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างของพระองค์ และเห็นความจริงเกี่ยวกับวิธีที่พระองค์ทรงจัดเตรียมสำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวง  หากเจ้ารับรู้เพียงว่าเสบียงอาหารในแต่ละวันของเจ้าและสิ่งจำเป็นพื้นฐานในชีวิตของเจ้านั้นมาจากพระเจ้า แต่เจ้ากลับล้มเหลวที่จะเห็นความจริงที่ว่าพระเจ้าได้ทรงมองทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระองค์เป็นการจัดเตรียมสำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวง และที่ว่า พระองค์กำลังทรงนำทางมวลมนุษย์ทั้งปวงโดยการปกครองทุกสรรพสิ่ง เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะเป็นพยานให้กับพระเจ้าได้  อะไรคือจุดประสงค์ของเราในการกล่าวทั้งหมดนี้?  มันก็เป็นไปเพื่อที่พวกเจ้าจะได้ไม่คิดว่าการนี้ไม่สำคัญ เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่เชื่ออย่างผิดๆ ว่าหัวข้อเหล่านี้ที่เราได้พูดถึงนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตเป็นการส่วนบุคคลของพวกเจ้าเอง และเพื่อที่เจ้าจะได้ไม่คิดว่าหัวข้อเหล่านี้เป็นแค่ความรู้หรือคำสอนชนิดหนึ่ง  หากพวกเจ้าฟังสิ่งที่เรากำลังกล่าวด้วยท่าทีประเภทนั้น เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ย่อมจะไม่ได้รับแม้สักสิ่งเดียว  พวกเจ้าจะสูญเสียโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้ที่จะได้รู้จักพระเจ้า

อะไรคือเป้าหมายของเราในการพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด?  เป้าหมายของเราคือการทำให้ผู้คนรู้จักพระเจ้า การทำให้ผู้คนเข้าใจการกระทำอันสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้า  ทันทีที่เจ้าเข้าใจพระเจ้าและเจ้ารู้จักการกระทำของพระองค์ เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะมีโอกาสหรือความเป็นไปได้ที่จะรู้จักพระองค์  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าต้องการที่จะเข้าใจบุคคลหนึ่ง เจ้าจะมาเข้าใจพวกเขาได้อย่างไร?  มันจะเป็นไปโดยผ่านทางการมองที่รูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขาหรือไม่?  มันจะเป็นไปโดยผ่านทางการมองที่สิ่งที่พวกเขาสวมใส่หรือวิธีที่พวกเขาแต่งกายหรือไม่?  มันจะเป็นไปโดยผ่านทางการมองที่วิธีที่พวกเขาเดินหรือไม่?  มันจะเป็นไปโดยผ่านทางการมองที่วงเขตของความรู้ของพวกเขาหรือไม่?  (ไม่)  ดังนั้นแล้วเจ้าเข้าใจบุคคลหนึ่งอย่างไร?  เจ้าตัดสินบนพื้นฐานของคำพูดและพฤติกรรมของบุคคล ความคิดของพวกเขาและสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาแสดงออกและเปิดเผยเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง  นี่คือวิธีที่เจ้าได้มารู้จักบุคคลหนึ่ง วิธีที่เจ้าเข้าใจบุคคลหนึ่ง  ในทำนองเดียวกัน หากเจ้าต้องการที่จะรู้จักพระเจ้า หากเจ้าต้องการที่จะเข้าใจด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์ ด้านที่เที่ยงแท้ของพระองค์ พวกเจ้าต้องรู้จักพระองค์โดยผ่านทางกิจการของพระองค์และโดยผ่านทางสิ่งอันสัมพันธ์กับชีวิตจริงทุกๆ สิ่งที่พระองค์ทรงทำ  นี่คือวิธีที่ดีที่สุด และเป็นวิธีเดียวเท่านั้น

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 9

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 186

พระเจ้าทรงทำให้สัมพันธภาพระหว่างทุกสรรพสิ่งมีสมดุลเพื่อประทานสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่มีเสถียรภาพแก่มวลมนุษย์ (บทตอนที่คัดมา)

เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ได้ทรงใช้วิธีการและหนทางทุกชนิดเพื่อให้พวกมันมีสมดุล เพื่อให้สภาพเงื่อนไขในการดำรงชีวิตของภูเขาและทะเลสาบ ของพืชพรรณและสัตว์ นก และแมลงทุกชนิดมีสมดุล  เป้าหมายของพระองค์คือการเปิดโอกาสให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดได้ดำรงชีวิตและทวีจำนวนภายใต้กฎที่พระองค์ได้ทรงกำหนดขึ้น  ไม่มีสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างใดสามารถออกนอกกฎเหล่านี้ และกฎเหล่านี้ไม่สามารถถูกทำลายได้  เฉพาะภายในสภาพแวดล้อมพื้นฐานประเภทนี้เท่านั้น มนุษย์จึงสามารถอยู่รอดและทวีจำนวนได้อย่างปลอดภัยรุ่นแล้วรุ่นเล่า  หากสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ ไปพ้นจำนวนหรือวงเขตที่พระเจ้าทรงกำหนด หรือหากมันเกินอัตราการเติบโต ความถี่ของการสืบพันธุ์ หรือจำนวนที่พระองค์สั่งการ สภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์คงจะประสบทุกข์กับการทำลายล้างในระดับที่หลากหลาย  และในเวลาเดียวกัน การอยู่รอดของมวลมนุษย์ก็คงจะถูกคุกคาม  หากสิ่งมีชีวิตทรงสร้างชนิดหนึ่งมีจำนวนมากเกินไป มันจะปล้นอาหารจากผู้คน ทำลายแหล่งน้ำของผู้คน และทำให้ถิ่นฐานของพวกเขาย่อยยับ  ด้วยหนทางนั้น การสืบพันธุ์หรือสภาวะการอยู่รอดของมวลมนุษย์คงจะได้รับผลกระทบในทันที  ตัวอย่างเช่น น้ำนั้นสำคัญมากสำหรับทุกสรรพสิ่ง  หากมีหนู มด ตั๊กแตนโลคัสตา กบ หรือสัตว์ชนิดอื่นใดมากเกินไป พวกมันจะดื่มน้ำมากขึ้น  เมื่อปริมาณน้ำที่พวกมันดื่มเพิ่มขึ้น น้ำดื่มและแหล่งน้ำของผู้คนภายในวงเขตที่ตายตัวของแหล่งน้ำดื่มและพื้นที่ซึ่งประกอบด้วยน้ำจะลดลง และพวกเขาจะได้รับประสบการณ์เป็นการขาดแคลนน้ำ  หากน้ำดื่มของผู้คนถูกทำลาย ปนเปื้อน หรือถูกตัดขาดเพราะสัตว์ทุกประเภทได้เพิ่มจำนวนขึ้น ภายใต้สภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดอันโหดร้ายแบบนั้น การอยู่รอดของมวลมนุษย์จะถูกคุกคามอย่างร้ายแรง  หากสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งหรือหลายประเภทมีจำนวนเกินความเหมาะสมของพวกมัน เช่นนั้นแล้วอากาศ อุณหภูมิ ความชื้น และแม้กระทั่งองค์ประกอบของอากาศภายในพื้นที่สำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์ก็จะเป็นพิษและถูกทำลายในระดับที่หลากหลาย  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ การอยู่รอดและชะตากรรมของมนุษย์จะอยู่ภายใต้การคุกคามที่มีต้นเหตุจากปัจจัยทางนิเวศเหล่านี้เช่นกัน  ดังนั้นแล้ว หากความสมดุลเหล่านี้สูญเสียไป อากาศที่ผู้คนหายใจจะถูกทำลาย น้ำที่พวกเขาดื่มจะถูกปนเปื้อน และอุณหภูมิที่พวกเขาพึงต้องมีก็จะเปลี่ยนแปลงและได้รับผลกระทบในระดับที่หลากหลายเช่นกัน  หากการนั้นเกิดขึ้น สภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่เป็นของมวลมนุษย์โดยธรรมชาติจะได้รับผลกระทบและอยู่ภายใต้ความท้าทายอันใหญ่หลวง  ในฉากเหตุการณ์แบบนี้ที่สภาพแวดล้อมพื้นฐานสำหรับการอยู่รอดของมนุษย์ได้ถูกทำลายลง ชะตากรรมและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของมวลมนุษย์จะเป็นอย่างไร?  นี่เป็นปัญหาที่รุนแรงมากปัญหาหนึ่ง!  เพราะพระเจ้าทรงทราบว่าแต่ละสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างดำรงอยู่เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ด้วยเหตุผลใด บทบาทของสิ่งต่างๆ ทุกชนิดที่พระองค์ได้ทรงสร้างคืออะไร แต่ละสิ่งมีผลกระทบแบบใดต่อมวลมนุษย์ และมันเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ถึงระดับใด เพราะในพระทัยของพระเจ้ามีแผนการสำหรับทั้งหมดนี้และพระองค์ทรงบริหารจัดการทุกๆ แง่มุมของทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นมา นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทุกๆ สิ่งที่พระองค์ทรงทำจึงสำคัญและจำเป็นมากสำหรับมวลมนุษย์  ดังนั้นแล้วตั้งแต่นี้ไป เมื่อใดก็ตามที่เจ้าสังเกตดูปรากฏการณ์ทางนิเวศบางอย่างท่ามกลางสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า หรือกฎธรรมชาติบางอย่างที่ดำเนินอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า เจ้าจะไม่สงสัยเกี่ยวกับความจำเป็นของทุกๆ สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างอีกต่อไป  เจ้าจะไม่ใช้ถ้อยคำที่ไม่รู้เท่าทันมาตัดสินโดยพลการเกี่ยวกับการจัดการเตรียมการทุกสรรพสิ่งของพระเจ้าและหนทางอันหลากหลายของพระองค์ในการจัดเตรียมสำหรับมวลมนุษย์อีกต่อไป  อีกทั้งเจ้าจะไม่มาสู่ข้อสรุปเกี่ยวกับกฎของพระเจ้าสำหรับทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระองค์โดยพลการ

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 9

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 187

วิธีที่พระเจ้าทรงปกครองและบริหารโลกฝ่ายวิญญาณ

สำหรับโลกทางวัตถุนั้น เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนไม่เข้าใจบางสิ่งหรือปรากฏการณ์บางอย่าง พวกเขาสามารถค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องหรือใช้ช่องทางทั้งหลายเพื่อหาต้นกำเนิดและภูมิหลังของสิ่งเหล่านั้น  แต่เมื่อกล่าวถึงอีกโลกหนึ่งที่เรากำลังพูดคุยกันอยู่วันนี้—โลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมีอยู่ภายนอกโลกทางวัตถุ—ผู้คนไม่มีวิธีการหรือช่องทางใดๆ ที่จะใช้เรียนรู้เกี่ยวกับมันอย่างสิ้นเชิง  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เรากล่าวไปเพราะ ในโลกของมวลมนุษย์นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างของโลกทางวัตถุแยกกันไม่ได้จากการดำรงอยู่ทางร่างกายของมนุษย์ และเพราะผู้คนรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างของโลกทางวัตถุนั้นแยกกันไม่ได้จากการดำรงชีวิตทางกายภาพและชีวิตทางกายภาพของพวกเขา ผู้คนส่วนใหญ่เพียงมองเห็นหรือตระหนักถึงสิ่งทั้งหลายทางวัตถุที่อยู่ต่อหน้าต่อตาของพวกเขาที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้เท่านั้น  อย่างไรก็ตาม เมื่อกล่าวถึงโลกฝ่ายวิญญาณ—ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของอีกโลกหนึ่งนั้น—มันคงจะเป็นการสมควรที่จะกล่าวว่าผู้คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อ  เนื่องจากผู้คนไม่สามารถมองเห็นมันได้ และเชื่อว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจมันหรือที่จะต้องรู้สิ่งใดๆ เกี่ยวกับมัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าโลกฝ่ายวิญญาณเป็นโลกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากโลกทางวัตถุอย่างไร และเป็นโลกเปิดเมื่อมองจากมุมมองของพระเจ้า อย่างไร—ถึงแม้ว่าสำหรับมนุษย์แล้วมันเป็นความลับและเป็นโลกที่ปิดอยู่ก็ตาม—เพราะฉะนั้นผู้คนจึงค้นหาเส้นทางเพื่อที่จะเข้าใจแง่มุมทั้งหลายของโลกนี้อย่างยากลำบากยิ่ง  แง่มุมที่แตกต่างของโลกฝ่ายวิญญาณที่เรากำลังจะพูดถึงนี้เพียงเกี่ยวข้องกับการบริหารและอธิปไตยของพระเจ้าเท่านั้น เรามิใช่กำลังจะเผยความล้ำลึกอันใด และเรามิใช่กำลังจะบอกพวกเจ้าถึงความลับอันใดที่พวกเจ้าปรารถนาจะเรียนรู้  เนื่องจากการนี้เกี่ยวข้องกับอธิปไตยของพระเจ้า การบริหารของพระเจ้า และการจัดเตรียมของพระเจ้า เพราะฉะนั้นเราจึงจะเพียงพูดถึงส่วนที่พวกเจ้าจำเป็นต้องรู้เท่านั้น

ก่อนอื่น เราขอถามคำถามหนึ่งกับพวกเจ้า นั่นคือ  ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเจ้านั้น โลกฝ่ายวิญญาณคืออะไร?  พูดโดยกว้างๆ แล้วนั้น มันคือโลกที่อยู่นอกโลกทางวัตถุ โลกที่ไม่ปรากฏแก่ตาและไม่อาจจับต้องได้สำหรับผู้คน ถึงกระนั้น ในจินตนาการของพวกเจ้า โลกฝ่ายวิญญาณควรจะเป็นโลกแบบใด?  บางที ผลจากการที่ไม่สามารถมองเห็นมันได้นี้ พวกเจ้าจึงไม่สามารถคิดเกี่ยวกับมันได้  อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเจ้าได้ยินตำนานบางอย่าง พวกเจ้ายังคงกำลังคิดถึงมันอยู่ และพวกเจ้าไม่สามารถหยุดคิดถึงมันได้  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับผู้คนมากมายเมื่อพวกเขายังเยาว์วัย นั่นคือ  เมื่อใครบางคนบอกเล่าเรื่องที่น่ากลัวแก่พวกเขา—เกี่ยวกับผี หรือดวงจิต—พวกเขารู้สึกกลัวจนขนหัวลุก  พวกเขาหวาดกลัวเพราะเหตุใดกันแน่?  นั่นเป็นเพราะพวกเขากำลังจินตนาการถึงสิ่งเหล่านั้นนั่นเอง ถึงแม้พวกเขาจะไม่สามารถมองเห็นพวกมัน แต่พวกเขารู้สึกว่าพวกมันอยู่ทั่วห้องของพวกเขา อยู่ในที่ซ่อนเร้นหรือมุมมืดบางแห่ง และพวกเขาเกรงกลัวจนพวกเขาไม่กล้าเข้านอน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามกลางคืน พวกเขารู้สึกกลัวเกินไปที่จะอยู่ตามลำพังในห้องของพวกเขาหรือที่จะเสี่ยงออกไปในลานบ้านของพวกเขาตามลำพัง  นั่นคือโลกฝ่ายวิญญาณจากจินตนาการของพวกเจ้า และมันเป็นโลกที่มนุษย์คิดว่าน่ากลัว  ข้อเท็จจริงก็คือทุกคนจินตนาการถึงมันถึงบางระดับเท่านั้น และทุกคนสามารถรู้สึกถึงมันได้นิดหน่อย

เรามาเริ่มพูดคุยถึงโลกฝ่ายวิญญาณกันเถิด  มันคืออะไร?  เราขอให้คำอธิบายสั้นๆ และเรียบง่ายแก่เจ้าว่า  โลกฝ่ายวิญญาณคือสถานที่สำคัญแห่งหนึ่ง สถานที่ซึ่งแตกต่างจากโลกวัตถุ  เหตุใดเราจึงกล่าวว่ามันสำคัญ?  พวกเรากำลังจะหารือเรื่องนี้กันอย่างละเอียด  การมีอยู่ของโลกฝ่ายวิญญาณเชื่อมโยงกันอย่างเหนียวแน่นกับโลกวัตถุของมวลมนุษย์  มันมีบทบาทสำคัญในวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของมนุษย์ในอำนาจครอบครองเหนือสรรพสิ่งของพระเจ้า  นี่คือบทบาทของมัน และนี่คือหนึ่งในเหตุผลทั้งหลายที่ทำให้การมีอยู่ของมันมีความสำคัญ  เนื่องจากมันเป็นสถานที่ซึ่งสัมผัสทั้งห้าไม่สามารถหยั่งรู้ได้ จึงไม่มีใครสามารถตัดสินได้อย่างแน่ชัดว่าโลกฝ่ายวิญญาณมีอยู่หรือไม่มี  พลวัตทั้งหลายของมันเชื่อมต่อกับการดำรงอยู่ของมนุษย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งมีผลทำให้ระเบียบชีวิตของมวลมนุษย์ได้รับอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงจากโลกฝ่ายวิญญาณด้วย  การนี้เกี่ยวข้องกับอธิปไตยของพระเจ้าหรือไม่?  มันเกี่ยวข้อง  เมื่อเรากล่าวเช่นนี้ พวกเจ้าเข้าใจว่าเหตุใดเราจึงกำลังหารือถึงหัวข้อนี้ กล่าวคือ เป็นเพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับอธิปไตยของพระเจ้า รวมถึงการบริหารของพระองค์นั่นเอง  ในโลกอย่างเช่นโลกนี้—โลกที่ไม่ปรากฏแก่ตาผู้คน—ทุกประกาศิตจากสวรรค์ ทุกประกาศกฤษฎีกา และทุกระบบบริหารของมันนั้นเหนือกว่ากฎหมายและระบบทั้งหลายของชาติใดในโลกวัตถุเป็นอย่างมาก และไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่ดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้จะกล้าขัดหรือฝ่าฝืนสิ่งเหล่านั้น  การนี้เกี่ยวข้องกับอธิปไตยและการบริหารของพระเจ้าหรือไม่?  ในโลกฝ่ายวิญญาณนั้น มีประกาศกฤษฎีการบริหารที่ชัดเจน ประกาศิตจากสวรรค์ที่ชัดเจน และบทบัญญัติที่ชัดเจน  บรรดาผู้ดูแลในระดับแตกต่างกันและในพื้นที่ต่างๆ ปฏิบัติตามหน้าที่ของตนและรักษากฎและข้อบังคับทั้งหลายอย่างเคร่งครัด เพราะพวกเขารู้ว่าผลพวงของการฝ่าฝืนประกาศิตจากสวรรค์คืออะไร พวกเขาตระหนักอย่างชัดเจนว่าพระเจ้าทรงลงโทษคนชั่วและประทานรางวัลแก่คนดีอย่างไร และว่าพระองค์ทรงบริหารและปกครองเหนือทุกสรรพสิ่งอย่างไร  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามองเห็นอย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงดำเนินการตามประกาศิตจากสวรรค์และบทบัญญัติของพระองค์อย่างไร  สิ่งเหล่านี้แตกต่างจากโลกวัตถุที่มวลมนุษย์อาศัยอยู่หรือไม่?  สิ่งเหล่านี้แตกต่างกันอย่างมหาศาลจริงๆ  โลกฝ่ายวิญญาณเป็นโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับโลกวัตถุ  ในเมื่อมีประกาศิตจากสวรรค์และบทบัญญัติเหล่านี้ เรื่องนี้จึงเกี่ยวข้องกับอธิปไตย การบริหารของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น พระอุปนิสัยของพระองค์ รวมถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  เมื่อได้ฟังเรื่องนี้ พวกเจ้าไม่รู้สึกว่ามันจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเราที่จะต้องพูดถึงหัวข้อนี้หรอกหรือ?  พวกเจ้าไม่ปรารถนาที่จะเรียนรู้ความลับทั้งหลายภายในของโลกฝ่ายวิญญาณหรอกหรือ?  (ใช่แล้ว พวกเราปรารถนา)  เช่นนี้คือมโนทัศน์ของโลกฝ่ายวิญญาณ  ถึงแม้ว่ามันจะดำรงอยู่ร่วมกันกับโลกวัตถุ และอยู่ภายใต้การบริหารและอำนาจปกครองสูงสุดของพระเจ้าไปพร้อมกัน แต่การบริหารและอธิปไตยในโลกนี้ของพระเจ้านั้นเข้มงวดกว่าการบริหารและอธิปไตยในโลกวัตถุเป็นอย่างมาก

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 188

ท่ามกลางมวลมนุษย์นั้น เราจำแนกผู้คนทั้งหมดออกเป็นสามจำพวก  จำพวกแรกคือผู้ไม่เชื่อ ซึ่งก็คือพวกที่ไม่มีการเชื่อทางศาสนา  พวกเขาได้รับการเรียกขานว่าผู้ไม่เชื่อ  ผู้ไม่เชื่อส่วนมากเลยนั้นมีความเชื่อในเงินทองเท่านั้น พวกเขาค้ำจุนแต่ผลประโยชน์ของพวกเขาเองเท่านั้น เป็นพวกวัตถุนิยม และเชื่อในโลกวัตถุเท่านั้น—พวกเขาไม่เชื่อในวัฏจักรแห่งชีวิตและความตาย หรือในสิ่งใดๆ ที่กล่าวถึงเทพเจ้าและผี  เราจำแนกผู้คนเหล่านี้ให้อยู่ในกลุ่มผู้ไม่เชื่อ และพวกเขาเป็นจำพวกแรก  จำพวกที่สองประกอบด้วยผู้คนที่มีความเชื่อต่างๆ นานานอกเหนือไปจากผู้ไม่เชื่อ  ท่ามกลางมวลมนุษย์นั้น เราแยกผู้คนที่มีความเชื่อเหล่านี้ออกเป็นกลุ่มใหญ่หลายกลุ่ม นั่นคือ กลุ่มแรกคือชาวยิว กลุ่มที่สองคือชาวคาทอลิก กลุ่มที่สามคือคริสเตียน กลุ่มที่สี่คือมุสลิม และกลุ่มที่ห้าคือชาวพุทธ มีห้าประเภท  เหล่านี้คือผู้คนที่มีความเชื่อประเภทต่างๆ  จำพวกที่สามประกอบด้วยบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า และกลุ่มนี้ประกอบด้วยพวกเจ้า  ผู้เชื่อเช่นนั้นคือบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าในวันนี้  ผู้คนเหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็นสองประเภท นั่นคือ  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และคนปรนนิบัติ  สามจำพวกหลักนี้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน  ด้วยเหตุนี้เอง บัดนี้พวกเจ้าสามารถแยกความแตกต่างระหว่างจำพวกและลำดับชั้นของมนุษย์ได้อย่างชัดเจนในความรู้สึกนึกคิดของพวกเจ้า มิใช่หรือ?  จำพวกแรกประกอบด้วยบรรดาผู้ไม่เชื่อ และเราได้กล่าวไปแล้วว่าพวกเขาเป็นอย่างไร  พวกที่มีความเชื่อในชายชราบนฟ้านับว่าเป็นผู้ไม่เชื่อหรือไม่?  ผู้ไม่เชื่อจำนวนมากเชื่อในชายชราบนฟ้าเท่านั้น พวกเขาเชื่อว่าลม ฝน ฟ้าร้อง และอื่นๆ ล้วนถูกควบคุมโดยชายชรานี้ ซึ่งพวกเขาพึ่งพาในการเพาะปลูกพืชผลและการเก็บเกี่ยว—กระนั้นเมื่อมีการกล่าวถึงการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะเชื่อในพระองค์  เช่นนี้สามารถเรียกว่าการมีความเชื่อได้หรือ?  ผู้คนเช่นนี้รวมอยู่ในหมู่ผู้ไม่เชื่อ  พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ ใช่หรือไม่?  จงอย่าเข้าใจหมวดหมู่เหล่านี้ผิดๆ  จำพวกที่สองประกอบด้วยผู้คนที่มีความเชื่อ และจำพวกที่สามคือบรรดาผู้ที่กำลังติดตามพระเจ้าอยู่ในปัจจุบัน  เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเราจึงได้แบ่งมนุษย์ทั้งหมดออกเป็นจำพวกเหล่านี้?  (เพราะผู้คนต่างจำพวกกันมีบทอวสานและบั้นปลายที่แตกต่างกัน)  นั่นคือแง่มุมหนึ่งของเรื่องนี้  เมื่อผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์และจำพวกกลับคืนไปสู่โลกฝ่ายวิญญาณ พวกเขาแต่ละคนจะมีที่ไปที่แตกต่างกัน และจะอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติแห่งวัฏจักรของชีวิตและความตายที่หลากหลาย ดังนั้น นั่นคือเหตุผลที่เราได้จำแนกมนุษย์ออกเป็นจำพวกใหญ่ๆ เหล่านี้

วัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของบรรดาผู้ไม่เชื่อ (บทตอนที่คัดมา)

พวกเรามาเริ่มต้นกันด้วยเรื่องวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของบรรดาผู้ไม่เชื่อกันเถิด  หลังการตาย บุคคลหนึ่งจะถูกผู้ดูแลจากโลกฝ่ายวิญญาณพาไป  อะไรของบุคคลกันแน่ที่ถูกพาไป?  ไม่ใช่เนื้อหนังของเขา แต่เป็นดวงจิตของเขา  เมื่อดวงจิตของคนเราถูกพาไป คนเราก็ไปถึง ณ สถานที่ที่เป็นหน่วยงานหนึ่งของโลกฝ่ายวิญญาณซึ่งรับดวงจิตของผู้คนที่เพิ่งตายไปโดยเฉพาะ  นั่นเป็นสถานที่แรกที่ทุกคนไปหลังการตายซึ่งเป็นสถานที่ที่แปลกสำหรับดวงจิต  เมื่อพวกเขาถูกพาไปยังสถานที่นี้ เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบครั้งแรก โดยการยืนยันชื่อ ที่อยู่ อายุ และประสบการณ์ทั้งหมดของพวกเขา  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเคยทำขณะที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ถูกบันทึกลงในหนังสือและตรวจสอบยืนยันความถูกต้อง  หลังจากทั้งหมดได้รับการตรวจสอบแล้ว พฤติกรรมและการกระทำของบุคคลนั้นตลอดทั้งชีวิตของพวกเขาจะถูกใช้กำหนดพิจารณาว่าพวกเขาจะถูกลงโทษหรือจะได้กลับมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ต่อไป นี่เป็นช่วงระยะแรก  ช่วงระยะแรกนี้น่ากลัวหรือไม่?  มันไม่น่ากลัวจนเกินไป เพราะสิ่งเดียวที่ได้เกิดขึ้นก็คือบุคคลนั้นได้มาถึงสถานที่หนึ่งซึ่งมืดและไม่คุ้นเคย

ในช่วงระยะที่สอง หากบุคคลนั้นได้ทำสิ่งชั่วมากมายตลอดชีวิตของเขา และได้กระทำความประพฤติเลวร้ายมากมาย เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะถูกพาไปจัดการยังสถานที่ลงโทษ  นั่นจะเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับลงโทษผู้คนอย่างชัดแจ้ง  รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาจะได้รับการลงโทษขึ้นอยู่กับบาปที่พวกเขาได้ทำไป รวมถึงขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาได้ทำสิ่งเลวร้ายมากเพียงใดก่อนตาย—นี่คือสถานการณ์แรกที่จะเกิดขึ้นในช่วงระยะที่สอง  เนื่องจากสิ่งไม่ดีที่พวกเขาได้ทำและความชั่วที่พวกเขาได้กระทำไว้ก่อนตาย—เมื่อพวกเขามาเกิดใหม่หลังจากถูกลงโทษแล้ว—เมื่อพวกเขากลับมาเกิดอีกครั้งในโลกวัตถุ—ผู้คนบางคนจึงจะยังคงเป็นมนุษย์ต่อไป ในขณะที่คนอื่นๆ จะกลายเป็นสัตว์  กล่าวคือ หลังจากที่บุคคลหนึ่งกลับไปยังโลกฝ่ายวิญญาณ พวกเขาจะได้รับการลงโทษเนื่องจากความชั่วที่พวกเขาได้กระทำไป ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่พวกเขาได้ทำไป พวกเขาอาจจะไม่ได้กลับมาเป็นมนุษย์ในการมาเกิดใหม่ครั้งต่อไปของพวกเขา แต่เป็นสัตว์ตัวหนึ่ง  ประเภทของสัตว์ที่พวกเขาอาจจะเกิดมาเป็นนั้นรวมถึงวัว ม้า สุกร และสุนัข  ผู้คนบางคนอาจเกิดใหม่มาเป็นนก หรือเป็ด หรือห่านได้… หลังจากที่พวกเขาได้มาเกิดใหม่เป็นสัตว์แล้ว เมื่อพวกเขาตายอีกครั้ง พวกเขาจะคืนกลับไปยังโลกฝ่ายวิญญาณ  ที่นั่น โลกฝ่ายวิญญาณจะตัดสินดังเช่นเมื่อก่อนหน้านี้ บนพื้นฐานของพฤติกรรมก่อนตายของพวกเขา ว่าพวกเขาจะได้มาเกิดใหม่เป็นมนุษย์หรือไม่  ผู้คนส่วนใหญ่กระทำชั่วมากเกินไป และบาปของพวกเขาหนักหนาเกินไป ดังนั้น พวกเขาจึงต้องเกิดมาเป็นสัตว์เจ็ดถึงสิบสองครั้ง  เจ็ดถึงสิบสองครั้ง—นั่นไม่น่ากลัวหรอกหรือ?  (มันน่ากลัว)  อะไรทำให้พวกเจ้ากลัว?  บุคคลหนึ่งมากลายเป็นสัตว์—นั่นคือสิ่งที่น่ากลัว  และสำหรับบุคคลหนึ่ง อะไรคือสิ่งที่เจ็บปวดมากที่สุดเกี่ยวกับการกลายเป็นสัตว์?  การไม่มีภาษา การมีเพียงความคิดที่เรียบง่าย การสามารถเพียงแค่ทำสิ่งทั้งหลายที่สัตว์ทั้งหลายทำและกินอาหารที่สัตว์ทั้งหลายกิน การมีกระบวนการทางความคิดเรียบง่ายและภาษากายของสัตว์ การไม่สามารถเดินตัวตรงได้ การไม่สามารถติดต่อสนทนากับมนุษย์ได้ และข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีพฤติกรรมหรือกิจกรรมของมนุษย์ที่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับสัตว์เลย  นั่นคือ ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง การเป็นสัตว์ทำให้เจ้าต่ำต้อยที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งปวง และพัวพันกับความทุกข์ที่มีมากมายกว่าการเป็นมนุษย์มากนัก  นี่คือแง่มุมหนึ่งของการลงโทษพวกที่ทำชั่วไว้มากและกระทำบาปใหญ่ของโลกฝ่ายวิญญาณ  เมื่อกล่าวถึงความรุนแรงของการลงโทษของพวกเขา การนี้ตัดสินโดยขึ้นอยู่กับว่าพวกเขากลายเป็นสัตว์ชนิดใด  ตัวอย่างเช่น การเป็นสุกรดีกว่าการเป็นสุนัขหรือไม่?  สุกรมีชีวิตดีกว่าหรือแย่กว่าสุนัข?  แย่กว่าใช่หรือไม่?  หากผู้คนกลายเป็นวัวหรือม้า พวกเขาจะมีชีวิตที่ดีกว่าหรือแย่กว่าการที่พวกเขาเป็นสุกร?  (ดีกว่า)  บุคคลหนึ่งจะสบายกว่าหรือไม่ถ้าเกิดใหม่เป็นแมว?  เขาจะยังคงเป็นสัตว์ตัวหนึ่งอยู่ดี และการเป็นแมวคงจะง่ายกว่าการเป็นม้าหรือวัวมาก เพราะแมวได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ของพวกมันนอนเกียจคร้าน  การเกิดเป็นวัวหรือม้านั้นลำบากมากกว่า  เพราะฉะนั้น หากบุคคลมาเกิดใหม่เป็นวัวหรือม้า พวกเขาต้องทำงานหนัก—ซึ่งคล้ายกับเป็นการลงโทษที่รุนแรง  การเกิดเป็นสุนัขคงจะดีกว่าการเกิดเป็นวัวหรือม้านิดหน่อย เพราะสุนัขมีสัมพันธภาพใกล้ชิดกับนายของมันมากกว่า  สุนัขบางตัวหลังจากเป็นสัตว์เลี้ยงหลายปีก็สามารถเข้าใจสิ่งที่นายของพวกมันพูดได้อย่างมากมาย  เนื่องจากสุนัขสามารถเข้าใจคำพูดของนายของมันได้มาก  บางครั้งสุนัขสามารถปรับตัวให้เข้ากับอารมณ์และข้อพึงประสงค์ของนายของมันได้  และนายก็ปฏิบัติกับสุนัขดีกว่า และสุนัขกินและดื่มดีกว่า และเมื่อมันมีความเจ็บปวด มันก็ได้รับการดูแลมากกว่า  เช่นนั้นแล้วสุนัขมิได้ชื่นชมชีวิตที่มีความสุขหรอกหรือ?  ด้วยเหตุนี้เอง การเป็นสุนัขจึงดีกว่าการเป็นวัวหรือม้า  ในการนี้ ความรุนแรงของการลงโทษบุคคลหนึ่งกำหนดพิจารณาว่าเขาจะมาเกิดใหม่เป็นสัตว์กี่ครั้ง รวมถึงเป็นสัตว์ชนิดใด

เนื่องจากพวกเขาได้กระทำบาปมากมายยิ่งนักขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่ ผู้คนบางคนจึงได้รับการลงโทษโดยการมาเกิดใหม่เป็นสัตว์เจ็ดถึงสิบสองครั้ง  หลังจากที่ได้รับการลงโทษเพียงพอแล้ว เมื่อคืนกลับไปยังโลกฝ่ายวิญญาณ พวกเขาจะถูกพาไปยังที่แห่งอื่น—ในสถานที่นั้น ดวงจิตต่างๆ ได้รับการลงโทษมาแล้ว และเป็นประเภทที่กำลังตระเตรียมที่จะมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์  ในที่แห่งนี้ ดวงจิตแต่ละดวงถูกจำแนกเป็นชนิดโดยสอดคล้องกับว่าพวกเขาจะถือกำเนิดในตระกูลแบบใด พวกเขาจะเล่นบทบาทใดเมื่อได้มาเกิดใหม่แล้ว และอื่นๆ  ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนจะกลายเป็นนักร้องเมื่อพวกเขามายังโลกนี้ ดังนั้นจึงถูกวางตัวไว้ท่ามกลางนักร้อง บางคนจะกลายเป็นนักธุรกิจเมื่อพวกเขามายังโลกนี้ และดังนั้นพวกเขาจึงถูกวางตัวไว้ท่ามกลางนักธุรกิจ และหากใครบางคนจะต้องกลายเป็นนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลังจากเกิดเป็นมนุษย์ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะถูกวางตัวไว้ท่ามกลางนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์  หลังจากที่พวกเขาได้รับการจัดประเภท แต่ละคนจะถูกส่งออกไปตามเวลาที่แตกต่างกันและวันที่ที่กำหนดไว้แล้ว เช่นเดียวกับที่ผู้คนส่งอีเมลในยุคนี้  ในการนี้วัฏจักรของชีวิตและความตายหนึ่งๆ ก็จะเสร็จสมบูรณ์  จากวันที่บุคคลหนึ่งมาถึงโลกฝ่ายวิญญาณจนกระทั่งสิ้นสุดการลงโทษของพวกเขา หรือจนกระทั่งพวกเขาได้มาเกิดใหม่เป็นสัตว์หลายครั้ง และกำลังตระเตรียมที่จะมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ กระบวนการนี้จึงเสร็จสมบูรณ์

สำหรับบรรดาผู้ที่ได้รับการลงโทษเสร็จแล้วและไม่มาเกิดใหม่เป็นสัตว์ พวกเขาจะถูกส่งมายังโลกวัตถุเพื่อเกิดเป็นมนุษย์อย่างรวดเร็วหรือไม่?  หรืออีกนานแค่ไหนก่อนที่พวกเขาจะสามารถมาอยู่ท่ามกลางมนุษย์ได้?  การนี้สามารถเกิดขึ้นได้ถี่เพียงใด?  มีข้อจำกัดชั่วคราวในการนี้  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณอยู่ภายใต้ข้อจำกัดและกฎเกณฑ์ชั่วคราวที่เที่ยงตรงเหล่านี้—ซึ่ง หากเราอธิบายด้วยตัวเลข พวกเจ้าจะเข้าใจ  สำหรับบรรดาผู้ที่มาเกิดใหม่ภายในระยะเวลาอันสั้น เมื่อพวกเขาตาย จะมีการตระเตรียมสำหรับพวกเขาไว้แล้วในการมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์  เวลาสั้นที่สุดที่การนี้สามารถเกิดขึ้นได้คือสามวัน  สำหรับผู้คนบางคนการนี้ใช้เวลาสามเดือน สำหรับบางคนการนี้ใช้เวลาสามปี สำหรับบางคนการนี้ใช้เวลาสามสิบปี สำหรับบางคนการนี้ใช้เวลาสามร้อยปี และอื่นๆ  ดังนั้น จะสามารถกล่าวสิ่งใดได้บ้างเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ชั่วคราวเหล่านี้ และรายละเอียดของกฎเกณฑ์เหล่านี้คืออะไรบ้าง?  กฎเกณฑ์เหล่านี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่โลกวัตถุ—หรือโลกมนุษย์—ต้องการจากดวงจิต และขึ้นอยู่กับบทบาทที่ดวงจิตนี้หมายจะมีบนโลกนี้  เมื่อผู้คนมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ธรรมดา พวกเขาส่วนใหญ่มาเกิดใหม่อย่างรวดเร็วมาก เพราะโลกมนุษย์มีความจำเป็นต้องมีผู้คนธรรมดาเช่นนั้นอย่างเร่งด่วน—และดังนั้น สามวันต่อมา พวกเขาก็ถูกส่งออกไปอีกครั้งยังครอบครัวหนึ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจากครอบครัวที่พวกเขาเคยอยู่ด้วยก่อนที่พวกเขาจะตาย  อย่างไรก็ตาม มีบางคนที่แสดงบทบาทพิเศษในโลกนี้  คำว่า “พิเศษ” หมายความว่า ไม่มีความต้องการผู้คนเหล่านี้ในโลกมนุษย์มากนัก ไม่จำเป็นต้องมีผู้คนมากมายมาแสดงบทบาทเช่นนั้น ดังนั้น การนี้จึงอาจใช้เวลาสามร้อยปี  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ดวงจิตนี้จะมาเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นในทุกๆ สามร้อยปี หรือกระทั่งเพียงครั้งเดียวในทุกๆ สามพันปี  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  มันเป็นเพราะข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นสามร้อยหรือสามพันปี บทบาทเช่นนี้ไม่เป็นที่พึงประสงค์ในโลกมนุษย์ ดังนั้นพวกเขาจึงถูกเก็บตัวไว้ในที่บางแห่งในโลกฝ่ายวิญญาณ  จงดูขงจื๊อเป็นตัวอย่าง กล่าวคือ เขามีผลกระทบล้ำลึกต่อวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม และการมาถึงของเขาส่งผลต่อวัฒนธรรม ความรู้ ธรรมเนียมประเพณี และคตินิยมของผู้คนในเวลานั้นอย่างลึกซึ้ง  อย่างไรก็ตาม ไม่มีความจำเป็นต้องมีบุคคลเช่นนี้ในทุกยุคสมัย ดังนั้น เขาจึงต้องคงอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ โดยรออยู่ที่นั่นเป็นเวลาสามร้อยหรือสามพันปีก่อนที่จะได้มาเกิดใหม่  เนื่องจากโลกมนุษย์ไม่มีความจำเป็นต้องมีใครบางคนเช่นนี้ เขาจึงต้องรออยู่เฉยๆ เพราะมีบทบาทดังเช่นบทบาทของเขาน้อยมาก และมีเรื่องให้เขาทำน้อยนิดมาก  เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงต้องถูกเก็บตัวไว้ที่ใดสักแห่งในโลกฝ่ายวิญญาณเกือบตลอดเวลานั้น อยู่ว่าง เพื่อที่จะถูกส่งออกมาทันทีที่โลกมนุษย์จำเป็นต้องมีเขา  เช่นนั้นคือกฎเกณฑ์ชั่วคราวของอาณาจักรฝ่ายวิญญาณสำหรับความถี่ที่ผู้คนส่วนใหญ่ได้มาเกิดใหม่  ไม่ว่าผู้คนจะเป็นคนธรรมดาหรือพิเศษ โลกฝ่ายวิญญาณมีกฎเกณฑ์ที่เหมาะสมและการปฏิบัติที่ถูกต้องสำหรับกระบวนการมาเกิดใหม่ของพวกเขา และกฎเกณฑ์กับการปฏิบัติเหล่านี้ถูกส่งลงมาจากพระเจ้า มิใช่ถูกตัดสินหรือควบคุมโดยผู้ดูแลหรือผู้ใดในโลกฝ่ายวิญญาณ

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 189

วัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของบรรดาผู้ไม่เชื่อ (บทตอนที่คัดมา)

สำหรับดวงจิตใดๆ การมาเกิดใหม่ของมัน บทบาทของมันเป็นอย่างไรในชีวิตนี้ มันจะถือกำเนิดมาในครอบครัวใด และมันจะมีชีวิตแบบใดนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับชีวิตครั้งก่อนของดวงจิตนั้น  ผู้คนทุกประเภทมาสู่โลกมนุษย์ และบทบาทที่พวกเขาแสดงนั้นล้วนผันแปรไปเช่นเดียวกับการผันแปรของภารกิจที่พวกเขาดำเนินการ  และภารกิจเหล่านี้คืออะไร?  ผู้คนบางคนมาเพื่อชดใช้หนี้ กล่าวคือ หากพวกเขาเป็นหนี้ติดค้างเงินผู้อื่นมากเกินไปในชีวิตทั้งหลายที่ผ่านมาของพวกเขา พวกเขาก็มาเพื่อชดใช้หนี้เหล่านั้นในชีวิตนี้  ในขณะที่ผู้คนบางคนได้มาเพื่อทวงหนี้ กล่าวคือ พวกเขาถูกฉ้อโกงให้สูญเสียของมากเกินไปและสูญเสียเงินมากเกินไปในชีวิตก่อนๆ ของพวกเขา ผลก็คือ หลังจากพวกเขามาถึงโลกฝ่ายวิญญาณ มันจะให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา และอนุญาตให้พวกเขาทวงหนี้ของพวกเขาในชั่วชีวิตนี้  ผู้คนบางคนมาเพื่อใช้หนี้บุญคุณ กล่าวคือ ในระหว่างชั่วชีวิตครั้งก่อน—นั่นคือการมาเกิดครั้งก่อนของพวกเขา—ใครบางคนมีเมตตาต่อพวกเขา และเนื่องจากการได้รับมอบโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้มาเกิดใหม่ในชีวิตนี้ พวกเขาจึงถือกำเนิดใหม่เพื่อชดใช้หนี้บุญคุณเหล่านั้น  ในขณะที่คนอื่นๆ ได้ถือกำเนิดใหม่มาในชีวิตนี้เพื่อที่จะเอาชีวิต  และพวกเขามาเอาชีวิตของใคร?  พวกเขามาเอาชีวิตของผู้คนที่ได้ฆ่าพวกเขาในชีวิตครั้งก่อนของพวกเขา  โดยรวมแล้ว ชีวิตปัจจุบันของบุคคลทุกคนมีความเชื่อมโยงอันแน่นแฟ้นกับชีวิตครั้งก่อนของพวกเขา ความเชื่อมโยงนี้มิอาจตัดขาดได้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ชีวิตปัจจุบันของบุคคลทุกคนนั้นได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงจากชีวิตครั้งก่อน  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าจางได้โกงเงินหลี่เป็นจำนวนมากก่อนที่เขาจะเสียชีวิต  จางจึงเป็นหนี้หลี่ใช่หรือไม่?  เขาเป็นหนี้ ดังนั้น โดยธรรมชาติแล้วหลี่จึงควรจะเรียกเก็บหนี้ของเขาจากจางใช่หรือไม่?  ผลก็คือ หลังจากที่พวกเขาตาย มีหนี้ก้อนหนึ่งระหว่างพวกเขาที่ต้องได้รับการชำระ  เมื่อพวกเขามาเกิดใหม่และจางมาเกิดเป็นมนุษย์ หลี่จะเรียกเก็บหนี้ของเขาจากจางได้อย่างไร?  วิธีการหนึ่งก็คือการมาเกิดใหม่เป็นบุตรของจาง จางหาเงินได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งก็ถูกหลี่ใช้จ่ายไปอย่างสุรุ่ยสุร่าย  ไม่ว่าจางจะหาเงินมาได้มากเพียงใด หลี่ บุตรของเขาก็ใช้จ่ายมันอย่างสุรุ่ยสุร่าย  ไม่ว่าจางจะหามาได้มากเพียงใด เงินนั้นก็ไม่เคยพอ และขณะเดียวกันบุตรของเขาก็ลงเอยด้วยการใช้จ่ายเงินของบิดาของเขาไปตามช่องทางต่างๆ นานา ด้วยเหตุผลบางอย่างอยู่เสมอ  จางรู้สึกพิศวง ประหลาดใจว่า “เหตุใดบุตรของฉันคนนี้จึงนำโชคร้ายเช่นนี้มาให้เสมอ?  เหตุใดบุตรของผู้คนอื่นๆ จึงประพฤติตัวดียิ่งนัก?  เหตุใดบุตรของฉันเองจึงไม่มีความทะเยอทะยาน เหตุใดเขาจึงใช้ไม่ได้ถึงเพียงนี้และไม่มีความสามารถในการหาเงินบ้างเลย และเหตุใดฉันจึงต้องหาเลี้ยงเขาอยู่เสมอ?  ในเมื่อฉันต้องหาเลี้ยงเขา ฉันก็จะทำ—แต่เหตุใดจึงเป็นว่า ไม่ว่าฉันจะให้เงินเขามากเพียงใด เขาก็ยิ่งจำเป็นต้องใช้มากขึ้นอยู่เสมอ?  เหตุใดเขาจึงไม่มีความสามารถในการทำงานปกติธรรมดาที่สุจริตสักงาน แทนที่จะทำสิ่งทั้งหลายทุกประเภทอย่างเช่น ลอยชายไปทั่ว กิน ดื่ม เที่ยวซ่อง และเล่นการพนัน?  มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”  แล้วจางก็คิดชั่วขณะหนึ่งว่า “มันอาจเป็นเพราะฉันเป็นหนี้เขามาจากชีวิตครั้งก่อน  ถ้าเช่นนั้น ฉันก็จะจ่ายหนี้ให้หมด!  นี่จะไม่จบสิ้นจนกว่าฉันจะจ่ายหนี้ให้ครบ!”  วันหนึ่งอาจจะมาถึงเมื่อหลี่ได้รับการชดใช้หนี้ของเขาแล้วจริงๆ และเมื่อถึงเวลาที่เขาอยู่ในวัยสี่สิบหรือห้าสิบปีกว่าๆ เขาอาจจะสำนึกรับรู้ขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน โดยตระหนักว่า “ฉันไม่เคยได้ทำสิ่งดีๆ เลยสักอย่างเดียวตลอดครึ่งแรกของชีวิตฉัน!  ฉันได้ใช้จ่ายเงินทั้งหมดที่บิดาของฉันหามาอย่างสุรุ่ยสุร่าย ดังนั้น ฉันจึงควรจะเริ่มเป็นคนดี!  ฉันจะเตรียมตัวเองให้พร้อม ฉันจะเป็นใครบางคนที่ซื่อสัตย์และใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเหมาะสม และฉันจะไม่มีวันนำความเศร้าโศกมาให้บิดาของฉันอีก!”  เหตุใดเขาจึงคิดเช่นนี้?  เหตุใดจู่ๆ เขาจึงเปลี่ยนเป็นดีขึ้น?  มีเหตุผลสำหรับการนี้หรือไม่?  เหตุผลนั้นคืออะไร?  (มันเป็นเพราะหลี่ได้เรียกเก็บหนี้ของเขาแล้ว และจางได้ใช้หนี้ของเขาแล้ว)  ในการนี้ มีเหตุและผล  เรื่องราวนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อนานแสนนานมาแล้ว ก่อนชีวิตปัจจุบันของพวกเขา เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตในอดีตของพวกเขานี้ได้ถูกนำมายังสมัยปัจจุบัน และไม่มีใครสามารถตำหนิอีกฝ่ายหนึ่งได้  ไม่ว่าจางได้สอนบุตรของเขาอย่างไร บุตรของเขาไม่เคยรับฟังและไม่ทำงานปกติธรรมดาที่ซื่อสัตย์สุจริต  ถึงกระนั้น ในวันที่หนี้ได้รับการชดใช้คืน ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสอนบุตรของเขาอีก—บุตรของเขาเข้าใจเองโดยธรรมชาติ  นี่คือตัวอย่างง่ายๆ  มีตัวอย่างเช่นนี้อีกมากมายใช่ไหม?  (ใช่ มีอีก)  มันบอกอะไรกับผู้คนบ้าง?  (บอกว่าพวกเขาควรเป็นคนดีและไม่กระทำชั่ว)  บอกว่าพวกเขาไม่ควรทำความชั่ว และบอกว่าจะมีการลงทัณฑ์สำหรับการทำผิดทั้งหลายของพวกเขา!  ผู้ไม่เชื่อส่วนใหญ่กระทำความชั่วมากมาย และการทำผิดทั้งหลายของพวกเขาก็พบกับการลงทัณฑ์ ถูกต้องหรือไม่?  อย่างไรก็ตาม การลงทัณฑ์เช่นนั้นเป็นไปโดยพลการหรือ?  สำหรับทุกการกระทำนั้น มีภูมิหลังและมีเหตุผลเบื้องหลังโทษทัณฑ์ของมัน  เจ้าคิดว่าจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าได้โกงเงินมาจากใครบางคนกระนั้นหรือ?  เจ้าคิดหรือว่าหลังจากที่ได้ฉ้อโกงเงินนั้นไปแล้ว เจ้าจะไม่พบกับผลพวงใดๆ?  เช่นนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้ จะมีผลพวงแน่นอน!  ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร หรือไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อว่ามีพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม ปัจเจกบุคคลทั้งปวงต้องรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของพวกเขาเองและแบกรับผลพวงจากการกระทำทั้งหลายของพวกเขา  เมื่อคำนึงถึงตัวอย่างง่ายๆ นี้—การที่จางถูกลงโทษ และการที่หลี่ได้รับการชดใช้—นี่ไม่ยุติธรรมหรอกหรือ?  เมื่อผู้คนทำสิ่งทั้งหลายเช่นนี้ นี่คือชนิดของผลที่เกิดขึ้น  มันมิอาจแยกกันได้จากการบริหารของโลกฝ่ายวิญญาณ  ถึงแม้ว่าจะมีบรรดาผู้ไม่เชื่อ แต่การมีอยู่ของพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้าก็อยู่ภายใต้ประกาศิตจากสวรรค์และประกาศกฤษฎีกาประเภทนี้  ไม่มีผู้ใดสามารถหนีพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้ และไม่มีผู้ใดสามารถหลีกเลี่ยงความเป็นจริงนี้ได้เลย

พวกที่ไม่มีความเชื่อมักจะเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์มองเห็นได้ด้วยตานั้นมีอยู่จริง ในขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้ หรือที่อยู่ห่างไกลจากผู้คนอย่างมากนั้นไม่มีอยู่จริง  พวกเขาเลือกที่จะเชื่อว่าไม่มี “วัฏจักรแห่งชีวิตและความตาย” และเชื่อว่าไม่มี “การลงโทษ” มากกว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงทำบาปและกระทำความชั่วโดยไม่มีความรู้สึกสำนึกผิด  ภายหลัง พวกเขาก็ถูกลงโทษ หรือพวกเขาก็มาเกิดใหม่เป็นสัตว์ทั้งหลาย  ส่วนใหญ่ของผู้คนนานาชนิดท่ามกลางผู้ไม่เชื่อ ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์นี้  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าโลกฝ่ายวิญญาณนั้นเข้มงวดในการบริหารสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งปวงของมัน  ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ข้อเท็จจริงนี้มีอยู่จริง เพราะไม่มีสักบุคคลหนึ่งหรือวัตถุหนึ่งจะสามารถหนีรอดจากวงเขตของสิ่งที่พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตด้วยพระเนตรของพระองค์ และไม่มีสักบุคคลหนึ่งหรือวัตถุหนึ่งจะสามารถหนีรอดจากกฎเกณฑ์และข้อจำกัดทั้งหลายแห่งประกาศิตจากสวรรค์และประกาศกฤษฎีกาของพระองค์ได้  ด้วยเหตุนี้ ตัวอย่างง่ายๆ นี้บอกให้ทุกคนรู้ว่า ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม การทำบาปและกระทำความชั่วนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ และว่าทุกการกระทำมีผลพวงตามมา  เมื่อใครบางคนที่ได้โกงเงินมาจากอีกคนหนึ่งถูกลงโทษ การลงโทษเช่นนั้นยุติธรรม  พฤติกรรมที่เห็นกันทั่วไปเช่นนี้ถูกลงโทษในโลกฝ่ายวิญญาณ และการลงโทษเช่นนี้ถูกจัดส่งมาโดยประกาศกฤษฎีกาและประกาศิตจากสวรรค์ของพระเจ้า  เพราะฉะนั้น พฤติกรรมที่เลวร้ายและผิดทางอาญาอย่างร้ายแรง—การข่มขืนและการปล้นสะดม การฉ้อฉลและการหลอกลวง การขโมยและการชิงทรัพย์ การฆาตกรรมและการวางเพลิง และอื่นๆ—ก็ยิ่งต้องอยู่ภายใต้ลำดับแห่งการลงโทษที่มีความรุนแรงแตกต่างหลากหลายมากยิ่งขึ้นไปอีก  การลงโทษที่มีความรุนแรงแตกต่างหลากหลายเหล่านี้ประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง?  การลงโทษบางอย่างใช้กาลเวลามากำหนดระดับความรุนแรง ในขณะที่บางอย่างกำหนดระดับความรุนแรงโดยผ่านทางวิธีการที่แตกต่างกันไป กระนั้นก็ยังคงมีการลงโทษอื่นๆ ที่เป็นไปโดยการกำหนดพิจารณาว่าผู้คนจะไปที่ใดเมื่อพวกเขามาเกิดใหม่  ยกตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนเป็นคนปากเสีย  การเป็น “คนปากเสีย” หมายถึงอะไร?  มันหมายถึงการสบถใส่ผู้อื่นและการใช้ภาษามุ่งร้ายที่สาปแช่งผู้อื่นอยู่เรื่อยๆ  ภาษาที่มุ่งร้ายบ่งบอกถึงสิ่งใด?  มันบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นมีหัวใจที่มุ่งร้าย  ภาษาแบบปากเสียที่สาปแช่งผู้อื่นมักจะมาจากปากของผู้คนเช่นนั้น และภาษามุ่งร้ายเช่นนั้นนำมาซึ่งผลพวงที่ร้ายแรง  หลังจากที่ผู้คนเหล่านี้เสียชีวิตและได้รับการลงโทษที่เหมาะสมแล้ว พวกเขาอาจได้เกิดใหม่เป็นคนใบ้  ผู้คนบางคนเป็นคนช่างวางแผนมากขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขามักเอาเปรียบผู้อื่น กลอุบายเล็กๆ ของพวกเขาถูกเตรียมการอย่างดีเป็นพิเศษ และพวกเขาทำอันตรายผู้คนเป็นอย่างมาก  เมื่อพวกเขาเกิดใหม่ อาจจะเกิดเป็นคนไม่เต็มบาท หรือเป็นผู้คนที่พิการทางสมอง  ผู้คนบางคนมักสอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น ตาของพวกเขามองเห็นหลายสิ่งที่พวกเขาไม่ควรได้ล่วงรู้ และพวกเขาเรียนรู้หลายสิ่งที่พวกเขาไม่ควรจะรู้  ผลก็คือ เมื่อพวกเขาเกิดใหม่ พวกเขาอาจเป็นคนตาบอด  ผู้คนบางคนเป็นคนว่องไวมากเมื่อพวกเขามีชีวิตอยู่ พวกเขามักต่อสู้และทำสิ่งชั่วมากมาย  เนื่องด้วยการนี้ พวกเขาจึงอาจเกิดใหม่เป็นคนพิการ เป็นง่อย หรือไม่มีแขน หากไม่เช่นนั้น พวกเขาอาจมาเกิดใหม่เป็นคนหลังค่อมหรือคอเอียง เดินกะโผลกกะเผลก มีขาข้างหนึ่งสั้นกว่าอีกข้าง และอื่นๆ  ในสิ่งเหล่านี้ พวกเขาเป็นผู้ได้รับการลงโทษต่างๆ นานาขึ้นอยู่กับระดับความชั่วที่พวกเขาได้กระทำไว้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่  พวกเจ้าคิดว่าเหตุใดเล่าผู้คนบางคนจึงเป็นโรคสายตาขี้เกียจ?  มีผู้คนเช่นนั้นมากหรือไม่?  ทุกวันนี้ไม่ใช่มีเพียงไม่กี่คนแล้ว  ผู้คนบางคนเป็นโรคตาขี้เกียจเพราะในชีวิตทั้งหลายในอดีตของพวกเขานั้น พวกเขาได้ใช้ประโยชน์จากตาของพวกเขามากเกินไปและได้ทำสิ่งที่ไม่ดีมากเกินไป ดังนั้น พวกเขาจึงได้เกิดมาในชีวิตนี้พร้อมโรคตาขี้เกียจ และในกรณีที่รุนแรงนั้น พวกเขาถึงขั้นเกิดมาตาบอดด้วยซ้ำ  นี่คือการลงทัณฑ์อันสาสม!  ผู้คนบางคนเข้ากันได้ดีกับคนอื่นๆ ก่อนที่พวกเขาจะตาย พวกเขาทำสิ่งดีๆ มากมายให้แก่ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงานของพวกเขา หรือผู้คนที่ติดต่อกับพวกเขา  พวกเขาทำการกุศลและดูแลใส่ใจผู้อื่น หรือช่วยเหลือผู้อื่นทางด้านการเงิน และผู้คนนึกถึงพวกเขาในแง่ที่ดีอย่างมาก  เมื่อผู้คนเช่นนั้นกลับไปสู่โลกฝ่ายวิญญาณ พวกเขาจะไม่ถูกลงโทษ  สำหรับผู้ไม่เชื่อนั้น การไม่ถูกลงโทษในหนทางใดๆ หมายความว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่ดีมากคนหนึ่ง  แทนที่จะเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า พวกเขาเชื่อแต่ในชายชราบนฟ้าเท่านั้น  บุคคลเช่นนั้นเชื่อเพียงแค่ว่ามีวิญญาณหนึ่งอยู่เหนือพวกเขา คอยเฝ้ามองทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำเท่านั้น—นั่นคือทั้งหมดที่บุคคลผู้นี้เชื่อ  ผลก็คือ บุคคลผู้นี้เป็นผู้มีความประพฤติดีกว่ามาก  ผู้คนเช่นนั้นเป็นคนใจดีและใจบุญ และเมื่อในที่สุดพวกเขากลับไปสู่โลกฝ่ายวิญญาณ ที่นั่นก็จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดียิ่ง และพวกเขาจะมาเกิดใหม่ในไม่ช้า  เมื่อพวกเขามาเกิดใหม่ พวกเขาจะมาอยู่ในครอบครัวประเภทใด?  ถึงแม้ว่าครอบครัวเช่นนั้นจะไม่มั่งคั่ง พวกเขาก็จะปลอดภัยจากอันตรายใดๆ มีความสามัคคีในหมู่สมาชิกของพวกเขา ที่นั่นผู้คนที่มาเกิดใหม่เหล่านี้จะผ่านวันเวลาที่ปลอดภัยและมีความสุข และทุกคนจะชื่นบานและมีชีวิตที่ดี  เมื่อผู้คนเหล่านี้เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ พวกเขาจะมีครอบครัวแบบขยายที่ใหญ่โต ลูกหลานของพวกเขาจะมีพรสวรรค์และประสบความสำเร็จ และครอบครัวของพวกเขาจะชื่นชมยินดีกับความโชคดี—และบทอวสานเช่นนั้นเชื่อมโยงอย่างใหญ่หลวงกับชีวิตที่ผ่านมาของผู้คนเหล่านี้  นั่นคือ ผู้คนจะไปที่ใดหลังจากที่พวกเขาตายและมาเกิดใหม่ พวกเขาจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง พันธกิจของพวกเขาคืออะไร พวกเขาจะผ่านพบสิ่งใดในชีวิต พวกเขาจะสู้ทนกับความล้มเหลวใดบ้าง พวกเขาจะชื่นชมพรใดบ้าง พวกเขาจะได้พบใครบ้าง และจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับพวกเขา—ไม่มีใครสามารถทำนายสิ่งเหล่านี้ หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ หรือซ่อนเร้นจากสิ่งเหล่านี้ได้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทันทีที่ชีวิตของเจ้าได้ถูกกำหนดขึ้น ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นกับเจ้า—ไม่ว่าเจ้าจะพยายามหลีกเลี่ยงมันอย่างไร และไม่ว่าโดยวิธีการใดก็ตาม—เจ้าไม่มีหนทางที่จะฝ่าฝืนครรลองชีวิตที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้เจ้าในโลกฝ่ายวิญญาณได้  เพราะเมื่อเจ้ามาเกิดใหม่ ชะตาชีวิตของเจ้าได้ถูกกำหนดไว้แล้ว  ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย ทุกคนควรเผชิญหน้ากับสิ่งนี้และเดินต่อไปข้างหน้าเสมอ  นี่คือประเด็นปัญหาที่ไม่มีผู้ใดที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้จะสามารถหลีกเลี่ยงได้ และไม่มีประเด็นปัญหาใดที่เป็นจริงมากกว่านี้อีกแล้ว  พวกเจ้าทั้งหมดเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้พูดมานี้ใช่หรือไม่?

เมื่อได้เข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว บัดนี้พวกเจ้าเห็นแล้วหรือยังว่าพระเจ้าทรงมีการตรวจสอบและการบริหารที่แม่นยำและเข้มงวดมากสำหรับวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของบรรดาผู้ไม่เชื่อ?  ก่อนอื่น พระองค์ได้ทรงกำหนดประกาศิตจากสวรรค์ ประกาศกฤษฎีกา และระบบต่างๆ นานาขึ้นในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ และทันทีที่สิ่งเหล่านี้ได้ประกาศออกไป พวกมันจะถูกดำเนินการอย่างเข้มงวดมากตามที่ได้ถูกกำหนดขึ้นโดยพระเจ้า โดยผู้ที่อยู่ในตำแหน่งทางการต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ และไม่มีผู้ใดกล้าที่จะฝ่าฝืนสิ่งเหล่านั้น  เพราะฉะนั้น ในวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของมวลมนุษย์ในโลกมนุษย์นั้น ไม่ว่าใครบางคนจะมาเกิดใหม่เป็นสัตว์หรือมนุษย์ ย่อมมีธรรมบัญญัติสำหรับทั้งสองนั้น  เนื่องจากธรรมบัญญัติเหล่านี้มาจากพระเจ้า จึงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะทำผิดธรรมบัญญัติ อีกทั้งไม่มีผู้ใดสามารถทำผิดธรรมบัญญัติได้  เนื่องจากอธิปไตยนี้ของพระเจ้าเท่านั้นและเพราะธรรมบัญญัติเช่นนี้มีอยู่ โลกวัตถุที่ผู้คนมองเห็นจึงเป็นไปอย่างปกติและมีระเบียบ เนื่องจากอธิปไตยนี้ของพระเจ้าเท่านั้นพวกมนุษย์จึงสามารถดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขกับอีกโลกหนึ่งที่ไม่ปรากฏแก่ตาของพวกเขาโดยสิ้นเชิง และสามารถใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนกับมันได้—ซึ่งทั้งหมดนั้นไม่สามารถหนีพ้นจากอธิปไตยของพระเจ้า  หลังจากชีวิตที่เป็นเนื้อหนังของบุคคลหนึ่งตายลง ดวงจิตยังคงมีชีวิตอยู่ และดังนั้น จะเกิดอะไรขึ้นหากมันไม่ได้อยู่ภายใต้การบริหารของพระเจ้า?  ดวงจิตนั้นคงจะเร่ร่อนไปทั่วทุกที่ รุกล้ำไปทุกหนแห่ง และคงจะถึงขั้นทำอันตรายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกมนุษย์  อันตรายเช่นนั้นจะไม่เพียงแค่เกิดขึ้นกับมวลมนุษย์เท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดขึ้นกับต้นไม้และสัตว์ทั้งหลายได้ด้วยเช่นกัน—อย่างไรก็ตาม สิ่งแรกที่จะได้รับอันตรายก็คงจะเป็นผู้คน  หากการนี้เกิดขึ้น—หากดวงจิตเช่นนั้นเป็นอยู่โดยไม่มีการบริหาร ทำอันตรายต่อผู้คนโดยแท้ และทำสิ่งทั้งหลายที่ชั่วร้ายอย่างแท้จริง—เช่นนั้นแล้ว ดวงจิตนี้ก็คงจะได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมในโลกฝ่ายวิญญาณด้วยเช่นกัน กล่าวคือ หากสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นร้ายแรง ดวงจิตนั้นก็คงจะสูญสิ้นไปในไม่ช้า และคงจะถูกทำลาย  หากเป็นไปได้ มันคงจะถูกนำไปอยู่ที่ใดสักแห่งและหลังจากนั้นก็ได้มาเกิดใหม่  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การบริหารดวงจิตต่างๆ ของโลกฝ่ายวิญญาณนั้นมีระเบียบ และดำเนินการโดยสอดคล้องกับขั้นตอนและกฎเกณฑ์ทั้งหลาย  เป็นเพราะการบริหารเช่นนั้นเท่านั้น โลกวัตถุของมนุษย์จึงยังไม่ล้มลงไปสู่ความวุ่นวาย มนุษย์แห่งโลกวัตถุจึงยังมีความรู้สึกนึกคิดที่เป็นปกติ มีความมีเหตุผลที่เป็นปกติ และมีชีวิตทางเนื้อหนังที่มีระเบียบ  มีเพียงหลังจากที่มวลมนุษย์มีชีวิตปกติเช่นนั้นเท่านั้น บรรดาผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในเนื้อหนังจึงจะสามารถเจริญรุ่งเรืองและสืบพันธุ์ไปตลอดหลายชั่วคนต่อไปได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 190

วัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของบรรดาผู้ไม่เชื่อ (บทตอนที่คัดมา)

เมื่อกล่าวถึงผู้ไม่เชื่อ หลักการที่อยู่เบื้องหลังการกระทำทั้งหลายของพระเจ้านั้นเป็นหลักการเกี่ยวกับการให้รางวัลคนดีและลงโทษคนเลวใช่หรือไม่?  มีข้อยกเว้นใดๆ หรือไม่?  (ไม่)  พวกเจ้ามองเห็นหรือไม่ว่ามีหลักการหนึ่งอยู่เบื้องหลังการกระทำของพระเจ้า?  บรรดาผู้ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง อีกทั้งพวกเขาไม่นบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์  นอกจากนั้น พวกเขาไม่ตระหนักถึงอธิปไตยของพระองค์ นับประสาอะไรที่พวกเขาจะยอมรับพระองค์  ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือ พวกเขาลบหลู่พระเจ้า และสาปแช่งพระองค์ และเป็นปรปักษ์ต่อบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า  ถึงแม้พวกเขาจะมีท่าทีเช่นนี้ต่อพระเจ้า แต่การบริหารพวกเขาของพระองค์ก็ยังคงไม่เบี่ยงเบนไปจากหลักการทั้งหลายของพระองค์ พระองค์ทรงบริหารพวกเขาในลักษณะที่เป็นระเบียบ โดยสอดคล้องกับหลักการของพระองค์และพระอุปนิสัยของพระองค์  พระองค์ทรงนึกถึงความเป็นปรปักษ์ของพวกเขาอย่างไรหรือ?  ทรงถือว่าเป็นความไม่รู้เท่าทัน!  ผลก็คือ ในอดีตพระองค์ได้ทรงบันดาลให้ผู้คนเหล่านี้—นั่นก็คือ ส่วนใหญ่ของผู้ไม่เชื่อ—เกิดใหม่เป็นสัตว์  ดังนั้น ในสายพระเนตรของพระเจ้า ผู้ไม่เชื่อคือสิ่งใดกันแน่?  พวกเขาทั้งหมดคือสัตว์เดรัจฉาน  พระเจ้าทรงบริหารสัตว์เดรัจฉานรวมทั้งมวลมนุษย์ และสำหรับผู้คนเช่นนั้น พระองค์ทรงมีหลักการเดียวกัน  แม้กระทั่งในการบริหารผู้คนเหล่านี้ของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์ก็ยังคงเป็นที่สามารถมองเห็นได้ เช่นเดียวกับที่ธรรมบัญญัติทั้งหลายของพระองค์เบื้องหลังอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่งของพระองค์เป็นที่สามารถมองเห็นได้  และดังนั้น พวกเจ้ามองเห็นอธิปไตยของพระเจ้าในหลักการทั้งหลายที่พระองค์ทรงใช้บริหารบรรดาผู้ไม่เชื่อที่เราเพิ่งกล่าวถึงหรือไม่?  พวกเจ้ามองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าหรือไม่?  (พวกเรามองเห็น)  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ว่าพระองค์ทรงจัดการกับสิ่งใดในบรรดาสรรพสิ่งทั้งมวล พระเจ้าทรงกระทำการไปตามหลักการทั้งหลายและพระอุปนิสัยของพระองค์เอง  นี่คือเนื้อแท้ของพระเจ้า พระองค์จะไม่มีวันทรงทำผิดไปจากประกาศกฤษฎีกาหรือประกาศิตจากสวรรค์ที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ง่ายๆ เพียงเพราะพระองค์ทรงถือว่าผู้คนเช่นนั้นเป็นสัตว์เดรัจฉาน  พระเจ้าทรงกระทำการบนหลักการโดยไม่ทรงวู่วามแม้แต่น้อย และการกระทำของพระองค์ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยใดๆ โดยสิ้นเชิง  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงกระทำเป็นไปตามหลักการทั้งหลายของพระองค์เอง  การนี้เป็นเพราะพระเจ้าทรงมีเนื้อแท้ของพระเจ้าพระองค์เอง นี่คือแง่มุมหนึ่งเกี่ยวกับเนื้อแท้ของพระองค์ที่ไม่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ  พระเจ้าทรงมีจิตสำนึกและทรงรับผิดชอบในการรับมือ การดำเนินการ การจัดการ การบริหาร และการปกครองของพระองค์เหนือวัตถุ บุคคล และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดท่ามกลางสรรพสิ่งทั้งมวลที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้ และในการนี้ พระองค์ไม่เคยไม่ทรงระมัดระวัง  สำหรับบรรดาผู้ที่เป็นคนดีนั้น พระองค์ทรงเปี่ยมพระคุณและทรงเมตตา กับบรรดาผู้ที่ชั่วร้ายนั้น พระองค์ทรงลงโทษด้วยการลงทัณฑ์อันไร้ความปรานี และสำหรับสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายนั้น พระองค์ทรงทำการจัดการเตรียมการที่สมควรในลักษณะที่ทันเวลาและเป็นปกติตามข้อพึงประสงค์ที่ผันแปรของโลกมนุษย์ในเวลาที่แตกต่างกัน จนกระทั่งสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายเหล่านี้ได้มาเกิดใหม่ตามบทบาทที่พวกเขาแสดงในลักษณะที่เป็นระเบียบ และเคลื่อนไประหว่างโลกวัตถุกับโลกฝ่ายวิญญาณในหนทางที่มีระเบียบวิธี

ความตายของสิ่งมีชีวิตหนึ่ง—การสิ้นสุดชีวิตทางกายภาพ—บ่งชี้ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นได้ผ่านจากโลกวัตถุไปสู่โลกฝ่ายวิญญาณ ในขณะที่การถือกำเนิดของชีวิตใหม่ทางกายภาพบ่งชี้ว่าสิ่งมีชีวิตหนึ่งได้จากโลกฝ่ายวิญญาณมาสู่โลกวัตถุ และได้เริ่มต้นรับหน้าที่และแสดงบทบาทของมันแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นการจากไปหรือการมาถึงของสิ่งมีชีวิต ทั้งคู่นั้นไม่สามารถแยกออกจากงานของโลกฝ่ายวิญญาณได้  เมื่อถึงเวลาที่ใครบางคนมาสู่โลกวัตถุ พระเจ้าได้ทรงก่อรูปร่างการจัดการเตรียมการและการกำหนดนิยามที่เหมาะสมไว้แล้วในโลกฝ่ายวิญญาณในเรื่องที่ว่า บุคคลนั้นจะมายังครอบครัวใด พวกเขาจะมาสู่ยุคสมัยใด พวกเขาจะมาถึงในโมงยามใด และบทบาทที่พวกเขาจะแสดง  เมื่อเป็นเช่นนั้น ชีวิตทั้งชีวิตของบุคคลผู้นี้—สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำ และเส้นทางทั้งหลายที่พวกเขาเดิน—จะดำเนินการไปตามการจัดการเตรียมการที่ได้ทำขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย  ยิ่งไปกว่านั้น เวลาที่ชีวิตทางกายภาพจะสิ้นสุดลง และลักษณะกับสถานที่ที่มันจะพบจุดจบนั้นเป็นที่ชัดเจนและหยั่งรู้ได้ในโลกฝ่ายวิญญาณ  พระเจ้าทรงปกครองโลกวัตถุ และพระองค์ทรงปกครองโลกฝ่ายวิญญาณด้วยเช่นกัน และพระองค์จะไม่ทรงทำให้วัฏจักรแห่งชีวิตและความตายตามปกติของดวงจิตหนึ่งล่าช้า และพระองค์ไม่มีวันสามารถกระทำความผิดพลาดใดๆ ในการจัดการเตรียมการวัฏจักรนั้นเลย  ผู้ดูแลแต่ละคนในตำแหน่งทางการของโลกฝ่ายวิญญาณนั้นดำเนินภารกิจแต่ละอย่างของพวกเขา และทำสิ่งที่พวกเขาควรที่จะทำ โดยสอดคล้องกับคำแนะนำและกฎเกณฑ์ทั้งหลายของพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้ ในโลกของมวลมนุษย์นั้น ปรากฏการณ์ทางวัตถุทุกอย่างที่มนุษย์เห็นล้วนเป็นไปอย่างเป็นระเบียบ และไม่มีความวุ่นวาย  ทั้งหมดนี้ก็เนื่องจากกฎเกณฑ์ที่มีระเบียบเหนือสรรพสิ่งของพระเจ้า รวมทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าสิทธิอำนาจของพระองค์ปกครองเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง  อำนาจครอบครองของพระองค์ประกอบด้วยโลกวัตถุที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ และยิ่งไปกว่านั้นคือโลกฝ่ายวิญญาณที่ไม่ปรากฏแก่ตาเบื้องหลังมวลมนุษย์  เพราะฉะนั้น หากมนุษย์ปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดี และหวังที่จะดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ดีนอกเหนือจากการได้รับการจัดเตรียมทางโลกวัตถุที่มองเห็นได้ทั้งหมดทั้งมวลนั้น พวกเขาก็ต้องได้รับการจัดเตรียมทางโลกฝ่ายวิญญาณด้วยเช่นกัน ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นได้ ซึ่งควบคุมดูแลสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในนามของมวลมนุษย์ และซึ่งเป็นไปอย่างมีระเบียบ

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 191

วัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของผู้คนที่มีความเชื่อต่างๆ

พวกเราเพิ่งได้หารือกันถึงวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของผู้คนจำพวกแรก คือบรรดาผู้ไม่เชื่อ  บัดนี้ ขอให้พวกเรามาหารือกันถึงพวกที่สอง คือผู้คนที่มีความเชื่อต่างๆ  “วัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของผู้คนที่มีความเชื่อต่างๆ” ยังเป็นหัวข้อที่สำคัญมากอีกหัวข้อหนึ่ง และมีความจำเป็นอย่างมากที่พวกเจ้าจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้าง  ก่อนอื่นขอให้พวกเราพูดกันถึงเรื่อง “ความเชื่อ” ในคำว่า “ผู้คนที่มีความเชื่อ” ว่าอ้างถึงความเชื่อใดบ้าง คือห้าศาสนาหลักได้แก่ ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก ศาสนาอิสลาม และศาสนาพุทธ  นอกเหนือจากบรรดาผู้ไม่เชื่อแล้ว ผู้คนที่เชื่อในห้าศาสนาเหล่านี้ครองสัดส่วนของประชากรโลกอยู่มาก  ท่ามกลางห้าศาสนานี้ บรรดาผู้ที่ประกอบอาชีพตามความเชื่อของพวกเขามีไม่มาก ถึงกระนั้นศาสนาเหล่านี้ก็ยังมีผู้ติดตามจำนวนมาก  พวกเขาจะไปยังสถานที่ที่แตกต่างเมื่อพวกเขาตาย  “แตกต่าง” จากผู้ใด?  จากบรรดาผู้ไม่เชื่อ—ผู้คนที่ไม่มีความเชื่อ—ผู้ซึ่งเราพูดถึงอยู่เมื่อครู่  หลังจากพวกเขาตาย บรรดาผู้เชื่อของห้าศาสนาเหล่านี้จะไปที่อื่น เป็นบางแห่งที่แตกต่างจากผู้ไม่เชื่อ  อย่างไรก็ตาม มันยังคงเป็นกระบวนการเดียวกัน โลกฝ่ายวิญญาณจะพิพากษาพวกเขาในทำนองเดียวกันบนพื้นฐานของทุกอย่างที่พวกเขาเคยทำก่อนที่พวกเขาจะตาย ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาจะเข้าสู่กระบวนการตามการตัดสินนั้น  อย่างไรก็ดี เหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงถูกส่งไปเข้าสู่กระบวนการยังพื้นที่ที่แตกต่างกันเล่า?  มีเหตุผลที่สำคัญสำหรับการนี้  มันคืออะไร?  เราจะอธิบายกับพวกเจ้าด้วยตัวอย่างหนึ่ง  อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เราจะอธิบาย พวกเจ้าอาจจะคิดกับตัวพวกเจ้าเองว่า “บางทีคงจะเป็นเพราะพวกเขามีการเชื่อในพระเจ้าน้อย!  พวกเขาไม่ใช่ผู้ไม่เชื่อเสียทีเดียว”  อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เหตุผล  มีเหตุผลที่สำคัญมากอยู่อย่างหนึ่งที่พวกเขาถูกแยกออกจากผู้อื่น

จงดูศาสนาพุทธเป็นตัวอย่าง  เราจะบอกพวกเจ้าถึงข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง  ก่อนอื่น คนพุทธคือใครบางคนที่ได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธ และนี่คือบุคคลที่รู้ว่าสิ่งใดคือการเชื่อของตน  เมื่อคนพุทธตัดผมของพวกเขาและกลายเป็นพระหรือแม่ชี นั่นหมายความว่าพวกเขาได้แยกตนเองออกจากโลกฆราวาสแล้ว โดยทิ้งความอลหม่านของโลกมนุษย์ไว้เบื้องหลัง  ทุกๆ วันพวกเขาจะท่องพระสูตรและสวดพระนามของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย กินเพียงอาหารมังสวิรัติ ดำรงชีวิตแบบนักพรต และผ่านวันเวลาไปพร้อมกับแสงอ่อนเย็นของตะเกียงน้ำมันเนย  พวกเขาใช้ชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขาไปแบบนี้  เมื่อชีวิตทางกายภาพของคนพุทธคนหนึ่งจบลง พวกเขาจะทำบทสรุปชีวิตของพวกเขา แต่ในหัวใจของพวกเขาแล้วพวกเขาจะไม่รู้ว่าพวกเขาจะไปที่ใดหลังจากที่พวกเขาตาย  พวกเขาจะพบกับใคร หรือบทอวสานของพวกเขาจะเป็นอย่างไร  ลึกลงไป พวกเขาจะไม่มีแนวคิดที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายเช่นนั้น  พวกเขาจะไม่ได้ทำสิ่งใดมากไปกว่าดำรงความเชื่อชนิดหนึ่งไว้อย่างหูหนวกตาบอดตลอดชีวิตของพวกเขา ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาจะไปจากโลกมนุษย์พร้อมกับความปรารถนาและอุดมการณ์ทั้งหลายที่มืดบอดของพวกเขา  เช่นนั้นคือการสิ้นสุดชีวิตทางกายภาพของคนพุทธ เมื่อพวกเขาออกจากโลกของสิ่งมีชีวิต หลังจากนั้นพวกเขาจะกลับไปยังสถานที่ดั้งเดิมของพวกเขาในโลกฝ่ายวิญญาณ  การที่บุคคลผู้นี้จะมาเกิดใหม่เพื่อกลับมายังแผ่นดินโลกและสานต่อการบ่มเพาะตนเองของพวกเขาต่อไปหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและการปฏิบัติของพวกเขาก่อนความตายของพวกเขา  หากพวกเขาไม่เคยทำสิ่งใดผิดในระหว่างชั่วชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็จะได้มาเกิดและถูกส่งกลับมายังแผ่นดินโลกอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ที่ซึ่งบุคคลผู้นี้จะได้กลายเป็นพระหรือแม่ชีอีกครั้งหนึ่ง  นั่นคือ พวกเขาปฏิบัติการบ่มเพาะตนเองในระหว่างมีชีวิตทางกายภาพของพวกเขาโดยสอดคล้องกับวิธีที่พวกเขาเคยปฏิบัติการบ่มเพาะตนเองครั้งแรก และแล้วก็กลับมายังอาณาจักรฝ่ายวิญญาณหลังจากที่ชีวิตทางกายภาพของพวกเขาได้สรุปปิดตัวลง ที่ซึ่งพวกเขาจะถูกตรวจสอบ  หลังจากนั้น หากไม่พบว่ามีปัญหาใดๆ พวกเขาจะสามารถกลับมายังโลกของมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง และเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นการสานต่อการปฏิบัติของพวกเขา  หลังจากมาเกิดใหม่สามถึงเจ็ดครั้งแล้ว พวกเขาจะกลับไปยังโลกฝ่ายวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง ที่ซึ่งพวกเขาจะไปหลังจากชีวิตทางกายภาพจบลงแต่ละครั้ง  หากคุณสมบัติต่างๆ และพฤติกรรมของพวกเขาในโลกมนุษย์เป็นการปฏิบัติตามประกาศิตจากสวรรค์แห่งโลกฝ่ายวิญญาณ เช่นนั้นแล้ว จากจุดนี้เป็นต้นไป พวกเขาจะคงอยู่ที่นั่น พวกเขาจะไม่มาเกิดใหม่เป็นมนุษย์อีกต่อไป และจะไม่มีความเสี่ยงใดๆ ที่พวกเขาจะถูกลงโทษจากการทำชั่วบนแผ่นดินโลกอีก  พวกเขาจะไม่มีวันต้องก้าวผ่านกระบวนการนี้อีกครั้ง  ในทางตรงกันข้าม พวกเขาจะได้รับตำแหน่งหนึ่งในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณโดยขึ้นอยู่กับรูปการณ์แวดล้อมของพวกเขา  นี่คือสิ่งที่คนพุทธอ้างถึงว่าเป็น “การบรรลุพุทธภาวะ”  การบรรลุพุทธภาวะโดยมากแล้วหมายถึงการสัมฤทธิ์การเกิดผลได้เป็นเจ้าหน้าที่ของโลกฝ่ายวิญญาณ และหลังจากนั้นจะไม่มาเกิดใหม่หรือมีความเสี่ยงที่จะถูกลงโทษอีกต่อไป  ยิ่งไปกว่านั้น มันหมายถึงการไม่ทนทุกข์กับความทุกข์ร้อนทั้งหลายของการเป็นมนุษย์หลังจากการมาเกิดใหม่อีกต่อไป  ดังนั้น พวกเขายังคงมีโอกาสใดๆ ที่จะมาเกิดเป็นสัตว์อยู่หรือไม่?  (ไม่มี)  การนี้หมายความว่า พวกเขาจะคงอยู่เพื่อเข้ารับบทบาทหนึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณและจะไม่มาเกิดใหม่อีกแล้ว  นี่คือตัวอย่างหนึ่งของการบรรลุการเกิดผลของพุทธภาวะในศาสนาพุทธ  ในส่วนของพวกที่ไม่บรรลุการเกิดผล เมื่อพวกเขากลับไปยังโลกฝ่ายวิญญาณ พวกเขากลายเป็นผู้ที่อยู่ภายใต้การตรวจสอบและการยืนยันความถูกต้องจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่ค้นพบว่าในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติการบ่มเพาะตัวเอง หรือไม่ได้มีจิตสำนึกในการท่องพระสูตรทั้งหลายและการสวดพระนามของพระพุทธเจ้าอย่างขันแข็งดังที่ศาสนาพุทธบัญญัติไว้ และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับกระทำการชั่วร้ายมากมายและมีส่วนร่วมในพฤติกรรมชั่วหลายอย่าง  เช่นนั้นแล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณจะมีการพิพากษาเกี่ยวกับการทำชั่วของพวกเขา และต่อจากนั้น พวกเขาจะได้รับการลงโทษแน่นอน  ในการนี้ ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ  เมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อใดที่บุคคลเช่นนั้นจะสามารถบรรลุการเกิดผล?  ในชั่วชีวิตที่พวกเขาไม่กระทำความชั่ว—หลังจากที่กลับมายังโลกฝ่ายวิญญาณแล้ว เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดผิดก่อนที่พวกเขาจะตายเลย  จากนั้นพวกเขาก็มาเกิดใหม่ต่อไป โดยดำเนินการท่องพระสูตรและสวดพระนามของพระพุทธเจ้า ใช้วันเวลาของพวกเขาไปกับแสงอ่อนเย็นของตะเกียงน้ำมันเนย งดเว้นจากการฆ่าสิ่งมีชีวิตใดๆ หรือการกินเนื้อใดๆ  พวกเขาไม่มีส่วนร่วมในโลกของมนุษย์ โดยทิ้งปัญหาของมันไว้ห่างไกลที่เบื้องหลังและไม่มีการโต้เถียงกับผู้อื่น  ในกระบวนการนั้น หากพวกเขากระทำความชั่ว เช่นนั้นแล้ว หลังจากที่พวกเขากลับไปยังโลกฝ่ายวิญญาณ และการกระทำและพฤติกรรมทั้งหมดของพวกเขาได้รับการตรวจสอบ พวกเขาก็จะถูกส่งไปยังอาณาจักรของมนุษย์อีกครั้งหนึ่งในวัฏจักรที่ต่อเนื่องไปเป็นจำนวนสามถึงเจ็ดครั้ง  หากไม่มีการประพฤติผิดเกิดขึ้นในครั้งนี้ เช่นนั้นแล้ว การบรรลุพุทธภาวะของพวกเขาก็จะยังคงไม่ได้รับผลกระทบ และจะไม่ถูกทำให้ล่าช้าออกไป  นี่คือลักษณะพิเศษของวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของผู้คนที่มีความเชื่อทั้งหมด กล่าวคือ  พวกเขาสามารถที่จะ “บรรลุการเกิดผล” และสามารถที่จะเข้ารับตำแหน่งหนึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณได้ นี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างไปจากบรรดาผู้ไม่เชื่อ  ก่อนอื่น ขณะที่พวกเขายังคงใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก บรรดาผู้ที่สามารถเข้ารับตำแหน่งหนึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณประพฤติตัวอย่างไร?  พวกเขาต้องแน่ใจว่าจะไม่กระทำความชั่วใดๆ เลย กล่าวคือ พวกเขาต้องไม่ทำการฆาตกรรม วางเพลิง ข่มขืน หรือชิงทรัพย์ หากพวกเขามีส่วนร่วมในการฉ้อโกง การหลอกลวง การลักขโมย หรือการปล้น เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถบรรลุการเกิดผลได้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากพวกเขามีความเกี่ยวข้องหรือการมีส่วนร่วมใดๆ กับการทำชั่วไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม พวกเขาจะไม่สามารถหลีกหนีการลงโทษที่โลกฝ่ายวิญญาณกำหนดไว้แก่พวกเขาได้  โลกฝ่ายวิญญาณทำการจัดการเตรียมการที่เหมาะสมให้แก่คนพุทธที่บรรลุพุทธภาวะ กล่าวคือ  พวกเขาอาจได้รับการแต่งตั้งให้บริหารบรรดาผู้ที่ดูเหมือนว่าเชื่อในศาสนาพุทธ และเชื่อในชายชราบนฟ้า—พวกเขาอาจได้รับการจัดสรรเขตอำนาจ  พวกเขายังอาจเพียงแค่รับหน้าที่ควบคุมบรรดาผู้ไม่เชื่อหรือมีตำแหน่งที่มีหน้าที่เล็กน้อยมากๆ เท่านั้นด้วยเช่นกัน  การจัดสรรเช่นนั้นมีขึ้นตามธรรมชาติต่างๆ ของดวงจิตของพวกเขา  นี่คือตัวอย่างของศาสนาพุทธ

ในบรรดาห้าศาสนาที่เราได้พูดถึงนั้น ศาสนาคริสต์ค่อนข้างพิเศษ  สิ่งใดทำให้คริสตชนพิเศษยิ่งนัก?  เหล่านี้คือผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้  เหตุใดบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้จึงอยู่ในรายการนี้ได้?  ในการกล่าวว่าศาสนาคริสต์คือความเชื่อประเภทหนึ่ง มันคงจะเกี่ยวข้องกับความเชื่อเท่านั้นอย่างไม่ต้องสงสัย มันคงจะเป็นพิธีการประเภทหนึ่งเท่านั้น เป็นศาสนาประเภทหนึ่ง และเป็นสิ่งที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงจากความเชื่อของบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริง  เหตุผลที่เราได้ลงรายการศาสนาคริสต์ไว้ท่ามกลางห้าศาสนาใหญ่ๆ ก็คือว่า มันได้ถูกลดระดับไปอยู่ระดับเดียวกันกับศาสนายิว ศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลาม  ผู้คนส่วนใหญ่ในที่นี้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า หรือไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง นับประสาอะไรที่พวกเขาจะเชื่อในการมีอยู่ของพระองค์  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาเพียงใช้คัมภีร์ทั้งหลายเพื่อหารือเกี่ยวกับเทววิทยาและใช้เทววิทยาเพื่อสอนผู้คนให้มีเมตตา ให้สู้ทนความทุกข์ และให้ทำสิ่งดีๆ ทั้งหลาย  นั่นคือศาสนาแบบที่ศาสนาคริสต์ได้กลายมาเป็น กล่าวคือ ศาสนาคริสต์เพียงแค่จดจ่ออยู่กับทฤษฎีทางเทววิทยาเท่านั้น โดยไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ โดยสิ้นเชิงกับพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการและการช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า  ศาสนาคริสต์ได้กลายมาเป็นศาสนาของผู้คนที่ติดตามพระเจ้าแต่เป็นผู้ที่ไม่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงจากพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงมีหลักการหนึ่งในการเข้าถึงผู้คนเช่นนั้นด้วยเช่นกัน  พระองค์มิได้ทรงรับมือหรือจัดการกับพวกเขาอย่างง่ายๆ ตามอำเภอใจดังที่พระองค์ทรงกระทำกับบรรดาผู้ไม่เชื่อ  พระองค์ทรงปฏิบัติกับพวกเขาแบบเดียวกันกับที่พระองค์ทรงปฏิบัติกับคนพุทธ กล่าวคือ หากว่าในขณะที่มีชีวิตอยู่ คริสตชนคนหนึ่งสามารถทำการบ่มวินัยตัวเองได้ ปฏิบัติตามพระบัญญัติสิบประการอย่างเคร่งครัด และทำตามข้อเรียกร้องให้พฤติกรรมของพวกเขาเองสอดคล้องกับธรรมบัญญัติและพระบัญญัติทั้งหลาย และยึดถือสิ่งเหล่านั้นไปตลอดชีวิตของพวกเขา  เช่นนั้นแล้ว พวกเขายังต้องใช้เวลาเท่ากันในการก้าวผ่านวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายด้วยเช่นกันก่อนที่พวกเขาจะสามารถบรรลุถึงสิ่งที่เรียกว่า “การถูกรับขึ้นไป” ได้อย่างแท้จริง  หลังจากสัมฤทธิ์การถูกรับขึ้นไปนี้ พวกเขายังอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่ซึ่งพวกเขาเข้ารับตำแหน่งหนึ่งและกลายเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ของที่นั่น  ในทำนองเดียวกัน หากพวกเขากระทำความชั่วบนแผ่นดินโลก—หากพวกเขาบาปหนามากเกินไปและกระทำบาปมากเกินไป—เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะถูกลงโทษและถูกบ่มวินัยด้วยความรุนแรงที่แตกต่างกันไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ในศาสนาพุทธนั้น การบรรลุการเกิดผลหมายถึงการผ่านไปยังแดนสุขาวดีอันบรมสุข  แต่พวกเขาเรียกมันว่าอย่างไรในศาสนาคริสต์?  เรียกว่า “การเข้าสู่สวรรค์” และ “การถูกรับขึ้นไป”  บรรดาผู้ที่ถูกรับขึ้นไปอย่างแท้จริงยังก้าวผ่านวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายสามถึงเจ็ดครั้งด้วย ซึ่งหลังจากนั้น เมื่อตายแล้ว พวกเขาจะมายังโลกฝ่ายวิญญาณ ราวกับพวกเขาได้นอนหลับไป  หากพวกเขาได้มาตรฐาน พวกเขาก็สามารถคงอยู่ที่นั่นเพื่อเข้ารับตำแหน่ง และจะไม่ได้มาเกิดใหม่ในลักษณะที่เรียบง่ายหรือตามธรรมเนียม ซึ่งไม่เหมือนกับผู้คนบนแผ่นดินโลก

ท่ามกลางศาสนาเหล่านี้ทั้งหมด บทอวสานที่พวกเขาพูดถึงและที่พวกเขาเพียรพยายามไปถึงนั้นเป็นแบบเดียวกับการบรรลุผลในศาสนาพุทธ เพียงแต่ว่า “ผล” นี้สัมฤทธิ์โดยวิถีทางที่แตกต่างกัน  พวกเขาล้วนเหมือนกัน  สำหรับบรรดาผู้ติดตามของศาสนาเหล่านี้ ในส่วนของผู้ที่พฤติกรรมของพวกเขาสามารถยึดปฏิบัติตามข้อบังคับทางศาสนาได้อย่างเคร่งครัด พระเจ้าทรงจัดเตรียมบั้นปลายที่เหมาะสม สถานที่ที่เหมาะสมให้ไปสู่ และทรงรับมือกับพวกเขาตามสมควร  ทั้งหมดนี้สมเหตุสมผล แต่มันไม่เป็นดังที่ผู้คนจินตนาการ  บัดนี้ เมื่อได้ฟังเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคริสตชนแล้ว พวกเจ้ารู้สึกอย่างไร?  พวกเจ้ารู้สึกว่าสภาพของพวกเขาไม่ยุติธรรมเลยใช่หรือไม่?  เจ้าสงสารพวกเขาใช่หรือไม่?  (นิดหน่อย)  ไม่มีอะไรที่สามารถทำได้เลย พวกเขามีเพียงตัวเองเท่านั้นให้ตำหนิ  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  พระราชกิจของพระเจ้านั้นจริงแท้ พระองค์ทรงมีชีวิตและเป็นจริง และพระราชกิจของพระองค์มุ่งหมายไปที่มวลมนุษย์ทั้งหมดและปัจเจกบุคคลทุกคน  เช่นนั้นแล้ว เหตุใดคริสตชนทั้งหลายจึงไม่ยอมรับการนี้?  เหตุใดพวกเขาจึงรีบร้อนต่อต้านและข่มเหงพระเจ้าเหลือเกิน?  พวกเขาควรพิจารณาว่าตัวพวกเขาเองโชคดีที่ยังมีบทอวสานแบบนี้ ดังนั้นเหตุใดพวกเจ้าจึงรู้สึกเสียใจกับพวกเขาเล่า?  การรับมือกับพวกเขาในหนทางนี้แสดงให้เห็นความยอมผ่อนปรนที่ยิ่งใหญ่  เมื่อพิจารณาดูว่าพวกเขาต่อต้านพระเจ้าปานใด พวกเขาควรจะถูกทำลาย แต่กระนั้นพระเจ้าก็ไม่ทรงทำการนี้ พระองค์กลับทรงรับมือกับศาสนาคริสต์อย่างเรียบง่ายแบบเดียวกันกับศาสนาอื่นทั่วไป  ด้วยเหตุนี้ มีความจำเป็นใดหรือที่จะต้องกล่าวถึงรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับศาสนาอื่นๆ ที่เหลือ?  ลักษณะพื้นฐานของศาสนาเหล่านี้ทั้งหมดเป็นไปเพื่อให้ผู้คนทนทุกข์กับความยากลำบากมากยิ่งขึ้น ไม่ทำความชั่ว ประพฤติดี ไม่สบถใส่ผู้อื่น ไม่ตัดสินผู้อื่น นำตัวเองออกห่างจากการโต้เถียง และเป็นคนดี—คำสอนทางศาสนาส่วนใหญ่เป็นเยี่ยงนี้  เพราะฉะนั้น หากผู้คนที่มีความเชื่อเหล่านี้—บรรดาผู้ติดตามของศาสนาและคณะนิกายต่างๆ เหล่านี้—สามารถยึดปฏิบัติตามข้อบังคับทางศาสนาของพวกตนได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะไม่กระทำความผิดพลาดหรือบาปใหญ่ทั้งหลายในระหว่างที่พวกเขาอยู่บนแผ่นดินโลก และหลังจากที่ได้มาเกิดใหม่เป็นจำนวนสามถึงเจ็ดครั้งแล้ว ผู้คนเหล่านี้—บรรดาผู้ซึ่งสามารถยึดปฏิบัติตามข้อบังคับทางศาสนาได้อย่างเคร่งครัด—โดยทั่วไปแล้วจะคงอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณเพื่อเข้ารับตำแหน่งหนึ่ง  ผู้คนเช่นนี้มีมากหรือไม่?  (ไม่ มีไม่มาก)  คำตอบของเจ้าอยู่บนพื้นฐานของสิ่งใด?  มันไม่ง่ายเลยที่จะทำความดีและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และธรรมบัญญัติทางศาสนา  ศาสนาพุทธไม่อนุญาตให้ผู้คนกินเนื้อสัตว์—เจ้าสามารถทำเช่นนั้นได้หรือไม่?  หากเจ้าต้องสวมเสื้อคลุมสีเทาและท่องพระสูตรและสวดพระนามของพระพุทธเจ้าในวัดของคนพุทธตลอดทั้งวัน เจ้าจะสามารถทำเช่นนั้นได้หรือไม่?  มันคงจะไม่ง่าย  คริสตชนมีพระบัญญัติสิบประการ พระบัญญัติ และธรรมบัญญัติทั้งหลาย เหล่านี้ง่ายต่อการปฏิบัติตามหรือไม่?  มันไม่ง่ายเลยใช่หรือไม่?  จงดูการไม่สบถใส่ผู้อื่นเป็นตัวอย่าง กล่าวคือ ผู้คนไม่สามารถปฏิบัติตามกฎข้อนี้ได้โดยง่าย  เมื่อไร้ความสามารถที่จะหยุดตัวเอง พวกเขาจึงสบถ—และหลังจากสบถแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถถอนคำพูดเหล่านั้นกลับมาได้ ดังนั้น พวกเขาทำอย่างไร?  ตอนกลางคืน พวกเขาสารภาพบาปของพวกเขา  บางครั้งหลังจากที่พวกเขาสบถใส่ผู้อื่น พวกเขายังคงเก็บงำความเกลียดชังไว้ในหัวใจของพวกเขาอยู่ และพวกเขาไปไกลถึงขั้นวางแผนหาเวลาที่จะทำอันตรายผู้คนเหล่านั้นยิ่งขึ้นไปอีก  กล่าวสั้นๆ คือ สำหรับบรรดาผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางหลักเกณฑ์ตายตัวนี้ ก็คงจะไม่ง่ายที่จะยับยั้งจากการทำบาปหรือการทำชั่ว  เพราะฉะนั้น ในทุกๆ ศาสนา จึงมีผู้คนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่สามารถบรรลุการเกิดผลได้อย่างแท้จริง  เจ้านึกเอาว่าเพราะผู้คนมากมายเพียงนั้นปฏิบัติตามศาสนาเหล่านี้ คงมีคนจำนวนมากสามารถคงอยู่ในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณเพื่อเข้ารับบทบาท ใช่หรือไม่?  มันไม่ได้มีมากขนาดนั้น  มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้อย่างแท้จริง  โดยทั่วไปแล้ววัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของผู้คนที่มีความเชื่อเป็นเช่นนั้นเอง  สิ่งที่แยกพวกเขาออกมาก็คือการที่พวกเขาสามารถบรรลุการเกิดผลได้ และนี่คือสิ่งที่แยกพวกเขาออกจากบรรดาผู้ไม่เชื่อ

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 192

วัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้า (บทตอนที่คัดมา)

บัดนี้ ขอให้พวกเรามาพูดถึงวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้ากันเถิด  การนี้เกี่ยวข้องกับพวกเจ้า ดังนั้นจงให้ความสนใจ กล่าวคือ  ก่อนอื่น จงคิดเกี่ยวกับว่าบรรดาผู้ติดตามพระเจ้าจะสามารถได้รับการจำแนกกลุ่มอย่างไร  (ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และบรรดาคนปรนนิบัติ)  แท้จริงแล้วมีสองกลุ่ม ได้แก่  บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และบรรดาคนปรนนิบัติ  ก่อนอื่น ขอให้พวกเรามาสนทนาถึงผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกันเถิด ซึ่งในกลุ่มนี้มีเพียงจำนวนน้อย  “ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร” หมายถึงผู้ใดบ้าง?  หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและมวลมนุษย์ให้มีขึ้นมา พระเจ้าได้ทรงคัดเลือกผู้คนกลุ่มหนึ่งที่จะติดตามพระองค์ เหล่านี้เองที่อ้างอิงถึงว่าเป็น “ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร”  มีวงเขตและนัยสำคัญพิเศษในการที่พระเจ้าทรงคัดเลือกผู้คนเหล่านี้  วงเขตนี้พิเศษตรงที่ว่ามันจำกัดเฉพาะคนที่ได้รับเลือกไม่กี่คน ผู้ซึ่งต้องมาเมื่อพระองค์ทรงพระราชกิจสำคัญ  และนัยสำคัญคืออะไร?  เนื่องจากพวกเขาคือกลุ่มที่พระเจ้าทรงเลือกสรร นัยสำคัญจึงยิ่งใหญ่  นั่นก็คือ พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะทำให้ผู้คนเหล่านี้ครบบริบูรณ์ และทำให้พวกเขามีความเพียบพร้อม และทันทีที่พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการได้เสร็จสิ้นลง พระองค์จะทรงรับผู้คนเหล่านี้ไว้  นัยสำคัญนี้ไม่ยิ่งใหญ่หรอกหรือ?  ด้วยเหตุนี้เอง  บรรดาผู้ที่ได้รับการเลือกสรรเหล่านี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพระเจ้า เพราะพวกเขาคือบรรดาผู้ซึ่งพระเจ้าตั้งพระทัยที่จะรับไว้  ส่วนเหล่าคนปรนนิบัตินั้น ขอให้เราหยุดพักจากหัวเรื่องการลิขิตล่วงหน้าของพระเจ้าไว้สักครู่เถิด แล้วสนทนาถึงต้นกำเนิดของพวกเขากันก่อน  “คนปรนนิบัติ” ตามตัวอักษรแล้วนั้นคือผู้ที่รับใช้  บรรดาผู้ที่รับใช้นั้นทำเป็นการชั่วคราว พวกเขาไม่ได้รับใช้ในระยะยาวหรือตลอดกาล แต่ได้รับการจ้างหรือเกณฑ์มาชั่วคราว  ต้นกำเนิดของพวกเขาส่วนใหญ่นั้นก็คือ พวกเขาได้รับการคัดเลือกมาจากท่ามกลางผู้ไม่เชื่อ  พวกเขาได้มายังแผ่นดินโลกเมื่อมีประกาศกฤษฎีกาว่าพวกเขาจะได้สวมบทบาทของคนปรนนิบัติในพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขาอาจเคยเป็นสัตว์ในชั่วชีวิตก่อนหน้านี้ แต่พวกเขาอาจเคยเป็นผู้ไม่เชื่อด้วยเช่นกัน  เช่นนั้นเองคือต้นกำเนิดของบรรดาคนปรนนิบัติ

พวกเรามาคุยต่อไปถึงเรื่องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกันเถิด  เมื่อพวกเขาตาย พวกเขาจะไปยังพื้นที่ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากพื้นที่ของบรรดาผู้ไม่เชื่อและผู้คนที่มีความเชื่อต่างๆ  มันเป็นสถานที่ซึ่งบรรดาทูตสวรรค์และผู้สื่อสารของพระเจ้าเข้าประกบพวกเขา  เป็นสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงบริหารด้วยพระองค์เอง  ถึงแม้ว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะไม่สามารถเห็นพระเจ้าด้วยตาของพวกเขาเองในสถานที่นี้ แต่มันก็ไม่เหมือนกับที่อื่นใดในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ นี่คือพื้นที่ที่แตกต่างกัน ที่ซึ่งผู้คนส่วนนี้จะไปหลังจากที่พวกเขาตาย  เมื่อพวกเขาตาย พวกเขาก็จะอยู่ภายใต้การสืบค้นที่เข้มงวดโดยบรรดาผู้สื่อสารของพระเจ้า และอะไรที่จะถูกสืบค้น?  บรรดาผู้สื่อสารของพระเจ้าจะสืบค้นเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าที่ผู้คนเหล่านี้ได้ก้าวเดินมาโดยตลอดชีวิตทั้งหลายของพวกเขา พวกเขาเคยต่อต้านพระเจ้าหรือสาปแช่งพระองค์หรือไม่ในระหว่างนั้น และพวกเขาเคยกระทำบาปหรือความชั่วร้ายแรงใดๆ หรือไม่  การสืบค้นนี้จะทำให้สิ้นสุดคำถามที่ว่าบุคคลดังกล่าวจะได้รับอนุญาตให้พำนักอยู่หรือต้องออกไป  คำว่า “ออกไป” หมายถึงอะไร?  และคำว่า “พำนักอยู่” หมายถึงอะไร?  “ออกไป” หมายถึงว่า บนพื้นฐานของพฤติกรรมของพวกเขาแล้ว พวกเขายังคงอยู่ในท่ามกลางผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรือไม่ การได้รับอนุญาตให้ “พำนักอยู่” หมายความว่าพวกเขาสามารถคงอยู่ท่ามกลางบรรดาผู้ที่พระเจ้าจะทรงทำให้ครบบริบูรณ์ในระหว่างยุคสุดท้าย  สำหรับบรรดาผู้ที่พำนักอยู่ พระเจ้าทรงมีการจัดการเตรียมการที่พิเศษ  ในระหว่างแต่ละระยะของพระราชกิจของพระองค์ พระองค์จะส่งผู้คนเช่นนั้นมาทำหน้าที่เป็นอัครทูตหรือมาทำงานแห่งการฟื้นฟูหรือการดูแลคริสตจักรทั้งหลาย  อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่สามารถทำงานเช่นนั้นจะไม่มาเกิดใหม่บ่อยครั้งเท่าบรรดาผู้ไม่เชื่อที่มาเกิดใหม่รุ่นแล้วรุ่นเล่า ในทางตรงกันข้าม พวกเขาถูกส่งกลับมายังแผ่นดินโลกตามข้อพึงประสงค์และขั้นตอนทั้งหลายของพระราชกิจของพระเจ้า และพวกเขาจะไม่มาเกิดใหม่บ่อยๆ  ดังนั้น มีกฎเกณฑ์บางอย่างเกี่ยวกับว่าเมื่อใดพวกเขาจะมาเกิดใหม่ใช่หรือไม่?  พวกเขาจะมาไม่กี่ปีครั้งใช่หรือไม่?  พวกเขาจะมาด้วยความถี่เช่นนั้นใช่หรือไม่?  พวกเขาไม่ได้มาแบบนั้น  การนี้ล้วนขึ้นอยู่กับพระราชกิจของพระเจ้า ขึ้นอยู่กับขั้นตอนของพระราชกิจนั้นและความประสงค์ของพระองค์ และไม่มีกฎเกณฑ์กำหนดไว้  กฎเกณฑ์เพียงข้อเดียวที่มีก็คือ เมื่อพระเจ้าทรงทำพระราชกิจช่วงระยะสุดท้ายของพระองค์ในระหว่างยุคสุดท้ายนั้น ประชากรที่ได้รับการเลือกสรรทั้งหมดเหล่านี้จะมา และการมาครั้งนี้จะเป็นการมาเกิดใหม่ครั้งสุดท้ายของพวกเขา  และเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  การนี้ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่จะสัมฤทธิ์ในระหว่างพระราชกิจช่วงระยะสุดท้ายของพระเจ้า—เพราะในระหว่างช่วงระยะสุดท้ายของพระราชกิจนี้ พระเจ้าจะทรงทำให้บรรดาผู้ที่ได้รับการเลือกสรรทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ครบบริบูรณ์  การนี้หมายความว่าอย่างไร?  หากในระหว่างระยะสุดท้ายนี้ ผู้คนเหล่านี้ได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์และมีความเพียบพร้อม เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะไม่มาเกิดใหม่เหมือนเมื่อก่อน กระบวนการแห่งการเป็นมนุษย์ของพวกเขาจะได้มาถึงการเสร็จสิ้นที่ครบบริบูรณ์แล้ว เช่นเดียวกับกระบวนการแห่งการมาเกิดใหม่ของพวกเขา  การนี้เกี่ยวโยงกับบรรดาผู้ที่จะพำนักอยู่  ดังนั้น พวกที่ไม่สามารถพำนักอยู่ได้จะไปที่ใด?  พวกที่ไม่ได้รับอนุญาตให้พำนักอยู่ก็มีบั้นปลายที่สมควรของพวกเขาเอง  ก่อนอื่น ด้วยผลจากการทำชั่วของพวกเขา ความผิดพลาดที่พวกเขาได้ทำมา และบาปที่พวกเขาได้กระทำขึ้น พวกเขาก็จะได้รับการลงโทษเช่นกัน  หลังจากที่พวกเขาได้รับการลงโทษแล้ว พระเจ้าจะทรงทำการจัดการเตรียมการเพื่อส่งพวกเขาไปอยู่ท่ามกลางบรรดาผู้ไม่เชื่อให้เหมาะสมกับรูปการณ์แวดล้อม หรือไม่ก็จัดการเตรียมการให้พวกเขาได้ไปอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีความเชื่อต่างๆ  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มีสองผลลัพธ์ที่เป็นไปได้สำหรับพวกเขา นั่นคือ หนึ่งคือการถูกลงโทษและบางทีอาจจะเป็นการดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คนของศาสนาหนึ่งหลังจากมาเกิดใหม่ และอีกผลลัพธ์หนึ่งคือการกลายเป็นผู้ไม่เชื่อ  หากพวกเขากลายเป็นผู้ไม่เชื่อ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะสูญเสียโอกาสทั้งหมด อย่างไรก็ตาม หากพวกเขากลายเป็นผู้คนที่มีความเชื่อ—ยกตัวอย่างเช่น หากพวกเขากลายเป็นคริสตชน—เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะยังคงมีโอกาสที่จะได้กลับไปอยู่ท่ามกลางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร มีสัมพันธภาพที่ซับซ้อนมากกับการนี้  กล่าวสั้นๆ คือ หากหนึ่งในประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทำบางสิ่งบางอย่างที่ล่วงเกินพระเจ้า พวกเขาจะได้รับการลงโทษเหมือนคนอื่นทุกคน  จงดูเปาโลเป็นตัวอย่าง ผู้ซึ่งพวกเราได้พูดถึงก่อนหน้านี้  เปาโลเป็นตัวอย่างหนึ่งของบุคคลที่ได้รับการลงโทษ  พวกเจ้าเริ่มเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เรากำลังพูดถึงอยู่ใช่หรือไม่?  วงเขตของบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเป็นขอบเขตที่คงที่หรือไม่?  (ส่วนใหญ่แล้วเป็นเช่นนั้น)  ส่วนใหญ่แล้วมันคงที่ แต่ส่วนเล็กๆ ของมันไม่คงที่  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  ณ ที่นี้เราได้อ้างอิงถึงเหตุผลที่ชัดเจนที่สุด นั่นคือ การกระทำความชั่ว  เมื่อผู้คนกระทำความชั่ว พระเจ้าไม่ทรงต้องการพวกเขา และเมื่อพระเจ้าไม่ทรงต้องการพวกเขา พระองค์จะทรงโยนพวกเขาไปอยู่ท่ามกลางผู้คนนานาเผ่าพันธุ์และนานาจำพวก  นี่ทำให้พวกเขาไม่มีความหวัง และทำให้พวกเขากลับคืนมาได้ยาก  ทั้งหมดนี้เกี่ยวโยงกับวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 193

วัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้า (บทตอนที่คัดมา)

หัวข้อถัดไปนี้เกี่ยวโยงกับวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของบรรดาคนปรนนิบัติ  พวกเราเพิ่งได้พูดถึงต้นกำเนิดของบรรดาคนปรนนิบัติไป นั่นคือข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขามาเกิดใหม่หลังจากที่เคยเป็นผู้ไม่เชื่อและสัตว์ในชีวิตทั้งหลายก่อนหน้านั้นของพวกเขา  ด้วยการมาถึงของพระราชกิจช่วงระยะสุดท้าย พระเจ้าได้ทรงคัดเลือกผู้คนเช่นนั้นกลุ่มหนึ่งมาจากบรรดาผู้ไม่เชื่อ และคนกลุ่มนี้มีความพิเศษ  จุดมุ่งหมายของพระเจ้าในการเลือกสรรประชากรเหล่านี้ก็คือเพื่อให้พวกเขามารับใช้พระราชกิจของพระองค์  “การปรนนิบัติ” ไม่ใช่คำที่ฟังดูสง่างามมากนักและไม่สอดคล้องกับความปรารถนาของทุกคน แต่พวกเราควรดูว่ามันมุ่งไปที่ใคร  การมีอยู่ของบรรดาคนปรนนิบัติของพระเจ้ามีนัยสำคัญพิเศษอย่างหนึ่ง  ไม่มีใครอื่นที่สามารถแสดงบทบาทของพวกเขาได้ เพราะพระเจ้าทรงเลือกสรรพวกเขามา  และบทบาทของคนปรนนิบัติเหล่านี้คืออะไร?  นั่นคือการรับใช้บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  โดยส่วนใหญ่แล้ว บทบาทของพวกเขาคือการให้การปรนนิบัติแก่พระราชกิจของพระเจ้า การให้ความร่วมมือกับพระราชกิจ และการอำนวยความสะดวกแก่พระเจ้าในการทำให้บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรมีความครบบริบูรณ์  ไม่ว่าพวกเขาจะกำลังทำงานหนัก กำลังดำเนินงานในบางแง่มุม หรือกำลังรับหน้าที่ทำภารกิจบางอย่างอยู่หรือไม่ก็ตาม อะไรคือข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเกี่ยวกับบรรดาคนปรนนิบัติเหล่านี้?  พระองค์ทรงเรียกร้องอย่างมากในข้อพึงประสงค์ของพระองค์ต่อพวกเขาหรือไม่?  (ไม่ พระองค์ทรงขอเพียงว่าให้พวกเขาจงรักภักดี)  บรรดาคนปรนนิบัติก็ต้องจงรักภักดีด้วยเช่นกัน  ไม่ว่าต้นกำเนิดของเจ้าเป็นอย่างไรหรือเหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงเลือกเจ้า เจ้าต้องจงรักภักดีต่อพระเจ้า ต่อพระบัญชาใดๆ ที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้า และต่องานที่เจ้ารับผิดชอบ และหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติ  สำหรับคนปรนนิบัติที่สามารถจงรักภักดีและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้นั้น บทอวสานของพวกเขาจะเป็นอย่างไร?  พวกเขาจะสามารถคงอยู่ได้  การได้เป็นคนปรนนิบัติผู้ซึ่งยังคงอยู่นับเป็นพระพรใช่หรือไม่?  การยังคงอยู่หมายความถึงสิ่งใด?  อะไรคือนัยสำคัญของพระพรนี้?  ในด้านสถานะ พวกเขาดูไม่เหมือนกับบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาดูแตกต่างไป  แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว สิ่งที่พวกเขาชื่นชมในชีวิตนี้มิใช่เป็นแบบเดียวกันกับของบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรอกหรือ?  อย่างน้อยที่สุด มันเป็นแบบเดียวกันในชั่วชีวิตนี้  พวกเจ้าไม่ปฏิเสธการนี้ใช่หรือไม่?  ถ้อยดำรัสของพระเจ้า พระคุณของพระเจ้า การจัดเตรียมของพระเจ้า พระพรของพระเจ้า—ใครเล่าไม่ชื่นชมกับสิ่งเหล่านี้?  ทุกคนชื่นชมกับความอุดมเช่นนั้น  อัตลักษณ์ของคนปรนนิบัติคือผู้ซึ่งทำการปรนนิบัติ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว พวกเขาเป็นเพียงหนึ่งในท่ามกลางสรรพสิ่งทั้งมวลที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้น เพียงแต่ว่าบทบาทของพวกเขาคือการเป็นคนปรนนิบัติ  ในฐานะที่ทั้งสองเป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า มีความแตกต่างอันใดระหว่างคนปรนนิบัติกับผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรือไม่?  ในด้านผลกระทบแล้วไม่มี  เมื่อกล่าวถึงในนามแล้ว มีความแตกต่างอย่างหนึ่ง ในเนื้อแท้และในแง่ของบทบาทที่พวกเขาแสดงก็มีความแตกต่างอย่างหนึ่ง—แต่พระเจ้ามิได้ทรงปฏิบัติต่อผู้คนกลุ่มนี้อย่างไม่ยุติธรรม  ดังนั้นเหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงได้รับการนิยามว่าเป็นคนปรนนิบัติ?  พวกเจ้าต้องมีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับการนี้!  คนปรนนิบัติมาจากท่ามกลางบรรดาผู้ไม่เชื่อ  ทันทีที่เราระบุว่าพวกเขามาจากท่ามกลางผู้ไม่เชื่อ  มันปรากฏชัดว่าพวกเขามีภูมิหลังที่ไม่ดีเหมือนๆ กัน กล่าวคือ พวกเขาล้วนเป็นพวกอเทวนิยม และเคยเป็นเช่นนั้นในอดีตด้วยเช่นกัน พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า และเป็นปรปักษ์กับพระองค์ กับความจริง และกับทุกสรรพสิ่งที่เป็นเชิงบวก  พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าหรือในการมีอยู่ของพระองค์  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาสามารถที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้หรือ?  มันสมควรแล้วที่จะกล่าวว่า พวกเขาจำนวนมากไม่สามารถ  เช่นเดียวกับที่สัตว์ทั้งหลายไม่สามารถที่จะเข้าใจคำพูดแบบมนุษย์ได้ บรรดาคนปรนนิบัติก็ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่พระเจ้ากำลังตรัส สิ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ หรือเหตุผลที่ทำให้พระองค์ทรงทำข้อเรียกร้องเช่นนั้นได้ พวกเขาไม่เข้าใจ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจจับใจความได้ และพวกเขายังคงไม่ได้รับความรู้แจ้ง  ด้วยเหตุผลนี้เอง ผู้คนเหล่านี้จึงไม่มีชีวิตอย่างที่พวกเราได้กล่าวถึงไปแล้ว  หากไม่มีชีวิตนั้น ผู้คนจะสามารถเข้าใจความจริงได้หรือ?  พวกเขาจะมีความจริงกระนั้นหรือ?  พวกเขามีประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่มี)  เช่นนั้นเองคือต้นกำเนิดของบรรดาคนปรนนิบัติ  อย่างไรก็ตาม ในเมื่อพระเจ้าทรงทำให้ผู้คนเหล่านี้เป็นคนปรนนิบัติ ยังคงมีมาตรฐานทั้งหลายในข้อพึงประสงค์ของพระองค์ต่อพวกเขา พระองค์มิทรงดูแคลนพวกเขา และพระองค์มิได้ทรงทำแบบพอเป็นพิธีกับพวกเขา  ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่จับใจความพระวจนะของพระองค์และไม่มีการถือครองชีวิต แต่พระเจ้าก็ยังคงทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างกรุณา และยังคงมีมาตรฐานทั้งหลายอยู่เมื่อกล่าวถึงข้อพึงประสงค์ของพระองค์ต่อพวกเขา  พวกเจ้าเพิ่งกล่าวถึงมาตรฐานเหล่านี้ นั่นคือ การจงรักภักดีต่อพระเจ้าและการทำสิ่งที่พระองค์ตรัส  ในการปรนนิบัติของเจ้านั้น เจ้าต้องรับใช้ในที่ซึ่งจำเป็นต้องมีการปรนนิบัติ และเจ้าต้องรับใช้จนถึงที่สุด  หากเจ้าสามารถเป็นคนปรนนิบัติที่จงรักภักดีได้ สามารถรับใช้ไปตลอดจนถึงที่สุด และสามารถปฏิบัติพระบัญญัติที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้าจนสำเร็จลุล่วงได้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า  หากเจ้าสามารถทำการนี้ได้ เจ้าก็จะสามารถคงอยู่  หากเจ้าใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นอีกสักนิด หากเจ้าพยายามให้หนักขึ้นอีกสักนิด สามารถเพิ่มความมุมานะของเจ้าในการรู้จักพระเจ้าขึ้นอีกเท่าตัว สามารถพูดถึงการรู้จักพระเจ้าได้เล็กน้อย สามารถเป็นคำพยานให้กับพระองค์ได้ และยิ่งไปกว่านั้น หากเจ้าสามารถเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระองค์ สามารถร่วมมือในพระราชกิจของพระเจ้าได้ และสามารถใส่ใจในเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้บ้าง เช่นนั้นแล้ว เจ้า ในฐานะคนปรนนิบัติ ก็จะได้รับประสบการณ์กับการเปลี่ยนโชค  และการเปลี่ยนโชคนี้จะเป็นเช่นไร?  เจ้าก็จะเพียงแค่ไม่สามารถคงอยู่อีกต่อไป  พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้าเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ได้รับการเลือกสรร โดยขึ้นอยู่กับการประพฤติและความทะเยอทะยานและการไล่ตามเสาะหาส่วนตัวของเจ้า  นี่จะเป็นการเปลี่ยนโชคของเจ้า  สำหรับบรรดาคนปรนนิบัติแล้วนั้น อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการนี้?  นั่นก็คือว่าพวกเขาสามารถกลายเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้  หากพวกเขาเป็นดังนั้น นั่นหมายความว่าพวกเขาจะไม่มาเกิดใหม่เป็นสัตว์อย่างที่บรรดาผู้ไม่เชื่อเป็นอีกต่อไป  การนั้นดีหรือไม่?  การนั้นดีและยังเป็นข่าวดีอีกด้วย กล่าวคือ นั่นหมายความว่าบรรดาคนปรนนิบัติสามารถได้รับการหล่อหลอม  ไม่ใช่ว่าในกรณีของคนปรนนิบัติ เมื่อพระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าให้พวกเขารับใช้ พวกเขาก็จะรับใช้ตลอดไป ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น  พระเจ้าจะทรงรับมือกับพวกเขาและตอบสนองพวกเขาในหนทางที่เหมาะสมกับการประพฤติส่วนตัวของบุคคลนี้

อย่างไรก็ตาม มีคนปรนนิบัติที่ไม่สามารถรับใช้ไปจนถึงที่สุดได้ มีบรรดาผู้ซึ่งล้มเลิกกลางคันและละทิ้งพระเจ้าในระหว่างการปรนนิบัติของพวกเขา รวมทั้งผู้คนที่กระทำความผิดมากมายหลายอย่าง  มีแม้กระทั่งบรรดาผู้ที่ก่อให้เกิดอันตรายใหญ่หลวงและนำมาซึ่งความสูญเสียใหญ่หลวงต่อพระราชกิจของพระเจ้า และมีแม้กระทั่งคนปรนนิบัติที่สาปแช่งพระเจ้า และอื่นๆ  ผลพวงที่ไม่อาจแก้ไขได้เหล่านี้บ่งบอกถึงสิ่งใด?  การกระทำชั่วใดๆ เช่นนั้นจะบ่งชี้ถึงการสิ้นสุดการปรนนิบัติของพวกเขา  เนื่องจากการประพฤติของเจ้าในระหว่างการปรนนิบัติของเจ้าแย่จนเกินไปและเพราะเจ้าทำตัวเหลือที่จะรับได้ ทันทีที่พระเจ้าทรงเห็นว่าการปรนนิบัติของเจ้าไม่ได้มาตรฐาน พระองค์จะทรงเพิกถอนสิทธิ์ในการรับใช้ของเจ้า  พระองค์จะไม่ทรงอนุญาตให้เจ้ารับใช้อีกต่อไป พระองค์จะทรงลบเจ้าออกไปจากสายพระเนตรของพระองค์และจากพระนิเวศของพระเจ้า  เป็นอันว่าเจ้าไม่ต้องการรับใช้ใช่หรือไม่?  เจ้าไม่ใช่ต้องการที่จะทำความชั่วอยู่เนืองนิตย์หรอกหรือ?  เจ้ามิใช่ไม่สัตย์ซื่ออยู่เนืองนิตย์หรอกหรือ?  ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็มีทางออกง่ายๆ นั่นคือ เจ้าจะต้องถูกเพิกถอนสิทธิ์ในการรับใช้  สำหรับพระเจ้าแล้ว การเพิกถอนสิทธิ์ในการรับใช้ไปจากคนปรนนิบัติคนหนึ่งหมายความว่าบทอวสานของคนปรนนิบัติคนนี้ได้รับการประกาศแล้ว และพวกเขาจะไม่มีสิทธิ์รับใช้พระเจ้าอีกต่อไป  พระเจ้าไม่จำเป็นต้องทรงมีการปรนนิบัติของบุคคลผู้นี้อีกต่อไปแล้ว และไม่ว่าพวกเขาอาจจะพูดสิ่งดีๆ อันใด คำพูดเหล่านั้นจะสูญเปล่า  เมื่อสิ่งต่างๆ ได้มาถึงจุดนี้แล้ว สถานการณ์จะกลายเป็นมิอาจแก้ไขได้แล้ว บรรดาคนปรนนิบัติเยี่ยงนี้จะไม่มีหนทางให้กลับมา  และพระเจ้าทรงจัดการกับคนปรนนิบัติเช่นนี้อย่างไร?  พระองค์เพียงทรงหยุดพวกเขาจากการรับใช้กระนั้นหรือ?  หามิได้  พระองค์เพียงแค่ทรงขัดขวางไม่ให้พวกเขาคงอยู่เท่านั้นหรือ?  หรือว่าพระองค์จะทรงวางพวกเขาเอาไว้ก่อนแล้วคอยให้พวกเขากลับตัว?  พระองค์ไม่ทรงทำเช่นนั้น  แท้จริงแล้ว พระเจ้าไม่ทรงมีความรักเช่นนั้นเมื่อเป็นเรื่องของคนปรนนิบัติ  หากบุคคลหนึ่งมีท่าทีแบบนี้ในการปรนนิบัติพระเจ้าของเขา พระเจ้าก็จะทรงเพิกถอนพวกเขาจากสิทธิ์ในการรับใช้ของพวกเขา อันเป็นผลจากท่าทีนี้ และจะทรงโยนพวกเขากลับไปอยู่ท่ามกลางบรรดาผู้ไม่เชื่ออีกครั้งหนึ่ง  และชะตากรรมของคนปรนนิบัติที่ถูกโยนกลับไปอยู่ท่ามกลางผู้ไม่เชื่อนั้นจะเป็นอย่างไร?  มันจะเป็นแบบเดียวกับชะตากรรมของผู้ไม่เชื่อ กล่าวคือ  พวกเขาจะมาเกิดใหม่เป็นสัตว์และได้รับการลงโทษแบบเดียวกันในโลกฝ่ายวิญญาณในฐานะผู้ไม่เชื่อคนหนึ่ง  ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าจะไม่ทรงให้ความสนพระทัยส่วนพระองค์ใดๆ ในการลงโทษบุคคลผู้นี้ เพราะบุคคลเช่นนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับพระราชกิจของพระเจ้าอีกต่อไป  นี่ไม่ใช่เป็นเพียงบทอวสานแห่งชีวิตที่มีความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นบทอวสานของชะตากรรมของพวกเขาเองด้วยเช่นกัน รวมถึงเป็นการประกาศชะตากรรมของพวกเขา  ด้วยเหตุนี้เอง หากคนปรนนิบัติรับใช้อย่างไม่ดีพอ พวกเขาจะต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาด้วยตัวพวกเขาเอง  หากคนปรนนิบัติไม่สามารถทำการรับใช้จนถึงที่สุดได้ หรือถูกเพิกถอนสิทธิ์ในการรับใช้ของพวกเขาไปในระหว่างทาง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะถูกขว้างให้ไปอยู่ท่ามกลางผู้ไม่เชื่อ—และหากเกิดการนี้ขึ้น บุคคลเช่นนั้นจะได้รับการจัดการด้วยวิธีเดียวกันกับปศุสัตว์ ด้วยวิธีเดียวกันกับผู้คนที่ไม่มีสติปัญญาหรือไร้ความมีเหตุผล  เมื่อเราอธิบายเช่นนี้ เจ้าสามารถเข้าใจได้ใช่ไหม?

สิ่งที่กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้คือวิธีที่พระเจ้าทรงจัดการกับวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรและบรรดาคนปรนนิบัติ  หลังจากที่ได้ฟังเรื่องนี้แล้ว พวกเจ้ารู้สึกอย่างไร?  เราเคยกล่าวถึงหัวข้อนี้มาก่อนหรือไม่?  เราเคยกล่าวในหัวเรื่องที่เกี่ยวกับบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและบรรดาคนปรนนิบัติแล้วหรือยัง?  แท้ที่จริงเราเคยกล่าวถึงแล้ว แต่พวกเจ้าไม่จำ  พระเจ้าทรงชอบธรรมต่อประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรและบรรดาคนปรนนิบัติ  พระองค์ทรงชอบธรรมในทุกๆ ด้าน  มีที่ใดที่เจ้าสามารถพบความเท็จในการนี้หรือไม่?  มีบ้างไหมผู้คนที่จะกล่าวว่า “เหตุใดพระเจ้าจึงทรงผ่อนปรนต่อบรรดาผู้ที่ได้รับการเลือกสรรถึงเพียงนั้น?  และเหตุใดพระองค์จึงทรงอดกลั้นต่อบรรดาคนปรนนิบัติเพียงน้อยนิดเท่านั้น?”  มีใครบ้างไหมที่ปรารถนาจะยืนขึ้นเพื่อคนปรนนิบัติ?  “พระเจ้าทรงสามารถให้เวลาแก่คนปรนนิบัติมากขึ้น อดกลั้นและทนยอมรับพวกเขาให้มากขึ้นได้หรือไม่?”  มันถูกต้องหรือไม่ที่จะถามคำถามเช่นนั้น?  (ไม่ มันไม่ถูกต้อง)  และเหตุใดจึงไม่ถูกต้องเล่า?  (เพราะแท้ที่จริงแล้ว เพียงผ่านทางการให้เป็นคนปรนนิบัติก็แสดงให้พวกเราเห็นถึงความโปรดปรานแล้ว)  แท้ที่จริงแล้ว เพียงโดยการได้รับอนุญาตให้รับใช้ บรรดาคนปรนนิบัติก็ได้รับการแสดงให้เห็นถึงความโปรดปราน!  หากไม่มีชื่อว่า “คนปรนนิบัติ” และหากไม่มีงานที่พวกเขาทำ ผู้คนเหล่านี้จะอยู่ที่ใด?  พวกเขาคงจะอยู่ท่ามกลางบรรดาผู้ไม่เชื่อ โดยมีชีวิตและตายไปกับปศุสัตว์  ช่างเป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่พวกเขาได้ชื่นชมในวันนี้ ที่ได้รับอนุญาตให้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและมายังพระนิเวศของพระเจ้า!  นี่ช่างเป็นพระคุณอันใหญ่หลวง!  หากพระเจ้ามิได้ทรงมอบโอกาสในการรับใช้ให้แก่เจ้า เจ้าก็คงจะไม่มีทางมีโอกาสได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์  ไม่ต้องกล่าวถึงเลยว่า ต่อให้เจ้าเป็นใครบางคนที่เป็นคนพุทธและได้บรรลุการเกิดผล อย่างมากที่สุดเจ้าก็คงเป็นแต่เพียงเด็กวิ่งงานในโลกฝ่ายวิญญาณ เจ้าจะไม่มีวันได้พบพระเจ้า ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์หรือพระวจนะของพระองค์ หรือสัมผัสความรักและพระพรของพระองค์ อีกทั้งเจ้าไม่อาจจะมาประจันหน้ากับพระองค์ได้เลย  สิ่งทั้งหลายที่ชาวพุทธมีอยู่เบื้องหน้าพวกเขานั้นเป็นเพียงภารกิจง่ายๆ เท่านั้น  พวกเขาไม่อาจจะรู้จักพระเจ้าได้ และพวกเขาเพียงทำตามและเชื่อฟัง ในขณะที่บรรดาคนปรนนิบัติได้รับมากมายหลายอย่างยิ่งนักในระหว่างช่วงระยะของพระราชกิจนี้!  ประการแรก พวกเขาสามารถมาประจันหน้ากับพระเจ้าได้ ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ ได้ยินพระวจนะของพระองค์ และได้รับประสบการณ์กับพระคุณและพระพรต่างๆ ที่พระองค์ประทานแก่ผู้คน  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาสามารถชื่นชมพระวจนะและความจริงทั้งหลายที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้  คนปรนนิบัติทั้งหลายได้รับมากมายยิ่งนักอย่างแท้จริง!  ด้วยเหตุนี้ หากในฐานะคนปรนนิบัติแล้วเจ้าไม่สามารถแม้กระทั่งใช้ความมานะพยายามอย่างถูกต้องเหมาะสม เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าจะยังคงทรงสามารถเก็บเจ้าไว้ได้อีกหรือ?  พระองค์ไม่ทรงสามารถเก็บเจ้าไว้ได้  พระองค์มิได้ทรงขอจากเจ้ามากมาย กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้ทำสิ่งใดที่พระองค์ทรงขออย่างถูกต้องเหมาะสมเลย เจ้าไม่ยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้า  เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระเจ้าไม่ทรงสามารถเก็บเจ้าไว้ได้  เช่นนั้นคือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงพะเน้าพะนอเจ้า แต่พระองค์ก็ไม่ทรงเลือกปฏิบัติกับเจ้า  เหล่านี้คือหลักการที่พระเจ้าทรงใช้กระทำการ  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนและสิ่งทรงสร้างทั้งปวงในลักษณะนี้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 194

วัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้า (บทตอนที่คัดมา)

หากสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณทำอะไรผิดหรือไม่ทำงานของตนให้ถูกต้อง พระเจ้าก็ทรงมีประกาศิตจากสวรรค์และประกาศกฤษฎีกาทั้งหลายที่สอดคล้องกันไว้จัดการกับพวกเขาด้วยเช่นกัน นี่เป็นที่แน่นอน  เพราะฉะนั้น ในระหว่างพระราชกิจบริหารจัดการหลายพันปีของพระเจ้านั้น คนทำหน้าที่บางคนซึ่งได้กระทำความผิดได้ถูกกำจัดออกไป ในขณะที่บางคน—จนถึงทุกวันนี้—ก็ยังคงถูกกักกันและถูกลงโทษอยู่  นี่คือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกฝ่ายวิญญาณต้องเผชิญ  หากพวกเขาทำบางอย่างผิดหรือกระทำความชั่ว เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ถูกลงโทษ—และนี่คือแบบเดียวกันกับแนวทางของพระเจ้าที่ทรงมีต่อบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรและบรรดาคนปรนนิบัติ  ด้วยเหตุนี้เอง ทั้งในโลกฝ่ายวิญญาณและโลกวัตถุ หลักการทั้งหลายที่พระเจ้าทรงใช้กระทำการจึงไม่เปลี่ยนแปลง  ไม่ว่าเจ้าจะสามารถมองเห็นการกระทำของพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม หลักการทั้งหลายของการกระทำเหล่านั้นไม่เปลี่ยนแปลง  พระเจ้าได้ทรงมีหลักการแบบเดียวกันในแนวทางของพระองค์ต่อทุกสิ่งทุกอย่างและในการรับมือของพระองค์กับทุกสรรพสิ่งโดยตลอดทั่วทั้งหมด  การนี้มิอาจเปลี่ยนแปลงได้  พระเจ้าจะมีพระกรุณาต่อบรรดาผู้ที่อยู่ท่ามกลางผู้ไม่เชื่อ ซึ่งใช้ชีวิตในลักษณะที่ค่อนข้างจะถูกต้องเหมาะสม และจะทรงรักษาโอกาสทั้งหลายของบรรดาผู้ที่อยู่ในแต่ละศาสนา ผู้ซึ่งประพฤติตนดีและไม่ทำความชั่ว โดยทรงอนุญาตให้พวกเขาแสดงบทบาทของพวกเขาในสรรพสิ่งทั้งมวลที่พระเจ้าทรงบริหารจัดการและทำในสิ่งที่พวกเขาควรที่จะทำ  ในทำนองเดียวกันนั้น ท่ามกลางบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้า และท่ามกลางประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร พระเจ้าก็ไม่ทรงเลือกปฏิบัติกับบุคคลใดตามหลักการเหล่านี้ของพระองค์  พระองค์ทรงเมตตาต่อทุกคนที่สามารถติดตามพระองค์ได้อย่างจริงใจ และพระองค์ทรงรักทุกคนที่ติดตามพระองค์อย่างจริงใจ  เพียงแต่ว่า สำหรับผู้คนหลายจำพวกเหล่านี้—บรรดาผู้ไม่เชื่อ ผู้คนที่มีความเชื่อต่างๆ และบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร—สิ่งที่พระองค์ประทานแก่พวกเขานั้นแตกต่างหลากหลาย  จงดูบรรดาผู้ไม่เชื่อเป็นตัวอย่าง กล่าวคือ  ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เชื่อในพระเจ้า และพระเจ้าทรงมองพวกเขาเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ท่ามกลางทุกสรรพสิ่งพวกเขาแต่ละคนมีอาหารให้กิน มีสถานที่เป็นของพวกเขาเอง และมีวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายตามปกติ  พวกผู้ที่ทำชั่วได้รับการลงโทษ และบรรดาผู้ที่ทำดีได้รับพระพรและได้รับความใจดีมีเมตตาจากพระเจ้า  นี่มิใช่อย่างที่มันเป็นหรอกหรือ?  สำหรับผู้คนที่มีความเชื่อนั้น หากพวกเขาสามารถยึดปฏิบัติตามข้อบังคับทางศาสนาทั้งหลายของพวกเขาอย่างเคร่งครัดโดยตลอดการเกิดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าได้ เช่นนั้นแล้ว หลังจากการมาเกิดใหม่ทั้งหมดเหล่านั้น ในที่สุดพระเจ้าจะทรงทำการประกาศของพระองค์ต่อพวกเขา  ในทำนองเดียวกัน สำหรับพวกเจ้าในวันนี้ ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นหนึ่งในผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรือคนปรนนิบัติ พระเจ้าจะทรงทำให้พวกเจ้าเข้าที่เข้าทางและจะทรงกำหนดพิจารณาบทอวสานของเจ้าโดยสอดคล้องกับกฎระเบียบและประกาศกฤษฎีกาบริหารที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้เช่นเดียวกัน  ท่ามกลางผู้คนจำพวกเหล่านี้ ผู้คนที่มีความเชื่อต่างชนิดกัน—นั่นคือ บรรดาผู้ซึ่งอยู่ในกลุ่มศาสนาต่างๆ—พระเจ้าได้ประทานพื้นที่ในการใช้ชีวิตแก่พวกเขาแล้วหรือยัง?  คนยิวอยู่ที่ใด?  พระเจ้าได้ทรงแทรกแซงความเชื่อของพวกเขาหรือไม่?  พระองค์ไม่ได้ทรงแทรกแซง  และคริสตชนเล่าเป็นอย่างไร?  พระองค์ก็มิได้ทรงแทรกแซงพวกเขาด้วยเช่นกัน  พระองค์ทรงอนุญาตให้พวกเขายึดปฏิบัติตามขั้นตอนทั้งหลายของพวกเขาเอง พระองค์ไม่ตรัสกับพวกเขาหรือให้ความรู้แจ้งใดๆ แก่พวกเขา และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ไม่ทรงเผยสิ่งใดๆ แก่พวกเขา  หากเจ้าคิดว่ามันถูกต้อง เช่นนั้นแล้วก็จงเชื่อในหนทางนี้  นิกายคาทอลิกเชื่อในนางมารีย์ และเชื่อว่าข่าวนั้นได้ถูกส่งต่อไปยังพระเยซูโดยผ่านทางนางนั่นเอง รูปแบบการเชื่อของพวกเขาเป็นเช่นนั้น  พระเจ้าเคยทรงแก้ไขความเชื่อของพวกเขาหรือไม่?  พระองค์ประทานอิสรภาพแก่พวกเขา พระองค์ไม่ใส่พระทัยพวกเขาและประทานพื้นที่บางแห่งแก่พวกเขาเพื่อใช้ดำรงชีวิต  ในส่วนของคนมุสลิมและคนพุทธนั้น พระองค์มิทรงเป็นแบบเดียวกันหรอกหรือ?  พระองค์ทรงกำหนดอาณาเขตสำหรับพวกเขาด้วยเช่นกัน และทรงอนุญาตให้พวกเขามีพื้นที่ในการดำรงชีวิตของพวกเขาเอง โดยไม่ทรงก้าวก่ายในการเชื่อตามลำดับของพวกเขา  ทั้งหมดนั้นเป็นระเบียบเรียบร้อยดี  และพวกเจ้ามองเห็นอะไรในทั้งหมดนี้หรือ?  เห็นว่าพระเจ้าทรงถือครองสิทธิอำนาจ แต่พระองค์ไม่ทรงใช้มันในทางที่ผิด  พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสรรพสิ่งให้เป็นระเบียบเพียบพร้อมและทรงกระทำมันในลักษณะที่เป็นระเบียบ และในที่นี้มีพระปรีชาญาณและฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์สถิตอยู่

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 195

พระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าพระองค์เอง

พระเจ้าทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงปกครองเหนือสรรพสิ่งและทรงบริหารจัดการทุกสิ่ง  พระองค์ทรงสร้างทั้งหมดที่มี พระองค์ทรงบริหารทั้งหมดที่มี พระองค์ทรงปกครองทั้งหมดที่มี และพระองค์ทรงจัดเตรียมสำหรับทั้งหมดที่มี  นี่คือสถานะของพระเจ้า และนี่คือพระอัตลักษณ์ของพระองค์  สำหรับทุกสรรพสิ่งและทั้งหมดที่มีนั้น พระอัตลักษณ์ที่แท้จริงของพระเจ้าคือพระผู้สร้างและองค์ปกครองของทุกสิ่งแห่งการทรงสร้าง  เช่นนั้นคือพระอัตลักษณ์ที่พระเจ้าทรงครอง และพระองค์ทรงมีเอกลักษณ์ท่ามกลางสรรพสิ่ง  ไม่มีสิ่งทรงสร้างใดของพระเจ้า—ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์หรือในโลกฝ่ายวิญญาณ—ที่สามารถใช้วิถีทางหรือข้ออ้างใดๆ เพื่อปลอมแฝงหรือแทนที่พระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าได้ เพราะท่ามกลางสรรพสิ่งมีเพียงองค์หนึ่งเดียวเท่านั้นที่ทรงถือครองพระอัตลักษณ์ ฤทธานุภาพ สิทธิอำนาจ และความสามารถในการปกครองสิ่งทรงสร้างนี้ ซึ่งก็คือ พระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์ของพวกเรา  พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพและทรงเคลื่อนไหวท่ามกลางสรรพสิ่ง พระองค์สามารถขึ้นสู่ที่สูงสุดเหนือทุกสรรพสิ่งได้  พระองค์สามารถถ่อมพระทัยพระองค์เองโดยการบังเกิดเป็นมนุษย์ บังเกิดเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่มีเลือดและเนื้อหนัง มาพบหน้าผู้คน และร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพวกเขา แต่ในเวลาเดียวกันนั้นพระองค์ก็ทรงบัญชาทั้งหมดที่มี ทรงตัดสินชะตากรรมของทั้งหมดที่มีและทิศทางที่ทั้งหมดจะเคลื่อนไหว  ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงนำทางชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง และทรงคุมทิศทางของมวลมนุษย์  พระเจ้าเช่นนี้ควรได้รับการนมัสการ ได้รับการเชื่อฟัง และเป็นที่รู้จักของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง  ด้วยเหตุนี้เอง ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในกลุ่มหรือจำพวกใดท่ามกลางมวลมนุษย์ การเชื่อในพระเจ้า ติดตามพระเจ้า เคารพพระเจ้า ยอมรับการปกครองของพระองค์ และยอมรับการจัดการเตรียมการที่พระองค์ทรงมีให้แก่ชะตากรรมของเจ้าย่อมเป็นทางเลือกเดียวเท่านั้น—ทางเลือกที่จำเป็น—สำหรับบุคคลใดก็ตามและสิ่งมีชีวิตใดก็ตาม  ในความทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้านั้น ผู้คนมองเห็นว่าสิทธิอำนาจของพระองค์ พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ แก่นแท้ของพระองค์ และวิถีทางที่พระองค์ทรงใช้จัดเตรียมให้แก่สรรพสิ่งนั้นล้วนมีเอกลักษณ์โดยบริบูรณ์ ความมีเอกลักษณ์นี้กำหนดพระอัตลักษณ์ที่แท้จริงของพระเจ้าพระองค์เอง และยังกำหนดสถานะของพระองค์ด้วย  เพราะฉะนั้น ท่ามกลางสิ่งทรงสร้างทั้งปวง หากสิ่งมีชีวิตใดในโลกฝ่ายวิญญาณหรือท่ามกลางมวลมนุษย์ปรารถนาที่จะยืนแทนที่พระเจ้า ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะประสบความสำเร็จ ดังเช่นที่เป็นไปไม่ได้สำหรับความพยายามใดๆ ที่จะปลอมแฝงเป็นพระเจ้า  นี่คือข้อเท็จจริง สิ่งใดคือข้อพึงประสงค์ทั้งหลายต่อมวลมนุษย์ของพระผู้สร้างและองค์ปกครองดังเช่นพระองค์นี้ ผู้ซึ่งทรงถือครองพระอัตลักษณ์ ฤทธานุภาพ และสถานะของพระเจ้าพระองค์เอง?  การนี้ควรจะเป็นที่เข้าใจชัดเจนสำหรับทุกคน และทุกคนควรจะจดจำ การนี้สำคัญมากต่อทั้งพระเจ้าและมนุษย์!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 196

ท่าทีต่างๆ ที่มวลมนุษย์มีต่อพระเจ้า

วิธีที่ผู้คนประพฤติตนต่อพระเจ้าตัดสินชะตากรรมของพวกเขา รวมทั้งวิธีที่พระเจ้าจะทรงประพฤติองค์ต่อพวกเขาและจัดการกับพวกเขาด้วย  ณ จุดนี้เรากำลังจะให้ตัวอย่างบางอย่างเกี่ยวกับวิธีที่ผู้คนประพฤติตนต่อพระเจ้า  ขอให้พวกเรารับฟังและมองดูว่าลักษณะและท่าทีที่พวกเขาใช้ประพฤติตนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้านั้นถูกต้องหรือไม่  ขอให้พวกเรากำหนดพิจารณาการประพฤติของผู้คนเจ็ดจำพวกดังต่อไปนี้

1) มีบุคคลจำพวกหนึ่งที่ท่าทีของพวกเขาต่อพระเจ้านั้นไร้สาระเป็นพิเศษ  ผู้คนเหล่านี้คิดว่าพระเจ้าทรงเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตำนานของมนุษย์ และจำเป็นที่มนุษย์ต้องก้มคำนับสามครั้งเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพบเจอกันและจุดธูปหลังอาหารแต่ละมื้อ  ผลก็คือ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งสำหรับพระคุณของพระองค์และรู้สึกสำนึกรู้คุณต่อพระองค์ พวกเขามักจะมีแรงดลใจชนิดนี้  พวกเขาปรารถนายิ่งนักว่าพระเจ้าที่พวกเขาเชื่อในปัจจุบันสามารถยอมรับวิธีที่พวกเขาก้มคำนับสามครั้งเมื่อพบเจอกันและจุดธูปหลังทุกมื้ออาหาร เหมือนอย่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาโหยหาในหัวใจของพวกเขา

2) ผู้คนบางคนมองว่าพระเจ้าทรงเป็นดังเช่นพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระชนม์ที่สามารถปลดปล่อยสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจากความทุกข์และช่วยพวกเขาให้รอดได้ พวกเขามองว่าพระองค์ทรงเป็นดังเช่นพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระชนม์ที่สามารถนำพาพวกเขาออกไปจากทะเลแห่งความทุกข์ร้อนได้  การเชื่อในพระเจ้าของผู้คนเหล่านี้พ่วงเอาการนมัสการพระองค์ดังเช่นพระพุทธเจ้ามาด้วย  ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่จุดธูป ไม่หมอบกราบ หรือไม่ถวายเครื่องบูชา แต่ลึกลงไปแล้ว พวกเขารู้สึกว่าพระเจ้าก็ทรงเป็นดังเช่นพระพุทธเจ้า ที่ทรงเพียงแค่ขอให้พวกเขามีความกรุณาและใจบุญ ให้พวกเขาไม่ฆ่าสิ่งมีชีวิต งดเว้นจากการสบถใส่ผู้อื่น ใช้ชีวิตที่ดูว่าซื่อสัตย์ และไม่กระทำสิ่งผิดใดๆ  พวกเขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงขอจากพวกเขา นี่คือพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา

3) ผู้คนบางคนนมัสการพระเจ้าเสมือนว่าพระองค์ทรงเป็นใครบางคนที่ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียง  ยกตัวอย่างเช่น ไม่ว่าบุคคลที่ยิ่งใหญ่ผู้นี้จะชอบพูดด้วยวิธีการใด ไม่ว่าเขาจะพูดด้วยทำนองเสียงใด ไม่ว่าเขาจะใช้คำพูดและคำศัพท์ใด น้ำเสียงของเขา การแสดงท่าทางด้วยมือของเขา ความคิดเห็นและการกระทำ กิริยาท่าทางของเขา—พวกเขาลอกเลียนแบบสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และเหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาต้องทำให้เกิดอย่างเต็มที่ในครรลองของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา

4) ผู้คนบางคนมองว่าพระเจ้าทรงเป็นดังเช่นกษัตริย์ โดยรู้สึกว่าพระองค์นั้นสถิตเหนือสิ่งอื่นใด และรู้สึกว่าไม่มีผู้ใดกล้าที่จะล่วงเกินพระองค์—และรู้สึกว่าหากใครสักคนทำเช่นนั้น บุคคลนั้นจะถูกลงโทษ  พวกเขานมัสการกษัตริย์เช่นนั้นเพราะเหล่ากษัตริย์เกาะกุมที่แห่งหนึ่งในหัวใจของพวกเขาเอาไว้  ความคิดทั้งหลาย อากัปกิริยา สิทธิอำนาจ และธรรมชาติของเหล่ากษัตริย์—แม้กระทั่งความสนใจและชีวิตส่วนตัวของพวกเขา—ล้วนกลายเป็นบางสิ่งที่ผู้คนเหล่านี้รู้สึกว่าพวกเขาต้องเข้าใจ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นประเด็นปัญหาและเรื่องราวที่ผู้คนเหล่านี้เข้าไปเกี่ยวข้อง  ผลก็คือ พวกเขานมัสการพระเจ้าดังเช่นกษัตริย์ รูปแบบการเชื่อเช่นนั้นช่างไร้สาระน่าขัน

5) ผู้คนบางคนมีความเชื่อเป็นพิเศษในการมีอยู่จริงของพระเจ้า และความเชื่อนี้ล้ำลึกและไม่สั่นคลอน  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความรู้เรื่องพระเจ้าของพวกเขาตื้นเขินยิ่งนัก และพวกเขาไม่มีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์มากนัก พวกเขาจึงนมัสการพระองค์ดังเช่นรูปเคารพ  รูปเคารพนี้คือพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา เป็นบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาต้องยำเกรงและกราบไหว้ และซึ่งพวกเขาต้องติดตามและเอาอย่าง  พวกเขามองว่าพระเจ้าทรงเป็นดังเช่นรูปเคารพที่พวกเขาต้องติดตามไปตลอดชีวิตของพวกเขา  พวกเขาลอกเลียนแบบพระกระแสเสียงที่พระเจ้าใช้ตรัส และโดยภายนอกแล้ว พวกเขาเอาอย่างบรรดาผู้ที่พระเจ้าโปรด  บ่อยครั้งที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายที่ปรากฏชัดว่าไร้เดียงสา บริสุทธิ์ และซื่อสัตย์ และพวกเขาถึงขั้นติดตามรูปเคารพนี้ราวกับว่าเป็นหุ้นส่วนหรือสหายที่พวกเขาไม่มีวันแยกจากได้  เช่นนั้นเองคือรูปแบบการเชื่อของพวกเขา

6) มีผู้คนจำพวกหนึ่ง ผู้ซึ่งถึงแม้ว่าได้เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้ามาแล้วมากมายและเคยได้ยินการประกาศมาแล้วมากมาย แต่รู้สึกลึกๆ ลงไปว่าหลักการเดียวเบื้องหลังพฤติกรรมของพวกเขาต่อพระเจ้าก็คือว่า พวกเขาควรประจบสอพลออยู่เสมอ หรือว่าพวกเขาควรสรรเสริญพระเจ้าและกล่าวชมเชยพระองค์ในหนทางที่ไม่สมจริง  พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าซึ่งทรงพึงประสงค์ให้พวกเขาประพฤติตัวในหนทางเช่นนั้น  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเชื่อว่าหากพวกเขาไม่ทำเช่นนั้นแล้วไซร้ พวกเขาอาจยั่วยุพระโทสะของพระองค์หรือพลาดท่าทำบาปต่อพระองค์ได้ทุกเวลา และเชื่อว่าผลของการทำบาปนี้ พระเจ้าจะทรงลงโทษพวกเขา  เช่นนั้นคือพระเจ้าที่พวกเขาเก็บไว้ในหัวใจของพวกเขา

7) และแล้วก็มีผู้คนส่วนใหญ่ ผู้ซึ่งพบเสบียงอาหารฝ่ายวิญญาณในพระเจ้า  นี่เป็นเพราะพวกเขาอาศัยอยู่ในโลกนี้ พวกเขาไม่มีสันติสุขหรือความสุข และไม่มีที่ใดที่พวกเขาจะพบสิ่งชูใจ  ทันทีที่พวกเขาพบพระเจ้า หลังจากที่พวกเขาได้มองเห็นและได้ยินพระวจนะของพระองค์แล้ว พวกเขาก็เริ่มเก็บงำความชื่นบานและความอิ่มเอมใจลับๆ ในหัวใจของพวกเขา  นี่เป็นเพราะพวกเขาเชื่อว่าในที่สุดพวกเขาก็ได้พบสถานที่ที่จะทำให้จิตวิญญาณของพวกเขามีความสุข และเชื่อว่าในที่สุดพวกเขาก็ได้พบพระเจ้าผู้ซึ่งจะทรงมอบเสบียงอาหารฝ่ายวิญญาณให้พวกเขา  หลังจากพวกเขาได้ยอมรับพระเจ้าและเริ่มติดตามพระองค์แล้ว พวกเขาก็กลายเป็นมีความสุข และชีวิตของพวกเขาก็สำเร็จลุล่วงแล้ว  พวกเขาไม่กระทำการเหมือนอย่างบรรดาผู้ไม่เชื่อที่นอนละเมอตลอดชีวิตเหมือนอย่างสัตว์ทั้งหลายอีกต่อไป และพวกเขารู้สึกว่าพวกเขามีบางอย่างให้รอคอยในชีวิต  ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาคิดว่าพระเจ้าพระองค์นี้ทรงสามารถสนองความต้องการฝ่ายวิญญาณของพวกเขาได้อย่างมหาศาลและทรงนำพาความสุขอันยิ่งใหญ่มาให้พวกเขาทั้งในด้านจิตใจและจิตวิญญาณ  โดยไม่ทันรู้ตัวพวกเขาก็กลายเป็นไม่สามารถไปจากพระเจ้าพระองค์นี้ได้ ผู้ซึ่งทรงมอบเสบียงอาหารฝ่ายวิญญาณเช่นนั้นให้แก่พวกเขา และผู้ซึ่งทรงนำพาความสุขมาสู่จิตวิญญาณของพวกเขาและมาสู่สมาชิกทั้งหมดในครอบครัวของพวกเขา  พวกเขาเชื่อว่า การเชื่อในพระเจ้าไม่จำเป็นต้องนำพาสิ่งใดมาให้มากไปกว่าเสบียงอาหารฝ่ายวิญญาณ

ใครสักคนท่ามกลางพวกเจ้ามีท่าทีต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้นต่อพระเจ้าบ้างหรือไม่?  (มี)  หากในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา หัวใจของบุคคลหนึ่งเก็บงำท่าทีใดๆ เหล่านั้นไว้ พวกเขาสามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างแท้จริงหรือไม่?  หากใครสักคนมีท่าทีใดๆ เหล่านี้ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  บุคคลเช่นนั้นเชื่อในพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์หรือไม่?  (ไม่)  ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์ เจ้าเชื่อในผู้ใด?  หากสิ่งที่เจ้าเชื่อไม่ใช่พระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์ เช่นนั้นแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าเจ้าเชื่อในรูปเคารพ หรือบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ หรือพระโพธิสัตว์ หรือว่าเจ้านมัสการพระพุทธเจ้าที่อยู่ในหัวใจของเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น เป็นไปได้ที่เจ้าเชื่อในบุคคลธรรมดาคนหนึ่ง  กล่าวสั้นๆ คือ เนื่องจากรูปแบบการเชื่อและท่าทีต่างๆ ที่ผู้คนมีต่อพระเจ้า พวกเขาจึงวางพระเจ้าในความคิดความอ่านของพวกเขาเองไว้ในหัวใจของพวกเขา ยัดเยียดจินตนาการของพวกเขาให้พระเจ้า วางท่าทีและจินตนาการทั้งหลายของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าไว้เคียงข้างกับพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์ และหลังจากนั้นก็ยกชูสิ่งเหล่านั้นขึ้นสู่การทำให้ศักดิ์สิทธิ์  นั่นหมายความว่าอย่างไรเมื่อผู้คนมีท่าทีที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมเช่นนั้นต่อพระเจ้า?  มันหมายความว่าพวกเขาได้ปฏิเสธพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เองไปแล้วและกำลังนมัสการพระเจ้าเทียมเท็จอยู่ นั่นบ่งบอกถึงว่า ในขณะที่เชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็กำลังปฏิเสธและต่อต้านพระองค์ และว่าพวกเขากำลังปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าเที่ยงแท้  หากผู้คนยังยึดถือรูปแบบการเชื่อเช่นนั้นอยู่ต่อไป พวกเขาจะเผชิญหน้ากับผลพวงใดบ้าง?  ด้วยรูปแบบการเชื่อเช่นนั้น พวกเขาจะสามารถเข้าใกล้ชิดพระเจ้าได้มากขึ้นไปอีกเพื่อปฏิบัติข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้าให้สำเร็จลุล่วงได้กระนั้นหรือ?  (ไม่ พวกเขาจะทำไม่ได้)  ในทางตรงกันข้าม เนื่องจากมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของพวกเขา พวกเขาจะไถลห่างไปไกลจากหนทางแห่งพระเจ้ายิ่งขึ้นไปอีก เพราะทิศทางที่พวกเขาแสวงหานั้นตรงกันข้ามกับทิศทางที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้พวกเขาก้าวเดิน  พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ “การไปทางใต้โดยการขับเกวียนไปทางเหนือ” หรือไม่?  การนี้อาจจะเป็นเพียงกรณีของการไปทางใต้โดยขับเกวียนไปทางเหนือเช่นนั้นก็ได้  หากผู้คนเชื่อในพระเจ้าในแบบที่น่าขันเช่นนั้นแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วยิ่งเจ้าพยายามหนักมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งห่างไกลจากพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  เมื่อเป็นเช่นนั้น เราขอเตือนสอนพวกเจ้าดังนี้ว่า  ก่อนที่พวกเจ้าจะออกเดินทาง เจ้าต้องหยั่งรู้เสียก่อนว่า เจ้ากำลังไปในทิศทางที่ถูกต้องอย่างแท้จริงหรือไม่  จงมุ่งเน้นในความพยายามของพวกเจ้า และถามตัวพวกเจ้าเองให้แน่ใจว่า “พระเจ้าที่ฉันเชื่อนั้นทรงเป็นองค์ปกครองของทุกสรรพสิ่งใช่หรือไม่?  พระเจ้าที่ฉันเชื่อทรงเป็นแค่ใครสักคนที่ให้เสบียงอาหารฝ่ายวิญญาณแก่ฉันเท่านั้นใช่หรือไม่?  พระองค์ทรงเป็นเพียงรูปเคารพของฉันใช่หรือไม่?  พระเจ้าที่ฉันเชื่อพระองค์นี้ทรงขอสิ่งใดจากฉัน?  พระเจ้าทรงรับรองทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำหรือไม่?  การกระทำและการไล่ตามเสาะหาของฉันทั้งหมดสอดคล้องกับการพยายามที่จะรู้จักพระเจ้าหรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อฉันหรือไม่?  พระเจ้าทรงระลึกรู้และทรงรับรองเส้นทางที่ฉันเดินหรือไม่?  พระองค์พึงพอพระทัยกับความเชื่อของฉันหรือไม่?”  เจ้าควรถามตัวพวกเจ้าเองด้วยคำถามเหล่านี้บ่อยๆ และซ้ำๆ  หากเจ้าปรารถนาที่จะแสวงหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องมีจิตสำนึกที่ชัดเจนและวัตถุประสงค์ทั้งหลายที่ชัดเจนก่อนที่เจ้าจะสามารถประสบความสำเร็จในการทำให้พระองค์พึงพอพระทัยได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 197

ท่าทีที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้มวลมนุษย์มีต่อพระองค์

แท้จริงแล้ว พระเจ้ามิได้กำลังทรงเรียกร้องมากมายจากมวลมนุษย์—หรืออย่างน้อย พระองค์มิได้ทรงเรียกร้องมากเท่าที่ผู้คนจินตนาการ  หากพระเจ้าไม่ได้ดำรัสพระวจนะใดๆ และหากพระองค์ไม่ทรงแสดงพระอุปนิสัยหรือกิจการใดๆ ของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว การรู้จักพระเจ้าคงจะเป็นความยากลำบากอย่างที่สุดสำหรับพวกเจ้า เพราะผู้คนคงจะต้องอนุมานเจตนารมณ์และน้ำพระทัยของพระองค์ นี่คงจะทำยากมาก  อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะสุดท้ายของพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะมากมาย ได้ทรงทำพระราชกิจจำนวนมาก และได้ทรงมีข้อพึงประสงค์มากมายต่อมนุษย์  ในพระวจนะของพระองค์ และพระราชกิจจำนวนมากของพระองค์นั้น พระองค์ได้ทรงแจ้งข้อมูลแก่ผู้คนเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์โปรด สิ่งที่พระองค์ทรงเกลียด และเกี่ยวกับประเภทของผู้คนที่พวกเขาควรจะเป็น  หลังจากได้เข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว ผู้คนควรจะมีการกำหนดนิยามที่แม่นยำในหัวใจของพวกเขาเกี่ยวกับข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้า เพราะพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าในความคลุมเครือและไม่เชื่อในพระเจ้าที่คลุมเครืออีกต่อไป อีกทั้งพวกเขาไม่มีความเชื่อในพระเจ้าท่ามกลางความคลุมเครือหรือความไม่มีสิ่งใด  ในทางตรงกันข้าม พวกเขาสามารถได้ยินถ้อยดำรัสของพระองค์ เข้าใจมาตรฐานแห่งข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระองค์ และบรรลุถึงข้อพึงประสงค์เหล่านั้น และพระเจ้าทรงใช้ภาษาของมวลมนุษย์เพื่อบอกพวกเขาถึงทั้งหมดที่พวกเขาควรจะรู้และเข้าใจ  วันนี้หากผู้คนยังคงไม่รู้จักว่าพระเจ้าทรงเป็นสิ่งใด และพระองค์ทรงพึงประสงค์สิ่งใดจากพวกเขา  หากพวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดคนเราจึงควรเชื่อในพระเจ้า และไม่รู้วิธีที่จะเชื่อในพระองค์หรือปฏิบัติต่อพระองค์—เช่นนั้นแล้วก็จะมีปัญหากับการนี้… พระประสงค์ที่ถูกต้องที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์และบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้ามีดังต่อไปนี้  พระองค์ทรงพึงประสงค์ห้าสิ่งจากบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ ได้แก่  การเชื่อที่แท้จริง การติดตามอย่างจงรักภักดี การนบนอบที่สมบูรณ์ ความรู้อันจริงแท้ และความเคารพด้วยน้ำใสใจจริง

ในห้าสิ่งนี้ พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์ไม่ตั้งคำถามกับพระองค์หรือติดตามพระองค์โดยใช้จินตนาการหรือมุมมองที่คลุมเครือและเป็นนามธรรมทั้งหลายของพวกเขาอีกต่อไป พวกเขาต้องไม่ติดตามพระเจ้าบนพื้นฐานของการจินตนาการหรือมโนคติอันหลงผิดใดๆ  พระองค์ทรงพึงประสงค์ให้ทุกคนในบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ทำเช่นนั้นอย่างจงรักภักดี ไม่ใช่อย่างครึ่งใจหรือโดยไม่มีความมุ่งมั่น  เมื่อพระเจ้าทรงทำข้อพึงประสงค์ใดๆ ต่อเจ้า ทรงทดสอบเจ้า ทรงพิพากษาเจ้า ทรงจัดการกับเจ้าและทรงตัดแต่งเจ้า หรือทรงบ่มวินัยและทุบตีเจ้า เจ้าควรนบนอบต่อพระองค์อย่างสมบูรณ์  เจ้าไม่ควรถามถึงสาเหตุหรือตั้งเงื่อนไขทั้งหลาย นับประสาอะไรที่เจ้าจะควรพูดถึงเหตุผลทั้งหลาย  การเชื่อฟังของเจ้าต้องสมบูรณ์  ความรู้เรื่องพระเจ้าคือความรู้ด้านที่ผู้คนขาดพร่องมากที่สุด  พวกเขามักจะกำหนดคติพจน์ ถ้อยคำ และคำพูดที่ไม่เกี่ยวโยงกับพระองค์ให้กับพระเจ้า โดยเชื่อว่าคำพูดเช่นนั้นเป็นการกำหนดนิยามที่เที่ยงตรงมากที่สุดเกี่ยวกับความรู้เรื่องพระเจ้า  พวกเขารู้เพียงน้อยนิดว่าคติพจน์เหล่านี้ ที่มาจากการจินตนาการของมนุษย์ การให้เหตุผลของพวกเขาเอง และความรู้ของพวกเขาเองนั้นไม่มีความเกี่ยวโยงกับเนื้อแท้ของพระเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว  ด้วยเหตุนี้ เราต้องการที่จะบอกพวกเจ้าว่า เมื่อพูดถึงความรู้ที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้ผู้คนมีนั้น พระองค์ไม่เพียงทรงขอให้เจ้าระลึกถึงพระองค์และพระวจนะทั้งหลายของพระองค์ แต่ยังทรงขอให้ความรู้ของพวกเจ้าเกี่ยวกับพระองค์นั้นถูกต้องด้วยเช่นกัน  ถึงแม้ว่าเจ้าสามารถกล่าวเพียงหนึ่งประโยคเท่านั้น หรือตระหนักรู้เพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้น แต่ส่วนน้อยนิดของความตระหนักรู้นี้ถูกต้องและแท้จริง และเข้ากันได้กับเนื้อแท้ของพระเจ้าพระองค์เอง  นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงรังเกียจการสรรเสริญหรือการชมเชยใดๆ ต่อพระองค์ที่ไม่สมจริงหรือที่ไม่ได้พิจารณาให้รอบคอบ  ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเกลียดชังเมื่อผู้คนปฏิบัติต่อพระองค์เหมือนอย่างอากาศ  พระองค์ทรงเกลียดชังเมื่อผู้คนพูดโดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงในระหว่างการหารือในหัวข้อที่เกี่ยวกับพระเจ้า โดยพูดคุยกันตามอำเภอใจและโดยไม่มีความลังเล กล่าวสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาเห็นว่าเหมาะ ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเกลียดชังบรรดาผู้ที่เชื่อว่าพวกเขารู้จักพระเจ้าและโอ้อวดเกี่ยวกับความรู้เรื่องพระองค์ของพวกเขา โดยหารือในหัวข้อที่เกี่ยวกับพระองค์โดยไม่มีทั้งความยับยั้งชั่งใจหรือข้อสงสัย  สิ่งสุดท้ายสำหรับข้อพึงประสงค์ห้าประการที่กล่าวไปข้างต้นเหล่านั้นก็คือความเคารพด้วยน้ำใสใจจริง กล่าวคือ  นี่คือข้อพึงประสงค์ข้อสุดท้ายของพระเจ้าที่มีต่อคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ติดตามพระองค์  เมื่อใครบางคนมีความรู้ที่ถูกต้องและแท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาก็สามารถเคารพพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้อย่างแท้จริง  ความเคารพนี้มาจากส่วนลึกของหัวใจของพวกเขา ความเคารพนี้ถูกมอบให้โดยเต็มใจ และไม่ใช่ผลของความกดดันจากพระเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงขอให้เจ้ามอบท่าที การประพฤติ หรือพฤติกรรมภายนอกที่ดีงามใดๆ เป็นของขวัญแด่พระเจ้า ในทางตรงกันข้าม พระองค์ทรงขอให้เจ้าเคารพพระองค์และยำเกรงพระองค์ในส่วนลึกของหัวใจของเจ้า  การบรรลุถึงความเคารพเช่นนั้นเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยชีวิตของเจ้า ของการได้รับความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและการเข้าใจกิจการทั้งหลายของพระเจ้า ของการได้มาเข้าใจเนื้อแท้ของพระเจ้า และของการที่เจ้ายอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าคือหนึ่งในสิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้า  เพราะฉะนั้น จุดมุ่งหมายของเราในการใช้คำว่า “ด้วยน้ำใสใจจริง” เพื่อนิยามความเคารพในที่นี้ก็เพื่อให้มนุษย์ได้เข้าใจว่าความเคารพที่พวกเขามีต่อพระเจ้าควรจะมาจากก้นบึ้งหัวใจของพวกเขา

บัดนี้จงพิจารณาพระประสงค์ห้าประการเหล่านั้นว่า คนใดบ้างท่ามกลางพวกเจ้าที่สามารถบรรลุสามประการแรกได้?  โดยการนี้ เรากำลังอ้างถึงการเชื่อที่แท้จริง การติดตามอย่างจงรักภักดี และการนบนอบอย่างสมบูรณ์  คนใดบ้างท่ามกลางพวกเจ้าที่มีความสามารถในเรื่องเหล่านี้?  เรารู้ว่าหากเราได้กล่าวถึงหมดทั้งห้าประการ ก็คงจะไม่ต้องสงสัยเลยว่าไม่มีคนใดเลยท่ามกลางพวกเจ้าที่สามารถ แต่เราได้ลดจำนวนมาเป็นสาม  จงคิดดูเถิดว่าพวกเจ้าได้สัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้แล้วหรือยัง  “การเชื่อที่แท้จริง” บรรลุถึงง่ายกระนั้นหรือ?  (ไม่ง่าย)  นั่นไม่ง่ายเลย เพราะผู้คนตั้งคำถามกับพระเจ้าอยู่บ่อยๆ  แล้ว “การปฏิบัติตามอย่างจงรักภักดี” เป็นอย่างไรกันเล่า?  “อย่างจงรักภักดี” นี้หมายถึงสิ่งใด?  (ไม่ใช่โดยครึ่งใจ แต่เป็นไปโดยหมดทั้งใจแทน)  ไม่ใช่โดยครึ่งใจ แต่โดยหมดทั้งใจ  พวกเจ้าพูดได้ตรงประเด็นทีเดียว!  ดังนั้น พวกเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ข้อพึงประสงค์นี้ได้หรือไม่?  พวกเจ้าต้องพยายามหนักขึ้นใช่หรือไม่?  ณ ชั่วขณะนี้ พวกเจ้ายังไม่ประสบความสำเร็จในข้อพึงประสงค์นี้  แล้ว “การนบนอบอย่างสมบูรณ์” เล่า—พวกเจ้าได้สัมฤทธิ์ผลหรือยัง?  (ยัง)  พวกเจ้ายังไม่ได้สัมฤทธิ์การนั้นด้วยเช่นกัน  พวกเจ้ามักจะไม่เชื่อฟังและเป็นกบฏ พวกเจ้าไม่รับฟัง ไม่ปรารถนาที่จะเชื่อฟัง หรือไม่ต้องการที่จะได้ยินอยู่บ่อยครั้ง  เหล่านี้คือข้อพึงประสงค์ที่เป็นรากฐานสำคัญมากที่สุดสามประการที่ผู้คนจะพบหลังจากบรรลุการเข้าถึงชีวิต แต่พวกเจ้ายังไม่บรรลุข้อพึงประสงค์เหล่านี้  ด้วยเหตุนี้ ณ ชั่วขณะนี้ พวกเจ้ามีศักยภาพที่ดีเยี่ยมหรือไม่?  วันนี้ เมื่อได้ยินเราพูดคำพูดเหล่านี้แล้ว พวกเจ้ารู้สึกกระวนกระวายหรือไม่?  (รู้สึก)  มันถูกต้องแล้วที่พวกเจ้าควรจะรู้สึกกระวนกระวาย  จงอย่าพยายามหลีกเลี่ยงการกระวนกระวาย  เรารู้สึกกระวนกระวายแทนพวกเจ้า  เราจะไม่พูดต่อไปถึงข้อพึงประสงค์อีกสองข้อนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไม่มีใครสักคนในที่นี้ที่สามารถสัมฤทธิ์ข้อพึงประสงค์เหล่านั้นได้  พวกเจ้ากระวนกระวาย  ดังนั้น พวกเจ้าได้กำหนดวัตถุประสงค์ของพวกเจ้าแล้วหรือยัง?  พวกเจ้าไล่ตามเสาะหาและอุทิศความพยายามของพวกเจ้าไปกับวัตถุประสงค์ใด และในทิศทางใด?  พวกเจ้ามีวัตถุประสงค์หรือไม่?  เราขอพูดตรงๆ ว่า  ทันทีที่พวกเจ้าสัมฤทธิ์ข้อพึงประสงค์ทั้งห้าข้อนี้ พวกเจ้าจะได้ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยแล้ว  ข้อพึงประสงค์แต่ละข้อเป็นตัวบ่งชี้ ตลอดจนเป็นวัตถุประสงค์สุดท้ายแห่งการเติบโตเต็มที่ของการเข้าสู่ชีวิตของบุคคลหนึ่ง  ถึงแม้ว่าเราหยิบยกเพียงแค่ข้อเดียวจากข้อพึงประสงค์เหล่านี้มาพูดถึงในรายละเอียด และพึงประสงค์ให้พวกเจ้าทำตามนั้น นั่นก็คงจะสัมฤทธิ์ผลได้ไม่ง่าย พวกเจ้าต้องสู้ทนความยากลำบากในระดับหนึ่ง และใช้ความพยายามในระดับหนึ่ง  พวกเจ้าควรมีวิธีการคิดแบบใด?  นั่นควรจะเป็นแบบเดียวกันกับผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังรอไปขึ้นเตียงผ่าตัด  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้?  หากเจ้าปรารถนาที่จะเชื่อในพระเจ้า และหากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับพระเจ้าและได้รับความพึงพอพระทัยของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่สามารถสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ได้เว้นแต่เจ้าจะสู้ทนความเจ็บปวดในระดับหนึ่งและใช้ความพยายามในระดับหนึ่ง  พวกเจ้าได้ฟังการเทศนามามากแล้ว แต่เพียงแค่การได้ฟังนั้นไม่ได้หมายความว่าคำเทศนานี้เป็นของเจ้า เจ้าต้องซึมซับคำเทศนานี้และแปลงรูปคำเทศนาให้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่เป็นของเจ้า  เจ้าต้องดูดซึมคำเทศนาเข้าไปในชีวิตของเจ้าและนำคำเทศนามาสู่การดำรงอยู่ของเจ้า โดยยอมให้วจนะและการเทศนาเหล่านี้ชี้นำหนทางที่เจ้าดำรงชีวิตและนำคุณค่าและความหมายแห่งการดำรงอยู่มาสู่ชีวิตของเจ้า  เมื่อการนั้นเกิดขึ้น นั่นจึงจะคุ้มค่าแก่การที่เจ้าได้ฟังวจนะเหล่านี้  หากวจนะที่เราพูดไม่นำการเปลี่ยนแปลงที่ดีใดๆ มาสู่ชีวิตของเจ้าหรือเพิ่มคุณค่าใดๆ ให้แก่การดำรงอยู่ของเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีประโยชน์อันใดในการที่เจ้ารับฟังวจนะเหล่านี้  พวกเจ้าเข้าใจการนี้ใช่หรือไม่?  เมื่อเข้าใจแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า  พวกเจ้าต้องเริ่มทำงาน!  พวกเจ้าต้องจริงจังจริงใจในทุกสรรพสิ่ง!  จงอย่าระหองระแหงกัน เวลากำลังผ่านพ้นไป!  ส่วนใหญ่ในหมู่พวกเจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามานานกว่าทศวรรษแล้ว  จงมองย้อนกลับไปในสิบปีที่ผ่านมานี้ว่า  พวกเจ้าได้รับมามากเพียงใดแล้ว?  และพวกเจ้ายังเหลือเวลาที่จะดำรงชีวิตอยู่ในชีวิตนี้อีกกี่ทศวรรษ?  เจ้ามีเวลาไม่มากแล้ว  จงลืมไปได้เลยว่าพระราชกิจของพระเจ้ารอเจ้าอยู่หรือไม่ พระองค์ได้ทรงทิ้งโอกาสไว้ให้เจ้าหรือไม่ หรือพระองค์จะทรงพระราชกิจเดิมอีกครั้งหรือไม่—จงอย่าพูดถึงสิ่งเหล่านี้  เจ้าสามารถย้อนช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านไปในชีวิตของเจ้ากลับมาได้หรือไม่?  กับทุกวันที่ผ่านพ้นไป และกับทุกย่างก้าวที่เจ้าเดินนั้น เจ้ามีเวลาน้อยลงหนึ่งวัน  เวลาไม่รอผู้ใด!  เจ้ามีแต่จะได้รับจากความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าเท่านั้นหากเจ้าเข้าหาความเชื่อนั้นในฐานะสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้า สำคัญยิ่งกว่าอาหาร เครื่องนุ่งห่ม หรือสิ่งอื่นใดด้วยซ้ำ  หากเจ้าเพียงแต่เชื่อเมื่อเจ้ามีเวลา และไม่สามารถอุทิศความสนใจทั้งหมดของเจ้าให้แก่ความเชื่อของเจ้า และหากเจ้าจมปลักอยู่ในความสับสนอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ได้รับสิ่งใดเลย

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10

ก่อนหน้า: การรู้จักพระเจ้า 4

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger