การรู้จักพระเจ้า 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 83

พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อสร้างทุกสรรพสิ่ง (บทตอนที่คัดมา)

ปฐมกาล 1:3-5  พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” ความสว่างก็เกิดขึ้น พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี และทรงแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเรียกความสว่างนั้นว่า วัน และความมืดนั้นว่า คืน มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันแรก

ปฐมกาล 1:6-7  พระเจ้าตรัสว่า “จงมีพื้นฟ้าในระหว่างน้ำ แยกน้ำออกจากกัน” พระเจ้าทรงสร้างพื้นฟ้านั้นขึ้น แล้วทรงแยกน้ำที่อยู่ใต้พื้นฟ้าออกจากน้ำที่อยู่เหนือพื้นฟ้า ก็เป็นดังนั้น

ปฐมกาล 1:9-11  พระเจ้าตรัสว่า “น้ำที่อยู่ใต้ฟ้าจงรวมอยู่ในที่เดียวกัน ที่แห้งจงปรากฏขึ้น” ก็เป็นดังนั้น พระเจ้าจึงทรงเรียกที่แห้งนั้นว่า แผ่นดิน และที่ซึ่งน้ำรวมกันนั้นว่า ทะเล พระเจ้าทรงเห็นว่าดี พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินจงเกิดพืช คือ ธัญพืชที่ให้เมล็ด และต้นไม้ผลที่ออกผลตามชนิดของมัน และมีเมล็ดในผลบนแผ่นดิน” และก็เป็นดังนั้น

ปฐมกาล 1:14-15  พระเจ้าตรัสว่า “จงมีดวงสว่างต่างๆ ของภาคพื้นฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้เป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี และให้เป็นดวงสว่างต่างๆ บนภาคพื้นฟ้า เพื่อส่องสว่างเหนือแผ่นดิน” ก็เป็นดังนั้น

ปฐมกาล 1:20-21  พระเจ้าตรัสว่า “น้ำจงอุดมด้วยฝูงสัตว์ที่มีชีวิต และให้นกบินไปมาในภาคพื้นฟ้าเหนือแผ่นดิน” พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ และสัตว์ที่มีชีวิตทุกชนิด ซึ่งแหวกว่ายอยู่ในน้ำเป็นฝูงๆ ตามชนิดของมัน และสัตว์ปีกทุกชนิดตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี

ปฐมกาล 1:24-25  พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินจงเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน คือสัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าตามชนิดของมัน” ก็เป็นดังนั้น พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ป่าตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลานทุกชนิดบนแผ่นดินตามชนิดของมัน แล้วพระเจ้าทรงเห็นว่าดี

ในวันแรก กลางวันและกลางคืนของมวลมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นและยืนหยัดมั่นคงด้วยสิทธิอำนาจของพระเจ้า

พวกเรามาดูบทตอนแรกกันเถิด ความว่า “พระเจ้าตรัสว่า ‘จงเกิดความสว่าง’  ความสว่างก็เกิดขึ้น พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี และทรงแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเรียกความสว่างนั้นว่า วัน และความมืดนั้นว่า คืน มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันแรก” (ปฐมกาล 1:3-5)  บทตอนนี้พรรณนาถึงปฏิบัติการแรกของพระเจ้าในปฐมกาลแห่งการทรงสร้าง และวันแรกของพระเจ้าซึ่งมีเวลาเย็นและเวลาเช้า  แต่ก็เป็นวันที่เหนือธรรมดา เพราะพระเจ้าทรงเริ่มตระเตรียมความสว่างให้แก่สรรพสิ่ง และยิ่งไปกว่านั้น ทรงแยกความสว่างออกจากความมืด  ในวันนี้พระเจ้าเริ่มตรัส และพระวจนะและสิทธิอำนาจของพระองค์ก็ดำรงอยู่เคียงข้างกัน  สิทธิอำนาจของพระองค์เริ่มแสดงตนท่ามกลางสรรพสิ่ง และฤทธานุภาพของพระองค์ก็แผ่ไปท่ามกลางสรรพสิ่งโดยเป็นผลมาจากพระวจนะของพระองค์  จากวันนี้เป็นต้นมา สรรพสิ่งได้ก่อรูปขึ้นและยืนหยัดมั่นคงเพราะพระวจนะของพระเจ้า สิทธิอำนาจของพระเจ้า และฤทธานุภาพของพระเจ้า และทุกสิ่งก็เริ่มทำหน้าที่เพราะพระวจนะของพระเจ้า สิทธิอำนาจของพระเจ้า และฤทธานุภาพของพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” ความสว่างก็เกิดมีขึ้น  พระเจ้ามิได้ทรงเริ่มโครงการอันใดที่เป็นพระราชกิจ แต่ความสว่างปรากฏขึ้นโดยเป็นผลมาจากพระวจนะของพระองค์  นี่คือความสว่างที่พระเจ้าตรัสเรียกว่ากลางวัน และเป็นสิ่งที่มนุษย์ยังคงพึ่งพาอาศัยเพื่อการดำรงอยู่ของเขาในทุกวันนี้  ด้วยพระบัญชาของพระเจ้า แก่นแท้และคุณค่าของความสว่างจึงไม่เคยเปลี่ยนแปลง และความสว่างก็ไม่เคยอันตรธานไป  การดำรงอยู่ของความสว่างแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้า และกล่าวประกาศถึงการดำรงอยู่ของพระผู้สร้าง  ความสว่างยืนยันพระอัตลักษณ์และสถานะของพระผู้สร้างครั้งแล้วครั้งเล่า  ความสว่างไม่ใช่สิ่งที่มิอาจจับต้องได้หรือลวงตา หากแต่เป็นความสว่างจริงที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้  จากเวลานั้นเป็นต้นมา ในโลกอันว่างเปล่าที่ “แผ่นดินก็ร้างและว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ” นี้ก็เกิดมีสิ่งที่เป็นวัตถุชิ้นแรก  สิ่งนี้มาจากพระวจนะแห่งพระโอษฐ์ของพระเจ้า และปรากฏขึ้นในปฏิบัติการแรกแห่งการทรงสร้างสรรพสิ่งด้วยสิทธิอำนาจและถ้อยดำรัสของพระเจ้า  ไม่นานหลังจากนั้น พระเจ้าก็ทรงสั่งให้ความสว่างและความมืดแยกออกจากกัน… ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเปลี่ยนไปและเสร็จสมบูรณ์ด้วยพระวจนะของพระเจ้า… พระเจ้าทรงเรียกความสว่างนี้ว่า “กลางวัน” และพระองค์ทรงเรียกความมืดว่า “กลางคืน”  ณ เวลานั้นเวลาเย็นแรกและเวลาเช้าแรกได้ก่อกำเนิดขึ้นในโลกที่พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะสร้าง และพระเจ้าตรัสว่านี่คือวันแรก  วันนี้คือวันแรกแห่งการสร้างสรรพสิ่งของพระผู้สร้าง และเป็นปฐมกาลแห่งการทรงสร้างสรรพสิ่ง และเป็นครั้งแรกที่มีการแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้างในโลกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นนี้

โดยผ่านทางถ้อยคำเหล่านี้ มนุษย์จึงสามารถมองเห็นสิทธิอำนาจของพระเจ้าและสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งฤทธานุภาพของพระเจ้า  เพราะมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงครองฤทธานุภาพเช่นนี้ ดังนั้นจึงมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมีสิทธิอำนาจเช่นนี้ เนื่องจากพระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจเช่นนี้ จึงมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมีฤทธานุภาพเช่นนี้  เป็นไปได้หรือที่จะมีมนุษย์คนใดหรือวัตถุใดมีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพเช่นนี้?  มีคำตอบในหัวใจของพวกเจ้าหรือไม่?  นอกจากพระเจ้าแล้ว มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือสิ่งมีชีวิตที่มิได้ทรงสร้างใดที่มีสิทธิอำนาจเช่นนี้หรือไม่?  พวกเจ้าเคยเห็นตัวอย่างของสิ่งดังกล่าวในหนังสือหรือสิ่งตีพิมพ์ใดหรือไม่?  มีบันทึกใดที่บอกว่า ใครบางคนได้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งบ้างหรือไม่?  เรื่องเช่นนี้ไม่ได้ปรากฏในหนังสือหรือบันทึกอื่นใดเลย แน่นอนว่าถ้อยคำเหล่านี้จึงเป็นเพียงแหล่งเดียวที่ทรงพลังและเชื่อถือได้เกี่ยวกับการทรงสร้างอันสง่างามของพระเจ้า ซึ่งได้รับการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ถ้อยคำเหล่านี้กล่าวถึงสิทธิอำนาจและพระอัตลักษณ์อันทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้า  สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพเช่นนี้คือสัญลักษณ์แห่งพระอัตลักษณ์อันทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้า?  สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าพระเจ้า—และพระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น—ทรงครองสิ่งเหล่านี้?  ไม่ต้องกังขาเลยว่ามีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพเช่นนี้!  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือสิ่งชีวิตที่มิได้ทรงสร้างใดๆ ไม่สามารถครองหรือแทนที่สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพนี้ได้!  นี่ใช่หนึ่งในลักษณะเฉพาะของพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์พระองค์เองหรือไม่?  พวกเจ้าเคยเป็นประจักษ์พยานถึงสิ่งนี้หรือไม่?  ถ้อยคำเหล่านี้เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าใจข้อเท็จจริงได้อย่างรวดเร็วและชัดเจนว่า พระเจ้าทรงครองสิทธิอำนาจที่มีเอกลักษณ์ และฤทธานุภาพที่มีเอกลักษณ์ ทรงถือครองอัตลักษณ์และสถานะสูงสุด  จากการสามัคคีธรรมข้างต้นนี้ พวกเจ้าสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า พระเจ้าที่พวกเจ้าเชื่อคือพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์พระองค์เอง?

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 84

พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อสร้างทุกสรรพสิ่ง (บทตอนที่คัดมา)

ในวันที่สอง สิทธิอำนาจของพระเจ้าจัดการเตรียมน้ำและสร้างพื้นฟ้า แล้วพื้นที่สำหรับการอยู่รอดขั้นพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ก็ปรากฏขึ้น

“พระเจ้าตรัสว่า ‘จงมีภาคพื้นในระหว่างน้ำ แยกน้ำออกจากกัน’ พระเจ้าทรงสร้างภาคพื้นนั้นขึ้น แล้วทรงแยกน้ำที่อยู่ใต้ภาคพื้นออกจากน้ำที่อยู่เหนือภาคพื้น ก็เป็นดังนั้น” (ปฐมกาล 1:6-7) มีความเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นหลังจากที่พระเจ้าตรัสว่า “จงมีภาคพื้นในระหว่างน้ำ แยกน้ำออกจากกัน”?  ในองค์พระคัมภีร์กล่าวว่า “พระเจ้าทรงสร้างภาคพื้นนั้นขึ้น แล้วทรงแยกน้ำที่อยู่ใต้ภาคพื้นออกจากน้ำที่อยู่เหนือภาคพื้น”  อะไรคือผลลัพธ์หลังจากที่พระเจ้าตรัสและทำการนี้?  คำตอบอยู่ในท่อนสุดท้ายของบทตอนนี้ ความว่า “ก็เป็นดังนั้น”

สองประโยคสั้นๆ นี้บันทึกเหตุการณ์อันสง่างาม และพรรณนาฉากอันน่าอัศจรรย์ นั่นคือ กิจอันยิ่งใหญ่ของการที่พระเจ้าทรงกำกับดูแลห้วงน้ำและสร้างพื้นที่ที่มนุษย์สามารถดำรงอยู่ได้…

ในภาพนี้ ห้วงน้ำและพื้นฟ้าปรากฏแก่สายพระเนตรของพระเจ้าทันที และถูกสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้าแยกออกจากกัน และแยกออกเป็น “เบื้องบน” และ “เบื้องล่าง” ในลักษณะที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้  นี่หมายความว่าพื้นฟ้าที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นไม่เพียงครอบคลุมห้วงน้ำเบื้องล่างเท่านั้น แต่ยังพยุงห้วงน้ำเบื้องบนเช่นกัน… ในการนี้ มนุษย์อดไม่ได้ที่จะจ้องมอง ตะลึง และอ้าปากค้างด้วยความเลื่อมใสในอิทธิฤทธิ์แห่งสิทธิอำนาจของพระองค์และความตระการตาของฉากที่พระผู้สร้างทรงลงมือบัญชาห้วงน้ำและสร้างพื้นฟ้า  พระเจ้าทรงสัมฤทธิ์ผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่อีกประการผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า และฤทธานุภาพของพระเจ้า และสิทธิอำนาจของพระเจ้า  นี่มิใช่อิทธิฤทธิ์แห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างหรอกหรือ?  พวกเราจงใช้องค์พระคัมภีร์มาอธิบายกิจการทั้งหลายของพระเจ้ากันเถิด กล่าวคือ พระเจ้าตรัสพระวจนะของพระองค์ และเพราะพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าจึงมีพื้นฟ้าขึ้นในระหว่างห้วงน้ำ  ในขณะเดียวกันก็มีความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ไพศาลประการหนึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่ว่างนี้สืบเนื่องจากพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า และไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงในความหมายธรรมดาทั่วไป แต่เป็นการแทนที่ชนิดหนึ่งที่ทำให้ความว่างเปล่ากลับกลายเป็นบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา  การนี้เกิดจากพระดำริของพระผู้สร้าง และกลายเป็นบางสิ่งขึ้นมาจากความว่างเปล่าก็เพราะพระวจนะที่พระผู้สร้างตรัส และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ จากจุดนี้เป็นต้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นจะดำรงคงอยู่และยืนหยัดมั่นคงเพื่อพระผู้สร้าง และจะยักย้าย เปลี่ยนแปลง และเริ่มใหม่ตามพระดำริของพระผู้สร้าง  บทตอนนี้พรรณนาถึงปฏิบัติการครั้งที่สองของพระผู้สร้างในการสร้างโลกทั้งใบของพระองค์  เป็นการแสดงออกซึ่งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้างอีกครั้ง เป็นการลงมือบุกเบิกอีกอย่างหนึ่งของพระผู้สร้าง  วันนี้คือวันที่ผ่านพ้นไปเป็นวันที่สองของพระผู้สร้างนับแต่การวางรากฐานให้โลก และเป็นวันอันน่าอัศจรรย์อีกวันหนึ่งสำหรับพระองค์ กล่าวคือ พระองค์ทรงดำเนินไปท่ามกลางความสว่าง พระองค์ทรงนำพื้นฟ้ามา พระองค์ทรงจัดการเตรียมการและกำกับดูแลห้วงน้ำทั้งหลาย และกิจการทั้งหลายของพระองค์ สิทธิอำนาจของพระองค์ และฤทธานุภาพของพระองค์ก็ถูกใช้งานในวันใหม่นี้…

เคยมีพื้นฟ้าในระหว่างน้ำก่อนที่พระเจ้าจะมีพระวจนะของพระองค์หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่มี!  และหลังจากที่พระเจ้าตรัสว่า “จงมีภาคพื้นในระหว่างน้ำ” เล่า?  สิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าตั้งพระทัยให้มีก็ปรากฏขึ้น มีพื้นฟ้าระหว่างห้วงน้ำ และน้ำถูกแยกออกเพราะพระเจ้าตรัสว่า “แยกน้ำออกจากกัน” ในหนทางนี้ วัตถุใหม่สองสิ่ง สิ่งที่เพิ่งเกิดใหม่สองสิ่งได้ปรากฏขึ้นท่ามกลางสรรพสิ่งตามพระวจนะของพระเจ้า โดยเป็นผลมาจากสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้า  พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการปรากฏของสิ่งใหม่สองสิ่งนี้?  พวกเจ้ารู้สึกถึงความยิ่งใหญ่แห่งฤทธานุภาพของพระผู้สร้างหรือไม่?  พวกเจ้ารู้สึกถึงพลังอันมีเอกลักษณ์และเหนือธรรมดาของพระผู้สร้างหรือไม่?  ความยิ่งใหญ่ของพลังและฤทธานุภาพเช่นนี้เกิดจากสิทธิอำนาจของพระเจ้า และสิทธิอำนาจนี้คือตัวแทนของพระเจ้าพระองค์เอง และเป็นลักษณะเฉพาะอันทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้าพระองค์เอง

บทตอนนี้ได้ให้สำนึกอันลุ่มลึกถึงเอกลักษณ์ของพระเจ้าแก่พวกเจ้าอีกครั้งหนึ่งหรือไม่?  แท้จริงแล้ว นี่ยังไม่เพียงพอ สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้างแผ่ขยายออกไปไกลกว่านี้  เอกลักษณ์ของพระองค์มิได้เป็นเพราะพระองค์ทรงครองแก่นแท้ที่ไม่เหมือนแก่นแท้ของสิ่งทรงสร้างใดเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์นั้นเหนือธรรมดา ไร้ขีดจำกัด เป็นที่สุดของทุกสิ่ง และยืนหยัดเหนือทุกสิ่ง และยิ่งไปกว่านั้น เป็นเพราะสิทธิอำนาจของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนั้นสามารถสร้างชีวิต ก่อเกิดปาฏิหาริย์ และสร้างเวลาแต่ละนาทีและวินาทีอันน่าตื่นตาตื่นใจและเหนือธรรมดาอีกด้วย  ในขณะเดียวกัน พระองค์ก็สามารถกำกับดูแลชีวิตที่พระองค์ทรงสร้าง และถือครองอธิปไตยเหนือปาฏิหาริย์และเวลาแต่ละนาทีและวินาทีที่พระองค์ทรงสร้าง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 85

พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อสร้างทุกสรรพสิ่ง (บทตอนที่คัดมา)

ในวันที่สาม พระวจนะของพระเจ้าให้กำเนิดแผ่นดินโลกและทะเล และสิทธิอำนาจของพระเจ้าทำให้โลกเปี่ยมล้นไปด้วยชีวิต

พวกเรามาอ่านประโยคแรกของปฐมกาล 1:9-11 กันเถิด ความว่า “พระเจ้าตรัสว่า ‘น้ำที่อยู่ใต้ฟ้าจงรวมอยู่ในที่เดียวกัน ที่แห้งจงปรากฏขึ้น’”  มีความเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นหลังจากที่พระเจ้าตรัสเพียงว่า “น้ำที่อยู่ใต้ฟ้าจงรวมอยู่ในที่เดียวกัน ที่แห้งจงปรากฏขึ้น”?  และมีสิ่งใดอยู่ในพื้นที่นี้นอกเหนือจากความสว่างและพื้นฟ้า?  ในองค์พระคัมภีร์มีใจความว่า “พระเจ้าจึงทรงเรียกที่แห้งนั้นว่า แผ่นดิน และที่ซึ่งน้ำรวมกันนั้นว่า ทะเล พระเจ้าทรงเห็นว่าดี”  นี่หมายความว่าบัดนี้มีแผ่นดินและทะเลในพื้นที่ว่างนี้ และแผ่นดินกับทะเลก็ถูกแยกออกจากกัน  การปรากฏของสิ่งใหม่เหล่านี้มีขึ้นหลังจากที่พระโอษฐ์ของพระเจ้าบัญชาว่า “และก็เป็นดังนั้น”  องค์พระคัมภีร์พรรณนาหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเร่งรีบไปมาขณะที่พระองค์กำลังทรงทำการนี้?  องค์พระคัมภีร์ พรรณนาหรือไม่ว่าพระองค์ทรงใช้แรงกาย?  ดังนั้นพระเจ้าทรงทำการนี้อย่างไร?  พระองค์ทรงทำให้สิ่งใหม่ๆ เหล่านี้ก่อเกิดขึ้นมาอย่างไร?  เห็นได้ชัดแจ้งในตัวอยู่แล้วว่าพระเจ้าใช้พระวจนะเพื่อสัมฤทธิ์การทั้งปวงนี้ เพื่อสร้างทั้งหมดทั้งมวลนี้

…………

พวกเรามาต่อกันที่ประโยคสุดท้ายของบทตอนนี้กันเถิด ความว่า “พระเจ้าตรัสว่า ‘แผ่นดินจงเกิดพืช คือ ธัญพืชที่ให้เมล็ด และต้นไม้ผลที่ออกผลตามชนิดของมัน และมีเมล็ดในผลบนแผ่นดิน’ และก็เป็นดังนั้น”  ในขณะที่พระเจ้ากำลังตรัส สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดก็เริ่มมีขึ้นตามพระดำริของพระเจ้า และทันใดนั้นรูปแบบชีวิตเล็กๆ ที่ละเอียดอ่อนสารพัดจำพวกก็โผล่หัวที่โงนเงนของพวกมันผ่านดินขึ้นมา และโบกมือทักทายกันอย่างกระตือรือร้น พยักหน้าและยิ้มให้กับโลก ก่อนที่จะทันได้สะบัดเศษดินออกจากตัวของพวกมันเสียอีก  พืชเหล่านี้ขอบคุณพระผู้สร้างสำหรับชีวิตที่พระองค์ประทานแก่พวกมัน และประกาศต่อโลกว่าพวกมันคือส่วนหนึ่งของสรรพสิ่ง และว่าพวกมันต่างก็จะอุทิศชีวิตของตนเพื่อแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง  ขณะที่พระเจ้าตรัสพระวจนะทั้งหลาย แผ่นดินก็กลายเป็นเขียวชอุ่ม ธัญพืชทุกชนิดที่มนุษย์สามารถชื่นชมได้ผุดและแทรกผ่านพื้นดินขึ้นมา และภูเขาและทุ่งราบทั้งหลายก็แออัดไปด้วยต้นไม้และผืนป่า… โลกเวิ้งว้างที่ยังไม่เคยมีร่องรอยชีวิตแห่งนี้จึงถูกหญ้า ธัญพืช และต้นไม้อันดกดื่นปกคลุมอย่างรวดเร็ว และดาษดื่นไปด้วยพฤกษชาติ… กลิ่นหอมของหญ้าและไอดินกำจายไปในอากาศ และพืชพรรณมากมายเริ่มหายใจตามจังหวะการไหลเวียนของอากาศ และเริ่มกระบวนการเจริญเติบโต  ในขณะเดียวกัน เนื่องจากพระวจนะของพระเจ้าและภายหลังพระดำริของพระเจ้า พฤกษาทั้งมวลจึงเริ่มต้นวัฏจักรชีวิตที่พวกมันพากันงอกงาม ผลิดอก ออกผล และเพิ่มจำนวนอย่างยั่งยืน  พวกมันเริ่มดำรงชีวิตตามครรลองแห่งชนิดของตนอย่างเคร่งครัดและเริ่มมีบทบาทตามชนิดของตนท่ามกลางสรรพสิ่ง… พฤกษาทั้งหมดล้วนถือกำเนิดและดำรงชีวิตอยู่ก็เพราะพระวจนะของพระผู้สร้าง  พวกมันจะได้รับการจัดเตรียมและการบำรุงเลี้ยงจากพระผู้สร้างอย่างไม่หยุดหย่อน และจะยืนหยัดอยู่รอดในทุกมุมของแผ่นดินเสมอเพื่อแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้าง และจะแสดงให้เห็นอยู่เสมอถึงพลังชีวิตที่พระผู้สร้างประทานแก่พวกมัน…

พระชนม์ชีพของพระผู้สร้างนั้นเหนือธรรมดา พระดำริของพระองค์เหนือธรรมดา และสิทธิอำนาจของพระองค์ก็เหนือธรรมดา และดังนั้นเมื่อพระวจนะของพระองค์เปล่งออกไป ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือ “และก็เป็นดังนั้น”  เห็นได้ชัดว่าในยามที่พระเจ้าทรงลงมือ พระองค์ไม่จำเป็นต้องใช้พระหัตถ์ของพระองค์ในการทรงพระราชกิจ พระองค์ใช้เพียงพระดำริของพระองค์เพื่อบัญชาและพระวจนะของพระองค์เพื่อสั่งการ และในหนทางนี้สิ่งทั้งหลายก็สัมฤทธิ์  ในวันนี้พระเจ้าได้ทรงรวมห้วงน้ำทั้งหลายไว้ในที่แห่งหนึ่ง และให้แผ่นดินแห้งปรากฏขึ้น หลังจากนั้นพระเจ้าก็ทรงทำให้ต้นหญ้างอกขึ้นมาจากผืนดิน และมีธัญพืชซึ่งให้เมล็ดและต้นไม้ที่ออกผลก็เจริญเติบโต และพระเจ้าทรงจำแนกพืชแต่ละต้นไปตามชนิด และทรงทำให้แต่ละชนิดมีเมล็ดของตนเอง  ทั้งหมดนี้กลายเป็นจริงตามพระดำริของพระเจ้าและคำบัญชาแห่งพระวจนะของพระเจ้า และพืชแต่ละชนิดก็ปรากฏขึ้นในโลกใหม่นี้อย่างไม่ขาดสาย

เมื่อครั้งที่พระเจ้ายังมิได้เริ่มพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงมีภาพของสิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะสัมฤทธิ์อยู่ในพระทัยของพระองค์ และเมื่อพระเจ้าทรงเตรียมที่จะสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ ซึ่งก็เป็นเวลาที่พระเจ้าแย้มพระโอษฐ์ของพระองค์เพื่อตรัสเนื้อหาของภาพนี้ด้วยนั้น ความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายก็เริ่มเกิดขึ้นกับสรรพสิ่งเนื่องจากสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้า  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงทำการนี้อย่างไร หรือพระองค์ทรงใช้สิทธิอำนาจของพระองค์อย่างไร ทั้งหมดนี้ล้วนสัมฤทธิ์ไปทีละขั้นตามแผนการของพระเจ้าและเพราะพระวจนะของพระเจ้า และความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นในระหว่างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกเนื่องจากพระวจนะและสิทธิอำนาจของพระเจ้าไปทีละขั้นทีละตอน  ความเปลี่ยนแปลงและอุบัติการณ์ทั้งปวงนี้แสดงให้เห็นสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง และความเหนือธรรมดาและความยิ่งใหญ่แห่งฤทธานุภาพของพระชนม์ชีพของพระผู้สร้าง  พระดำริของพระองค์หาใช่แนวคิดที่เรียบง่ายหรือภาพที่ว่างเปล่าไม่ แต่เป็นสิทธิอำนาจที่ทรงพลังชีวิตและมีพลังงานที่เหนือธรรมดา และเป็นฤทธานุภาพที่ทำให้สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลง ฟื้นตัว เริ่มต้นใหม่ และพินาศไป  ด้วยเหตุนี้ สรรพสิ่งจึงทำหน้าที่เนื่องแต่พระดำริของพระองค์ และในขณะเดียวกันก็สัมฤทธิ์เนื่องแต่พระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระองค์…

ก่อนที่ทุกสิ่งจะปรากฏ มีแผนการอันสมบูรณ์ก่อร่างขึ้นในพระดำริของพระเจ้าอยู่นานแล้ว และโลกใหม่จึงสัมฤทธิ์มานานแล้ว  ถึงแม้ว่าในวันที่สามจะมีพฤกษาทุกจำพวกปรากฏขึ้นบนแผ่นดิน แต่พระเจ้าก็ไม่ทรงมีเหตุให้หยุดยั้งขั้นตอนทั้งหลายแห่งการสร้างโลกนี้ของพระองค์ พระองค์ตั้งพระทัยที่จะตรัสพระวจนะของพระองค์ต่อไป สัมฤทธิ์การสร้างทุกสิ่งที่ใหม่ต่อไป  พระองค์จะตรัส จะมีพระบัญชาของพระองค์ และจะทรงใช้สิทธิอำนาจของพระองค์และแสดงฤทธานุภาพของพระองค์ และพระองค์ทรงตระเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงวางแผนการว่าจะตระเตรียมให้แก่สรรพสิ่งและมวลมนุษย์ ซึ่งพระองค์ตั้งพระทัยที่จะสร้าง…

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 86

พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อสร้างทุกสรรพสิ่ง (บทตอนที่คัดมา)

ในวันที่สี่ ฤดูกาล วัน และปีของมวลมนุษย์เริ่มมีขึ้นเมื่อพระเจ้าทรงใช้สิทธิอำนาจของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง

พระผู้สร้างใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จลุล่วง และในหนทางนี้ พระองค์ก็ทรงผ่านพ้นสามวันแรกแห่งแผนการของพระองค์  ในระหว่างสามวันนี้ พระเจ้ามิได้ทรงดูวุ่นกับพระราชกิจหรือทำให้พระองค์เองเหนื่อยล้า ในทางตรงกันข้าม พระองค์กลับทรงผ่านพ้นสามวันแรกอันน่าอัศจรรย์แห่งแผนการของพระองค์ และสัมฤทธิ์พระราชกิจอันยิ่งใหญ่แห่งการแปลงสภาพโลกครั้งใหญ่  โลกที่ใหม่เอี่ยมจึงปรากฏแก่สายพระเนตรของพระองค์ และในที่สุดภาพอันงดงามที่เคยปิดผนึกไว้ภายในพระดำริของพระองค์ก็ได้รับการเปิดเผยในพระวจนะของพระเจ้าทีละภาพ  การปรากฏของสิ่งใหม่แต่ละสิ่งนั้นเป็นเสมือนการถือกำเนิดของทารกแรกเกิด และพระผู้สร้างทรงมีความยินดีในภาพที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในพระดำริของพระองค์ แต่บัดนี้กลับกลายเป็นมีชีวิตขึ้นมา  ณ เวลานี้พระหทัยของพระองค์มีเศษเสี้ยวแห่งความพึงพอใจอยู่ แต่แผนการของพระองค์เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น  ในชั่วพริบตา วันใหม่ก็มาถึง—และหน้าถัดไปในแผนการของพระผู้สร้างนั้นเป็นเช่นไร?  พระองค์ตรัสว่ากระไร?  พระองค์ทรงใช้สิทธิอำนาจของพระองค์อย่างไร?  ในขณะเดียวกันมีสิ่งใหม่อันใดมายังโลกใหม่นี้บ้าง?  เมื่อติดตามการทรงนำของพระผู้สร้าง สายตาของพวกเราก็จับจ้องไปที่วันที่สี่แห่งการสร้างสรรพสิ่งของพระผู้สร้าง เป็นอีกวันหนึ่งแห่งการเริ่มต้นใหม่  แน่นอนว่าสำหรับพระผู้สร้าง นั่นย่อมเป็นวันอันน่าอัศจรรย์อีกวันหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็นอีกวันหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างที่สุดสำหรับมวลมนุษย์ในปัจจุบันนี้  แน่นอนว่านั่นคือวันที่ทรงคุณค่าอันมิอาจประมาณได้  วันนั้นน่าอัศจรรย์อย่างไร สำคัญถึงเพียงนั้นอย่างไร และมีค่าอันมิอาจประมาณได้อย่างไร?  พวกเรามาฟังพระวจนะที่พระผู้สร้างตรัสไว้กันก่อนเถิด…

“พระเจ้าตรัสว่า ‘จงมีดวงสว่างต่างๆ ของภาคพื้นฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้เป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี และให้เป็นดวงสว่างต่างๆ บนภาคพื้นฟ้า เพื่อส่องสว่างเหนือแผ่นดิน’” (ปฐมกาล 1:14-15)  นี่คือการใช้สิทธิอำนาจของพระเจ้าอีกครั้งซึ่งแสดงออกโดยสิ่งทรงสร้างทั้งหลายหลังจากที่พระองค์ทรงสร้างแผ่นดินแห้ง และพฤกษาทั้งหลายก็ขึ้นบนแผ่นดิน  สำหรับพระเจ้าแล้ว ปฏิบัติการเช่นนี้เป็นเรื่องง่ายพอๆ กับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำไปเรียบร้อยแล้ว เพราะพระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพเช่นนั้น พระเจ้าทรงทำตามพระวจนะของพระองค์ และพระวจนะของพระองค์ย่อมจะสำเร็จลุล่วง  พระเจ้าทรงบัญชาให้ดวงสว่างปรากฏขึ้นในฟ้าสวรรค์ และดวงสว่างเหล่านี้ก็ไม่ได้ส่องสว่างแต่ในท้องฟ้าและทั่วแผ่นดินโลกเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องบ่งชี้กลางวันและกลางคืน กำหนดฤดู วัน และปีอีกด้วย  ในหนทางนี้เอง ทุกกิจการที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์จึงได้ลุล่วงไปตามความหมายของพระเจ้าและในลักษณะที่พระเจ้าทรงกำหนดขณะที่พระองค์ตรัสพระวจนะของพระองค์

ดวงสว่างบนฟ้าสวรรค์คือวัตถุในท้องฟ้าที่สามารถแผ่รัศมีเป็นความสว่างได้ สามารถให้ความกระจ่างแก่ท้องฟ้าและแผ่นดินและทะเล  ดวงสว่างเหล่านี้โคจรไปตามจังหวะและความถี่ที่พระเจ้าทรงบัญชา และให้ความสว่างแก่ช่วงเวลาที่แตกต่างกันบนแผ่นดิน และในหนทางนี้เอง วัฏจักรที่หมุนไปของดวงสว่างทั้งหลายจึงเป็นเหตุให้เกิดกลางวันและกลางคืนขึ้นในทิศตะวันออกและทิศตะวันตกของแผ่นดิน และดวงสว่างเหล่านี้มิได้เป็นเพียงเครื่องบ่งชี้กลางวันและกลางคืนเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องหมายของงานเลี้ยงฉลองและวันพิเศษต่างๆ ของมวลมนุษย์ตามวัฏจักรที่แตกต่างกันไปนี้อีกด้วย  ดวงสว่างเป็นเครื่องประกอบและเครื่องเสริมอันสมบูรณ์แบบของฤดูกาลทั้งสี่—อันได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว—ที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มีขึ้น โดยทำหน้าที่เป็นเครื่องหมายบ่งชี้ระยะเวลา วัน และปีทางจันทรคติให้แก่มวลมนุษย์อย่างถูกต้องแม่นยำ สม่ำเสมอ และกลมกลืนไปกับดวงสว่างทั้งหลาย  แม้จะเป็นหลังจากที่เกิดการทำไร่ไถนาขึ้นแล้วเท่านั้นที่มวลมนุษย์เริ่มเข้าใจและเผชิญกับการแบ่งระยะเวลา วัน และปีทางจันทรคติที่เกิดจากดวงสว่างทั้งหลายที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ระยะเวลา วัน และปีทางจันทรคติที่มนุษย์เข้าใจในปัจจุบันนี้ได้เริ่มก่อเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วในวันที่สี่แห่งการทรงสร้างสรรพสิ่งของพระเจ้า และดังนั้นวัฏจักรที่สลับสับเปลี่ยนกันไปของฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาวที่มนุษย์มีประสบการณ์ จึงเริ่มมีมานานแล้วในวันที่สี่แห่งการทรงสร้างสรรพสิ่งของพระเจ้าเช่นเดียวกัน  ดวงสว่างทั้งหลายที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นนั้นทำให้มนุษย์สามารถแยกความแตกต่างระหว่างกลางคืนและกลางวัน และนับวันเวลาได้อย่างสม่ำเสมอ แม่นยำ และชัดเจน และติดตามรับรู้ระยะเวลาและปีทางจันทรคติได้อย่างชัดแจ้ง  (วันที่ดวงจันทร์เต็มดวงคือวันที่ครบหนึ่งเดือนบริบูรณ์ และจากการนี้มนุษย์จึงรู้ว่าความกระจ่างของดวงสว่างเริ่มต้นวัฏจักรใหม่ วันที่มีดวงจันทร์ครึ่งดวงคือวันครบกึ่งเดือน ซึ่งบอกมนุษย์ว่าระยะเวลาทางจันทรคติกำลังเริ่มต้นรอบใหม่ ทำให้สามารถอนุมานจากการนี้ได้ว่า ในระยะเวลารอบหนึ่งทางจันทรคติมีกี่วันและกี่คืน มีระยะเวลาทางจันทรคติกี่รอบในหนึ่งฤดู และมีกี่ฤดูในหนึ่งปี และทั้งหมดนี้ได้รับการเผยอย่างสม่ำเสมอยิ่ง)  ดังนั้นมนุษย์จึงสามารถติดตามรับรู้ระยะเวลา วัน และปีทางจันทรคติที่มีการโคจรของดวงสว่างเป็นเครื่องกำหนดได้อย่างง่ายดาย  จากจุดนี้เป็นต้นมา มวลมนุษย์และสรรพสิ่งจึงได้ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางการสลับสับเปลี่ยนอย่างเป็นระเบียบของกลางวันและกลางคืน และการหมุนเวียนของฤดูกาลที่เกิดจากการโคจรของดวงสว่างทั้งหลายโดยไม่รู้ตัว  นี่คือความสำคัญของการที่พระผู้สร้างทรงสร้างดวงสว่างในวันที่สี่  ในทำนองเดียวกันนั้น จุดมุ่งหมายและความสำคัญของกิจนี้ของพระผู้สร้างยังคงมิอาจแยกออกจากสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์ได้  และดังนั้นดวงสว่างที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นและคุณค่าที่พวกมันจะนำมาสู่มนุษย์ในอีกไม่ช้า ย่อมเป็นการลงมือขั้นเอกอุอีกครั้งหนึ่งในการใช้สิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง

ในโลกใหม่ที่มวลมนุษย์ยังไม่ปรากฏตัวนี้ พระผู้สร้างได้ทรงตระเตรียมเวลาเย็นและเวลาเช้า พื้นฟ้า แผ่นดินและทะเล หญ้า ธัญพืชและต้นไม้นานาชนิด และความสว่าง ฤดูกาล วัน และปีสำหรับชีวิตใหม่ที่พระองค์จะทรงสร้างในอีกไม่ช้า  สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้างแสดงออกมาในสิ่งใหม่ๆ แต่ละสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น และพระวจนะและความสำเร็จทั้งหลายของพระองค์ก็เกิดขึ้นพร้อมเพรียงกัน โดยไม่มีความคลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย และไม่มีการเว้นช่วงแม้แต่นิดเดียว  การปรากฏและการถือกำเนิดของสิ่งใหม่ทั้งหมดนี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้าง กล่าวคือ พระองค์ทรงทำตามพระวจนะของพระองค์ และพระวจนะของพระองค์ย่อมจะสำเร็จลุล่วง และสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้สำเร็จลุล่วงนั้นยืนยาวตลอดกาล  ข้อเท็จจริงนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ในอดีตเคยเป็นเช่นไร ในวันนี้ก็เป็นเช่นนั้น และจะเป็นเช่นนั้นไปจนชั่วกัลปาวสาน  เมื่อเจ้ามองดูถ้อยคำเหล่านี้จากองค์พระคัมภีร์อีกครั้ง พวกเจ้ารู้สึกถึงความสดใหม่หรือไม่?  พวกเจ้ามองเห็นเนื้อหาใหม่และมีการค้นพบใหม่ๆ บ้างหรือไม่?  นั่นเป็นเพราะกิจการทั้งหลายของพระผู้สร้างปลุกเร้าหัวใจของพวกเจ้า และชี้แนะแนวทางให้แก่ความรู้ของพวกเจ้าเกี่ยวกับสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์ และย่อมเปิดประตูให้แก่ความเข้าใจพระผู้สร้างของพวกเจ้าแล้ว อีกทั้งกิจการและสิทธิอำนาจของพระองค์ก็ได้มอบชีวิตให้แก่ถ้อยคำเหล่านี้  ดังนั้นในถ้อยคำเหล่านี้ มนุษย์จึงมองเห็นการแสดงออกที่เป็นจริงและแจ่มแจ้งแห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง ได้เป็นประจักษ์พยานให้แก่ความยิ่งใหญ่สูงสุดของพระผู้สร้างอย่างแท้จริง และได้เห็นความเหนือธรรมดาแห่งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้าง

สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้างก่อให้เกิดปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่า พระองค์ทรงดึงดูดความสนใจของมนุษย์ และมนุษย์ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองกิจการอันน่าตื่นตะลึงทั้งหลายที่เกิดจากการใช้สิทธิอำนาจของพระองค์เสมือนถูกตรึงอยู่กับที่  ฤทธานุภาพในระดับปรากฏการณ์ของพระองค์นำมาซึ่งความปีติยินดีครั้งแล้วครั้งเล่า และพาให้มนุษย์พิศวงและชื่นบานเป็นล้นพ้น อ้าปากค้างด้วยความเลื่อมใส อัศจรรย์ใจและโห่ร้องยินดี ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์ยังตื้นตันใจจนมองเห็นได้และมีความเคารพ ความนับถือ และความผูกพันก่อเกิดขึ้นในตัวเขา  สิทธิอำนาจและกิจการทั้งหลายของพระผู้สร้างมีผลกระทบต่อวิญญาณของมนุษย์อย่างใหญ่หลวงและมีผลในทางชำระล้างวิญญาณของมนุษย์ให้สะอาด และยิ่งไปกว่านั้น สิทธิอำนาจและกิจการเหล่านี้ยังทำให้วิญญาณของมนุษย์อิ่มเอม  ทุกพระดำริของพระองค์ ทุกถ้อยดำรัสของพระองค์ และทุกการเปิดเผยสิทธิอำนาจของพระองค์คือผลงานชิ้นเอกท่ามกลางสรรพสิ่ง และเป็นการลงมืออันยิ่งใหญ่ที่ควรค่าแก่ความเข้าใจและความรู้อันลึกซึ้งของมวลมนุษย์ที่ทรงสร้างเป็นที่สุด

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 87

พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อสร้างทุกสรรพสิ่ง (บทตอนที่คัดมา)

ในวันที่ห้า ชีวิตในรูปแบบอันแตกต่างและหลากหลายแสดงออกถึงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างในหนทางที่ต่างกัน

องค์พระคัมภีร์กล่าวว่า “พระเจ้าตรัสว่า ‘น้ำจงอุดมด้วยฝูงสัตว์ที่มีชีวิต และให้นกบินไปมาในภาคพื้นฟ้าเหนือแผ่นดิน’ พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ และสัตว์ที่มีชีวิตทุกชนิด ซึ่งแหวกว่ายอยู่ในน้ำเป็นฝูงๆ ตามชนิดของมัน และสัตว์ปีกทุกชนิดตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี” (ปฐมกาล 1:20-21)  องค์พระคัมภีร์บอกพวกเราอย่างชัดเจนว่า ในวันนี้ พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทั้งหลายในน้ำและนกในอากาศ ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงสร้างปลาและนกนานาชนิด และทรงแบ่งพวกมันแต่ละอย่างออกเป็นประเภท  ในหนทางนี้ แผ่นดินโลก ท้องฟ้า และห้วงน้ำทั้งหลายจึงอุดมเพราะการทรงสร้างของพระเจ้า…

ขณะที่พระเจ้าตรัสพระวจนะออกไป ชีวิตใหม่อันสดชื่นก็เกิดมีชีวิตจิตใจขึ้นมาท่ามกลางพระวจนะของพระผู้สร้างในทันที แต่ละชีวิตมีรูปแบบที่แตกต่างกัน  พวกมันมายังโลกนี้ เบียดเสียดกันหาตำแหน่งแห่งที่ กระโดดโลดเต้น เล่นสนุกสนานด้วยความชื่นบานยินดี… ปลาทุกรูปทรงและขนาดแหวกว่ายไปในน้ำ หอยทุกประเภทเติบใหญ่ขึ้นมาจากทราย สัตว์ที่มีเกล็ด มีกระดอง และไม่มีกระดูกสันหลัง รีบเร่งเติบโตในรูปแบบที่แตกต่างกัน ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก สั้นหรือยาว  สาหร่ายทะเลนานาชนิดเริ่มเจริญเติบโตอย่างเร็วรี่เช่นเดียวกัน แกว่งไกวไปตามการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตนานาชนิดในท้องทะเล กระเพื่อมขึ้นลง รบเร้าห้วงน้ำที่นิ่งเฉยราวกับจะพูดกับสายน้ำว่า “เร็วเข้า!  พาเพื่อนๆ ของเธอมา!  เพราะเธอจะไม่มีวันโดดเดี่ยวอีกแล้ว!”  นับแต่ชั่วขณะที่สิ่งมีชีวิตนานาที่พระเจ้าทรงสร้างปรากฏขึ้นในน้ำ ชีวิตใหม่อันสดชื่นแต่ละชนิดก็นำพลังชีวิตมาสู่ห้วงน้ำที่เคยอยู่นิ่งมานานแสนนาน และนำมาซึ่งยุคใหม่… นับแต่นั้นเป็นต้นมา พวกมันอิงแอบแนบชิดกัน และคอยอยู่เป็นเพื่อนกัน และไม่มีระยะระหว่างกัน  น้ำดำรงอยู่เพื่อสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ภายในน้ำ บำรุงเลี้ยงแต่ละชีวิตที่อาศัยอยู่ในอ้อมกอดของตน และทุกชีวิตดำรงอยู่เพื่อน้ำเนื่องแต่การบำรุงเลี้ยงของน้ำนั้น  ต่างฝ่ายต่างมอบชีวิตให้อีกฝ่าย และในเวลาเดียวกัน ในหนทางเดียวกันนั้น แต่ละชีวิตต่างก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงความอัศจรรย์และความยิ่งใหญ่แห่งการทรงสร้างของพระผู้สร้าง รวมทั้งฤทธานุภาพอันมิอาจมีสิ่งใดเหนือกว่าได้แห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง…

เมื่อทะเลไม่ได้เงียบสงัดอีกต่อไปแล้ว ชีวิตก็เริ่มเติมท้องฟ้าให้เต็มเช่นกัน  หมู่นกน้อยใหญ่บินจากพื้นดินขึ้นไปสู่ท้องฟ้าทีละตัว  พวกนกมีปีกและขนปกคลุมรูปร่างอันเพรียวบางและงามสง่าของตน ต่างจากพวกสัตว์ในทะเล  เหล่านกกระพือปีก อวดเสื้อคลุมขนนกอันงดงามของตนอย่างภาคภูมิใจและหยิ่งผยอง รวมทั้งหน้าที่และทักษะพิเศษที่พระผู้สร้างประทานให้แก่ตน  หมู่นกเหินบินอย่างอิสระ และเทียวไปเทียวมาระหว่างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ข้ามทุ่งหญ้าและผืนป่าอย่างคล่องแคล่ว… พวกนกเป็นขวัญใจของอากาศ เป็นขวัญใจของสรรพสิ่ง  พวกนกจะกลายเป็นสายใยผูกพันระหว่างสวรรค์และแผ่นดินโลกในไม่ช้า และจะส่งผ่านสารทั้งหลายถึงสรรพสิ่ง… หมู่วิหคขับร้อง บินถลาไปมาอย่างชื่นบาน เหล่าปักษานำความชื่นชูใจ เสียงหัวเราะ และความสดใสมีชีวิตชีวามาสู่โลกที่ครั้งหนึ่งเคยว่างเปล่า… พวกนกใช้การขับร้องเป็นท่วงทำนองสดใสของตน ใช้ถ้อยคำภายในหัวใจของตน สรรเสริญพระผู้สร้างสำหรับชีวิตที่ประทานให้แก่ตน  พวกนกเริงระบำอย่างชื่นชูใจเพื่อแสดงให้เห็นความเพียบพร้อมและความมหัศจรรย์แห่งการทรงสร้างของพระผู้สร้าง และย่อมจะอุทิศทั้งชีวิตของตนเพื่อเป็นข้อพิสูจน์ถึงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างโดยผ่านทางชีวิตที่พิเศษที่พระองค์ได้ประทานให้แก่วิหคทั้งหลาย…

ไม่ว่าจะอยู่ในน้ำหรือในท้องฟ้าก็ตาม สิ่งมีชีวิตมากมายเหลือหลายนี้ก็ดำรงอยู่ในรูปสัณฐานของชีวิตที่แตกต่างกันตามพระบัญชาของพระผู้สร้าง และรวมกลุ่มกันตามสายพันธุ์ของตนตามพระบัญชาของพระผู้สร้าง—และไม่มีสิ่งทรงสร้างใดสามารถเปลี่ยนแปลงธรรมบัญญัตินี้ กฎเกณฑ์นี้ได้  สิ่งทรงสร้างไม่เคยกล้าออกนอกขอบเขตที่พระผู้สร้างทรงกำหนดไว้ให้ ทั้งยังไม่สามารถทำได้  ทั้งหมดมีชีวิตและทวีจำนวนตามที่พระผู้สร้างทรงลิขิตไว้ และเดินตามครรลองชีวิตและธรรมบัญญัติทั้งหลายที่พระผู้สร้างทรงกำหนดไว้ให้อย่างเคร่งครัด และปฏิบัติตามพระบัญชาที่พระองค์มิได้ตรัสและประกาศิตจากสวรรค์และข้อบังคับที่พระองค์ประทานแก่ตนอย่างตั้งใจตลอดมาจนกระทั่งถึงวันนี้  ทั้งหมดสนทนากับพระผู้สร้างในหนทางพิเศษของตนเอง และซาบซึ้งในความหมายของพระผู้สร้าง และเชื่อฟังพระบัญชาทั้งหลายของพระองค์  ไม่มีสิ่งใดเคยฝ่าฝืนสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง ทรงใช้อธิปไตยและพระบัญชาที่พระองค์มีเหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวงนั้นภายในพระดำริของพระองค์ ไม่มีการตรัสพระวจนะอันใด แต่สิทธิอำนาจอันเป็นเอกลักษณ์ของพระผู้สร้างก็ควบคุมสรรพสิ่งอยู่ในความเงียบที่ไร้การใช้ภาษา และแตกต่างไปจากมวลมนุษย์  การใช้สิทธิอำนาจของพระองค์ในหนทางที่พิเศษนี้บีบให้มนุษย์จำต้องมีความรู้ใหม่และการตีความใหม่เกี่ยวกับสิทธิอำนาจอันมีเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง  ในที่นี้เราต้องบอกเจ้าว่า ในวันใหม่นี้การใช้สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างแสดงให้เห็นเอกลักษณ์ของพระผู้สร้างอีกครั้งหนึ่ง

อันดับต่อไป พวกเรามาดูประโยคสุดท้ายของบทตอนนี้ในพระคัมภีร์กัน ความว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี”  พวกเจ้าคิดว่านี่หมายความว่าอย่างไร?  อารมณ์ทั้งหลายของพระเจ้าบรรจุอยู่ภายในถัอยคำเหล่านี้  พระเจ้าทรงเฝ้ามองทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างนั้นถือกำเนิดและยืนหยัดมั่นคงเนื่องแต่พระวจนะของพระองค์ และเริ่มเปลี่ยนแปลงทีละน้อย  ณ เวลานี้พระเจ้าพึงพอพระทัยในสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นด้วยพระวจนะของพระองค์และในปฏิบัติการต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงสัมฤทธิ์หรือไม่?  คำตอบก็คือ “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี”  พวกเจ้ามองเห็นสิ่งใดในที่นี้?  ที่ว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี” นั้นแทนสิ่งใด?  เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งใด?  นี่หมายความว่าพระเจ้ามีพระปัญญาและฤทธานุภาพที่จะทำให้สิ่งที่พระองค์ได้ทรงวางแผนและกำหนดเอาไว้แล้วสำเร็จลุล่วง และมีพระปัญญาและฤทธานุภาพที่จะสำเร็จลุล่วงเป้าหมายที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะสำเร็จลุล่วง  เมื่อพระเจ้าทรงทำให้กิจแต่ละอย่างเสร็จสมบูรณ์ พระองค์รู้สึกเสียพระทัยหรือไม่?  คำตอบก็ยังคงเป็นว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี”  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่เพียงแต่พระองค์จะไม่รู้สึกเสียพระทัย แต่กลับพึงพอพระทัยอีกด้วย  ที่ว่าพระองค์ไม่รู้สึกเสียพระทัยนั้นหมายความว่าอย่างไร?  นี่หมายความว่าแผนการของพระเจ้านั้นเพียบพร้อม ว่าฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระองค์นั้นเพียบพร้อม และว่าความเพียบพร้อมเช่นนี้จะสามารถสำเร็จลุล่วงได้ก็ด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์เท่านั้น  เมื่อมนุษย์ทำกิจอย่างหนึ่ง เขาจะสามารถเห็นว่ากิจนั้นดีได้เหมือนที่พระเจ้าทรงเห็นหรือไม่?  ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ทำสามารถบรรลุถึงความเพียบพร้อมหรือไม่?  มนุษย์สามารถทำบางสิ่งบางอย่างเพียงคราเดียวก็เสร็จสมบูรณ์ไปชั่วกัลปาวสานได้หรือไม่?  นี่เหมือนกับที่มนุษย์กล่าวว่า “ไม่มีสิ่งใดเพียบพร้อม มีแต่ดีขึ้นเท่านั้น” ไม่มีสิ่งใดที่มนุษย์ทำสามารถบรรลุถึงความเพียบพร้อมได้  เมื่อพระเจ้าทรงเห็นว่าทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำและสัมฤทธิ์ไปนั้นดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำจึงถูกจัดตั้งโดยพระวจนะของพระองค์ ซึ่งหมายความว่าเมื่อ “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี” ทั้งหมดที่พระองค์ทรงสร้างจึงมีรูปแบบที่ถาวร ถูกจำแนกไปตามชนิด และถูกกำหนดตำแหน่ง จุดประสงค์ และหน้าที่อันตายตัวไปชั่วกัลปาวสานด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว  ยิ่งไปกว่านั้น บทบาทของพวกมันท่ามกลางสรรพสิ่ง และการเดินทางที่พวกมันต้องทำในระหว่างการบริหารจัดการสรรพสิ่งของพระเจ้าก็ได้ถูกพระเจ้าลิขิตไว้แล้ว และมิอาจเปลี่ยนแปลงได้  นี่คือธรรมบัญญัติจากสวรรค์ที่พระผู้สร้างประทานแก่สรรพสิ่ง

“พระเจ้าทรงเห็นว่าดี”  ถ้อยคำเรียบง่ายที่ไม่ค่อยมีใครซึ้งคุณค่าและถูกละเลยบ่อยครั้งเหล่านี้ คือถ้อยคำแห่งธรรมบัญญัติจากสวรรค์และประกาศิตจากสวรรค์ที่พระเจ้าประทานแก่สรรพสิ่งทรงสร้าง  ถ้อยคำเหล่านี้เป็นรูปจำแลงอีกอย่างหนึ่งแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า รูปจำแลงที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นและลุ่มลึกขึ้น  พระผู้สร้างไม่เพียงสามารถได้รับทั้งหมดที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะได้รับและสัมฤทธิ์ทั้งหมดที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะสัมฤทธิ์โดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์เท่านั้น แต่ยังสามารถควบคุมทั้งหมดที่พระองค์ทรงสร้างไว้ให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และสามารถปกครองทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างให้อยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระองค์ได้อีกด้วย และยิ่งไปกว่านั้น ทั้งหมดล้วนเป็นระบบและสม่ำเสมอเป็นปกติ  ทุกสรรพสิ่งยังเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว ดำรงอยู่ และพินาศไปตามพระวจนะของพระองค์ด้วยเช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้น ด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์ ทุกสิ่งจึงดำรงอยู่ท่ามกลางธรรมบัญญัติที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ และไม่มีสิ่งใดได้รับการยกเว้น!  ธรรมบัญญัตินี้เริ่มต้นทันทีที่ “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี” และจะดำรงอยู่ ดำเนินต่อไป และทำหน้าที่เพื่อแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าเรื่อยไปจนถึงวันที่พระผู้สร้างทรงเพิกถอน!  สิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้างไม่เพียงสำแดงอยู่ในความสามารถของพระองค์ในการสร้างสรรพสิ่งและบัญชาสรรพสิ่งให้เกิดมีขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังสำแดงอยู่ในความสามารถของพระองค์ในการปกครองดูแลและถือครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง และประทานชีวิตและกำลังวังชาแก่ทุกสรรพสิ่ง และยิ่งไปกว่านั้น ในความสามารถของพระองค์ในการทำให้ทุกสิ่งที่พระองค์จะทรงสร้างตามแผนการของพระองค์ปรากฏขึ้นและดำรงอยู่ในโลกที่พระองค์ทรงสร้าง ในรูปทรงที่เพียบพร้อม และโครงสร้างชีวิตที่เพียบพร้อม และบทบาทที่เพียบพร้อมไปชั่วกัลปาวสานด้วยการสร้างเพียงครั้งเดียว  และเช่นเดียวกันนั้น สิทธิอำนาจของพระองค์ยังสำแดงอยู่ในหนทางที่พระดำริของพระผู้สร้างไม่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดอันใด ไม่ถูกจำกัดโดยกาลเวลา พื้นที่ หรือภูมิประเทศ  พระอัตลักษณ์อันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้างจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากนิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาลเช่นเดียวกับสิทธิอำนาจของพระองค์  สิทธิอำนาจของพระองค์จะเป็นตัวแทนและสัญลักษณ์แห่งพระอัตลักษณ์อันทรงเอกลักษณ์ของพระองค์เสมอ และสิทธิอำนาจของพระองค์จะดำรงอยู่เคียงข้างพระอัตลักษณ์ของพระองค์ไปตลอดกาล!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 88

พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อสร้างทุกสรรพสิ่ง (บทตอนที่คัดมา)

ในวันที่หก พระผู้สร้างตรัส และสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในพระทัยของพระองค์ก็ปรากฏตัวทีละประเภท

โดยไม่ทันสังเกต พระราชกิจแห่งการทรงสร้างสรรพสิ่งของพระผู้สร้างก็ดำเนินต่อเนื่องมาเป็นเวลาห้าวันแล้ว ซึ่งทันทีหลังวันที่ห้า พระผู้สร้างก็ทรงต้อนรับวันที่หกแห่งการสร้างสรรพสิ่งของพระองค์  วันนี้ก็เป็นการเริ่มต้นใหม่อีกวันและเป็นวันที่เหนือธรรมดาอีกวันหนึ่ง  เช่นนั้นแล้ว แผนการของพระผู้สร้างในค่ำคืนก่อนวันใหม่นี้คือสิ่งใด?  สิ่งทรงสร้างใหม่ๆ อันใดที่พระองค์จะทรงก่อกำเนิด ที่พระองค์จะทรงสร้าง?  ฟังสิ นั่นคือพระสุรเสียงของพระผู้สร้าง…

“พระเจ้าตรัสว่า ‘แผ่นดินจงเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน คือสัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าตามชนิดของมัน’ ก็เป็นดังนั้น พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ป่าตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลานทุกชนิดบนแผ่นดินตามชนิดของมัน แล้วพระเจ้าทรงเห็นว่าดี” (ปฐมกาล 1:24-25)  สิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตประกอบด้วยอะไรบ้าง?  องค์พระคัมภีร์กล่าวถึงปศุสัตว์ และสัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าของแผ่นดินโลกตามประเภทของมัน  นั่นหมายความว่าในวันนี้ไม่เพียงมีสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตสารพัดชนิดอยู่บนแผ่นดินโลกเท่านั้น แต่ทั้งหมดยังถูกจำแนกออกเป็นประเภทอีกด้วย และเช่นกัน “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี”

เช่นเดียวกับในระหว่างห้าวันก่อนหน้านั้น พระผู้สร้างตรัสด้วยพระกระแสเสียงเดียวกันและทรงสั่งให้มีการถือกำเนิดของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่พระองค์ทรงพึงปรารถนา และให้แต่ละสิ่งปรากฏขึ้นบนแผ่นดินโลกตามประเภทของตน  เมื่อพระผู้สร้างทรงใช้สิทธิอำนาจของพระองค์ ไม่มีพระวจนะใดของพระองค์ที่ตรัสโดยเปล่าประโยชน์ และดังนั้นในวันที่หก สิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตแต่ละอย่างที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะสร้างจึงปรากฏขึ้นตามเวลาที่กำหนด  ในขณะที่พระผู้สร้างตรัสว่า “แผ่นดินจงเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน” แผ่นดินโลกก็เต็มไปด้วยชีวิตทันที และบนแผ่นดินก็พลันบังเกิดลมหายใจของสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตทุกจำพวก… ในถิ่นทุรกันดารที่มีหญ้าขึ้นเขียวชอุ่ม แม่วัวอ้วนพีที่กำลังแกว่งหางไปมาก็ปรากฏขึ้นตัวแล้วตัวเล่า แกะที่กำลังส่งเสียงร้องพากันรวมตัวเป็นฝูง และพวกม้าที่กำลังส่งเสียงร้องก็เริ่มวิ่งควบ… ชั่วอึดใจเดียว ทุ่งหญ้าเงียบสงัดอันกว้างใหญ่ไพศาลก็พลันเต็มไปด้วยชีวิต… การปรากฏตัวของปศุสัตว์ที่หลากหลายเหล่านี้เป็นภาพอันสวยงามบนทุ่งหญ้าที่เงียบสงบ และนำมาซึ่งพลังชีวิตอันไร้ขอบเขต… สัตว์ทั้งปวงนี้จะเป็นมิตรสหายของทุ่งหญ้า และเป็นนายของทุ่งหญ้า ต่างฝ่ายต่างพึ่งพาอาศัยกัน และเช่นเดียวกันทั้งหมดก็จะกลายเป็นผู้คุ้มกันและผู้รักษาแผ่นดินเหล่านี้ซึ่งจะเป็นที่อยู่อาศัยอันถาวรของตน และจัดเตรียมสิ่งที่สัตว์ทั้งปวงนี้จำเป็นต้องมีให้แก่พวกมัน เป็นแหล่งบำรุงเลี้ยงชั่วนิรันดร์ให้แก่การดำรงอยู่ของพวกมัน…

ในวันเดียวกับที่ปศุสัตว์สารพันเหล่านี้เริ่มมีขึ้นด้วยพระวจนะของพระผู้สร้าง แมลงมากมายเหลือคณานับก็ปรากฏกายขึ้นตัวแล้วตัวเล่าเช่นกัน  ถึงแม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุดท่ามกลางสิ่งทรงสร้างทั้งปวง แต่พลังชีวิตของแมลงก็ยังคงเป็นสิ่งทรงสร้างอันมหัศจรรย์ของพระผู้สร้าง และพวกแมลงก็มิได้มาถึงช้าเกินไป… บางตัวกระพือปีกเล็กๆ ของตน ในขณะที่ตัวอื่นคืบคลานไปอย่างช้าๆ บางตัวกระโดดและดีดตัวขึ้น ขณะที่ตัวอื่นเดินโอนเอน บางตัวพุ่งพรวดไปข้างหน้า ขณะที่ตัวอื่นถอยกรูด บางตัวขยับออกข้าง ขณะที่ตัวอื่นกระโดดสูงบ้างต่ำบ้าง… ทั้งหมดนี้ยุ่งอยู่กับการพยายามหาบ้านให้ตัวเอง กล่าวคือ บ้างก็ดั้นด้นไปในพงหญ้า บ้างก็เริ่มต้นขุดรูบนพื้น บ้างก็บินขึ้นไปบนต้นไม้ ซ่อนตัวในผืนป่า… ถึงแม้จะมีขนาดเล็ก แต่พวกแมลงก็ไม่เต็มใจที่จะสู้ทนความทรมานจากกระเพาะอาหารที่ว่างเปล่า และหลังจากหาบ้านให้ตัวเองได้แล้ว พวกแมลงก็เร่งรีบแสวงหาอาหารเลี้ยงตัว  บ้างก็ปีนป่ายตามต้นหญ้าเพื่อกินยอดอ่อน บ้างงับฝุ่นดินเต็มปากแล้วกลืนลงท้อง กินด้วยความเอร็ดอร่อยและยินดีเป็นอย่างมาก (สำหรับแมลง แม้แต่ฝุ่นดินก็เป็นอาหารเลิศรสที่โอชะ) บ้างก็ซ่อนอยู่ในป่า แต่แมลงหาได้หยุดพักไม่ เพราะน้ำเลี้ยงภายในใบไม้สีเขียวเข้มเป็นมันนั้นได้จัดเตรียมอาหารอันฉ่ำปากไว้ให้… หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว พวกแมลงยังคงไม่หยุดกิจกรรมของตน แม้รูปร่างจะเล็ก แต่ก็มีพลังงานอันมหาศาลและความร่าเริงอันไร้ขีดจำกัด และดังนั้นพวกมันจึงกระตือรือร้นที่สุดและขยันขันแข็งที่สุดในบรรดาสิ่งทรงสร้างทั้งปวง  พวกแมลงไม่เคยเกียจคร้านและไม่เคยดื่มด่ำในการหยุดพัก  ทันทีที่ความอยากอาหารได้รับการตอบสนองจนเต็มอิ่มแล้ว พวกแมลงก็ยังคงออกแรงกรำงานเพื่ออนาคตของตน ทำงานยุ่งและสาละวนเพื่อวันพรุ่งของตน เพื่อการอยู่รอดของตน… แมลงขับลำนำเป็นท่วงทำนองและจังหวะต่างๆ อย่างแผ่วเบาเพื่อหนุนใจและปลุกเร้าตัวเองต่อไป  พวกแมลงยังเติมความชื่นบานให้กับต้นหญ้า ต้นไม้ และผืนดินทุกตารางนิ้ว ทำให้แต่ละวันและแต่ละปีมีเอกลักษณ์… พวกมันส่งต่อข้อมูลข่าวสารไปยังสิ่งมีชีวิตทั้งมวลบนแผ่นดินด้วยภาษาของตนเองและด้วยวิธีของตนเอง  แมลงใช้ครรลองชีวิตอันพิเศษของตนทำเครื่องหมายไว้บนสรรพสิ่ง ทิ้งร่องรอยเอาไว้… พวกมันใกล้ชิดสนิทสนมกับดิน ต้นหญ้า และผืนป่า และนำความกระปรี้กระเปร่าและกำลังวังชามาให้แก่ดิน ต้นหญ้า และผืนป่า  พวกแมลงนำคำกระตุ้นเตือนและคำทักทายจากพระผู้สร้างมาสู่สิ่งมีชีวิตทั้งปวง…

สายพระเนตรอันจับจ้องของพระเจ้ากวาดมองไปทั่วทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างเอาไว้ และ ณ ชั่วขณะนี้เองสายพระเนตรของพระองค์ก็หยุดอยู่ที่ผืนป่าและเทือกเขา มีพระดำริบางอย่างอยู่ในพระทัยของพระองค์  เมื่อพระองค์ดำรัสพระวจนะออกไป ก็ปรากฏสิ่งทรงสร้างชนิดหนึ่งที่ไม่เหมือนกับชนิดใดที่เคยมีมาก่อนทั้งในผืนป่าอันหนาทึบและตามเทือกเขา นั่นก็คือสัตว์ป่าที่พระโอษฐ์ของพระเจ้าตรัสให้เป็นขึ้นมา  สัตว์ที่ถือกำเนิดเอาภายหลังนี้พากันส่ายหัวและสะบัดหาง แต่ละตัวมีใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ของตน  บ้างมีขนปกคลุม บ้างมีเกราะ บ้างแยกเขี้ยวยิงฟัน บ้างแสยะยิ้ม บ้างคอยาว บ้างก็หางสั้น บ้างมีตาที่ลุกโพลง บ้างมีดวงตาขลาดกลัว บ้างก้มกินหญ้า บ้างมีเลือดเปื้อนปาก บ้างกระโดดไปบนขาทั้งสองข้าง บ้างเหยาะย่างไปมาบนกีบเท้าทั้งสี่ บ้างมองไปไกลๆ อยู่บนยอดไม้ บ้างนอนรออยู่ในป่า บ้างค้นหาถ้ำเพื่อหยุดพัก บ้างก็วิ่งเล่นสนุกสนานตามที่ราบ บ้างออกล่าเหยื่อเงียบๆ ไปทั่วป่า… บ้างส่งเสียงคำราม บ้างหอน บ้างเห่า บ้างก็ส่งเสียงร้อง… บ้างมีเสียงแหลมสูง บ้างมีเสียงทุ้ม บ้างมีเสียงดังฟังชัด บ้างก็มีเสียงใสและไพเราะเสนาะหู… บ้างหน้าตาเคร่งขรึม บ้างก็สวยงาม บ้างน่าขยะแขยง บ้างก็น่าชม บ้างน่าหวาดผวา บ้างก็ไร้เดียงสาอย่างมีเสน่ห์… สัตว์ป่าเหล่านี้ต่างทยอยปรากฏตัว  จงดูเอาเถิดว่าพวกมันสูงส่งและมีฤทธิ์เพียงใด รักอิสระ สบายๆ ไม่สนใจกัน ไม่แม้แต่จะชำเลืองมองกัน… สัตว์เหล่านี้ปรากฏขึ้นในป่าและตามเทือกเขา แต่ละตัวต่างก็เป็นชีวิตในแบบที่พระผู้สร้างได้ประทานให้แก่ตนโดยเฉพาะ และมีความป่าเถื่อนและความดุดันของตนเอง  วางปึ่งกับทุกสิ่ง ไว้ตนอย่างสิ้นเชิง—ไม่ว่าจะอย่างไร พวกมันก็คือนายที่แท้จริงแห่งภูเขาและผืนป่า  จากชั่วขณะที่พระผู้สร้างได้ทรงลิขิตการปรากฏตัวของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ สัตว์ป่าก็ “อ้างสิทธิ์” เหนือพงไพรและขุนเขา เพราะพระผู้สร้างทรงผนึกอาณาเขตให้และกำหนดวงเขตแห่งการดำรงอยู่ของพวกมันไว้แล้ว  เฉพาะสัตว์ป่าเท่านั้นที่เป็นเจ้านายที่แท้จริงแห่งภูเขาและผืนป่า และนั่นคือสาเหตุที่สัตว์เหล่านี้คะนองยิ่งนัก ปึ่งชายิ่งนัก  พวกมันถูกเรียกว่า “สัตว์ป่า” ก็เพียงเพราะในบรรดาสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงนั้น สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เป็นสิ่งทรงสร้างที่เถื่อน ดุ และไม่อาจทำให้เชื่องได้โดยแท้  พวกมันไม่อาจทำให้เชื่องได้ ดังนั้นพวกมันจึงไม่อาจได้รับการชุบเลี้ยง และไม่สามารถดำรงชีพกับมวลมนุษย์อย่างปรองดองและใช้แรงงานแทนมวลมนุษย์ได้  เป็นเพราะสัตว์ป่าไม่อาจถูกชุบเลี้ยง ไม่อาจทำงานให้มวลมนุษย์ พวกมันจึงต้องดำรงชีพอยู่ห่างไกลจากมวลมนุษย์ และมนุษย์ไม่อาจเข้าใกล้พวกมันได้  ในทางกลับกัน เป็นเพราะสัตว์ป่าดำรงชีพอยู่ห่างจากมวลมนุษย์ และมนุษย์ไม่อาจเข้าใกล้พวกมันได้ พวกมันจึงสามารถลุล่วงความรับผิดชอบที่พระผู้สร้างได้ประทานแก่พวกมัน นั่นก็คือ การคุ้มกันภูเขาและผืนป่า  ความป่าเถื่อนของสัตว์เหล่านี้ปกป้องภูเขาและคุ้มกันผืนป่า และเป็นการปกป้องและการรับประกันการดำรงอยู่และแพร่พันธุ์ของพวกมันเป็นอย่างดีที่สุด  ในเวลาเดียวกันนั้น ความป่าเถื่อนของสัตว์ป่าก็ธำรงรักษาและรับประกันความสมดุลท่ามกลางสรรพสิ่ง  การมาถึงของพวกมันได้นำแรงสนับสนุนและที่ยึดเหนี่ยวมาสู่ภูเขาและผืนป่า การมาถึงของสัตว์ป่าได้สูบฉีดความกระปรี้กระเปร่าและกำลังวังชาให้แก่ภูเขาและผืนป่าที่ไม่ไหวติงและว่างเปล่า  จากจุดนี้เป็นต้นมา ภูเขาและผืนป่าจึงกลายเป็นถิ่นอาศัยถาวรของสัตว์เหล่านี้ และพวกมันจะไม่มีวันสูญเสียบ้านของตนไปเพราะภูเขาและผืนป่าได้ปรากฏและดำรงอยู่เพื่อพวกมันนั่นเอง สัตว์ป่าจะทำหน้าที่ของพวกมันให้ลุล่วง และทำทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อพิทักษ์เทือกเขาและผืนป่าเอาไว้  ดังนั้นสัตว์ป่าย่อมจะยึดปฏิบัติตามการกระตุ้นเตือนของพระผู้สร้างอย่างเคร่งครัด ให้หวงแหนอาณาเขตของตน และใช้ธรรมชาติเยี่ยงสัตว์ร้ายของตนต่อไปเพื่อคงไว้ซึ่งสมดุลของทุกสรรพสิ่งที่พระผู้สร้างได้ทรงสถาปนา และเพื่อแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้าง!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 89

สรรพสิ่งล้วนเพียบพร้อมภายใต้สิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง

สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ซึ่งรวมถึงพวกที่สามารถเคลื่อนที่ได้และพวกที่ไม่สามารถทำดังนั้น เช่นนกและปลา เช่นต้นไม้และดอกไม้ และรวมถึงปศุสัตว์ แมลง และสัตว์ป่าที่ถูกสร้างขึ้นในวันที่หก—ทั้งหมดล้วนดีงามในสายพระเนตรของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น ในสายพระเนตรของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ล้วนบรรลุจุดสูงสุดแห่งความเพียบพร้อมและได้มาตรฐานที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ตามแผนการของพระองค์แล้ว  พระผู้สร้างทรงพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำตามแผนการของพระองค์ทีละขั้นตอน  สิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะสร้างได้ปรากฏขึ้นตามลำดับ และการปรากฏตัวของสิ่งทรงสร้างแต่ละชนิดเป็นภาพสะท้อนแห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง เป็นการตกผลึกแห่งสิทธิอำนาจของพระองค์  เนื่องจากการตกผลึกเหล่านี้ สรรพสิ่งทรงสร้างจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณการจัดเตรียมและพระคุณของพระผู้สร้าง  ขณะที่กิจการอันมหัศจรรย์ของพระเจ้าสำแดงตนออกมา โลกนี้ก็มีสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าทรงสร้างเพิ่มพูนขึ้นทีละชิ้น และเปลี่ยนแปลงจากความสับสนอลหม่านและมืดมนไปเป็นความชัดเจนและสว่างไสว จากความนิ่งงันราวกับความตายไปเป็นความมีชีวิตชีวาและกำลังวังชาอันไร้ขีดจำกัด  ท่ามกลางทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้าง จากขนาดใหญ่ถึงขนาดเล็ก จากขนาดเล็กถึงขนาดเล็กมากจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ได้ถูกสร้างด้วยสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้าง และการดำรงอยู่ของสิ่งทรงสร้างแต่ละอย่างก็มีความจำเป็นและคุณค่าภายในตัวที่เป็นเอกลักษณ์  ไม่ว่าจะมีความแตกต่างอย่างไรในรูปทรงและโครงสร้างของพวกมันก็ตาม ทุกสิ่งต้องถูกสร้างขึ้นโดยพระผู้สร้างเท่านั้นจึงจะดำรงอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง บางครั้งเมื่อผู้คนมองเห็นแมลงที่อัปลักษณ์อย่างมาก พวกเขาก็จะพูดว่า “แมลงนั่นช่างน่าเกลียดน่ากลัวเหลือเกิน ไม่มีทางที่พระเจ้าจะทรงสร้างสิ่งอัปลักษณ์เช่นนี้—ไม่มีทางที่พระองค์จะทรงสร้างบางอย่างที่อัปลักษณ์ได้ถึงเพียงนี้”  เป็นทรรศนะที่ช่างเขลานัก!  พวกเขาควรจะกล่าวว่า “แม้แมลงตัวนี้จะอัปลักษณ์เหลือเกิน แต่พระเจ้าก็ทรงสร้างมันขึ้นมา และดังนั้นมันจึงต้องมีจุดประสงค์ที่เป็นเอกลักษณ์ของมันเอง”  ในพระดำริของพระเจ้านั้น พระองค์ตั้งพระทัยที่จะประทานทุกรูปลักษณ์ และหน้าที่และประโยชน์ทุกจำพวก ให้แก่สิ่งมีชีวิตนานาที่พระองค์ทรงสร้าง และดังนั้นจึงไม่มีสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าที่เหมือนกันอย่างกับแกะ  ตั้งแต่ส่วนประกอบภายในถึงภายนอก จากนิสัยในการดำรงชีวิตไปจนถึงถิ่นฐานที่พวกมันอาศัยอยู่—แต่ละอย่างแตกต่างกัน  วัวมีรูปลักษณ์ของวัว ลามีรูปลักษณ์ของลา กวางมีรูปลักษณ์ของกวาง และช้างก็มีรูปลักษณ์ของช้าง  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าสิ่งใดดูดีที่สุด และสิ่งใดอัปลักษณ์ที่สุด?  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าสิ่งใดมีประโยชน์มากที่สุด และการดำรงอยู่ของสิ่งใดมีความจำเป็นน้อยที่สุด?  ผู้คนบางคนชอบรูปร่างหน้าตาของช้าง แต่ไม่มีผู้ใดใช้ช้างเพาะปลูกในทุ่งนา ผู้คนบางคนชอบรูปร่างหน้าตาของสิงโตและเสือ เพราะรูปลักษณ์ของพวกมันน่าประทับใจที่สุดในหมู่สรรพสิ่ง แต่เจ้าสามารถเอาสิงโตและเสือมาเป็นสัตว์เลี้ยงได้หรือไม่?  กล่าวสั้นๆ คือ เมื่อพูดถึงสิ่งต่างๆ มากมายเหลือคณานับแห่งการทรงสร้าง มนุษย์ควรน้อมรับสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง ซึ่งหมายถึงน้อมรับระบบระเบียบที่พระผู้สร้างทรงกำหนดให้แก่ทุกสิ่ง นี่คือท่าทีที่ทรงปัญญาที่สุด  มีเพียงท่าทีแห่งการแสวงหาเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระผู้สร้างและการเชื่อฟังเจตนารมณ์นั้นเท่านั้นที่เป็นการยอมรับและมั่นใจในสิทธิอำนาจแห่งพระผู้สร้างอย่างแท้จริง  ทุกสิ่งดีงามในสายพระเนตรของพระเจ้า ดังนั้นเหตุใดมนุษย์จึงต้องจับผิด?

ด้วยเหตุนี้ สรรพสิ่งภายใต้สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างจึงต้องบรรเลงดนตรีบทใหม่ให้แก่อธิปไตยของพระผู้สร้าง ต้องเริ่มบทโหมโรงอันเจิดจรัสเพื่อพระราชกิจแห่งวันใหม่ของพระองค์ และ ณ ชั่วขณะนี้พระผู้สร้างก็จะทรงพลิกหน้าใหม่ในพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ด้วย!  ตามธรรมบัญญัติที่พระผู้สร้างทรงกำหนดไว้ให้มีหน่อพันธุ์ที่สดใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ มีการสุกงอมในฤดูร้อน การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง และมีการเก็บรักษาในฤดูหนาวนั้น สรรพสิ่งย่อมจะสะท้อนแผนบริหารจัดการของพระผู้สร้าง และต้อนรับวันใหม่ การเริ่มต้นใหม่ และครรลองชีวิตใหม่ของตนเอง  ทุกสิ่งจะดำรงชีวิตต่อไปและสืบพันธุ์อย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อต้อนรับแต่ละวันภายใต้อธิปไตยแห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง…

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 90

ไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและสิ่งมีชีวิตที่มิได้ทรงสร้างใดสามารถแทนที่พระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้างได้

จากครั้งที่พระองค์ทรงเริ่มสร้างสรรพสิ่ง ฤทธานุภาพของพระเจ้าก็เริ่มได้รับการเปิดเผยและแสดงออก เพราะพระเจ้าใช้พระวจนะสร้างทุกสรรพสิ่ง  ไม่ว่าพระองค์จะทรงสร้างสรรพสิ่งในลักษณะใด ไม่ว่าพระองค์จะทรงสร้างพวกมันเพราะเหตุใด ทุกสิ่งก็เกิดมีขึ้นและยืนหยัดมั่นคงและดำรงอยู่เนื่องแต่พระวจนะของพระเจ้า นี่คือสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง  ในกาลเวลาก่อนที่มวลมนุษย์จะปรากฏตัวในโลกนี้นั้น พระผู้สร้างทรงใช้ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระองค์เพื่อสร้างสรรพสิ่งให้แก่มวลมนุษย์ และทรงใช้วิธีการอันเป็นเอกลักษณ์ของพระองค์เพื่อตระเตรียมสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่เหมาะสมให้แก่มวลมนุษย์  ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำนั้นเป็นไปเพื่อตระเตรียมให้แก่มวลมนุษย์ที่กำลังจะได้รับลมปราณของพระองค์ในไม่ช้า  นี่หมายความว่าในเวลาก่อนที่มวลมนุษย์จะถูกสร้างขึ้น สิทธิอำนาจของพระเจ้าได้รับการแสดงออกในสิ่งทรงสร้างทั้งปวงที่แตกต่างไปจากมวลมนุษย์ ในสิ่งทั้งหลายที่ยิ่งใหญ่เฉกเช่นฟ้าสวรรค์ ดวงสว่าง ทะเล และแผ่นดิน และในสิ่งที่มีขนาดเล็กพอกันกับสัตว์และนกทั้งหลาย ตลอดจนแมลงและจุลินทรีย์ทุกจำพวก รวมถึงแบคทีเรียต่างๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า  แต่ละสิ่งได้รับมอบชีวิตจากพระวจนะของพระผู้สร้าง แต่ละสิ่งเพิ่มจำนวนอย่างแพร่หลายเนื่องแต่พระวจนะของพระผู้สร้าง และแต่ละสิ่งดำรงชีวิตภายใต้อธิปไตยของพระผู้สร้างเนื่องแต่พระวจนะของพระองค์  ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ได้รับลมปราณของพระผู้สร้าง แต่ก็ยังคงแสดงให้เห็นพลังชีวิตที่พระผู้สร้างประทานแก่พวกมันผ่านทางรูปแบบและโครงสร้างที่แตกต่างกันของตน ถึงแม้ว่าส่งเหล่านี้จะไม่ได้รับความสามารถในการพูดที่พระผู้สร้างประทานแก่มวลมนุษย์ แต่ต่างก็ได้รับหนทางในการแสดงออกถึงชีวิตที่พระผู้สร้างประทานให้ ซึ่งต่างไปจากภาษาของมนุษย์  สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างไม่เพียงมอบพลังชีวิตให้แก่วัตถุที่จับต้องได้ซึ่งดูเหมือนไม่เปลี่ยนแปลงเพื่อที่พวกมันจะไม่มีวันปลาสนาการไปเท่านั้น แต่พระองค์ยังประทานสัญชาตญาณในการสืบพันธุ์และทวีจำนวนให้แก่สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งอีกด้วย เพื่อให้พวกมันไม่มีวันอันตรธานไป และเพื่อให้ส่งต่อธรรมบัญญัติและหลักธรรมแห่งการอยู่รอดที่พระผู้สร้างได้ทรงประสิทธิ์ประสาทให้แก่พวกมันไปสู่รุ่นต่อรุ่น  ลักษณะที่พระผู้สร้างทรงใช้สิทธิอำนาจของพระองค์นั้นไม่ได้ยึดติดตายตัวกับมุมมองแบบมหัพภาคหรือจุลภาค และไม่จำกัดอยู่กับรูปแบบอันใด พระองค์สามารถบัญชาการปฏิบัติงานของจักรวาลและถือครองอธิปไตยเหนือชีวิตและความตายของสรรพสิ่ง และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์สามารถยักย้ายทุกสรรพสิ่งให้รับใช้พระองค์ พระองค์สามารถบริหารจัดการกลไกการทำงานทั้งหมดของภูเขา แม่น้ำ และทะเลสาบ และปกครองทุกสิ่งภายในสิ่งเหล่านั้น และที่เหนือไปกว่านั้น พระองค์สามารถจัดเตรียมสิ่งที่สรรพสิ่งจำเป็นต้องมี  นี่คือการสำแดงสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้างท่ามกลางทุกสรรพสิ่งที่นอกเหนือไปจากมวลมนุษย์  การสำแดงเช่นนี้ไม่ได้เป็นไปภายในระยะเวลาเพียงชั่วชีวิตหนึ่งเท่านั้น แต่จะไม่มีวันยุติ ไม่หยุดพัก และไม่สามารถถูกบุคคลหรือสิ่งอันใดมาปรับเปลี่ยนหรือทำให้เสียหายได้ อีกทั้งไม่สามารถถูกบุคคลหรือสิ่งอันใดมาเพิ่มเติมหรือลดได้—เพราะไม่มีสิ่งใดสามารถแทนที่พระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้างได้ และดังนั้นสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างจึงไม่สามารถถูกสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดมาแทนที่ และไม่มีสิ่งมีชีวิตที่มิได้ทรงสร้างใดสามารถครอบครอง  จงดูบรรดาทูตสื่อสารและทูตสวรรค์ของพระเจ้าเป็นตัวอย่าง  พวกเขาไม่มีฤทธานุภาพของพระเจ้า และยิ่งไม่มีสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง และสาเหตุที่ไม่มีฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าก็เป็นเพราะพวกเขาไม่มีแก่นแท้ของพระผู้สร้าง  สิ่งมีชีวิตที่มิได้ทรงสร้าง อาทิ ทูตสื่อสารและทูตสวรรค์ของพระเจ้านั้น ถึงแม้จะสามารถทำบางสิ่งบางอย่างแทนพระเจ้าได้ แต่ก็ไม่สามารถเป็นพระเจ้า  ถึงแม้จะมีพลังอำนาจบางอย่างที่มนุษย์ไม่มี แต่พวกเขาก็ไม่มีสิทธิอำนาจของพระเจ้า พวกเขาไม่มีสิทธิอำนาจของพระเจ้าในการที่จะสร้างสรรพสิ่ง ในการบัญชาสรรพสิ่ง และในการถือครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง  ดังนั้นเอกลักษณ์ของพระเจ้าจึงไม่สามารถถูกสิ่งมีชีวิตที่มิได้ทรงสร้างใดแทนที่ และในทำนองเดียวกัน สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าก็ไม่สามารถถูกสิ่งมีชีวิตที่มิได้ทรงสร้างใดแทนที่  ในพระคัมภีร์ เจ้าเคยอ่านเรื่องทูตสื่อสารคนใดของพระเจ้าสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาหรือไม่?  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ส่งทูตสื่อสารหรือทูตสวรรค์ของพระองค์ไปสร้างสรรพสิ่ง?  นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่มีสิทธิอำนาจของพระเจ้า และดังนั้นจึงไม่มีความสามารถที่จะใช้สิทธิอำนาจของพระเจ้า  พวกเขาล้วนอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระผู้สร้างและอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างเช่นเดียวกับสิ่งทรงสร้างทั้งปวง และดังนั้น ในหนทางเดียวกันนี้ พระผู้สร้างก็คือพระเจ้าของพวกเขาและองค์อธิปัตย์ของพวกเขาเช่นกัน  ท่ามกลางพวกเขาแต่ละองค์—ไม่ว่าพวกเขาจะสูงศักดิ์หรือต่ำต้อย มีอำนาจยิ่งใหญ่หรือน้อยนิด—ก็ไม่มีสักองค์เดียวที่สามารถเลิศล้ำเกินสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างได้ และดังนั้นจึงไม่มีสักองค์เดียวท่ามกลางพวกเขาที่สามารถแทนที่พระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้าง  พวกเขาจะไม่มีวันถูกเรียกว่าพระเจ้า และจะไม่มีวันสามารถกลายเป็นพระผู้สร้าง  เหล่านี้คือความจริงและข้อเท็จจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 91

พระเจ้าทรงใช้พระวจนะของพระองค์ทำพันธสัญญากับมนุษย์

ปฐมกาล 9:11-13  “เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้าว่าจะไม่ทำลายมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงโดยให้น้ำท่วมอีก และจะไม่ให้มีน้ำมาท่วมทำลายโลกอีกต่อไป”  พระเจ้าตรัสว่า “นี่แหละเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญา ซึ่งเราให้ไว้ระหว่างเรากับพวกเจ้า และกับสิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่อยู่กับพวกเจ้าสืบไปทุกชั่วอายุ  คือเราตั้งรุ้งของเราไว้ที่เมฆ และรุ้งนั้นจะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับโลก”

หลังจากที่พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่ง สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างก็ได้รับการยืนยันและแสดงให้เห็นอีกครั้งในพันธสัญญาแห่งรุ้ง

มีการใช้และแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างท่ามกลางสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงอยู่เสมอ และพระองค์ไม่เพียงทรงปกครองชะตากรรมของทุกสรรพสิ่งเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงปกครองมวลมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งทรงสร้างพิเศษที่พระองค์สร้างขึ้นด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง และเป็นสิ่งที่มีโครงสร้างชีวิตที่แตกต่างและดำรงอยู่ในรูปแบบชีวิตที่แตกต่างออกไปอีกด้วย  หลังจากที่ทรงสร้างสรรพสิ่งแล้ว พระผู้สร้างไม่ได้ทรงหยุดแสดงออกถึงสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์ สำหรับพระองค์แล้ว สิทธิอำนาจที่พระองค์ทรงใช้ถือครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งและชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งหมดนั้นได้เริ่มต้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะเฉพาะเมื่อมวลมนุษย์ถือกำเนิดจากพระหัตถ์ของพระองค์อย่างแท้จริงแล้วเท่านั้น  พระองค์ตั้งพระทัยที่จะบริหารจัดการมวลมนุษย์และปกครองมวลมนุษย์ พระองค์ตั้งพระทัยที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอดและได้รับมวลมนุษย์เอาไว้อย่างแท้จริง ได้รับมวลมนุษย์ที่สามารถปกครองทุกสิ่งได้ พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำให้มวลมนุษย์ดังกล่าวดำรงชีวิตอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระองค์ และรู้จักและเชื่อฟังสิทธิอำนาจของพระองค์  ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงเริ่มแสดงสิทธิอำนาจของพระองค์อย่างเป็นกิจจะลักษณะท่ามกลางมนุษย์โดยใช้พระวจนะของพระองค์ และทรงเริ่มใช้สิทธิอำนาจของพระองค์เพื่อทำให้พระวจนะทั้งหลายของพระองค์เป็นจริง  แน่นอนว่าย่อมมีการแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจของพระเจ้าในทุกหนแห่งในระหว่างกระบวนการนี้ เราเพียงหยิบยกเอาตัวอย่างพิเศษที่รู้จักกันดีบางตัวอย่างเพื่อที่พวกเจ้าอาจเข้าใจและรู้จักเอกลักษณ์ของพระเจ้าและสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระองค์ได้จากตัวอย่างเหล่านี้

มีความคล้ายคลึงกันระหว่างบทตอนในปฐมกาล 9:11-13 กับบทตอนข้างต้นที่เกี่ยวกับบันทึกแห่งการสร้างโลกของพระเจ้า แต่กระนั้นก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่อย่างหนึ่งเช่นกัน  สิ่งใดคือความคล้ายคลึงนั้น?  มีความคล้ายคลึงอยู่ในการใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อทำสิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยไว้ และมีความแตกต่างอยู่ตรงที่บทตอนที่อ้างถึงในที่นี้นั้นแสดงถึงการสนทนาที่พระเจ้าทรงมีกับมนุษย์ และในการสนทนานี้พระองค์ได้ทรงทำพันธสัญญาประการหนึ่งกับมนุษย์และตรัสบอกมนุษย์ถึงเนื้อความในพันธสัญญาดังกล่าว  พระเจ้าทรงสัมฤทธิ์การใช้สิทธิอำนาจในครั้งนี้ระหว่างที่พระองค์ตรัสสนทนากับมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าก่อนการสร้างมวลมนุษย์ พระวจนะของพระเจ้าคือคำสอนและคำสั่งต่างๆ ที่ทรงมีแก่สิ่งทรงสร้างทั้งหลายที่พระองค์ตั้งพระทัยว่าจะสร้าง  แต่บัดนี้มีใครบางคนได้ฟังพระวจนะของพระเจ้า และดังนั้นพระวจนะของพระองค์จึงเป็นทั้งบทสนทนากับมนุษย์ และการเตือนสติและการตักเตือนมนุษย์ด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น พระวจนะของพระเจ้ายังเป็นพระบัญชาที่แสดงถึงสิทธิอำนาจของพระองค์ และประกาศไปยังทุกสรรพสิ่ง

บทตอนนี้บันทึกการกระทำใดของพระเจ้าเอาไว้?  บทตอนนี้บันทึกพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับมนุษย์หลังจากที่พระองค์ทรงทำลายล้างโลกด้วยน้ำท่วม บทตอนนี้บอกมนุษย์ว่าพระเจ้าจะไม่ทรงบันดาลให้เกิดการทำลายล้างเช่นนั้นบนโลกอีก และว่าเพื่อให้บรรลุปลายทางเช่นนี้ พระเจ้าจึงทรงสร้างหมายสำคัญอย่างหนึ่ง  สิ่งใดคือหมายสำคัญนี้?  ในองค์พระคัมภีร์ระบุว่า “เราตั้งรุ้งของเราไว้ที่เมฆ และรุ้งนั้นจะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับโลก”  เหล่านี้คือพระวจนะดั้งเดิมที่พระผู้สร้างมีกับมวลมนุษย์  ขณะที่พระองค์ตรัสพระวจนะเหล่านี้ ก็มีรุ้งปรากฏขึ้นแก่สายตาของมนุษย์ และยังคงอยู่ตรงนั้นมาจนถึงทุกวันนี้  ทุกคนเคยเห็นรุ้งดังกล่าว และเมื่อเจ้ามองเห็นรุ้ง เจ้ารู้หรือไม่ว่ารุ้งปรากฏขึ้นได้อย่างไร?  วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์รุ้งหรือชี้ที่ตั้งของแหล่งกำเนิดของมัน หรือระบุตำแหน่งแห่งหนของรุ้งได้  นั่นเป็นเพราะรุ้งคือหมายสำคัญแห่งพันธสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างพระผู้สร้างกับมนุษย์ มันไม่จำเป็นต้องใช้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ทำขึ้น อีกทั้งมนุษย์ก็ไม่สามารถปรับเปลี่ยนมันได้  รุ้งคือการดำรงคงอยู่แห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างหลังจากที่พระองค์ตรัสพระวจนะของพระองค์  พระผู้สร้างทรงใช้วิธีการเฉพาะของพระองค์เองเพื่อที่จะทรงปฏิบัติตามสัญญาของพระองค์และพันธสัญญาที่พระองค์ทรงมีกับมนุษย์ และดังนั้นการที่พระองค์ทรงใช้รุ้งเป็นหมายสำคัญแห่งพันธสัญญาที่พระองค์ทรงทำขึ้นนั้น จึงเป็นประกาศิตและธรรมบัญญัติจากสวรรค์ที่จะคงอยู่โดยไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของพระผู้สร้างหรือมวลมนุษย์ที่ทรงสร้าง  ธรรมบัญญัติอันไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้นี้ ต้องกล่าวว่าเป็นการสำแดงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างอย่างแท้จริงอีกครั้งหนึ่งหลังการสร้างสรรพสิ่งของพระผู้สร้าง และต้องกล่าวว่าสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้างนั้นไร้ขีดจำกัด การที่พระองค์ทรงใช้รุ้งเป็นหมายสำคัญคือการดำเนินสืบเนื่องและแผ่ขยายสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง  นี่คือพฤติการณ์อีกอย่างหนึ่งที่พระเจ้าทรงกระทำโดยใช้พระวจนะของพระองค์ และเป็นหมายสำคัญแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับมนุษย์โดยใช้พระวจนะ  พระองค์ตรัสบอกมนุษย์ถึงสิ่งที่พระองค์ตัดสินพระทัยแน่วแน่ว่าจะทำให้เกิดขึ้น และวิธีการที่จะทรงทำให้ลุล่วงและสัมฤทธิ์  ในหนทางนี้ เรื่องราวจึงได้ลุล่วงไปตามพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงครองฤทธานุภาพเช่นนี้ และในวันนี้ หลายพันปีหลังจากที่พระองค์ตรัสพระวจนะเหล่านี้ มนุษย์ยังคงสามารถมองดูรุ้งที่ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า  เนื่องจากพระวจนะเหล่านั้นที่พระเจ้าดำรัสไว้ สิ่งนี้จึงคงอยู่มาโดยไม่ปรับเปลี่ยนและไม่เปลี่ยนแปลงจนถึงวันนี้  ไม่มีผู้ใดสามารถทำให้รุ้งนี้หายไปได้ ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงธรรมบัญญัติทั้งหลายของมันได้ และรุ้งย่อมดำรงอยู่ด้วยพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น  นี่คือสิทธิอำนาจของพระเจ้าโดยแท้  “พระเจ้าทรงดีงามเช่นเดียวกับพระวจนะของพระองค์ และพระวจนะของพระองค์จะสำเร็จลุล่วง และสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้สำเร็จลุล่วงนั้นจะคงอยู่ตลอดกาล”  พระวจนะดังกล่าวสำแดงตนไว้ ณ ที่นี้อย่างชัดเจน และนี่คือหมายสำคัญและลักษณะเฉพาะแห่งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าอย่างชัดเจน  หมายสำคัญหรือลักษณะเฉพาะเช่นนี้ไม่มีอยู่หรือไม่อาจพบเห็นในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ รวมทั้งไม่มีการพบเห็นในสิ่งมีชีวิตที่มิได้ทรงสร้างใดๆ  นี่เป็นของพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์เท่านั้น และแยกพระอัตลักษณ์และแก่นแท้ที่มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงครองออกจากอัตลักษณ์และแก่นแท้ของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งหลาย  ในขณะเดียวกัน นี่ยังเป็นหมายสำคัญและลักษณะเฉพาะที่นอกจากพระเจ้าพระองค์เองแล้ว ไม่มีวันที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือที่มิได้ทรงสร้างใดๆ จะสามารถทำให้เลิศล้ำกว่าได้

การที่พระเจ้าทรงทำพันธสัญญาของพระองค์กับมนุษย์เป็นพฤติการณ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะใช้สื่อสารข้อเท็จจริงกับมนุษย์และบอกมนุษย์ถึงน้ำพระทัยของพระองค์  เพื่อการนี้ พระองค์จึงทรงใช้วิธีการที่มีเอกลักษณ์ โดยใช้หมายสำคัญพิเศษเพื่อทำพันธสัญญากับมนุษย์ หมายสำคัญซึ่งเป็นสัญญาถึงพันธสัญญาที่พระองค์ทรงทำไว้กับมนุษย์  ดังนั้นการทำพันธสัญญานี้เป็นเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่หรือไม่?  แล้วยิ่งใหญ่อย่างไร?  แน่นอนว่าสิ่งที่พิเศษเกี่ยวกับพันธสัญญามีดังนี้คือ  ไม่ใช่พันธสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างมนุษย์คนหนึ่งกับมนุษย์อีกคน หรือคนกลุ่มหนึ่งกับอีกกลุ่มหนึ่ง หรือประเทศหนึ่งกับอีกประเทศหนึ่ง แต่เป็นพันธสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างพระผู้สร้างกับมวลมนุษย์ทั้งปวง และจะยังคงมีผลไปจนถึงวันที่พระผู้สร้างทรงล้มล้างทุกสิ่ง  ผู้ที่สร้างพันธสัญญานี้คือพระผู้สร้าง และผู้ธำรงรักษาพันธสัญญาไว้ก็คือพระผู้สร้างเช่นกัน  กล่าวสั้นๆ คือ ทั้งหมดของพันธสัญญาแห่งรุ้งที่ทำไว้กับมวลมนุษย์นี้ลุล่วงและสัมฤทธิ์ตามบทสนทนาระหว่างพระผู้สร้างกับมวลมนุษย์ และยังคงเป็นเช่นนั้นเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้  สิ่งทรงสร้างทั้งหลายจะสามารถทำสิ่งอื่นใดได้อีกหรือ นอกจากนบนอบ เชื่อฟัง เชื่อ ซึ้งคุณค่า เป็นประจักษ์พยาน และสรรเสริญสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง?  เพราะไม่มีผู้ใดนอกจากพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์ที่มีฤทธานุภาพในการทำพันธสัญญาเช่นนั้น  การปรากฏของรุ้งครั้งแล้วครั้งเล่าคือการป่าวประกาศแก่มวลมนุษย์และร้องเรียกให้เขาหันมาสนใจพันธสัญญาระหว่างพระผู้สร้างกับมวลมนุษย์  ในการปรากฏตัวอย่างต่อเนื่องของพันธสัญญาระหว่างพระผู้สร้างกับมวลมนุษย์นี้ สิ่งที่แสดงให้มวลมนุษย์ดูไม่ใช่รุ้งหรือตัวพันธสัญญาเอง แต่เป็นสิทธิอำนาจอันมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ของพระผู้สร้าง  การปรากฏของรุ้งที่เกิดขึ้นซ้ำๆ แสดงให้เห็นกิจการที่เป็นปาฏิหาริย์และยิ่งใหญ่ไพศาลของพระผู้สร้างในสถานที่อันซ่อนเร้นทั้งหลาย และในขณะเดียวกันก็เป็นภาพสะท้อนที่สำคัญยิ่งถึงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างที่จะไม่มีวันจางหายไป และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  นี่มิใช่การแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้างอีกแง่มุมหนึ่งหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 92

พรของพระเจ้า

ปฐมกาล 17:4-6  จงดู พันธสัญญาของเราอยู่กับเจ้า เจ้าจะเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย ชื่อของเจ้าจะไม่ใช่อับรามอีกต่อไป เจ้าจะมีชื่อใหม่คืออับราฮัม เพราะเราให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย เราจะทำให้เจ้ามีพงศ์พันธุ์มากมายยิ่ง เราจะทำให้เจ้าเป็นชนหลายชาติ และกษัตริย์หลายองค์จะเกิดมาจากเจ้า

ปฐมกาล 18:18-19  แน่ทีเดียวอับราฮัมจะเป็นประชาชาติใหญ่โตและมีกำลังมาก และประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้รับพรก็เพราะเขา เพราะเรารู้จักเขา ว่าเขาจะกำชับลูกหลาน และครอบครัวที่สืบต่อมาของเขา ให้รักษาพระมรรคาของพระยาห์เวห์ ให้ทำความชอบธรรมและความยุติธรรม เพื่อพระยาห์เวห์จะประทานแก่อับราฮัม ตามที่พระองค์ตรัสไว้แก่เขา

ปฐมกาล 22:16-18  พระยาห์เวห์ตรัสว่า เราเองปฏิญาณว่า เพราะเจ้าทำอย่างนี้และไม่ได้หวงบุตรชายของเจ้า คือบุตรชายคนเดียวของเจ้า ดังนั้นเราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองแห่งศัตรูทั้งหลายของเขาเป็นกรรมสิทธิ์ ประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า เพราะว่าเจ้าเชื่อฟังเรา

โยบ 42:12  และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรชีวิตตอนปลายของโยบมากยิ่งกว่าตอนต้นของท่าน และท่านมีแกะ 14,000 ตัว อูฐ 6,000 ตัว วัวผู้ 1,000 คู่ และลาตัวเมีย 1,000 ตัว

รูปแบบและลักษณะเฉพาะอันทรงเอกลักษณ์แห่งถ้อยดำรัสของพระผู้สร้าง คือสัญลักษณ์แห่งพระอัตลักษณ์และสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง (บทตอนที่คัดมา)

มีคนมากมายปรารถนาที่จะแสวงหาและได้รับพรจากพระเจ้า แต่ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถได้รับพรเหล่านี้ เพราะพระเจ้าทรงมีหลักธรรมของพระองค์เอง และทรงอวยพรมนุษย์ในหนทางของพระองค์เอง  สัญญาที่พระเจ้าทรงมีแก่มนุษย์ และความมากน้อยของพระคุณที่พระองค์ประทานแก่มนุษย์ ถูกจัดสรรไปตามความคิดและการกระทำของมนุษย์  ดังนั้นพรของพระเจ้าแสดงให้เห็นสิ่งใด?  ผู้คนสามารถมองเห็นสิ่งใดในพรเหล่านี้?  ณ จุดนี้ พวกเรามาพักการเสวนาเกี่ยวกับประเภทของผู้คนที่พระเจ้าจะทรงอวยพร และหลักธรรมในการอวยพรมนุษย์ของพระเจ้าเอาไว้ก่อน แล้วมาดูการที่พระเจ้าทรงอวยพรมนุษย์เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการรู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้า จากมุมมองของการรู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้าแทนเถิด

สี่บทตอนขององค์พระคัมภีร์ข้างต้นล้วนเป็นบันทึกเกี่ยวกับการอวยพรมนุษย์ของพระเจ้า  บทตอนเหล่านี้พรรณนาถึงผู้ที่ได้รับพรจากพระเจ้าอย่างละเอียด อาทิ โยบและอับราฮัม รวมทั้งสาเหตุที่พระเจ้าประทานพรของพระองค์ และสิ่งที่อยู่ในพรเหล่านี้  กระแสเสียงและรูปแบบแห่งถ้อยดำรัสของพระเจ้า และมุมมองและตำแหน่งที่พระองค์ตรัส เปิดโอกาสให้ผู้คนได้ซึ้งคุณค่าว่า องค์หนึ่งเดียวที่ประทานพรและผู้ที่รับพรดังกล่าวนั้นมีอัตลักษณ์ สถานะ และแก่นแท้ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด  กระแสเสียงและรูปแบบของถ้อยดำรัสเหล่านี้ และตำแหน่งจากที่มีการตรัสถ้อยดำรัสเหล่านี้ออกมา คือเอกลักษณ์ประจำองค์ของพระเจ้าผู้ครองพระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้าง  พระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจและอิทธิฤทธิ์ รวมทั้งพระเกียรติของพระผู้สร้าง และพระบารมีที่จะไม่ยอมทนต่อความสงสัยของมนุษย์คนใด

ก่อนอื่น พวกเรามาดูปฐมกาล 17:4-6 กันเถิด ความว่า “จงดู พันธสัญญาของเราอยู่กับเจ้า เจ้าจะเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย ชื่อของเจ้าจะไม่ใช่อับรามอีกต่อไป เจ้าจะมีชื่อใหม่คืออับราฮัม เพราะเราให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย เราจะทำให้เจ้ามีพงศ์พันธุ์มากมายยิ่ง เราจะทำให้เจ้าเป็นชนหลายชาติ และกษัตริย์หลายองค์จะเกิดมาจากเจ้า”  พระวจนะเหล่านี้คือพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำไว้กับอับราฮัม ทั้งยังเป็นการที่พระเจ้าทรงอวยพรอับราฮัมว่า พระเจ้าจะทรงทำให้อับราฮัมเป็นบิดาของประชาชาติทั้งหลาย จะทรงทำให้เขามีพงศ์พันธุ์มากมายยิ่ง และจะทรงทำให้ชนหลายชาติถือกำเนิดจากเขา และกษัตริย์หลายองค์จะเกิดมาจากเขา  เจ้ามองเห็นสิทธิอำนาจของพระเจ้าในพระวจนะเหล่านี้หรือไม่?  เจ้าเห็นว่าสิทธิอำนาจดังกล่าวเป็นเช่นไร?  เจ้ามองเห็นแง่มุมใดของแก่นแท้แห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า?  จากการอ่านพระวจนะเหล่านี้อย่างตั้งใจ ย่อมไม่ยากเลยที่จะค้นพบว่าสิทธิอำนาจและพระอัตลักษณ์ของพระเจ้าถูกเผยให้เห็นอย่างชัดเจนในรูปแบบการใช้คำในถ้อยดำรัสของพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “พันธสัญญาของเราอยู่กับเจ้า เจ้าจะ… เราให้เจ้าเป็น… เราจะทำให้เจ้า…”  วลีเช่น “เจ้าจะ” และ “เราจะ” ซึ่งเป็นการใช้คำในรูปแบบบอกเล่าที่แสดงถึงพระอัตลักษณ์และสิทธิอำนาจของพระเจ้านั้น ในแง่มุมหนึ่งเป็นการบ่งชี้ให้เห็นความสัตย์ซื่อของพระผู้สร้าง และในอีกแง่หนึ่ง เหล่านี้เป็นคำพิเศษที่พระเจ้าซึ่งครองพระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้าง ทรงใช้—ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของคำศัพท์ตามแบบแผนทั่วไปด้วย  หากใครบางคนกล่าวว่าพวกเขาหวังจะให้อีกบุคคลหนึ่งมีพงศ์พันธุ์มากมายยิ่ง จะสร้างประชาชาติจากเขา และจะให้กษัตริย์หลายองค์เกิดจากเขา เช่นนั้นแล้ว นั่นย่อมเป็นความปรารถนาอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่สัญญาหรือพร  ดังนั้นผู้คนจึงไม่กล้าพูดว่า “ฉันจะทำให้ธอเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ เธอจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้” เพราะพวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่มีพลังอำนาจเช่นนั้น ความปรารถนาแบบนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขา และต่อให้พวกเขากล่าวเช่นนั้น คำพูดของพวกเขาก็ย่อมจะเหลวไหลว่างเปล่าที่มีความอยากและความทะเยอทะยานของพวกเขาคอยขับเคลื่อน  มีใครบ้างที่กล้าพูดด้วยน้ำเสียงที่ใหญ่โตเช่นนั้นหากพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถทำความปรารถนาของตนให้สำเร็จลุล่วงได้?  ทุกคนปรารถนาดีต่อพงศ์พันธุ์ของตนเอง และหวังว่าพวกเขาจะเป็นเลิศและสุขสำราญกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่  “หากพวกเขาคนใดคนหนึ่งได้เป็นจักรพรรดิก็ย่อมจะเป็นโชควาสนาอันยิ่งใหญ่!  หากคนเราได้เป็นเจ้าเมือง นั่นย่อมจะดีเช่นกัน—แค่ตราบใดที่พวกเขาได้เป็นคนสำคัญเท่านั้น!”  เหล่านี้คือ ความปรารถนาของผู้คนทุกคน แต่ผู้คนก็ทำได้เพียงอวยพรพงศ์พันธุ์ของพวกเขาเท่านั้น และไม่สามารถทำให้สัญญาอันใดของพวกเขาลุล่วงหรือกลายเป็นจริงขึ้นมาได้  ทุกคนรู้ชัดในหัวใจของพวกเขาว่าพวกเขาไม่มีพลังอำนาจที่จะสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านั้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวพวกเขาอยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขา ดังนั้นแล้วพวกเขาจะสามารถบังคับบัญชาชะตากรรมของผู้อื่นได้อย่างไร?  สาเหตุที่พระเจ้าสามารถตรัสพระวจนะเหล่านี้ได้ก็เป็นเพราะพระเจ้าทรงครองสิทธิอำนาจเช่นนั้น และสามารถทำให้สัญญาทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำกับมนุษย์สำเร็จลุล่วงและเป็นจริงได้ และสามารถทำให้พรทั้งหมดที่พระองค์ประทานแก่มนุษย์กลายเป็นจริง  มนุษย์ถูกพระเจ้าสร้างขึ้นมา และการที่พระเจ้าจะทรงทำให้ใครสักคนมีพงศ์พันธุ์อย่างมากมายยิ่งย่อมจะง่ายเหมือนของเด็กเล่น การทำให้พงศ์พันธุ์ของใครสักคนเจริญรุ่งเรืองนั้นพึงต้องใช้พระวจนะของพระองค์เพียงคำเดียวเท่านั้น  พระองค์ไม่มีวันต้องทรงพระราชกิจจนหลั่งพระเสโทเพื่อสิ่งนั้น หรือต้องใช้ความคิด หรือวิตกกังวลกับมัน นี่คือฤทธานุภาพของพระเจ้าโดยแท้ สิทธิอำนาจของพระเจ้าโดยแท้

หลังจากที่ได้อ่านบทตอนที่ว่า “แน่ทีเดียวอับราฮัมจะเป็นประชาชาติใหญ่โตและมีกำลังมาก และประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้รับพรก็เพราะเขา” ในปฐมกาล 18:18 แล้วนั้น พวกเจ้าสามารถรู้สึกถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้าสามารถรับรู้ถึงความเหนือธรรมดาของพระผู้สร้างหรือไม่?  พวกเจ้าสามารถรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่สูงสุดของพระผู้สร้างหรือไม่?  พระวจนะของพระเจ้านั้นแน่แท้  พระเจ้าตรัสพระวจนะเช่นนี้มิใช่เพราะ หรือเพื่อแสดงให้เห็นความมั่นใจในความสำเร็จของพระองค์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระวจนะเหล่านี้กลับเป็นข้อพิสูจน์ถึงสิทธิอำนาจแห่งถ้อยดำรัสของพระเจ้า และเป็นพระบัญชาที่ทำให้พระวจนะของพระเจ้าลุล่วง  ในที่นี้มีอยู่สองประโยคที่พวกเจ้าควรให้ความสนใจ  เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “แน่ทีเดียวอับราฮัมจะเป็นประชาชาติใหญ่โตและมีกำลังมาก และประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้รับพรก็เพราะเขา” นั้น มีสิ่งใดที่กำกวมอยู่ในพระวจนะเหล่านี้หรือไม่?  มีสิ่งใดที่แสดงถึงความกังวลหรือไม่?  มีสิ่งใดที่แสดงถึงความเกรงกลัวหรือไม่?  เป็นเพราะคำว่า “แน่ทีเดียว” และคำว่า “จะได้” ในถ้อยดำรัสของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ที่มีเฉพาะในมนุษย์และมักจะแสดงออกบ่อยครั้งในตัวเขา จึงไม่เคยมีความสัมพันธ์อันใดกับพระผู้สร้างเลย  ไม่มีผู้ใดจะกล้าใช้คำพูดเช่นนี้เวลาส่งความปรารถนาดีให้แก่ผู้อื่น ไม่มีผู้ใดจะกล้าอวยพรผู้อื่นด้วยความแน่ใจเช่นนี้ว่าจะมอบชนชาติที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจให้แก่พวกเขา หรือสัญญาว่าประชาชาติทั้งปวงบนแผ่นดินโลกจะได้รับการอวยพรอยู่ภายในตัวเขา  ยิ่งพระวจนะของพระเจ้าแน่นอนมากเท่าใด พระวจนะก็ยิ่งพิสูจน์บางอย่างมากเท่านั้น—แล้วบางอย่างนั้นคือสิ่งใด?  พระวจนะพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีสิทธิอำนาจถึงเพียงนั้น ว่าสิทธิอำนาจของพระองค์สามารถทำให้สิ่งเหล่านี้สำเร็จลุล่วงได้ และการที่สิ่งเหล่านี้จะสำเร็จลุล่วงก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้  ในพระหทัยของพระองค์ พระเจ้าแน่พระทัยในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงอวยพรอับราฮัม ไม่ทรงมีความลังเลแม้แต่น้อย  ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งหมดนี้ย่อมจะสำเร็จลุล่วงตามพระวจนะของพระองค์ และไม่มีกำลังบังคับใดที่จะสามารถปรับเปลี่ยน ขัดขวาง ลดทอน หรือรบกวนการลุล่วงของมันได้ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งอื่นใดขึ้น ไม่มีสิ่งใดจะสามารถเพิกถอนหรือมีอิทธิพลเหนือการทำให้พระวจนะของพระเจ้าลุล่วงและสำเร็จได้  นี่คืออิทธิฤทธิ์แห่งพระวจนะที่ดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระผู้สร้างโดยแท้ และเป็นสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างที่ไม่ยอมให้มนุษย์ปฏิเสธ!  เมื่อได้อ่านพระวจนะเหล่านี้แล้ว เจ้ายังรู้สึกสงสัยอยู่หรือไม่?  พระวจนะเหล่านี้ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า และมีฤทธานุภาพ บารมี และสิทธิอำนาจอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า  อิทธิฤทธิ์และสิทธิอำนาจเช่นนี้ และการที่ข้อเท็จจริงย่อมสำเร็จลุล่วงอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้นั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือที่มิได้ทรงสร้างใดๆ สามารถสัมฤทธิ์ได้ และไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือที่มิได้ทรงสร้างใดๆ สามารถทำได้เหนือกว่า  มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่สามารถสนทนากับมวลมนุษย์ด้วยกระแสเสียงและน้ำเสียงเช่นนั้น และข้อเท็จจริงต่างๆ ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า สัญญาของพระองค์มิใช่คำพูดที่ว่างเปล่า หรือคำอวดตัวที่ไร้สาระ แต่เป็นการแสดงออกถึงสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ที่ไม่มีบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งอันใดสามารถทำให้เลิศล้ำกว่าได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 93

พรของพระเจ้า

ปฐมกาล 17:4-6  จงดู พันธสัญญาของเราอยู่กับเจ้า เจ้าจะเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย ชื่อของเจ้าจะไม่ใช่อับรามอีกต่อไป เจ้าจะมีชื่อใหม่คืออับราฮัม เพราะเราให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย เราจะทำให้เจ้ามีพงศ์พันธุ์มากมายยิ่ง เราจะทำให้เจ้าเป็นชนหลายชาติ และกษัตริย์หลายองค์จะเกิดมาจากเจ้า

ปฐมกาล 18:18-19  แน่ทีเดียวอับราฮัมจะเป็นประชาชาติใหญ่โตและมีกำลังมาก และประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้รับพรก็เพราะเขา เพราะเรารู้จักเขา ว่าเขาจะกำชับลูกหลาน และครอบครัวที่สืบต่อมาของเขา ให้รักษาพระมรรคาของพระยาห์เวห์ ให้ทำความชอบธรรมและความยุติธรรม เพื่อพระยาห์เวห์จะประทานแก่อับราฮัม ตามที่พระองค์ตรัสไว้แก่เขา

ปฐมกาล 22:16-18  พระยาห์เวห์ตรัสว่า เราเองปฏิญาณว่า เพราะเจ้าทำอย่างนี้และไม่ได้หวงบุตรชายของเจ้า คือบุตรชายคนเดียวของเจ้า ดังนั้นเราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองแห่งศัตรูทั้งหลายของเขาเป็นกรรมสิทธิ์ ประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า เพราะว่าเจ้าเชื่อฟังเรา

โยบ 42:12  และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรชีวิตตอนปลายของโยบมากยิ่งกว่าตอนต้นของท่าน และท่านมีแกะ 14,000 ตัว อูฐ 6,000 ตัว วัวผู้ 1,000 คู่ และลาตัวเมีย 1,000 ตัว

รูปแบบและลักษณะเฉพาะอันทรงเอกลักษณ์แห่งถ้อยดำรัสของพระผู้สร้าง คือสัญลักษณ์แห่งพระอัตลักษณ์และสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง (บทตอนที่คัดมา)

สิ่งใดคือความแตกต่างระหว่างพระวจนะที่พระเจ้าตรัสกับคำพูดที่มนุษย์กล่าว?  เมื่อเจ้าอ่านพระวจนะที่พระเจ้าตรัสเหล่านี้ เจ้ารับรู้ถึงอิทธิฤทธิ์แห่งพระวจนะของพระเจ้าและสิทธิอำนาจของพระเจ้า  แล้วเจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อเจ้าได้ยินผู้คนกล่าวคำพูดเช่นนี้?  เจ้าคิดว่าพวกเขาโอหังและอวดตัวอย่างที่สุด เป็นผู้คนที่กำลังทำให้ตัวเองขายหน้าต่อหน้าธารกำนัลหรือไม่?  ในเมื่อพวกเขาไม่มีพลังอำนาจนี้ พวกเขาจึงไม่ได้ครองสิทธิอำนาจเช่นนี้ และดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถสัมฤทธิ์สิ่งทั้งหลายเช่นนี้อย่างสิ้นเชิง  การที่พวกเขามั่นใจในคำสัญญาของพวกเขาเหลือเกินแสดงให้เห็นเพียงความไม่ระมัดระวังในการให้ความเห็นของพวกเขาเท่านั้น  หากใครบางคนกล่าวคำพูดเช่นนี้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะโอหังและมั่นใจเกินขนาดอย่างไม่ต้องสงสัย และพวกเขาย่อมจะเผยตัวเองว่าเป็นตัวอย่างตามแบบฉบับแห่งอุปนิสัยของหัวหน้าทูตสวรรค์  พระวจนะเหล่านี้มาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า เจ้ารู้สึกถึงความโอหังในที่นี้บ้างหรือไม่?  เจ้ารู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นเพียงเรื่องตลกหรือไม่?  พระวจนะของพระเจ้าคือสิทธิอำนาจ พระวจนะของพระเจ้าคือข้อเท็จจริง และก่อนที่พระวจนะจะถูกดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ซึ่งหมายความว่าขณะที่พระองค์กำลังตัดสินพระทัยว่าจะทำบางสิ่งบางอย่าง เมื่อนั้นสิ่งนั้นก็ได้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว  อาจกล่าวได้ว่าทั้งหมดที่พระเจ้าได้ตรัสกับอับราฮัมคือพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำไว้กับอับราฮัม และเป็นสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่อับราฮัม  สัญญานี้คือข้อเท็จจริงที่ยอมรับกันทั่วไป ทั้งยังเป็นข้อเท็จจริงที่สำเร็จลุล่วงไปแล้ว และข้อเท็จจริงเหล่านี้ก็ค่อยๆ ลุล่วงในพระดำริของพระเจ้าอย่างสอดคล้องกับแผนการของพระเจ้า  ดังนั้น การที่พระเจ้าตรัสพระวจนะเช่นนั้นจึงไม่ได้หมายความว่าพระองค์มีพระอุปนิสัยที่โอหัง เพราะพระเจ้าสามารถสัมฤทธิ์สิ่งดังกล่าวได้  พระองค์ทรงมีฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจนี้ และสามารถที่จะสัมฤทธิ์การกระทำเหล่านี้โดยบริบูรณ์ และการสำเร็จลุล่วงการกระทำเหล่านี้ก็อยู่ภายในขอบเขตความสามารถของพระองค์ทั้งสิ้น  เมื่อพระวจนะเช่นนี้ถูกดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า ก็ย่อมเป็นการแสดงออกและเผยให้เห็นพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้า เป็นการเปิดเผยและสำแดงแก่นแท้และสิทธิอำนาจของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ และไม่มีสิ่งใดเป็นข้อพิสูจน์พระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้างได้อย่างถูกต้องเหมาะสมไปกว่านี้  ลักษณะ กระแสเสียง และรูปแบบการใช้คำในถ้อยดำรัสเช่นนี้คือเครื่องหมายแห่งพระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้างโดยแท้ และเป็นดังการแสดงออกซึ่งพระอัตลักษณ์ของพระเจ้าเอง ในพระวจนะเหล่านี้ไม่มีการเสแสร้ง ไม่มีมลทิน และเป็นการแสดงให้เห็นแก่นแท้และสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างอย่างเต็มที่และบริบูรณ์  สำหรับสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งหลายนั้น พวกเขาไม่มีทั้งสิทธิอำนาจนี้หรือแก่นแท้นี้ และพวกเขายิ่งไม่มีพลังอำนาจที่พระเจ้าประทานให้  หากมนุษย์สำแดงพฤติกรรมดังกล่าวได้ เช่นนั้นแล้ว แน่นอนที่สุดว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาย่อมจะระเบิดออกมา และที่รากเหง้าของการนี้ก็จะเกิดผลกระทบวุ่นวายจากความโอหังกับความทะเยอทะยานอันลำพองของมนุษย์ และจะเกิดการเปิดโปงเจตนาอันมุ่งร้ายที่ไม่ใช่ของใครอื่นนอกจากมารซาตาน ซึ่งปรารถนาที่จะหลอกลวงผู้คนและชักจูงพวกเขาให้ทรยศพระเจ้า  พระเจ้าทรงมองสิ่งที่ถูกเปิดเผยออกมาด้วยการใช้ภาษาเช่นนั้นว่าอย่างไร?  พระเจ้าย่อมจะตรัสว่าเจ้าปรารถนาที่จะช่วงชิงพื้นที่ของพระองค์ และเจ้าปรารถนาที่จะปลอมเป็นพระองค์และแทนที่พระองค์  เมื่อเจ้าเลียนแบบกระแสเสียงแห่งถ้อยดำรัสของพระเจ้า เจตนาของเจ้าคือการแทนที่พระเจ้าในหัวใจของผู้คน เป็นการยึดเอามวลมนุษย์ที่เป็นของพระเจ้าโดยชอบอยู่แล้ว นี่คือซาตานโดยแท้ เหล่านี้คือการกระทำแห่งพงศ์พันธุ์ของหัวหน้าทูตสวรรค์ ที่สวรรค์มิอาจทนยอมรับได้!  มีผู้ใดในหมู่พวกเจ้าที่เคยเลียนแบบพระเจ้าในหนทางใดหนทางหนึ่งโดยกล่าวคำพูดไม่กี่คำ ด้วยเจตนาที่จะหลอกลวงและชี้นำผู้คนในทางที่ผิด และทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่าคำพูดและการกระทำของบุคคลผู้นี้มีสิทธิอำนาจและอิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า ราวกับว่าแก่นแท้และอัตลักษณ์ของบุคคลผู้นี้มีเอกลักษณ์ และกระทั่งราวกับว่าน้ำเสียงในคำพูดของบุคคลผู้นี้คล้ายคลึงกับพระกระแสเสียงของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้าเคยทำบางสิ่งเยี่ยงนี้หรือไม่?  ในวาทะของพวกเจ้า พวกเจ้าเคยเลียนแบบพระกระแสเสียงของพระเจ้า พร้อมอากัปกิริยาที่กล่าวอ้างกันว่าแสดงถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และสิ่งที่พวกเจ้าคาดเดาเอาว่าเป็นอิทธิฤทธิ์และสิทธิอำนาจหรือไม่?  พวกเจ้าส่วนใหญ่กระทำการหรือวางแผนที่จะกระทำการในหนทางเช่นนั้นอยู่บ่อยครั้งหรือไม่?  บัดนี้เมื่อพวกเจ้ามองเห็น ล่วงรู้ และรู้จักสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างอย่างแท้จริง และย้อนกลับไปมองสิ่งที่พวกเจ้าเคยทำ และสิ่งที่พวกเจ้าเคยเผยให้เห็นเกี่ยวกับตัวเอง พวกเจ้ารู้สึกรังเกียจหรือไม่?  พวกเจ้าตระหนักถึงความต่ำศักดิ์และความไร้ยางอายของตนเองหรือไม่?  เมื่อได้ชำแหละอุปนิสัยและแก่นแท้ของผู้คนเช่นนั้นแล้ว สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าพวกเขาคือลูกหลานที่ถูกสาปของนรก?  สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าทุกคนที่ทำสิ่งทั้งหลายเช่นนั้นกำลังนำความอัปยศมาสู่ตัวพวกเขาเอง?  พวกเจ้าตระหนักถึงความร้ายแรงแห่งธรรมชาติของมันหรือไม่?  แล้วมันร้ายแรงเพียงใด?  เจตนาของผู้คนที่กระทำการในหนทางนี้ก็คือเพื่อเลียนแบบพระเจ้า  พวกเขาต้องการที่จะเป็นพระเจ้า ที่จะทำให้ผู้คนนมัสการพวกเขาเช่นพระเจ้า  พวกเขาต้องการที่จะลบล้างพื้นที่ของพระเจ้าในหัวใจของผู้คน และกำจัดพระเจ้าผู้ทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ และพวกเขาทำการนี้เพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายในการควบคุมผู้คน กลืนกินผู้คน และครอบครองผู้คน  ทุกคนมีความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานเยี่ยงนี้ในจิตใต้สำนึก และทุกคนดำรงชีวิตอยู่ในแก่นแท้ที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตานเช่นนี้ อยู่ในธรรมชาติเยี่ยงซาตานที่ทำให้พวกเขาเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า ทรยศพระเจ้า และปรารถนาที่จะกลายเป็นพระเจ้า  หลังจากการสามัคคีธรรมของเราในหัวข้อเรื่องสิทธิอำนาจของพระเจ้า พวกเจ้ายังคงปรารถนาหรือใฝ่ฝันที่จะเลียนแบบหรือปลอมเป็นพระเจ้าอยู่หรือไม่?  พวกเจ้ายังคงอยากเป็นพระเจ้าอยู่หรือไม่?  พวกเจ้ายังคงปรารถนาที่จะกลายเป็นพระเจ้าอยู่หรือไม่?  สิทธิอำนาจของพระเจ้านั้นมิอาจมีมนุษย์คนใดเลียนแบบได้ และพระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าก็มิอาจมีมนุษย์คนใดปลอมแปลงได้  ถึงแม้ว่าเจ้าจะสามารถเลียนแบบพระกระแสเสียงที่พระเจ้าใช้ตรัส แต่เจ้าก็ไม่สามารถเลียนแบบแก่นแท้ของพระเจ้าได้  ถึงแม้เจ้าจะสามารถยืนอยู่ในที่ของพระเจ้าและปลอมเป็นพระเจ้า แต่เจ้าจะไม่มีวันสามารถทำสิ่งที่พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะทำ และจะไม่มีวันสามารถปกครองและบัญชาสรรพสิ่งได้  ในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าจะเป็นสิ่งทรงสร้างเล็กๆ สิ่งหนึ่งตลอดไป และไม่ว่าทักษะและความสามารถของเจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์สักกี่อย่าง แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่เป็นเจ้าก็อยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง  ถึงแม้เจ้าจะสามารถกล่าวคำที่แข็งกร้าวอยู่บ้าง แต่นี่ก็ไม่สามารถแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีแก่นแท้ของพระผู้สร้าง หรือแสดงว่าเจ้ามีสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง  สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าคือแก่นแท้ของพระเจ้าพระองค์เอง  สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้หรือเพิ่มเติมได้จากภายนอก แต่เป็นแก่นแท้ตามธรรมชาติของพระเจ้าพระองค์เอง  และดังนั้นสัมพันธภาพระหว่างพระผู้สร้างกับสรรพสิ่งทรงสร้างจึงไม่มีวันปรับเปลี่ยนได้  ในฐานะหนึ่งในสรรพสิ่งทรงสร้าง มนุษย์ต้องรักษาตำแหน่งของเขาเอง และประพฤติตนอย่างมีสติ  จงเฝ้าระวังรักษาสิ่งที่พระผู้สร้างไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้าตามหน้าที่  จงอย่ากระทำการล้ำเส้น หรือทำสิ่งที่อยู่นอกเหนือความสามารถของเจ้า หรือที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง  จงอย่าพยายามเป็นผู้ยิ่งใหญ่ หรือกลายเป็นยอดมนุษย์ หรือเหนือสิ่งอื่นใด จงอย่าพยายามที่จะกลายเป็นพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่ผู้คนไม่ควรอยากจะเป็น  การพยายามเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือยอดมนุษย์นั้นไร้สาระ  การเสาะแสวงที่จะกลายเป็นพระเจ้าย่อมเป็นที่เสื่อมเสียยิ่งกว่า ทั้งน่าขยะแขยงและน่าดูหมิ่น  สิ่งที่น่าชมเชยและสิ่งที่สิ่งทรงสร้างทั้งหลายควรจะยึดปฏิบัติยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดก็คือ การกลายเป็นสิ่งทรงสร้างที่แท้จริง นี่คือเป้าหมายเดียวเท่านั้นที่ทุกคนควรไล่ตามเสาะหา

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 94

สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างไม่ถูกจำกัดควบคุมโดยกาลเวลา พื้นที่ หรือภูมิประเทศ และสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างนั้นมิอาจคิดคำนวณได้ (บทตอนที่คัดมา)

พวกเรามาดูปฐมกาล 22:17-18 กันเถิด  นี่คืออีกบทตอนหนึ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสไว้ ในบทตอนนี้พระองค์ตรัสกับอับราฮัมว่า “ดังนั้นเราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองแห่งศัตรูทั้งหลายของเขาเป็นกรรมสิทธิ์ ประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า เพราะว่าเจ้าเชื่อฟังเรา”  พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงอวยพรอับราฮัมหลายครั้งว่าให้เชื้อสายของเขาเพิ่มทวีขึ้น ว่าแต่ว่าพวกเขาจะเพิ่มไปถึงขอบเขตใด?  ถึงขอบเขตที่กล่าวไว้ในองค์พระคัมภีร์ว่า “ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล”  นี่หมายความว่าพระเจ้าปรารถนาที่จะประทานหน่อเนื้อเชื้อไขแก่อับราฮัมเป็นจำนวนมากเหมือนดวงดาวในท้องฟ้า และเหลือเฟือเหมือนเม็ดทรายบนฝั่งทะเล  พระเจ้าตรัสโดยใช้โวหารภาพพจน์ และจากโวหารภาพพจน์นี้ก็ไม่ยากที่จะมองเห็นว่าพระเจ้าจะไม่ประทานพงศ์พันธุ์ให้แก่อับราฮัมเพียงหนึ่ง สอง หรือเพียงหลายพันคน แต่เป็นจำนวนที่นับไม่ถ้วน มากพอที่พวกเขาจะกลายเป็นมวลชนแห่งประชาชาติ เพราะพระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัมไว้ว่าเขาจะได้เป็นบิดาแห่งประชาชาติมากมาย  ทั้งนี้ จำนวนนั้นตัดสินโดยมนุษย์ หรือว่าตัดสินโดยพระเจ้า?  มนุษย์สามารถควบคุมได้หรือว่าเขาจะมีพงศ์พันธุ์เท่าใด?  การนี้ขึ้นอยู่กับเขากระนั้นหรือ?  นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมนุษย์ด้วยซ้ำว่าเขาจะมีพงศ์พันธุ์หลายคนหรือไม่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจำนวนที่มากมายดัง “ดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล”  มีผู้ใดไม่ปรารถนาให้เชื้อสายของตนมีจำนวนมากมายเหมือนดวงดาว?  น่าเสียดายที่มิใช่ว่าสิ่งทั้งหลายจะออกมาในหนทางที่เจ้าต้องการเสมอไป  ไม่ว่ามนุษย์จะเปี่ยมด้วยทักษะหรือความสามารถเพียงใด การนี้ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา ไม่มีผู้ใดสามารถยืนอยู่นอกสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ได้  พระองค์ทรงอนุญาตให้เจ้ามากเพียงใด เจ้าก็จะมีมากเพียงเท่านั้น กล่าวคือ หากพระเจ้าประทานแก่เจ้าแต่น้อย เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่มีวันมีมาก และหากพระเจ้าประทานแก่เจ้ามากมาย ก็ย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะไม่พอใจว่าเจ้ามีมาก  นี่ไม่ใช่เช่นนี้หรอกหรือ?  ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์!  มนุษย์มีพระเจ้าปกครอง และไม่มีผู้ใดได้รับการยกเว้น!

เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น” นี่คือพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับอับราฮัม และมันก็จะสำเร็จลุล่วงไปจนชั่วกัลปาวสานดังเช่นพันธสัญญาแห่งรุ้ง และยังเป็นสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่อับราฮัมเช่นกัน  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมีคุณสมบัติและมีความสามารถที่จะทำให้สัญญานี้เป็นจริงได้  ไม่ว่ามนุษย์จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่ามนุษย์จะยอมรับหรือไม่ก็ตาม และไม่ว่ามนุษย์จะมีทรรศนะหรือคำนึงถึงมันอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้จะลุล่วงตามพระวจนะที่พระเจ้าตรัสอย่างไม่ผิดเพี้ยน  พระวจนะของพระเจ้าจะไม่มีการปรับเปลี่ยนเนื่องจากความเปลี่ยนแปลงในเจตจำนงหรือมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ และจะไม่มีการปรับเปลี่ยนเนื่องจากความเปลี่ยนแปลงในตัวบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งอันใด  สรรพสิ่งอาจปลาสนาการไป แต่พระวจนะของพระเจ้าจะยังคงอยู่ตลอดกาล  ในความเป็นจริงแล้ว วันที่ทุกสิ่งปลาสนาการไปนั้นย่อมเป็นวันที่พระวจนะของพระเจ้าลุล่วงอย่างบริบูรณ์โดยแท้ เพราะพระองค์คือพระผู้สร้าง พระองค์ทรงครองสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง ฤทธานุภาพของพระผู้สร้าง และพระองค์ทรงควบคุมสรรพสิ่งและพลังชีวิตทั้งหมด พระองค์สามารถทำให้บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่า หรือทำให้บางสิ่งบางอย่างกลายเป็นความว่างเปล่าได้ และพระองค์ทรงควบคุมการแปลงสภาพของทุกสิ่งตั้งแต่สิ่งที่มีชีวิตไปจนถึงสิ่งที่ตายแล้ว สำหรับพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดง่ายดายเท่าการเพิ่มทวีเมล็ดพันธุ์ของใครบางคน  การนี้ฟังดูเพ้อฝันเหมือนเป็นเทพนิยายสำหรับมนุษย์ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว สิ่งที่พระองค์ตัดสินพระทัยและสัญญาว่าจะทำนั้นไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน และไม่ใช่เทพนิยาย  แต่กลับเป็นข้อเท็จจริงที่พระเจ้าทรงมองเห็นแล้ว และย่อมจะต้องสำเร็จลุล่วงอย่างแน่นอน  พวกเจ้าซึ้งคุณค่าของการนี้หรือไม่?  ข้อเท็จจริงเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นหรือไม่ว่าพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมมีจำนวนมากมาย?  พวกเขามีจำนวนมากมายเพียงใด?  พวกเขามีจำนวนมากมายดัง “ดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล” ตามที่พระเจ้าตรัสไว้หรือไม่?  พวกเขาได้แพร่กระจายไปทั่วทุกประชาชาติและภูมิภาคทั้งปวง ไปยังทุกที่ในโลกหรือไม่?  ข้อเท็จจริงนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยสิ่งใด?  สำเร็จลุล่วงด้วยสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  หลังจากที่มีการตรัสพระวจนะของพระเจ้ามานานหลายร้อยหรือหลายพันปีแล้ว พระวจนะของพระเจ้าก็ยังคงลุล่วงต่อไป และกลายเป็นข้อเท็จจริงอยู่เป็นนิจ นี่คืออิทธิฤทธิ์แห่งพระวจนะของพระเจ้า และเป็นข้อพิสูจน์ถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งในปฐมกาลนั้น พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” และความสว่างก็มีขึ้น  การนี้เกิดขึ้นรวดเร็วมาก ลุล่วงไปในเวลาอันสั้นมาก และไม่มีความล่าช้าในการสำเร็จและลุล่วงของการนั้น ผลแห่งพระวจนะของพระเจ้าเกิดขึ้นโดยพลัน  ทั้งสองสิ่งคือการแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจของพระเจ้า แต่เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรอับราฮัม พระองค์ได้ทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นแก่นแท้อีกด้านหนึ่งแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า รวมทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างมิอาจคิดคำนวณได้ และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างในด้านที่เป็นจริงยิ่งขึ้นและวิจิตรยิ่งขึ้น

ทันทีที่มีการดำรัสพระวจนะของพระเจ้า สิทธิอำนาจของพระเจ้าก็เข้าบัญชาพระราชกิจนี้ และข้อเท็จจริงที่พระโอษฐ์ของพระเจ้าให้สัญญาไว้ก็เริ่มค่อยๆ กลายเป็นจริง  ผลลัพธ์ก็คือความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายเริ่มปรากฏท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง เหมือนกันอย่างยิ่งกับที่ต้นหญ้ากลายเป็นสีเขียวเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ดอกไม้ผลิบาน เกิดตาอ่อนตามต้นไม้ นกเริ่มขับขาน ห่านป่าหวนคืน และท้องทุ่งก็คับคั่งไปด้วยผู้คน… ทุกสิ่งฟื้นคืนกำลังขึ้นมาใหม่ด้วยการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิ และนี่คือกิจการอันมหัศจรยย์ของพระผู้สร้าง  เมื่อพระเจ้าทรงทำให้สัญญาของพระองค์สำเร็จลุล่วง ทุกสิ่งบนสวรรค์และแผ่นดินโลกก็เริ่มต้นใหม่และเปลี่ยนแปลงไปตามพระดำริของพระเจ้า—ไม่มีสิ่งใดได้รับการยกเว้น  เมื่อคำมั่นหรือสัญญาถูกดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า ทุกสิ่งย่อมทำหน้าที่เพื่อให้คำมั่นหรือสัญญานั้นลุล่วง และถูกยักย้ายถ่ายเทเพื่อทำให้การนั้นลุล่วง สรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงถูกจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง แสดงบทบาทในส่วนของตน และปฏิบัติหน้าที่ในส่วนของตน  นี่คือการสำแดงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง  เจ้ามองเห็นสิ่งใดในการนี้?  เจ้ารู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้อย่างไร?  สิทธิอำนาจของพระเจ้ามีการแบ่งออกเป็นระดับหรือไม่?  มีการจำกัดเวลาหรือไม่?  สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าสิทธิอำนาจของพระเจ้ามีความสูงเท่านี้หรือมีความยาวเท่านี้?  สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่ามีขนาดหรือความแข็งแกร่งเท่านี้?  สามารถวัดตามมิติทั้งหลายของมนุษย์ได้หรือไม่?  สิทธิอำนาจของพระเจ้าไม่ได้กะพริบเปิดและปิด ไม่ได้มาแล้วก็ไป และไม่มีผู้ใดสามารถวัดได้ว่าสิทธิอำนาจของพระเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใด  ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรบุคคลหนึ่ง พรนี้จะดำเนินต่อเนื่องไป และความต่อเนื่องนี้จะเป็นข้อพิสูจน์ถึงสิทธิอำนาจอันมิอาจประเมินได้ของพระเจ้า และจะเปิดโอกาสให้มวลมนุษย์ได้เห็นพลังชีวิตอันมิอาจดับสลายได้ของพระผู้สร้างปรากฏขึ้นอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า  การแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจของพระองค์ในแต่ละครั้งคือการแสดงพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ โดยแสดงให้ปรากฏแก่ทุกสรรพสิ่ง และมวลมนุษย์  ยิ่งไปกว่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่สำเร็จลุล่วงโดยสิทธิอำนาจของพระองค์ล้วนวิจิตรเกินจะเปรียบปาน และไร้ตำหนิโดยสิ้นเชิง  สามารถกล่าวได้ว่าพระดำริของพระองค์ พระวจนะของพระองค์ สิทธิอำนาจของพระองค์ และพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์สำเร็จลุล่วงล้วนเป็นภาพอันงดงามอย่างมิอาจหาใดเปรียบ และสำหรับสิ่งทรงสร้างทั้งหลาย ภาษาของมวลมนุษย์ไม่สามารถพรรณนานัยสำคัญและคุณค่าของสิทธิอำนาจได้  เมื่อพระเจ้าทรงทำสัญญากับบุคคลหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขาย่อมเป็นที่คุ้นเคยของพระเจ้าดุจดังหลังพระหัตถ์ของพระองค์เอง ไม่ว่าจะเป็นที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ หรือสิ่งที่พวกเขาทำ ภูมิหลังของพวกเขาก่อนหรือหลังจากที่พวกเขาได้รับสัญญา หรือไม่ว่าความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสภาพแวดล้อมที่พวกเขาดำรงชีวิตนั้นจะใหญ่หลวงเพียงใด  ไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยไปมากเพียงใดหลังจากที่มีการตรัสพระวจนะของพระเจ้า สำหรับพระองค์แล้ว นั่นเป็นราวกับว่าพระวจนะเหล่านั้นเพิ่งถูกดำรัส  นี่หมายความว่าพระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพและทรงมีสิทธิอำนาจชนิดที่พระองค์สามารถติดตามรับรู้ ควบคุม และลุล่วงสัญญาทุกข้อที่พระองค์ทรงทำกับมวลมนุษย์ได้ และไม่ว่าสัญญานั้นจะเป็นสิ่งใด ไม่ว่าต้องใช้เวลายาวนานเพียงใดในการทำให้ลุล่วงโดยบริบูรณ์ และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าการทำให้สัญญาสำเร็จลุล่วงจะเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ในขอบเขตกว้างขวางสักเพียงใด—ตัวอย่างเช่น กาลเวลา ภูมิประเทศ เชื้อชาติ และอื่นๆ—สัญญานี้ย่อมจะสำเร็จและลุล่วง นอกจากนี้การทำให้สัญญาสำเร็จและลุล่วงย่อมไม่ต้องใช้ความพยายามของพระองค์เลยแม้แต่น้อย  การนี้พิสูจน์ให้เห็นสิ่งใด?  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้ากว้างใหญ่ไพศาลพอที่จะควบคุมทั้งจักรวาลและมวลมนุษย์ทั้งปวง  พระเจ้าทรงสร้างความสว่าง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าทรงบริหารจัดการเฉพาะความสว่างเท่านั้น หรือพระองค์ทรงบริหารจัดการเพียงน้ำเพราะพระองค์ทรงสร้างน้ำขึ้นมาเท่านั้น และไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งนอกเหนือจากนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพระเจ้า  นี่มิใช่การเข้าใจผิดหรอกหรือ?  ถึงแม้ว่าการที่พระเจ้าทรงอวยพรอับราฮัมค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของมนุษย์แล้วหลังเวลาผ่านไปหลายร้อยปี แต่สำหรับพระเจ้า สัญญานี้ยังคงอยู่เหมือนเดิม ยังคงอยู่ในกระบวนการแห่งการสำเร็จลุล่วง และไม่เคยหยุดเลย  มนุษย์ไม่เคยรู้หรือไม่เคยได้ยินว่าพระเจ้าทรงใช้สิทธิอำนาจของพระองค์อย่างไร ทุกสิ่งได้รับการจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการอย่างไร และมีเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์เกิดขึ้นท่ามกลางสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระเจ้าในกาลสมัยนี้มากมายเพียงใด แต่สิ่งอัศจรรย์ทุกอย่างที่แสดงถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า และการเผยให้เห็นกิจการทั้งหลายของพระองค์ ได้ถูกส่งต่อและเป็นที่ยกย่องท่ามกลางสรรพสิ่ง ทุกสิ่งแสดงและกล่าวถึงกิจการอันเปี่ยมปาฏิหาริย์ของพระผู้สร้าง และเรื่องราวแต่ละเรื่องที่เล่าขานกันไว้มากมายถึงอธิปไตยที่พระผู้สร้างทรงมีเหนือทุกสรรพสิ่ง ย่อมจะได้รับการกล่าวประกาศโดยทุกสรรพสิ่งไปชั่วกาลนาน  สิทธิอำนาจที่พระเจ้าทรงใช้ปกครองสรรพสิ่ง และฤทธานุภาพของพระเจ้า แสดงให้ทุกสิ่งเห็นว่าพระเจ้าสถิตอยู่ทุกแห่งหนและตลอดเวลา  เมื่อเจ้าประจักษ์ถึงการมีอยู่ในทุกหนแห่งของสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าแล้ว เจ้าจะเห็นว่าพระเจ้าสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่งและตลอดเวลา  สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าไม่ถูกจำกัดควบคุมโดยกาลเวลา ภูมิประเทศ พื้นที่ หรือบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งอันใด  ความกว้างขวางแห่งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าเลิศล้ำเกินจินตนาการของมนุษย์ เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจหยั่งถึงได้ มนุษย์ไม่อาจจินตนาการได้ และมนุษย์จะไม่มีวันรู้จักอย่างครบถ้วน

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 95

สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างไม่ถูกจำกัดควบคุมโดยกาลเวลา พื้นที่ หรือภูมิประเทศ และสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างนั้นมิอาจคิดคำนวณได้ (บทตอนที่คัดมา)

ผู้คนบางคนชอบที่จะอนุมานและจินตนาการ แต่จินตนาการของมนุษย์จะสามารถไปได้ไกลเพียงใด?  สามารถไปได้ไกลพ้นโลกนี้หรือไม่?  มนุษย์สามารถอนุมานและจินตนาการถึงความจริงแท้และความถูกต้องแม่นยำแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้หรือไม่?  การอนุมานและจินตนาการของมนุษย์สามารถเปิดโอกาสให้เขาสัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้หรือไม่?  ทั้งสองอย่างนี้ทำให้มนุษย์ซึ้งคุณค่าและนบนอบต่อสิทธิอำนาจของพระเจ้าอย่างแท้จริงได้หรือไม่?  ข้อเท็จจริงทั้งหลายพิสูจน์ให้เห็นว่า การอนุมานและจินตนาการของมนุษย์เป็นเพียงผลผลิตแห่งเชาวน์ปัญญาของมนุษย์เท่านั้น และไม่ได้ช่วยหรือเป็นประโยชน์ต่อความรู้ที่มนุษย์มีเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย  หลังจากอ่านนิยายวิทยาศาสตร์ บางคนสามารถจินตนาการถึงดวงจันทร์ หรือจินตนาการว่าดวงดาวทั้งหลายเป็นอย่างไร  กระนั้นนี่ก็ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์มีความเข้าใจอันใดในสิทธิอำนาจของพระเจ้า  จินตนาการของมนุษย์ก็เป็นเพียงเท่านั้น—แค่จินตนาการ  เขาไม่มีการจับความเข้าใจถึงข้อเท็จจริงของสิ่งเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งหมายถึงจับความเข้าใจในความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเหล่านี้กับสิทธิอำนาจของพระเจ้า  ต่อให้เจ้าเคยไปดวงจันทร์ การนี้จะสำคัญอย่างไร?  การนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้ามีความเข้าใจหลากหลายมิติเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้ากระนั้นหรือ?  แสดงให้เห็นว่าเจ้าสามารถจินตนาการถึงความกว้างขวางแห่งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าได้กระนั้นหรือ?  ในเมื่อการอนุมานและจินตนาการของมนุษย์ไม่สามารถเปิดโอกาสให้เขารู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้ แล้วมนุษย์ควรทำเช่นไร?  ทางเลือกที่ทรงปัญญาที่สุดย่อมจะเป็นการไม่อนุมานหรือจินตนาการ กล่าวคือ มนุษย์ต้องไม่พึ่งพาจินตนาการและอาศัยการอนุมานโดยเด็ดขาดเมื่อเป็นเรื่องของการรู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้า  สิ่งใดที่เราปรารถนาจะกล่าวกับพวกเจ้าในที่นี้?  ความรู้ในเรื่องสิทธิอำนาจของพระเจ้า ฤทธานุภาพของพระเจ้า พระอัตลักษณ์ของพระเจ้าเอง และแก่นแท้ของพระเจ้า ไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้ด้วยการพึ่งพาจินตนาการของเจ้า  ในเมื่อเจ้าไม่สามารถพึ่งพาจินตนาการเพื่อที่จะรู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้ในหนทางใด?  หนทางในการทำการนี้ก็คือโดยผ่านทางการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ผ่านทางการสามัคคีธรรม และผ่านทางการมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงจะมีประสบการณ์และมีการพิสูจน์ยืนยันความจริงแท้แห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้าทีละน้อย และเจ้าจะได้รับความเข้าใจและความรู้ในสิทธิอำนาจของพระเจ้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  นี่คือหนทางเดียวที่จะสัมฤทธิ์ความรู้ในสิทธิอำนาจของพระเจ้า ไม่มีทางลัด  การขอให้พวกเจ้าไม่จินตนาการไม่ใช่การให้พวกเจ้านั่งนิ่งรอคอยการทำลายล้าง หรือหยุดยั้งพวกเจ้าจากการทำบางสิ่ง  การที่พวกเจ้าไม่ใช้สมองคิดและจินตนาการหมายถึงการไม่ใช้ตรรกะเพื่ออนุมาน ไม่ใช้ความรู้เพื่อวิเคราะห์ และไม่ใช้วิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐาน แต่กลับเป็นการซึ้งคุณค่า การพิสูจน์ และการยืนยันว่าพระเจ้าที่เจ้าเชื่อนั้นมีสิทธิอำนาจ การยืนยันว่าพระองค์ทรงถือครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของเจ้า และว่าฤทธานุภาพของพระองค์พิสูจน์อยู่ตลอดเวลาว่า พระองค์คือพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง โดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ผ่านทางความจริง ผ่านทางทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าเผชิญในชีวิตต่างหาก  นี่คือหนทางเดียวเท่านั้นที่ใครสักคนจะสามารถสัมฤทธิ์ความเข้าใจในพระเจ้า  บางคนกล่าวว่าพวกเขาปรารถนาที่จะหาหนทางที่เรียบง่ายในการสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายนี้ แต่พวกเจ้าสามารถคิดหาหนทางเช่นนั้นได้หรือ?  เรากล่าวกับเจ้าว่า ไม่มีความจำเป็นต้องคิด เพราะไม่มีหนทางอื่น!  มีหนทางเดียวเท่านั้นคือการรู้จักและพิสูจน์ยืนยันอย่างมีมโนธรรมและอย่างหนักแน่นถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น โดยผ่านทางพระวจนะทุกคำที่พระองค์แสดงไว้และทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำ  นี่คือหนทางเดียวเท่านั้นที่จะรู้จักพระเจ้า  เพราะสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพระเจ้านั้นไม่ไร้แก่นสารและไม่ว่างเปล่า แต่เป็นจริง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 96

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการควบคุมและอำนาจครอบครองที่พระผู้สร้างทรงมีเหนือทุกสรรพสิ่งและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้น ชี้ให้เห็นถึงการดำรงอยู่อย่างแท้จริงแห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง

การอวยพรโยบของพระยาห์เวห์ก็มีบันทึกอยู่ในหนังสือโยบ  พระเจ้าประทานสิ่งใดให้แก่โยบ?  “และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรชีวิตตอนปลายของโยบมากยิ่งกว่าตอนต้นของท่าน และท่านมีแกะ 14,000 ตัว อูฐ 6,000 ตัว วัวผู้ 1,000 คู่ และลาตัวเมีย 1,000 ตัว” (โยบ 42:12)  จากมุมมองของมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ที่ประทานแก่โยบคืออะไร?  ใช่ทรัพย์สินของมวลมนุษย์หรือไม่?  ด้วยทรัพย์สินเหล่านี้ โยบจะไม่มั่งคั่งอย่างมากในยุคนั้นหรอกหรือ?  เช่นนั้นแล้ว เขาได้ทรัพย์สินดังกล่าวมาอย่างไร?  สิ่งใดคือเหตุแห่งความมั่งคั่งของเขา?  เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะพรของพระเจ้า โยบจึงได้ครอบครองทรัพย์สินเหล่านี้  โยบมีทรรศนะกับทรัพย์สินเหล่านี้อย่างไร และเขาคำนึงถึงพรของพระเจ้าอย่างไรนั้น ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะเสวนากันในที่นี้  เมื่อกล่าวถึงพรของพระเจ้า ผู้คนทั้งหมดล้วนโหยหาทั้งวันทั้งคืนที่จะได้รับพรจากพระเจ้า กระนั้นมนุษย์ก็ไม่สามารถควบคุมได้ว่าเขาจะมีทรัพย์สินมากเพียงใดในชั่วชีวิตของเขา หรือ เขาจะสามารถได้รับพรจากพระเจ้าหรือไม่—นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจโต้แย้งได้!  พระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจ และฤทธานุภาพที่จะประทานทรัพย์สินอันใดก็ได้ให้แก่มนุษย์ ที่จะเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้รับการอำนวยพรเช่นไรก็ได้ แต่ทว่ามีหลักธรรมอยู่ประการหนึ่งในพรของพระเจ้า  พระเจ้าทรงอวยพรผู้คนประเภทใด?  พระองค์ทรงอวยพรผู้คนที่พระองค์โปรด แน่นอนอยู่แล้ว!  อับราฮัมและโยบได้รับพรจากพระเจ้าทั้งคู่ แต่ทว่าพรที่พวกเขาได้รับนั้นไม่เหมือนกัน  พระเจ้าทรงอวยพรให้อับราฮัมมีพงศ์พันธุ์มากมายดังเม็ดทรายและดวงดาว  เมื่อพระองค์ทรงอวยพรอับราฮัม พระองค์ทรงทำให้พงศ์พันธุ์ของชายคนเดียวและชนชาติหนึ่งกลายมามีอำนาจและเจริญรุ่งเรือง  ในการนี้ สิทธิอำนาจของพระเจ้าปกครองมวลมนุษย์ที่หายใจด้วยลมปราณของพระเจ้าท่ามกลางสรรพสิ่งและสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย  ภายใต้อธิปไตยแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า มวลมนุษย์นี้ได้ทวีจำนวนและดำรงอยู่ด้วยความเร็ว และภายในวงเขตที่พระเจ้าทรงกำหนดเอาไว้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอยู่รอด อัตราการขยายตัว และอายุขัยของชนชาตินี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และหลักธรรมของทั้งหมดนี้ล้วนเป็นไปตามสัญญาที่พระเจ้าทรงทำไว้กับอับราฮัมทั้งสิ้น  การนี้หมายความว่าไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมจะเป็นเช่นไร สัญญาของพระเจ้าจะดำเนินต่อไปโดยปราศจากการขัดขวางและจะกลายเป็นจริงภายใต้การดูแลจัดเตรียมแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า  ในสัญญาที่พระเจ้าทรงทำไว้กับอับราฮัมนั้น ไม่ว่าโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่โตสักกี่ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด ไม่ว่ามวลมนุษย์จะทนฝ่ามหันตภัยกี่ครา พงศ์พันธุ์ของอับราฮัมจะไม่เสี่ยงต่อการถูกสูญสลาย และชาติของพวกเขาจะไม่ล้มตายจนสิ้น  อย่างไรก็ตาม พรที่พระเจ้าประทานแก่โยบทำให้เขามั่งคั่งสุดขีด  สิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เขาคือสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตมีลมหายใจจำนวนมากเหลือหลาย ซึ่งรายละเอียดต่างๆ ของสิ่งเหล่านี้—จำนวนของพวกมัน ความเร็วในการขยายพันธุ์ อัตราการรอดชีวิต ปริมาณไขมันในร่างกายของพวกมัน และอื่นๆ—ก็อยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้าเช่นกัน  ถึงแม้ว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะพูดไม่ได้ แต่พวกมันก็เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างเช่นกัน และหลักธรรมเบื้องหลังการจัดการเตรียมการที่พระเจ้าทรงมีให้พวกมันนั้นเกิดขึ้นบนพื้นฐานของพรที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับโยบ  ในพรทั้งหลายที่พระเจ้าประทานแก่อับราฮัมและโยบ แม้สิ่งที่สัญญาไว้จะแตกต่างกัน แต่สิทธิอำนาจที่พระเจ้าทรงใช้ปกครองสรรพสิ่งและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายคืออย่างเดียวกัน  ทุกรายละเอียดแห่งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าถูกแสดงออกมาในสัญญาและพรที่แตกต่างกันของอับราฮัมและโยบ และแสดงให้มวลมนุษย์เห็นอีกครั้งหนึ่งว่า สิทธิอำนาจของพระเจ้าพ้นวิสัยแห่งจินตนาการของมนุษย์ไปมาก  รายละเอียดเหล่านี้บอกมวลมนุษย์อีกครั้งหนึ่งว่า หากเขาปรารถนาที่จะรู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว การนี้จะสามารถสัมฤทธิ์ได้ก็โดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า และโดยผ่านทางการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น

สิทธิอำนาจแห่งอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้าเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่า สิทธิอำนาจของพระเจ้ามิได้ถูกจำแลงเฉพาะในรูปของพระวจนะที่ว่า “พระเจ้าตรัสว่าจงเกิดความสว่าง ความสว่างก็เกิดขึ้น และ จงเกิดภาคพื้น และภาคพื้นก็เกิดขึ้น และจงเกิดแผ่นดิน และแผ่นดินก็เกิดขึ้น” เท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น สิทธิอำนาจของพระองค์ยังสำแดงอยู่ในวิธีการที่พระองค์ทรงทำให้ความสว่างนั้นดำเนินต่อไป ป้องกันไม่ให้พื้นฟ้าปลาสนาการไป และทำให้แผ่นดินกับน้ำแยกจากกันตลอดไป รวมทั้งในรายละเอียดของการปกครองและบริหารจัดการสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้าง อันได้แก่ ความสว่าง พื้นฟ้า และแผ่นดิน  มีสิ่งใดอีกที่พวกเจ้ามองเห็นในพรที่พระเจ้าประทานแก่มวลมนุษย์?  เห็นได้อย่างชัดเจนว่า หลังจากที่พระเจ้าทรงอวยพรอับราฮัมและโยบแล้ว ย่างพระบาทของพระเจ้ามิได้ยุติลง เพราะพระองค์เพิ่งจะทรงเริ่มใช้สิทธิอำนาจของพระองค์เท่านั้น และพระองค์ได้ตั้งพระทัยที่จะทำให้พระวจนะของพระองค์ทุกคำเป็นจริง และทำให้ทุกรายละเอียดที่พระองค์ตรัสถึงนั้นกลายเป็นจริง และดังนั้นในอีกหลายปีที่จะมาถึง พระองค์จึงทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ตั้งพระทัยไว้อย่างต่อเนื่อง  เนื่องจากพระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจ สำหรับมนุษย์แล้วบางครั้งจึงอาจดูเหมือนว่าพระเจ้าไม่จำเป็นต้องทรงขยับแม้ปลายนิ้ว เพียงตรัสเท่านั้น ทุกเรื่องราวและทุกสิ่งก็สำเร็จลุล่วง  ความคิดฝันเช่นนั้นไร้สาระอย่างยิ่ง!  หากเจ้าใช้ทรรศนะเพียงด้านเดียวมามองการที่พระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับมนุษย์โดยใช้พระวจนะ และการที่พระเจ้าทรงสำเร็จลุล่วงทุกสิ่งทุกอย่างโดยใช้พระวจนะ และเจ้าไม่สามารถมองเห็นหมายสำคัญและข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ว่า สิทธิอำนาจของพระเจ้ามีอำนาจครอบครองเหนือการดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่ง เช่นนั้นแล้ว ความเข้าใจที่เจ้ามีต่อสิทธิอำนาจของพระเจ้าก็ไร้แก่นสารและน่าขันยิ่งนัก!  หากมนุษย์จินตนาการว่าพระเจ้าต้องเป็นดังนั้น เช่นนั้นแล้วก็ต้องกล่าวว่าความรู้ที่มนุษย์มีเกี่ยวกับพระเจ้าถูกไล่ให้จนแต้มและไปถึงทางตันแล้ว เพราะพระเจ้าที่มนุษย์จินตนาการนั้นเป็นแต่เพียงเครื่องจักรคอยออกคำสั่ง ไม่ใช่พระเจ้าผู้ทรงครองสิทธิอำนาจ  เจ้ามองเห็นสิ่งใดผ่านทางตัวอย่างของอับราฮัมและโยบ?  เจ้าได้เห็นด้านที่จริงแท้แห่งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าหรือไม่?  หลังจากที่พระเจ้าทรงอวยพรอับราฮัมและโยบแล้ว พระเจ้ามิได้ประทับในที่ซึ่งพระองค์สถิตอยู่ อีกทั้งพระองค์ก็มิได้ทรงให้ทูตสื่อสารของพระองค์ทำงาน พลางทรงรอดูว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นใด  ในทางตรงกันข้าม ทันทีที่พระเจ้าดำรัสพระวจนะของพระองค์ ทุกสรรพสิ่งก็เริ่มเป็นไปตามพระราชกิจที่พระเจ้าตั้งพระทัยว่าจะทำ ภายใต้การนำแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า และมีการตระเตรียมผู้คน เป้าหมาย และสิ่งทั้งหลาย ที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทันทีที่มีการดำรัสพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า ก็เริ่มมีการใช้สิทธิอำนาจของพระเจ้าทั่วทั้งแผ่นดิน และพระองค์ทรงกำหนดครรลองที่จะทำให้สัญญาที่พระองค์ทรงทำไว้กับอับราฮัมและโยบนั้นสำเร็จและลุล่วง พลางทรงวางแผนการทั้งปวงและตระเตรียมทุกอย่างที่พึงต้องใช้อย่างถูกต้องเหมาะสมสำหรับทุกขั้นตอนและแต่ละช่วงระยะที่สำคัญที่พระองค์ทรงวางแผนไว้ว่าจะดำเนินการ  ในระหว่างเวลานี้ พระเจ้าไม่เพียงทรงโยกย้ายทูตสื่อสารของพระองค์เท่านั้น แต่ยังทรงยักย้ายทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างไว้อีกด้วย  กล่าวคือ ภายในวงเขตที่มีการใช้สิทธิอำนาจของพระเจ้านั้นไม่ได้มีเพียงบรรดาทูตสื่อสารเท่านั้น แต่ยังมีทุกสรรพสิ่งในการทรงสร้างที่ถูกยักย้ายเพื่อให้เป็นไปตามพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำให้สำเร็จลุล่วง เหล่านี้คือรูปแบบเฉพาะของการใช้สิทธิอำนาจของพระเจ้า  ในความคิดฝันของพวกเจ้านั้น บางคนอาจจะมีความเข้าใจในสิทธิอำนาจของพระเจ้าดังต่อไปนี้คือ พระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจ และพระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพ และดังนั้นพระเจ้าเพียงแค่ต้องประทับอยู่ในสวรรค์ชั้นที่สาม หรือในสถานที่ที่เป็นหลักแหล่งสักแห่ง และไม่ต้องทรงพระราชกิจอันใดเป็นการเฉพาะ และพระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้าก็เสร็จสมบูรณ์อยู่ในพระดำริของพระองค์  บางคนอาจเชื่อด้วยว่า ถึงแม้พระเจ้าจะทรงอวยพรอับราฮัม แต่พระเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทรงทำสิ่งใด พระองค์เพียงตรัสพระวจนะของพระองค์เท่านั้นก็พอ  นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหรือ?  เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่!  ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ แต่สิทธิอำนาจของพระองค์ก็เที่ยงแท้และเป็นจริง มิใช่ว่างเปล่า  ความจริงแท้และความเป็นจริงแห่งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าค่อยๆ เผยให้เห็นและสำแดงออกมาในการสร้างสรรพสิ่งของพระองค์ ในการควบคุมทุกสรรพสิ่งของพระองค์ และในกระบวนการที่พระองค์ทรงนำและบริหารจัดการมวลมนุษย์  ทุกวิธีการ ทุกแง่มุม และทุกรายละเอียดเกี่ยวกับอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือมวลมนุษย์และทุกสรรพสิ่ง และพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำให้สำเร็จลุล่วง รวมทั้งความเข้าใจที่พระองค์ทรงมีในทุกสรรพสิ่ง—ทั้งหมดนี้ล้วนพิสูจน์อย่างแท้จริงว่าสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าไม่ใช่ถ้อยคำที่ว่างเปล่า  สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์มีการแสดงออกและเผยให้เห็นอยู่เป็นนิจและในทุกสรรพสิ่ง  การสำแดงและการเปิดเผยเหล่านี้บ่งบอกถึงการดำรงอยู่จริงแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า เพราะพระองค์กำลังทรงใช้สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์เพื่อดำเนินพระราชกิจของพระองค์ต่อไป และเพื่อบัญชาทุกสรรพสิ่ง และปกครองทุกสรรพสิ่งในทุกขณะ ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระองค์ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ไม่ว่าจะโดยทูตสวรรค์หรือทูตสื่อสารของพระเจ้า  พระเจ้าได้ตัดสินพระทัยว่าพระองค์จะประทานพรใดแก่อับราฮัมและโยบ—นี่เป็นสิ่งที่พระองค์ต้องเป็นผู้ตัดสินพระทัย  ถึงแม้ว่าทูตสื่อสารของพระเจ้าคือผู้ที่ไปเยือนอับราฮัมและโยบ แต่การกระทำของพวกเขาก็เป็นไปตามพระบัญชาของพระเจ้า และพวกเขาก็กระทำการภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า และในทำนองเดียวกัน บรรดาทูตสื่อสารก็อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า  ถึงแม้มนุษย์จะเห็นว่าทูตสื่อสารของพระเจ้าไปเยือนอับราฮัม และไม่ได้ประจักษ์ว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงกระทำสิ่งใดด้วยพระองค์เองในบันทึกของพระคัมภีร์ แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว พระเจ้าพระองค์เองคือองค์หนึ่งเดียวเท่านั้นที่ทรงใช้ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจ และการนี้ไม่เปิดทางให้มนุษย์สงสัยเป็นอันขาด!  ถึงแม้เจ้าจะเห็นแล้วว่าบรรดาทูตสวรรค์และทูตสื่อสารมีพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่และได้แสดงปาฏิหาริย์ทั้งหลาย หรือเห็นว่าพวกเขาได้ทำสิ่งต่างๆ ตามพระบัญชาของพระเจ้า แต่การกระทำของพวกเขาก็เป็นไปเพื่อทำให้พระบัญชาของพระเจ้าสำเร็จสมบูรณ์เท่านั้น และไม่ได้แสดงถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้าแต่อย่างใด—เพราะไม่มีมนุษย์หรือวัตถุใดที่มีหรือครองสิทธิอำนาจในการสร้างทุกสรรพสิ่งและปกครองทุกสรรพสิ่งดังพระผู้สร้าง  ดังนั้นจึงไม่มีมนุษย์หรือวัตถุใดจะสามารถใช้หรือแสดงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 97

สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างมิอาจเปลี่ยนแปลงได้และมิอาจล่วงเกินได้

1. พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อสร้างทุกสรรพสิ่ง

ปฐมกาล 1:3-5  พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” ความสว่างก็เกิดขึ้น พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี และทรงแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเรียกความสว่างนั้นว่า วัน และความมืดนั้นว่า คืน มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันแรก

ปฐมกาล 1:6-7  พระเจ้าตรัสว่า “จงมีภาคพื้นในระหว่างน้ำ แยกน้ำออกจากกัน” พระเจ้าทรงสร้างภาคพื้นนั้นขึ้น แล้วทรงแยกน้ำที่อยู่ใต้ภาคพื้นออกจากน้ำที่อยู่เหนือภาคพื้น ก็เป็นดังนั้น

ปฐมกาล 1:9-11  พระเจ้าตรัสว่า “น้ำที่อยู่ใต้ฟ้าจงรวมอยู่ในที่เดียวกัน ที่แห้งจงปรากฏขึ้น” ก็เป็นดังนั้น พระเจ้าจึงทรงเรียกที่แห้งนั้นว่า แผ่นดิน และที่ซึ่งน้ำรวมกันนั้นว่า ทะเล พระเจ้าทรงเห็นว่าดี พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินจงเกิดพืช คือ ธัญพืชที่ให้เมล็ด และต้นไม้ผลที่ออกผลตามชนิดของมัน และมีเมล็ดในผลบนแผ่นดิน” และก็เป็นดังนั้น

ปฐมกาล 1:14-15  พระเจ้าตรัสว่า “จงมีดวงสว่างต่างๆ ของภาคพื้นฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้เป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี และให้เป็นดวงสว่างต่างๆ บนภาคพื้นฟ้า เพื่อส่องสว่างเหนือแผ่นดิน” ก็เป็นดังนั้น

ปฐมกาล 1:20-21  พระเจ้าตรัสว่า “น้ำจงอุดมด้วยฝูงสัตว์ที่มีชีวิต และให้นกบินไปมาในภาคพื้นฟ้าเหนือแผ่นดิน” พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ และสัตว์ที่มีชีวิตทุกชนิด ซึ่งแหวกว่ายอยู่ในน้ำเป็นฝูงๆ ตามชนิดของมัน และสัตว์ปีกทุกชนิดตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี

ปฐมกาล 1:24-25  พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินจงเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน คือสัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าตามชนิดของมัน” ก็เป็นดังนั้น พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ป่าตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลานทุกชนิดบนแผ่นดินตามชนิดของมัน แล้วพระเจ้าทรงเห็นว่าดี

2. พระเจ้าทรงใช้พระวจนะของพระองค์ทำพันธสัญญากับมนุษย์

ปฐมกาล 9:11-13  “เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้าว่าจะไม่ทำลายมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงโดยให้น้ำท่วมอีก และจะไม่ให้มีน้ำมาท่วมทำลายโลกอีกต่อไป”  พระเจ้าตรัสว่า “นี่แหละเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญา ซึ่งเราให้ไว้ระหว่างเรากับพวกเจ้า และกับสิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่อยู่กับพวกเจ้าสืบไปทุกชั่วอายุ  คือเราตั้งรุ้งของเราไว้ที่เมฆ และรุ้งนั้นจะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับโลก”

3. พรของพระเจ้า

ปฐมกาล 17:4-6  จงดู พันธสัญญาของเราอยู่กับเจ้า เจ้าจะเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย ชื่อของเจ้าจะไม่ใช่อับรามอีกต่อไป เจ้าจะมีชื่อใหม่คืออับราฮัม เพราะเราให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย เราจะทำให้เจ้ามีพงศ์พันธุ์มากมายยิ่ง เราจะทำให้เจ้าเป็นชนหลายชาติ และกษัตริย์หลายองค์จะเกิดมาจากเจ้า

ปฐมกาล 18:18-19  แน่ทีเดียวอับราฮัมจะเป็นประชาชาติใหญ่โตและมีกำลังมาก และประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้รับพรก็เพราะเขา เพราะเรารู้จักเขา ว่าเขาจะกำชับลูกหลาน และครอบครัวที่สืบต่อมาของเขา ให้รักษาพระมรรคาของพระยาห์เวห์ ให้ทำความชอบธรรมและความยุติธรรม เพื่อพระยาห์เวห์จะประทานแก่อับราฮัม ตามที่พระองค์ตรัสไว้แก่เขา

ปฐมกาล 22:16-18  พระยาห์เวห์ตรัสว่า เราเองปฏิญาณว่า เพราะเจ้าทำอย่างนี้และไม่ได้หวงบุตรชายของเจ้า คือบุตรชายคนเดียวของเจ้า ดังนั้นเราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองแห่งศัตรูทั้งหลายของเขาเป็นกรรมสิทธิ์ ประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า เพราะว่าเจ้าเชื่อฟังเรา

โยบ 42:12  และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรชีวิตตอนปลายของโยบมากยิ่งกว่าตอนต้นของท่าน และท่านมีแกะ 14,000 ตัว อูฐ 6,000 ตัว วัวผู้ 1,000 คู่ และลาตัวเมีย 1,000 ตัว

พวกเจ้ามองเห็นสิ่งใดในสามส่วนนี้ขององค์พระคัมภีร์?  พวกเจ้ามองเห็นว่ามีหลักธรรมในการที่พระเจ้าทรงใช้สิทธิอำนาจของพระองค์หรือไม่?  ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าทรงใช้รุ้งเพื่อทำพันธสัญญากับมนุษย์—พระองค์ทรงวางรุ้งไว้ในหมู่เมฆเพื่อบอกมนุษย์ว่า พระองค์จะไม่มีวันทรงใช้น้ำท่วมมาทำลายโลกอีก  รุ้งที่ผู้คนเห็นอยู่ในวันนี้ยังคงเป็นรุ้งตัวเดียวกันกับที่ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าหรือไม่?  ธรรมชาติและความหมายของมันเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่?  ไม่ต้องสงสัยเลยว่ารุ้งไม่ได้เปลี่ยนไป  พระเจ้าทรงใช้สิทธิอำนาจของพระองค์เพื่อกระทำการนี้ และพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำไว้กับมนุษย์ก็ดำเนินต่อเนื่องมาจนกระทั่งทุกวันนี้ และแน่นอนว่าเวลาที่พันธสัญญานี้จะถูกปรับเปลี่ยนย่อมจะเป็นไปตามการตัดสินพระทัยของพระเจ้า  หลังจากที่พระเจ้าตรัสว่า “ตั้งรุ้งของเราไว้ที่เมฆ” พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติตามพันธสัญญานี้เสมอมาจนถึงวันนี้  เจ้ามองเห็นสิ่งใดในการนี้?  ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ แต่พระองค์ก็ทรงเข้มงวดและมีหลักธรรมอย่างยิ่งในการกระทำของพระองค์ และทรงทำตามที่พระองค์ตรัส  ความเข้มงวดของพระองค์และหลักธรรมในการกระทำของพระองค์แสดงให้เห็นถึงความมิอาจล่วงเกินได้ของพระผู้สร้างและความมิอาจเอาชนะได้แห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง  แม้พระองค์จะทรงครองสิทธิอำนาจสูงสุด และแม้ทุกสิ่งจะอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ และถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงมีฤทธานุภาพในการปกครองทุกสรรพสิ่ง แต่พระเจ้าก็ไม่เคยทรงทำให้แผนการของพระองค์เองเสียหายหรือหยุดชะงัก และแต่ละครั้งที่พระองค์ทรงใช้สิทธิอำนาจของพระองค์ ก็สอดคล้องกับหลักธรรมของพระองค์เองอย่างเคร่งครัด และปฏิบัติตามสิ่งที่ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระองค์อย่างเที่ยงตรง ทั้งยังเป็นไปตามขั้นตอนและวัตถุประสงค์แห่งแผนการของพระองค์  ไม่จำเป็นต้องกล่าวเลยว่า ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงปกครองก็เชื่อฟังหลักธรรมแห่งการใช้สิทธิอำนาจของพระเจ้าเช่นกัน และไม่มีมนุษย์หรือสิ่งใดได้รับการยกเว้นจากการจัดการเตรียมการแห่งสิทธิอำนาจของพระองค์ รวมทั้งไม่สามารถปรับเปลี่ยนหลักธรรมแห่งการใช้สิทธิอำนาจของพระองค์  ในสายพระเนตรของพระเจ้า บรรดาผู้ที่ได้รับพรย่อมได้รับโชควาสนาที่สิทธิอำนาจของพระองค์ทำให้เกิดขึ้น และพวกที่ถูกสาปแช่งก็ได้รับการลงโทษของตนเนื่องแต่สิทธิอำนาจของพระเจ้า  ภายใต้อธิปไตยแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า ไม่มีมนุษย์หรือสิ่งอันใดได้รับการยกเว้นจากการใช้สิทธิอำนาจของพระองค์  และพวกเขาก็ไม่สามารถปรับเปลี่ยนหลักธรรมแห่งการใช้สิทธิอำนาจของพระองค์ได้  สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างไม่ได้ถูกปรับเปลี่ยนเพราะความเปลี่ยนแปลงในปัจจัยบางอย่าง และในทำนองเดียวกันนี้ หลักธรรมในการใช้สิทธิอำนาจของพระองค์ก็ไม่ได้ปรับเปลี่ยนด้วยเหตุผลอันใดเช่นกัน  สวรรค์และแผ่นดินโลกอาจก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงทั้งหลาย แต่สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างจะไม่เปลี่ยนแปลง สรรพสิ่งอาจอันตรธานไป แต่สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างจะไม่มีวันปลาสนาการ  นี่คือแก่นแท้แห่งสิทธิอำนาจอันมิอาจเปลี่ยนแปลงได้และมิอาจล่วงเกินได้ของพระผู้สร้าง และนี่คือความทรงเอกลักษณ์อย่างยิ่งของพระผู้สร้าง!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 98

พระบัญชาที่พระเจ้าทรงมีต่อซาตาน

โยบ 2:6  และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “ดูเถิด เขาอยู่ในมือเจ้า จงไว้ชีวิตเขาเท่านั้น”

ซาตานไม่เคยกล้าฝ่าฝืนสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง และด้วยเหตุนี้ทุกสรรพสิ่งจึงดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นระเบียบ

นี่คือบทตัดตอนจากหนังสือโยบ และ “เขา” ในพระวจนะเหล่านี้อ้างอิงถึงโยบ  แม้จะสั้น แต่ประโยคนี้ก็ชี้แจงหลายประเด็น  ประโยคนี้กล่าวถึงบทสนทนาตอนหนึ่งระหว่างพระเจ้ากับซาตานในโลกฝ่ายวิญญาณ และบอกพวกเราว่าพระวจนะของพระเจ้าพุ่งเป้าไปที่ซาตาน  ประโยคนี้ยังบันทึกสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้เป็นการเฉพาะอีกด้วย  พระวจนะของพระเจ้าคือพระบัญชาและคำสั่งที่ทรงมีแก่ซาตาน  รายละเอียดเฉพาะของคำสั่งนี้เกี่ยวข้องกับการไว้ชีวิตโยบและเส้นที่พระองค์ทรงขีดไว้ให้ซาตานปฏิบัติต่อโยบ นั่นคือซาตานต้องไว้ชีวิตโยบ  สิ่งแรกที่พวกเราเรียนรู้จากประโยคนี้ก็คือว่า นี่คือพระวจนะที่พระเจ้าตรัสแก่ซาตาน  ตัวบทเดิมของหนังสือโยบบอกให้พวกเรารู้ถึงที่มาของพระวจนะดังกล่าว นั่นคือ ซาตานปรารถนาที่จะกล่าวหาโยบ และดังนั้นมันจึงต้องได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้าก่อน  มันจึงจะสามารถทดลองเขาได้  เมื่อทรงยินยอมตามข้อเรียกร้องของซาตานที่จะทดลองโยบแล้ว พระเจ้าได้ทรงวางเงื่อนไขต่อไปนี้แก่ซาตานว่า “โยบอยู่ในมือเจ้า จงไว้ชีวิตเขาเท่านั้น” อะไรคือธรรมชาติของพระวจนะเหล่านี้?  เห็นได้ชัดว่านี่คือพระบัญชา เป็นคำสั่ง  เมื่อเข้าใจธรรมชาติของพระวจนะเหล่านี้แล้ว แน่นอนว่าเจ้าควรจับความเข้าใจด้วยว่า องค์หนึ่งเดียวผู้ทรงออกคำสั่งนี้ก็คือพระเจ้า และผู้ที่รับคำสั่งนี้และเชื่อฟังคำสั่งนี้คือซาตาน  ไม่จำเป็นต้องกล่าวก็ได้ว่า สัมพันธภาพระหว่างพระเจ้ากับซาตานในคำสั่งนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดสำหรับทุกคนที่อ่านพระวจนะเหล่านี้  แน่นอนว่านี่ยังเป็นสัมพันธภาพระหว่างพระเจ้ากับซาตานในโลกฝ่ายวิญญาณอีกด้วย และเป็นความแตกต่างระหว่างอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้ากับซาตาน ตามที่ระบุไว้ในบันทึกทั้งหลายถึงบทสนทนาแลกเปลี่ยนระหว่างพระเจ้ากับซาตานในองค์พระคัมภีร์เหล่านี้ และเป็นความแตกต่างอันชัดเจนระหว่างอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้ากับซาตานที่มนุษย์ในปัจจุบันสามารถเรียนรู้ได้จากตัวอย่างและบันทึกข้อความที่ยกมาเป็นการเฉพาะนี้  ณ จุดนี้เราจำต้องกล่าวว่า บันทึกพระวจนะเหล่านี้เป็นเอกสารสำคัญชิ้นหนึ่งในความรู้ที่มวลมนุษย์มีเกี่ยวกับพระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้า ทั้งยังจัดเตรียมข้อมูลที่สำคัญให้แก่ความรู้ที่มวลมนุษย์มีเกี่ยวกับพระเจ้า  มนุษย์สามารถเข้าใจแง่มุมเฉพาะในด้านสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งประการผ่านทางบทสนทนาแลกเปลี่ยนระหว่างพระผู้สร้างกับซาตานในโลกฝ่ายวิญญาณนี้  พระวจนะเหล่านี้คืออีกหนึ่งคำพยานให้แก่สิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง

ดูจากภายนอก พระยาห์เวห์พระเจ้ากำลังทรงสนทนากับซาตาน  ในแง่ของแก่นแท้แล้ว ท่าทีในการตรัสของพระยาห์เวห์พระเจ้าและตำแหน่งที่พระองค์ทรงยืนอยู่นั้นสูงกว่าซาตาน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระยาห์เวห์พระเจ้ากำลังมีพระบัญชาแก่ซาตานด้วยพระกระแสเสียงของการออกคำสั่ง และกำลังตรัสบอกซาตานว่ามันควรทำและไม่ควรทำสิ่งใด ว่าโยบนั้นอยู่ในมือของมันแล้ว และว่ามันมีอิสระที่จะปฏิบัติต่อโยบอย่างไรก็ได้ตามที่มันปรารถนา—แต่มันต้องไม่เอาชีวิตของโยบ  ความหมายที่แฝงอยู่ก็คือ ถึงแม้จะให้โยบอยู่ในมือของซาตาน แต่ก็ไม่ได้ส่งมอบชีวิตของเขาให้แก่ซาตาน ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชีวิตของโยบไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ เว้นแต่พระเจ้าจะทรงอนุญาต  ท่าทีของพระเจ้าแสดงไว้อย่างชัดเจนในพระบัญชาที่มีต่อซาตานนี้ และพระบัญชานี้ยังสำแดงและเผยให้เห็นว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงสนทนากับซาตานจากตำแหน่งใด  ในการนี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าไม่เพียงทรงถือครองสถานะของพระเจ้าผู้ทรงสร้างความสว่าง อากาศ ทุกสรรพสิ่ง และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย สถานะของพระเจ้าผู้ทรงถือครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเท่านั้น แต่ยังทรงถือครองสถานะของพระเจ้าผู้ทรงบัญชามวลมนุษย์ และบัญชาแดนคนตาย พระเจ้าผู้ทรงควบคุมความเป็นและความตายของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงด้วย  ในโลกฝ่ายวิญญาณ นอกจากพระเจ้าแล้ว ยังจะมีผู้ใดกล้าออกคำสั่งเช่นนั้นแก่ซาตานอีก?  และเหตุใดพระเจ้าจึงทรงออกคำสั่งของพระองค์แก่ซาตานด้วยพระองค์เอง?  เพราะชีวิตของมนุษย์ซึ่งรวมถึงชีวิตของโยบนั้นอยู่ในความควบคุมของพระเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานทำอันตรายหรือเอาชีวิตของโยบ และแม้กระทั่งเมื่อพระเจ้าทรงอนุญาตให้ซาตานทดลองโยบ พระเจ้าก็ยังไม่ทรงลืมที่จะออกคำสั่งดังกล่าวเป็นพิเศษ และมีพระบัญชาแก่ซาตานอีกครั้งว่าจงอย่าเอาชีวิตของโยบ  ซาตานไม่เคยกล้าฝ่าฝืนสิทธิอำนาจของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น มันยังตั้งใจรับฟังและเชื่อฟังคำสั่งและพระบัญชาที่พระเจ้าทรงมีเป็นการเฉพาะอยู่เสมอ ไม่เคยกล้าเยาะเย้ยท้าทายพระบัญชาและคำสั่งเหล่านั้น และแน่นอนว่ามันย่อมไม่กล้าปรับเปลี่ยนคำสั่งใดๆ ของพระเจ้าอย่างเสรี  เช่นนั้นเองคือข้อจำกัดที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้ซาตาน และดังนั้น ซาตานจึงไม่เคยกล้าก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านั้น  การนี้มิใช่อิทธิฤทธิ์แห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้าหรอกหรือ?  นี่มิใช่คำพยานให้แก่สิทธิอำนาจของพระเจ้าหรอกหรือ?  ซาตานมีการจับความเข้าใจที่ชัดเจนกว่ามวลมนุษย์มากนักว่าควรประพฤติตนเช่นไรกับพระเจ้า และควรมองพระเจ้าอย่างไร และดังนั้นในโลกฝ่ายวิญญาณ ซาตานจึงมองเห็นสถานะและสิทธิอำนาจของพระเจ้าอย่างชัดเจนยิ่ง และซึ้งคุณค่าในอิทธิฤทธิ์แห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้าและหลักธรรมที่อยู่เบื้องหลังการใช้สิทธิอำนาจของพระองค์อย่างลึกซึ้ง  มันไม่กล้ามองข้ามสิ่งเหล่านี้แต่อย่างใด อีกทั้งไม่กล้าละเมิดสิ่งเหล่านี้ไม่ว่าจะในหนทางใด ไม่กล้าทำสิ่งใดที่ฝ่าฝืนสิทธิอำนาจของพระเจ้า และมันก็ไม่กล้าท้าทายพระพิโรธของพระเจ้าในหนทางใดเลย  ถึงแม้ว่าธรรมชาติของซาตานจะชั่วและโอหัง แต่มันไม่เคยกล้าที่จะข้ามเขตคั่นและข้อจำกัดที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ให้  เป็นเวลาหลายล้านปีแล้วที่มันยึดปฏิบัติตามเส้นแบ่งเขตเหล่านี้อย่างเคร่งครัด มันยึดปฏิบัติตามพระบัญชาและคำสั่งทุกประการที่พระเจ้าทรงมีกับมัน และไม่เคยกล้าก้าวข้ามเครื่องหมายนั้น  แม้ซาตานจะมุ่งร้าย แต่มันก็มีปัญญากว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามอยู่มาก มันรู้จักพระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้าง และรู้จักอาณาเขตของมันเอง  จากการกระทำ “ที่นบนอบ” ของซาตานจะเห็นได้ว่า สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าคือประกาศิตจากสวรรค์ที่ซาตานไม่อาจฝ่าฝืนได้ และเห็นได้ว่า เป็นเพราะเอกลักษณ์และสิทธิอำนาจของพระเจ้าโดยแท้ ทุกสรรพสิ่งจึงเปลี่ยนแปลงและแพร่หลายอย่างเป็นระเบียบ และมวลมนุษย์ก็สามารถดำรงชีวิตและทวีจำนวนอยู่ภายในครรลองที่พระเจ้าทรงสถาปนาขึ้น โดยไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดสามารถทำลายระบบระเบียบนี้ได้ และไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดสามารถเปลี่ยนแปลงธรรมบัญญัตินี้ได้—เพราะทั้งหมดนี้ล้วนมาจากพระหัตถ์ของพระผู้สร้าง และจากคำสั่งและสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 99

มีเพียงพระเจ้าผู้ทรงมีพระอัตลักษณ์แห่งพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงครองสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ (บทตอนที่คัดมา)

อัตลักษณ์พิเศษของซาตานทำให้ผู้คนมากมายแสดงความสนใจอย่างแรงกล้าในแง่มุมต่างๆ ที่มันสำแดงออกมา  มีแม้กระทั่งคนเขลาจำนวนมากที่เชื่อว่าซาตานมีสิทธิอำนาจเช่นเดียวกับพระเจ้า เพราะซาตานสามารถแสดงปาฏิหาริย์ได้ และสามารถทำสิ่งทั้งหลายที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมวลมนุษย์  ด้วยเหตุนี้ นอกจากนมัสการพระเจ้าแล้ว มวลมนุษย์จึงสงวนที่ทางในหัวใจของเขาไว้ให้แก่ซาตาน และถึงกับเคารพบูชาซาตานในฐานะพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้ทั้งน่าเวทนาและน่ารังเกียจ  พวกเขาน่าเวทนาเพราะความไม่รู้เท่าทันของพวกเขา และน่ารังเกียจเพราะความนอกรีตและเนื้อแท้อันชั่วในตัวของพวกเขา  ณ จุดนี้เรารู้สึกว่าจำเป็นต้องบอกพวกเจ้าว่าสิทธิอำนาจคือสิ่งใด เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งใด และเป็นตัวแทนของสิ่งใด  กล่าวโดยกว้างๆ ก็คือพระเจ้าพระองค์เองคือสิทธิอำนาจ สิทธิอำนาจของพระองค์คือสัญลักษณ์แทนความยิ่งใหญ่สูงสุดและแก่นแท้ของพระเจ้า และสิทธิอำนาจของพระเจ้าพระองค์เองเป็นตัวแทนของสถานะและพระอัตลักษณ์ของพระเจ้า  ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ซาตานกล้าพูดหรือไม่ว่าตัวมันเองคือพระเจ้า?  ซาตานกล้าพูดหรือไม่ว่ามันได้สร้างทุกสรรพสิ่งและถือครองอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง?  แน่นอนว่ามันไม่กล้า!  เพราะมันไม่สามารถสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาได้ จนถึงทุกวันนี้มันยังไม่เคยสร้างสิ่งใดที่พระเจ้าทรงสร้างเอาไว้ และไม่เคยสร้างสิ่งใดที่มีชีวิตเลย  เนื่องจากมันไม่มีสิทธิอำนาจของพระเจ้า จึงไม่มีวันเป็นไปได้ที่มันจะสามารถครองสถานะและสิทธิอำนาจของพระเจ้า และนี่เป็นไปตามแก่นแท้ของมัน  มันมีฤทธานุภาพเช่นเดียวกับพระเจ้าหรือไม่?  แน่นอนว่ามันไม่มี!  พวกเราเรียกพฤติการณ์ของซาตาน และปาฏิหาริย์ทั้งหลายที่ซาตานแสดงออกมาว่าอย่างไร?  เป็นฤทธานุภาพหรือ?  สามารถเรียกว่าสิทธิอำนาจได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่!  ซาตานกำกับกระแสแห่งความชั่ว และก่อกวน บ่อนทำลาย และขัดจังหวะพระราชกิจของพระเจ้า  หลายพันปีให้หลังมานี้ นอกจากทารุณและทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม ยั่วยวนและหลอกลวงมนุษย์ให้ชั่วช้าและปฏิเสธพระเจ้าจนมนุษย์เดินไปสู่หุบเขาแห่งเงามรณะแล้ว ซาตานเคยทำสิ่งใดที่สมควรแก่การที่มนุษย์จะรำลึกถึง ชมเชย หรือทะนุถนอมสักนิดหรือไม่?  หากซาตานได้ครอบครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ มวลมนุษย์ก็คงจะถูกมันทำให้เสื่อมทรามไปแล้วมิใช่หรือ?  หากซาตานครอบครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ มันก็คงจะสร้างความเสียหายให้แก่มวลมนุษย์ไปแล้วมิใช่หรือ?  หากซาตานครอบครองฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจ มวลมนุษย์คงจะละทิ้งพระเจ้าแล้วหันไปหาความตายกันแล้วมิใช่หรือ?  ในเมื่อซาตานไม่มีสิทธิอำนาจหรือฤทธานุภาพ พวกเราควรจะสรุปแก่นแท้ของทุกสิ่งที่มันทำว่าอย่างไร?  มีผู้นิยามทุกสิ่งที่ซาตานทำลงไปว่าเป็นเพียงการใช้เล่ห์เพทุบาย กระนั้นเราเชื่อว่าคำนิยามเช่นนั้นยังไม่เหมาะสมนัก  ความประพฤติชั่วที่มันทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามเป็นแค่เล่ห์เพทุบายเท่านั้นเองหรือ?  กำลังบังคับชั่วที่ซาตานใช้ทารุณโยบ และความอยากทารุณและอยากกลืนกินเขาอันแสนดุดันของมันนั้น ไม่อาจที่จะสัมฤทธิ์ได้ด้วยการใช้เพียงเล่ห์กระเท่ห์เท่านั้น เมื่อมองย้อนกลับไป ภายในพริบตาเดียวฝูงแกะฝูงวัวของโยบที่กระจัดกระจายกว้างไกลไปทั่วเนินเขาและภูเขาก็มีอันหายวับไป ภายในพริบตาเดียว โชคลาภอันยิ่งใหญ่ของโยบก็มีอันปลาสนาการไป  การนั้นสามารถสัมฤทธิ์ได้โดยใช้แค่เล่ห์กระเท่ห์กระนั้นหรือ?  ธรรมชาติของทุกสิ่งที่ซาตานทำล้วนสอดรับและเหมาะกับคำศัพท์ด้านลบอย่างเช่น การบั่นทอน การขัดจังหวะ การทำลาย การสร้างความเสียหาย ความชั่ว ความมุ่งร้าย และความมืด และดังนั้นการเกิดขึ้นของทุกสิ่งที่ไม่ชอบธรรมและชั่วย่อมโยงใยกับพฤติการณ์ของซาตานอย่างแนบแน่น และไม่อาจแยกจากแก่นแท้อันชั่วร้ายของซาตานได้  ไม่ว่าซาตานจะ “ทรงพลัง” เพียงใด ไม่ว่ามันจะฮึกเหิมหรือทะเยอทะยานเพียงใด ไม่ว่าความสามารถของมันในการก่อความเสียหายจะมีมากเพียงใด ไม่ว่ากลเม็ดที่มันใช้ยั่วยวนและทำให้มนุษย์เสื่อมทรามจะมีขอบเขตกว้างขวางเพียงใด ไม่ว่าเล่ห์เหลี่ยมและกลอุบายที่มันใช้ข่มขวัญมนุษย์จะฉลาดแยบยลเพียงใด ไม่ว่ารูปสัณฐานที่มันใช้ในการดำรงอยู่จะสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายเพียงใด แต่มันก็ไม่เคยสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้สักสิ่งเดียว ไม่เคยสามารถกำหนดธรรมบัญญัติหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ สำหรับการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง และไม่เคยสามารถปกครองและควบคุมวัตถุใดๆ ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต  ทั่วทั้งจักรวาลและพื้นฟ้านั้นไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดที่กำเนิดจากมัน หรือดำรงอยู่เพราะมัน ไม่มีบุคคลใดหรือวัตถุใดที่อยู่ใต้ปกครองของมัน หรือในการควบคุมของมัน  ในทางตรงกันข้าม มันไม่เพียงต้องดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น มันยังต้องเชื่อฟังคำสั่งและพระบัญชาทั้งหมดของพระเจ้าด้วย  หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า ก็เป็นการยากที่ซาตานจะแตะต้องแม้น้ำสักหยดหรือทรายสักเม็ดบนแผ่นดินได้  หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า ซาตานก็ไม่มีอิสระที่จะเคลื่อนย้ายฝูงมดไปมาบนแผ่นดินด้วยซ้ำ ไม่พักต้องพูดถึงมวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา  ในสายพระเนตรของพระเจ้า ซาตานด้อยค่ากว่าดอกลิลลี่บนภูเขา นกที่บินอยู่ในอากาศ ปลาในทะเล และหนอนแมลงบนแผ่นดินโลก  บทบาทของมันท่ามกลางสรรพสิ่งก็คือการรับใช้ทุกสิ่งและทำงานให้แก่มวลมนุษย์ และรับใช้พระราชกิจของพระเจ้าและแผนการบริหารจัดการของพระองค์  ไม่ว่าธรรมชาติของมันจะมุ่งร้ายเพียงใด และไม่ว่าแก่นแท้ของมันจะชั่วเพียงใด สิ่งเดียวที่มันสามารถทำได้คือทำงานของมันไปตามหน้าที่ นั่นคือ การปรนนิบัติพระเจ้า และการเป็นความต่างขั้วให้พระเจ้า  เช่นนั้นเองที่เป็นเนื้อแท้และตำแหน่งของซาตาน  แก่นแท้ของมันไม่ได้เชื่อมโยงกับชีวิต ไม่ได้เชื่อมโยงกับฤทธานุภาพ ไม่ได้เชื่อมโยงกับสิทธิอำนาจ มันเป็นเพียงของเล่นในพระหัตถ์ของพระเจ้า แค่เครื่องจักรที่รับใช้พระเจ้าเท่านั้น!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 100

มีเพียงพระเจ้าผู้ทรงมีพระอัตลักษณ์แห่งพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงครองสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ (บทตอนที่คัดมา)

ตัวสิทธิอำนาจเองนั้น สามารถอธิบายได้ว่าเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า  ก่อนอื่นอาจกล่าวได้อย่างแน่นอนว่า ทั้งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพเป็นบวก  ทั้งสองสิ่งไม่มีความเชื่อมโยงกับสิ่งใดที่เป็นลบเลย และไม่เกี่ยวโยงกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือที่มิได้ทรงสร้างใดๆ  ฤทธานุภาพของพระเจ้าสามารถสร้างสิ่งทั้งหลายในรูปแบบใดก็ได้ที่มีชีวิตและกำลังวังชา และการนี้มีชีวิตของพระเจ้าเป็นเครื่องกำหนด  พระเจ้าคือชีวิต ดังนั้นพระองค์จึงทรงเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง  ยิ่งไปกว่านั้น สิทธิอำนาจของพระเจ้าสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งปวงเชื่อฟังพระวจนะทุกคำของพระเจ้า นั่นคือ เกิดขึ้นมาตามพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า และดำรงชีวิตและสืบพันธุ์ตามพระบัญชาของพระเจ้า ซึ่งหลังจากนั้นพระเจ้าก็ทรงปกครองและบัญชาสิ่งมีชีวิตทั้งปวง และจะไม่มีวันมีการเบี่ยงเบนไปจนชั่วกาลนาน  ไม่ว่าบุคคลหรือวัตถุใดก็ไม่มีสิ่งเหล่านี้ มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงครองและกุมฤทธานุภาพเช่นนี้ และดังนั้นฤทธานุภาพจึงถูกเรียกว่าสิทธิอำนาจ  นี่คือเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นคำว่า “สิทธิอำนาจ” เอง หรือแก่นแท้ของสิทธิอำนาจนี้ แต่ละอย่างเชื่อมโยงได้แต่กับพระผู้สร้างเท่านั้น เพราะเป็นสัญลักษณ์แห่งพระอัตลักษณ์และแก่นแท้อันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง และเป็นตัวแทนแห่งพระอัตลักษณ์และสถานะของพระผู้สร้าง นอกเหนือจากพระผู้สร้างแล้วไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดที่สามารถเชื่อมโยงกับคำว่า “สิทธิอำนาจ” ได้  นี่คือการตีความสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้างอย่างหนึ่ง

แม้ซาตานจะมองโยบด้วยสายตาอันละโมบ แต่หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า มันก็ไม่กล้าแตะต้องแม้ขนสักเส้นบนร่างกายของโยบ  ถึงแม้ว่าซาตานจะชั่วและโหดร้ายโดยกำเนิด แต่หลังจากที่พระเจ้าทรงออกคำสั่งของพระองค์แก่มัน มันก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยึดปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ซาตานจะคลั่งดุจหมาป่าท่ามกลางฝูงแกะเมื่อกล่าวถึงโยบ แต่มันก็ไม่กล้าลืมเลือนข้อจำกัดที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้กับมัน ไม่กล้าละเมิดคำสั่งของพระเจ้า และในทุกสิ่งที่ซาตานทำนั้น มันไม่กล้าเบี่ยงเบนไปจากหลักธรรมและข้อจำกัดในพระวจนะของพระเจ้า—นี่มิใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ?  จากการนี้สามารถมองเห็นว่า ซาตานไม่กล้าขัดพระวจนะอันใดของพระยาห์เวห์พระเจ้า  สำหรับซาตานแล้ว พระวจนะทุกคำที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าคือคำสั่งและธรรมบัญญัติจากสวรรค์ เป็นการแสดงออกถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า—เพราะเบื้องหลังพระวจนะทุกคำของพระเจ้าแสดงนัยถึงการลงโทษที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกที่ละเมิดคำสั่งของพระเจ้า และพวกที่ไม่เชื่อฟังและต่อต้านธรรมบัญญัติจากสวรรค์  ซาตานรู้อย่างชัดเจนว่าหากมันละเมิดคำสั่งของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว มันต้องยอมรับผลสืบเนื่องของการฝ่าฝืนสิทธิอำนาจของพระเจ้าและต่อต้านธรรมบัญญัติจากสวรรค์  แล้วผลสืบเนื่องเหล่านี้คืออะไร?  ไม่จำเป็นต้องกล่าวเลยว่าผลสิบเนื่องเหล่านี้คือการที่มันถูกพระเจ้าลงโทษ  สิ่งที่ซาตานทำกับโยบนั้นเป็นแค่หน่วยจุลภาคของการที่มันทำให้มนุษย์เสื่อมทราม และเมื่อซาตานกำลังกระทำการเหล่านี้ ข้อจำกัดที่พระเจ้าทรงกำหนดและคำสั่งที่พระองค์ทรงมีแก่ซาตานก็เป็นเพียงหน่วยจุลภาคของหลักธรรมเบื้องหลังทุกสิ่งที่มันทำ  นอกจากนี้บทบาทและตำแหน่งของซาตานในเรื่องนี้ก็เป็นเพียงหน่วยจุลภาคของบทบาทและตำแหน่งที่มันมีในพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า และการเชื่อฟังพระเจ้าโดยบริบูรณ์ของซาตานในการที่มันทดลองโยบย่อมเป็นเพียงหน่วยจุลภาคของการที่ซาตานไม่กล้าต่อต้านพระเจ้าแม้แต่น้อยในพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า  หน่วยจุลภาคเหล่านี้กำลังเตือนพวกเจ้าว่าอย่างไร?  ท่ามกลางทุกสรรพสิ่งรวมถึงซาตานนั้น ไม่มีบุคคลหรือสิ่งใดที่สามารถฝ่าฝืนธรรมบัญญัติและประกาศิตจากสวรรค์ที่พระผู้สร้างทรงกำหนดขึ้นได้ และไม่มีบุคคลหรือสิ่งใดที่กล้าละเมิดธรรมบัญญัติและประกาศิตจากสวรรค์เหล่านี้ เพราะไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดที่สามารถปรับเปลี่ยนหรือหนีรอดจากการลงโทษที่พระผู้สร้างทรงมีต่อพวกที่ไม่เชื่อฟังธรรมบัญญัติและประกาศิตเหล่านี้  มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่สามารถกำหนดธรรมบัญญัติและประกาศิตจากสวรรค์ได้ มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงมีฤทธานุภาพที่จะบังคับใช้สิ่งเหล่านี้ และมีเพียงฤทธานุภาพของพระผู้สร้างเท่านั้นที่มิอาจมีบุคคลหรือสิ่งใดฝ่าฝืนได้  นี่คือสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง และนี่คือสิทธิอำนาจสูงสุดท่ามกลางสรรพสิ่ง และดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ที่สุด และซาตานคือหมายเลขสอง”  เว้นแต่พระผู้สร้างผู้ทรงครองสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์แล้ว ย่อมไม่มีพระเจ้าองค์อื่น!

บัดนี้พวกเจ้ามีความรู้ใหม่ในเรื่องสิทธิอำนาจของพระเจ้าแล้วใช่หรือไม่?  ก่อนอื่นมีความแตกต่างระหว่างสิทธิอำนาจของพระเจ้าที่เพิ่งกล่าวถึงไป กับพลังอำนาจของมนุษย์หรือไม่?  สิ่งใดคือความแตกต่าง?  ผู้คนบางคนกล่าวว่าไม่อาจนำสองสิ่งนี้มาเปรียบเทียบกัน  นั่นถูกต้องแล้ว!  และถึงแม้ผู้คนจะกล่าวว่าไม่ควรเปรียบเทียบสองสิ่งนี้ แต่ในความคิดและมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ยังมีบ่อยครั้งที่เอาอำนาจของมนุษย์มาสับสนปนเปกับสิทธิอำนาจ และมีอยู่บ่อยครั้งที่สองสิ่งนี้ถูกนำมาเทียบเคียงกัน  เกิดอะไรขึ้นตรงนี้?  ไม่ใช่ว่าผู้คนกำลังทำผิดพลาดด้วยการเอาสิ่งหนึ่งมาแทนที่อีกสิ่งหนึ่งโดยไม่ได้เจตนาหรอกหรือ?  สองสิ่งนี้ไม่เชื่อมโยงกัน และไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกัน กระนั้นผู้คนก็ยังคงอดไม่ได้  การนี้ควรแก้ไขอย่างไร?  หากเจ้าปรารถนาที่จะหาทางแก้ไขอย่างแท้จริง มีหนทางเดียวเท่านั้นคือมาเข้าใจและรู้จักสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้า  หลังจากที่เข้าใจและรู้จักสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างแล้ว เจ้าจะไม่กล่าวถึงอำนาจของมนุษย์และสิทธิอำนาจของพระเจ้าไปพร้อมกัน

อำนาจของมนุษย์หมายถึงสิ่งใด?  กล่าวง่ายๆ ก็คือเป็นความสามารถหรือทักษะที่ทำให้อุปนิสัยอันเสื่อมทราม ความอยากได้อยากมี และความทะเยอทะยานของมนุษย์สามารถแผ่ขยายหรือสำเร็จลุล่วงจนถึงระดับสูงสุดได้  การนี้นับว่าเป็นสิทธิอำนาจหรือไม่?  ไม่ว่าความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของมนุษย์จะพองโตหรือให้ผลตอบแทนมากเพียงใด ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่าบุคคลนั้นครองสิทธิอำนาจ อย่างมากที่สุดอาการพองโตและความสำเร็จนี้ก็เพียงแสดงให้เห็นถึงการเล่นตลกโปกฮาของซาตานท่ามกลางมนุษย์เท่านั้น อย่างมากที่สุดก็เป็นละครตลกที่ซาตานแสดงเป็นบรรพบุรุษของตัวมันเอง เพื่อลุล่วงความทะเยอทะยานที่จะเป็นพระเจ้าของมัน

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 101

มีเพียงพระเจ้าผู้ทรงมีพระอัตลักษณ์แห่งพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงครองสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ (บทตอนที่คัดมา)

สิทธิอำนาจของพระเจ้าเป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งใด?  เป็นสัญลักษณ์แทนพระอัตลักษณ์ของพระเจ้าพระองค์เองหรือไม่?  เป็นสัญลักษณ์แทนฤทธานุภาพของพระเจ้าพระองค์เองหรือไม่?  เป็นสัญลักษณ์แทนสถานะอันทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้าพระองค์เองหรือไม่?  ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง เจ้ามองเห็นสิทธิอำนาจของพระเจ้าในสิ่งใดบ้าง?  เจ้ามองเห็นว่าเป็นอย่างไร?  ในแง่ของฤดูกาลทั้งสี่ที่มนุษย์มีประสบการณ์ด้วยนั้น จะมีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงธรรมบัญญัติแห่งการหมุนเวียนเปลี่ยนผันของฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาวได้?  ในฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้แตกตาอ่อนและออกดอก ในฤดูร้อน พวกมันมีใบไม้ปกคลุม ในฤดูใบไม้ร่วง พวกมันออกผล และในฤดูหนาว ใบไม้ก็ร่วงหล่น  มีผู้ใดสามารถปรับเปลี่ยนธรรมบัญญัติข้อนี้ได้?  การนี้สะท้อนให้เห็นแง่มุมหนึ่งแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้าหรือไม่?  พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” แล้วความสว่างก็เกิดขึ้น  ความสว่างนี้ยังคงมีอยู่หรือไม่?  และมีอยู่เนื่องจากสิ่งใด?  แน่นอนว่ามีอยู่เนื่องจากพระวจนะของพระเจ้า และเนื่องจากสิทธิอำนาจของพระเจ้า  อากาศที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นยังคงมีอยู่หรือไม่?  อากาศที่มนุษย์หายใจใช่มาจากพระเจ้าหรือไม่?  มีผู้ใดสามารถเอาสิ่งทั้งหลายที่มาจากพระเจ้าไปได้?  มีผู้ใดสามารถปรับเปลี่ยนแก่นแท้และหน้าที่ของพวกมัน?  มีผู้ใดสามารถทำให้คืนและวันที่พระเจ้าทรงจัดสรรไว้ และธรรมบัญญัติแห่งคืนและวันที่พระเจ้าทรงวางระเบียบไว้มีอันยุ่งเหยิงได้?  ซาตานสามารถทำสิ่งดังกล่าวได้หรือไม่?  ต่อให้เจ้าไม่หลับไม่นอนในเวลากลางคืน และใช้กลางคืนเสมือนเป็นกลางวัน แต่มันก็ยังคงเป็นยามราตรี เจ้าอาจเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันของเจ้า แต่เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงธรรมบัญญัติแห่งการสลับสับเปลี่ยนระหว่างกลางคืนและกลางวันได้—ไม่มีบุคคลใดสามารถปรับเปลี่ยนข้อเท็จจริงนี้ได้หรือมิใช่?  ผู้ใดบ้างที่สามารถทำให้สิงโตไถพรวนเหมือนวัวได้?  ผู้ใดบ้างที่สามารถเปลี่ยนช้างให้เป็นลา?  ผู้ใดบ้างที่สามารถทำให้ไก่โผบินไปในอากาศเหมือนนกอินทรี?  ผู้ใดบ้างที่สามารถทำให้หมาป่ากินหญ้าเหมือนแกะ?  (ไม่มี)  ผู้ใดบ้างที่สามารถทำให้ปลาในน้ำดำรงชีวิตอยู่บนบกได้?  มนุษย์ทำเช่นนั้นไม่ได้  เหตุใดจึงไม่ได้?  นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงบัญชาให้ปลาดำรงชีวิตอยู่ในน้ำ ดังนั้นพวกมันจึงดำรงชีวิตอยู่ในน้ำ ไม่สามารถรอดชีวิตบนบกและย่อมจะตาย พวกมันไม่สามารถฝ่าฝืนข้อจำกัดที่พระเจ้ามีพระบัญชาเอาไว้  ทุกสรรพสิ่งมีธรรมบัญญัติและข้อจำกัดในการดำรงอยู่ของตน และแต่ละชนิดก็มีสัญชาตญาณของตนเอง  เหล่านี้ถูกกำหนดโดยพระผู้สร้าง และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถปรับเปลี่ยนหรือก้าวล่วงได้  ตัวอย่างเช่น สิงโตย่อมจะดำรงชีวิตอยู่ในป่า ห่างไกลจากชุมชนของมนุษย์เสมอ และไม่มีวันที่จะว่านอนสอนง่ายและสัตย์ซื่อเหมือนวัวที่ดำรงชีวิตร่วมกับมนุษย์และทำงานให้มนุษย์  ถึงแม้ว่าช้างและลาจะเป็นสัตว์ทั้งคู่และมีสี่ขาทั้งคู่ และเป็นสรรพสิ่งทรงสร้างที่หายใจเอาอากาศ แต่พวกมันก็เป็นสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน เพราะพระเจ้าทรงแยกให้ต่างชนิดกัน แต่ละประเภทก็มีสัญชาตญาณของตนเอง และดังนั้นจึงไม่มีวันสลับสับเปลี่ยนกันได้  ถึงแม้ว่าไก่จะมีขาและปีกสองข้างเหมือนนกอินทรี แต่มันจะไม่มีวันบินไปในอากาศได้ อย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงบินขึ้นไปบนต้นไม้—การนี้มีสัญชาตญาณของมันเป็นเครื่องกำหนด  ไม่จำเป็นต้องกล่าวเลยว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะคำบัญชาแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า

ในพัฒนาการของมวลมนุษย์ทุกวันนี้ สามารถกล่าวได้ว่าวิทยาศาสตร์ของมวลมนุษย์กำลังเฟื่องฟู และสามารถพูดได้ว่าความสำเร็จในการสำรวจเชิงวิทยาศาสตร์ของมนุษย์นั้นน่าประทับใจ  ส่วนความสามารถของมนุษย์ ต้องกล่าวว่ากำลังเติบโตยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่งที่มวลมนุษย์ยังไม่สามารถทำได้ กล่าวคือ มวลมนุษย์สร้างเครื่องบิน เรือบรรทุกเครื่องบิน และระเบิดปรมาณู มวลมนุษย์เดินทางไปในอวกาศ เดินบนดวงจันทร์ ประดิษฐ์คิดค้นอินเทอร์เน็ต และมีวิถีชีวิตที่ใช้วิทยาการขั้นสูง กระนั้นมวลมนุษย์ก็ยังไม่สามารถสร้างสิ่งมีชีวิตที่มีลมหายใจ  สัญชาตญาณของสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตทุกชนิด และธรรมบัญญัติที่พวกมันใช้ดำรงชีวิต และวัฏจักรแห่งความเป็นและความตายของสิ่งมีชีวิตทุกประเภท—ทั้งหมดนี้ล้วนพ้นวิสัยของพลังอำนาจแห่งวิทยาศาสตร์ของมวลมนุษย์ และวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ก็ไม่สามารถควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้ด้วย  ณ จุดนี้ต้องกล่าวว่า ไม่ว่าวิทยาศาสตร์ของมนุษย์จะประสบความสำเร็จสูงส่งเพียงใด ก็มิอาจเทียมทันพระดำริใดๆ ของพระผู้สร้าง และไม่สามารถหยั่งรู้ความมหัศจรรย์แห่งการทรงสร้างของพระผู้สร้างและอิทธิฤทธิ์แห่งสิทธิอำนาจของพระองค์  มีมหาสมุทรมากมายยิ่งนักบนแผ่นดินโลก กระนั้น มหาสมุทรเหล่านี้ก็ไม่เคยฝ่าฝืนข้อจำกัดของพวกมันและขึ้นมาบนบกตามใจชอบ และนั่นเป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงกำหนดอาณาเขตให้แก่มหาสมุทรแต่ละแห่ง พวกมันจึงอยู่ในที่ใดก็ตามที่พระองค์ทรงบัญชาให้อยู่ และหากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า พวกมันจะไม่สามารถเคลื่อนที่ไปมาได้อย่างอิสระ  หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า พวกมันก็ไม่อาจล่วงล้ำกัน และจะเคลื่อนที่ได้ก็ต่อเมื่อพระเจ้าตรัสเช่นนั้นเท่านั้น และที่ซึ่งมหาสมุทรเคลื่อนไปและหยุดยั้งอยู่ ก็มีสิทธิอำนาจของพระเจ้าเป็นเครื่องกำหนด

กล่าวตามตรงก็คือ “สิทธิอำนาจของพระเจ้า” หมายความว่า ขึ้นอยู่กับพระเจ้า  พระเจ้าทรงมีสิทธิ์ในการตัดสินว่าจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างไร และนั่นย่อมจะเสร็จสิ้นไปในลักษณะใดก็ตามที่พระองค์ทรงปรารถนา  ธรรมบัญญัติของทุกสรรพสิ่งขึ้นอยู่กับพระเจ้า และมิได้ขึ้นอยู่กับมนุษย์ อีกทั้งมนุษย์ก็ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้  ทุกสิ่งไม่สามารถเคลื่อนไหวไปตามเจตจำนงของมนุษย์ แต่กลับเปลี่ยนแปลงตามพระดำริของพระเจ้า พระปัญญาของพระเจ้า และพระบัญชาของพระเจ้า  นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถปฏิเสธได้  ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง จักรวาล ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว และฤดูกาลทั้งสี่ของปี สิ่งที่มนุษย์มองเห็นและมองไม่เห็น—ทั้งหมดล้วนดำรงอยู่ ทำหน้าที่ และเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่มีความผิดพลาดแม้แต่น้อย ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า ตามคำสั่งของพระเจ้า ตามพระบัญญัติทั้งหลายของพระเจ้า และตามธรรมบัญญัติตั้งแต่ครั้งปฐมกาลของการสร้างโลก  ไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดจะสามารถเปลี่ยนแปลงธรรมบัญญัติของตนได้ หรือเปลี่ยนแปลงครรลองแห่งการทำหน้าที่ของตนตามธรรมชาติ  สรรพสิ่งเกิดมีขึ้นเนื่องจากสิทธิอำนาจของพระเจ้า และพินาศไปเนื่องจากสิทธิอำนาจของพระเจ้า  นี่คือสิทธิอำนาจของพระเจ้าโดยแท้  บัดนี้เมื่อได้กล่าวมามากมายถึงเพียงนี้แล้ว เจ้ารู้สึกได้หรือไม่ว่าสิทธิอำนาจของพระเจ้าคือสัญลักษณ์อย่างหนึ่งแห่งพระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้า?  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือที่มิได้ทรงสร้างใดๆ จะสามารถครองสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้หรือไม่?  บุคคล สิ่งของ หรือวัตถุใดๆ จะสามารถเลียนแบบ ปลอมแปลง หรือแทนที่สิทธิอำนาจนั้นได้หรือไม่?

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 102

พระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้างนั้นทรงเอกลักษณ์ และพวกเจ้าไม่ควรยึดปฏิบัติตามแนวคิดแบบพหุเทวนิยม

ถึงแม้ทักษะและความสามารถของซาตานจะยิ่งใหญ่กว่าทักษะและความสามารถของมนุษย์ ถึงแม้ว่ามันจะสามารถทำสิ่งทั้งหลายที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ แต่ไม่ว่าเจ้าจะอิจฉาหรือใฝ่ฝันในสิ่งที่ซาตานทำหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะเกลียดชังหรือขยะแขยงสิ่งเหล่านี้หรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะสามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้หรือไม่ก็ตาม และไม่ว่าซาตานจะสามารถสัมฤทธิ์มากมายเพียงใด หรือมันสามารถหลอกลวงผู้คนให้เคารพบูชาและปกป้องมันกี่คนก็ตาม และไม่ว่าเจ้าจะนิยามมันอย่างไรก็ตาม ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะสามารถกล่าวว่ามันมีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้า  เจ้าควรรู้ว่าพระเจ้าก็คือพระเจ้า พระเจ้ามีเพียงองค์เดียวเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้น เจ้าควรรู้ว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมีสิทธิอำนาจ ว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมีฤทธานุภาพในการควบคุมและปกครองทุกสรรพสิ่ง  เพียงเพราะซาตานมีความสามารถที่จะหลอกลวงผู้คนและปลอมเป็นพระเจ้า เลียนแบบหมายสำคัญและปาฏิหาริย์ที่พระเจ้าทรงทำ และได้ทำสิ่งทั้งหลายที่คล้ายกับพระเจ้าเท่านั้น เจ้าก็เชื่อผิดๆ ว่าพระเจ้าไม่ทรงเอกลักษณ์ ว่ามีพระเจ้าหลายองค์ ว่าพระเจ้าที่แตกต่างกันเหล่านี้แค่มีทักษะมากกว่าหรือน้อยกว่ากันเท่านั้น และว่าฤทธานุภาพที่พระเจ้าเหล่านี้กวัดแกว่งย่อมครอบคลุมกว้างขวางแตกต่างกัน  เจ้าจัดอันดับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเหล่านี้ตามลำดับการมาถึงและตามอายุของแต่ละองค์ และเจ้าเชื่ออย่างผิดๆ ว่ามีเทพเจ้าอื่นๆ นอกเหนือจากพระเจ้า และคิดว่าฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าไม่ได้ทรงเอกลักษณ์  หากเจ้ามีแนวคิดเช่นนั้น หากเจ้าไม่ตระหนักในเอกลักษณ์ของพระเจ้า ไม่เชื่อว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงครองสิทธิอำนาจ และหากเจ้าเพียงแต่ยึดปฏิบัติตามความเชื่อแบบพหุเทวนิยม เช่นนั้นแล้ว เราว่าเจ้าก็คือสิ่งทรงสร้างที่เหลือขอ เจ้าคือรูปจำแลงของซาตานอย่างแท้จริง และเจ้าเป็นคนชั่วโดยสมบูรณ์!  พวกเจ้าเข้าใจสิ่งที่เราพยายามสอนพวกเจ้าด้วยการกล่าววจนะเหล่านี้หรือไม่?  ไม่ว่ากาลเวลา สถานที่ หรือภูมิหลังของเจ้าจะเป็นเช่นไร เจ้าต้องไม่เอาพระเจ้าไปสับสนกับบุคคล วัตถุ หรือสิ่งอื่นใด  ไม่ว่าเจ้าจะรู้สึกว่า สิทธิอำนาจของพระเจ้าและแก่นแท้ของพระเจ้าพระองค์เองเป็นที่มิอาจรู้จักได้หรือไม่อาจเข้าถึงได้เพียงใดก็ตาม ไม่ว่าความประพฤติและคำพูดของซาตานจะตรงกับมโนคติอันหลงผิดและจินตนาการของเจ้ามากเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เจ้าพึงพอใจเพียงใดก็ตาม จงอย่าเขลา อย่าสับสนไปกับมโนทัศน์เหล่านี้ อย่าปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้า จงอย่าปฏิเสธพระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้า อย่าผลักพระเจ้าออกนอกประตูและนำซาตานเข้ามาแทนที่พระเจ้าที่อยู่ในหัวใจของเจ้าและเป็นพระเจ้าของเจ้า  เราไม่สงสัยเลยว่าพวกเจ้าสามารถจินตนาการถึงผลสืบเนื่องของการทำเช่นนั้น!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 103

แม้มวลมนุษย์จะถูกทำให้เสื่อมทราม แต่เขาก็ยังคงดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อธิปไตยแห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง

ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามมาหลายพันปีแล้ว  มันทำความชั่วมานับไม่ถ้วน หลอกลวงผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า และก่ออาชญากรรมอันเลวร้ายบนโลก  มันทารุณมนุษย์ หลอกลวงมนุษย์ ยั่วให้มนุษย์ต่อต้านพระเจ้า และมีพฤติการณ์อันชั่วที่ปั่นป่วนและบ่อนทำลายแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า  ถึงกระนั้น ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า สรรพสิ่งและสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตทั้งปวงยังคงยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และธรรมบัญญัติที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ต่อไป  เมื่อเปรียบเทียบกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าแล้ว ธรรมชาติและการอาละวาดอันชั่วของซาตานนั้นอัปลักษณ์เป็นที่ยิ่ง น่าขยะแขยงและน่าดูหมิ่นยิ่งนัก และช่างเล็กและเปราะบางเหลือเกิน  ถึงแม้ว่าซาตานจะเดินอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง แต่มันก็ไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในตัวผู้คน วัตถุ หรือสิ่งอันใดที่อยู่ใต้พระบัญชาของพระเจ้าแม้แต่น้อย  หลายพันปีผ่านพ้นไป และมวลมนุษย์ก็ยังคงชื่นชมความสว่างและอากาศที่พระเจ้าประทานให้ ยังคงหายใจด้วยลมปราณที่พระเจ้าพระองค์เองทรงถ่ายทอดออกมา ยังคงชื่นชมดอกไม้ นก ปลา และแมลงทั้งหลายที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น และชื่นชมทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ วันและคืนยังคงสลับแทนที่กันอย่างต่อเนื่อง ฤดูกาลทั้งสี่ยังคงปรับเปลี่ยนหมุนเวียนตามปกติ ห่านป่าที่บินอยู่ในท้องฟ้าจากไปในฤดูหนาว และยังคงหวนคืนมาในฤดูใบไม้ผลิครั้งถัดไป ปลาในน้ำไม่เคยทิ้งแม่น้ำและทะเลสาบซึ่งเป็นบ้านของตน จักจั่นบนแผ่นดินโลกขับขานจากหัวใจของพวกมันในหน้าร้อน และจิ้งหรีดในพงหญ้าครวญเพลงแผ่วเบาเป็นจังหวะเข้ากับสายลมในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ห่านป่ารวมตัวกันเป็นฝูง ในขณะที่นกอินทรียังคงสันโดษ ฝูงสิงโตยังคงหาเลี้ยงตนเองโดยการไล่ล่า กวางเอลก์ไม่ไถลห่างไปจากทุ่งหญ้าและดอกไม้… สิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตทุกประเภทจากไปและหวนคืนมา และแล้วก็จากไปอีกครั้งท่ามกลางทุกสิ่ง ความเปลี่ยนแปลงนับล้านเกิดขึ้นภายในพริบตาเดียว—แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือสัญชาตญาณและธรรมบัญญัติแห่งการอยู่รอดของสรรพสิ่ง  พวกมันดำรงชีวิตอยู่ภายใต้การจัดเตรียมและการบำรุงเลี้ยงของพระเจ้า และไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงสัญชาตญาณของพวกมันได้ อีกทั้งไม่มีผู้ใดสามารถทำลายกฎเกณฑ์แห่งอยู่รอดของพวกมันได้  ถึงแม้ว่ามวลมนุษย์ที่ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่งจะถูกซาตานหลอกลวงและทำให้เสื่อมทราม แต่มนุษย์ก็ยังคงไม่สามารถงดน้ำที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ และอากาศที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ และทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ และมนุษย์ยังคงดำรงชีวิตและเพิ่มจำนวนอยู่ในพื้นที่นี้ที่พระเจ้าทรงสร้างไว้  สัญชาตญาณของมวลมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป  มนุษย์ยังคงพึ่งพาสายตาของเขาในการมองเห็น พึ่งพาหูของเขาในการได้ยิน พึ่งพาสมองของเขาในการคิด พึ่งพาหัวใจของเขาในการเข้าใจ พึ่งพาขาและเท้าของเขาในการเดิน พึ่งพามือของเขาในการทำงาน และอื่นๆ สัญชาตญาณทั้งหมดที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์เพื่อให้เขาสามารถยอมรับการจัดเตรียมของพระเจ้าได้นั้นยังคงไม่ปรับเปลี่ยน ปฏิภาณทั้งหลายที่มนุษย์ใช้เพื่อร่วมมือกับพระเจ้าก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ปฏิภาณของมวลมนุษย์ในการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความต้องการฝ่ายวิญญาณของมวลมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความอยากพบต้นกำเนิดของตนในตัวมวลมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความโหยหาที่จะได้รับการช่วยให้รอดจากพระผู้สร้างของมวลมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง  เช่นนั้นคือรูปการณ์แวดล้อมในปัจจุบันของมวลมนุษย์ ที่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า และทนฝ่าการทำลายล้างอันนองเลือดที่เป็นฝีมือของซาตาน  แม้มวลมนุษย์จะถูกซาตานเหยียบย่ำ และแม้มวลมนุษย์จะไม่ใช่อาดัมกับเอวาจากปฐมกาลแห่งการทรงสร้างอีกต่อไปแล้ว แต่พวกเขากลับเต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นปรปักษ์กับพระเจ้าแทน เช่น ความรู้ จินตนาการ มโนคติอันหลงผิด และอื่นๆ และเต็มไปด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน กระนั้นในสายพระเนตรของพระเจ้า มวลมนุษย์ยังคงเป็นมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างดังเดิม  มวลมนุษย์ยังคงได้รับการปกครองและจัดวางเรียบเรียงจากพระเจ้า และยังคงดำรงชีวิตอยู่ในครรลองที่พระเจ้าทรงกำหนดเอาไว้ และดังนั้นในสายพระเนตรของพระเจ้า มวลมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามจึงเพียงถูกคราบสกปรกจับ  มีปฏิกิริยาที่เชื่องช้าไปสักหน่อย ท้องก็ร้อง ความจำก็ไม่ดีเหมือนเคย และชราลงเล็กน้อย—แต่การทำงานและสัญชาตญาณทั้งหมดของมนุษย์ไม่มีการเสียหายแต่อย่างใด  นี่คือมวลมนุษย์ที่พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะช่วยให้รอด  มวลมนุษย์นี้เพียงต้องได้ยินการทรงเรียกของพระผู้สร้าง และได้ยินพระสุรเสียงของพระผู้สร้างเท่านั้น แล้วเขาจะยืนขึ้นและรีบค้นหาตำแหน่งของแหล่งกำเนิดเสียงนั้น  มวลมนุษย์นี้เพียงต้องมองเห็นรูปสัณฐานของพระผู้สร้างเท่านั้น แล้วเขาจะไม่ใส่ใจในสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่ออุทิศตนต่อพระเจ้า และถึงขั้นยอมพลีชีวิตของเขาเพื่อพระองค์  เมื่อหัวใจของมวลมนุษย์เข้าใจพระวจนะที่เปี่ยมด้วยน้ำใสใจจริงของพระผู้สร้าง มวลมนุษย์จะปฏิเสธซาตานและมาอยู่เคียงข้างพระผู้สร้าง เมื่อมวลมนุษย์ชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกายของเขาอย่างหมดจด และน้อมรับการจัดเตรียมและการบำรุงเลี้ยงของพระผู้สร้างอีกครั้งหนึ่ง เมื่อนั้นความทรงจำของมวลมนุษย์จะฟื้นคืนมา และเมื่อถึงเวลานั้น มวลมนุษย์ย่อมจะหวนคืนสู่อำนาจครอบครองของพระผู้สร้างแล้วอย่างแท้จริง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 104

มนุษย์ถูกทำลายด้วยพระพิโรธของพระเจ้าเพราะต่อต้านพระเจ้าอย่างดื้อรั้น (บทตอนที่คัดมา)

ปฐมกาล 19:1-11  ฝ่ายทูตสวรรค์สององค์นั้นมาถึงเมืองโสโดมในเวลาเย็น โลทกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมืองโสโดม เมื่อโลทเห็นท่านทั้งสอง เขาก็ลุกขึ้นไปต้อนรับและโน้มตัวลงหน้าซบดิน กล่าวว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน ขอท่านแวะไปบ้านข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน ค้างสักคืนหนึ่ง ล้างเท้าของท่าน แล้วค่อยลุกขึ้นแต่เช้า เดินทางต่อไป” ทั้งสองตอบว่า “อย่าเลย เราจะค้างคืนที่ลานเมือง” แต่โลทก็รบเร้าชักชวนท่านทั้งสอง ท่านจึงแวะไปกับเขา เข้าไปในบ้านของเขา โลทก็จัดงานเลี้ยงท่านทั้งสอง ปิ้งขนมปังไร้เชื้อ ท่านทั้งสองก็รับประทาน ท่านทั้งสองยังไม่ทันเข้านอน พวกผู้ชายเมืองนั้น คือชายชาวเมืองโสโดมทั้งหนุ่มและแก่ทั้งหมดจากทุกมุมเมืองพากันมาล้อมบ้านนั้นไว้ พวกเขาร้องเรียกโลทว่า “ชายที่เข้ามาหาเจ้าคืนนี้อยู่ที่ไหน จงนำเขาออกมาให้เรา เราจะได้สมสู่กับเขา” โลทก็ออกทางประตูไปหาชายเหล่านั้น แล้วปิดประตูเสีย กล่าวว่า “พี่น้องของข้าเอ๋ย ข้าขอเสียทีเถอะ อย่ากระทำการโหดร้ายเช่นนี้เลย ดูเถิด ข้ามีลูกสาวสองคนยังไม่เคยสมสู่กับชายเลย ข้าจะนำออกมาให้ท่าน ท่านจะทำแก่เขาอย่างไรก็ได้ตามใจชอบเถิด แต่ขออย่าทำอะไรกับชายเหล่านี้เลย เพราะเขามาอยู่ใต้ร่มชายคาของข้าแล้ว” แต่พวกนั้นร้องว่า “ถอยไป” และขู่ว่า “เจ้าคนนี้มาขออาศัยอยู่ แล้วยังมาตั้งตัวเป็นตุลาการ เราจะทำกับเจ้าให้เจ็บเสียยิ่งกว่าทำแก่คนเหล่านั้นอีก” พวกนั้นผลักโลทโดยแรง และเข้ามาใกล้จะพังประตู แต่แขกทั้งสองนั้นยื่นมือออกไปดึงตัวโลทเข้ามาในบ้านแล้วปิดประตูเสีย ท่านทั้งสองทำให้พวกคนที่อยู่หน้าประตูบ้านนั้นตาบอดหมด ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็เที่ยวคลำหาประตูจนอ่อนใจ

ปฐมกาล 19:24-25  แล้วพระยาห์เวห์ทรงให้กำมะถันและไฟจากพระยาห์เวห์ ตกจากฟ้าลงมาบนเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ และพระองค์ทรงทำลายล้างเมืองเหล่านั้น ที่ลุ่มทั้งหมด ชาวเมืองทั้งสิ้นและพืชที่งอกบนดิน

จากบทตอนเหล่านี้ จะมองเห็นได้ไม่ยากว่าความชั่วร้ายและความเสื่อมทรามของเมืองโสโดมได้ไปถึงระดับที่เป็นที่น่าชิงชังสำหรับทั้งมนุษย์และพระเจ้า และเห็นได้ว่าเมืองนี้จึงสมควรถูกทำลายในสายพระเนตรของพระเจ้า แต่มีอะไรเกิดขึ้นภายในเมืองนี้ก่อนที่เมืองจะถูกทำลาย?  ผู้คนสามารถได้แรงบันดาลใจอันใดจากเหตุการณ์เหล่านี้?  ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อเหตุการณ์เหล่านี้แสดงสิ่งใดให้ผู้คนเห็นเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระองค์?  เพื่อให้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด พวกเรามาอ่านสิ่งที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์อย่างละเอียดกัน…

ความเสื่อมทรามของเมืองโสโดม: เป็นที่น่ากราดเกรี้ยวสำหรับมนุษย์ เป็นที่น่าเดือดดาลสำหรับพระเจ้า

ในคืนนั้น โลทได้รับทูตสวรรค์สององค์จากพระเจ้า และได้จัดเตรียมการเลี้ยงอาหารให้กับท่านทั้งสอง  หลังจากรับประทานอาหาร ก่อนที่พวกเขาจะนอนลง ผู้คนจากทั่วทั้งเมืองล้อมรอบที่พักของโลทและเรียกเขา  คัมภีร์บันทึกว่าพวกเขาพูดว่า “ชายที่เข้ามาหาเจ้าคืนนี้อยู่ที่ไหน จงนำเขาออกมาให้เรา เราจะได้สมสู่กับเขา”  ใครที่พูดคำพูดเหล่านี้?  พวกเขาพูดกับใคร?  คำพูดเหล่านี้คือคำพูดของผู้คนเมืองโสโดมที่ตะโกนด้านนอกที่พักของโลท และหมายจะให้โลทได้ยิน  การได้ยินคำพูดเหล่านี้ทำให้รู้สึกอย่างไร?  เจ้าโกรธหรือไม่?  คำพูดเหล่านี้ทำให้เจ้าคลื่นเหียนหรือไม่?  ตัวเจ้ากรุ่นไปด้วยความเดือดดาลหรือไม่?  คำพูดเหล่านี้ไม่ได้ส่งกลิ่นของซาตานหรอกหรือ?  เจ้าสามารถสำนึกรับรู้ถึงความชั่วและความมืดในเมืองนี้โดยผ่านทางคำพูดเหล่านี้ได้หรือไม่?  เจ้าสามารถสำนึกรับรู้ถึงความเหี้ยมโหดและความป่าเถื่อนของพฤติกรรมของผู้คนเหล่านี้โดยผ่านทางคำพูดของพวกเขาได้หรือไม่?  เจ้าสามารถสำนึกรับรู้ถึงความลึกของความเสื่อมทรามของพวกเขาโดยผ่านทางพฤติกรรมของพวกเขาได้หรือไม่?  ไม่ยากเลยที่จะมองเห็นโดยผ่านทางเนื้อหาคำพูดของพวกเขาว่า ธรรมชาติที่ชั่วร้ายและอุปนิสัยที่ป่าเถื่อนของพวกเขาได้ไปถึงระดับที่เกินการควบคุมของพวกเขาเองเสียแล้ว  ทุกๆ ผู้คนในเมืองนี้ยกเว้นโลทไม่ได้แตกต่างไปจากซาตาน  แค่มองเห็นบุคคลอื่นก็ทำให้ผู้คนเหล่านี้อยากทำร้ายและเคี้ยวกลืนพวกเขาลงไป… สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ให้คนเราได้มีสำนึกรับรู้ถึงธรรมชาติที่น่าเกลียดและน่ากลัวของเมืองนี้ ตลอดจนกลิ่นอายของความตายรอบเมืองนี้เท่านั้น แต่ยังให้คนเราได้มีสำนึกรับรู้ถึงความชั่วร้ายและความกระหายเลือดของมันด้วย

ขณะที่โลทพบว่าตัวเขาเองเผชิญหน้ากับกลุ่มคนอันธพาลที่ไร้มนุษยธรรม ผู้คนที่เต็มไปด้วยความอยากอันป่าเถื่อนที่จะกลืนกินดวงจิตของมนุษย์ โลทได้ตอบสนองอย่างไร?  ตามคัมภีร์ ความว่า “ข้าขอเสียทีเถอะ อย่ากระทำการโหดร้ายเช่นนี้เลย  ดูเถิด ข้ามีลูกสาวสองคนยังไม่เคยสมสู่กับชายเลย ข้าจะนำออกมาให้ท่าน ท่านจะทำแก่เขาอย่างไรก็ได้ตามใจชอบเถิด แต่ขออย่าทำอะไรกับชายเหล่านี้เลย เพราะเขามาอยู่ใต้ร่มชายคาของข้าแล้ว”  สิ่งที่โลทหมายถึงจากคำพูดเหล่านี้คือสิ่งนี้ กล่าวคือ เขาเต็มใจที่จะสละลูกสาวสองคนของเขาเพื่อปกป้องทูตสวรรค์  จากการคำนวณอย่างมีเหตุผลทั้งหมดแล้ว ผู้คนเหล่านี้ควรยอมรับเงื่อนไขของโลทและทิ้งทูตสวรรค์สององค์ไว้ลำพัง  อย่างไรเสีย ทูตสวรรค์ก็เป็นคนแปลกหน้าอย่างสมบูรณ์สำหรับพวกเขา ผู้คนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขาโดยสิ้นเชิงและไม่เคยทำความเสียหายต่อผลประโยชน์ของพวกเขา  ถึงกระนั้น พวกเขาได้รับการกระตุ้นจากธรรมชาติที่ชั่วร้ายของพวกเขา พวกเขาจึงไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ให้สงบลง แต่กลับใช้ความมานะพยายามของตนมากยิ่งขึ้นแทน  ในที่นี้ การแลกเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่งของพวกเขาสามารถให้ผู้คนได้มีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงและเลวทรามของผู้คนเหล่านี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย ในขณะเดียวกัน ยังทำให้ผู้คนสามารถจับใจความและเข้าใจเหตุผลว่าเพราะเหตุใดพระเจ้าจึงทรงปรารถนาที่จะทำลายเมืองนี้

ดังนั้นแล้ว พวกเขาพูดสิ่งใดต่อไป?  ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “‘ถอยไป’ และขู่ว่า ‘เจ้าคนนี้มาขออาศัยอยู่ แล้วยังมาตั้งตัวเป็นตุลาการ เราจะทำกับเจ้าให้เจ็บเสียยิ่งกว่าทำแก่คนเหล่านั้นอีก’ พวกนั้นผลักโลทโดยแรง และเข้ามาใกล้จะพังประตู”  เพราะเหตุใดพวกเขาจึงต้องการพังประตูบ้านของโลท?  เหตุผลก็คือว่าพวกเขากระเหี้ยนกระหือรืออยากที่จะทำร้ายทูตสวรรค์สององค์นั้น  อะไรที่นำทูตสวรรค์สององค์มาที่เมืองโสโดม?  จุดประสงค์ที่ท่านทั้งสองมาที่นั่นคือเพื่อช่วยโลทและครอบครัวของเขาให้รอด แต่ผู้คนในเมืองเข้าใจผิดคิดว่าท่านทั้งสองมาเพื่อเข้ารับตำแหน่งราชการ  ผู้คนในเมืองใช้การคาดคะเนเป็นพื้นฐานเพียงอย่างเดียวในความอยากที่จะทำร้ายทูตสวรรค์สององค์นี้อย่างป่าเถื่อนของพวกเขา โดยไม่ถามจุดประสงค์ของทูตสวรรค์ พวกเขาปรารถนาที่จะทำร้ายคนสองคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขาเลย  เป็นที่ชัดเจนว่าผู้คนในเมืองนี้ได้สูญเสียสภาวะความเป็นมนุษย์และเหตุผลของพวกเขาไปแล้วโดยสิ้นเชิง  ระดับความวิปลาสและความป่าเถื่อนของพวกเขาไม่แตกต่างเสียแล้วจากธรรมชาติที่เลวทรามของซาตานซึ่งมันใช้ทำร้ายและกลืนกินมนุษย์

เมื่อพวกเขาสั่งให้โลทส่งผู้คนเหล่านี้ให้ แล้วโลททำเช่นไร?  จากตัวบทนี้ พวกเราทราบว่าโลทไม่ได้ส่งตัวพวกท่านให้  โลทรู้จักทูตสวรรค์ของพระเจ้าสององค์นี้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่!  แต่กระนั้น เหตุใดเขาจึงสามารถช่วยเหลือท่านทั้งสองนี้ได้?  เขารู้หรือไม่ว่าพวกท่านมาเพื่อทำสิ่งใด?  ถึงแม้ว่าเขาไม่รู้เหตุผลที่พวกท่านมา แต่เขาก็รู้ว่าพวกท่านคือผู้รับใช้ของพระเจ้า ดังนั้นเขาจึงนำพวกท่านเข้าไปในบ้านของเขา  การที่เขาสามารถเรียกผู้รับใช้ของพระเจ้าเหล่านี้ด้วยคำว่า “เจ้านาย” แสดงให้เห็นว่าโลทเป็นผู้ติดตามพระเจ้าอย่างเป็นนิจศีล ไม่เหมือนกับผู้คนอื่นๆ ในเมืองโสโดม  ดังนั้น เมื่อทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาหาเขา เขาจึงได้เสี่ยงชีวิตของเขาเองเพื่อรับผู้รับใช้ทั้งสองนี้เข้ามาในบ้านของเขา  ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเสนอลูกสาวสองคนของเขาเป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อปกป้องผู้รับใช้ทั้งสองนี้ด้วยเช่นกัน  นี่คือความประพฤติที่ชอบธรรมของโลท เป็นการแสดงออกถึงแก่นแท้ธรรมชาติของโลทที่จับต้องได้ อีกทั้งยังเป็นเหตุผลที่พระเจ้าได้ทรงส่งผู้รับใช้ของพระองค์ไปช่วยโลท  เมื่อเผชิญกับภัยอันตราย โลทปกป้องผู้รับใช้ทั้งสองนี้โดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด เขายังพยายามแม้กระทั่งจะแลกลูกสาวสองคนของเขากับความปลอดภัยของผู้รับใช้เหล่านี้  นอกเหนือจากโลทแล้ว มีบุคคลอื่นใดภายในเมืองนี้ที่จะกระทำบางสิ่งบางอย่างเช่นนี้อีกหรือไม่?  ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่า—ไม่ ไม่มี!  ดังนั้น จึงเป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าทุกคนภายในเมืองโสโดม ยกเว้นโลท ต่างเป็นเป้าหมายของการทำลาย และเป็นเช่นนั้นอย่างยุติธรรมด้วย—พวกเขาสมควรได้รับมัน

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 105

ปฐมกาล 19:1-11  ฝ่ายทูตสวรรค์สององค์นั้นมาถึงเมืองโสโดมในเวลาเย็น โลทกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมืองโสโดม เมื่อโลทเห็นท่านทั้งสอง เขาก็ลุกขึ้นไปต้อนรับและโน้มตัวลงหน้าซบดิน กล่าวว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน ขอท่านแวะไปบ้านข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน ค้างสักคืนหนึ่ง ล้างเท้าของท่าน แล้วค่อยลุกขึ้นแต่เช้า เดินทางต่อไป” ทั้งสองตอบว่า “อย่าเลย เราจะค้างคืนที่ลานเมือง” แต่โลทก็รบเร้าชักชวนท่านทั้งสอง ท่านจึงแวะไปกับเขา เข้าไปในบ้านของเขา โลทก็จัดงานเลี้ยงท่านทั้งสอง ปิ้งขนมปังไร้เชื้อ ท่านทั้งสองก็รับประทาน ท่านทั้งสองยังไม่ทันเข้านอน พวกผู้ชายเมืองนั้น คือชายชาวเมืองโสโดมทั้งหนุ่มและแก่ทั้งหมดจากทุกมุมเมืองพากันมาล้อมบ้านนั้นไว้ พวกเขาร้องเรียกโลทว่า “ชายที่เข้ามาหาเจ้าคืนนี้อยู่ที่ไหน จงนำเขาออกมาให้เรา เราจะได้สมสู่กับเขา” โลทก็ออกทางประตูไปหาชายเหล่านั้น แล้วปิดประตูเสีย กล่าวว่า “พี่น้องของข้าเอ๋ย ข้าขอเสียทีเถอะ อย่ากระทำการโหดร้ายเช่นนี้เลย ดูเถิด ข้ามีลูกสาวสองคนยังไม่เคยสมสู่กับชายเลย ข้าจะนำออกมาให้ท่าน ท่านจะทำแก่เขาอย่างไรก็ได้ตามใจชอบเถิด แต่ขออย่าทำอะไรกับชายเหล่านี้เลย เพราะเขามาอยู่ใต้ร่มชายคาของข้าแล้ว” แต่พวกนั้นร้องว่า “ถอยไป” และขู่ว่า “เจ้าคนนี้มาขออาศัยอยู่ แล้วยังมาตั้งตัวเป็นตุลาการ เราจะทำกับเจ้าให้เจ็บเสียยิ่งกว่าทำแก่คนเหล่านั้นอีก” พวกนั้นผลักโลทโดยแรง และเข้ามาใกล้จะพังประตู แต่แขกทั้งสองนั้นยื่นมือออกไปดึงตัวโลทเข้ามาในบ้านแล้วปิดประตูเสีย ท่านทั้งสองทำให้พวกคนที่อยู่หน้าประตูบ้านนั้นตาบอดหมด ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็เที่ยวคลำหาประตูจนอ่อนใจ

ปฐมกาล 19:24-25  แล้วพระยาห์เวห์ทรงให้กำมะถันและไฟจากพระยาห์เวห์ ตกจากฟ้าลงมาบนเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ และพระองค์ทรงทำลายล้างเมืองเหล่านั้น ที่ลุ่มทั้งหมด ชาวเมืองทั้งสิ้นและพืชที่งอกบนดิน

เมืองโสโดมถูกทำลายล้างอย่างวายวอดเพราะล่วงเกินพระพิโรธของพระเจ้า

เมื่อผู้คนจากเมืองโสโดมเห็นผู้รับใช้ทั้งสองนี้ พวกเขาไม่ได้ถามเหตุผลในการมาของพวกท่าน อีกทั้งไม่มีผู้ใดถามว่าพวกท่านมาเพื่อเผยแพร่น้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่  ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับรวมตัวกันและมาเพื่อจับผู้รับใช้ทั้งสองนี้ ราวกับสุนัขป่าหรือหมาป่าที่มุ่งร้ายโดยไม่รอคำอธิบายใดๆ  พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งเหล่านี้ขณะมันเกิดขึ้นหรือไม่?  พระเจ้ามีพระดำริอย่างไรในพระทัยของพระองค์เกี่ยวกับพฤติกรรมประเภทนี้ของมนุษย์ เหตุการณ์ประเภทนี้?  พระเจ้าได้ตัดสินพระทัยที่จะทำลายเมืองนี้ พระองค์จะไม่ทรงลังเลหรือรอคอย อีกทั้งจะไม่ทรงแสดงความอดทนใดๆ อีกแล้ว  วันของพระองค์ได้มาถึงแล้ว และดังนั้น พระองค์จึงเริ่มต้นพระราชกิจที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะทำ ด้วยเหตุนี้เอง ปฐมกาล 19:24-25 จึงระบุว่า “แล้วพระยาห์เวห์ทรงให้กำมะถันและไฟจากพระยาห์เวห์ ตกจากฟ้าลงมาบนเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ และพระองค์ทรงทำลายล้างเมืองเหล่านั้น ที่ลุ่มทั้งหมด ชาวเมืองทั้งสิ้นและพืชที่งอกบนดิน”  สองข้อพระคัมภีร์นี้บอกวิธีที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อทำลายเมืองนี้ อีกทั้งสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงทำลาย  ประการแรก พระคัมภีร์บรรยายว่าพระเจ้าทรงเผาเมืองด้วยไฟ และว่าขอบเขตของไฟนี้เพียงพอที่จะทำลายผู้คนทั้งหมดและทั้งหมดที่งอกบนพื้นดิน  นั่นจึงกล่าวได้ว่า ไฟซึ่งตกมาจากสวรรค์นี้ไม่เพียงแต่ทำลายเมืองเท่านั้น แต่ยังได้ทำลายผู้คนและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดภายในเมืองด้วย  จนกระทั่งไม่มีร่องรอยใดๆ เหลืออยู่  หลังจากที่เมืองถูกทำลายไปแล้ว ดินแดนนี้ถูกทิ้งให้สูญสิ้นสิ่งมีชีวิต  ไม่มีชีวิตอีกแล้ว อีกทั้งไม่มีสัญญาณของชีวิตใดๆ เลย  เมืองได้กลายเป็นดินแดนรกร้าง สถานที่ว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยความเงียบเหมือนความตาย  จะไม่มีความประพฤติชั่วต่อพระเจ้าในสถานที่นี้อีกแล้ว ไม่มีการฆ่าฟันหรือการหลั่งเลือดอีกแล้ว

เหตุใดพระเจ้าจึงทรงต้องประสงค์ที่จะเผาเมืองนี้ให้สิ้นไปทั้งหมด?  พวกเจ้ามองเห็นในที่นี้หรือไม่?  พระเจ้าทรงสามารถทนดูมวลมนุษย์และธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งทรงสร้างของพระองค์เอง ถูกทำลายเช่นนี้ได้จริงๆ หรือ?  หากเจ้าสามารถหยั่งรู้พระโทสะของพระยาห์เวห์พระเจ้าจากไฟที่ถูกโยนลงมาจากสวรรค์ได้ เช่นนั้นแล้วก็ไม่เป็นการยากที่จะมองเห็นว่าความเดือดดาลของพระองค์ใหญ่หลวงเพียงใด เมื่อตัดสินจากเป้าหมายการทำลายของพระองค์และระดับที่เมืองนี้ถูกทำลายล้าง  เมื่อพระเจ้าทรงดูหมิ่นเมืองหนึ่ง พระองค์จะทรงส่งการลงโทษของพระองค์มายังเมืองนั้น  เมื่อพระเจ้าทรงรังเกียจเมืองหนึ่ง พระองค์จะทรงออกคำเตือนซ้ำๆ เพื่อเตือนผู้คนถึงพระโทสะของพระองค์  อย่างไรก็ตาม เมื่อพระเจ้าตัดสินพระทัยที่จะสิ้นสุดและทำลายเมืองหนึ่ง—นั่นคือ เมื่อพระพิโรธและพระบารมีของพระองค์ถูกล่วงเกิน—พระองค์จะไม่ประทานการลงโทษหรือคำเตือนใดๆ อีก  แต่พระองค์จะทรงทำลายเมืองนั้นโดยตรงแทน  พระองค์จะทรงทำให้เมืองนั้นหายไปสิ้น  นี่คือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 106

ปฐมกาล 19:1-11  ฝ่ายทูตสวรรค์สององค์นั้นมาถึงเมืองโสโดมในเวลาเย็น โลทกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมืองโสโดม เมื่อโลทเห็นท่านทั้งสอง เขาก็ลุกขึ้นไปต้อนรับและโน้มตัวลงหน้าซบดิน กล่าวว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน ขอท่านแวะไปบ้านข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน ค้างสักคืนหนึ่ง ล้างเท้าของท่าน แล้วค่อยลุกขึ้นแต่เช้า เดินทางต่อไป” ทั้งสองตอบว่า “อย่าเลย เราจะค้างคืนที่ลานเมือง” แต่โลทก็รบเร้าชักชวนท่านทั้งสอง ท่านจึงแวะไปกับเขา เข้าไปในบ้านของเขา โลทก็จัดงานเลี้ยงท่านทั้งสอง ปิ้งขนมปังไร้เชื้อ ท่านทั้งสองก็รับประทาน ท่านทั้งสองยังไม่ทันเข้านอน พวกผู้ชายเมืองนั้น คือชายชาวเมืองโสโดมทั้งหนุ่มและแก่ทั้งหมดจากทุกมุมเมืองพากันมาล้อมบ้านนั้นไว้ พวกเขาร้องเรียกโลทว่า “ชายที่เข้ามาหาเจ้าคืนนี้อยู่ที่ไหน จงนำเขาออกมาให้เรา เราจะได้สมสู่กับเขา” โลทก็ออกทางประตูไปหาชายเหล่านั้น แล้วปิดประตูเสีย กล่าวว่า “พี่น้องของข้าเอ๋ย ข้าขอเสียทีเถอะ อย่ากระทำการโหดร้ายเช่นนี้เลย ดูเถิด ข้ามีลูกสาวสองคนยังไม่เคยสมสู่กับชายเลย ข้าจะนำออกมาให้ท่าน ท่านจะทำแก่เขาอย่างไรก็ได้ตามใจชอบเถิด แต่ขออย่าทำอะไรกับชายเหล่านี้เลย เพราะเขามาอยู่ใต้ร่มชายคาของข้าแล้ว” แต่พวกนั้นร้องว่า “ถอยไป” และขู่ว่า “เจ้าคนนี้มาขออาศัยอยู่ แล้วยังมาตั้งตัวเป็นตุลาการ เราจะทำกับเจ้าให้เจ็บเสียยิ่งกว่าทำแก่คนเหล่านั้นอีก” พวกนั้นผลักโลทโดยแรง และเข้ามาใกล้จะพังประตู แต่แขกทั้งสองนั้นยื่นมือออกไปดึงตัวโลทเข้ามาในบ้านแล้วปิดประตูเสีย ท่านทั้งสองทำให้พวกคนที่อยู่หน้าประตูบ้านนั้นตาบอดหมด ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็เที่ยวคลำหาประตูจนอ่อนใจ

ปฐมกาล 19:24-25  แล้วพระยาห์เวห์ทรงให้กำมะถันและไฟจากพระยาห์เวห์ ตกจากฟ้าลงมาบนเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ และพระองค์ทรงทำลายล้างเมืองเหล่านั้น ที่ลุ่มทั้งหมด ชาวเมืองทั้งสิ้นและพืชที่งอกบนดิน

หลังจากที่เมืองโสโดมเป็นปรปักษ์และต้านทานพระองค์ซ้ำๆ พระเจ้าทรงกำจัดมันเสียสิ้น

จากมุมมองของมนุษย์ เมืองโสโดมเป็นเมืองที่สามารถตอบสนองความอยากของมนุษย์และความชั่วของมนุษย์ได้อย่างเต็มที่  มันยั่วยวนและทำให้เคลิบเคลิ้มด้วยดนตรีและการเต้นรำคืนแล้วคืนเล่า  ความรุ่งเรืองของมันขับดันมนุษย์ให้หลงใหลและบ้าคลั่ง  ความชั่วของมันกัดกร่อนหัวใจของผู้คนและทำให้พวกเขาเคลิบเคลิ้มอยู่ในความชั่วช้า  นี่คือเมืองที่บรรดาวิญญาณชั่วและมีมลทินออกอาละวาด มันเต็มไปด้วยบาปและการฆาตกรรม และอากาศก็คลุ้งไปด้วยกลิ่นเลือดเน่าเหม็น  มันคือเมืองที่ทำให้ผู้คนกลัวจนตัวเย็นเฉียบ เมืองที่คนเราจะถอยหนีด้วยความสยดสยอง  ไม่มีผู้ใดในเมืองนี้—ไม่ว่าชายหรือหญิง คนหนุ่มสาวหรือคนแก่—แสวงหาหนทางที่แท้จริง ไม่มีผู้ใดโหยหาความสว่าง หรือถวิลหาที่จะเดินออกจากบาป  พวกเขาใช้ชีวิตภายใต้การควบคุมของซาตาน ใต้ความเสื่อมทรามและการหลอกลวงของซาตาน  พวกเขาได้สูญเสียสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา พวกเขาได้สูญเสียสำนึกรับรู้ของพวกเขา และพวกเขาได้สูญเสียเป้าหมายในการดำรงอยู่แต่ดั้งเดิมของมนุษย์ไปแล้ว  พวกเขาได้กระทำความประพฤติชั่วร้ายนับไม่ถ้วนในการต้านทานพระเจ้า พวกเขาปฏิเสธการทรงนำของพระองค์ และต่อต้านน้ำพระทัยของพระองค์  ความประพฤติชั่วร้ายของพวกเขาคือสิ่งที่นำพาผู้คนเหล่านี้ เมืองนี้ และสิ่งมีชีวิตทุกอย่างภายในเมืองนี้ลงไปสู่เส้นทางแห่งการทำลายล้างทีละก้าว

ถึงแม้ว่าสองบทตอนนี้ไม่ได้บันทึกรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับขอบเขตความเสื่อมทรามของผู้คนเมืองโสโดม แต่บันทึกการประพฤติของพวกเขาต่อผู้รับใช้สองท่านของพระเจ้าหลังจากที่ผู้รับใช้สองท่านนั้นมาถึงในเมืองแทนก็ตาม แต่นี่ก็คือข้อเท็จจริงเรียบง่ายที่เผยถึงขอบเขตที่ผู้คนของโสโดมเสื่อมทราม ชั่วช้า และต้านทานพระเจ้า  ด้วยข้อเท็จจริงนี้ ใบหน้าและเนื้อแท้ที่แท้จริงของผู้คนในเมืองก็ถูกเปิดโปงด้วยเช่นกัน  ผู้คนเหล่านี้ไม่เพียงแต่ปฏิเสธที่จะยอมรับคำเตือนของพระเจ้า แต่พวกเขายังไม่ยำเกรงต่อการลงโทษของพระองค์ด้วย  ในทางตรงกันข้าม พวกเขาสบประมาทพระโทสะของพระเจ้า  พวกเขาต่อต้านพระเจ้าอย่างหูหนวกตาบอด  ไม่สำคัญว่าพระองค์จะทรงทำสิ่งใดหรือทรงทำสิ่งนั้นอย่างไร ธรรมชาติที่เลวทรามของพวกเขามีแต่จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็ต่อต้านพระเจ้าซ้ำๆ  ผู้คนเมืองโสโดมเป็นปรปักษ์ต่อการดำรงอยู่ของพระเจ้า การเสด็จมาของพระเจ้า การลงโทษของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นปรปักษ์ต่อคำเตือนของพระองค์  พวกเขาช่างโอหังเหลือเกิน  พวกเขาเคี้ยวกลืนและทำร้ายผู้คนทุกคนที่สามารถถูกเคี้ยวกินและทำร้ายได้ และพวกเขาปฏิบัติต่อผู้รับใช้ของพระเจ้าอย่างไม่ต่างกัน  เมื่อคำนึงถึงความประพฤติชั่วทั้งหมดที่ผู้คนของโสโดมกระทำแล้ว การทำร้ายผู้รับใช้ของพระเจ้าเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของมันเท่านั้น และดังนั้นธรรมชาติชั่วร้ายของพวกเขาที่ถูกเผยออกมาเมื่อรวมกันแล้วจึงไม่ได้มากไปกว่าหยดน้ำหนึ่งหยดในทะเลอันกว้างใหญ่เลยจริงๆ  ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงเลือกที่จะทำลายพวกเขาด้วยไฟ  พระเจ้าไม่ได้ทรงใช้น้ำท่วม อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงใช้เฮอริเคน แผ่นดินไหว สึนามิ หรือวิธีการอื่นใดในการทำลายเมืองนั้น  การที่พระเจ้าทรงใช้ไฟเพื่อทำลายเมืองนี้มีนัยสำคัญถึงอะไร?  มันหมายถึงการทำลายเมืองนี้อย่างราบคาบ มันหมายถึงว่าเมืองนี้ได้อันตรธานหายไปจากโลกและจากการมีอยู่โดยสิ้นเชิง  ในที่นี้ “การทำลายล้าง” ไม่ได้หมายถึงการอันตรธานหายไปของรูปร่างและโครงสร้างหรือการปรากฏภายนอกอื่นๆ ของเมืองนี้เท่านั้น แต่ยังหมายถึงว่าดวงจิตของผู้คนภายในเมืองนี้ก็ไม่มีอยู่อีกต่อไป โดยได้ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้นด้วยเช่นกัน  กล่าวอย่างง่ายๆ คือ ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเมืองนี้ได้ถูกทำลาย  จะไม่มีชีวิตหน้าหรือการกลับมาเกิดใหม่สำหรับผู้คนในเมืองนั้น พระเจ้าได้ทรงกำจัดพวกเขาออกจากมนุษยชาติที่พระองค์ทรงสร้างไปแล้วชั่วกัลปาวสาน  การใช้ไฟมีนัยสำคัญถึงการสิ้นสุดของบาปในสถานที่แห่งนี้ และบาปได้ถูกกั้นขอบไว้ ณ ที่แห่งนั้น บาปนี้จะไม่มีอยู่และไม่เผยแพร่อีกต่อไป  มันหมายความว่าความชั่วของซาตานได้สูญเสียดินที่บำรุงเลี้ยงดูมัน อีกทั้งสุสานที่ได้ให้มันมีสถานที่อยู่และใช้ชีวิต  ในสงครามระหว่างพระเจ้าและซาตาน การที่พระเจ้าทรงใช้ไฟนั้นคือเครื่องแสดงชัยชนะของพระเจ้าที่ใช้ตีตราซาตานไว้  ความย่อยยับของเมืองโสโดมคือการก้าวพลาดครั้งใหญ่ในความมักใหญ่ใฝ่สูงของซาตานในอันที่จะต่อต้านพระเจ้าโดยการทำให้มนุษย์เสื่อมทรามและกลืนกินมนุษย์ และในทำนองเดียวกันก็เป็นเครื่องบ่งชี้อันน่าเหยียดหยามถึงช่วงเวลาหนึ่งในพัฒนาการของมนุษยชาติ ซึ่งเป็นเวลาที่มนุษย์ปฏิเสธการทรงนำของพระเจ้าและปล่อยให้ตัวเองถูกความชั่วร้ายครอบงำ  ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นบันทึกเกี่ยวกับการเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าที่แท้จริง

เมื่อไฟที่พระเจ้าทรงส่งมาจากสวรรค์ได้เผาทำลายเมืองโสโดมจนไม่เหลือสิ่งใดนอกจากเถ้าถ่าน นั่นหมายความว่าเมืองที่มีชื่อว่า “โสโดม” ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้วหลังจากนั้น เช่นเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่างภายในเมืองนั้น  มันถูกทำลายด้วยพระโทสะของพระเจ้า อันตรธานหายไปภายในพระพิโรธและพระบารมีของพระเจ้า  เนื่องจากพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า เมืองโสโดมจึงได้รับการลงโทษที่ยุติธรรมและบทอวสานที่ชอบธรรม  บทอวสานของการมีอยู่ของเมืองโสโดมนั้นเป็นเพราะความชั่วของมัน และนอกจากนี้ยังเป็นเพราะความพึงปรารถนาของพระเจ้าที่จะไม่มีวันมองดูเมืองนี้ หรือผู้คนใดๆ ที่ได้อาศัยอยู่ในเมืองนี้ หรือชีวิตใดๆ ที่ได้เติบโตขึ้นภายในเมืองนี้อีก  “ความพึงปรารถนาที่จะไม่มีวันมองดูเมืองนี้อีก” ของพระเจ้า คือพระพิโรธของพระองค์และพระบารมีของพระองค์  พระเจ้าได้ทรงเผาเมืองนี้เพราะความชั่วร้ายและบาปของมันที่เป็นเหตุให้พระองค์กริ้ว รังเกียจ และเกลียดชังมัน และทรงปรารถนาที่จะไม่มองเห็นมันหรือผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ภายในเมืองนั้นอีกเลย  ทันทีที่เมืองได้เผาไหม้จนหมดสิ้นเหลือเพียงเถ้าไว้เบื้องหลังแล้ว เมืองนี้ก็ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง แม้กระทั่งความทรงจำของพระองค์เกี่ยวกับเมืองนี้ก็ถูกลบหายไปด้วย  การนี้หมายความว่า ไฟที่ส่งมาจากสวรรค์ไม่เพียงแต่จะทำลายทั้งเมืองโสโดมเท่านั้น มันไม่เพียงแค่ได้ทำลายผู้คนภายในเมืองที่เต็มไปด้วยบาปอย่างมากเท่านั้น อีกทั้งมันไม่เพียงแค่ได้ทำลายทุกสรรพสิ่งภายในเมืองที่ได้มีมลทินด้วยบาปเท่านั้น นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ไฟยังได้ทำลายความทรงจำเกี่ยวกับความชั่วและการต้านทานพระเจ้าของมนุษยชาติอีกด้วย  นี่คือจุดประสงค์ของพระเจ้าในการเผาเมืองนี้จนมอด

มนุษยชาตินี้ได้กลายเป็นเสื่อมทรามอย่างสุดขีด  ผู้คนเหล่านี้ไม่รู้ว่าพระเจ้าคือผู้ใด หรือตัวพวกเขาเองได้มาจากที่ใด  หากเจ้ากล่าวถึงพระเจ้ากับพวกเขา พวกเขาจะโจมตี ใส่ร้ายป้ายสี และหมิ่นประมาท  แม้กระทั่งเมื่อผู้รับใช้ของพระเจ้าได้มาเพื่อเผยแพร่คำเตือนของพระองค์ ผู้คนที่เสื่อมทรามเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่แสดงสัญญาณของการกลับใจและไม่เลิกการประพฤติที่ชั่วร้ายของพวกเขาเท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขาได้ทำร้ายผู้รับใช้ของพระเจ้าอย่างไม่เกรงกลัว  สิ่งที่พวกเขาแสดงออกและเผยออกมาคือแก่นแท้ธรรมชาติแห่งความเป็นปรปักษ์สุดขีดต่อพระเจ้าของพวกเขา  พวกเราสามารถมองเห็นได้ว่าการต้านทานพระเจ้าของผู้คนที่เสื่อมทรามเหล่านี้เป็นมากกว่าการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา เช่นเดียวกับการที่มันเป็นมากกว่าเหตุการณ์ใส่ร้ายป้ายสีหรือเย้ยหยันซึ่งมาจากการขาดพร่องความเข้าใจความจริงแค่นั้น  การประพฤติที่ชั่วร้ายของพวกเขาไม่ได้มีสาเหตุมาจากทั้งความโง่เขลาและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พวกเขาได้กระทำในหนทางนี้ไม่ใช่เพราะพวกเขาได้ถูกหลอก และแน่นอนว่าไม่ใช่เพราะพวกเขาได้ถูกทำให้หลงเข้าใจผิด  การประพฤติของพวกเขาได้มาถึงระดับของการเป็นปรปักษ์ การต่อต้าน และการแสดงความคิดเห็นต่อต้านพระเจ้าโดยไม่เกรงกลัวอย่างโจ่งแจ้งแล้ว  พฤติกรรมของมนุษย์ประเภทนี้จะทำให้พระเจ้าทรงเดือดดาลอย่างไม่มีข้อสงสัย และมันจะทำให้พระอุปนิสัยของพระองค์เดือดดาล—พระอุปนิสัยที่ต้องไม่ได้รับการทำให้ขุ่นเคือง  ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์และพระบารมีของพระองค์ออกมาโดยตรงอย่างเปิดเผย นี่คือการเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์อย่างแท้จริง  เมื่อเผชิญหน้ากับเมืองที่ท่วมท้นไปด้วยบาป พระเจ้าทรงพึงปรารถนาที่จะทำลายมันในลักษณะที่รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ กำจัดผู้คนภายในเมืองนั้นและทั้งหมดทั้งปวงของบาปของพวกเขาในวิธีที่ครบบริบูรณ์มากที่สุด ทำให้ผู้คนในเมืองนี้ไม่มีอยู่อีกต่อไป และหยุดบาปภายในสถานที่นี้ไม่ให้ทวีคูณขึ้น  วิธีที่รวดเร็วที่สุดและครบบริบูรณ์มากที่สุดในการดำเนินการดังกล่าวคือการเผามันให้มอดไหม้ด้วยไฟ  ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนเมืองโสโดมไม่ใช่ท่าทีของการทิ้งขว้างหรือความเฉยเมย  แต่พระองค์ทรงใช้พระพิโรธ พระบารมี และสิทธิอำนาจของพระองค์ในการลงโทษ บดขยี้ และทำลายผู้คนเหล่านี้ให้สิ้นซาก  ท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาไม่ใช่ท่าทีของการทำลายล้างทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำลายล้างดวงจิตซึ่งเป็นการกำจัดชั่วนิรันดร์ด้วยเช่นกัน  นี่คือความหมายโดยนัยที่แท้จริงของสิ่งที่พระเจ้าทรงหมายถึงจากคำว่า “ไม่มีอยู่อีกต่อไป”

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 107

ถึงแม้ว่าพระพิโรธของพระเจ้าจะถูกซ่อนเร้นและไม่เป็นที่รับรู้สำหรับมนุษย์ แต่พระพิโรธของพระเจ้าก็ไม่ทนยอมรับการล่วงเกิน

การปฏิบัติของพระเจ้าต่อมนุษยชาติทั้งหมดที่เบาปัญญาและไม่รู้เท่าทันอย่างที่มนุษยชาติเป็นนั้น โดยหลักแล้วมีพื้นฐานอยู่บนความปรานีและการทนยอมรับ  ในทางตรงกันข้าม พระพิโรธของพระองค์ได้รับการปกปิดไว้เป็นส่วนใหญ่ในสถานการณ์ส่วนมาก และไม่เป็นที่รับรู้ของมนุษย์  ดังนั้น จึงเป็นการยากที่มนุษย์จะได้เห็นพระเจ้าทรงแสดงออกถึงพระพิโรธของพระองค์ อีกทั้งยังเป็นการยากด้วยเช่นกันที่จะเข้าใจพระพิโรธของพระองค์  เมื่อเป็นเช่นนั้น มนุษย์จึงเห็นพระพิโรธของพระเจ้าเป็นของเล่น  เมื่อมนุษย์เผชิญหน้ากับพระราชกิจและขั้นตอนสุดท้ายในการทนยอมรับและการอภัยโทษให้มนุษย์ของพระเจ้า—นั่นคือ เมื่อความปรานีครั้งสุดท้ายของพระเจ้าและคำเตือนสุดท้ายของพระองค์มาถึงมวลมนุษย์—หากผู้คนยังคงใช้วิธีการเดียวกันในการต่อต้านพระเจ้าและไม่ได้ใช้ความพยายามใดๆ ในการกลับใจ ในการทำให้วิธีของพวกเขาถูกต้อง และยอมรับความปรานีของพระองค์ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะไม่ประทานการทนยอมรับและความอดทนของพระองค์ให้แก่พวกเขาอีกต่อไป  ในทางตรงกันข้าม พระเจ้าจะทรงถอนความปรานีของพระองค์ในครั้งนี้กลับ  หลังจากนี้ พระเจ้าจะเพียงทรงส่งพระพิโรธของพระองค์ออกไปเท่านั้น  พระองค์สามารถแสดงออกถึงพระพิโรธของพระองค์ในหนทางต่างๆ หลายหนทาง เช่นเดียวกับที่พระองค์สามารถใช้วิธีการต่างๆ เพื่อลงโทษและทำลายผู้คน

การที่พระเจ้าทรงใช้ไฟเพื่อทำลายเมืองโสโดมคือวิธีการที่รวดเร็วที่สุดของพระองค์ในการทำลายล้างมนุษยชาติหรือสิ่งอื่นใดให้สิ้นซาก  การเผาผู้คนเมืองโสโดมได้ทำลายมากกว่าร่างกายทางกายภาพของพวกเขา มันได้ทำลายทั้งหมดทั้งปวงของจิตวิญญาณของพวกเขา ดวงจิตของพวกเขา และร่างกายของพวกเขา ซึ่งทำให้แน่ใจว่าผู้คนภายในเมืองจะไม่มีอยู่อีกต่อไปทั้งในโลกวัตถุและโลกที่ไม่ปรากฏแก่ตาของมนุษย์  นี่คือหนทางหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อเผยและแสดงถึงพระพิโรธของพระองค์  ลักษณะการเผยและการแสดงออกนี้คือแง่มุมหนึ่งในเนื้อแท้ของพระพิโรธของพระเจ้า เช่นเดียวกับที่ยังเป็นการเผยเนื้อแท้ของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าตามธรรมชาติด้วย  เมื่อพระเจ้าทรงส่งพระพิโรธของพระองค์ออกไป พระองค์ทรงหยุดเผยความปรานีหรือความเมตตาใดๆ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงแสดงการทนยอมรับหรือความอดทนใดๆ ของพระองค์อีก ไม่มีบุคคล สิ่งของ หรือเหตุผลใดที่สามารถโน้มน้าวพระองค์ให้ทรงอดทนต่อไป ให้ประทานความปรานีของพระองค์อีกครั้ง ให้ประทานการทนยอมรับของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง  พระเจ้าส่งพระพิโรธและพระบารมีของพระองค์มาแทนที่สิ่งเหล่านี้โดยปราศจากความลังเลสักชั่วขณะหนึ่ง และทรงทำสิ่งที่พระองค์ทรงพึงปรารถนา  พระองค์จะทรงทำสิ่งเหล่านี้ในลักษณะที่รวดเร็วและหมดจดตามความปรารถนาของพระองค์เอง  นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อส่งพระพิโรธและพระบารมีของพระองค์มา ซึ่งมนุษย์ต้องไม่ล่วงเกิน และยังเป็นการแสดงออกถึงแง่มุมหนึ่งของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ด้วยเช่นกัน  เมื่อผู้คนเป็นประจักษ์พยานในการที่พระเจ้าทรงแสดงความกังวลและความรักต่อมนุษย์ พวกเขาไร้ความสามารถที่จะสังเกตพบพระพิโรธของพระองค์ มองเห็นพระบารมีของพระองค์ หรือรู้สึกถึงความไม่ยอมผ่อนปรนที่พระองค์ทรงมีต่อการถูกล่วงเกิน  สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้ผู้คนเชื่อว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าเป็นอุปนิสัยแห่งความปรานี การทนยอมรับ และความรักอย่างเดียวเท่านั้นมาโดยตลอด  อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคนเห็นพระเจ้าทรงทำลายเมืองหรือทรงรังเกียจมนุษยชาติ ความเดือดดาลของพระองค์ในการทำลายล้างมนุษย์และพระบารมีของพระองค์ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นอีกด้านของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ได้ชั่วขณะหนึ่ง  นี่คือความไม่ยอมผ่อนปรนต่อการถูกล่วงเกินของพระเจ้า  พระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ไม่ทนยอมรับการล่วงเกินใดๆ นั้นเกินกว่าจินตนาการของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ และท่ามกลางสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างนั้น ไม่มีสิ่งใดสามารถแทรกแซงสิ่งนี้หรือส่งผลกระทบต่อสิ่งนี้ได้ นับประสาอะไรที่สิ่งนี้จะสามารถถูกปลอมแฝงหรือเอาอย่างได้  ด้วยเหตุนี้ พระอุปนิสัยของพระเจ้าในแง่มุมนี้คือแง่มุมที่มนุษยชาติควรรู้เป็นที่สุด  มีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่มีพระอุปนิสัยประเภทนี้ และมีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ครอบครองพระอุปนิสัยประเภทนี้  พระเจ้าทรงครอบครองพระอุปนิสัยอันชอบธรรมประเภทนี้เพราะพระองค์ทรงรังเกียจความชั่วร้าย ความมืด ความเป็นกบฏ และการทำชั่วของซาตาน—ซึ่งก็คือการทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามและกลืนกินมวลมนุษย์—เพราะพระองค์ทรงรังเกียจการทำบาปทั้งปวงซึ่งต่อต้านพระองค์ และเพราะแก่นแท้ของพระองค์นั้นบริสุทธิ์และปราศจากความมัวหมอง  เป็นเพราะการนี้นั่นเองพระองค์จึงจะไม่ทรงทนทุกข์กับการที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ ต่อต้านหรือแข่งขันกับพระองค์อย่างเปิดเผย  แม้แต่ผู้ที่พระองค์เคยทรงแสดงความปรานีให้หนึ่งครั้งหรือผู้ที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้ หากแค่พวกเขายั่วยุพระอุปนิสัยของพระองค์และฝ่าฝืนหลักธรรมแห่งความอดทนและการทนยอมรับของพระองค์ แล้วพระองค์ก็จะทรงปลดปล่อยและเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ที่ไม่ทนยอมรับการล่วงเกิน โดยไม่มีความปรานีหรือการลังเลโดยแม้แต่น้อย

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 108

พระพิโรธของพระเจ้าคือการพิทักษ์กำลังบังคับแห่งความยุติธรรมทั้งหมดและสิ่งที่เป็นบวกทั้งหมด (บทตอนที่คัดมา)

ความไม่ยอมผ่อนปรนต่อการถูกล่วงเกินของพระเจ้าคือเนื้อแท้ที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์ พระพิโรธของพระเจ้าคือพระอุปนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์ พระบารมีของพระเจ้าคือเนื้อแท้ที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์  หลักธรรมเบื้องหลังพระโทสะของพระเจ้าคือการแสดงให้เห็นถึงพระอัตลักษณ์และสถานะของพระองค์ที่มีพระองค์ทรงเป็นผู้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียว  เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าหลักธรรมนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของเนื้อแท้ของพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์พระองค์เองอีกด้วย  พระอุปนิสัยของพระเจ้าคือเนื้อแท้ประจำพระองค์ของพระองค์เอง ซึ่งไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากการเปลี่ยนผันของเวลาเลย อีกทั้งไม่ได้รับการปรับเปลี่ยนจากการเปลี่ยนแปลงของสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์  พระอุปนิสัยประจำพระองค์ของพระองค์คือเนื้อแท้ภายในของพระองค์  ไม่ว่าพระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์กับผู้ใด เนื้อแท้ของพระองค์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน  เมื่อมีผู้ทำให้พระเจ้ากริ้ว สิ่งที่พระเจ้าทรงส่งออกไปคือพระอุปนิสัยประจำพระองค์ ในขณะนี้หลักธรรมที่อยู่เบื้องหลังพระโทสะของพระองค์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งพระอัตลักษณ์และสถานะที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้วย  พระองค์ไม่ได้เกิดพระโทสะเพราะการเปลี่ยนแปลงในเนื้อแท้ของพระองค์ หรือเพราะมีองค์ประกอบที่แตกต่างเกิดขึ้นจากพระอุปนิสัยของพระองค์ แต่เพราะการต่อต้านพระองค์ของมนุษย์ได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์  การยั่วยุพระเจ้าอย่างเห็นได้ชัดของมนุษย์คือการท้าทายพระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าเองอันร้ายแรง  ในทรรศนะของพระเจ้า เมื่อมนุษย์ท้าทายพระองค์ มนุษย์ก็กำลังแข่งขันกับพระองค์และทดสอบพระโทสะของพระองค์  เมื่อมนุษย์ต่อต้านพระเจ้า เมื่อมนุษย์แข่งขันกับพระเจ้า เมื่อมนุษย์ทดสอบพระโทสะของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง—และช่วงเวลาเช่นนั้นคือเวลาที่บาปไร้การควบคุม—พระพิโรธของพระเจ้าจะเผยและแสดงตัวออกมาโดยธรรมชาติ  ดังนั้น การแสดงออกของพระเจ้าถึงพระพิโรธของพระองค์จึงเป็นสัญลักษณ์ว่ากำลังบังคับแห่งความชั่วทั้งหมดจะไม่มีอยู่อีกต่อไป และเป็นสัญลักษณ์ว่ากำลังบังคับที่เป็นปรปักษ์ทั้งหมดจะถูกทำลาย  นี่คือความเป็นเอกลักษณ์ของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และของพระพิโรธของพระเจ้า  เมื่อความทรงเกียรติและความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าถูกท้าทาย เมื่อกำลังบังคับแห่งความยุติธรรมถูกขัดขวางและมนุษย์มองไม่เห็น เมื่อนั้นพระเจ้าจะส่งพระพิโรธของพระองค์ออกไป  เพราะเนื้อแท้ของพระเจ้า กำลังบังคับทั้งหมดเหล่านั้นบนแผ่นดินโลกที่แข่งขันกับพระเจ้า ต่อต้านพระองค์ และต่อสู้กับพระองค์จึงชั่ว เสื่อมทราม และไม่ยุติธรรม สิ่งเหล่านี้มาจากซาตานและเป็นของซาตาน  เพราะพระเจ้าทรงยุติธรรมและทรงมีความสว่างและความบริสุทธิ์อันไร้ที่ติ ดังนั้นทุกสิ่งที่ชั่ว เสื่อมทราม และเป็นของซาตานจะหายไปเมื่อพระพิโรธของพระเจ้าถูกปล่อยออกมา

ถึงแม้ว่าการแสดงพระพิโรธของพระเจ้าโดยทันทีจะเป็นแง่มุมหนึ่งของการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ แต่พระโทสะของพระเจ้าก็ใช่ว่าไม่เลือกเป้าหมาย และใช่ว่าปราศจากหลักธรรม  ในทางตรงกันข้าม พระเจ้าไม่ได้ด่วนกริ้วเลย อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงเผยพระพิโรธและพระบารมีของพระองค์อย่างไม่ใส่พระทัย  ยิ่งไปกว่านั้น พระพิโรธของพระเจ้าอยู่ภายใต้การควบคุมและได้รับการไตร่ตรองอย่างรอบคอบอย่างยิ่ง พระพิโรธของพระองค์เทียบไม่ได้กับการที่มนุษย์เกิดความเดือดดาลหรือระบายความโกรธของตัวเองแบบเป็นนิสัยเลย  การสนทนามากมายระหว่างมนุษย์และพระเจ้าถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์  คำพูดของผู้คนบางคนที่เกี่ยวข้องกับการสนทนาเหล่านั้นตื้นเขิน ไม่รู้เท่าทัน และเหมือนเด็กทารก แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงบดขยี้พวกเขา อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงกล่าวโทษพวกเขา  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระหว่างการทดสอบของโยบ พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเพื่อนสามคนของโยบและคนอื่นๆ อย่างไรหลังจากที่พระองค์ทรงได้ยินคำพูดที่พวกเขาพูดกับโยบ?  พระองค์ทรงกล่าวโทษพวกเขาหรือไม่?  พระองค์ทรงเดือดดาลกับพวกเขาหรือไม่?  พระองค์ไม่ได้ทรงทำอะไรเช่นนั้น!  แต่พระองค์กลับทรงบอกโยบให้วอนขอในนามของพวกเขาและอธิษฐานเพื่อพวกเขาแทน และพระเจ้าพระองค์เองไม่ทรงเก็บเอาความผิดพลาดของพวกเขาไปใส่พระทัย  เหตุการณ์เหล่านี้ทั้งหมดแสดงถึงท่าทีที่สำคัญที่สุดที่พระเจ้าทรงใช้ปฏิบัติต่อมนุษยชาติที่เสื่อมทรามและไม่รู้เท่าทันอย่างที่มนุษย์เป็น  ดังนั้น การปลดปล่อยพระพิโรธของพระเจ้าไม่ได้เป็นการแสดงออกถึงอารมณ์ของพระองค์แต่อย่างใด อีกทั้งไม่ใช่วิธีที่พระองค์ทรงใช้ระบายความรู้สึกของพระองค์  พระพิโรธของพระเจ้าไม่ใช่การระเบิดความเดือดดาลออกอย่างหมดสิ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับความเข้าใจผิดของมนุษย์  พระเจ้าไม่ทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์เนื่องเพราะพระองค์ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของพระองค์เองได้ หรือเพราะพระโทสะของพระองค์ได้มาถึงจุดเดือดและต้องมีการระบายออก  ในทางตรงกันข้าม พระพิโรธของพระองค์คือการเผยให้เห็นและการแสดงออกอย่างจริงแท้ถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ และเป็นการเผยในเชิงสัญลักษณ์ถึงเนื้อแท้ที่บริสุทธิ์ของพระองค์  พระเจ้าทรงเป็นความพิโรธ และพระองค์ไม่ทรงทนยอมรับการล่วงเกิน—นี่ไม่ใช่การกล่าวว่าพระโทสะของพระเจ้าไม่แยกแยะสาเหตุหรือไม่มีหลักการ  มนุษยชาติที่เสื่อมทรามนั่นเองที่ถือสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการระเบิดความเดือดดาลอย่างไร้หลักการตามอำเภอใจ ซึ่งเป็นความเดือดดาลประเภทที่ไม่แยกแยะสาเหตุ  ทันทีที่มนุษย์มีสถานะ เขามักจะพบว่าการควบคุมอารมณ์ของเขาเป็นเรื่องยาก และดังนั้นเขาจะสุขสำราญกับการฉวยโอกาสที่จะแสดงความไม่พอใจและระบายอารมณ์ของเขา เขามักจะเกิดความเดือดดาลโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนเพื่อเผยความสามารถของเขา และให้คนอื่นรู้ว่าสถานะและอัตลักษณ์ของเขาแตกต่างจากสถานะและอัตลักษณ์ของผู้คนธรรมดา  แน่นอนว่าผู้คนที่เสื่อมทรามที่ปราศจากสถานะใดๆ ก็มักจะสูญเสียการควบคุมด้วยเช่นกัน  บ่อยครั้งที่ความโกรธของพวกเขาเกิดจากความเสียหายต่อผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขา  พวกเขาจะระบายอารมณ์ของตนและความโอหังของพวกเขาบ่อยครั้งเพื่อปกป้องสถานะและศักดิ์ศรีของพวกเขาเอง  มนุษย์จะบันดาลโทสะและระบายอารมณ์ของตนเพื่อปกป้องและสนับสนุนการมีอยู่ของบาป และการกระทำเหล่านี้คือวิธีที่มนุษย์ใช้แสดงความไม่พอใจของเขา พวกเขาเต็มไปด้วยความไม่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยกลอุบายและเล่ห์กล เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามและความชั่วของมนุษย์ และเหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาเต็มไปด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากที่บ้าคลั่งของมนุษย์  เมื่อความยุติธรรมปะทะกับความชั่วร้าย ความโกรธของมนุษย์จะไม่ปะทุขึ้นเพื่อปกป้องการมีอยู่ของความยุติธรรมหรือสนับสนุนความยุติธรรม  ในทางตรงกันข้าม เมื่อกำลังบังคับแห่งความยุติธรรมถูกคุกคาม ถูกข่มเหง และถูกโจมตี ท่าทีที่มนุษย์มีคือท่าทีที่เมินเฉย หลบเลี่ยง หรือถอยหนี  อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับกำลังบังคับแห่งความชั่ว ท่าทีที่มนุษย์มีคือท่าทีของการโอนอ่อนผ่อนตาม ว่าง่ายและยอมรับใช้  ดังนั้น การระบายอารมณ์ของมนุษย์จึงเป็นทางหนีสำหรับกำลังบังคับแห่งความชั่ว ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงการประพฤติชั่วที่ไร้การควบคุมและหยุดไม่ได้ของมนุษย์ที่มีเนื้อหนัง  อย่างไรก็ตาม เมื่อพระเจ้าส่งพระพิโรธของพระองค์ออกไป กำลังบังคับแห่งความชั่วทั้งหมดจะถูกหยุด บาปทั้งหมดที่ทำร้ายมนุษย์จะถูกระงับ กำลังบังคับที่เป็นปรปักษ์ทั้งหมดที่ขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้าจะถูกทำให้เห็นชัดเจน ถูกแยกออกมาต่างหาก และถูกสาปแช่ง ในขณะที่ผู้สมรู้ร่วมคิดของซาตานทั้งหมดที่ต่อต้านพระเจ้าจะถูกลงโทษและถอนรากถอนโคน  แทนที่สิ่งเหล่านั้น พระราชกิจของพระเจ้าจะดำเนินไปโดยปราศจากอุปสรรคใดๆ แผนการบริหารจัดการของพระเจ้าจะพัฒนาต่อไปทีละขั้นตอนตามกำหนดการ และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะปราศจากการรบกวนและการหลอกลวงของซาตาน ในขณะที่บรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าจะชื่นชมการเป็นผู้นำและการจัดเตรียมของพระเจ้าท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่สงบเงียบและสงบสุข  พระพิโรธของพระเจ้าคือการพิทักษ์ที่ป้องกันกำลังบังคับแห่งความชั่วทั้งหมดไม่ให้ทวีคูณและไร้การควบคุม และยังเป็นการพิทักษ์ที่ปกป้องการมีอยู่และการแพร่พันธุ์ของทุกสรรพสิ่งที่ยุติธรรมและเป็นบวก และคุ้มกันสิ่งเหล่านั้นจากการปราบปรามและการบ่อนทำลายชั่วนิรันดร์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 109

พระพิโรธของพระเจ้าคือการพิทักษ์กำลังบังคับแห่งความยุติธรรมทั้งหมดและสิ่งที่เป็นบวกทั้งหมด (บทตอนที่คัดมา)

พวกเจ้าสามารถมองเห็นเนื้อแท้ของพระพิโรธของพระเจ้าในการทำลายเมืองโสโดมของพระองค์ได้หรือไม่?  มีสิ่งอื่นใดที่ผสมปนเปอยู่ภายในความเดือดดาลของพระองค์หรือไม่?  ความเดือดดาลของพระเจ้าบริสุทธิ์หรือไม่?  หากพูดตามภาษามนุษย์ พระพิโรธของพระเจ้าไม่มีสิ่งเจือปนใช่หรือไม่?  มีมารยาเสแสร้งใดๆ อยู่เบื้องหลังพระพิโรธของพระองค์หรือไม่?  มีการสมคบคิดใดๆ หรือไม่?  มีความลับที่พูดไม่ได้ใดๆ หรือไม่?  เราสามารถบอกพวกเจ้าได้อย่างเด็ดขาดและเอาจริงเอาจังว่า ไม่มีส่วนใดในพระพิโรธของพระเจ้าที่สามารถทำให้คนเราเกิดความสงสัยได้  พระโทสะของพระองค์คือพระโทสะที่บริสุทธิ์ไม่มีสิ่งเจือปน ไม่ได้เก็บงำเจตนารมณ์หรือเป้าหมายอื่นไว้เลย  เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังพระโทสะของพระองค์เป็นเหตุผลที่บริสุทธิ์ ไร้การกล่าวโทษ และอยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์  พระโทสะของพระองค์คือการเผยและการแสดงตามธรรมชาติถึงเนื้อแท้ที่บริสุทธิ์ของพระองค์ พระโทสะของพระองค์คือบางสิ่งที่ไม่มีสรรพสิ่งทรงสร้างใดครอบครอง  นี่คือส่วนหนึ่งของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของพระเจ้า และยังเป็นความแตกต่างที่โดดเด่นระหว่างเนื้อแท้ของพระผู้สร้างกับสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระองค์ตามลำดับ

ไม่ว่าคนหนึ่งจะโกรธขึ้นมาต่อหน้าผู้อื่นหรือลับหลังพวกเขา ทุกคนมีเจตนาและจุดประสงค์ที่แตกต่างกันในความโกรธของพวกเขา  บางทีพวกเขากำลังสร้างบารมีของพวกเขาอยู่ หรือบางทีพวกเขากำลังป้องกันผลประโยชน์ของพวกเขาเอง รักษาภาพลักษณ์ของพวกเขา หรือรักษาหน้า  บางคนใช้ความยับยั้งชั่งใจในความโกรธของตน ในขณะที่คนอื่นๆ หุนหันพลันแล่นมากกว่าและปล่อยให้ความเดือดดาลปะทุขึ้นเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาปรารถนาโดยไม่มีความยับยั้งชั่งใจเลยแม้แต่น้อย  กล่าวอย่างสั้นๆ คือ ความโกรธของมนุษย์มาจากอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเขา  ไม่สำคัญว่าความโกรธนั้นจะมีจุดประสงค์ใดก็ตาม ความโกรธนั้นก็เป็นของเนื้อหนังและของธรรมชาติ ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับความยุติธรรมหรือความอยุติธรรมเพราะไม่มีสิ่งใดในแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์ที่สอดคล้องกับความจริง  ดังนั้น อารมณ์ของมนุษยชาติที่เสื่อมทรามและพระพิโรธของพระเจ้าไม่อาจได้รับการกล่าวถึงในขณะเดียวกันได้  พฤติกรรมของมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามเริ่มต้นด้วยความอยากที่จะพิทักษ์ความเสื่อมทรามโดยไม่มีข้อยกเว้น และมันมีพื้นฐานมาจากความเสื่อมทรามอย่างแท้จริง นี่คือเหตุผลว่าทำไมความโกรธของมนุษย์จึงไม่สามารถได้รับการกล่าวถึงในขณะเดียวกันกับพระพิโรธของพระเจ้าได้ ไม่สำคัญว่าความโกรธของมนุษย์อาจดูถูกต้องเหมาะสมในทางทฤษฎีเพียงใดก็ตาม  เมื่อพระเจ้าทรงส่งความเดือดดาลของพระองค์ออกไป กำลังบังคับแห่งความชั่วจะถูกตรวจสอบและสิ่งที่ชั่วร้ายจะถูกทำลาย ในขณะที่สิ่งที่ยุติธรรมและเป็นบวกจะมาชื่นชมการใส่พระทัยและการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้า และได้รับอนุญาตให้ดำเนินต่อไปได้  พระเจ้าส่งพระพิโรธของพระองค์ออกไปเพราะสิ่งที่อยุติธรรม เป็นลบ และชั่วร้ายขัดขวาง รบกวน หรือทำลายกิจกรรมและพัฒนาการที่ปกติของสิ่งทั้งหลายที่ยุติธรรมและเป็นบวก  เป้าหมายของพระโทสะของพระเจ้าไม่ใช่เพื่อพิทักษ์สภาวะและพระอัตลักษณ์ของพระองค์เอง แต่เพื่อพิทักษ์การดำรงอยู่ของสิ่งที่ยุติธรรม เป็นบวก สวยงาม และดี เพื่อพิทักษ์ธรรมบัญญัติและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการอยู่รอดโดยปกติของมนุษยชาติ  นี่คือสาเหตุที่เป็นรากเหง้าของพระพิโรธของพระเจ้า  ความเดือดดาลของพระเจ้าคือการเผยพระอุปนิสัยของพระองค์อย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นธรรมชาติ และแท้จริงอย่างยิ่ง  ในความเดือดดาลของพระองค์ไม่มีแรงจูงใจแอบแฝง อีกทั้งไม่มีความหลอกลวงหรือการคิดแผนการ นับประสาอะไรที่จะมีความอยากได้อยากมี ความมีเล่ห์เหลี่ยม ความมุ่งร้าย ความรุนแรง ความชั่ว หรือคุณสมบัติอื่นใดที่มนุษยชาติที่เสื่อมทรามมีร่วมกัน  ก่อนที่พระเจ้าจะทรงส่งความเดือดดาลของพระองค์ออกไป พระองค์ได้ทรงล่วงรู้เนื้อแท้ของทุกเรื่องอย่างชัดเจนและสมบูรณ์ยิ่งแล้ว และพระองค์ได้ทรงกำหนดคำจำกัดความและข้อสรุปที่ถูกต้องแม่นยำและชัดเจนแล้ว  ดังนั้น วัตถุประสงค์ของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำนั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง เช่นเดียวกับท่าทีของพระองค์  พระองค์ไม่ได้ทรงสับสนปนเป หูหนวกตาบอด หุนหันพลันแล่น หรือไม่ระมัดระวัง และพระองค์ไม่ได้ทรงขาดหลักการอย่างแน่นอน  นี่คือแง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระพิโรธของพระเจ้า และมวลมนุษย์ได้บรรลุการดำรงอยู่ที่ปกติก็เพราะแง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระพิโรธของพระเจ้านี้นั่นเอง  หากปราศจากพระพิโรธของพระเจ้า มนุษยชาติคงจะลงมาสู่สภาวะการใช้ชีวิตที่ผิดปกติ และทุกสรรพสิ่งที่ยุติธรรม สวยงาม และดีงามจะถูกทำลายและไม่มีอยู่อีกต่อไป  หากปราศจากพระพิโรธของพระเจ้า ธรรมบัญญัติและกฎการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างจะถูกทำลาย หรือแม้กระทั่งถูกล้มล้างอย่างสมบูรณ์  นับตั้งแต่การทรงสร้างมนุษย์ พระเจ้าทรงใช้พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์อย่างต่อเนื่องเพื่อพิทักษ์และค้ำชูการดำรงอยู่ที่ปกติของมนุษยชาติ  เพราะพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์กอปรด้วยพระพิโรธและพระบารมี ผู้คน สิ่งของ และวัตถุที่ชั่วร้ายทั้งหมด และทุกสรรพสิ่งที่รบกวนและทำความเสียหายต่อการดำรงอยู่ที่ปกติของมนุษย์จึงถูกลงโทษ ควบคุม และทำลายเนื่องจากพระพิโรธของพระองค์  ในช่วงระยะเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา พระเจ้าทรงใช้พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์อย่างต่อเนื่อง เพื่อบดขยี้และทำลายบรรดาวิญญาณชั่วและมีมลทินทุกประเภทที่ต่อต้านพระเจ้าและกระทำการเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและข้ารับใช้ของซาตานในพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมนุษยชาติของพระเจ้า  ดังนั้น พระราชกิจแห่งความรอดของมนุษย์ของพระเจ้าจึงได้รุดหน้าไปตามแผนของพระองค์อยู่เสมอ  นี่จึงกล่าวได้ว่า เนื่องจากการมีอยู่ของพระพิโรธของพระเจ้า สาเหตุที่ชอบธรรมที่สุดของมนุษย์จึงไม่เคยถูกทำลายมาก่อน

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 110

ถึงแม้ซาตานจะดูเหมือนว่ามีมนุษยธรรม ยุติธรรม และมีคุณงามความดี แต่เนื้อแท้ของซาตานนั้นโหดร้ายและชั่ว

ซาตานสร้างชื่อเสียงของมันโดยผ่านทางการหลอกลวงผู้คน และมักจะสถาปนาตัวเองเป็นทัพหน้าและแบบอย่างที่มีความชอบธรรม  ภายใต้การกล่าวอ้างเทียมเท็จว่าจะพิทักษ์ความชอบธรรม มันทำร้ายผู้คน กลืนกินดวงจิตของพวกเขา และใช้วิถีทางทุกประเภทเพื่อทำให้มนุษย์ด้านชา หลอกลวง และยุยงมนุษย์  เป้าหมายของมันคือการทำให้มนุษย์เห็นชอบและเข้ากันได้ดีกับการประพฤติชั่วของมัน เพื่อทำให้มนุษย์เข้าร่วมกับมันในการต่อต้านสิทธิอำนาจและอธิปไตยของพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม เมื่อคนเรามองทะลุกลอุบายและแผนร้ายของมัน และมองทะลุลักษณะเฉพาะที่เลวทรามของมัน และเมื่อคนเราไม่ปรารถนาที่จะถูกมันเหยียบย่ำและถูกมันหลอกลวง หรือที่จะทำงานเป็นทาสเพื่อมันต่อไป หรือที่จะถูกลงโทษและถูกทำลายเคียงข้างมัน เช่นนั้นแล้ว ซาตานก็จะเปลี่ยนลักษณะเฉพาะราววิสุทธิชนก่อนหน้านี้ของมัน และฉีกหน้ากากปลอมๆ ของมันเพื่อเผยใบหน้าที่แท้จริงของมัน ซึ่งชั่วร้าย เลวทราม น่าเกลียด และป่าเถื่อน  มันจะไม่รักสิ่งใดมากไปกว่าการทำลายทุกผู้คนที่ปฏิเสธที่จะติดตามมันและผู้ที่ต่อต้านกำลังบังคับแห่งความชั่วของมันให้สิ้น  ณ จุดนี้ ซาตานไม่สามารถสวมรูปลักษณ์ที่น่าไว้วางใจและเป็นสุภาพบุรุษได้อีกต่อไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ลักษณะเฉพาะอันแท้จริงที่น่าเกลียดและชั่วร้ายของมันกลับถูกเผยออกมาภายใต้คราบคนดีแทน  ทันทีที่กลอุบายของซาตานถูกตีแผ่ออกมาและลักษณะเฉพาะที่แท้จริงของมันถูกเปิดโปง มันจะระเบิดความเดือดดาลโดยฉับพลันและแสดงความป่าเถื่อนของมันออกมา  หลังจากนี้ ความอยากทำร้ายและกลืนกินผู้คนของมันมีแต่จะยิ่งรุนแรงขึ้น  นี่เป็นเพราะมันเดือดดาลเมื่อมนุษย์เริ่มสังเกตเห็นความจริง และมันเกิดความอาฆาตอันแรงกล้าต่อมนุษย์เพราะความมุ่งมาดปรารถนาของพวกเขาที่โหยหาเสรีภาพและความสว่าง และต้องการหลุดพ้นไปจากคุกของมัน  ความเดือดดาลของมันมีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องและสนับสนุนความชั่วของมัน และยังเป็นการเผยถึงธรรมชาติที่ป่าเถื่อนของมันอย่างแท้จริง

ในทุกๆ เรื่อง พฤติกรรมของซาตานจะเปิดโปงธรรมชาติอันชั่วของมัน  จากการกระทำชั่วทั้งหมดที่ซาตานได้ทำกับมนุษย์ไปแล้ว—ตั้งแต่ความพยายามในช่วงแรกๆ ของมันที่จะลวงมนุษย์ให้ติดตามมัน ไปจนถึงการใช้ประโยชน์จากมนุษย์ ซึ่งมันลากมนุษย์มาสู่ความประพฤติชั่วของมัน ไปจนถึงความอาฆาตต่อมนุษย์หลังจากที่ลักษณะเฉพาะที่แท้จริงของมันได้ถูกเปิดโปงและมนุษย์ได้รับรู้และละทิ้งมันไปแล้ว—ในการกระทำเหล่านี้ ไม่มีสักอย่างที่ไม่สามารถเปิดโปงเนื้อแท้ที่ชั่วของซาตาน หรือไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าซาตานไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับสิ่งที่เป็นบวกเลย และว่าซาตานคือแหล่งกำเนิดของสิ่งที่ชั่วทั้งหมด  ทุกๆ การกระทำของมันพิทักษ์ความชั่วของมัน รักษาความต่อเนื่องของการกระทำชั่วของมัน ต่อต้านสิ่งที่ยุติธรรมและเป็นบวกทั้งหลาย และทำลายธรรมบัญญัติและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการดำรงอยู่ที่ปกติของมนุษยชาติ  การกระทำเหล่านี้ของซาตานเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้า และพวกมันจะถูกทำลายด้วยพระพิโรธของพระเจ้า  ถึงแม้ว่าซาตานจะมีความเดือดดาลของมันเอง แต่ความเดือดดาลของมันก็เป็นเพียงวิถีทางหนึ่งในการระบายธรรมชาติที่ชั่วของมันออกมา  เหตุผลที่ว่าทำไมซาตานจึงฉุนเฉียวและโกรธเกรี้ยวนั้นเป็นเพราะว่า  กลอุบายที่ไม่สามารถบรรยายได้ของมันได้ถูกเปิดโปงแล้ว แผนร้ายของมันไม่ได้รอดพ้นไปง่ายๆ ความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากอันบ้าคลั่งของมันที่จะแทนที่พระเจ้าและทำตัวเป็นพระเจ้าได้ถูกบดขยี้และสกัดกั้น และเป้าหมายของมันที่จะควบคุมมนุษยชาติทั้งหมดตอนนี้ไม่เป็นผลแล้วและไม่มีวันสามารถสัมฤทธิ์ผลได้  สิ่งที่หยุดแผนร้ายของซาตานไม่ให้เกิดผลและตัดการแพร่กระจายและการอาละวาดของความชั่วของซาตานคือการที่พระเจ้าทรงเรียกใช้พระพิโรธของพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำอีก  ด้วยเหตุผลนี้ ซาตานจึงทั้งเกลียดชังและยำเกรงพระพิโรธของพระเจ้า  ในแต่ละครั้งที่พระพิโรธของพระเจ้าเคลื่อนลงมา พระพิโรธของพระองค์ไม่เพียงแต่เปิดหน้ากากของรูปลักษณ์เลวทรามที่แท้จริงของซาตานเท่านั้น แต่ยังเปิดโปงความอยากอันชั่วที่ซาตานมีต่อความสว่างด้วย และในกระบวนการนั้น เหตุผลของความเดือดดาลของซาตานต่อมนุษยชาติก็ถูกตีแผ่  การระเบิดความเดือดดาลของซาตานคือการเผยที่แท้จริงถึงธรรมชาติที่ชั่วของมัน และคือการเปิดโปงกลอุบายของมัน  แน่นอนว่าทุกครั้งที่ซาตานเดือดดาลเป็นการประกาศถึงการทำลายล้างสิ่งที่ชั่วและการปกป้องสิ่งที่เป็นบวกและทำให้สิ่งที่เป็นบวกดำเนินต่อไป เป็นการประกาศถึงความจริงที่ว่าพระพิโรธของพระเจ้าไม่สามารถถูกล่วงเกินได้!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 111

คนเราต้องไม่อาศัยประสบการณ์และจินตนาการเพื่อรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า

เมื่อเจ้าพบว่าตัวเจ้าเองกำลังเผชิญกับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า เจ้าจะพูดหรือไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีสิ่งเจือปน?  เจ้าจะพูดหรือไม่ว่ามีเรื่องราวอยู่เบื้องหลังความเดือดดาลของพระเจ้า และว่าความเดือดดาลของพระเจ้ามีสิ่งเจือปน?  เจ้าจะใส่ร้ายป้ายสีพระเจ้าโดยกล่าวว่าพระอุปนิสัยของพระองค์ไม่จำเป็นต้องชอบธรรมไปเสียทั้งหมดเสมอไปหรือไม่?  เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกระทำแต่ละอย่างของพระเจ้า เจ้าต้องมั่นใจเสียก่อนว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้านั้นปราศจากองค์ประกอบอื่นใด ว่าพระอุปนิสัยของพระองค์บริสุทธิ์และไม่มีที่ติ  การกระทำเหล่านี้รวมถึงการที่พระเจ้าทรงบดขยี้ ลงโทษ และทำลายล้างมนุษยชาติ  ทุกๆ การกระทำของพระเจ้าได้รับการดำเนินการโดยสอดคล้องกับอุปนิสัยโดยเนื้อแท้ของพระองค์และแผนของพระองค์อย่างเข้มงวด และไม่รวมถึงส่วนเสี้ยวใดๆ ของความรู้ ธรรมเนียมประเพณี และปรัชญาของมนุษยชาติ  ทุกๆ การกระทำของพระเจ้าคือการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระองค์ ซึ่งไม่เกี่ยวโยงกับสิ่งใดก็ตามที่เป็นของมนุษยชาติที่เสื่อมทราม  มวลมนุษย์มีมโนคติที่หลงผิดว่ามีเพียงความรัก ความปรานี และการทนยอมรับของพระเจ้าต่อมนุษยชาติเท่านั้นที่ไม่มีที่ติ ไม่มีสิ่งเจือปน และศักดิ์สิทธิ์ และไม่มีผู้ใดรู้ว่าความเดือดดาลของพระเจ้าและพระพิโรธของพระองค์ก็ไม่มีสิ่งเจือปนเฉกเช่นเดียวกัน  ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีผู้ใดเคยได้ใคร่ครวญคำถามทั้งหลาย เช่น เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงทนยอมรับการล่วงเกิน หรือเหตุใดความเดือดดาลของพระเจ้าจึงยิ่งใหญ่นัก  ในทางตรงกันข้าม บางคนสำคัญผิดว่าพระพิโรธของพระเจ้ามาจากอารมณ์ที่ไม่ดี ดังเช่น อารมณ์ของมนุษยชาติที่เสื่อมทราม และเข้าใจผิดว่าพระโทสะของพระเจ้าเป็นความเดือดดาลแบบเดียวกันกับความโกรธของมนุษยชาติที่เสื่อมทราม  พวกเขาถึงขั้นตั้งสมมุติฐานอย่างผิดๆ ว่าความเดือดดาลของพระเจ้าเป็นเหมือนกับการเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษยชาติตามธรรมชาติ และว่าการส่งพระพิโรธของพระเจ้าออกมาก็แค่เป็นเหมือนกับความโกรธของผู้คนที่เสื่อมทรามเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่มีความสุขบางอย่าง และเชื่อว่าการปล่อยพระพิโรธของพระเจ้าคือการแสดงออกถึงอารมณ์ของพระองค์  หลังจากการสามัคคีธรรมนี้ เราหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะไม่มีแนวคิดที่ผิด การจินตนาการ หรือการคาดคะเนใดๆ เกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอีกต่อไป  หลังจากที่ได้ยินถ้อยคำของเรา เราหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถมีการระลึกรู้ที่แท้จริงในหัวใจของพวกเจ้าได้ถึงพระพิโรธแห่งพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า เราหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถละวางความเข้าใจผิดใดๆ เกี่ยวกับพระพิโรธของพระเจ้าที่มีก่อนหน้านี้ลงได้ และหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงการเชื่อและทรรศนะผิดๆ ของเจ้าเองเกี่ยวกับเนื้อแท้ของพระพิโรธของพระเจ้าได้  ยิ่งไปกว่านั้น เราหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถมีคำนิยามที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าในหัวใจของพวกเจ้า หวังว่าพวกเจ้าจะไม่มีความสงสัยใดๆ เกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอีกต่อไป และหวังว่าพวกเจ้าจะไม่ยัดเยียดการใช้เหตุผลหรือการจินตนาการแบบมนุษย์ใดๆ ให้กับพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้า  พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าคือเนื้อแท้ที่แท้จริงของพระเจ้าเอง  พระอุปนิสัยนี้ไม่ใช่บางสิ่งที่มนุษย์เขียนขึ้นหรือก่อให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น  พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ก็คือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ และไม่มีความสัมพันธ์หรือความเชื่อมโยงกับสิ่งใดก็ตามที่เป็นสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง  พระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง  พระองค์จะไม่มีวันทรงกลายเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง และแม้ว่าพระองค์ทรงกลายเป็นสมาชิกหนึ่งของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พระอุปนิสัยและเนื้อแท้ภายในของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลง  ดังนั้น การรู้จักพระเจ้าจึงไม่ใช่แบบเดียวกับการรู้จักวัตถุ การรู้จักพระเจ้าไม่ใช่การชำแหละบางสิ่งบางอย่าง อีกทั้งยังไม่ใช่แบบเดียวกับการทำความเข้าใจบุคคลหนึ่ง  หากมนุษย์ใช้มโนทัศน์หรือวิธีการทำความรู้จักวัตถุหรือทำความเข้าใจบุคคลของตน มาทำความรู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีวันสามารถบรรลุถึงความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า  การรู้จักพระเจ้าไม่ได้อาศัยประสบการณ์หรือจินตนาการ และดังนั้นเจ้าต้องไม่ยัดเยียดใช้ประสบการณ์หรือจินตนาการของเจ้ากับพระเจ้าโดยเด็ดขาด  ไม่ว่าประสบการณ์และจินตนาการของเจ้าอาจมากมายเพียงใด แต่สิ่งเหล่านั้นยังคงมีข้อจำกัด  ยิ่งไปกว่านั้น จินตนาการของเจ้าไม่ได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง แล้วนับประสาอะไรที่จะสอดคล้องกับความจริง และจินตนาการของเจ้าไม่เข้ากันกับพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ที่แท้จริงของพระเจ้า  เจ้าจะไม่มีวันประสบความสำเร็จหากเจ้าอาศัยจินตนาการของเจ้าในการทำความเข้าใจเนื้อแท้ของพระเจ้า  นี่เป็นเส้นทางเดียว กล่าวคือ ยอมรับทุกสิ่งที่มาจากพระเจ้า จากนั้นค่อยๆ รับประสบการณ์และทำความเข้าใจมัน  จะมีวันหนึ่งที่พระเจ้าจะประทานความรู้แจ้งแก่เจ้าเพื่อที่จะเข้าใจและรู้จักพระองค์อย่างแท้จริง เนื่องเพราะการให้ความร่วมมือของเจ้า และเนื่องเพราะความหิวและความกระหายความจริงของเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 112

มนุษยชาติได้รับความปรานีและการทนยอมรับของพระเจ้าโดยผ่านทางการกลับใจที่จริงใจ (บทตอนที่คัดมา)

คำเตือนของพระยาห์เวห์พระเจ้าไปถึงชาวนีนะเวห์

พวกเรามาอ่านต่อไปในบทตอนที่สองกันเถิด ซึ่งเป็นบทที่สามของหนังสือโยนาห์ ความว่า “โยนาห์ตั้งต้นเดินเข้าไปในเมืองได้ระยะทางเดินวันหนึ่ง และท่านก็ร้องประกาศว่า ‘อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกทำลาย’”  เหล่านี้คือพระวจนะที่พระเจ้าทรงถ่ายทอดให้กับโยนาห์โดยตรงเพื่อบอกต่อชาวนีนะเวห์ ดังนั้น แน่นอนว่าพระวจนะเหล่านี้จึงเป็นพระวจนะที่พระยาห์เวห์ทรงปรารถนาที่จะตรัสต่อชาวนีนะเวห์  พระวจนะเหล่านี้บอกผู้คนว่าพระเจ้าได้ทรงเริ่มชิงชังและเกลียดผู้คนในเมืองนี้ เพราะความชั่วร้ายของพวกเขาได้มาอยู่เฉพาะสายพระเนตรอันจับจ้องของพระองค์ และดังนั้นพระองค์จึงทรงปรารถนาที่จะทำลายเมืองนี้  อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พระเจ้าจะได้ทรงทำลายเมืองนี้ พระองค์จะทรงทำการประกาศต่อชาวนีนะเวห์ และในขณะเดียวกันก็ประทานโอกาสให้พวกเขาได้กลับใจจากความชั่วร้ายของพวกเขาและเริ่มต้นใหม่  โอกาสนี้ดำเนินอยู่สี่สิบวัน และไม่นานไปกว่านั้น  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากผู้คนภายในเมืองไม่กลับใจ ยอมรับบาปของพวกเขา และหมอบราบเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าภายในสี่สิบวัน พระเจ้าจะทรงทำลายเมืองนี้เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงทำลายเมืองโสโดมไปแล้ว  นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะบอกผู้คนในเมืองนีนะเวห์  เป็นที่ชัดเจนว่านี่ไม่ใช่แค่ถ้อยแถลงธรรมดาๆ  ถ้อยแถลงนี้ไม่เพียงสื่อถึงพระโทสะของพระยาห์เวห์พระเจ้าเท่านั้น แต่ยังสื่อถึงท่าทีของพระองค์ต่อชาวนีนะเวห์ ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นคำเตือนอย่างจริงจังต่อผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในเมืองด้วย  คำเตือนนี้บอกพวกเขาว่าการกระทำชั่วร้ายของพวกเขาได้ทำให้พวกเขาได้รับความเกลียดชังจากพระยาห์เวห์พระเจ้าแล้ว และจะนำพวกเขาไปถึงปากขอบแห่งการทำลายล้างพวกเขาเองในไม่ช้า  ดังนั้น ชีวิตของผู้อาศัยทุกคนในเมืองนีนะเวห์จึงอยู่ในภยันตรายที่จวนตัว

ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างปฏิกิริยาของเมืองนีนะเวห์และเมืองโสโดมต่อคำเตือนของพระยาห์เวห์พระเจ้า

การถูกทำลายหมายถึงอะไร?  ในภาษาพูด มันหมายถึงการไม่มีอยู่อีกต่อไป  แต่ในลักษณะเช่นใดเล่า?  ใครที่สามารถทำลายทั้งเมืองได้?  แน่นอนว่าการกระทำเช่นนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์  ผู้คนเมืองนีนะเวห์ไม่ใช่คนโง่เขลา ทันทีที่พวกเขาได้ยินการกล่าวประกาศนี้ พวกเขาก็เกิดแนวคิดขึ้น  พวกเขารู้ว่าการกล่าวประกาศได้มาจากพระเจ้าแล้ว พวกเขารู้ว่าพระเจ้ากำลังจะทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ และพวกเขารู้ว่าความชั่วร้ายของพวกเขาได้ทำให้พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงเดือดดาลและนำพระโทสะของพระองค์ลงมายังพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะถูกทำลายไปพร้อมกับเมืองของพวกเขาในไม่ช้า  แล้วผู้คนในเมืองประพฤติอย่างไรหลังจากที่ได้ยินคำเตือนของพระยาห์เวห์พระเจ้า?  พระคัมภีร์อธิบายในรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงว่าผู้คนมีปฏิกิริยาอย่างไร ตั้งแต่กษัตริย์ลงมาจนถึงสามัญชน  ในคัมภีร์มีการบันทึกพระวจนะต่อไปนี้ ความว่า “คนนีนะเวห์ได้เชื่อพระเจ้า พวกเขาได้ประกาศให้อดอาหาร และได้สวมผ้ากระสอบ ตั้งแต่ผู้ใหญ่ที่สุดจนถึงผู้น้อยที่สุด  เมื่อข่าวนี้ลือไปถึงกษัตริย์แห่งนีนะเวห์ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง และเปลื้องฉลองพระองค์ออก แล้วทรงสวมผ้ากระสอบแทน และประทับบนกองขี้เถ้า พระองค์ทรงออกพระราชกฤษฎีกา ประกาศไปทั่วนครนีนะเวห์ว่า ‘โดยอำนาจกษัตริย์และขุนนางทั้งหลาย คนหรือสัตว์เลี้ยงไม่ว่าขนาดใหญ่หรือขนาดกลาง อย่าลิ้มรสสิ่งใด อย่ากินอาหาร และอย่าดื่มน้ำ ให้ทั้งคนและสัตว์เลี้ยงนุ่งห่มผ้ากระสอบ ให้ร้องทูลต่อพระเจ้าอย่างจริงจัง เออ ให้ทุกคนหันกลับจากการประพฤติชั่ว และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ…’” (โยนาห์ 3:5-9)

หลังจากที่ได้ยินการกล่าวประกาศของพระยาห์เวห์พระเจ้าแล้ว ผู้คนเมืองนีนะเวห์ก็แสดงท่าทีที่ตรงกันข้ามกับท่าทีของผู้คนเมืองโสโดมโดยสิ้นเชิง—ในขณะที่ผู้คนเมืองโสโดมต่อต้านพระเจ้าอย่างเปิดเผย โดยทำความชั่วต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากที่ได้ยินพระวจนะเหล่านี้แล้ว ผู้คนเมืองนีนะเวห์ไม่ได้เพิกเฉยต่อเรื่องนี้ อีกทั้งพวกเขาไม่ได้ต้านทาน  พวกเขากลับเชื่อพระเจ้าและแถลงเรื่องการอดอาหารแทน  คำว่า “เชื่อ” ในที่นี้หมายถึงอะไร?  คำนี้ชี้แนะโดยตัวมันเองถึงความเชื่อและการนบนอบ  หากพวกเราใช้พฤติกรรมจริงๆ ของชาวนีนะเวห์มาอธิบายคำนี้ คำนี้หมายถึงว่าพวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงสามารถและจะทรงทำอย่างที่พระองค์ได้ตรัสไว้ และหมายถึงว่าพวกเขาเต็มใจที่จะกลับใจ  ผู้คนเมืองนีนะเวห์รู้สึกกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับความวิบัติที่จวนเจียนจะเกิดขึ้นหรือไม่?  การเชื่อของพวกเขาคือสิ่งที่ใส่ความกลัวไว้ในหัวใจของพวกเขา  ดังนั้นแล้ว พวกเราจะสามารถนำสิ่งใดมาใช้พิสูจน์การเชื่อและความกลัวของชาวนีนะเวห์ได้?  สิ่งนี้เป็นไปตามที่พระคัมภีร์ระบุ นั่นคือ “…พวกเขาได้ประกาศให้อดอาหาร และได้สวมผ้ากระสอบ ตั้งแต่ผู้ใหญ่ที่สุดจนถึงผู้น้อยที่สุด”  นี่จึงกล่าวได้ว่าชาวนีนะเวห์เชื่ออย่างแท้จริง และจากการเชื่อนี้ทำให้เกิดความกลัวขึ้น ซึ่งหลังจากนั้นก็นำพวกเขาให้อดอาหารและนุ่งห่มผ้ากระสอบ  นี่คือวิธีการที่พวกเขาแสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังเริ่มกลับใจ  ไม่เพียงแต่ชาวนีนะเวห์จะไม่ต่อต้านพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังแสดงให้เห็นการกลับใจของพวกเขาอย่างชัดเจนโดยผ่านทางพฤติกรรมและการกระทำของพวกเขา ซึ่งแตกต่างจากผู้คนเมืองโสโดมโดยสิ้นเชิง  แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ผู้คนเมืองนีนะเวห์ทุกคนทำ ไม่ใช่แค่สามัญชนเท่านั้น—กษัตริย์ก็ไม่มีข้อยกเว้นด้วย

การกลับใจของกษัตริย์เมืองนีนะเวห์ได้รับการชมเชยจากพระยาห์เวห์พระเจ้า

เมื่อกษัตริย์แห่งนีนะเวห์ทรงได้สดับตรับฟังข่าวนี้ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากบัลลังก์ของพระองค์ และเปลื้องฉลองพระองค์ออก แล้วทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้ากระสอบและประทับบนกองขี้เถ้า  จากนั้น พระองค์ทรงประกาศว่า ทุกคนในเมืองไม่ได้รับอนุญาตให้ลิ้มรสสิ่งใด และแกะ วัว หรือสัตว์เลี้ยงอื่นใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้กินหญ้าหรือดื่มน้ำ  ทั้งคนและสัตว์เลี้ยงต้องนุ่งห่มผ้ากระสอบ และผู้คนต้องร้องทูลต่อพระเจ้าอย่างจริงจังจริงใจ  กษัตริย์ยังได้ทรงประกาศว่าทุกคนจะหันเหจากหนทางที่ชั่วของพวกเขา และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ  เมื่อพิจารณาจากลำดับของการกระทำนี้ กษัตริย์เมืองนีนะเวห์ได้มีการกลับใจที่แท้จริงในพระทัยของพระองค์  ลำดับการกระทำที่พระองค์ทรงปฏิบัตินี้—การลุกขึ้นจากบัลลังก์ของพระองค์ การเปลื้องฉลองพระองค์สำหรับกษัตริย์ของพระองค์ การทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้ากระสอบ และการประทับบนกองขี้เถ้า—บอกผู้คนว่ากษัตริย์เมืองนีนะเวห์กำลังทรงวางพักสถานะการเป็นกษัตริย์ของพระองค์ และกำลังทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้ากระสอบเคียงข้างสามัญชน  นี่จึงกล่าวได้ว่า กษัตริย์เมืองนีนะเวห์ไม่ได้ทรงดำรงสถานะการเป็นกษัตริย์ของพระองค์เพื่อกระทำการประพฤติชั่วของพระองค์หรือการทารุณซึ่งพระหัตถ์ของพระองค์ทำต่อไปหลังจากที่ได้สดับฟังประกาศจากพระยาห์เวห์พระเจ้า แต่พระองค์ทรงวางพักสิทธิอำนาจที่พระองค์ทรงครอง และกลับใจเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้า  ในชั่วขณะนี้ กษัตริย์เมืองนีนะเวห์ไม่ได้กำลังทรงกลับใจในฐานะกษัตริย์ พระองค์ได้เสด็จมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อกลับใจและสารภาพบาปของพระองค์ในฐานะไพร่ฟ้าธรรมดาของพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังได้ตรัสบอกทั้งเมืองให้กลับใจและสารภาพบาปของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าในลักษณะเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงทำ นอกจากนี้ พระองค์ทรงมีแผนเฉพาะว่าจะทำเช่นนั้นอย่างไร ดังที่เห็นในคัมภีร์ ความว่า “คนหรือสัตว์เลี้ยงไม่ว่าขนาดใหญ่หรือขนาดกลาง อย่าลิ้มรสสิ่งใด อย่ากินอาหาร และอย่าดื่มน้ำ… ให้ร้องทูลต่อพระเจ้าอย่างจริงจัง เออ ให้ทุกคนหันกลับจากการประพฤติชั่ว และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ”  ในฐานะผู้ปกครองเมือง กษัตริย์เมืองนีนะเวห์ทรงครองสถานะและอำนาจสูงสุด และสามารถทำสิ่งใดก็ได้ที่ทรงปรารถนา  เมื่อเผชิญกับประกาศของพระยาห์เวห์พระเจ้า พระองค์จะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ หรือกลับใจและสารภาพบาปของพระองค์เพียงลำพังก็ได้ ส่วนเรื่องที่ว่าผู้คนในเมืองเลือกที่จะกลับใจหรือไม่นั้น พระองค์จะเพิกเฉยต่อเรื่องนั้นโดยสิ้นเชิงเลยก็ได้  อย่างไรก็ตาม กษัตริย์เมืองนีนะเวห์ไม่ได้ทรงทำเช่นนี้เลย  ไม่เพียงแต่พระองค์จะลุกขึ้นจากบัลลังก์ของพระองค์ ทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้ากระสอบ และประทับบนกองขี้เถ้า และกลับใจและสารภาพบาปของพระองค์เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าเท่านั้น พระองค์ยังทรงสั่งให้ผู้คนและสัตว์เลี้ยงทั้งหมดภายในเมืองทำเช่นเดียวกันด้วย  พระองค์ทรงสั่งแม้กระทั่งให้ผู้คน “ร้องทูลต่อพระเจ้าอย่างจริงจัง”  กษัตริย์เมืองนีนะเวห์ได้ทรงทำสิ่งที่ผู้ปกครองควรทำให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างแท้จริงโดยผ่านทางลำดับการกระทำเหล่านี้  ลำดับการกระทำของพระองค์คือสิ่งที่สัมฤทธิ์ผลได้ยากสำหรับกษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และแท้จริงแล้วไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดเคยสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้  การกระทำเหล่านี้สามารถเรียกได้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษย์ และควรค่าทั้งแก่การยกย่องและการเอาอย่างจากมวลมนุษย์  นับตั้งแต่อรุณรุ่งของมนุษย์ กษัตริย์ทุกพระองค์ได้ทรงนำไพร่ฟ้าประชาชนของพระองค์ให้ต้านทานและต่อต้านพระเจ้า  ไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดเคยนำไพร่ฟ้าประชาชนของพระองค์ให้วอนขอพระเจ้าเพื่อแสวงหาการไถ่สำหรับความชั่วร้ายของพวกเขา รับการอภัยโทษจากพระยาห์เวห์พระเจ้า และหลีกเลี่ยงการลงโทษที่จวนเจียนจะเกิดขึ้น  อย่างไรก็ตาม กษัตริย์เมืองนีนะเวห์สามารถนำไพร่ฟ้าประชาชนของพระองค์ให้หันหาพระเจ้า ให้ทิ้งการประพฤติชั่วของแต่ละคนไว้เบื้องหลัง และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ  นอกจากนั้น พระองค์ยังสามารถละวางบัลลังก์ของพระองค์ลงได้ และเพื่อเป็นการตอบแทน พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงเปลี่ยนพระทัยและรู้สึกเสียพระทัย ทรงถอนพระพิโรธของพระองค์ และทรงอนุญาตให้ผู้คนในเมืองมีชีวิตรอด และพิทักษ์รักษาพวกเขาไว้จากการทำลายล้าง  การกระทำเหล่านี้ของกษัตริย์สามารถเรียกได้เพียงว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่หายากในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เท่านั้น และแม้กระทั่งเป็นตัวอย่างต้นแบบของมนุษยชาติที่เสื่อมทราม ซึ่งกลับใจและสารภาพบาปของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 113

โยนาห์ 3  แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงโยนาห์เป็นครั้งที่สองว่า “จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์นครใหญ่ และจงประกาศข่าวแก่เมืองนั้นตามที่เราบอกเจ้า”  ดังนั้น โยนาห์จึงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์  นีนะเวห์เป็นนครใหญ่โตมโหฬาร ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลาสามวัน  โยนาห์ตั้งต้นเดินเข้าไปในเมืองได้ระยะทางเดินวันหนึ่ง และท่านก็ร้องประกาศว่า “อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกทำลาย”  คนนีนะเวห์ได้เชื่อพระเจ้า พวกเขาได้ประกาศให้อดอาหาร และได้สวมผ้ากระสอบ ตั้งแต่ผู้ใหญ่ที่สุดจนถึงผู้น้อยที่สุด  เมื่อข่าวนี้ลือไปถึงกษัตริย์แห่งนีนะเวห์ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง และเปลื้องฉลองพระองค์ออก แล้วทรงสวมผ้ากระสอบแทน และประทับบนกองขี้เถ้า  พระองค์ทรงออกพระราชกฤษฎีกา ประกาศไปทั่วนครนีนะเวห์ว่า “โดยอำนาจกษัตริย์และขุนนางทั้งหลาย คนหรือสัตว์เลี้ยงไม่ว่าขนาดใหญ่หรือขนาดกลาง อย่าลิ้มรสสิ่งใด อย่ากินอาหาร และอย่าดื่มน้ำ ให้ทั้งคนและสัตว์เลี้ยงนุ่งห่มผ้ากระสอบ ให้ร้องทูลต่อพระเจ้าอย่างจริงจัง เออ ให้ทุกคนหันกลับจากการประพฤติชั่ว และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ ใครจะรู้ได้?  พระเจ้าอาจจะทรงหันและเปลี่ยนพระทัย พระองค์อาจจะทรงหันจากพระพิโรธอันรุนแรง เพื่อเราจะไม่พินาศ”  เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรการกระทำของพวกเขาที่ได้หันจากการประพฤติชั่ว พระเจ้าก็เปลี่ยนพระทัยเรื่องความหายนะที่พระองค์ตรัสว่าจะนำมาสู่พวกเขา พระองค์ไม่ทรงลงโทษเขา

พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นการกลับใจที่จริงใจลึกภายในหัวใจของชาวนีนะเวห์

หลังจากที่ได้ยินถ้อยแถลงของพระเจ้า กษัตริย์เมืองนีนะเวห์และไพร่ฟ้าประชาชนของพระองค์ได้ลงมือกระทำหลายสิ่งหลายอย่าง  การกระทำเหล่านี้และพฤติกรรมของพวกเขามีธรรมชาติอย่างไร?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เนื้อแท้ของการประพฤติของพวกเขาทั้งหมดทั้งปวงเป็นอย่างไร?  เหตุใดพวกเขาจึงทำอย่างที่พวกเขาได้ทำลงไป?  ในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาได้กลับใจอย่างจริงใจ ไม่เพียงเพราะพวกเขาได้ร้องทูลต่อพระเจ้าอย่างจริงใจและสารภาพบาปของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระองค์เท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะพวกเขาได้เลิกการประพฤติที่ชั่วร้ายของพวกเขาด้วย  พวกเขาได้กระทำในหนทางนี้เพราะหลังจากที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าแล้ว พวกเขารู้สึกกลัวอย่างเหลือเชื่อ และเชื่อว่าพระองค์จะทรงทำอย่างที่พระองค์ตรัสไว้  ด้วยการอดอาหาร สวมใส่ผ้ากระสอบ และนั่งบนกองขี้เถ้า พวกเขาปรารถนาที่จะแสดงความเต็มใจของพวกเขาที่จะปฏิรูปวิถีของพวกเขาและระงับจากความชั่วร้าย และพวกเขาได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าเพื่อที่จะระงับพระโทสะของพระองค์ อ้อนวอนให้พระองค์ถอนการตัดสินพระทัยของพระองค์และมหันตภัยที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพวกเขา  หากพวกเราตรวจสอบพฤติกรรมทั้งหมดของพวกเขา พวกเราจะสามารถมองเห็นได้ว่าพวกเขาเข้าใจแล้วว่าการกระทำชั่วร้ายก่อนหน้าของพวกเขาเป็นที่น่าชิงชังสำหรับพระยาห์เวห์พระเจ้า และพวกเราสามารถมองเห็นได้เช่นกันว่าพวกเขาเข้าใจเหตุผลว่าทำไมพระองค์จึงจะทรงทำลายพวกเขาในไม่ช้า  นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาทุกคนจึงปรารถนาที่จะกลับใจอย่างสมบูรณ์ หันเหออกจากการประพฤติชั่วของพวกเขา และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทันทีที่พวกเขาได้มาตระหนักรู้ถึงถ้อยแถลงของพระยาห์เวห์พระเจ้า พวกเขาทุกๆ คนรู้สึกกลัวในหัวใจของพวกเขา พวกเขาหยุดการประพฤติชั่วร้ายของพวกเขา และไม่กระทำการเหล่านั้นที่เป็นที่น่าชิงชังอย่างยิ่งสำหรับพระยาห์เวห์พระเจ้าอีกต่อไป  นอกจากนั้น พวกเขาได้วอนขอต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าให้ประทานอภัยบาปในอดีตของพวกเขา และไม่ทรงปฏิบัติต่อพวกเขาตามการกระทำในอดีตของพวกเขา  พวกเขาเต็มใจที่จะไม่ทำความชั่วร้ายอีกครั้ง และเต็มใจที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของพระยาห์เวห์พระเจ้าถ้าเพียงแต่การทำเช่นนั้นจะไม่ทำให้พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงกราดเกรี้ยวอีกได้  การกลับใจของพวกเขาจริงใจและถี่ถ้วน  มันมาจากส่วนลึกภายในหัวใจของพวกเขา และไม่ได้เสแสร้งและไม่ได้เป็นแค่เรื่องชั่วครู่ชั่วยาม

ทันทีที่ผู้คนทั้งหมดของเมืองนีนะเวห์ตั้งแต่กษัตริย์ไปจนถึงสามัญชนได้เรียนรู้ว่าพระยาห์เวห์พระเจ้ากริ้วพวกเขา พระเจ้าทรงสามารถมองเห็นทุกๆ การกระทำหลังจากนั้นของพวกเขาและการประพฤติของพวกเขาทั้งหมดทั้งปวงได้อย่างกระจ่างชัดเจน รวมทั้งทุกๆ การตัดสินใจและตัวเลือกที่พวกเขาเลือก  พระทัยของพระเจ้าก็ได้เปลี่ยนแปลงตามพฤติกรรมของพวกเขา  พระเจ้าทรงมีกรอบความคิดในชั่วขณะนั้นอย่างไร?  พระคัมภีร์สามารถตอบคำถามนั้นกับเจ้าได้  ในคัมภีร์ได้มีการบันทึกพระวจนะต่อไปนี้ ความว่า “เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรการกระทำของพวกเขาที่ได้หันจากการประพฤติชั่ว พระเจ้าก็เปลี่ยนพระทัยเรื่องความหายนะที่พระองค์ตรัสว่าจะนำมาสู่พวกเขา พระองค์ไม่ทรงลงโทษเขา” (โยนาห์ 3:10)  ถึงแม้ว่าพระเจ้าได้เปลี่ยนพระทัยของพระองค์ กรอบความคิดของพระองค์ก็ไม่มีสิ่งใดที่ซับซ้อน  พระองค์เพียงทรงเปลี่ยนจากการแสดงพระโทสะของพระองค์เป็นการทำให้พระโทสะของพระองค์สงบลง จากนั้นก็ตัดสินพระทัยที่จะไม่นำมหันตภัยมาสู่เมืองนีนะเวห์  เหตุผลว่าทำไมการตัดสินพระทัยของพระเจ้า—ที่จะละเว้นชาวนีนะเวห์จากมหันตภัย—นั้นรวดเร็วยิ่งนักก็เป็นเพราะว่า พระเจ้าทรงสังเกตเห็นหัวใจของทุกผู้คนในเมืองนีนะเวห์  พระองค์ทรงเห็นสิ่งที่พวกเขามีอยู่ลึกภายในหัวใจของพวกเขา นั่นคือ การกลับใจอย่างจริงใจของพวกเขาและการสารภาพบาปของพวกเขา การเชื่อในพระองค์อย่างจริงใจของพวกเขา สำนึกรับรู้ที่ลึกซึ้งของพวกเขาว่าการกระทำชั่วร้ายของพวกเขาได้ทำให้พระอุปนิสัยของพระองค์เดือดดาลอย่างไร และส่งผลให้เกิดความกลัวการลงโทษที่ใกล้จะเกิดขึ้นจากพระยาห์เวห์พระเจ้า  ในขณะเดียวกัน พระยาห์เวห์พระเจ้ายังทรงได้ยินการอธิษฐานของพวกเขา ซึ่งมาจากส่วนลึกภายในหัวใจของพวกเขา วอนขอพระองค์ไม่ให้กริ้วพวกเขาอีกต่อไป เพื่อให้พวกเขาอาจหลีกเลี่ยงมหันตภัยนี้ได้  เมื่อพระเจ้าทรงสังเกตเห็นข้อเท็จจริงทั้งหมดเหล่านี้ พระโทสะของพระองค์ก็ได้เลือนหายไปทีละเล็กละน้อย  ไม่ว่าพระโทสะของพระองค์เมื่อก่อนหน้าจะมีมากเพียงใด พระทัยของพระองค์ก็ได้เกิดความประทับใจเมื่อพระองค์ทรงเห็นการกลับใจอย่างจริงใจลึกภายในหัวใจของผู้คนเหล่านี้ และดังนั้น พระองค์จึงไม่ทรงสามารถทนนำมหันตภัยมาสู่พวกเขาได้ และพระองค์ทรงหยุดกริ้วพวกเขา  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงยื่นความปรานีและการทนยอมรับของพระองค์ให้แก่พวกเขาต่อไปและทรงนำและจัดเตรียมให้แก่พวกเขาต่อไปแทน

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 114

โยนาห์ 3  แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงโยนาห์เป็นครั้งที่สองว่า “จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์นครใหญ่ และจงประกาศข่าวแก่เมืองนั้นตามที่เราบอกเจ้า”  ดังนั้น โยนาห์จึงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์  นีนะเวห์เป็นนครใหญ่โตมโหฬาร ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลาสามวัน  โยนาห์ตั้งต้นเดินเข้าไปในเมืองได้ระยะทางเดินวันหนึ่ง และท่านก็ร้องประกาศว่า “อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกทำลาย”  คนนีนะเวห์ได้เชื่อพระเจ้า พวกเขาได้ประกาศให้อดอาหาร และได้สวมผ้ากระสอบ ตั้งแต่ผู้ใหญ่ที่สุดจนถึงผู้น้อยที่สุด  เมื่อข่าวนี้ลือไปถึงกษัตริย์แห่งนีนะเวห์ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง และเปลื้องฉลองพระองค์ออก แล้วทรงสวมผ้ากระสอบแทน และประทับบนกองขี้เถ้า  พระองค์ทรงออกพระราชกฤษฎีกา ประกาศไปทั่วนครนีนะเวห์ว่า “โดยอำนาจกษัตริย์และขุนนางทั้งหลาย คนหรือสัตว์เลี้ยงไม่ว่าขนาดใหญ่หรือขนาดกลาง อย่าลิ้มรสสิ่งใด อย่ากินอาหาร และอย่าดื่มน้ำ ให้ทั้งคนและสัตว์เลี้ยงนุ่งห่มผ้ากระสอบ ให้ร้องทูลต่อพระเจ้าอย่างจริงจัง เออ ให้ทุกคนหันกลับจากการประพฤติชั่ว และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ ใครจะรู้ได้?  พระเจ้าอาจจะทรงหันและเปลี่ยนพระทัย พระองค์อาจจะทรงหันจากพระพิโรธอันรุนแรง เพื่อเราจะไม่พินาศ”  เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรการกระทำของพวกเขาที่ได้หันจากการประพฤติชั่ว พระเจ้าก็เปลี่ยนพระทัยเรื่องความหายนะที่พระองค์ตรัสว่าจะนำมาสู่พวกเขา พระองค์ไม่ทรงลงโทษเขา

หากการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าเป็นจริง เจ้าจะได้รับการใส่พระทัยจากพระองค์บ่อยครั้ง

การที่พระเจ้าทรงเปลี่ยนเจตนารมณ์ของพระองค์ต่อผู้คนเมืองนีนะเวห์นั้นไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับการลังเลหรือสิ่งใดก็ตามที่กำกวมหรือคลุมเครือ  แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นคือการแปลงรูปจากพระโทสะที่บริสุทธิ์เป็นการทนยอมรับที่บริสุทธิ์  นี่คือการเผยถึงเนื้อแท้ของพระเจ้าอย่างแท้จริง  พระเจ้าไม่มีวันไม่แน่พระทัยหรือลังเลในการกระทำของพระองค์  หลักธรรมและจุดประสงค์ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของพระองค์ทั้งหมดมีความชัดเจนและโปร่งใส บริสุทธิ์และไร้ข้อบกพร่อง โดยไม่มีกลโกงหรือกลอุบายใด ผสมปนเปอยู่ภายใน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เนื้อแท้ของพระเจ้าไม่ประกอบด้วยความมืดหรือความชั่ว  พระเจ้าเกิดพระโทสะกับชาวนีนะเวห์เพราะการกระทำชั่วร้ายของพวกเขาได้มาอยู่เฉพาะสายพระเนตรอันจับจ้องของพระองค์  ณ ขณะนั้นพระโทสะของพระองค์มาจากเนื้อแท้ของพระองค์  อย่างไรก็ตาม เมื่อพระโทสะของพระเจ้าค่อยๆ น้อยลงและเมื่อพระองค์ได้ประทานการทนยอมรับของพระองค์ให้กับผู้คนเมืองนีนะเวห์อีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงเผยไปก็ยังคงเป็นเนื้อแท้ของพระองค์เอง  ทั้งหมดทั้งปวงของการเปลี่ยนแปลงนี้มีเหตุผลมาจากการเปลี่ยนแปลงในท่าทีที่มนุษย์มีต่อพระเจ้า  ในระหว่างช่วงเวลาทั้งหมดนี้ อุปนิสัยที่มิอาจถูกล่วงเกินได้ของพระเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง เนื้อแท้ที่ทนยอมรับของพระเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง และเนื้อแท้ที่เปี่ยมความรักใคร่และเปี่ยมปรานีของพระเจ้าก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง  เมื่อผู้คนกระทำการที่ชั่วร้ายและล่วงเกินพระเจ้า พระองค์จะทรงนำพระโทสะของพระองค์มาสู่พวกเขา  เมื่อผู้คนกลับใจอย่างแท้จริง พระทัยของพระเจ้าจะเปลี่ยนแปลง และพระโทสะของพระองค์จะยุติ  เมื่อผู้คนต่อต้านพระเจ้าอย่างดื้อรั้นต่อไป ความเดือดดาลของพระองค์จะไม่ยุติ และความเดือดดาลของพระองค์จะบีบคั้นพวกเขาทีละน้อยจนกระทั่งพวกเขาถูกทำลาย  นี่คือเนื้อแท้ของพระอุปนิสัยของพระเจ้า การประพฤติของมนุษย์ พฤติกรรม และท่าทีที่มนุษย์มีต่อพระเจ้าลึกภายในหัวใจของพวกเขานั่นเองที่เป็นตัวบอกสิ่งที่แสดงออกโดยผ่านทางการเผยพระอุปนิสัยของพระเจ้า ไม่ว่าพระองค์กำลังทรงแสดงพระพิโรธ หรือความปรานีและความรักเมตตาก็ตาม  หากพระเจ้าทรงทำให้บุคคลหนึ่งอยู่ภายใต้พระโทสะของพระองค์อย่างต่อเนื่อง ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหัวใจของบุคคลเยี่ยงนี้ต่อต้านพระเจ้า  เพราะบุคคลเยี่ยงนี้ไม่เคยกลับใจ ก้มศีรษะของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หรือมีการเชื่อจริงแท้ในพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาจึงไม่เคยได้รับความปรานีและการทนยอมรับของพระเจ้า  หากใครบางคนได้รับการใส่พระทัยของพระเจ้า ความปรานีของพระองค์ และการทนยอมรับของพระองค์บ่อยครั้ง เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุคคลเช่นนี้มีการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงในหัวใจของพวกเขา และหัวใจของพวกเขาไม่ได้ต่อต้านพระเจ้า  บ่อยครั้งที่บุคคลเช่นนี้กลับใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริง  ดังนั้น ถึงแม้ว่าบ่อยครั้งที่การบ่มวินัยของพระเจ้าลงมาสู่บุคคลเช่นนี้ แต่พระพิโรธของพระองค์จะไม่ลงมาสู่เขาด้วย

คำอธิบายสั้นๆ นี้ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นพระทัยของพระเจ้า มองเห็นความเป็นจริงของเนื้อแท้ของพระองค์ มองเห็นว่าพระโทสะของพระเจ้าและการเปลี่ยนแปลงในพระทัยของพระองค์ไม่ได้ปราศจากสาเหตุ  ถึงแม้ว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นเมื่อพระองค์พิโรธและเมื่อพระองค์เปลี่ยนพระทัยของพระองค์จะตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งทำให้ผู้คนเชื่อว่ามีความไม่เชื่อมโยงกันหรือความตรงกันข้ามกันเป็นอย่างมากระหว่างสองแง่มุมนี้ในเนื้อแท้ของพระเจ้า—กล่าวคือ พระโทสะของพระองค์และการทนยอมรับของพระองค์—แต่ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อการกลับใจของชาวนีนะเวห์ก็ทำให้ผู้คนมองเห็นอีกด้านหนึ่งของพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้าอีกครั้ง  การเปลี่ยนพระทัยของพระเจ้าเปิดโอกาสให้มนุษยชาติสามารถมองเห็นได้อีกครั้งถึงความจริงของความปรานีและความเมตตาของพระเจ้าอย่างแท้จริง และมองเห็นการเผยเนื้อแท้ของพระเจ้าที่แท้จริง  มนุษยชาติมีแต่จะต้องยอมรับว่าความปรานีและความเมตตาของพระเจ้าไม่ใช่นิทานปรัมปรา และไม่ใช่สิ่งที่ปลอมขึ้น  นี่เป็นเพราะว่าความรู้สึกที่พระเจ้าทรงมีในชั่วขณะนั้นเป็นสิ่งที่แท้ และการเปลี่ยนพระทัยของพระเจ้าเป็นสิ่งที่แท้—พระเจ้าประทานความปรานีและการทนยอมรับของพระองค์ให้กับมวลมนุษย์อีกครั้งโดยแท้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 115

โยนาห์ 3  แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงโยนาห์เป็นครั้งที่สองว่า “จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์นครใหญ่ และจงประกาศข่าวแก่เมืองนั้นตามที่เราบอกเจ้า”  ดังนั้น โยนาห์จึงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์  นีนะเวห์เป็นนครใหญ่โตมโหฬาร ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลาสามวัน  โยนาห์ตั้งต้นเดินเข้าไปในเมืองได้ระยะทางเดินวันหนึ่ง และท่านก็ร้องประกาศว่า “อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกทำลาย”  คนนีนะเวห์ได้เชื่อพระเจ้า พวกเขาได้ประกาศให้อดอาหาร และได้สวมผ้ากระสอบ ตั้งแต่ผู้ใหญ่ที่สุดจนถึงผู้น้อยที่สุด  เมื่อข่าวนี้ลือไปถึงกษัตริย์แห่งนีนะเวห์ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง และเปลื้องฉลองพระองค์ออก แล้วทรงสวมผ้ากระสอบแทน และประทับบนกองขี้เถ้า  พระองค์ทรงออกพระราชกฤษฎีกา ประกาศไปทั่วนครนีนะเวห์ว่า “โดยอำนาจกษัตริย์และขุนนางทั้งหลาย คนหรือสัตว์เลี้ยงไม่ว่าขนาดใหญ่หรือขนาดกลาง อย่าลิ้มรสสิ่งใด อย่ากินอาหาร และอย่าดื่มน้ำ ให้ทั้งคนและสัตว์เลี้ยงนุ่งห่มผ้ากระสอบ ให้ร้องทูลต่อพระเจ้าอย่างจริงจัง เออ ให้ทุกคนหันกลับจากการประพฤติชั่ว และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ ใครจะรู้ได้?  พระเจ้าอาจจะทรงหันและเปลี่ยนพระทัย พระองค์อาจจะทรงหันจากพระพิโรธอันรุนแรง เพื่อเราจะไม่พินาศ”  เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรการกระทำของพวกเขาที่ได้หันจากการประพฤติชั่ว พระเจ้าก็เปลี่ยนพระทัยเรื่องความหายนะที่พระองค์ตรัสว่าจะนำมาสู่พวกเขา พระองค์ไม่ทรงลงโทษเขา

การกลับใจที่แท้จริงในหัวใจของชาวนีนะเวห์ทำให้พวกเขาได้รับความปรานีของพระเจ้า และเปลี่ยนแปลงบทอวสานของพวกเขาเอง

มีความขัดแย้งใดๆ ระหว่างการเปลี่ยนพระทัยของพระเจ้ากับพระพิโรธของพระองค์หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่!  นี่เป็นเพราะว่าการทนยอมรับของพระเจ้าในเวลาเฉพาะนั้นๆ มีเหตุผลของมัน  เหตุผลนี้คืออะไรกัน?  เหตุผลนี้คือเหตุผลที่ได้รับการระบุไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ทุกคนหันกลับจากการประพฤติชั่วของพวกเขา” และ “และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ”

“การประพฤติชั่ว”  นี้ไม่ได้อ้างอิงถึงการกระทำชั่วหยิบมือหนึ่ง แต่อ้างอิงถึงแหล่งกำเนิดความชั่วที่ทำให้เกิดพฤติกรรมของผู้คน  “หันกลับจากการประพฤติชั่วของคนเรา” หมายความว่าผู้ที่เกี่ยวข้องจะไม่มีวันกระทำการเหล่านี้อีก  กล่าวคือ พวกเขาจะไม่มีวันประพฤติในหนทางชั่วนี้อีกครั้ง  วิธีการ แหล่งกำเนิด จุดประสงค์ เจตนา และหลักการของการกระทำของพวกเขาทั้งหมดได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว พวกเขาจะไม่มีวันใช้วิธีการและหลักการเหล่านั้นเพื่อนำความสำราญและความสุขมายังหัวใจของพวกเขาอีก  คำว่า “เลิก” ใน “และเลิกการทารุณซึ่งมือคนเราทำ” หมายถึงการวางลงหรือละทิ้ง เพื่อตัดขาดกับอดีตอย่างสมบูรณ์และไม่มีวันหันกลับ  เมื่อผู้คนเมืองนีนะเวห์เลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ สิ่งนี้พิสูจน์และแสดงถึงการกลับใจที่แท้จริงของพวกเขา  พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตรูปลักษณ์ภายนอกของผู้คนรวมถึงหัวใจของพวกเขา  เมื่อพระเจ้าทรงสังเกตดูการกลับใจที่แท้จริงอย่างปราศจากคำถามในหัวใจของชาวนีนะเวห์ และยังได้ทรงเฝ้าสังเกตว่าพวกเขาได้ทิ้งการประพฤติชั่วของพวกเขาและเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำแล้ว พระองค์ก็ได้เปลี่ยนพระทัยของพระองค์  นี่จึงกล่าวได้ว่า การประพฤติและพฤติกรรมของผู้คนเหล่านี้ และวิธีการที่หลากหลายในการปฏิบัติสิ่งต่างๆ อีกทั้งการกลับใจและการสารภาพบาปอย่างจริงใจของพวกเขาในหัวใจของพวกเขา เป็นสาเหตุให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัยของพระองค์ เปลี่ยนเจตนารมณ์ของพระองค์ กลับการตัดสินพระทัยของพระองค์ และไม่ลงโทษหรือทำลายพวกเขา  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนเมืองนีนะเวห์จึงสัมฤทธิ์ผลในบทอวสานที่แตกต่างออกไปสำหรับตัวพวกเขาเอง  พวกเขาไถ่ชีวิตของพวกเขาเอง และในเวลาเดียวกันก็ได้รับความปรานีและการทนยอมรับของพระเจ้า ซึ่งในจุดนั้นพระเจ้าก็ถอนพระพิโรธของพระองค์กลับเช่นกัน

ความปรานีและการทนยอมรับของพระเจ้านั้นหาไม่ยาก—การกลับใจที่แท้จริงของมนุษย์ต่างหากที่หายาก

ไม่ว่าพระเจ้ากริ้วชาวนีนะเวห์เพียงใดก็ตาม ทันทีที่พวกเขาประกาศเรื่องการอดอาหารและนุ่งห่มผ้ากระสอบและนั่งบนกองขี้เถ้า พระทัยของพระองค์ก็เริ่มอ่อนลง และพระองค์เริ่มเปลี่ยนพระทัย  ในเวลาที่พระองค์ทรงกล่าวประกาศต่อพวกเขาว่าพระองค์จะทำลายเมืองนี้—ชั่วขณะก่อนการกลับใจและการสารภาพบาปของพวกเขานั้น—พระเจ้ายังคงกริ้วพวกเขา  ทันทีที่พวกเขาได้ดำเนินลำดับการกระทำที่กลับใจต่างๆ แล้ว พระโทสะที่พระเจ้ามีต่อผู้คนเมืองนีนะเวห์ก็ค่อยๆ แปลงรูปเป็นความปรานีและการทนยอมรับพวกเขา  ไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับการเผยพระอุปนิสัยสองแง่มุมนี้ของพระเจ้าพร้อมกันในเหตุการณ์เดียวกัน  ดังนั้นแล้ว คนเราควรเข้าใจและรู้ถึงการขาดพร่องความขัดแย้งนี้อย่างไร?  พระเจ้าได้ทรงแสดงและเผยเนื้อแท้แต่ละอย่างที่ตรงข้ามกันสองขั้วนี้เป็นการตอบแทนเมื่อผู้คนเมืองนีนะเวห์กลับใจแล้ว ซึ่งทำให้ผู้คนมองเห็นความเป็นจริงและความมิอาจถูกล่วงเกินได้แห่งเนื้อแท้ของพระเจ้า  พระเจ้าทรงใช้ท่าทีของพระองค์เพื่อบอกผู้คนดังนี้ว่า ไม่ใช่ว่าพระเจ้าไม่ทรงทนยอมรับผู้คนหรือว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์จะแสดงความปรานีต่อพวกเขา แต่เป็นเพราะพวกเขาแทบจะไม่กลับใจต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง และเป็นสิ่งที่พบได้ยากที่ผู้คนจะหันกลับจากการประพฤติชั่วของพวกเขาและเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำอย่างแท้จริง  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อพระเจ้ากริ้วมนุษย์ พระองค์ทรงหวังว่ามนุษย์จะสามารถกลับใจได้อย่างแท้จริง และพระองค์ทรงหวังโดยแท้ว่าจะมองเห็นการกลับใจที่แท้จริงของมนุษย์ ซึ่งในกรณีนั้น พระองค์ก็จะประทานความปรานีและการทนยอมรับให้กับมนุษย์อย่างโอบอ้อมอารีต่อไป  นี่จึงกล่าวได้ว่าการประพฤติชั่วของมนุษย์ก่อให้เกิดพระพิโรธของพระเจ้า ในขณะที่ความปรานีและการทนยอมรับของพระเจ้าถูกประทานให้กับผู้ที่ฟังพระเจ้าและกลับใจเฉพาะพระพักตร์พระองค์อย่างแท้จริง ให้กับผู้ที่สามารถหันกลับจากการประพฤติชั่วของพวกเขาและเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ  ท่าทีของพระเจ้าได้รับการเผยอย่างชัดเจนมากในการปฏิบัติต่อชาวนีนะเวห์ของพระองค์ กล่าวคือ ความปรานีและการทนยอมรับของพระเจ้าไม่ได้ยากที่จะได้รับมาเลย และสิ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์คือการกลับใจที่แท้จริงของคนเรา  ตราบเท่าที่ผู้คนหันกลับจากการประพฤติชั่วของพวกเขาและเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ พระเจ้าจะเปลี่ยนพระทัยของพระองค์และท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขา

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 116

พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระผู้สร้างเป็นจริงและแจ่มแจ้ง

เมื่อพระเจ้าได้เปลี่ยนพระทัยต่อผู้คนเมืองนีนะเวห์แล้ว ความปรานีและการทนยอมรับของพระองค์เป็นฉากหน้าเทียมเท็จหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่!  เช่นนั้นแล้ว การเปลี่ยนผ่านระหว่างสองแง่มุมนี้ของพระอุปนิสัยของพระเจ้าในระหว่างที่พระเจ้าทรงจัดการกับสถานการณ์หนึ่งเดียวนี้ได้แสดงให้เห็นถึงสิ่งใด?  พระอุปนิสัยของพระเจ้าคือสิ่งที่ครบถ้วนสมบูรณ์—พระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่มีการแบ่งส่วนเลย  ไม่ว่าพระองค์จะกำลังแสดงพระโทสะหรือความปรานีและการทนยอมรับต่อผู้คนหรือไม่ก็ตาม ทั้งหมดนี้คือการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์  พระอุปนิสัยของพระเจ้ามีชีวิตชีวาและชัดเจนแจ่มแจ้ง และพระองค์เปลี่ยนพระดำริและท่าทีของพระองค์ตามวิธีที่สิ่งทั้งหลายพัฒนาไป  การแปลงรูปของท่าทีของพระองค์ต่อชาวนีนะเวห์บอกมนุษยชาติว่าพระองค์มีพระดำริและแนวคิดของพระองค์เอง พระองค์ไม่ทรงเป็นหุ่นยนต์หรือรูปปั้นดิน แต่ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองผู้ดำรงพระชนม์  พระองค์สามารถกริ้วผู้คนเมืองนีนะเวห์ เช่นเดียวกับที่พระองค์สามารถประทานอภัยให้กับอดีตของพวกเขาเพราะท่าทีของพวกเขา  พระองค์สามารถตัดสินพระทัยที่จะนำโชคร้ายมาสู่ชาวนีนะเวห์ และพระองค์ยังสามารถเปลี่ยนการตัดสินพระทัยของพระองค์เพราะการกลับใจของพวกเขาได้เช่นกัน  ผู้คนชอบนำกฎเกณฑ์มาใช้อย่างเคร่งครัด และชอบใช้กฎเกณฑ์ดังกล่าวเพื่อกำหนดขอบเขตและนิยามพระเจ้า เช่นเดียวกับที่พวกเขาชอบใช้สูตรเพื่อพยายามเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ดังนั้น ในขอบเขตความคิดของมนุษย์ พระเจ้าไม่มีพระดำริ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงมีแนวคิดที่เป็นสาระสำคัญใดๆ  แต่ในความเป็นจริง พระดำริของพระเจ้าอยู่ในสภาวะที่มีการแปลงรูปอยู่เสมอ ตามการเปลี่ยนแปลงในสิ่งทั้งหลายและในสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย  ขณะที่พระดำริเหล่านี้กำลังเปลี่ยนแปลง แง่มุมที่แตกต่างกันในแก่นแท้ของพระเจ้าก็ได้รับการเปิดเผย  ในช่วงระหว่างกระบวนการแปลงรูปนี้ ในชั่วขณะนั้นๆ ที่พระเจ้าเปลี่ยนพระทัย สิ่งที่พระองค์ทรงแสดงต่อมวลมนุษย์คือการมีอยู่ที่เป็นจริงของพระชนม์ชีพของพระองค์ และการที่พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์นั้นเต็มไปด้วยความมีชีวิตที่ไม่หยุดนิ่ง  ในขณะเดียวกัน พระเจ้าทรงใช้การเผยที่แท้จริงของพระองค์เองเพื่อพิสูจน์ต่อมวลมนุษย์ถึงความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของพระพิโรธของพระองค์ ความปรานีของพระองค์ ความเมตตาของพระองค์ และการทนยอมรับของพระองค์  เนื้อแท้ของพระองค์จะได้รับการเปิดเผยในทุกที่และทุกเวลาตามวิธีการที่สิ่งทั้งหลายพัฒนาไป  พระองค์ทรงครอบครองความโกรธเกรี้ยวของราชสีห์และความปรานีและการทนยอมรับของมารดา  พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ไม่ยอมให้มีการตั้งคำถาม การฝ่าฝืน การเปลี่ยนแปลง หรือการบิดเบือนโดยผู้ใด  พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า—นั่นคือ พระพิโรธของพระเจ้าและความปรานีของพระเจ้า—สามารถได้รับการเปิดเผยทุกที่และทุกเวลาท่ามกลางทุกเรื่องและทุกสิ่ง  พระองค์ทรงให้การแสดงออกที่มีชีวิตชีวาแก่แง่มุมเหล่านี้ในทุกมุมของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง และพระองค์ทรงนำสิ่งเหล่านี้มาดำเนินการด้วยความมีชีวิตชีวาในทุกชั่วขณะที่ผ่านไป  พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเวลาหรือพื้นที่  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่ได้แสดงออกหรือเปิดเผยขึ้นเองตามข้อจำกัดของเวลาหรือพื้นที่ แต่ด้วยความสบายที่สมบูรณ์แบบในทุกที่และทุกเวลา  เมื่อเจ้ามองเห็นว่าพระเจ้ามีการเปลี่ยนพระทัยและยุติการแสดงพระพิโรธของพระองค์ และงดเว้นจากการทำลายเมืองนีนะเวห์ เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระองค์ทรงเปี่ยมปรานีและเปี่ยมความรักใคร่เท่านั้น?  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระพิโรธของพระเจ้ากอปรด้วยพระวจนะที่ว่างเปล่า?  เมื่อพระเจ้าทรงเดือดดาลด้วยพระพิโรธที่ดุดันและถอนความปรานีของพระองค์กลับ เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระองค์ไม่ทรงรู้สึกถึงความรักที่แท้จริงต่อมนุษยชาติ?  พระพิโรธที่ดุดันนี้ได้รับการแสดงออกโดยพระเจ้าเพื่อตอบสนองต่อการกระทำชั่วของผู้คน พระพิโรธของพระองค์ไม่ได้มีข้อตำหนิ  พระทัยของพระเจ้าได้รับการกระตุ้นให้ตอบสนองต่อการกลับใจของผู้คน และการกลับใจนี้นี่เองที่ทำให้พระองค์เปลี่ยนพระทัย  เมื่อพระองค์ทรงรู้สึกตื้นตัน เมื่อพระองค์เปลี่ยนพระทัย และเมื่อพระองค์ทรงแสดงความปรานีและการทนยอมรับของพระองค์ต่อมนุษย์ ทั้งหมดนี้ปราศจากข้อตำหนิโดยสิ้นเชิง  ทั้งหมดนี้สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีมลทิน และไม่มีสิ่งเจือปน  การทนยอมรับของพระเจ้าที่แท้แล้วก็คือการทนยอมรับ เช่นเดียวกับที่ความปรานีของพระองค์ก็ไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าความปรานี  พระอุปนิสัยของพระองค์เผยถึงพระพิโรธหรือความปรานีและการทนยอมรับตามการกลับใจของมนุษย์ และความผันแปรต่างๆ ในการประพฤติของมนุษย์  ไม่ว่าพระองค์ทรงเผยและแสดงออกสิ่งใดก็ตาม ทั้งหมดนั้นบริสุทธิ์และตรงไปตรงมา เนื้อแท้ของพระองค์แตกต่างจากเนื้อแท้ของสิ่งใดๆ ในการทรงสร้าง  เมื่อพระเจ้าทรงแสดงหลักธรรมที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของพระองค์ หลักธรรมเหล่านั้นปราศจากข้อตำหนิหรือมลทินใดๆ และดังนั้นพระดำริของพระองค์ แนวคิดของพระองค์ และทุกๆ การตัดสินพระทัยที่พระองค์ทรงทำ และทุกๆ การกระทำที่พระองค์ทรงมีก็เป็นเช่นเดียวกัน  เนื่องจากพระเจ้าได้ตัดสินพระทัยเช่นนี้ และเนื่องจากพระเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนี้ พระเจ้าก็ทรงทำให้ภาระหน้าที่ของพระองค์ครบบริบูรณ์เช่นเดียวกัน  ผลลัพธ์ของภาระหน้าที่ของพระองค์มีความถูกต้องและไม่มีข้อบกพร่องก็เพราะแหล่งกำเนิดของผลลัพธ์นั้นไม่มีข้อบกพร่องและไม่มีมลทินนั่นเอง  พระพิโรธของพระเจ้าไม่มีข้อตำหนิ  ในทำนองเดียวกัน ความปรานีและการทนยอมรับของพระเจ้า—ซึ่งไม่มีสิ่งใดท่ามกลางสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดที่ครอบครอง—ก็ศักดิ์สิทธิ์และไร้ข้อตำหนิ และสามารถทนต่อการตรึกตรองครุ่นคิดและประสบการณ์ได้

จากความเข้าใจที่พวกเจ้ามีในเรื่องราวของเมืองนีนะเวห์ ตอนนี้พวกเจ้ามองเห็นเนื้อแท้อีกด้านของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้ามองเห็นอีกด้านของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของพระเจ้าหรือไม่?  มีผู้ใดในบรรดามนุษยชาติที่ครอบครองอุปนิสัยประเภทนี้หรือไม่?  มีผู้ใดครอบครองความพิโรธประเภทนี้ ซึ่งเป็นพระพิโรธของพระเจ้าหรือไม่?  มีผู้ใดครอบครองความปรานีและการทนยอมรับเช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงครอบครองหรือไม่?  ท่ามกลางสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง ใครสามารถเรียกใช้ความโกรธเกรี้ยวที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นและตัดสินใจที่จะทำลายหรือนำความวิบัติมาสู่มวลมนุษย์ได้?  และใครที่มีคุณสมบัติที่จะมอบความปรานีแก่มนุษย์ ทนยอมรับและให้อภัย และด้วยเหตุนั้นจึงเปลี่ยนการตัดสินใจก่อนหน้าของเขาที่จะทำลายมนุษย์?  พระผู้สร้างได้แสดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์โดยผ่านทางวิธีการและหลักธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์เอง และพระองค์ไม่ทรงอยู่ภายใต้การควบคุมหรือข้อจำกัดใดที่กำหนดโดยผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งใดก็ตาม  ด้วยพระอุปนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์นี้ จึงไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนพระดำริและแนวคิดของพระองค์ได้ อีกทั้งไม่มีผู้ใดสามารถโน้มน้าวพระองค์และเปลี่ยนการตัดสินพระทัยใดๆ ของพระองค์ได้  ทั้งหมดทั้งปวงของพฤติกรรมและความคิดที่มีอยู่ในการทรงสร้างทั้งหมดนั้นมีอยู่ภายใต้การพิพากษาแห่งพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์  ไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมได้ว่าพระองค์จะใช้พระพิโรธหรือความปรานี มีเพียงเนื้อแท้ของพระผู้สร้างเท่านั้น—หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระผู้สร้าง—ที่สามารถตัดสินใจในการนี้ได้  เช่นนั้นเองที่เป็นธรรมชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระผู้สร้าง!

จากการวิเคราะห์และการทำความเข้าใจการแปลงรูปของท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนเมืองนีนะเวห์ พวกเจ้าสามารถใช้คำว่า “เป็นเอกลักษณ์” เพื่ออธิบายความปรานีที่พบภายในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าได้หรือไม่?  ก่อนหน้านี้เราได้พูดไปแล้วว่าพระพิโรธของพระเจ้าเป็นแง่มุมหนึ่งในเนื้อแท้ของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์  ตอนนี้เราจะนิยามสองแง่มุม—คือพระพิโรธของพระเจ้าและความปรานีของพระเจ้า—ในฐานะพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์  พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้ามีความศักดิ์สิทธิ์  พระอุปนิสัยของพระองค์ไม่ทนยอมรับการถูกล่วงเกินหรือการถูกตั้งคำถาม  พระอุปนิสัยของพระองค์คือบางสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ครอบครอง  พระอุปนิสัยนี้ทั้งเป็นเอกลักษณ์และเป็นของพระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว  นี่จึงกล่าวได้ว่า พระพิโรธของพระเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์และมิอาจถูกล่วงเกินได้  ในหนทางเดียวกัน อีกแง่มุมในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า—กล่าวคือ ความปรานีของพระเจ้า—ก็ศักดิ์สิทธิ์และไม่สามารถถูกล่วงเกินได้  ไม่มีสิ่งใดท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่สามารถแทนที่หรือเป็นตัวแทนของพระเจ้าในการกระทำของพระองค์ได้ อีกทั้งไม่มีผู้ใดจะสามารถแทนที่หรือเป็นตัวแทนของพระองค์ในความย่อยยับของเมืองโสโดมหรือความรอดของเมืองนีนะเวห์ได้  นี่คือการแสดงออกที่แท้จริงถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 117

ความรู้สึกที่จริงใจของพระผู้สร้างต่อมวลมนุษย์

ผู้คนมักพูดว่าการรู้จักพระเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย  อย่างไรก็ตาม เราขอพูดว่าการรู้จักพระเจ้าไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะพระเจ้าทรงแสดงกิจการทั้งหลายของพระองค์ให้มนุษย์ได้เห็นบ่อยครั้ง  พระเจ้าไม่เคยทรงยุติการสนทนาของพระองค์กับมวลมนุษย์ และพระองค์ไม่เคยทรงปกปิดพระองค์เองจากมนุษย์ อีกทั้งพระองค์ไม่เคยทรงซ่อนเร้นพระองค์เอง  พระดำริของพระองค์ แนวคิดของพระองค์ พระวจนะของพระองค์ และกิจการของพระองค์ ทั้งหมดได้รับการเปิดเผยต่อมวลมนุษย์  ดังนั้น ตราบเท่าที่มนุษย์ปรารถนาที่จะรู้จักพระเจ้า เขาสามารถมาเข้าใจและรู้จักพระองค์ได้โดยผ่านทางวิถีทางและวิธีการทุกชนิด  เหตุผลว่าทำไมมนุษย์จึงคิดอย่างหูหนวกตาบอดว่าพระเจ้าตั้งพระทัยที่จะหลีกเลี่ยงเขา ว่าพระเจ้าตั้งพระทัยที่จะซ่อนเร้นพระองค์เองจากมนุษยชาติ ว่าพระเจ้าไม่ทรงมีเจตนารมณ์ที่จะยอมให้มนุษย์เข้าใจและรู้จักพระองค์นั้น เป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าคือผู้ใด อีกทั้งเขาไม่ปรารถนาที่จะเข้าใจพระเจ้า  ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มนุษย์ไม่กังวลสนใจในพระดำริ พระวจนะ หรือกิจการของพระผู้สร้าง… กล่าวตามความจริงคือ หากบุคคลหนึ่งเพียงใช้เวลาว่างของเขาเพื่อเพ่งความสนใจและทำความเข้าใจกับพระวจนะหรือกิจการของพระผู้สร้าง และหากพวกเขาเพียงให้ความสนใจในพระดำริของพระผู้สร้างและพระสุรเสียงแห่งพระหทัยของพระองค์แม้เพียงเล็กน้อย ก็จะไม่เป็นการยากที่บุคคลนั้นจะตระหนักว่าพระดำริ พระวจนะ และกิจการทั้งหลายของพระผู้สร้างสามารถปรากฏแก่ตาและเห็นได้ชัดแจ้ง  ในทำนองเดียวกัน การตระหนักว่าพระผู้สร้างทรงอยู่ท่ามกลางมนุษย์ตลอดเวลา ว่าพระองค์ทรงอยู่ในการสนทนากับมนุษย์และสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดทั้งปวงเสมอ และว่าพระองค์ทรงปฏิบัติกิจการใหม่ๆ ทุกวัน ก็จะใช้ความมานะพยายามเพียงน้อยนิด  เนื้อแท้และพระอุปนิสัยของพระองค์ได้รับการแสดงออกในการสนทนาของพระองค์กับมนุษย์ พระดำริและแนวคิดของพระองค์ได้รับการเผยอย่างครบบริบูรณ์ในกิจการของพระองค์ พระองค์ทรงติดตามเคียงข้างและสังเกตดูมวลมนุษย์ตลอดเวลา  พระองค์ตรัสกับมวลมนุษย์และสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งปวงอย่างเงียบๆ ด้วยพระวจนะที่เงียบเชียบของพระองค์ว่า “เราอยู่ในฟ้าสวรรค์ และเราอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของเรา เรากำลังจับตามอง เรากำลังรอ เราอยู่เคียงข้างเจ้า…”  พระหัตถ์ของพระองค์อบอุ่นและแข็งแรง ย่างพระบาทของพระองค์แผ่วเบา พระสุรเสียงของพระองค์นุ่มนวลและสง่างาม รูปสัณฐานของพระองค์ผ่านและหมุนไป โดยโอบกอดมวลมนุษย์ทั้งปวง โฉมพระพักตร์ของพระองค์งดงามและละมุนละไม  พระองค์ไม่เคยทรงจากไป ไม่เคยทรงหายไป  ในเวลากลางวันและกลางคืน พระองค์ทรงเป็นเพื่อนร่วมทางของมวลมนุษย์อยู่เนืองนิตย์ ไม่เคยจากพวกเขาไป  ความใส่พระทัยอย่างอุทิศพระองค์และการรักใคร่เอ็นดูเป็นพิเศษต่อมนุษยชาติของพระองค์ ตลอดจนความกังวลและความรักต่อมนุษย์อย่างแท้จริงของพระองค์ ได้รับการแสดงออกทีละน้อยขณะที่พระองค์ทรงช่วยเมืองนีนะเวห์ให้รอด  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การโต้ตอบระหว่างโยนาห์และพระยาห์เวห์พระเจ้าได้เผยให้เห็นอย่างสมบูรณ์ถึงความอ่อนโยนที่พระผู้สร้างทรงมีให้กับมวลมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นด้วยพระองค์เอง  โดยผ่านทางพระวจนะเหล่านั้น เจ้าสามารถได้รับความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความรู้สึกที่จริงใจที่พระเจ้าทรงมีให้กับมนุษยชาติ…

บทตอนต่อไปนี้ได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือโยนาห์ 4:10-11: “จากนั้นพระยาห์เวห์ตรัสว่า เจ้ามีความสงสารต่อต้นละหุ่งที่เจ้าไม่ได้ลงแรงและไม่ได้ทำให้มันเจริญเติบโต ซึ่งเกิดขึ้นมาในหนึ่งคืน และตายไปในหนึ่งคืน: แล้วเราไม่ควรละเว้นไม่ทำร้ายเมืองนีนะเวห์ ซึ่งเป็นเมืองยิ่งใหญ่ที่มีผู้คนมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน ผู้ที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างมือซ้ายและมือขวา และยังสัตว์เลี้ยงอีกมากมายหรือ?”  เหล่านี้คือพระวจนะจริงๆ ของพระยาห์เวห์พระเจ้า ซึ่งบันทึกจากการสนทนาระหว่างพระเจ้าและโยนาห์ ถึงแม้ว่าการโต้ตอบนี้จะสั้น แต่ก็เปี่ยมไปด้วยการดูแลเอาพระทัยใส่ที่พระผู้สร้างทรงมีต่อมวลมนุษย์ และความลังเลของพระองค์ที่จะทอดทิ้งมวลมนุษย์ไปเสีย  พระวจนะเหล่านี้แสดงถึงท่าทีและความรู้สึกที่แท้จริงที่พระเจ้าทรงมีต่อสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระองค์ภายในพระทัยของพระองค์  พระเจ้าทรงระบุเจตนารมณ์ที่แท้จริงที่พระองค์ทรงมีให้กับมนุษยชาติโดยผ่านทางพระวจนะเหล่านี้ ซึ่งมีความชัดเจนและแน่นอนอย่างที่มนุษย์แทบจะไม่เคยได้ยิน  การโต้ตอบนี้เป็นตัวแทนท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนเมืองนีนะเวห์—แต่ท่าทีนี้เป็นท่าทีประเภทใด?  ท่าทีนี้คือท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คนเมืองนีนะเวห์ก่อนและหลังจากการกลับใจของพวกเขา และท่าทีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อมวลมนุษย์  ภายในพระวจนะเหล่านี้คือพระดำริของพระองค์และพระอุปนิสัยของพระองค์

พระดำริใดของพระเจ้าที่ได้รับการเปิดเผยในพระวจนะเหล่านี้?  หากเจ้าให้ความสนใจกับรายละเอียดในขณะที่เจ้าอ่าน เจ้าจะสังเกตเห็นได้ไม่ยากว่าพระองค์ทรงใช้คำว่า “สงสาร” การใช้คำนี้แสดงให้เห็นถึงท่าทีที่แท้จริงที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์

ในระดับความหมายตามตัวอักษร ผู้คนสามารถตีความคำว่า “สงสาร” ได้ในหลายทาง กล่าวคือ ประการแรก มันหมายถึง “การรักและปกป้อง การรู้สึกถึงความอ่อนโยนต่อบางสิ่ง” ประการที่สอง หมายถึง “การรักอย่างมาก” และประการสุดท้าย หมายถึง “การไม่เต็มใจจะทำร้ายบางสิ่งและการไม่อาจทนที่จะทำเช่นนั้นได้”  กล่าวอย่างสั้นๆ คือ คำนี้สื่อความหมายถึงการรักใคร่เอ็นดูและความรักอย่างอ่อนโยน ตลอดจนความไม่เต็มใจที่จะละทิ้งบางคนหรือบางสิ่ง มันสื่อความหมายถึงความปรานีและการทนยอมรับที่พระเจ้าทรงมีให้กับมนุษย์  พระเจ้าได้ทรงใช้คำนี้ ซึ่งเป็นคำที่มนุษย์พูดโดยทั่วไป แต่ถึงกระนั้นคำนี้ก็ยังสามารถแผ่วางพระสุรเสียงแห่งพระหทัยของพระเจ้าและท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อมวลมนุษย์

ถึงแม้ว่าเมืองนีนะเวห์จะเต็มไปด้วยผู้คนที่เสื่อมทราม ชั่ว และรุนแรงเช่นเดียวกับคนเมืองโสโดม แต่การกลับใจของพวกเขาส่งผลให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัยและตัดสินพระทัยที่จะไม่ทำลายพวกเขา  เพราะวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อพระวจนะและคำแนะนำของพระเจ้า แสดงให้เห็นถึงท่าทีที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากท่าทีของพลเมืองของโสโดม และเพราะการนบนอบต่อพระเจ้าอย่างซื่อสัตย์ของพวกเขาและการกลับใจจากบาปของพวกเขาอย่างซื่อสัตย์ ตลอดจนพฤติกรรมที่แท้จริงจากหัวใจของพวกเขาในทุกเรื่อง พระเจ้าจึงได้ทรงแสดงความสงสารจากพระหทัยของพระองค์เองอีกครั้งและได้ประทานความสงสารนี้ให้แก่พวกเขา  สิ่งที่พระเจ้าประทานให้แก่มนุษยชาติและความสงสารที่พระองค์ทรงมีให้มนุษยชาติเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีผู้ใดสามารถทำซ้ำได้ และเป็นไปไม่ได้เลยที่บุคคลใดจะครอบครองความปรานีของพระเจ้า การทนยอมรับของพระองค์ หรือความรู้สึกที่จริงใจที่พระองค์ทรงมีให้กับมนุษยชาติ  มีผู้ใดบ้างหรือไม่ที่เจ้าเห็นว่าเป็นบุรุษหรือสตรีที่ยิ่งใหญ่ หรือแม้กระทั่งเป็นยอดมนุษย์ ผู้ที่มีคำแถลงประเภทนี้ต่อมวลมนุษย์หรือสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง โดยพูดในฐานะบุรุษหรือสตรีที่ยิ่งใหญ่จากที่สูง หรือบนจุดที่สูงที่สุด?  ผู้ใดในหมู่มวลมนุษย์สามารถรู้สภาวะของชีวิตมนุษย์ได้ราวกับที่รู้จักฝ่ามือของพวกเขา?  ผู้ใดสามารถรับภาระและความรับผิดชอบสำหรับการดำรงอยู่ของมนุษยชาติได้?  ผู้ใดที่มีคุณสมบัติที่จะกล่าวประกาศการทำลายเมืองเมืองหนึ่งได้?  และผู้ใดที่มีคุณสมบัติที่จะอภัยโทษเมืองเมืองหนึ่ง?  ผู้ใดสามารถพูดได้ว่าพวกเขาเวทนาสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมา?  มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้น!  มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงมีความอ่อนโยนต่อมวลมนุษย์นี้  มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงแสดงความเห็นใจและความรักใคร่เอ็นดูต่อมวลมนุษย์นี้  มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงมีความรักใคร่เอ็นดูที่แท้จริงและไม่อาจถูกทำลายได้ให้แก่มวลมนุษย์นี้  ในทำนองเดียวกัน มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่สามารถประทานความปรานีให้กับมวลมนุษย์นี้และเวทนาสิ่งทรงสร้างทั้งหมดของพระองค์  พระทัยของพระองค์โลดเต้นและเจ็บปวดกับทุกๆ การกระทำของมนุษย์ กล่าวคือ  พระองค์กริ้ว เสียพระทัย และทรงเศร้าโศกกับความชั่วและความเสื่อมทรามของมนุษย์ พระองค์พอพระทัย ทรงเปี่ยมสุข ประทานอภัย และทรงปีติยินดีกับการกลับใจและการเชื่อของมนุษย์ ทุกๆ พระดำริและแนวคิดของพระองค์มีอยู่เพื่อมวลมนุษย์และวนเวียนอยู่กับมวลมนุษย์ สิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและทรงมีได้รับการแสดงออกทั้งหมดเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ ทั้งหมดทั้งปวงของอารมณ์ของพระองค์มีความเกี่ยวพันกับการมีอยู่ของมวลมนุษย์  เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์แล้ว พระองค์ทรงเดินทางและทรงสาละวนเร่งร้อน พระองค์ทรงสละทุกเศษเสี้ยวแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างเงียบๆ พระองค์ทรงอุทิศทุกนาทีและทุกวินาทีแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์… พระองค์ไม่เคยทรงรู้ว่าจะทะนุถนอมพระชนม์ชีพของพระองค์เองอย่างไร กระนั้น พระองค์ก็ทรงเวทนามวลมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นด้วยพระองค์เองเสมอ… พระองค์ประทานทุกสิ่งที่พระองค์ทรงมีให้กับมนุษยชาตินี้… พระองค์ประทานความปรานีและการทนยอมรับของพระองค์อย่างไม่มีเงื่อนไขและโดยปราศจากความคาดหวังถึงการตอบแทน  พระองค์ทรงทำเช่นนี้เพียงเพื่อให้มวลมนุษย์สามารถเอาชีวิตรอดเฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้ต่อไป และได้รับการจัดเตรียมชีวิตจากพระองค์  พระองค์ทรงทำเช่นนี้เพียงเพื่อให้ในวันใดวันหนึ่ง มวลมนุษย์อาจจะนบนอบเฉพาะพระพักตร์พระองค์ และระลึกได้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงบำรุงเลี้ยงการมีอยู่ของมนุษย์และทรงจัดหาชีวิตของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 118

โยนาห์ 4  แต่เหตุการณ์นี้ไม่เป็นที่พอใจโยนาห์อย่างยิ่ง และท่านโกรธ  ท่านจึงอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่ในประเทศของข้าพระองค์  ข้าพระองค์พูดแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?  นี่เป็นเหตุให้ข้าพระองค์รีบหนีไปเมืองทารชิช เพราะข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณ และพระกรุณา กริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และเปลี่ยนพระทัยไม่ลงโทษ ข้าแต่พระยาห์เวห์  เพราะฉะนั้น เวลานี้ ขอพระองค์ทรงเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปเสีย เพราะว่าข้าพระองค์ตายเสียก็ดีกว่าอยู่”  และพระยาห์เวห์ตรัสว่า “การที่เจ้าโกรธเช่นนี้ดีแล้วหรือ?”  แล้วโยนาห์ก็ออกไปนอกเมือง นั่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองนั้น และท่านทำเพิงไว้สำหรับตัวท่านเองที่นั่น ท่านนั่งอยู่ใต้ร่มเพิงคอยดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับเมืองนั้น  และพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงกำหนดให้ต้นละหุ่งต้นหนึ่งงอกขึ้นมาเหนือโยนาห์ ให้เป็นที่กำบังศีรษะของท่าน เพื่อบรรเทาความร้อนรุ่ม  ดังนั้นโยนาห์จึงมีความยินดีอย่างยิ่งเรื่องต้นละหุ่งนั้น  แต่ในเช้าวันรุ่งขึ้น พระเจ้าทรงกำหนดให้หนอนตัวหนึ่งมากัดกินต้นละหุ่งต้นนั้น จนมันเหี่ยวไป  เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว พระเจ้าทรงกำหนดให้ลมตะวันออกที่ร้อนผากพัดมา และแสงแดดก็แผดลงบนศีรษะของโยนาห์จนท่านอ่อนเพลียไป  และท่านก็ทูลขอว่า ให้ท่านตายเสียเถิด ท่านว่า “ข้าตายเสียก็ดีกว่าอยู่”  แต่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ว่า “ที่เจ้าโกรธเพราะต้นละหุ่งนั้นดีแล้วหรือ?”  ท่านทูลว่า “ที่ข้าพระองค์โกรธถึงอยากตายนี้ดีแล้ว พระเจ้าข้า” “จากนั้นพระยาห์เวห์ตรัสว่า เจ้ามีความสงสารต่อต้นละหุ่งที่เจ้าไม่ได้ลงแรงและไม่ได้ทำให้มันเจริญเติบโต ซึ่งเกิดขึ้นมาในหนึ่งคืน และตายไปในหนึ่งคืน: แล้วเราไม่ควรละเว้นไม่ทำร้ายเมืองนีนะเวห์ ซึ่งเป็นเมืองยิ่งใหญ่ที่มีผู้คนมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน ผู้ที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างมือซ้ายและมือขวา และยังสัตว์เลี้ยงอีกมากมายหรือ?”

พระผู้สร้างทรงแสดงความรู้สึกที่แท้จริงที่พระองค์ทรงมีให้กับมนุษยชาติ

การสนทนาระหว่างพระยาห์เวห์พระเจ้าและโยนาห์นี้เป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกที่แท้จริงที่พระผู้สร้างทรงมีให้กับมนุษยชาติอย่างปราศจากข้อสงสัย  ในทางหนึ่ง การสนทนานี้ให้ข้อมูลกับผู้คนเกี่ยวกับความเข้าใจที่พระผู้สร้างทรงมีเกี่ยวกับสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงภายใต้อธิปไตยของพระองค์ ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ตรัสว่า “แล้วเราไม่ควรละเว้นไม่ทำร้ายเมืองนีนะเวห์ ซึ่งเป็นเมืองยิ่งใหญ่ที่มีผู้คนมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน ผู้ที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างมือซ้ายและมือขวา และยังสัตว์เลี้ยงอีกมากมายหรือ?”  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความเข้าใจที่พระเจ้าทรงมีเกี่ยวกับเมืองนีนะเวห์นั้นไม่ใช่ไม่ละเอียด  พระองค์ไม่เพียงแต่ทรงรู้จำนวนของสิ่งมีชีวิตภายในเมืองเท่านั้น (ซึ่งรวมถึงผู้คนและปศุสัตว์) แต่พระองค์ยังทรงรู้จำนวนของผู้คนที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างมือซ้ายและมือขวา—นั่นคือ จำนวนเด็กเล็กและคนหนุ่มสาวที่มีอยู่  นี่คือหลักฐานที่เป็นรูปธรรมว่าพระเจ้าทรงมีความเข้าใจที่ครอบคลุมเกี่ยวกับมวลมนุษย์  ในอีกทางหนึ่ง การสนทนานี้ให้ข้อมูลผู้คนเกี่ยวกับท่าทีที่พระผู้สร้างทรงมีต่อมนุษยชาติ กล่าวคือ น้ำหนักของมนุษยชาติในพระทัยของพระผู้สร้าง  ซึ่งเป็นดั่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสว่า  “เจ้ามีความสงสารต่อต้นละหุ่งที่เจ้าไม่ได้ลงแรงและไม่ได้ทำให้มันเจริญเติบโต ซึ่งเกิดขึ้นมาในหนึ่งคืน และตายไปในหนึ่งคืน แล้วเราไม่ควรละเว้นไม่ทำร้ายเมืองนีนะเวห์ ซึ่งเป็นเมืองยิ่งใหญ่หรือ…?”  เหล่านี้คือพระวจนะที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงตำหนิโยนาห์ แต่พระวจนะทั้งหมดนั้นจริงแท้

ถึงแม้ว่าโยนาห์ได้รับความไว้วางพระทัยให้กล่าวประกาศพระวจนะของพระยาห์เวห์พระเจ้าต่อผู้คนเมืองนีนะเวห์ เขาก็ไม่ได้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระยาห์เวห์พระเจ้า อีกทั้งเขาไม่ได้เข้าใจความกังวลและความคาดหวังที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คนในเมือง  ด้วยการตำหนินี้ พระองค์ทรงหมายที่จะบอกเขาว่า มนุษยชาติคือผลิตผลแห่งพระหัตถ์ของพระเจ้าเอง และพระองค์ได้ทรงใช้ความมานะพยายามอันพากเพียรกับบุคคลทุกๆ คน ว่าบุคคลทุกๆ คนแบกความคาดหวังของพระเจ้าไว้บนบ่าของพวกเขา และว่าบุคคลทุกๆ คนได้ชื่นชมการจัดหาชีวิตของพระเจ้า  พระเจ้าได้ทรงจ่ายราคาเป็นความมานะพยายามอันพากเพียรเพื่อบุคคลทุกๆ คน  การตำหนินี้ยังบอกโยนาห์ด้วยว่าพระเจ้าทรงเวทนามนุษยชาติ ซึ่งเป็นงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์เอง เช่นเดียวกับที่โยนาห์เวทนาต้นละหุ่งนั้น  พระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งมวลมนุษย์อย่างง่ายๆ หรือจนกระทั่งชั่วขณะสุดท้ายที่เป็นไปได้เลย เพราะเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ มีเด็กเล็กและปศุสัตว์ที่ไร้เดียงสามากมายภายในเมืองนั้น  เมื่อจัดการกับผลิตผลแห่งการทรงสร้างของพระเจ้าที่อ่อนวัยและไม่รู้เท่าทันเหล่านี้ผู้ที่ไม่สามารถแม้กระทั่งแยกแยะมือขวาของตนออกจากมือซ้ายของตน การที่พระเจ้าจะทรงสิ้นสุดชีวิตของพวกเขาและกำหนดบทอวสานของพวกเขาอย่างเร่งรีบเช่นนั้นก็เป็นสิ่งที่คิดฝันได้น้อยลงไปอีก  พระเจ้าทรงหวังจะได้ทอดพระเนตรเห็นพวกเขาเติบโต พระองค์ทรงหวังว่าพวกเขาจะไม่เดินบนเส้นทางเดียวกันกับผู้อาวุโสของพวกเขา ว่าพวกเขาจะไม่ต้องได้ยินคำเตือนของพระยาห์เวห์พระเจ้าอีกครั้ง และว่าพวกเขาจะเป็นพยานให้กับอดีตของเมืองนีนะเวห์  ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าทรงหวังที่จะเห็นเมืองนีนะเวห์หลังจากที่มันได้กลับใจแล้ว เห็นอนาคตของเมืองนีนะเวห์หลังจากการกลับใจของมัน และที่สำคัญกว่านั้นคือ เห็นเมืองนีนะเวห์ดำเนินชีวิตภายใต้ความปรานีของพระเจ้าอีกครั้ง  ดังนั้น ในสายพระเนตรของพระเจ้า วัตถุแห่งการทรงสร้างที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างมือขวาและมือซ้ายของตนได้เหล่านั้นคืออนาคตของเมืองนีนะเวห์  พวกเขาจะแบกรับอดีตที่น่ารังเกียจของเมืองนีนะเวห์ เช่นเดียวกับที่พวกเขาจะแบกรับหน้าที่อันสำคัญในการเป็นพยานต่อทั้งอดีตของเมืองนีนะเวห์และอนาคตของมันภายใต้การทรงนำทางของพระยาห์เวห์พระเจ้า  ในถ้อยแถลงความรู้สึกที่แท้จริงของพระองค์นี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทรงแสดงความปรานีของพระผู้สร้างที่ทรงมีให้กับมนุษยชาติทั้งหมดทั้งมวล  สิ่งนี้แสดงให้มนุษยชาติเห็นว่า “ความปรานีของพระผู้สร้าง” ไม่ใช่วลีที่ว่างเปล่า อีกทั้งไม่ใช่คำสัญญาที่ไร้ค่าไม่จริงใจ  ความปรานีของพระผู้สร้างมีหลักธรรม วิธีการ และวัตถุประสงค์ที่เป็นรูปธรรม  พระเจ้าทรงเที่ยงแท้และเป็นจริง และพระองค์ไม่ทรงใช้การพูดเท็จหรือการปลอมแปลง และในลักษณะเดียวกันนี้ มนุษยชาติได้รับความปรานีของพระองค์อย่างไม่รู้จบในทุกช่วงเวลาและทุกยุคสมัย  อย่างไรก็ตาม จนถึงวันนี้ การโต้ตอบของพระผู้สร้างกับโยนาห์เป็นการแถลงด้วยวาจาแต่เพียงครั้งเดียวของพระองค์ว่าเหตุใดพระองค์จึงทรงแสดงความปรานีต่อมนุษยชาติ พระองค์ทรงแสดงความปรานีต่อมนุษยชาติอย่างไร พระองค์ทรงทนยอมรับมนุษยชาติอย่างไร และความรู้สึกที่แท้จริงที่พระองค์ทรงมีให้กับมนุษยชาติ  พระวจนะที่รวบรัดของพระยาห์เวห์พระเจ้าในช่วงระหว่างการสนทนานี้แสดงออกถึงพระดำริของพระองค์ต่อมนุษยชาติโดยถ้วนทั่วทั้งหมด  พระวจนะเหล่านี้เป็นการแสดงออกที่แท้จริงถึงท่าทีของพระทัยของพระองค์ต่อมนุษยชาติ และยังเป็นหลักฐานที่เป็นรูปธรรมถึงการประทานความปรานีอย่างอุดมให้แก่มนุษยชาติของพระองค์  ความปรานีของพระองค์ไม่ได้ถูกประทานให้กับชนรุ่นอาวุโสกว่าของมนุษยชาติเท่านั้น แต่ยังประทานให้กับสมาชิกที่เยาว์วัยกว่าของมนุษยชาติด้วย เช่นเดียวกับที่เคยเป็นมาเสมอจากชั่วคนหนึ่งถึงอีกชั่วคนหนึ่ง  ถึงแม้ว่าพระพิโรธของพระเจ้าจะลงมาถึงบางมุมโลกและบางยุคของมนุษยชาติบ่อยครั้ง แต่ความปรานีของพระเจ้าก็ไม่เคยยุติ  ด้วยความปรานีของพระองค์ พระองค์ทรงนำและทรงนำทางสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระองค์รุ่นแล้วรุ่นเล่า และทรงจัดหาและบำรุงเลี้ยงสรรพสิ่งที่ทรงสร้างรุ่นแล้วรุ่นเล่า เพราะความรู้สึกที่แท้จริงที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษยชาติจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ตรัสว่า “ไม่สมควรหรือที่เราจะเวทนา…?”  พระองค์ทรงเวทนาสิ่งทรงสร้างของพระองค์เองเสมอ  นี่คือความปรานีแห่งพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระผู้สร้าง และยังเป็นเอกลักษณ์ของพระผู้สร้างโดยสมบูรณ์อีกด้วย!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 119

ผู้คนห้าประเภท

เราจะจัดผู้ติดตามของพระเจ้าออกเป็นหลายประเภทตามความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้า และความเข้าใจและประสบการณ์ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ เพื่อที่พวกเจ้าอาจจะรู้จักช่วงระยะที่พวกเจ้ากำลังอยู่ในขณะนี้ ตลอดจนวุฒิภาวะปัจจุบันของพวกเจ้าด้วย  ในแง่ของความรู้ที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระเจ้าและความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์นั้น โดยทั่วไปแล้วช่วงระยะและวุฒิภาวะต่างๆ ที่ผู้คนมีนั้นสามารถแยกออกได้เป็นห้าประเภท  หัวข้อนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการรู้จักพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์  ดังนั้น ขณะที่พวกเจ้าอ่านเนื้อหาต่อไปนี้ พวกเจ้าควรพยายามคิดให้ออกอย่างรอบคอบว่าพวกเจ้ามีความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับความทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้าและพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์มากเพียงใดกันแน่ และหลังจากนั้น พวกเจ้าควรใช้ผลลัพธ์นั้นตัดสินว่าแท้จริงแล้วพวกเจ้าอยู่ในช่วงระยะใด แท้จริงแล้ววุฒิภาวะของพวกเจ้ามีมากเพียงใด และแท้จริงแล้วพวกเจ้าเป็นบุคคลประเภทใด

ประเภทที่หนึ่ง: ช่วงระยะของทารกที่พันผ้าอ้อม

“ทารกที่พันผ้าอ้อม” หมายถึงอะไร?  ทารกที่พันผ้าอ้อมคือทารกที่เพิ่งเกิดมาในโลกนี้ ซึ่งก็คือเด็กแรกเกิด  นั่นคือเวลาที่ผู้คนไม่มีวุฒิภาวะมากที่สุด

โดยพื้นฐานแล้วผู้คนในช่วงระยะนี้ไม่มีการตระหนักรู้หรือจิตสำนึกใดๆ เกี่ยวกับเรื่องของการเชื่อในพระเจ้า  พวกเขางุนงงอย่างที่สุดและไม่รู้เท่าทันเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง  ผู้คนเหล่านี้อาจเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลานานแล้วหรือบางทีอาจไม่นานนักเลย แต่สภาวะที่งุนงงอย่างที่สุดและไม่รู้เท่าทันของพวกเขาและวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเขาทำให้พวกเขาอยู่ภายในช่วงระยะของทารกที่พันผ้าอ้อม  คำจำกัดความที่แน่นอนของสภาวะของทารกที่พันผ้าอ้อมนั้นเป็นดังนี้คือ ไม่สำคัญว่าบุคคลประเภทนี้จะเชื่อในพระเจ้ามานานเพียงใดก็ตาม พวกเขาจะสับสนปนเป งุนงง และซื่อเสมอ พวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงเชื่อในพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าคือผู้ใดหรือผู้ใดคือพระเจ้า  ถึงแม้ว่าพวกเขาจะติดตามพระเจ้า แต่ก็ไม่มีคำจำกัดความที่แน่ชัดเกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาไม่สามารถกำหนดพิจารณาได้ว่าองค์หนึ่งเดียวที่พวกเขาติดตามนั้นคือพระเจ้าหรือไม่ นับประสาอะไรที่จะกำหนดพิจารณาได้ว่าพวกเขาควรเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์อย่างแท้จริงหรือไม่  นี่คือสภาวะที่แท้จริงของบุคคลประเภทนี้  ความคิดของผู้คนเหล่านี้มืดสลัว และกล่าวอย่างง่ายๆ คือ การเชื่อของพวกเขานั้นปนเปยุ่งเหยิง  พวกเขาอยู่ในสภาวะที่พิศวงและว่างเปล่าเสมอ “ความสับสนปนเป” “ความงุนงง” และ “ความซื่อ” คือสิ่งที่สรุปสภาวะของพวกเขา  พวกเขายังไม่เคยเห็นอีกทั้งยังไม่เคยรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้า และดังนั้น การพูดกับพวกเขาเกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้าก็มีประโยชน์พอๆ กับการให้พวกเขาอ่านหนังสือที่เขียนด้วยอักษรอียิปต์โบราณ—พวกเขาจะไม่มีวันเข้าใจหรือยอมรับมัน  สำหรับพวกเขาแล้ว การรู้จักพระเจ้าก็เหมือนกับการได้ยินเรื่องเล่าเพ้อฝัน  ขณะที่ความคิดของพวกเขาอาจมืดสลัว แต่ที่จริงแล้วพวกเขาเชื่ออย่างหนักแน่นว่าการรู้จักพระเจ้าเป็นเรื่องเสียเวลาและเป็นการพยายามที่สูญเปล่าอย่างที่สุด  นี่คือบุคคลประเภทแรก กล่าวคือ ทารกที่พันผ้าอ้อม

ประเภทที่สอง: ช่วงระยะของทารกที่ยังดูดนม

เมื่อเปรียบเทียบกับทารกที่พันผ้าอ้อม บุคคลจำพวกนี้มีความก้าวหน้าอยู่บ้าง  น่าเศร้าใจที่พวกเขายังคงไม่มีความเข้าใจใดๆ เกี่ยวกับพระเจ้าไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม พวกเขายังคงขาดพร่องความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับพระเจ้าและขาดพร่องความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับพระเจ้า และพวกเขาไม่เข้าใจชัดเจนนักว่าเหตุใดพวกเขาจึงควรเชื่อในพระเจ้า แต่ในหัวใจของพวกเขา พวกเขามีจุดประสงค์และแนวคิดที่ชัดเจนของพวกเขาเอง  พวกเขาไม่สนใจที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่  วัตถุประสงค์และจุดประสงค์ที่พวกเขาแสวงหาโดยผ่านทางการเชื่อในพระเจ้าคือการชื่นชมพระคุณของพระองค์ การมีความชื่นบานยินดีและสันติสุข การใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย การชื่นชมการใส่พระทัยและการปกป้องของพระเจ้า และการใช้ชีวิตภายใต้พระพรของพระเจ้า  พวกเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับระดับที่พวกเขารู้จักพระเจ้า พวกเขาไม่มีความเร่งเร้าที่จะแสวงหาความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาไม่ได้กังวลสนใจว่าพระเจ้ากำลังทรงทำสิ่งใด หรือพระองค์ทรงปรารถนาจะทำสิ่งใด  พวกเขาเพียงแสวงหาอย่างหูหนวกตาบอดเพื่อให้ได้ชื่นชมพระคุณของพระองค์และได้รับพระพรของพระองค์มากขึ้น พวกเขาพยายามที่จะได้รับเป็นร้อยเท่าในยุคปัจจุบัน และได้รับชีวิตนิรันดร์ในยุคที่กำลังจะมาถึง  ความคิดของพวกเขา ระดับการสละตัวเองของพวกเขา การอุทิศตัวของพวกเขา และความทุกข์ของพวกเขา ทั้งหมดมีวัตถุประสงค์เดียวกัน นั่นคือ เพื่อให้ได้รับพระคุณและพระพรของพระเจ้า  พวกเขาไม่มีความกังวลสนใจเกี่ยวกับเรื่องอื่นใด  บุคคลประเภทนี้มั่นใจแต่เพียงว่าพระเจ้าทรงสามารถรักษาผู้คนให้ปลอดภัยและประทานพระคุณของพระองค์ให้แก่พวกเขาได้  คนเราสามารถพูดได้ว่าพวกเขาไม่สนใจและไม่เข้าใจชัดเจนนักว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงปรารถนาที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด หรือผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงปรารถนาจะได้รับด้วยพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์  พวกเขาไม่เคยใช้ความมานะพยายามใดๆ เพื่อให้รู้จักเนื้อแท้และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาไม่เคยรวบรวมความสนใจที่จะทำเช่นนั้น  พวกเขาขาดพร่องความโน้มเอียงที่จะให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งพวกเขาไม่ปรารถนาที่จะรู้จักสิ่งเหล่านี้ด้วย  พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะถามเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าต่อมนุษย์ น้ำพระทัยของพระเจ้า หรือสิ่งอื่นใดที่เกี่ยวโยงกับพระเจ้า และพวกเขาขาดพร่องความโน้มเอียงนั้นมากเกินที่จะถามเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้  นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้ไม่มีความเกี่ยวโยงกับการชื่นชมพระคุณของพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขากังวลสนใจแต่กับพระเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเองโดยตรง และผู้สามารถประทานพระคุณให้กับมนุษย์ได้เท่านั้น  พวกเขาไม่มีความสนใจใดๆ ในสิ่งอื่นใดเลย และดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ ไม่ว่าพวกเขาจะได้เชื่อในพระเจ้ามากี่ปีแล้วก็ตาม  หากปราศจากผู้ที่คอยให้น้ำหรือป้อนอาหารพวกเขา ก็เป็นการยากที่พวกเขาจะเดินต่อไปในเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้า  หากพวกเขาไม่สามารถชื่นชมความชื่นบานยินดีและสันติสุขก่อนหน้านั้นของพวกเขาหรือพระคุณของพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วก็ค่อนข้างมีแนวโน้มว่าพวกเขาจะเดินจากไป  นี่คือบุคคลประเภทที่สอง กล่าวคือ บุคคลที่ดำรงอยู่ในช่วงระยะของทารกที่ยังดูดนม

ประเภทที่สาม: ช่วงระยะของทารกที่หย่านม หรือช่วงระยะของเด็กเล็ก

ผู้คนกลุ่มนี้ครอบครองความตระหนักรู้ที่ชัดเจนระดับหนึ่ง  พวกเขาตระหนักรู้ว่าการชื่นชมพระคุณของพระเจ้าไม่ได้หมายความว่าตัวพวกเขาเองครอบครองประสบการณ์ที่แท้จริง และพวกเขาตระหนักรู้ว่าถึงแม้ว่าพวกเขาไม่มีวันเบื่อการแสวงหาความชื่นบานยินดีและสันติสุข การแสวงหาพระคุณ หรือถึงแม้ว่าพวกเขาสามารถเป็นพยานโดยแบ่งปันประสบการณ์การชื่นชมพระคุณของพระเจ้าของพวกเขา หรือโดยสรรเสริญพระเจ้าสำหรับพระพรที่พระองค์ได้ประทานให้พวกเขา สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาครอบครองชีวิต อีกทั้งไม่ได้หมายความว่าพวกเขาครอบครองความเป็นจริงของความจริง  โดยเริ่มต้นจากความมีสติของพวกเขา พวกเขายุติการมีความหวังที่ไร้เหตุผลว่าพวกเขาจะมีแต่พระคุณของพระเจ้าติดตามเคียงข้างเท่านั้น แต่พวกเขากลับปรารถนาที่จะทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อพระเจ้าในขณะที่พวกเขาชื่นชมพระคุณของพระเจ้าไปพร้อมกันแทน  พวกเขาเต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา สู้ทนความยากลำบากและความเหนื่อยล้าเล็กน้อย มีส่วนร่วมในการให้ความร่วมมือกับพระเจ้าในระดับหนึ่งๆ  อย่างไรก็ตาม เพราะการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขามีสิ่งเจือปนมากเกินไป เพราะเจตนาและความอยากแต่ละอย่างที่พวกเขาเก็บงำนั้นแข็งแกร่งเกินไป เพราะอุปนิสัยของพวกเขาโอหังลำพองมากเกินไป จึงเป็นการยากที่พวกเขาจะทำให้สมดังสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนาหรือจงรักภักดีต่อพระเจ้า  ดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถทำให้ความปรารถนาแต่ละอย่างของพวกเขาเป็นจริง หรือทำตามสัญญาที่พวกเขามีให้กับพระเจ้าได้อยู่บ่อยครั้ง  พวกเขามักพบตัวเองอยู่ในสภาวะที่ขัดแย้ง กล่าวคือ พวกเขาปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยจนถึงระดับสูงสุดที่เป็นไปได้ แต่กระนั้นพวกเขาก็ใช้กำลังทั้งหมดของพวกเขาในการต่อต้านพระองค์ และพวกเขามักให้คำปฏิญาณต่อพระเจ้า แต่หลังจากนั้นก็ทำผิดคำปฏิญาณของพวกเขาอย่างรวดเร็ว  และที่บ่อยยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามักพบตัวเองอยู่ในสภาวะที่ขัดแย้งอื่นๆ อีก กล่าวคือ พวกเขาเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ แต่กระนั้นพวกเขาก็ปฏิเสธพระองค์และทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากพระองค์ พวกเขาหวังอย่างร้อนรนว่าพระเจ้าจะประทานความรู้แจ้งให้แก่พวกเขา นำทางพวกเขา จัดหาให้พวกเขา และช่วยเหลือพวกเขา แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงแสวงหาทางออกของตัวเอง  พวกเขาปรารถนาที่จะเข้าใจและรู้จักพระเจ้า แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะเข้าใกล้ชิดพระองค์  แทนที่จะทำเช่นนั้น พวกเขากลับหลีกเลี่ยงพระเจ้าอยู่เสมอ และหัวใจของพวกเขาปิดรับพระองค์  ในขณะที่พวกเขามีความเข้าใจและประสบการณ์เพียงผิวเผินเกี่ยวกับความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระเจ้าและของความจริง และมีมโนทัศน์ที่ผิวเผินเกี่ยวกับพระเจ้าและความจริง พวกเขายังคงไม่สามารถยืนยันหรือกำหนดพิจารณาจากจิตใต้สำนึกได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริงหรือไม่ หรือยืนยันว่าพระเจ้าทรงชอบธรรมอย่างแท้จริงหรือไม่  พวกเขายังไม่สามารถกำหนดพิจารณาความเป็นจริงของพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระเจ้าได้ นับประสาอะไรที่จะกำหนดพิจารณาการดำรงอยู่ที่แท้จริงของพระองค์  การเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาประกอบด้วยความสงสัยและความเข้าใจผิดเสมอ และยังประกอบด้วยการจินตนาการและมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายด้วยเช่นกัน  ในขณะที่พวกเขาชื่นชมพระคุณของพระเจ้า พวกเขาก็ได้รับประสบการณ์หรือปฏิบัติตามความจริงบางอย่างด้วยความลังเลเช่นกัน ซึ่งพวกเขาพิจารณาความจริงเหล่านี้ว่ามีความเป็นไปได้ในการประเทืองการเชื่อของพวกเขา เสริมประสบการณ์ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ยืนยันความถูกต้องของความเข้าใจเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา และสนองความทะนงของพวกเขาด้วยการเดินบนเส้นทางชีวิตที่ตัวพวกเขาเองสร้างขึ้น และด้วยการสำเร็จลุล่วงในหน้าที่การงานที่ชอบธรรมสำหรับมวลมนุษย์  ในขณะเดียวกัน พวกเขายังทำสิ่งเหล่านี้เพื่อสนองความอยากของพวกเขาเองเพื่อที่จะได้รับพระพร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเดิมพันที่พวกเขาวางด้วยความหวังว่าจะได้รับพระพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้นสำหรับมนุษยชาติ และเพื่อให้สำเร็จลุล่วงในความทะเยอทะยานที่มักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากชั่วชีวิตของพวกเขาว่าจะไม่หยุดพักจนกว่าพวกเขาจะได้รับพระเจ้าแล้ว  ผู้คนเหล่านี้มีน้อยคนเหลือเกินที่จะสามารถได้รับความรู้แจ้งของพระเจ้า เพราะความอยากของพวกเขาและเจตนาที่จะได้รับพระพรของพวกเขานั้นสำคัญสำหรับพวกเขามากเกินไป  พวกเขาไม่มีความอยากที่จะละทิ้งสิ่งนี้ และพวกเขาไม่สามารถทนที่จะทำเช่นนั้นได้โดยแท้  พวกเขากลัวว่าหากปราศจากความอยากที่จะได้รับพระพร และหากปราศจากความมักใหญ่ใฝ่สูงที่ทะนุถนอมมายาวนานว่าจะไม่หยุดพักจนกว่าพวกเขาจะได้รับพระเจ้าแล้ว พวกเขาจะสูญเสียเครื่องกระตุ้นที่จะเชื่อในพระเจ้าไป  ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ปรารถนาที่จะเผชิญหน้าความเป็นจริง  พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะเผชิญหน้ากับพระวจนะของพระเจ้าหรือพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะเผชิญหน้ากับพระอุปนิสัยหรือเนื้อแท้ของพระเจ้าด้วยซ้ำ นับประสาอะไรที่จะพูดถึงหัวข้อเกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้า  นี่เป็นเพราะว่าทันทีที่พระเจ้า เนื้อแท้ของพระองค์ และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์เข้าแทนที่การจินตนาการของพวกเขา ความฝันของพวกเขาจะลอยหายไปในควันไฟ และสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าความเชื่อที่บริสุทธิ์และ “คุณความดี” ที่สะสมผ่านการทำงานอย่างเพียรพยายามมานานหลายปีจะหายไปและกลายเป็นความว่างเปล่า  ในทำนองเดียวกัน “อาณาเขต” ที่พวกเขาได้พิชิตด้วยหยาดเหงื่อและเลือดของพวกเขามานานหลายปีจะเผชิญกับการพังทลาย  ทั้งหมดนี้จะมีนัยสำคัญว่าการทำงานและความมานะพยายามนานหลายปีของพวกเขาไร้ประโยชน์มาตลอด และว่าพวกเขาต้องเริ่มต้นจากความว่างเปล่าอีกครั้ง  นี่คือความเจ็บปวดที่ยากลำบากที่สุดที่พวกเขาจะแบกรับไว้ในหัวใจของพวกเขา และเป็นผลลัพธ์ที่พวกเขาอยากจะเห็นน้อยที่สุด ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงถูกขังไว้ในภาวะจนมุมนี้ และปฏิเสธที่จะหันหลังกลับ  นี่คือบุคคลประเภทที่สาม กล่าวคือ บุคคลที่ดำรงอยู่ในช่วงระยะของทารกที่กำลังหย่านม

ผู้คนสามประเภทที่อธิบายไปข้างต้น—ซึ่งหมายถึงผู้ที่ดำรงอยู่ในสามช่วงระยะเหล่านี้—ไม่ได้ครอบครองความเชื่อที่แท้จริงใดๆ เกี่ยวกับพระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าหรือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ อีกทั้งพวกเขาไม่ได้มีการระลึกรู้หรือการยืนยันที่ชัดเจนและถูกต้องแม่นยำใดๆ เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้  ดังนั้น จึงเป็นการยากอย่างยิ่งที่ผู้คนสามประเภทนี้จะเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง อีกทั้งยังเป็นการยากเช่นกันที่พวกเขาจะได้รับความปรานี ความรู้แจ้ง หรือความกระจ่างของพระเจ้า เพราะลักษณะที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าและท่าทีที่ผิดพลาดที่พวกเขามีต่อพระเจ้านั้นทำให้เป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชกิจภายในหัวใจของพวกเขา  ความสงสัย มโนทัศน์ผิดๆ และการจินตนาการของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้านั้นมีมากเกินกว่าการเชื่อและความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้า  เหล่านี้คือผู้คนสามประเภทที่มีความเสี่ยงอย่างมาก และเป็นสามช่วงระยะที่อันตรายอย่างมาก  เมื่อคนเรารักษาท่าทีที่สงสัยพระเจ้า เนื้อแท้ของพระเจ้า พระอัตลักษณ์ของพระเจ้า เรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริงหรือไม่และความเป็นจริงของการดำรงอยู่ของพระองค์ และเมื่อคนเราไม่สามารถมั่นใจในสิ่งเหล่านี้ได้ คนเราจะสามารถยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากพระเจ้าได้อย่างไร?  คนเราจะสามารถยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง เป็นหนทาง และเป็นชีวิตได้อย่างไร?  คนเราจะสามารถยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าได้อย่างไร?  คนเราจะสามารถยอมรับความรอดของพระเจ้าได้อย่างไร?  คนประเภทนี้จะสามารถได้รับการทรงนำทางและการจัดเตรียมที่แท้จริงของพระเจ้าได้อย่างไร?  ผู้ที่อยู่ในสามช่วงระยะเหล่านี้สามารถต่อต้านพระเจ้า ตัดสินพระเจ้า หมิ่นประมาทพระเจ้า หรือทรยศพระเจ้าได้ทุกเมื่อ  พวกเขาสามารถทิ้งขว้างหนทางที่แท้จริงและละทิ้งพระเจ้าได้ทุกเมื่อ  คนเราสามารถพูดได้ว่าผู้คนในสามช่วงระยะเหล่านี้ดำรงอยู่ในช่วงเวลาวิกฤติ เพราะพวกเขาไม่เคยเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า

ประเภทที่สี่: ช่วงระยะของเด็กที่กำลังเติบโต หรือวัยเด็ก

หลังจากที่บุคคลหนึ่งหย่านมแล้ว—นั่นคือ หลังจากที่พวกเขาได้ชื่นชมพระคุณในปริมาณที่มากพอแล้ว—พวกเขาเริ่มต้นสำรวจความหมายของการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาเริ่มปรารถนาที่จะทำความเข้าใจคำถามต่างๆ เช่น เหตุใดมนุษย์จึงมีชีวิต มนุษย์ควรใช้ชีวิตอย่างไร และเหตุใดพระเจ้าจึงทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์กับมนุษย์  เมื่อความคิดที่ไม่ชัดเจนและรูปแบบความคิดที่งุนงงสับสนเหล่านี้อุบัติขึ้นภายในตัวพวกเขาและดำรงอยู่ภายในตัวพวกเขา พวกเขาก็ได้รับการให้น้ำอย่างต่อเนื่อง และพวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ด้วยเช่นกัน  ในระหว่างช่วงเวลานี้ พวกเขาไม่มีความสงสัยใดๆ อีกต่อไปเกี่ยวกับความจริงของการดำรงอยู่ของพระเจ้า และพวกเขามีการจับความเข้าใจที่ถูกต้องแม่นยำว่าการเชื่อในพระเจ้ามีความหมายว่าอย่างไร  บนพื้นฐานนี้ พวกเขาได้รับความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าทีละน้อย และพวกเขาค่อยๆ ได้รับคำตอบบางอย่างสำหรับความคิดที่ไม่ชัดเจนและรูปแบบความคิดที่งุนงงสับสนของพวกเขาเกี่ยวกับพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระเจ้า  ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาตลอดจนความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้านั้น ผู้คนในช่วงระยะนี้เริ่มต้นออกเดินบนร่องครรลองที่ถูกต้อง และพวกเขาเข้าสู่ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน  ผู้คนเริ่มมีชีวิตภายในช่วงระยะนี้เอง  การบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงการครอบครองชีวิตคือการค่อยๆ ตอบคำถามต่างๆ ที่เกี่ยวโยงกับการรู้จักพระเจ้าที่ผู้คนมีอยู่ในหัวใจของพวกเขาทีละน้อย—เช่น ความเข้าใจผิด การจินตนาการ มโนคติที่หลงผิด และคำจำกัดความที่คลุมเครือเกี่ยวกับพระเจ้า—และไม่เพียงแต่พวกเขาจะมาเชื่อและระลึกได้จริงๆ ถึงความเป็นจริงของการดำรงอยู่ของพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังมาครอบครองคำจำกัดความที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับพระเจ้า และมีสถานที่ที่ถูกต้องสำหรับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขาด้วย และการติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริงจะเข้ามาแทนที่ความเชื่อที่คลุมเครือของพวกเขา  ในระหว่างช่วงระยะนี้ ผู้คนค่อยๆ มารู้จักมโนทัศน์ผิดๆ ที่พวกเขามีต่อพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาและหนทางแห่งการเชื่อที่ผิดพลาดของพวกเขา  พวกเขาเริ่มกระหายความจริง กระหายที่จะได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา การตีสอน และการบ่มวินัยของพระเจ้า และกระหายการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา  พวกเขาค่อยๆ ทิ้งมโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการทุกชนิดเกี่ยวกับพระเจ้าไว้เบื้องหลังในระหว่างช่วงระยะนี้ และในขณะเดียวกัน พวกเขาก็เปลี่ยนแปลงและแก้ไขความรู้ผิดๆ ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าให้ถูกต้อง และได้รับความรู้พื้นฐานที่ถูกต้องบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า  ถึงแม้ว่าความรู้ส่วนหนึ่งที่ผู้คนในช่วงระยะนี้ครอบครองนั้นจะไม่เฉพาะเจาะจงหรือถูกต้องแม่นยำมากนัก แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ค่อยๆ เริ่มทิ้งขว้างมโนคติที่หลงผิด ความรู้ที่ผิดพลาด และความเข้าใจผิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาไม่รักษามโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของพวกเขาเองเกี่ยวกับพระเจ้าไว้อีกต่อไป  พวกเขาเริ่มต้นเรียนรู้วิธีทิ้งขว้าง—เพื่อทิ้งขว้างสิ่งทั้งหลายที่พบท่ามกลางมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเอง สิ่งทั้งหลายจากความรู้ และสิ่งทั้งหลายจากซาตาน  พวกเขาเริ่มเต็มใจที่จะนบนอบต่อสิ่งที่ถูกต้องและเป็นบวก แม้กระทั่งต่อสิ่งที่มาจากพระวจนะของพระเจ้าและสิ่งที่สอดคล้องกับความจริง  นอกจากนี้ พวกเขายังเริ่มพยายามที่จะได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า เริ่มพยายามที่จะรู้จักและปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ด้วยตัวเอง ยอมรับพระวจนะของพระองค์มาเป็นหลักการของการกระทำของพวกเขา และเป็นพื้นฐานในการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา  ในระหว่างช่วงเวลานี้ ผู้คนยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าโดยไม่รู้ตัว และยอมรับพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว  ขณะที่พวกเขายอมรับการพิพากษา การตีสอน และพระวจนะของพระเจ้า พวกเขากลับกลายมามีความตระหนักรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และสามารถสำนึกรับรู้ได้ว่าพระเจ้าที่พวกเขาเชื่อภายในหัวใจของพวกเขานั้นทรงมีอยู่อย่างแท้จริง  พวกเขารู้สึกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในพระวจนะของพระเจ้า ในประสบการณ์ของพวกเขาและชีวิตของพวกเขาว่าพระเจ้าทรงเฝ้าดูชะตากรรมของมนุษย์เสมอ และทรงนำทางและจัดเตรียมให้มนุษย์เสมอ  พวกเขาค่อยๆ ยืนยันถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้าโดยผ่านทางความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับพระเจ้า  ดังนั้น ก่อนที่พวกเขาจะตระหนัก พวกเขาก็ได้รับรองและเริ่มเชื่อในพระราชกิจของพระเจ้าอย่างหนักแน่นโดยไม่รู้ตัวไปแล้ว และพวกเขาได้รับรองพระวจนะของพระเจ้าไปแล้ว  ทันทีที่ผู้คนรับรองพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาจะปฏิเสธตัวพวกเขาเอง ปฏิเสธมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเอง ปฏิเสธความรู้ของพวกเขาเอง ปฏิเสธการจินตนาการของพวกเขาเองอย่างไม่หยุดยั้ง และในขณะเดียวกันก็ยังแสวงหาว่าความจริงคืออะไรและน้ำพระทัยของพระเจ้าคืออะไรอย่างไม่หยุดยั้งด้วยเช่นกัน  ความรู้ที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระเจ้าค่อนข้างผิวเผินในระหว่างช่วงเวลาแห่งพัฒนาการนี้—พวกเขาไม่สามารถบรรยายความรู้นี้เป็นคำพูดได้อย่างชัดเจนด้วยซ้ำ อีกทั้งพวกเขายังไม่สามารถแสดงความรู้นี้ในแง่ที่เป็นรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงได้—และพวกเขามีเพียงความเข้าใจที่มีพื้นฐานมาจากการรับรู้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อนำมาวางเปรียบเทียบกับสามช่วงระยะก่อนหน้านี้ ชีวิตที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ของผู้คนในช่วงเวลานี้ได้รับการให้น้ำและการจัดหาพระวจนะของพระเจ้าให้เรียบร้อยแล้ว และดังนั้นจึงได้เริ่มผลิใบอ่อนแล้ว  ชีวิตของพวกเขาเป็นเหมือนกับเมล็ดพันธุ์ที่ฝังอยู่ใต้พื้นดิน หลังจากที่ได้รับความชื้นและสารอาหารแล้ว มันจะงอกผ่านดินขึ้นมา และการผลิใบอ่อนของมันจะเป็นตัวแทนของการเกิดชีวิตใหม่  การเกิดนี้ทำให้คนเราสามารถมองเห็นสัญญาณของชีวิต  เมื่อผู้คนมีชีวิต พวกเขาจะเติบโต  ดังนั้น บนรากฐานเหล่านี้—กล่าวคือ การค่อยๆ เดินหน้าไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า การทิ้งขว้างมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเอง การได้รับการทรงนำทางโดยพระเจ้า—ชีวิตของผู้คนจะเติบโตทีละเล็กละน้อยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  การเติบโตนี้ประเมินวัดบนพื้นฐานใด?  การเติบโตนี้ประเมินวัดตามประสบการณ์ที่บุคคลนั้นมีกับพระวจนะของพระเจ้า และความเข้าใจแท้จริงที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพบว่าเป็นการยากอย่างยิ่งที่จะใช้คำพูดของพวกเขาเองในการอธิบายอย่างถูกต้องแม่นยำถึงความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าและเนื้อแท้ของพระองค์ในระหว่างช่วงเวลาแห่งการเติบโตนี้ แต่ผู้คนกลุ่มนี้ก็ไม่เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความยินดีโดยผ่านทางการชื่นชมพระคุณของพระเจ้าตามความชอบส่วนตัว หรือเต็มใจที่จะเชื่อในพระเจ้าเพื่อไล่ตามเสาะหาจุดประสงค์ของพวกเขาเองในการได้รับพระคุณของพระองค์อีกต่อไป  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาชีวิตที่ดำเนินตามพระวจนะของพระเจ้า และกลายเป็นไพร่ฟ้าที่ได้รับความรอดของพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามั่นใจและพร้อมที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า  นี่คือเครื่องหมายของผู้ที่อยู่ในช่วงระยะแห่งการเติบโต

ถึงแม้ว่าผู้คนในช่วงระยะนี้จะมีความรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอยู่บ้าง แต่ความรู้นี้ก็พร่ามัวและเลือนรางอย่างมาก  ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถบรรยายสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน แต่พวกเขาก็รู้สึกว่าพวกเขาได้รับบางสิ่งบางอย่างภายในแล้ว เพราะพวกเขาได้รับความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าโดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้ามาบ้างแล้ว  อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ค่อนข้างผิวเผิน และยังอยู่ในช่วงระยะชั้นต้น  ผู้คนกลุ่มนี้มีมุมมองที่เฉพาะเจาะจงซึ่งพวกเขาใช้ปฏิบัติต่อพระคุณของพระเจ้า ซึ่งมุมมองนี้ได้รับการแสดงออกผ่านความเปลี่ยนแปลงของเป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา และวิธีการที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้น  พวกเขาได้เห็นแล้วในพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า ในข้อพึงประสงค์ทุกประเภทของพระองค์ต่อมนุษย์ และในสิ่งที่พระองค์ทรงเผยเกี่ยวกับมนุษย์ ว่าหากพวกเขายังคงไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง หากพวกเขายังคงไม่พยายามเข้าสู่ความเป็นจริง หากพวกเขายังคงไม่พยายามทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยและรู้จักพระเจ้าในขณะที่พวกเขาได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะสูญเสียความหมายของการเชื่อในพระเจ้า  พวกเขามองเห็นว่า ไม่ว่าพวกเขาจะชื่นชมพระคุณของพระเจ้ามากเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย หรือรู้จักพระเจ้าได้ และเห็นว่าหากผู้คนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้พระคุณของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะไม่มีวันสัมฤทธิ์การเติบโต ได้รับชีวิต หรือสามารถได้รับความรอดได้  กล่าวโดยสรุปคือ หากบุคคลหนึ่งไม่สามารถได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงและไร้ความสามารถที่จะรู้จักพระเจ้าโดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะคงอยู่ในช่วงระยะของทารกชั่วนิรันดร์ และไม่มีวันคืบหน้าแม้เพียงหนึ่งก้าวในการเติบโตของชีวิตของพวกเขา  หากเจ้าดำรงอยู่ในช่วงระยะของทารกตลอดไป หากเจ้าไม่มีวันเข้าสู่ความเป็นจริงของพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้าไม่มีวันมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของเจ้า หากเจ้าไม่มีวันครอบครองการเชื่อและความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วจะมีความเป็นไปได้ใดๆ หรือไม่ที่พวกเจ้าจะได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์โดยพระเจ้า?  ดังนั้น ผู้ใดก็ตามที่เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ผู้ใดก็ตามที่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของพวกเขา ผู้ใดก็ตามที่เริ่มยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า ผู้ใดก็ตามที่อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลง และผู้ใดก็ตามที่มีหัวใจที่กระหายความจริง ผู้ที่มีความอยากที่จะรู้จักพระเจ้า และความอยากที่จะยอมรับความรอดของพระเจ้า เหล่านี้คือผู้ที่ครอบครองชีวิตอย่างแท้จริง  นี่คือบุคคลประเภทที่สี่อย่างแท้จริง นั่นคือประเภทของเด็กที่กำลังเติบโต ผู้ที่อยู่ในช่วงระยะของวัยเด็ก

ประเภทที่ห้า: ช่วงระยะการเติบโตเต็มที่ของชีวิต หรือช่วงระยะของผู้ใหญ่

หลังจากได้รับประสบการณ์และเดินเตาะแตะผ่านช่วงระยะของวัยเด็ก ซึ่งเป็นช่วงระยะของการเติบโตที่เต็มไปด้วยการขึ้นลงซ้ำๆ แล้ว ชีวิตของผู้คนก็จะกลายเป็นมีเสถียรภาพขึ้น จังหวะก้าวเดินไปข้างหน้าของพวกเขาไม่หยุดยั้งเป็นครั้งคราวอีกต่อไป และไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางพวกเขาได้  ถึงแม้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะยังคงขรุขระและตะปุ่มตะป่ำ แต่พวกเขาก็ไม่อ่อนแอหรือขลาดกลัวอีกต่อไป และพวกเขาไม่คลำทางไปข้างหน้าหรือไม่รู้เหนือรู้ใต้อีกต่อไป  รากฐานของพวกเขาหยั่งรากลึกภายในประสบการณ์จริงกับพระวจนะของพระเจ้า และหัวใจของพวกเขาได้รับการดึงดูดจากความทรงเกียรติและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า  พวกเขากระหายที่จะติดตามย่างพระบาทของพระเจ้า ที่จะรู้เนื้อแท้ของพระเจ้า และที่จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า

ผู้คนในช่วงระยะนี้รู้อย่างชัดเจนแล้วว่าใครที่พวกเขาเชื่อ และพวกเขารู้อย่างชัดเจนว่าเหตุใดพวกเขาจึงควรเชื่อในพระเจ้าและความหมายของชีวิตของพวกเขาเอง และพวกเขารู้อย่างชัดเจนว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงแสดงออกคือความจริง  ในช่วงเวลาหลายปีที่พวกเขาได้รับประสบการณ์ พวกเขาระลึกได้ว่าหากปราศจากการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า บุคคลหนึ่งจะไม่มีวันสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยหรือรู้จักพระเจ้าได้ และจะไม่มีวันสามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างแท้จริง  ภายในหัวใจของผู้คนเหล่านี้คือความอยากอย่างยิ่งที่จะได้รับการทดสอบจากพระเจ้า เพื่อที่พวกเขาอาจมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าในขณะที่ได้รับการทดสอบ และเพื่อบรรลุถึงความรักที่บริสุทธิ์มากขึ้น และในขณะเดียวกันก็สามารถเข้าใจและรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงยิ่งขึ้น  ผู้คนในช่วงระยะนี้ได้อำลาช่วงระยะของทารกและช่วงระยะของการชื่นชมพระคุณของพระเจ้าและการกินขนมปังของพวกเขาจนพอใจอย่างสมบูรณ์แล้ว  พวกเขาไม่วางความหวังอันฟุ้งเฟ้อไว้ที่การทำให้พระเจ้าทรงทนยอมรับและแสดงความปรานีต่อพวกเขาอีกต่อไป  ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับมั่นใจและหวังที่จะได้รับการตีสอนและการพิพากษาอย่างไม่หยุดยั้งจากพระเจ้า เพื่อที่จะแยกตัวพวกเขาเองออกจากอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  ความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้า และการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา หรือเป้าหมายสุดท้ายของการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา ทั้งหมดต่างชัดเจนอย่างยิ่งในหัวใจของพวกเขา  ดังนั้น ผู้คนในช่วงระยะของผู้ใหญ่ได้อำลาช่วงระยะของความเชื่อที่คลุมเครือ ช่วงระยะที่พวกเขาอาศัยพระคุณเพื่อความรอด ช่วงระยะของชีวิตที่ยังไม่เติบโตเต็มที่และไม่สามารถทนต่อการทดสอบ ช่วงระยะของความพร่ามัว ช่วงระยะของการคลำทาง ช่วงระยะของการไม่มีเส้นทางให้เดินบ่อยครั้ง ช่วงเวลาที่ไม่มั่นคงของการสลับไปมาระหว่างความร้อนและความเย็นอย่างฉับพลัน และช่วงระยะที่คนเราติดตามพระเจ้าโดยที่ปิดตาข้างหนึ่ง อย่างสมบูรณ์แล้ว  ผู้คนประเภทนี้ได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระเจ้าบ่อยครั้ง และมีส่วนร่วมในการสมาคมและการสื่อสารที่แท้จริงกับพระเจ้าบ่อยครั้ง  คนเราสามารถพูดได้ว่าผู้คนที่ใช้ชีวิตในช่วงระยะนี้ได้จับความเข้าใจส่วนหนึ่งของน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว ว่าพวกเขาสามารถพบหลักธรรมของความจริงในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ และว่าพวกเขารู้ว่าจะทำให้สมดังสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนาอย่างไร  นอกจากนั้น พวกเขายังได้พบเส้นทางแห่งการรู้จักพระเจ้าแล้ว และได้เริ่มเป็นพยานต่อความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าแล้ว  ในช่วงระหว่างกระบวนการแห่งการเติบโตทีละน้อย พวกเขาได้รับความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าทีละน้อย นั่นคือ เกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าในการทรงสร้างมนุษยชาติ และเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าในการบริหารจัดการมนุษยชาติ  พวกเขายังค่อยๆ ได้รับความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าในแง่ของเนื้อแท้ด้วยเช่นกัน  ไม่มีมโนคติที่หลงผิดหรือการจินตนาการใดของมนุษย์ที่สามารถแทนที่ความรู้นี้ได้  ในขณะที่คนเราไม่สามารถพูดได้ว่าในช่วงระยะที่ห้านั้นชีวิตของบุคคลหนึ่งเติบโตเต็มที่อย่างสมบูรณ์ หรือว่าบุคคลนี้มีความชอบธรรมหรือครบบริบูรณ์  ถึงอย่างนั้น บุคคลประเภทนี้ก็ได้ก้าวไปข้างหน้าสู่ช่วงระยะของการเติบโตเต็มที่ในชีวิตแล้ว และสามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า มายืนประจันกับพระวจนะของพระเจ้าและเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้แล้ว  เพราะบุคคลประเภทนี้ได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้ามากมายยิ่งนัก ได้รับประสบการณ์กับการทดสอบนับไม่ถ้วน และได้รับประสบการณ์กับเหตุการณ์แห่งการบ่มวินัย การพิพากษา และการตีสอนนับไม่ถ้วนจากพระเจ้า การนบนอบต่อพระเจ้าของพวกเขาจึงไม่ใช่การนบนอบแบบสัมพัทธ์ แต่เป็นการนบนอบที่แน่นอน  ความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าได้แปลงรูปจากภาวะที่ไม่รู้ตัวเป็นความรู้ที่ชัดเจนและแม่นยำ จากผิวเผินเป็นลึกซึ้ง จากเบลอและพร่ามัวเป็นพิถีพิถันและจับต้องได้  พวกเขาได้เปลี่ยนจากการคลำทางอย่างพากเพียรและการแสวงหาในเชิงรับเป็นความรู้อย่างไม่ต้องพยายามและการเป็นพยานในเชิงรุก  สามารถกล่าวได้ว่าผู้คนในช่วงระยะนี้ครอบครองความเป็นจริงความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ว่าพวกเขาได้ก้าวไปบนเส้นทางสู่ความเพียบพร้อม เช่นเดียวกับเส้นทางที่เปโตรเดิน  นี่คือบุคคลชนิดที่ห้า ผู้ที่ใช้ชีวิตในช่วงระยะของการเติบโตเต็มที่—ช่วงระยะของผู้ใหญ่

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

ก่อนหน้า: การรู้จักพระเจ้า 2

ถัดไป: การรู้จักพระเจ้า 4

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger