การรู้จักพระเจ้า 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 31

เพียงหลังจากที่พระองค์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์แล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงเริ่มมีส่วนร่วมกับมนุษย์และทรงสนทนากับมนุษย์ และพระอุปนิสัยของพระองค์ก็ได้เริ่มถูกแสดงออกต่อมนุษย์  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่พระเจ้าได้ทรงมีส่วนร่วมกับมวลมนุษย์เป็นครั้งแรกนั้นพระองค์ก็ได้ทรงเริ่มทำการเปิดเผยเนื้อแท้ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นต่อมนุษย์โดยไม่มีการหยุดชะงัก  ไม่ว่าผู้คนยุครุ่นก่อนๆ หรือผู้คนในปัจจุบันจะสามารถมองเห็นหรือเข้าใจมันหรือไม่ก็ตาม พระเจ้าตรัสกับมนุษย์และทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ ทรงเผยพระอุปนิสัยของพระองค์และทรงแสดงออกถึงเนื้อแท้ของพระองค์—นี่คือข้อเท็จจริง และไม่มีบุคคลใดสามารถปฏิเสธได้  นี่ยังหมายความอีกด้วยว่า พระอุปนิสัยของพระเจ้า เนื้อแท้ของพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนั้นได้ถูกส่งออกไปและเปิดเผยอย่างสม่ำเสมอในขณะที่พระองค์ทรงพระราชกิจและมีส่วนร่วมกับมนุษย์  พระองค์ไม่เคยทรงปกปิดหรือซ่อนเร้นสิ่งใดจากมนุษย์ แต่กลับทรงทำให้พระอุปนิสัยของพระองค์เองเป็นที่เปิดเผยและทรงปลดปล่อยพระอุปนิสัยของพระองค์เองออกไปโดยไม่ทรงระงับสิ่งใดไว้  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าทรงหวังว่ามนุษย์จะสามารถรู้จักพระองค์และเข้าใจพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระองค์ได้  พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้มนุษย์ปฏิบัติต่อพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระองค์ว่าเป็นความล้ำลึกนิรันดร์ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ให้มวลมนุษย์ถือว่าพระเจ้าทรงเป็นปริศนาที่ไม่มีวันสามารถไขได้  มีเพียงเมื่อมวลมนุษย์รู้จักพระเจ้าเท่านั้นมนุษย์จึงจะสามารถรู้จักหนทางไปข้างหน้าและยอมรับการทรงนำของพระเจ้าได้ และมีเพียงมวลมนุษย์เช่นนี้เท่านั้นที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า และดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง ท่ามกลางพรจากพระเจ้าได้อย่างแท้จริง

พระวจนะและพระอุปนิสัยที่พระเจ้าได้ทรงส่งออกไปและทรงเปิดเผยไปนั้นเป็นตัวแทนน้ำพระทัยของพระองค์ และสิ่งเหล่านั้นยังเป็นตัวแทนเนื้อแท้ของพระองค์อีกด้วย  เมื่อพระเจ้าทรงมีส่วนร่วมกับมนุษย์ ไม่ว่าพระองค์จะตรัสหรือทรงทำสิ่งใด หรือพระองค์จะทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยใดก็ตาม และไม่ว่ามนุษย์จะมองเห็นสิ่งใดจากเนื้อแท้ของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นก็ตาม สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นตัวแทนน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับมนุษย์  ไม่ว่ามนุษย์จะสามารถตระหนัก จับใจความ หรือเข้าใจได้มากเพียงใดก็ตาม ทั้งหมดนั้นเป็นตัวแทนน้ำพระทัยของพระเจ้า—น้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์  การนี้ไม่ต้องสงสัยใดๆ เลย!  น้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์คือการที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนเป็นอย่างไร พระองค์ทรงพึงประสงค์ให้พวกเขาทำสิ่งใด พระองค์ทรงพึงประสงค์ให้พวกเขาดำรงชีวิตอย่างไร และพระองค์ทรงพึงประสงค์ให้พวกเขามีความสามารถในการทำให้การปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จลุล่วงไปอย่างไร  สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกจากเนื้อแท้ของพระเจ้าได้ใช่หรือไม่?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงส่งพระอุปนิสัยของพระองค์และทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นออกไปในเวลาเดียวกันกับที่พระองค์ทรงตั้งข้อเรียกร้องต่อมนุษย์  ไม่มีความเท็จ ไม่มีการเสแสร้ง ไม่มีการปกปิด และไม่มีการแต่งเติมใดๆ  แต่ทว่าเหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถรู้จัก และเหตุใดมนุษย์จึงไม่เคยมีความสามารถที่จะล่วงรู้ถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้อย่างชัดเจน?  เหตุใดมนุษย์จึงไม่เคยตระหนักถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า?  สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยและส่งออกไปนั้นคือสิ่งที่พระเจ้าพระองค์เองทรงมีและทรงเป็น นั่นคือทุกเศษเสี้ยวและทุกเหลี่ยมมุมจากพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระองค์—แล้วเหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถมองเห็นได้เล่า?  เหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถมีความรู้ที่ครบถ้วนได้เล่า?  มีเหตุผลสำคัญข้อหนึ่งสำหรับการนี้  แล้วเหตุผลนั้นคืออะไรเล่า?  นับตั้งแต่ยุคแห่งการทรงสร้าง มนุษย์ไม่เคยปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะพระเจ้า  ในยุคแรกเริ่มสุดนั้น ไม่สำคัญว่าพระเจ้าจะได้ทรงทำสิ่งใดเกี่ยวกับมนุษย์—มนุษย์ผู้ซึ่งเพิ่งได้ถูกสร้างขึ้นมาเท่านั้น—มนุษย์ก็ได้ปฏิบัติต่อพระเจ้าเสมือนไม่ใช่สิ่งใดนอกจากสหายผู้หนึ่ง เป็นใครบางคนที่มีไว้ให้พึ่งพา และมนุษย์ไม่มีความรู้หรือความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าเลย  กล่าวคือ มนุษย์ไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ถูกส่งออกมาโดยองค์ผู้ทรงเป็นนี้—องค์ผู้ทรงเป็นซึ่งเขาพึ่งพาและมองเห็นว่าเป็นสหายของเขาองค์นี้นั้น—คือเนื้อแท้ของพระเจ้า อีกทั้งเขาไม่รู้ว่าองค์ผู้ทรงเป็นนี้ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง  กล่าวง่ายๆ ได้ว่า ผู้คนในเวลานั้นจำพระเจ้าไม่ได้เลย  พวกเขาไม่รู้ว่าฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์ และพวกเขาไม่รู้เท่าทันว่าพระองค์ทรงมาจากที่ใด และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่รู้เท่าทันว่าพระองค์ทรงเป็นสิ่งใด  แน่นอนว่าเมื่อย้อนกลับไป ณ ตอนนั้น พระเจ้าไม่ได้ทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์รู้จักหรือจับใจความพระองค์ หรือให้เข้าใจทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงทำ หรือให้มีความรู้เกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระองค์ เพราะเหล่านี้คือยุคแรกเริ่มสุดหลังจากการทรงสร้างมวลมนุษย์  เมื่อพระเจ้าได้ทรงเริ่มการตระเตรียมเพื่อพระราชกิจแห่งยุคธรรมบัญญัติ พระเจ้าได้ทรงทำบางสิ่งบางอย่างแก่มนุษย์ และยังได้ทรงเริ่มตั้งข้อเรียกร้องบางอย่างจากมนุษย์ โดยตรัสบอกมนุษย์ถึงวิธีที่จะถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าและนมัสการพระเจ้า  เมื่อนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงได้รับแนวคิดเรียบง่ายบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า และเมื่อนั้นเท่านั้นเขาจึงได้รู้จักความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า และได้รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งได้ทรงสร้างมวลมนุษย์  เมื่อมนุษย์ได้รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าและมนุษย์เป็นมนุษย์ ก็ได้เกิดระยะห่างที่แน่นอนขึ้นระหว่างเขากับพระเจ้า ถึงกระนั้นพระเจ้าก็ยังไม่ได้ทรงขอให้มนุษย์มีความรู้ยิ่งใหญ่หรือความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับพระองค์  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงตั้งข้อพึงประสงค์ที่แตกต่างกันต่อมนุษย์บนพื้นฐานของช่วงระยะและรูปการณ์แวดล้อมของพระราชกิจของพระองค์  พวกเจ้ามองเห็นสิ่งใดในการนี้?  พวกเจ้าล่วงรู้พระอุปนิสัยของพระเจ้าในแง่มุมใด?  พระเจ้าทรงเป็นจริงหรือไม่?  ข้อพึงประสงค์ต่อมนุษย์ของพระเจ้าเหมาะสมหรือไม่?  ในระหว่างยุคแรกเริ่มสุดหลังจากการทรงสร้างมวลมนุษย์ของพระเจ้า เมื่อพระเจ้ายังไม่ได้ทรงดำเนินพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยและการทำให้มีความเพียบพร้อมกับมนุษย์  และยังไม่ได้ตรัสพระวจนะกับมนุษย์มากมายหลายคำนักนั้น พระองค์ได้ทรงขอจากมนุษย์เพียงเล็กน้อย  ไม่ว่ามนุษย์จะได้ทำสิ่งใดหรือเขาจะได้ประพฤติตนอย่างไร—ถึงแม้ว่าเขาจะได้ทำบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคือง—พระเจ้าก็ได้ประทานอภัยและมองข้ามมันไปทั้งหมด  นี่เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงรู้ถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงมอบให้มนุษย์และสิ่งที่อยู่ภายในตัวมนุษย์ และด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงได้ทรงรู้มาตรฐานของข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ควรจะตั้งกับมนุษย์  ถึงแม้ว่ามาตรฐานของข้อพึงประสงค์ของพระองค์นั้นจะต่ำมากในเวลานั้น แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพระอุปนิสัยของพระองค์จะไม่ยิ่งใหญ่ หรือว่าพระปรีชาญาณและมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์จะเป็นแค่เพียงพระวจนะที่ว่างเปล่า  สำหรับมนุษย์นั้น มีเพียงหนทางหนึ่งเท่านั้นที่จะรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและพระเจ้าพระองค์เอง นั่นก็คือ โดยการติดตามขั้นตอนต่างๆ ในพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์และความรอดของมวลมนุษย์ของพระเจ้า และการยอมรับพระวจนะที่พระเจ้าตรัสกับมวลมนุษย์  ทันทีที่มนุษย์รู้จักสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า เขาจะยังคงขอให้พระเจ้าทรงแสดงตัวตนจริงของพระองค์ให้เขาเห็นอยู่หรือไม่?  ไม่ มนุษย์คงจะไม่ขอ และคงจะไม่แม้กระทั่งกล้าขอ เพราะเมื่อได้จับใจความพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นแล้วนั้น มนุษย์ก็จะได้มองเห็นพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง และตัวตนจริงของพระองค์แล้ว  นี่คือบทอวสานที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ขณะที่พระราชกิจและแผนของพระเจ้าดำเนินไปอย่างไม่หยุด และหลังจากที่พระเจ้าได้ทรงตั้งพันธสัญญารุ้งกับมนุษย์ ให้เป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะไม่มีวันทรงทำลายโลกโดยใช้น้ำท่วมอีกแล้วนั้น พระเจ้าก็ได้ทรงมีพระประสงค์ที่เร่งด่วนเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ได้มาซึ่งบรรดาผู้ที่สามารถมีจิตใจเดียวกันกับพระองค์  ดังนั้น พระองค์จึงได้ทรงมีความพึงปรารถนาที่จำเป็นเร่งด่วนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วยเช่นกันที่จะได้มาซึ่งบรรดาผู้ที่สามารถทำตามน้ำพระทัยของพระองค์บนแผ่นดินโลกได้ และยิ่งไปกว่านั้น ทรงปรารถนามากยิ่งขึ้นที่จะได้มาซึ่งกลุ่มผู้คนที่สามารถเป็นอิสระจากกำลังบังคับของความมืดมิดและไม่ถูกซาตานผูกมัด ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะสามารถเป็นคำพยานต่อพระองค์บนแผ่นดินโลกได้  การได้รับกลุ่มผู้คนเช่นนี้เป็นความปรารถนาที่ทรงมีมานานของพระเจ้า มันคือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงรอคอยมาตลอดนับตั้งแต่เวลาแห่งการทรงสร้าง  ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเป็นการที่พระเจ้าทรงใช้น้ำท่วมเพื่อทำลายโลก หรือว่าเป็นพันธสัญญาที่พระองค์ทรงมีกับมนุษย์นั้น น้ำพระทัย กรอบความคิด แผน และความหวังทั้งหมดของพระเจ้ายังคงเป็นเหมือนเดิม  สิ่งที่พระองค์ได้ทรงต้องประสงค์ที่จะทำ สิ่งที่พระองค์ได้ทรงโหยหามานานก่อนเวลาแห่งการทรงสร้าง ก็คือการได้รับคนเหล่านั้นท่ามกลางมวลมนุษย์ ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงปรารถนาที่จะได้มา—ที่จะได้มาซึ่งกลุ่มผู้คนที่สามารถจับใจความและรู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์และเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ กลุ่มผู้ซึ่งจะสามารถนมัสการพระองค์ได้  กลุ่มผู้คนเช่นนั้นคงจะสามารถเป็นคำพยานต่อพระองค์ได้อย่างแท้จริง และสามารถกล่าวได้ว่า พวกเขาคงจะเป็นคนสนิทของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 32

พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่อับราฮัม

ปฐมกาล 17:15-17  พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “ส่วนซารายภรรยาของเจ้านั้น เจ้าอย่าเรียกชื่อนางว่า ซาราย แต่จงเรียกชื่อนางว่า ซาราห์ เราจะอวยพรนาง และยิ่งกว่านั้นอีก โดยนางนี่แหละ เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งแก่เจ้า เราจะอวยพรนาง และนางจะให้กำเนิดชนหลายชาติ กษัตริย์ของชนหลายชาติจะมาจากนาง” อับราฮัมจึงซบหน้าลงหัวเราะและคิดในใจว่า “ชายผู้มีอายุหนึ่งร้อยปีแล้วจะมีบุตรได้หรือ?  ซาราห์ผู้มีอายุเก้าสิบปีแล้วจะคลอดบุตรหรือ?”

ปฐมกาล 17:21-22  “ฝ่ายพันธสัญญาของเรา เราจะตั้งไว้กับอิสอัคผู้ซึ่งซาราห์จะคลอดให้แก่เจ้าปีหน้าในฤดูนี้” เมื่อพระองค์ตรัสกับท่านเสร็จแล้ว พระเจ้าก็เสด็จจากอับราฮัมขึ้นไป

ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางพระราชกิจที่พระเจ้าตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะทำได้

ดังนั้น พวกเจ้าทุกคนก็เพิ่งได้รับฟังเรื่องราวของอับราฮัมไปหรือมิใช่?  พระเจ้าได้ทรงเลือกเขาหลังจากที่น้ำท่วมได้ทำลายโลก ชื่อของเขาคืออับราฮัม และเมื่อเขามีอายุหนึ่งร้อยปี และซาราห์ภรรยาของเขาอายุเก้าสิบปี พระสัญญาของพระเจ้าก็ได้มาถึงเขา  พระเจ้าได้ทรงทำพระสัญญาอะไรกับเขา?  พระองค์ได้ทรงสัญญาในสิ่งที่ได้ถูกอ้างอิงถึงในข้อพระคัมภีร์ว่า “เราจะอวยพรนาง และยิ่งกว่านั้นอีก โดยนางนี่แหละ เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งแก่เจ้า”  อะไรคือภูมิหลังที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่เขา?  ข้อพระคัมภีร์จัดเตรียมเรื่องราวต่อไปนี้ ความว่า “อับราฮัมจึงซบหน้าลงหัวเราะและคิดในใจว่า ‘ชายผู้มีอายุหนึ่งร้อยปีแล้วจะมีบุตรได้หรือ?  ซาราห์ผู้มีอายุเก้าสิบปีแล้วจะคลอดบุตรหรือ?’”  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คู่สามีภรรยาสูงวัยนี้แก่เกินไปที่จะให้กำเนิดลูกๆ  และอับราฮัมทำสิ่งใดหลังจากที่พระเจ้าได้ทรงทำพระสัญญาของพระองค์กับเขา?  เขาซบหน้าลงหัวเราะและกล่าวกับตัวเองว่า “ชายผู้มีอายุหนึ่งร้อยปีแล้วจะมีบุตรได้หรือ?”  อับราฮัมเชื่อว่ามันเป็นไปไม่ได้—ซึ่งหมายความว่าเขาเชื่อว่าพระสัญญาของพระเจ้าที่มีต่อเขานั้นไม่ใช่สิ่งใดที่มากไปกว่าเรื่องตลก  จากมุมมองของมนุษย์แล้วนั้น นี่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์ไม่อาจสัมฤทธิ์ได้ และในทำนองเดียวกันนั้นก็ไม่อาจสัมฤทธิ์ได้โดยพระเจ้าและเป็นไปไม่ได้สำหรับพระเจ้า  บางทีสำหรับอับราฮัม นี่อาจเป็นเรื่องน่าหัวเราะว่า “พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ แต่ทว่าดูเหมือนว่าพระองค์จะไม่ทรงตระหนักแต่อย่างใดว่าใครบางคนที่แก่ถึงเพียงนั้นจะไม่สามารถให้กำเนิดลูกๆ ได้ พระเจ้าทรงดำริว่าพระองค์ทรงสามารถทำให้ข้าพระองค์ให้กำเนิดลูกได้ พระองค์ตรัสว่าพระองค์จะประทานลูกให้ข้าพระองค์—นั่นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!”  ดังนั้น อับราฮัมจึงซบหน้าลงและหัวเราะ พลางคิดกับตัวเองว่า “เป็นไปไม่ได้—พระเจ้ากำลังทรงล้อฉันเล่น เรื่องนี้ไม่สามารถเป็นจริงได้!”  เขาไม่ได้จริงจังกับพระวจนะของพระเจ้า  ดังนั้น ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้วอับราฮัมเป็นมนุษย์ประเภทใด?  (ชอบธรรม)  มีระบุไว้ตรงไหนว่าเขาเป็นมนุษย์ที่ชอบธรรม?  พวกเจ้าคิดว่าทุกคนที่พระเจ้าทรงเรียกใช้นั้นชอบธรรมและมีความเพียบพร้อม ว่าพวกเขาล้วนเป็นผู้คนที่เดินกับพระเจ้า  เจ้ายึดตามคำสอน!  พวกเจ้าต้องมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่อพระเจ้าทรงกำหนดนิยามใครบางคนนั้น พระองค์ไม่ทรงทำเช่นนั้นโดยพลการ  ณ ที่นี้ พระเจ้าไม่ได้ตรัสว่าอับราฮัมชอบธรรม  ในพระทัยของพระองค์นั้น พระเจ้าทรงมีมาตรฐานต่างๆ เพื่อวัดทุกบุคคล  ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะไม่ได้ตรัสว่าอับราฮัมเป็นบุคคลประเภทใด แต่ในแง่ของการประพฤติของเขาแล้วนั้น อับราฮัมมีความเชื่อในพระเจ้าแบบใด?  มันเป็นนามธรรมเล็กน้อยหรือไม่?  หรือเขามีความเชื่อที่ยิ่งใหญ่?  ไม่ เขาไม่ใช่เลย!  การหัวเราะและความคิดของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นอย่างไร ดังนั้น การที่พวกเจ้าเชื่อว่าเขาชอบธรรมนั้นเป็นเพียงแต่การคิดไปเองจากจินตนาการของพวกเจ้า มันเป็นการนำคำสอนไปใช้อย่างมืดบอด และมันเป็นการประเมินที่ขาดความรับผิดชอบ  พระเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นการหัวเราะของอับราฮัมและการแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ ของเขาหรือไม่?  พระองค์ได้ทรงรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นหรือไม่?  พระเจ้าได้ทรงรู้  แต่พระเจ้าจะทรงปรับเปลี่ยนสิ่งที่พระองค์ได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะทำหรือไม่?  ไม่!  เมื่อพระเจ้าได้ทรงวางแผนและได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าพระองค์จะเลือกมนุษย์คนนี้ มันก็สำเร็จลุล่วง  ไม่ว่าความคิดของมนุษย์หรือการประพฤติของเขาก็จะไม่มีอิทธิพลหรือแทรกแซงพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย พระเจ้าจะไม่ทรงเปลี่ยนแปลงแผนของพระองค์โดยสุดแต่พระทัย อีกทั้งพระองค์ก็จะไม่ทรงเปลี่ยนแปลงหรือล้มแผนของพระองค์อย่างหุนหันพลันแล่นเนื่องจากการประพฤติของมนุษย์ แม้กระทั่งการประพฤติที่อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์  เช่นนั้นแล้ว สิ่งใดเล่าที่ได้เขียนไว้ในปฐมบท 17-21-22?  “‘ฝ่ายพันธสัญญาของเรา เราจะตั้งไว้กับอิสอัคผู้ซึ่งซาราห์จะคลอดให้แก่เจ้าปีหน้าในฤดูนี้’ เมื่อพระองค์ตรัสกับท่านเสร็จแล้ว พระเจ้าก็เสด็จจากอับราฮัมขึ้นไป” พระเจ้าไม่ได้ทรงให้ความสนพระทัยต่อสิ่งที่อับราฮัมคิดหรือกล่าวแม้แต่น้อย  อะไรคือเหตุผลสำหรับความไม่สนพระทัยของพระองค์?  มันเป็นเพราะ ณ เวลานั้น พระเจ้าไม่ได้ทรงขอให้มนุษย์มีความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ หรือให้เขาสามารถมีความรู้ที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับพระเจ้า หรือยิ่งไปกว่านั้น ให้เขาสามารถเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำและตรัส  ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงไม่ได้ทรงขอให้มนุษย์เข้าใจอย่างเต็มที่ในสิ่งที่พระองค์ได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะทำ หรือผู้คนที่พระองค์ได้ทรงมุ่งมั่นที่จะเลือก หรือหลักการทั้งหลายในการกระทำของพระองค์ เพราะวุฒิภาวะของมนุษย์นั้นแค่ไม่เพียงพอ  ณ เวลานั้น พระเจ้าทรงถือว่าสิ่งใดก็ตามที่อับราฮัมทำและการประพฤติตนของเขาอย่างไรก็ตามเป็นสิ่งที่ปกติ  พระองค์ไม่ได้ทรงกล่าวโทษหรือตำหนิ แต่แค่ได้ตรัสว่า “ซาราห์จะคลอดอิสอัคให้แก่เจ้าปีหน้าในฤดูนี้”  สำหรับพระเจ้าแล้ว หลังจากที่พระองค์ได้ทรงประกาศพระวจนะเหล่านี้ เรื่องนี้จะได้เป็นจริงทีละขั้นตอน ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น สิ่งที่จะถูกทำให้สำเร็จลุล่วงโดยแผนของพระองค์ได้สัมฤทธิ์ผลไปแล้ว  หลังจากที่การจัดการเตรียมการสำหรับการนี้ได้ครบบริบูรณ์ไปแล้ว พระเจ้าก็ได้เสด็จจากไป  สิ่งที่มนุษย์ทำหรือคิด สิ่งที่มนุษย์เข้าใจ แผนต่างๆ ของมนุษย์—ไม่มีสิ่งใดในการนี้ที่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับพระเจ้า  ทุกสิ่งทุกอย่างก้าวหน้าไปตามแผนของพระเจ้า โดยสอดคล้องกับเวลาและช่วงระยะที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้  เช่นนี้เองคือหลักการแห่งพระราชกิจของพระเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงแทรกแซงในสิ่งใดก็ตามที่มนุษย์คิดหรือรู้ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ไม่ทรงละเลยแผนของพระองค์หรือละทิ้งพระราชกิจของพระองค์เพียงเพราะมนุษย์ไม่เชื่อหรือไม่เข้าใจ  ด้วยเหตุนี้ข้อเท็จจริงทั้งหลายสำเร็จลุล่วงไปตามแผนและพระดำริของพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่พวกเรามองเห็นอย่างแม่นยำในพระคัมภีร์ กล่าวคือ พระเจ้าได้ทรงทำให้อิสอัคคลอดในเวลาที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้  ข้อเท็จจริงเหล่านี้พิสูจน์ว่าพฤติกรรมและการประพฤติของมนุษย์ได้ขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า!  ความเชื่อในพระเจ้าอันน้อยนิดของมนุษย์ และมโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของเขาเกี่ยวกับพระเจ้าส่งผลกระทบต่อพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่?  ไม่ สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ส่งผลกระทบเลย!  ไม่แม้แต่นิดเดียว!  แผนการบริหารจัดการของพระเจ้าไม่ได้รับผลกระทบจากมนุษย์ เรื่องราว หรือสิ่งแวดล้อมใดเลย  ทั้งหมดที่พระเจ้าตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะทำก็จะครบบริบูรณ์และสำเร็จลุล่วงไปตรงเวลาและตามแผนของพระองค์ และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถแทรกแซงพระราชกิจของพระองค์ได้  พระเจ้าทรงเพิกเฉยต่อบางแง่มุมจากความโง่เขลาและไม่รู้เท่าทันของมนุษย์ และแม้กระทั่งบางแง่มุมจากการต้านทานและมโนคติที่หลงผิดต่อพระองค์ของมนุษย์ และพระองค์ทรงพระราชกิจที่พระองค์ต้องทรงทำไม่ว่าอย่างไรก็ตาม  นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า และมันคือภาพสะท้อนแห่งฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 33

อับราฮัมถวายอิสอัค

ปฐมกาล 22:2-3  พระองค์ตรัสว่า “จงพาบุตรของเจ้าคืออิสอัค บุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก ไปยังดินแดนโมริยาห์ และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องบูชา บนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า” อับราฮัมจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ผูกอานลาของท่านพาคนใช้หนุ่มไปกับท่านด้วยสองคนกับอิสอัคบุตรของท่าน ท่านตัดฟืนสำหรับเครื่องบูชา แล้วเดินทางไปยังที่ซึ่งพระเจ้าทรงบอกแก่ท่าน

ปฐมกาล 22:9-10  เมื่อเขาทั้งสองมาถึงที่ซึ่งพระเจ้าตรัสบอกเขาไว้ อับราฮัมก็สร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียงฟืนเป็นระเบียบ แล้วมัดอิสอัคบุตรชายวางไว้บนแท่นบูชาบนฟืน แล้วอับราฮัมก็ยื่นมือจับมีดจะฆ่าบุตรชาย

พระราชกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการของพระเจ้าและความรอดของมวลมนุษย์เริ่มต้นด้วยการที่อับราฮัมพลีอุทิศอิสอัค

พระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสกับอับราฮัมได้ถูกทำให้ลุล่วงไปด้วยการทรงมอบบุตรชายคนหนึ่งให้อับราฮัม  นี่ไม่ได้หมายความว่าแผนของพระเจ้าได้หยุด ณ ที่นี้ ในทางตรงกันข้าม แผนที่งดงามของพระเจ้าในการบริหารจัดการและความรอดของมวลมนุษย์เพิ่งจะได้เริ่มต้นขึ้นเท่านั้น และการอวยพรของพระองค์ให้อับราฮัมมีบุตรชายคนหนึ่งก็เป็นแค่อารัมภบทของแผนการบริหารจัดการโดยรวมของพระองค์  ณ ชั่วขณะนั้น ใครเล่าที่รู้ว่าการสู้รบของพระเจ้ากับซาตานได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเงียบๆ ในชั่วขณะที่อับราฮัมได้มอบถวายอิสอัค?

พระเจ้าไม่ใส่พระทัยว่ามนุษย์โง่เขลาหรือไม่—พระองค์เพียงทรงขอให้มนุษย์ซื่อตรงเท่านั้น

ต่อไป เรามาดูสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำกับอับราฮัมกัน  ในปฐมกาล 22:2 พระเจ้าได้ทรงให้พระบัญชาต่อไปนี้แก่อับราฮัม ความว่า “จงพาบุตรของเจ้าคืออิสอัค บุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก ไปยังดินแดนโมริยาห์ และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องบูชา บนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า”  ความหมายของพระเจ้านั้นชัดเจน กล่าวคือ พระองค์กำลังตรัสบอกกับอับราฮัมให้มอบบุตรชายคนเดียวของเขา คืออิสอัค ผู้ที่เขารัก ให้เป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว  เมื่อมองการนั้นในวันนี้ พระบัญชาของพระเจ้ายังคงขัดแย้งกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์อยู่หรือไม่?  ใช่แล้ว!  ทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงทำในเวลานั้นตรงกันข้ามกันทีเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจจับใจความได้  ในมโนคติที่หลงผิดของพวกเขานั้น ผู้คนเชื่อดังต่อไปนี้: เมื่อมนุษย์ไม่เชื่อ และคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ พระเจ้าได้ทรงมอบบุตรคนหนึ่งแก่เขา และหลังจากที่เขาได้รับบุตรชายคนหนึ่งแล้ว พระเจ้าได้ทรงขอให้เขาพลีอุทิศบุตรชายของเขา  นี่ไม่น่าเชื่อโดยสิ้นเชิงมิใช่หรือ!  ที่จริงแล้วพระเจ้าตั้งพระทัยที่จะทำสิ่งใด?  เจตนารมณ์ที่แท้จริงของพระเจ้าคือสิ่งใด?  พระองค์ได้ประทานบุตรชายคนหนึ่งให้อับราฮัมโดยไม่มีเงื่อนไข แต่ทว่าพระองค์ก็ได้ทรงขอให้อับราฮัมทำเครื่องบูชาที่ไม่มีเงื่อนไขด้วยเช่นกัน  นี่ไม่มากเกินไปหรอกหรือ?  จากจุดยืนของบุคคลภายนอก นี่ไม่เพียงแค่มากเกินไปเท่านั้น แต่ยังเป็นกรณีบางอย่างที่เป็น “การสร้างปัญหาโดยไม่มีเหตุผลใดๆ” ด้วยเช่นกัน  แต่อับราฮัมเองไม่ได้เชื่อว่าพระเจ้ากำลังทรงขอมากเกินไป  ถึงแม้เขาจะมีความคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างของเขาเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ และถึงแม้ว่าเขาจะสงสัยพระเจ้าเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงตระเตรียมที่จะทำเครื่องบูชา  ณ จุดนี้ เจ้าเห็นสิ่งใดที่พิสูจน์ว่าอับราฮัมเต็มใจที่จะถวายบุตรชายของเขา?  ในประโยคเหล่านี้กำลังกล่าวสิ่งใด?  ข้อความเดิมบอกเล่าเรื่องราวดังต่อไปนี้: “อับราฮัมจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ผูกอานลาของท่านพาคนใช้หนุ่มไปกับท่านด้วยสองคนกับอิสอัคบุตรของท่าน ท่านตัดฟืนสำหรับเครื่องบูชา แล้วเดินทางไปยังที่ซึ่งพระเจ้าทรงบอกแก่ท่าน” (ปฐมกาล 22:3) “เมื่อเขาทั้งสองมาถึงที่ซึ่งพระเจ้าตรัสบอกเขาไว้ อับราฮัมก็สร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียงฟืนเป็นระเบียบ แล้วมัดอิสอัคบุตรชายวางไว้บนแท่นบูชาบนฟืน แล้วอับราฮัมก็ยื่นมือจับมีดจะฆ่าบุตรชาย” (ปฐมกาล 22:9-10)  เมื่ออับราฮัมยื่นมือออกไปจับมีดเพื่อฆ่าบุตรชายของเขา พระเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นการกระทำของเขาหรือไม่?  พระองค์ทรงเห็น  ทุกขั้นตอน—ตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อพระเจ้าได้ทรงขอให้อับราฮัมพลีอุทิศอิสอัค จนถึงตอนที่อับราฮัมยกมีดขึ้นเพื่อฆ่าบุตรชายของเขาจริงๆ—ได้แสดงให้พระเจ้าทรงเห็นหัวใจของอับราฮัม และไม่ว่าความโง่เขลา ความไม่รู้เท่าทัน และความไม่เข้าใจพระเจ้าก่อนหน้านี้ของเขาจะเป็นอย่างไร ณ เวลานั้น หัวใจของอับราฮัมที่มีต่อพระเจ้านั้นซื่อตรงและซื่อสัตย์ และเขากำลังจะส่งมอบอิสอัค บุตรชายที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่เขา คืนกลับไปให้แก่พระเจ้าอย่างแท้จริง  พระเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นการเชื่อฟังในตัวเขา เป็นการเชื่อฟังที่พระองค์ทรงปรารถนานั่นเอง

สำหรับมนุษย์นั้น พระเจ้าทรงทำหลายสิ่งที่ไม่อาจจับใจความได้และแม้กระทั่งไม่อาจเชื่อได้  เมื่อพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะจัดวางเรียบเรียงใครบางคน การจัดวางเรียบเรียงนี้มักจะขัดแย้งกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์และเขาไม่อาจจับใจความได้ แต่กระนั้นแน่นอนว่าเป็นเพราะความไม่สอดคล้องและความไม่อาจจับใจความได้นี้นั่นเองที่เป็นการทดสอบและการทดลองมนุษย์ของพระเจ้า  ในขณะเดียวกัน อับราฮัมก็สามารถแสดงให้เห็นการเชื่อฟังพระเจ้าภายในตัวเขาได้ ซึ่งเป็นสภาพเงื่อนไขที่เป็นรากฐานสำคัญมากที่สุดในการที่เขาจะสามารถทำให้สมดังสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ได้  เมื่อนั้นเท่านั้น เมื่ออับราฮัมสามารถเชื่อฟังข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า เมื่อเขาได้มอบถวายอิสอัคแล้วเท่านั้น พระเจ้าจึงได้รู้สึกวางพระทัยและทรงเห็นชอบต่อมวลมนุษย์อย่างแท้จริง—ต่ออับราฮัม ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกสรร  เมื่อนั้นเท่านั้นพระเจ้าจึงมั่นพระทัยว่าบุคคลผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกสรรคนนี้เป็นผู้นำที่ขาดเสียไม่ได้ ผู้ซึ่งสามารถรับสัญญาของพระองค์และแผนการบริหารจัดการในภายหลังของพระองค์ได้  ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงการทดสอบและการทดลอง แต่พระเจ้าก็รู้สึกอิ่มเอิบพระทัย พระองค์ทรงรู้สึกถึงความรักที่มนุษย์มีต่อพระองค์ และพระองค์รู้สึกสบายพระทัยโดยมนุษย์อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน  ณ ชั่วขณะนั้นที่อับราฮัมยกมีดขึ้นเพื่อฆ่าอิสอัค พระเจ้าได้ทรงหยุดเขาหรือไม่?  พระเจ้าไม่ได้ทรงปล่อยให้อับราฮัมพลีอุทิศอิสอัค เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงมีเจตนารมณ์ที่จะเอาชีวิตของอิสอัคอย่างแท้จริง  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงได้หยุดอับราฮัมทันเวลา  สำหรับพระเจ้าแล้วนั้น การเชื่อฟังของอับราฮัมได้ผ่านการทดสอบแล้ว สิ่งที่เขาได้ทำไปนั้นเพียงพอแล้ว และพระเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นบทอวสานของสิ่งที่พระองค์ได้ตั้งพระทัยที่จะทำแล้ว  บทอวสานนี้เป็นที่พึงพอพระทัยของพระเจ้าหรือไม่?  สามารถกล่าวได้ว่าบทอวสานนี้เป็นที่พึงพอพระทัยของพระเจ้า ว่ามันคือสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ และเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงถวิลหารอคอยที่จะเห็น  เรื่องนี้จริงหรือไม่?  ถึงแม้ว่าในบริบทที่แตกต่างกันไป พระเจ้าจะทรงใช้วิธีการที่แตกต่างกันเพื่อทดสอบแต่ละบุคคล พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ในตัวอับราฮัม พระองค์ทอดพระเนตรเห็นว่าหัวใจของอับราฮัมนั้นซื่อตรง และว่าการเชื่อฟังของเขานั้นไม่มีเงื่อนไข  แน่นอนว่า “การไม่มีเงื่อนไข” นี้นั่นเองที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนา  ผู้คนมักจะกล่าวว่า “ฉันได้ถวายสิ่งนี้ไปแล้ว ฉันได้ยอมสละสิ่งนั้นไปแล้ว—เหตุใดพระเจ้าจึงยังคงไม่พึงพอพระทัยกับฉัน?  เหตุใดพระองค์ยังคงทรงคอยนำฉันไปสู่การทดสอบอยู่เรื่อยๆ?  เหตุใดพระองค์ยังคงทรงคอยทดสอบฉันอยู่เรื่อย?”  การนี้แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงหนึ่ง นั่นคือ  พระเจ้ายังไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นหัวใจของเจ้า และยังไม่ได้ทรงได้มาซึ่งหัวใจของเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ยังไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นความจริงใจดังเช่นเมื่อตอนที่อับราฮัมสามารถยกมีดขึ้นเพื่อฆ่าบุตรชายของเขาด้วยมือของเขาเองและถวายเขาให้แก่พระเจ้าได้  พระองค์ยังไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นการเชื่อฟังโดยไม่มีเงื่อนไขของเจ้า และยังไม่ได้สบายพระทัยโดยเจ้า  เช่นนั้นแล้วก็เป็นธรรมชาติที่พระเจ้าทรงคอยทดสอบเจ้าอยู่เรื่อยๆ  การนี้ไม่จริงหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 34

พระสัญญาของพระเจ้าต่ออับราฮัม (บทตอนที่คัดมา)

ปฐมกาล 22:16-18  พระยาห์เวห์ตรัสว่า เราเองปฏิญาณว่า เพราะเจ้าทำอย่างนี้และไม่ได้หวงบุตรชายของเจ้า คือบุตรชายคนเดียวของเจ้า ดังนั้นเราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองแห่งศัตรูทั้งหลายของเขาเป็นกรรมสิทธิ์ ประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า เพราะว่าเจ้าเชื่อฟังเรา

นี่คือเรื่องราวที่ครบสมบูรณ์เกี่ยวกับการอวยพรของพระเจ้าต่ออับราฮัม  ถึงแม้ว่าจะรวบรัดแต่เนื้อหาของมันนั้นมั่งคั่ง กล่าวคือ มันประกอบด้วยเหตุผลและภูมิหลังของของขวัญที่พระเจ้าทรงให้ต่ออับราฮัม และสิ่งที่เป็นสิ่งที่พระองค์ได้ประทานให้อับราฮัม  มันยังเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมยินดีและความตื่นเต้นที่พระเจ้าได้ดำรัสพระวจนะเหล่านี้ด้วยเช่นกัน ตลอดจนความเร่งด่วนของการที่พระองค์ทรงถวิลหารอคอยที่จะได้รับบรรดาผู้ซึ่งสามารถรับฟังพระวจนะของพระองค์ได้  ในการนี้ พวกเรามองเห็นการทะนุถนอมและความอ่อนโอนของพระเจ้าที่ทรงมีต่อบรรดาผู้ที่เชื่อฟังพระวจนะของพระองค์และปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์  ดังนั้น พวกเรามองเห็นราคาที่พระองค์ทรงจ่ายเพื่อที่จะได้รับผู้คน และความเอาพระทัยใส่และพระดำริที่พระองค์ทรงใช้ในการได้รับพวกเขาด้วยเช่นกัน  ยิ่งไปกว่านั้น บทตอนนี้ ซึ่งบรรจุพระวจนะที่ว่า “เราเองปฏิญาณว่า” ให้สำนึกรับรู้ที่ทรงพลังแก่เราเกี่ยวกับความขมขื่นและความเจ็บปวดที่พระเจ้าทรงแบกรับและพระเจ้าพระองค์เดียวที่อยู่เบื้องหลังฉากของพระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการของพระองค์นี้  มันเป็นบทตอนที่ปลุกความคิด และเป็นบทตอนที่มีนัยสำคัญพิเศษสำหรับบรรดาผู้ที่ตามมา และมีผลกระทบกว้างขวางต่อพวกเขา

มนุษย์ได้รับพรจากพระเจ้าเนื่องจากความจริงใจและการเชื่อฟังของเขา

พรที่พระเจ้าทรงมอบให้กับอับราฮัมที่พวกเราได้อ่านกัน ณ ที่นี้ยิ่งใหญ่หรือไม่?  มันยิ่งใหญ่เพียงใด?  มีประโยคสำคัญอยู่ประโยคหนึ่ง ณ ที่นี้ นั่นคือ “ประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า”  ประโยคนี้แสดงให้เห็นว่าอับราฮัมได้รับพรที่ไม่เคยได้ถูกมอบแก่ผู้ใดที่มาก่อนหรือภายหลังจากนั้น  เมื่อพระเจ้าทรงขอ อับราฮัมก็ได้คืนบุตรชายเพียงคนเดียวของเขา—บุตรชายคนเดียวผู้เป็นที่รักของเขา—ให้แก่พระเจ้า (ในที่นี้เราไม่สามารถใช้คำว่า “ถวาย” ได้ พวกเราควรกล่าวว่าเขาได้คืนบุตรชายของเขาแก่พระเจ้า)  พระเจ้าไม่เพียงแต่ไม่ทรงอนุญาตให้อับราฮัมถวายอิสอัคเท่านั้น แต่พระองค์ยังได้ทรงอวยพรเขาด้วย  พระองค์ได้ทรงอวยพรแก่อับราฮัมด้วยพระสัญญาใด?  พระองค์ได้ทรงอวยพรเขาด้วยพระสัญญาที่จะเพิ่มทวีเชื้อสายของเขา  และพวกเขาจะได้เพิ่มทวีขึ้นมากเท่าใด?  ข้อพระคัมภีร์จัดเตรียมการบันทึกดังต่อไปนี้  “ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองแห่งศัตรูทั้งหลายของเขาเป็นกรรมสิทธิ์ ประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า เพราะว่าเจ้าเชื่อฟังเรา”  พระเจ้าได้ดำรัสเนื้อหาใดในพระวจนะเหล่านี้?  กล่าวคือ อับราฮัมได้รับพรจากพระเจ้าอย่างไร?  เขาได้รับพรเหล่านั้นดังเช่นที่พระเจ้าตรัสไว้ในข้อพระคัมภีร์ว่า “เพราะว่าเจ้าเชื่อฟังเรา”  กล่าวคือ เพราะอับราฮัมได้ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้า เพราะเขาได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ตรัส ได้ขอ และได้บัญชา โดยไม่มีการร้องทุกข์คร่ำครวญเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงได้ทรงทำพระสัญญาเช่นนั้นกับเขา  มีประโยคสำคัญประโยคหนึ่งในพระสัญญานี้ที่พูดถึงพระดำริของพระเจ้า ณ เวลานั้น  พวกเจ้ามองเห็นมันแล้วหรือยัง?  พวกเจ้าอาจจะไม่ได้ให้ความสนใจมากนักกับพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เราเองปฏิญาณว่า”  ความหมายของประโยคนี้ก็คือว่า เมื่อพระเจ้าได้ดำรัสพระวจนะเหล่านี้นั้น พระองค์กำลังทรงปฏิญาณด้วยพระองค์เอง  ผู้คนปฏิญาณด้วยสิ่งใดเมื่อพวกเขาทำการสาบาน?  พวกเขาปฏิญาณด้วยสวรรค์ ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาทำการสาบานต่อพระเจ้าและปฏิญาณด้วยพระเจ้า  ผู้คนอาจจะไม่มีความเข้าใจมากนักเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่พระเจ้าทรงปฏิญาณด้วยพระองค์เอง แต่พวกเจ้าจะสามารถเข้าใจได้เมื่อเราจัดเตรียมคำอธิบายที่ถูกต้องแก่พวกเจ้า  เมื่อทรงเผชิญหน้ากับมนุษย์ผู้ซึ่งสามารถเพียงได้ยินพระวจนะของพระองค์เท่านั้นแต่ไม่เข้าใจพระทัยของพระองค์ พระเจ้าจึงทรงรู้สึกโดดเดี่ยวและสูญเสียอีกครั้ง  พระเจ้าได้ทรงทำบางสิ่งบางอย่างที่เป็นธรรมชาติอย่างมากด้วยความสิ้นหวัง—และอาจกล่าวได้ว่าโดยไม่รู้พระองค์—นั่นคือ พระองค์วางพระหัตถ์ลงบนพระทัยของพระองค์และตรัสกับพระองค์เองเมื่อประทานพระสัญญานี้แก่อับราฮัม และจากชายคนนี้ที่ได้ยินพระเจ้าตรัสว่า “เราเองปฏิญาณว่า”  เจ้าอาจคิดถึงตัวเจ้าเองโดยผ่านทางการกระทำของพระเจ้า  เมื่อเจ้าวางมือของเจ้าไว้บนหัวใจของเจ้าแล้วพูดกับตัวเจ้าเอง เจ้ามีแนวคิดชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้ากำลังพูดหรือไม่?  ท่าทีของเจ้าจริงใจหรือไม่?  เจ้าพูดอย่างตรงไปตรงมาด้วยหัวใจของเจ้าหรือไม่?  ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงมองเห็น ณ ที่นี้ว่า เมื่อพระเจ้าได้ตรัสกับอับราฮัมนั้น พระองค์ทรงจริงจังและจริงใจ  ในขณะเดียวกันกับที่กำลังตรัสและทรงอวยพรอับราฮัมนั้น พระเจ้าก็กำลังตรัสกับพระองค์เองด้วย  พระองค์กำลังตรัสบอกพระองค์เองว่า  เราจะอวยพรอับราฮัม และทำให้ลูกหลานของเขามีจำนวนมากมายเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าและมากมายเหมือนเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เพราะเขาเชื่อฟังคำพูดของเราและเขาคือคนที่เราเลือก  เมื่อพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราเองปฏิญาณว่า” พระเจ้าตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าพระองค์จะทรงผลิตประชากรที่ได้รับเลือกสรรแห่งอิสราเอลในตัวอับราฮัม ซึ่งหลังจากนั้นพระองค์จะทรงนำทางผู้คนเหล่านี้ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยพระราชกิจของพระองค์  กล่าวคือ พระเจ้าจะทรงทำให้พงศ์พันธุ์ของอับราฮัมแบกรับพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้า และพระราชกิจของพระเจ้าและสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงแสดงออกไว้ก็จะเริ่มต้นด้วยอับราฮัมและจะดำเนินต่อเนื่องไปในพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ความปรารถนาของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดเป็นจริงขึ้นมา  พวกเจ้าจะว่าอย่างไร นี่ไม่ใช่สิ่งที่ได้รับพรหรอกหรือ?  สำหรับมนุษย์แล้วนั้น ไม่มีพรใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้ อาจกล่าวได้ว่านี่คือสิ่งที่ได้รับพรมากที่สุด  พรที่อับราฮัมได้รับไม่ใช่การเพิ่มทวีเชื้อสายของเขา แต่เป็นการสัมฤทธิ์ผลของพระเจ้าในการบริหารจัดการของพระองค์ พระบัญชาของพระองค์ และพระราชกิจของพระองค์ในพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม  นี่หมายความว่าพรต่างๆ ที่อับราฮัมได้รับนั้นไม่ใช่ชั่วคราว แต่ดำเนินต่อเนื่องไปในขณะที่แผนการบริหารจัดการของพระเจ้าก้าวหน้าไป  เมื่อพระเจ้าได้ตรัส เมื่อพระเจ้าได้ปฏิญาณด้วยพระองค์เอง พระเจ้าได้ทรงตั้งปณิธานไว้แล้ว  กระบวนการแห่งปณิธานนี้เที่ยงแท้หรือไม่?  มันจริงหรือไม่?  พระเจ้าได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ว่า จากเวลานั้นเป็นต้นไป ความเพียรพยายามของพระองค์ ราคาที่พระองค์ได้ทรงจ่ายไป สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ทุกสิ่งทุกอย่างของพระองค์ และแม้กระทั่งพระชนม์ชีพของพระองค์ จะถูกประทานให้แก่อับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม  และพระเจ้าได้ตั้งพระทัยแน่วแน่อีกด้วยว่า พระองค์จะทรงทำการสำแดงกิจการทั้งหลายของพระองค์ และทรงอนุญาตให้มนุษย์มองเห็นพระปรีชาญาณ สิทธิอำนาจ และฤทธานุภาพของพระองค์โดยเริ่มต้นจากผู้คนกลุ่มนี้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 35

พระสัญญาของพระเจ้าต่ออับราฮัม (บทตอนที่คัดมา)

ปฐมกาล 22:16-18  พระยาห์เวห์ตรัสว่า เราเองปฏิญาณว่า เพราะเจ้าทำอย่างนี้และไม่ได้หวงบุตรชายของเจ้า คือบุตรชายคนเดียวของเจ้า ดังนั้นเราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองแห่งศัตรูทั้งหลายของเขาเป็นกรรมสิทธิ์ ประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า เพราะว่าเจ้าเชื่อฟังเรา

การได้รับบรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าและสามารถเป็นพยานต่อพระองค์ได้คือความปรารถนาที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพระเจ้า

ในขณะเดียวกันกับที่ตรัสกับพระองค์เอง พระเจ้าก็ได้ตรัสกับอับราฮัมด้วย แต่นอกเหนือจากการได้ยินพรที่พระเจ้าได้ทรงมอบแก่เขาแล้วนั้น อับราฮัมสามารถเข้าใจความปรารถนาที่แท้จริงของพระเจ้าในพระวจนะทั้งหมดของพระองค์ ณ ชั่วขณะนั้นหรือไม่?  เขาไม่สามารถ!  ดังนั้น ณ ชั่วขณะนั้น เมื่อพระเจ้าได้ทรงปฏิญาณด้วยพระองค์เอง พระทัยของพระองค์ยังคงโดดเดี่ยวและโทมนัส  ยังคงไม่มีสักบุคคลหนึ่งที่สามารถเข้าใจหรือจับใจความสิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยและทรงวางแผนไว้ได้  ณ ชั่วขณะนั้น ไม่มีใคร แม้กระทั่งอับราฮัม ที่สามารถพูดกับพระองค์ด้วยความมั่นใจ นับประสาอะไรที่จะมีใครสักคนที่สามารถร่วมมือกับพระองค์ในการทรงพระราชกิจที่พระองค์ต้องทรงทำ  โดยผิวเผินแล้วนั้น พระเจ้าได้ทรงรับอับราฮัมไว้แล้ว ซึ่งเป็นใครบางคนที่สามารถเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ได้  แต่ในความเป็นจริง ความรู้ของบุคคลนี้เกี่ยวกับพระเจ้านั้นแทบจะไม่มีอะไรมากไปกว่าความว่างเปล่า  ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะได้ทรงอวยพรอับราฮัมแล้ว แต่พระทัยของพระเจ้าก็ยังคงไม่พึงพอพระทัย  การที่พระเจ้าไม่พึงพอพระทัยหมายความว่าอย่างไร?  นั่นหมายความว่าการบริหารจัดการของพระองค์เพิ่งจะได้เริ่มต้นขึ้นเท่านั้น นั่นหมายความว่าผู้คนที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะได้รับ ผู้คนที่พระองค์ทรงถวิลหารอคอยที่จะได้เห็น ผู้คนที่พระองค์ทรงรัก ยังคงอยู่ห่างไกลจากพระองค์ พระองค์ทรงจำเป็นต้องใช้เวลา พระองค์ทรงจำเป็นต้องรอคอย พระองค์ทรงจำเป็นต้องอดทน  เพราะ ณ ชั่วขณะนั้น นอกเหนือจากพระเจ้าพระองค์เองแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่รู้ว่าพระองค์ทรงจำเป็นต้องมีสิ่งใด หรือพระองค์ทรงปรารถนาที่จะได้รับสิ่งใด หรือพระองค์ทรงถวิลหารอคอยสิ่งใด  ดังนั้น ในขณะเดียวกันกับที่พระเจ้ากำลังทรงรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง พระเจ้าก็ทรงรู้สึกหนักพระทัยด้วยเช่นกัน  กระนั้นพระองค์ก็ยังไม่ทรงหยุดขั้นตอนของพระองค์ และพระองค์ยังทรงวางแผนขั้นตอนต่อไปของสิ่งที่พระองค์ต้องทรงทำอย่างต่อเนื่อง

พวกเจ้ามองเห็นสิ่งใดในพระสัญญาของพระเจ้าต่ออับราฮัม?  พระเจ้าได้ประทานพรอันยิ่งใหญ่ให้แก่อับราฮัมเพียงเพราะเขาได้เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า  แม้ว่าโดยผิวเผินแล้วนี่จะดูเหมือนปกติและเป็นเรื่องตามครรลอง แต่พวกเรามองเห็นพระทัยของพระเจ้าในการนั้น กล่าวคือ พระเจ้าทรงทะนุถนอมความล้ำค่าเป็นพิเศษต่อการเชื่อฟังพระองค์ของมนุษย์ และทรงเชิดชูองค์และความจริงใจต่อพระองค์ของมนุษย์  พระเจ้าทรงเชิดชูความจริงใจนี้มากเพียงใด?  พวกเจ้าอาจไม่เข้าใจว่าพระองค์ทรงเชิดชูมันมากเพียงใด และอาจจะไม่มีผู้ใดที่ตระหนักถึงมันด้วยซ้ำ  พระเจ้าได้ประทานบุตรชายคนหนึ่งให้อับราฮัม และเมื่อบุตรชายคนนี้เติบโตขึ้นแล้ว พระเจ้าได้ทรงขอให้อับราฮัมถวายบุตรชายของเขาแก่พระเจ้า  อับราฮัมปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้าตามตัวอักษร เขาเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ และความจริงใจของเขาทำให้พระเจ้าทรงตื้นตันและพระเจ้าทรงทะนุถนอมความล้ำค่า  พระเจ้าทรงทะนุถนอมความล้ำค่าของมันมากเพียงใด?  และเหตุใดพระองค์จึงทรงทะนุถนอมความล้ำค่าของมัน?  ในเวลาที่ไม่มีผู้ใดจับใจความพระวจนะของพระเจ้าหรือเข้าใจพระทัยของพระองค์ อับราฮัมได้ทำในสิ่งที่สั่นสะเทือนฟ้าสวรรค์และทำให้แผ่นดินโลกสั่นไหว และนั่นทำให้พระเจ้าทรงรู้สึกถึงสำนึกรับรู้แห่งความพึงพอพระทัยที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และนำความชื่นชมยินดีจากการได้รับใครบางคนที่สามารถเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ได้มาให้พระเจ้า  ความพึงพอพระทัยและความชื่นชมยินดีนี้มาจากสิ่งทรงสร้างหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยพระหัตถ์ของพระเจ้าเอง และเป็น “การพลีอุทิศ” แรกที่มนุษย์ได้ถวายแด่พระเจ้าและที่พระเจ้าทรงทะนุถนอมความล้ำค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ที่มนุษย์ได้ถูกสร้างขึ้นมา  พระเจ้าได้เคยทรงมีเวลาที่ยากลำบากในการรอคอยการพลีอุทิศนี้ และพระองค์ได้ทรงปฏิบัติกับมันเสมือนของขวัญชิ้นแรกที่สำคัญมากที่สุดจากมนุษย์ ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นมา  มันแสดงให้พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นดอกผลแรกแห่งความเพียรพยายามของพระองค์และจากราคาที่พระองค์ได้ทรงจ่ายไป และมันทำให้พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นความหวังในมวลมนุษย์  หลังจากนั้นเป็นต้นมา พระเจ้าได้ทรงมีความโหยหายิ่งใหญ่ขึ้นกว่านั้นในการที่จะให้กลุ่มผู้คนเช่นนั้นรักษาพระองค์ไว้เป็นสหาย ปฏิบัติต่อพระองค์ด้วยความจริงใจ และเอาใจใส่พระองค์ด้วยความจริงใจ  พระเจ้าทรงถึงขั้นหวังที่จะให้อับราฮัมดำรงชีวิตอยู่ต่อไป เพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้มีหัวใจเช่นหัวใจของอับราฮัมได้ไปพร้อมกับพระองค์และอยู่กับพระองค์ในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินการต่อไปในการบริหารจัดการของพระองค์  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงต้องประสงค์สิ่งใด มันเป็นเพียงความปรารถนา เป็นเพียงแนวคิด—เพราะอับราฮัมเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งผู้ซึ่งสามารถเชื่อฟังพระองค์ และไม่มีความเข้าใจหรือความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย  อับราฮัมคือใครบางคนที่ขาดมาตรฐานแห่งข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก ซึ่งก็คือ การรู้จักพระเจ้า การสามารถเป็นพยานต่อพระเจ้า และการมีจิตใจเดียวกันกับพระเจ้า  ดังนั้น อับราฮัมจึงไม่สามารถเดินไปกับพระเจ้าได้  ในการที่อับราฮัมถวายอิสอัคนั้น พระเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นความจริงใจและการเชื่อฟังของอับราฮัม และทอดพระเนตรเห็นว่าเขาได้ทนทานต่อการที่พระเจ้าทรงทดสอบเขา  ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะได้ทรงยอมรับความจริงใจและการเชื่อฟังของเขาแล้ว เขาก็ยังคงไม่มีค่าคู่ควรในการกลายเป็นคนสนิทของพระเจ้า ในการกลายเป็นใครบางคนที่รู้จักและเข้าใจพระเจ้า และใครบางคนที่มีความรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า เขายังห่างไกลจากการมีจิตใจเดียวกันกับพระเจ้าและการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  ดังนั้น ในพระทัยของพระองค์ พระเจ้าจึงยังคงทรงโดดเดี่ยวและกระวนกระวาย  ยิ่งพระเจ้าทรงโดดเดี่ยวและกระวนกระวายมากขึ้นเท่าใด พระองค์ก็ยิ่งจำเป็นต้องทรงดำเนินการบริหารจัดการของพระองค์ต่อไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และต้องสามารถคัดเลือกและได้รับกลุ่มผู้คนเพื่อมาทำแผนการบริหารจัดการของพระองค์ให้สำเร็จลุล่วงและสัมฤทธิ์ผลตามน้ำพระทัยของพระองค์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น  นี่คือความปรารถนาอันแรงกล้าของพระเจ้า และมันยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากจุดเริ่มต้นจนกระทั่งถึงวันนี้  นับตั้งแต่ที่พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ในปฐมกาล พระเจ้าทรงโหยหากลุ่มผู้มีชัยชนะมาโดยตลอด ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะเดินไปกับพระองค์และสามารถเข้าใจ รู้จัก และจับใจความพระอุปนิสัยของพระองค์ได้  ความปรารถนานี้ของพระเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป  ไม่ว่าพระองค์ยังคงต้องทรงรอคอยนานเพียงใด ไม่ว่าถนนข้างหน้าอาจจะยากลำบากเพียงใด และไม่ว่าวัตถุประสงค์ที่พระองค์ทรงโหยหานั้นอาจจะอยู่ไกลออกไปเพียงใด พระเจ้าก็ไม่เคยทรงปรับเปลี่ยนหรือล้มเลิกความคาดหวังในตัวมนุษย์ของพระองค์  บัดนี้ที่เราได้กล่าวเรื่องนี้ไปแล้ว พวกเจ้าตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างที่พระเจ้าทรงปรารถนาหรือไม่?  บางทีสิ่งที่พวกเจ้าตระหนักอาจจะไม่ลุ่มลึกมากนัก—แต่มันจะค่อยเกิดขึ้นทีละน้อย!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 36

พระเจ้าต้องทำลายเมืองโสโดม (บทตอนที่คัดมา)

ปฐมกาล 18:26  พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ที่โสโดมถ้าเราพบคนชอบธรรมในเมืองห้าสิบคน เราจะละเว้นเมืองนั้นทั้งเมืองเพราะเห็นแก่พวกเขา”

ปฐมกาล 18:29  ท่านก็ทูลพระองค์อีกว่า “สมมุติว่าพระองค์ทรงพบสี่สิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำ”

ปฐมกาล 18:30  ท่านจึงทูลว่า… “สมมุติพระองค์ทรงพบเพียงสามสิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำ”

ปฐมกาล 18:31  ท่านทูลว่า… “สมมุติว่าทรงพบยี่สิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำลาย”

ปฐมกาล 18:32  ท่านทูลว่า… “สมมุติว่า ทรงพบเพียงสิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำลาย”

พระเจ้าเพียงใส่พระทัยต่อบรรดาผู้ที่สามารถเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์และปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์เท่านั้น

บทตอนข้างต้นเหล่านี้บรรจุด้วยพระวจนะสำคัญหลายคำ นั่นก็คือ จำนวน  ครั้งแรก พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่าหากพระองค์ได้ทรงพบคนชอบธรรมห้าสิบคนภายในเมืองนั้น เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็จะละเว้นทุกคนในที่นั้น กล่าวคือ พระองค์จะไม่ทรงทำลายเมืองนั้น  ดังนั้น ในความเป็นจริงแล้วมีคนชอบธรรมห้าสิบคนในเมืองโสโดมหรือไม่?  ไม่มี หลังจากนั้นไม่นาน อับราฮัมได้กล่าวสิ่งใดต่อพระเจ้า?  เขาได้กล่าวว่า สมมติว่าทรงพบสี่สิบคนที่นั่นเล่า?  และพระเจ้าได้ตรัสว่า เราจะไม่ทำลายมัน  ต่อมา อับราฮัมได้กล่าวว่า สมมติว่าทรงพบสามสิบคนที่นั่นเล่า?  และพระเจ้าได้ตรัสว่า เราจะไม่ทำลายมัน  และสมมติว่ายี่สิบคนเล่า?  เราก็จะไม่ทำลายมัน  สิบคนเล่า?  เราก็จะไม่ทำลายมัน  ในความเป็นจริงแล้ว มีคนชอบธรรมภายในเมืองนั้นหรือไม่?  ไม่มีสิบคน—แต่มีหนึ่งคน  และหนึ่งคนนั้นคือใคร?  คนนั้นก็คือโลท  ณ เวลานั้น มีคนชอบธรรมเพียงหนึ่งคนในโสโดม แต่พระเจ้าทรงเข้มงวดหรือทรงพิถีพิถันอย่างยิ่งเมื่อกล่าวถึงจำนวนนี้หรือไม่?  ไม่ พระองค์ไม่ทรงเป็นเช่นนั้นเลย!  และดังนั้น เมื่อมนุษย์ถามต่อไปว่า “แล้วสี่สิบคนเล่า?”  “แล้วสามสิบคนเล่า?”  จนกระทั่งเขาถามไปจนถึง “แล้วสิบคนเล่า?”  พระเจ้าตรัสว่า “ถึงแม้ว่าจะมีเพียงสิบคน เราก็จะไม่ทำลายเมืองนั้น เราจะละเว้นมัน และให้อภัยผู้คนอื่นๆ นอกเหนือจากสิบคนนี้”  หากมีเพียงสิบคน นั่นก็คงจะน่าเวทนาพออยู่แล้ว แต่มันกลายเป็นว่าในข้อเท็จจริงแล้ว ผู้คนชอบธรรมในโสโดมมีไม่ถึงแม้กระทั่งจำนวนนั้น  เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าจึงมองเห็นว่าในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น บาปและความชั่วของผู้คนในเมืองนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่ทรงมีทางเลือกนอกจากต้องทรงทำลายพวกเขา  พระเจ้าทรงหมายความว่าอย่างไรเมื่อพระองค์ได้ตรัสว่าพระองค์จะไม่ทรงทำลายเมืองนี้หากมีคนชอบธรรมห้าสิบคน?  จำนวนเหล่านี้ไม่สำคัญต่อพระเจ้า  สิ่งที่สำคัญคือเมืองนี้มีคนชอบธรรมที่พระองค์ทรงต้องประสงค์หรือไม่  หากเมืองนี้มีคนชอบธรรมหนึ่งคน พระเจ้าก็คงจะไม่ทรงปล่อยให้พวกเขามาพบกับอันตรายเนื่องจากการทำลายล้างเมืองนี้ของพระองค์  ความหมายของสิ่งนี้ก็คือว่า ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงทำลายเมืองนี้หรือไม่ก็ตาม และไม่ว่าจะมีคนชอบธรรมมากเท่าใดภายในเมืองนี้ก็ตาม สำหรับพระเจ้าแล้วเมืองที่เต็มไปด้วยบาปนี้ถูกสาปและเลวทรามมาก และควรจะถูกทำลาย ควรจะหายไปจากสายพระเนตรของพระเจ้า ในขณะที่คนชอบธรรมควรคงเหลืออยู่  ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใดก็ตาม ไม่ว่าการพัฒนาของมวลมนุษย์จะอยู่ช่วงระยะใดก็ตาม ท่าทีของพระเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง  กล่าวคือ พระองค์ทรงเกลียดชังความชั่ว และใส่พระทัยต่อบรรดาผู้ซึ่งชอบธรรมในสายพระเนตรของพระองค์  ท่าทีที่ชัดเจนของพระเจ้านี้ยังเป็นการเปิดเผยที่แท้จริงถึงเนื้อแท้ของพระเจ้าอีกด้วย  เนื่องจากมีคนชอบธรรมเพียงแค่หนึ่งคนภายในเมืองนี้ พระเจ้าจึงไม่ทรงลังเลอีกต่อไป  ผลลัพธ์ในตอนจบก็คือว่าโสโดมจะถูกทำลายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  พวกเจ้ามองเห็นสิ่งใดในการนี้?  ในยุคนั้น พระเจ้าจะไม่ทรงทำลายเมืองหนึ่งหากมีคนชอบธรรมห้าสิบคนในเมืองนั้น หรือหากมีสิบคน ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าจะตัดสินพระทัยอภัยโทษและทนยอมรับมวลมนุษย์ หรือทรงพระราชกิจแห่งการทรงนำ เพราะผู้คนไม่กี่คนที่สามารถเคารพและนมัสการพระองค์  พระเจ้าทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความประพฤติอันชอบธรรมของมนุษย์  ทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับผู้ที่สามารถนมัสการพระองค์ได้ และทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับผู้ที่สามารถทำความดีเฉพาะพระพักตร์พระองค์

จากยุคแรกเริ่มสุดจนกระทั่งถึงวันนี้ พวกเจ้าเคยอ่านในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงสื่อสารความจริง หรือตรัสเกี่ยวกับหนทางของพระเจ้า กับบุคคลใดหรือไม่?  ไม่เคยเลย  พระวจนะของพระเจ้าต่อมนุษย์ที่พวกเราได้อ่านมีเพียงได้บอกผู้คนว่าให้ทำสิ่งใดเท่านั้น  บางคนได้ทำตามนั้น บางคนไม่ได้ทำตาม บางคนเชื่อ และบางคนไม่เชื่อ  ทั้งหมดมีแค่นั้น  ด้วยเหตุนี้ คนชอบธรรมในยุคนั้น—บรรดาผู้ที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า—จึงเป็นเพียงบรรดาผู้ที่สามารถรับฟังพระวจนะของพระเจ้าและปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้า  พวกเขาคือผู้รับใช้ทั้งหลายที่ดำเนินการตามพระวจนะของพระเจ้าท่ามกลางมนุษย์  ผู้คนเช่นนั้นสามารถเรียกว่าเป็นบรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าได้หรือไม่?  สามารถเรียกพวกเขาว่าเป็นผู้คนที่พระเจ้าได้ทรงทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วได้หรือไม่?  ไม่ ไม่สามารถเรียกพวกเขาเช่นนั้นได้  ดังนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะมีจำนวนเท่าใด ในสายพระเนตรของพระเจ้า ผู้คนชอบธรรมเหล่านี้มีค่าคู่ควรจะถูกเรียกว่าคนสนิทของพระเจ้าหรือไม่?  สามารถเรียกพวกเขาว่าประจักษ์พยานของพระเจ้าได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน!  พวกเขาไม่มีค่าคู่ควรแก่การถูกเรียกว่าคนสนิทหรือประจักษ์พยานของพระเจ้าอย่างแน่นอน  ดังนั้น พระเจ้าทรงเรียกผู้คนเช่นนั้นว่าอย่างไร?  ในภาคพันธสัญญาเดิมของพระคัมภีร์มีตัวอย่างมากมายที่พระเจ้าทรงเรียกพวกเขาว่า “คนรับใช้ของเรา”  กล่าวคือ ณ เวลานั้น ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้วผู้คนชอบธรรมเหล่านี้คือผู้รับใช้ของพระเจ้า พวกเขาคือผู้คนที่รับใช้พระองค์บนแผ่นดินโลก  และพระเจ้าทรงมีพระดำริอย่างไรกับตำแหน่งนี้?  เหตุใดพระองค์จึงทรงเรียกพวกเขาเช่นนั้น?  พระเจ้าทรงมีมาตรฐานในพระทัยของพระองค์สำหรับตำแหน่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงเรียกผู้คนหรือไม่?  พระองค์ทรงมีอย่างแน่นอน  พระเจ้าทรงมีมาตรฐาน ไม่ว่าพระองค์จะทรงเรียกผู้คนว่าผู้ที่ชอบธรรม ผู้มีความเพียบพร้อม ผู้ที่ซื่อตรง หรือผู้รับใช้ก็ตาม  เมื่อพระองค์ทรงเรียกใครบางคนว่าผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ทรงมีความเชื่อที่มั่นคงว่าบุคคลนั้นสามารถรับผู้สื่อสารของพระองค์ได้ สามารถปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ได้ และสามารถดำเนินการตามสิ่งที่บรรดาผู้สื่อสารของพระองค์สั่งการได้  บุคคลนี้ดำเนินการอะไร?  พวกเขาดำเนินการในสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาให้มนุษย์ทำและดำเนินการบนแผ่นดินโลก  ณ เวลานั้น สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงขอให้มนุษย์ทำและดำเนินการบนแผ่นดินโลกสามารถเรียกว่าเป็นหนทางของพระเจ้าได้หรือไม่?  ไม่ ไม่สามารถเรียกได้  เพราะ ณ เวลานั้น พระเจ้าได้ทรงขอเพียงให้มนุษย์ทำสิ่งง่ายๆ ไม่กี่อย่างเท่านั้น พระองค์ได้ดำรัสพระบัญชาง่ายๆ ไม่กี่อย่าง โดยตรัสบอกให้มนุษย์เพียงแค่ทำการนี้หรือการนั้นเท่านั้น และไม่มีสิ่งใดมากไปกว่านั้น  พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจตามแผนของพระองค์  เพราะ ณ เวลานั้น สภาพเงื่อนไขต่างๆ มากมายยังไม่ปรากฏขึ้น ยังไม่ถึงเวลาอันสุกงอม และมันยากสำหรับมวลมนุษย์ที่จะแบกรับหนทางของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ หนทางของพระเจ้าจึงยังไม่ได้เริ่มถูกส่งออกไปจากพระทัยของพระเจ้า  พระเจ้าทรงมองผู้คนชอบธรรมที่พระองค์ตรัสถึง ผู้ที่พวกเรามองเห็น ณ ที่นี้—ไม่ว่าจะเป็นสามสิบหรือยี่สิบคน—ว่าเป็นผู้รับใช้ของพระองค์  เมื่อบรรดาผู้สื่อสารของพระเจ้าได้มาหาผู้รับใช้เหล่านี้ พวกเขาจะสามารถต้อนรับพวกท่าน และปฏิบัติตามคำสั่งของพวกท่าน และกระทำการตามคำพูดของพวกท่าน  แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ควรจะทำ และควรจะบรรลุถึงโดยบรรดาผู้ที่เป็นผู้รับใช้ในสายพระเนตรของพระเจ้า  พระเจ้าทรงสุขุมรอบคอบในการแต่งตั้งผู้คนของพระองค์  พระองค์ทรงเรียกพวกเขาว่าผู้รับใช้ของพระองค์มิใช่เพราะพวกเขาเป็นเหมือนอย่างที่พวกเจ้าเป็นตอนนี้—เพราะพวกเขาได้รับฟังการเทศนามากมาย ได้รู้ว่าพระเจ้าจะทรงทำสิ่งใด ได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้ามากมาย และได้จับใจความแผนการบริหารจัดการของพระองค์—แต่เพราะพวกเขาซื่อสัตย์ในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และพวกเขาสามารถปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าได้ เมื่อพระเจ้าทรงบัญชาพวกเขา พวกเขาก็สามารถปล่อยวางสิ่งที่พวกเขากำลังทำไว้ก่อนและดำเนินการสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงบัญชา  ดังนั้นสำหรับพระเจ้าแล้ว ความหมายอีกชั้นหนึ่งในตำแหน่งของผู้รับใช้ก็คือว่าพวกเขาได้ร่วมมือกับพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก และถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่บรรดาผู้สื่อสารของพระเจ้า แต่พวกเขาก็เป็นผู้บริหารงานและผู้ปฏิบัติการตามพระวจนะของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก  เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้ามองเห็นว่าบรรดาผู้รับใช้หรือผู้คนที่ชอบธรรมเหล่านี้มีน้ำหนักอย่างยิ่งในพระทัยของพระเจ้า  พระราชกิจที่พระเจ้าจะทรงเริ่มต้นบนแผ่นดินโลกไม่สามารถเป็นได้โดยปราศจากผู้คนที่จะร่วมมือกับพระองค์ และบทบาทที่บรรดาผู้รับใช้พระเจ้าได้เข้ารับนั้นไม่สามารถแทนที่ได้โดยบรรดาผู้สื่อสารของพระองค์  แต่ละภารกิจที่พระเจ้าได้ทรงบัญชาแก่ผู้รับใช้เหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพระองค์ และดังนั้นพระองค์จึงไม่สามารถสูญเสียพวกเขาไปได้  หากไม่มีความร่วมมือกับพระเจ้าของผู้รับใช้เหล่านี้ พระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมวลมนุษย์ก็คงจะได้มาถึงภาวะชะงักงันแล้ว ซึ่งผลจากการนั้น แผนการบริหารจัดการของพระเจ้าและความหวังของพระเจ้าคงจะได้มาถึงความล้มเหลวแล้ว

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 37

พระเจ้าต้องทำลายเมืองโสโดม (บทตอนที่คัดมา)

ปฐมกาล 18:26  พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ที่โสโดมถ้าเราพบคนชอบธรรมในเมืองห้าสิบคน เราจะละเว้นเมืองนั้นทั้งเมืองเพราะเห็นแก่พวกเขา”

ปฐมกาล 18:29  ท่านก็ทูลพระองค์อีกว่า “สมมุติว่าพระองค์ทรงพบสี่สิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำ”

ปฐมกาล 18:30  ท่านจึงทูลว่า… “สมมุติพระองค์ทรงพบเพียงสามสิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำ”

ปฐมกาล 18:31  ท่านทูลว่า… “สมมุติว่าทรงพบยี่สิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำลาย”

ปฐมกาล 18:32  ท่านทูลว่า… “สมมุติว่า ทรงพบเพียงสิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำลาย”

พระเจ้าทรงเปี่ยมปรานีอย่างยิ่งต่อบรรดาผู้ที่พระองค์ใส่พระทัย และทรงพิโรธอย่างล้ำลึกต่อบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงรังเกียจและปฏิเสธ

ในเรื่องราวต่างๆ จากพระคัมภีร์นั้น มีผู้รับใช้ของพระเจ้าสิบคนหรือไม่ในโสโดม?  ไม่ ไม่มี!  เมืองนั้นมีค่าคู่ควรแก่การที่พระเจ้าจะทรงละเว้นหรือไม่?  มีเพียงหนึ่งบุคคลเท่านั้นในเมืองนี้—คือโลท—ที่ได้ต้อนรับบรรดาผู้สื่อสารของพระเจ้า  ความนัยของการนี้ก็คือว่า มีผู้รับใช้พระเจ้าเพียงหนึ่งคนเท่านั้นในเมืองนี้ และด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงไม่ทรงมีทางเลือกนอกจากช่วยโลทให้รอดและทำลายเมืองโสโดม  การโต้ตอบระหว่างอับราฮัมและพระเจ้าที่ได้นำมาอ้างถึงข้างต้นนั้นอาจดูเหมือนเรียบง่าย แต่การโต้ตอบเหล่านั้นแสดงให้เห็นบางอย่างที่ล้ำลึกอย่างยิ่ง กล่าวคือ มีหลักการในการกระทำของพระเจ้า และก่อนที่จะทรงทำการตัดสินพระทัยพระองค์จะทรงใช้เวลายาวนานในการเฝ้าสังเกตและพิจารณา พระองค์จะไม่ทรงทำการตัดสินพระทัยใดๆ หรือรีบด่วนกับบทสรุปใดๆ ก่อนจะถึงเวลาที่เหมาะสมเป็นอันขาด  การโต้ตอบระหว่างอับราฮัมและพระเจ้าแสดงให้เราเห็นว่า การตัดสินพระทัยของพระเจ้าที่จะทรงทำลายเมืองโสโดมนั้นไม่มีการผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย เพราะพระเจ้าทรงรู้อยู่แล้วว่าในเมืองนี้ไม่ได้มีคนชอบธรรมสี่สิบคน หรือคนชอบธรรมสามสิบคน หรือยี่สิบคน  ไม่มีแม้กระทั่งสิบคน  บุคคลที่ชอบธรรมเพียงคนเดียวในเมืองนี้ก็คือโลท  พระเจ้าได้ทรงเฝ้าสังเกตทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นในเมืองโสโดมและรูปการณ์แวดล้อมของเมือง และมันเป็นที่คุ้นเคยสำหรับพระเจ้าเช่นเดียวกับหลังพระหัตถ์ของพระองค์เอง  ด้วยเหตุนี้ การตัดสินพระทัยของพระองค์จึงไม่อาจผิดพลาดได้  ในทางตรงกันข้าม เมื่อเปรียบเทียบกับมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าแล้วนั้น มนุษย์ช่างมึนงงยิ่งนัก ช่างโง่เขลาและไม่รู้เท่าทันยิ่งนัก ช่างสายตาสั้นยิ่งนัก  นี่คือสิ่งที่พวกเรามองเห็นในการโต้ตอบระหว่างอับราฮัมและพระเจ้า  พระเจ้าทรงส่งพระอุปนิสัยของพระองค์ออกมาตลอดเวลาตั้งแต่ปฐมกาลจนกระทั่งถึงวันนี้  ในทำนองเดียวกันนั้น ณ ที่นี้ก็มีพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่เราควรจะมองเห็นด้วยเช่นกัน  จำนวนนั้นเป็นสิ่งธรรมดา—จำนวนไม่ได้แสดงถึงสิ่งใด—แต่ในที่นี้มีการแสดงออกที่สำคัญมากจากพระอุปนิสัยของพระเจ้าอยู่  พระเจ้าจะไม่ทรงทำลายเมืองนั้นเพราะคนชอบธรรมห้าสิบคน  การนี้เป็นเพราะความกรุณาของพระเจ้าใช่หรือไม่?  มันเป็นเพราะความรักและความยอมผ่อนปรนของพระองค์ใช่หรือไม่?  พวกเจ้ามองเห็นพระอุปนิสัยด้านนี้ของพระเจ้าแล้วหรือไม่?  ถึงแม้ว่าจะมีผู้ชอบธรรมเพียงสิบคนเท่านั้น พระเจ้าก็คงจะไม่ทรงทำลายเมืองนี้ เนื่องจากผู้คนที่ชอบธรรมสิบคนเหล่านี้  นี่ใช่หรือไม่ใช่ความยอมผ่อนปรนและความรักของพระเจ้า?  เพราะความกรุณา ความยอมผ่อนปรน และความห่วงใยของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้คนที่ชอบธรรมเหล่านั้น พระองค์คงจะไม่ทรงทำลายเมืองนี้ลง  นี่คือความยอมผ่อนปรนของพระเจ้า และในที่สุด พวกเรามองเห็นบทอวสานใด?  เมื่ออับราฮัมได้กล่าวว่า  “สมมุติว่า ทรงพบเพียงสิบคนที่นั่น” พระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่ทำลาย”  หลังจากนั้น อับราฮัมก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก—เพราะภายในเมืองโสโดมไม่มีผู้ชอบธรรมสิบคนที่เขาอ้างถึง และเขาก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดอีก และในเวลานั้น เขาได้เข้าใจว่าเหตุใดพระเจ้าจึง ได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะทำลายเมืองโสโดม  ในการนี้ เจ้าเห็นพระอุปนิสัยใดของพระเจ้า?  พระเจ้าได้ทรงตั้งปณิธานประเภทใด?  พระเจ้าได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ว่า หากเมืองนี้ไม่มีผู้ชอบธรรมสิบคน พระองค์จะไม่ทรงอนุญาตให้มันมีอยู่ และจะทรงทำลายมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  นี่ไม่ใช่พระพิโรธของพระเจ้าหรอกหรือ?  พระพิโรธนี้เป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าใช่หรือไม่?  พระอุปนิสัยนี้เป็นการเปิดเผยถึงเนื้อแท้ที่บริสุทธิ์ของพระเจ้าใช่หรือไม่  มันเป็นการเปิดเผยถึงเนื้อแท้ที่ชอบธรรมของพระเจ้า ที่มนุษย์ต้องไม่ทำให้ขุ่นเคืองใช่หรือไม่?  เมื่อได้มีการยืนยันแล้วว่าไม่มีผู้ชอบธรรมสิบคนในเมืองโสโดม พระเจ้าจึงแน่พระทัยที่จะทำลายเมืองนี้ และจะลงโทษผู้คนภายในเมืองนั้นอย่างรุนแรง เพราะพวกเขาได้ต่อต้านพระเจ้า และเพราะพวกเขาโสมมและเสื่อมทรามยิ่งนัก

เหตุใดพวกเราจึงได้วิเคราะห์บทตอนเหล่านี้ในหนทางนี้?  เป็นเพราะประโยคที่เรียบง่ายไม่กี่ประโยคเหล่านี้ให้การแสดงออกอย่างเต็มที่ถึงพระอุปนิสัยที่มีความกรุณาล้นเหลือและพระพิโรธที่ล้ำลึกของพระเจ้า  ในเวลาเดียวกันกับที่ทรงทะนุถนอมความล้ำค่าของคนชอบธรรม และทรงมีความกรุณา ความยอมผ่อนปรน และการใส่พระทัยต่อพวกเขา ในพระทัยของพระเจ้าก็มีความเกลียดชังลึกซึ้งต่อพวกเขาทั้งหมดในเมืองโสโดมที่ได้เสื่อมทรามไปแล้ว  นี่ใช่หรือไม่ใช่ความกรุณาอันล้นเหลือและพระพิโรธที่ล้ำลึก?  พระเจ้าได้ทรงทำลายเมืองนี้ด้วยวิธีใด?  ด้วยไฟ  และเหตุใดพระองค์จึงได้ทรงทำลายมันโดยใช้ไฟ?  เมื่อเจ้ามองเห็นบางสิ่งบางอย่างกำลังถูกเผาไหม้ด้วยไฟ หรือเมื่อเจ้ากำลังจะเผาบางสิ่งบางอย่าง เจ้ารู้สึกอย่างไรกับมัน?  เหตุใดเจ้าจึงต้องการที่จะเผามัน?  เจ้ารู้สึกว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องมีมันอีกต่อไปแล้ว ว่าเจ้าไม่ปรารถนาที่จะมองดูมันอีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่?  เจ้าต้องการละทิ้งมันใช่หรือไม่?  การที่พระเจ้าทรงใช้ไฟหมายถึงการละทิ้ง และการเกลียดชัง และหมายความว่าพระองค์ไม่ทรงปรารถนาที่จะทอดพระเนตรเห็นเมืองโสโดมอีกต่อไป  นี่คืออารมณ์ที่ทำให้พระเจ้าทรงเผาผลาญเมืองโสโดมด้วยไฟ  การใช้ไฟเป็นสิ่งแทนแค่ว่าพระเจ้ากริ้วเพียงใด  ความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระเจ้ามีอยู่จริง แต่ความบริสุทธิ์และความชอบธรรมของพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ออกมาก็แสดงให้มนุษย์เห็นด้านที่พระเจ้าไม่ทรงยอมทนต่อการทำให้ขุ่นเคืองด้วยเช่นกัน  เมื่อมนุษย์มีความสามารถเต็มที่ในการเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้าและกระทำการสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ต่างๆ ของพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงเปี่ยมล้นไปด้วยความกรุณาของพระองค์ต่อมนุษย์ เมื่อมนุษย์เต็มไปด้วยความเสื่อมทราม ความเกลียดชังและความเป็นปรปักษ์ต่อพระองค์ พระเจ้าก็กริ้วอย่างล้ำลึก  พระองค์กริ้วอย่างล้ำลึกถึงระดับใด?  พระพิโรธของพระองค์จะมีอยู่จนกระทั่งพระเจ้าไม่ทอดพระเนตรเห็นการต้านทานและความประพฤติต่างๆ ที่ชั่วร้ายของมนุษย์อีกต่อไป จนกระทั่งพวกเขาไม่อยู่ในสายพระเนตรของพระองค์อีกต่อไป  เมื่อนั้นเท่านั้นที่ความกริ้วของพระเจ้าจะหายไป  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่สำคัญว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร หากหัวใจของพวกเขากลายเป็นห่างไกลจากพระเจ้าและหันไปจากพระเจ้า โดยไม่มีวันย้อนกลับมา เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะปรารถนาที่จะนมัสการและติดตามและเชื่อฟังพระเจ้าในกายของพวกเขาหรือในการคิดของพวกเขาในทุกการปรากฏหรือในแง่ของความปรารถนาที่อยู่ในใจของพวกเขาอย่างไรก็ตาม พระพิโรธของพระเจ้าก็จะถูกปลดปล่อยออกมาโดยไม่มีหยุด  มันจะเป็นจนถึงขั้นที่เมื่อพระเจ้าทรงปลดปล่อยความกริ้วของพระองค์ออกมาอย่างลึกซึ้ง เมื่อได้ให้โอกาสอย่างล้นเหลือกับมนุษย์แล้ว ทันทีที่มันถูกปลดปล่อยออกมาก็จะไม่มีหนทางใดที่จะเอามันกลับไปได้ และพระองค์จะไม่มีวันทรงกรุณาและยอมผ่อนปรนให้กับมวลมนุษย์เช่นนั้นอีกครั้ง  นี่คือด้านหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ไม่ยอมผ่อนปรนต่อการทำให้ขุ่นเคืองใดๆ  ณ ที่นี้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้คนที่พระเจ้าจะทรงทำลายเมืองหนึ่ง เพราะในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว เมืองหนึ่งที่เต็มไปด้วยบาปจะไม่สามารถดำรงอยู่และคงอยู่ต่อไปได้ และมันสมเหตุสมผลที่มันจะต้องถูกพระเจ้าทรงทำลาย  แต่กระนั้นในสิ่งที่ได้เกิดขึ้นก่อนหน้าและหลังจากการทำลายล้างเมืองโสโดมของพระองค์ พวกเราก็มองเห็นความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระอุปนิสัยของพระเจ้า  พระองค์ทรงยอมผ่อนปรนและทรงกรุณาต่อสิ่งต่างๆ ที่ใจดีและสวยงามและดี สำหรับสิ่งทั้งหลายที่ชั่วร้าย เต็มไปด้วยบาป และเลวทรามนั้น พระเจ้าทรงพิโรธอย่างล้ำลึก จนถึงขั้นที่พระองค์จะไม่ทรงหยุดพระพิโรธของพระองค์  เหล่านี้คือสองแง่มุมที่เป็นหลักการและเด่นชัดมากที่สุดจากพระอุปนิสัยของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนจบ นั่นคือ ความกรุณาอันล้นเหลือและพระพิโรธที่ล้ำลึก  พวกเจ้าส่วนใหญ่ได้รับประสบการณ์กับบางสิ่งบางอย่างจากความกรุณาของพระเจ้าแล้ว แต่พวกเจ้าน้อยคนนักที่ได้ซึ้งคุณค่ากับพระพิโรธของพระเจ้า  ความกรุณาและความรักมั่นคงของพระเจ้าสามารถมองเห็นได้ในทุกบุคคล กล่าวคือ พระเจ้าทรงกรุณาอย่างล้นเหลือต่อทุกบุคคล แต่กระนั้นก็สามารถกล่าวได้ว่า พระเจ้าแทบจะไม่หรือไม่เคยที่จะกริ้วอย่างล้ำลึกต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือผู้คนส่วนใดๆ ท่ามกลางพวกเจ้า  จงผ่อนคลายเถิด!  ไม่ช้าก็เร็ว ทุกบุคคลจะได้เห็นและได้รับประสบการณ์กับพระพิโรธของพระเจ้า แต่บัดนี้ยังไม่ถึงเวลานั้น  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้  นั่นเป็นเพราะเมื่อพระเจ้ากริ้วใครบางคนอยู่เป็นนิตย์ กล่าวคือ เมื่อพระเจ้าทรงปลดปล่อยพระพิโรธอันล้ำลึกของพระองค์ต่อพวกเขา นี่หมายความว่าพระองค์ได้ทรงรังเกียจและปฏิเสธบุคคลผู้นี้มานานแล้ว ว่าพระองค์ทรงชิงชังการดำรงอยู่ของพวกเขา และว่าพระองค์ไม่ทรงสามารถทนต่อการดำรงอยู่ของพวกเขาได้ ทันทีที่ความกริ้วของพระองค์เกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาจะหายไป  วันนี้ พระราชกิจของพระเจ้ายังไม่มาถึงจุดนั้น  ไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเจ้าจะสามารถแบกรับมันเมื่อพระเจ้าทรงกลับกลายเป็นกริ้วอย่างล้ำลึก  เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าจึงเห็นว่า ณ เวลานี้ พระเจ้าทรงเพียงแต่กรุณาอย่างล้นเหลือต่อพวกเจ้าทุกคน และพวกเจ้ายังไม่ได้เห็นความกริ้วที่ล้ำลึกของพระองค์  หากยังมีผู้คนที่ยังคงไม่เชื่อ พวกเจ้าสามารถขอให้พระพิโรธของพระเจ้าเกิดขึ้นแก่พวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าอาจจะได้รับประสบการณ์ว่าความกริ้วของพระเจ้าและพระอุปนิสัยของพระองค์ที่ไม่ยอมทนให้มนุษย์ทำให้ขุ่นเคืองนั้นมีอยู่จริงๆ หรือไม่  พวกเจ้ากล้าหรือไม่?

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 38

ผู้คนในยุคสุดท้ายมองเห็นเพียงพระพิโรธของพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์ และไม่ได้รับประสบการณ์กับพระพิโรธของพระเจ้าอย่างแท้จริง

นับจากยุคแห่งการทรงสร้างมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่มีกลุ่มใดได้ชื่นชมพระคุณหรือความกรุณาและความรักมั่นคงของพระเจ้ามากเท่ากับกลุ่มสุดท้ายนี้  ถึงแม้ว่าในช่วงระยะสุดท้ายพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอน และได้ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ด้วยพระบารมีและพระพิโรธ แต่ส่วนใหญ่แล้วพระเจ้าทรงใช้เพียงพระวจนะเท่านั้นในการทำให้พระราชกิจของพระองค์สำเร็จลุล่วง พระองค์ทรงใช้พระวจนะเพื่อสอนและรดน้ำ เพื่อจัดเตรียมและให้อาหาร  ในขณะเดียวกัน พระพิโรธของพระเจ้าได้ถูกเก็บซ่อนไว้อยู่เสมอ และนอกจากการรับประสบการณ์กับพระอุปนิสัยที่เต็มไปด้วยพระพิโรธของพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์แล้ว มีผู้คนน้อยมากที่ได้รับประสบการณ์กับความกริ้วของพระองค์แบบต่อหน้าต่อตา  กล่าวคือ ในช่วงระหว่างพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า ถึงแม้ว่าพระพิโรธที่เปิดเผยอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าจะเปิดโอกาสให้ผู้คนได้รับประสบการณ์กับพระบารมีของพระเจ้าและความไม่ยอมผ่อนปรนกับการทำให้ขุ่นเคืองของพระองค์ พระพิโรธนี้ไม่ได้เกินไปกว่าพระวจนะของพระองค์  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อตำหนิมนุษย์ เปิดโปงมนุษย์ พิพากษามนุษย์ ตีสอนมนุษย์ และแม้กระทั่งประณามมนุษย์—แต่พระเจ้ายังไม่ได้กริ้วมนุษย์อย่างล้ำลึก และแทบจะไม่ถึงขั้นได้ทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ต่อมนุษย์เว้นแต่ด้วยพระวจนะของพระองค์  ด้วยเหตุนี้ ความกรุณาและความรักมั่นคงของพระเจ้าที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์ในยุคนี้จึงเป็นการเปิดเผยพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้า ในขณะที่พระพิโรธของพระเจ้าที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์นั้นก็เป็นแค่ผลของพระกระแสเสียงและความรู้สึกจากพระดำรัสของพระองค์  ผู้คนจำนวนมากถือเอาอย่างผิดๆ ว่าผลนี้คือการได้รับประสบการณ์ที่แท้จริงและความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระพิโรธของพระเจ้า  ดังนั้น ผู้คนส่วนใหญ่จึงเชื่อว่าพวกเขาได้เห็นความกรุณาและความรักมั่นคงของพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์ ว่าพวกเขาได้เห็นความยอมผ่อนปรนของพระองค์ต่อการทำให้ขุ่นเคืองของมนุษย์ด้วยเช่นกัน และพวกเขาส่วนใหญ่ถึงขั้นได้มาซึ้งคุณค่าต่อความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์  แต่ไม่สำคัญว่าพฤติกรรมของมนุษย์จะไม่ดีเพียงใด หรืออุปนิสัยของเขาจะเสื่อมทรามเพียงใด พระเจ้าก็ทรงทนฝ่าเสมอ  ในการทนฝ่านั้น จุดมุ่งหมายของพระองค์คือการรอคอยให้พระวจนะที่พระองค์ได้ตรัสไป ความพากเพียรที่พระองค์ได้ทรงทำไป และราคาที่พระองค์ได้ทรงจ่ายไปสัมฤทธิ์ผลในบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะได้รับ  การรอคอยบทอวสานเช่นนี้ต้องใช้เวลา และพึงประสงค์การทรงสร้างสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันเพื่อมนุษย์ ในวิธีเดียวกันกับที่ผู้คนไม่กลายเป็นผู้ใหญ่ทันทีที่พวกเขาเกิด ต้องใช้เวลาสิบแปดหรือสิบเก้าปี และบางคนถึงขั้นจำเป็นต้องใช้เวลายี่สิบหรือสามสิบปีก่อนที่พวกเขาจะเติบโตเต็มที่เป็นผู้ใหญ่จริงๆ  พระเจ้าทรงรอการครบบริบูรณ์ของกระบวนการนี้ พระองค์ทรงรอการมาถึงของเวลาเช่นนั้น และพระองค์ทรงรอการมาถึงของบทอวสานนี้  ตลอดเวลาที่พระองค์ทรงรอนั้น พระเจ้าทรงเปี่ยมกรุณาอย่างล้นเหลือ  อย่างไรก็ตาม ในระหว่างช่วงเวลานั้นของพระราชกิจของพระองค์ ผู้คนจำนวนน้อยอย่างยิ่งที่ถูกบดขยี้ลง และบางคนถูกลงโทษเนื่องจากการต่อต้านพระเจ้าอย่างร้ายแรงของพวกเขา  ตัวอย่างเช่นนี้เป็นข้อพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ไม่ยอมทนการทำให้ขุ่นเคืองของมนุษย์ และยืนยันอย่างเต็มที่ถึงการมีอยู่จริงของความยอมผ่อนปรนและความทรหดอดทนของพระเจ้าที่มีต่อบรรดาผู้ที่ได้รับเลือกสรร  แน่นอนว่าในตัวอย่างตามแบบฉบับเหล่านี้ การเปิดเผยพระอุปนิสัยบางส่วนของพระเจ้าในผู้คนเหล่านี้ไม่ได้กระทบกับแผนการบริหารจัดการโดยรวมของพระเจ้า  ในข้อเท็จจริงนั้น ช่วงระยะสุดท้ายแห่งพระราชกิจของพระเจ้านี้ พระเจ้าทรงทนฝ่าตลอดช่วงเวลาที่พระองค์กำลังทรงรอคอย และพระองค์ได้ทรงแลกเปลี่ยนความทรหดอดทนของพระองค์กับพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อความรอดของบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์  พวกเจ้ามองเห็นสิ่งนี้หรือไม่?  พระเจ้าไม่ทรงล้มเลิกแผนของพระองค์โดยไม่มีเหตุผล  พระองค์ทรงสามารถปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ และพระองค์ทรงสามารถเปี่ยมกรุณาด้วยเช่นกัน นี่คือการเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระเจ้าสองส่วนหลักๆ สิ่งนี้ชัดเจนอย่างยิ่งหรือไม่ใช่?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อกล่าวถึงพระเจ้า ถูกและผิด ยุติธรรมและอยุติธรรม เป็นเชิงบวกและเป็นเชิงลบ—ทั้งหมดนี้แสดงให้มนุษย์เห็นอย่างชัดเจน  สิ่งที่พระองค์จะทรงทำ สิ่งที่พระองค์ถูกพระทัย สิ่งที่พระองค์ทรงเกลียดชัง—ทั้งหมดนี้สามารถสะท้อนให้เห็นได้โดยตรงในพระอุปนิสัยของพระองค์  สิ่งต่างๆ เช่นนี้ยังสามารถมองเห็นได้อย่างแจ่มแจ้งและอย่างชัดเจนอย่างยิ่งในพระราชกิจของพระเจ้าด้วยเช่นกัน และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้คลุมเครือหรือธรรมดาสามัญ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น สิ่งเหล่านี้เปิดโอกาสให้ผู้คนทั้งหมดมองเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นในลักษณะที่เป็นรูปธรรม เที่ยงแท้ และสัมพันธ์กับชีวิตจริง  นี่คือพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 39

พระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่เคยถูกซ่อนเร้นจากมนุษย์—หัวใจของมนุษย์ได้ไถลห่างไปจากพระเจ้าแล้ว

นับตั้งแต่เวลาแห่งการทรงสร้าง พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นเข้ากันได้กับพระราชกิจของพระองค์  มันไม่เคยถูกซ่อนเร้นไปจากมนุษย์ แต่ได้เป็นที่เปิดเผยและถูกทำให้ชัดเจนต่อมนุษย์อย่างเต็มที่  แต่ทว่าด้วยเวลาที่ผ่านไป หัวใจของมนุษย์ก็เริ่มห่างไกลจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และขณะที่ความเสื่อมทรามของมนุษย์กลายเป็นลุ่มลึกยิ่งขึ้น มนุษย์กับพระเจ้าก็ได้กลายเป็นแยกห่างจากกันไกลยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  มนุษย์ได้หายไปจากสายพระเนตรของพระเจ้าอย่างช้าๆ แต่แน่นอน  มนุษย์ได้กลายเป็นไร้ความสามารถที่จะ “มองเห็น” พระเจ้า ซึ่งได้ทรงทิ้งเขาไปโดยไม่มี “ข่าวคราว” ใดๆ เกี่ยวกับพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่ และแม้กระทั่งไปไกลจนถึงขั้นปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  ดังนั้น การที่มนุษย์ไม่มีการจับใจความพระอุปนิสัยของพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนั้น ไม่ใช่เพราะพระเจ้าทรงซ่อนเร้นจากมนุษย์ แต่เพราะหัวใจของเขาได้หันไปจากพระเจ้าแล้ว  ถึงแม้ว่ามนุษย์จะเชื่อในพระเจ้า แต่หัวใจของมนุษย์ก็ปราศจากพระเจ้า และเขาไม่รู้เท่าทันว่าจะรักพระเจ้าอย่างไร อีกทั้งเขาไม่ต้องการที่จะรักพระเจ้า เพราะหัวใจของเขานั้นไม่เคยมาใกล้ชิดกับพระเจ้าและเขาหลีกเลี่ยงพระเจ้าอยู่เสมอ  ผลก็คือ หัวใจของมนุษย์อยู่ห่างไกลจากพระเจ้า  ดังนั้น หัวใจของเขาอยู่ที่ใด?  แท้ที่จริงแล้ว หัวใจของมนุษย์ไม่ได้ไปที่ใด กล่าวคือ แทนที่จะมอบมันให้แก่พระเจ้าหรือเปิดเผยมันเพื่อให้พระเจ้าทอดพระเนตรเห็น เขากลับเก็บมันไว้เพื่อตัวเขาเอง  นั่นคือ ถึงแม้จะมีข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนบางคนมักจะอธิษฐานต่อพระเจ้าและกล่าวบ่อยครั้งว่า “โอ้พระเจ้า โปรดทอดพระเนตรหัวใจของข้าพระองค์—พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งที่ข้าพระองค์คิด” และบางคนถึงขั้นปฏิญาณที่จะให้พระเจ้าทอดพระเนตรพวกเขา ว่าพวกเขาอาจจะถูกลงโทษหากพวกเขาผิดคำสาบาน  ถึงแม้ว่ามนุษย์จะยอมให้พระเจ้าทอดพระเนตรภายในหัวใจของเขา แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์สามารถเชื่อฟังการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้ อีกทั้งไม่ได้หมายความว่าเขาได้ปล่อยให้ชะตากรรมและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเขาและทั้งหมดของเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเจ้าจะทำการสาบานกับพระเจ้าอย่างไรหรือเจ้าจะประกาศกับพระองค์อย่างไร ในสายพระเนตรของพระเจ้าหัวใจของเจ้าก็ยังคงปิดต่อพระองค์ เพราะเจ้าเพียงยอมให้พระเจ้าทอดพระเนตรหัวใจของเจ้าเท่านั้นแต่ไม่ได้อนุญาตให้พระองค์ทรงควบคุมมัน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เจ้าไม่เคยมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้าเลย และเพียงแค่พูดคำพูดที่ฟังดูดีให้พระเจ้าทรงได้ยิน ในขณะเดียวกัน เจ้าก็ซ่อนเร้นเจตนาที่หลอกลวงต่างๆ จากพระเจ้า รวมทั้งเล่ห์เพทุบาย การวางแผนร้าย และแผนของเจ้า และเจ้าจับยึดความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้และชะตากรรมของเจ้าไว้ในมือเจ้า กลัวอยู่ลึกๆ ว่าพระเจ้าจะทรงเอาสิ่งเหล่านั้นไป  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงไม่เคยทรงมองเห็นความจริงใจต่อพระองค์ของมนุษย์  ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงเฝ้าสังเกตส่วนลึกในหัวใจของมนุษย์ และสามารถมองเห็นสิ่งที่มนุษย์กำลังคิดและความปรารถนาที่จะทำในหัวใจของเขา และสามารถมองเห็นว่าสิ่งใดที่ถูกเก็บอยู่ภายในหัวใจของเขา แต่หัวใจของมนุษย์ก็ไม่ได้เป็นของพระเจ้า และเขาไม่เคยมอบมันให้อยู่ในการควบคุมของพระเจ้า  กล่าวคือ พระเจ้าทรงมีสิทธิ์ที่จะเฝ้าสังเกต แต่พระองค์ไม่ทรงมีสิทธิ์ที่จะควบคุม  ในจิตสำนึกภายในใจของมนุษย์นั้น มนุษย์ไม่ต้องการหรือมีเจตนาที่จะมอบตัวเขาเองให้กับการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  มนุษย์ไม่เพียงแค่ปิดตัวเขาเองจากพระเจ้า แต่มีแม้กระทั่งผู้คนที่คิดถึงวิธีที่จะห่อหุ้มหัวใจของพวกเขา โดยใช้คำพูดที่ระรื่นหูและการประจบสอพลอเพื่อสร้างความประทับใจเท็จขึ้นมาแล้วได้รับความไว้วางพระทัยจากพระเจ้า และปกปิดโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาไม่ให้พระเจ้าทอดพระเนตรเห็น  จุดมุ่งหมายของพวกเขาที่จะไม่ยอมให้พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นก็คือเพื่อที่จะไม่ยอมให้พระเจ้าทรงล่วงรู้ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาเป็นอย่างไร  พวกเขาไม่ต้องการที่จะมอบหัวใจของพวกเขาแด่พระเจ้า แต่ต้องการที่จะเก็บมันไว้เพื่อตัวพวกเขาเอง  เนื้อหาย่อยของการนี้ก็คือว่า สิ่งที่มนุษย์ทำและสิ่งที่เขาต้องการทั้งหมดนั้นได้ถูกวางแผน คิดคำนวณ และตัดสินใจโดยมนุษย์ด้วยตัวเขาเอง เขาไม่พึงประสงค์การมีส่วนร่วมหรือการแทรกแซงของพระเจ้า นับประสาอะไรที่เขาจะต้องการการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของพระบัญญัติของพระเจ้า พระบัญชาของพระองค์ หรือข้อพึงประสงค์ต่างๆ ที่พระเจ้าทรงกำหนดจากมนุษย์ การตัดสินใจของมนุษย์ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเจตนาและความสนใจของเขาเอง บนพื้นฐานของสภาวะและรูปการณ์แวดล้อม ณ เวลานั้นของเขาเอง  มนุษย์มักใช้ความรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่เขาคุ้นเคย และสติปัญญาของเขาเอง เพื่อตัดสินและเลือกเส้นทางที่เขาควรจะเดินอยู่เสมอ และไม่ยอมให้มีการแทรกแซงหรือการควบคุมจากพระเจ้า  นี่คือหัวใจของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงมองเห็น

จากปฐมกาลจนกระทั่งถึงวันนี้ มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สามารถสนทนากับพระเจ้าได้  กล่าวคือ ท่ามกลางสรรพสิ่งที่มีชีวิตและสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงของพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากมนุษย์ที่สามารถสนทนากับพระเจ้าได้  มนุษย์มีหูที่ทำให้เขาสามารถรับฟังได้ และตาที่ทำให้เขามองเห็น เขามีภาษา และมีแนวคิดของเขาเอง และมีเจตจำนงเสรี  เขาครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต้องมีในการรับฟังพระเจ้าตรัส และเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และยอมรับพระบัญชาของพระเจ้า และดังนั้นพระเจ้าจึงทรงประสาทความปรารถนาทั้งหมดของพระเจ้าให้กับมนุษย์ โดยทรงต้องประสงค์ที่จะทำให้มนุษย์เป็นสหายผู้มีจิตใจเดียวกันกับพระองค์และผู้ที่สามารถเดินไปกับพระองค์ได้  นับตั้งแต่พระองค์ได้ทรงเริ่มต้นบริหารจัดการ พระเจ้ากำลังทรงรอคอยอยู่ตลอดเวลาที่จะให้มนุษย์มอบหัวใจของเขาแก่พระองค์ ยอมให้พระองค์ชำระมันให้บริสุทธิ์และสวมใส่มัน เพื่อทำให้เขาเป็นที่พึงพอพระทัยของพระเจ้าและเป็นที่รักของพระเจ้า เพื่อทำให้เขาเคารพพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  พระเจ้าทอดพระเนตรไปข้างหน้าและรอคอยบทอวสานนี้มาตลอด

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 40

การประเมินโยบโดยพระเจ้าและในพระคัมภีร์

โยบ 1:1  มีชายคนหนึ่งในแผ่นดินอูส ชื่อโยบ ชายคนนั้นเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย

โยบ 1:5  และเมื่องานเลี้ยงเวียนครบรอบแล้ว โยบจะทำพิธีชำระตัวเขาทั้งหลายให้บริสุทธิ์ และท่านจะตื่นแต่เช้ามืด ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวตามจำนวนของเขาทั้งหมด เพราะโยบกล่าวว่า “บางทีลูกๆ ของข้าได้ทำบาปและแช่งพระเจ้าในใจ” โยบทำอย่างนี้เรื่อยมา

โยบ 1:8  และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย?”

ประเด็นหลักสำหรับที่พวกเจ้ามองเห็นในบทตอนเหล่านี้คืออะไร?  บทตอนสั้นๆ สามบทเหล่านี้จากข้อพระคัมภีร์ล้วนเกี่ยวพันกับโยบ  ถึงแม้ว่าจะสั้น แต่บทตอนเหล่านี้ก็ระบุอย่างชัดเจนว่าเขาเป็นคนประเภทใด  บทตอนเหล่านี้บอกให้ทุกคนรู้โดยผ่านทางการพรรณนาถึงพฤติกรรมทุกๆ วันของโยบและการประพฤติของเขาว่า การประเมินโยบของพระเจ้านั้นมีรากฐานอย่างดีแทนที่จะเป็นไปโดยไร้เหตุผล  บทตอนเหล่านี้บอกพวกเราว่า ไม่ว่าจะเป็นการประเมินค่าโยบของมนุษย์ (โยบ 1:1) หรือเป็นการประเมินค่าเขาของพระเจ้า (โยบ 1:8)  การประเมินค่าทั้งสองนั้นก็เป็นผลลัพธ์จากความประพฤติของโยบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้ามนุษย์ (โยบ 1:5)

ก่อนอื่น พวกเรามาอ่านบทตอนแรกกันเถิด ความว่า “มีชายคนหนึ่งในแผ่นดินอูส ชื่อโยบ ชายคนนั้นเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย” นี่คือการประเมินโยบครั้งแรกในพระคัมภีร์ และประโยคนี้เป็นการประเมินค่าโยบของผู้ประพันธ์  มันยังเป็นตัวแทนของการประเมินโยบของมนุษย์ด้วยโดยธรรมชาติ ซึ่งก็คือ “ชายคนนั้นเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย”  ถัดไป เรามาอ่านการประเมินโยบของพระเจ้ากันเถิด ความว่า  “ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย”  ในการประเมินทั้งสองนี้ ครั้งหนึ่งมาจากมนุษย์ และครั้งหนึ่งมีต้นกำเนิดมาจากพระเจ้า บทตอนเหล่านี้คือการประเมินสองครั้งนี้มีเนื้อหาแบบเดียวกัน  เช่นนั้นแล้ว สามารถเห็นได้ว่ามนุษย์รู้เกี่ยวกับพฤติกรรมและการประพฤติของโยบ และพระเจ้าก็สรรเสริญพฤติกรรมและการประพฤติของเขาด้วยเช่นกัน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การประพฤติของโยบต่อหน้ามนุษย์และการประพฤติของเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้านั้นเป็นแบบเดียวกัน เขาได้กำหนดพฤติกรรมและแรงจูงใจของเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่พระเจ้าอาจจะได้ทรงสังเกตเห็นสิ่งเหล่านั้น และเขาคือผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ด้วยเหตุนี้ ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้วนั้น ในบรรดาผู้คนบนแผ่นดินโลกมีเพียงโยบเท่านั้นที่ดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว

การสำแดงออกที่เจาะจงถึงความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วของโยบในชีวิตประจำวันของเขา

ต่อไป พวกเรามาดูที่การสำแดงออกที่เจาะจงถึงความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วของโยบกันเถิด  นอกเหนือจากบทตอนต่างๆ ที่มาก่อนและตามหลังบทนี้แล้ว พวกเรามาอ่านโยบ 1:5 กันเถิด ซึ่งเป็นบทตอนเกี่ยวกับการสำแดงออกที่เจาะจงถึงความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วของโยบ  มันเกี่ยวกับว่าเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอย่างไรในชีวิตประจำวันของเขา ที่โดดเด่นมากที่สุดก็คือ เขาไม่เพียงแค่ได้ทำอย่างที่เขาควรจะทำเพื่อประโยชน์ของตัวเขาเองในการมีความยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเท่านั้น แต่ยังได้พลีอุทิศเครื่องบูชาเผาทั้งตัวเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแทนบุตรชายทั้งหลายของเขาอย่างสม่ำเสมอด้วย  เขากลัวว่าพวกเขามักจะ “ได้ทำบาปและแช่งพระเจ้าในใจ” ในขณะที่มีงานเลี้ยง  ความยำเกรงนี้สำแดงอยู่ในตัวโยบอย่างไร?  ตัวบทเดิมบอกเรื่องราวดังต่อไปนี้ “และเมื่องานเลี้ยงเวียนครบรอบแล้ว โยบจะทำพิธีชำระตัวเขาทั้งหลายให้บริสุทธิ์ และท่านจะตื่นแต่เช้ามืด ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวตามจำนวนของเขาทั้งหมด”  การประพฤติของโยบแสดงให้พวกเราเห็นว่า ความยำเกรงพระเจ้าของเขาออกมาจากภายในหัวใจของเขาแทนที่จะถูกสำแดงอยู่ในพฤติกรรมภายนอกของเขา และว่าความยำเกรงพระเจ้าของเขาสามารถพบได้ในทุกแง่มุมจากชีวิตประจำวันของเขาตลอดเวลานั้น ก็เพราะเขาไม่เพียงแต่หลบเลี่ยงความชั่วให้ตัวเขาเองเท่านั้น แต่ยังได้พลีอุทิศเครื่องบูชาเผาทั้งตัวในนามบุตรชายทั้งหลายของเขาบ่อยๆ ด้วย  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ โยบไม่เพียงแต่กลัวอย่างลึกซึ้งที่จะทำบาปต่อพระเจ้าและประกาศตัดขาดกับพระเจ้าในใจของเขาเองเท่านั้น แต่ยังกังวลว่าบุตรชายทั้งหลายของเขาอาจจะทำบาปต่อพระเจ้าและประกาศตัดขาดกับพระองค์ในใจของพวกเขาด้วย  จากการนี้สามารถมองเห็นได้ว่า ความจริงเกี่ยวกับความยำเกรงพระเจ้าของโยบนั้นยืนหยัดต่อการตรวจสอบ และอยู่เหนือข้อสงสัยของมนุษย์คนใด  เขาทำดังนั้นเป็นบางโอกาสหรือทำเป็นประจำ?  ประโยคสุดท้ายของตัวบทคือ “โยบทำอย่างนี้เรื่อยมา”  ความหมายของพระวจนะเหล่านี้ก็คือว่า โยบไม่ได้ไปตรวจดูบุตรชายทั้งหลายของเขาเป็นบางโอกาส หรือเมื่อเขาพอใจที่จะทำ อีกทั้งเขาไม่ได้สารภาพกับพระเจ้าโดยผ่านทางการอธิษฐาน  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับทำพิธีชำระตัวบุตรชายทั้งหลายของเขาให้บริสุทธิ์เป็นประจำ และได้พลีอุทิศเครื่องบูชาเผาทั้งเป็นเพื่อพวกเขา  คำว่า “เรื่อยมา” ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเขาทำเช่นนั้นเป็นเวลาหนึ่งหรือสองวัน หรือชั่วขณะหนึ่ง  นี่กำลังกล่าวว่าการสำแดงออกถึงความยำเกรงพระเจ้าของโยบนั้นไม่ใช่ชั่วคราว และไม่ได้หยุดที่ความรู้หรือพระวจนะที่ตรัสไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น หนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้นำทางหัวใจของเขา มันได้บอกบทพฤติกรรมของเขา และในหัวใจของเขานั้นมันเป็นรากเหง้าแห่งการดำรงอยู่ของเขา  การที่เขาได้ทำเช่นนั้นอย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นว่า เขามักจะยำเกรงอยู่ในหัวใจของเขาว่าเขาจะทำบาปต่อพระเจ้าด้วยตัวเขาเอง และยังเกรงกลัวด้วยว่าบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขาจะทำบาปต่อพระเจ้า  มันแสดงให้เห็นว่าหนทางแห่งความยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วมีน้ำหนักมากเพียงใดภายในหัวใจของเขา เขาได้ทำดังนั้นเรื่อยมาก็เพราะภายในหัวใจของเขานั้น เขาหวาดผวาและกลัว—กลัวว่าเขาได้ก่อความชั่วและทำบาปต่อพระเจ้าแล้ว และกลัวว่าเขาได้เบี่ยงเบนไปจากหนทางของพระเจ้าแล้ว และดังนั้นก็จะไม่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้  ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็กังวลเกี่ยวกับบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขาด้วย โดยเกรงว่าพวกเขาได้ทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคือง  เช่นนั้นเองคือการประพฤติปกติของโยบในชีวิตประจำวันของเขา  แน่นอนว่าการประพฤติปกตินี้นั่นเองที่พิสูจน์ว่าการที่โยบมีความยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วนั้นไม่ใช่ถ้อยคำที่ว่างเปล่า ว่าโยบดำรงชีวิตตามความเป็นจริงเช่นนั้นอย่างแท้จริง  “โยบทำอย่างนี้เรื่อยมา”  พระวจนะเหล่านี้บอกให้พวกเรารู้ถึงความประพฤติประจำวันของโยบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เมื่อเขาได้ทำดังนั้นอย่างต่อเนื่อง พฤติกรรมของเขาและหัวใจของเขาได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรือไม่?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้ามักจะพึงพอพระทัยกับหัวใจของเขาและพฤติกรรมของเขาหรือไม่?  เช่นนั้นแล้ว โยบทำอย่างนั้นเรื่อยมาในสภาวะใดและในบริบทใด?  ผู้คนบางคนกล่าวว่า “นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงปรากฏองค์แก่โยบเป็นประจำเขาจึงกระทำดังนั้น”  บางคนกล่าวว่า “เขาทำอย่างนั้นเรื่อยมาก็เพราะเขามีเจตจำนงที่จะหลบเลี่ยงความชั่ว”  และบางคนก็กล่าวว่า “บางทีเขาอาจจะคิดว่าโชคของเขาไม่ได้มาอย่างง่ายดาย และเขารู้ว่าพระเจ้าได้ประทานมันให้แก่เขา และดังนั้นเขาจึงกลัวอยู่ลึกๆ ว่าจะสูญเสียทรัพย์สินของเขาไปอันเป็นผลจากการทำบาปต่อพระเจ้าหรือล่วงเกินพระเจ้า”  คำกล่าวอ้างเหล่านี้เป็นจริงบ้างหรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าไม่  เพราะในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้วนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงยอมรับและทรงเชิดชูมากที่สุดเกี่ยวกับโยบไม่ใช่เพียงแค่ว่าเขาทำอย่างนั้นเรื่อยมา ที่มากไปกว่านั้น นั่นก็คือการประพฤติของเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า มนุษย์ และซาตาน เมื่อเขาถูกส่งมอบให้กับซาตานและถูกทดลอง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 41

ซาตานทดลองโยบเป็นครั้งแรก (ฝูงสัตว์ของเขาถูกขโมยและหายนะตกมาถึงลูกๆ ของเขา) (บทตอนที่คัดมา)

2.1 พระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสไว้

โยบ 1:8  และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย?”

โยบ 1:12  และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “ดูเถิด ทุกสิ่งที่เขามีก็อยู่ในมือของเจ้า เพียงแต่อย่ายื่นมือแตะต้องตัวเขา” ซาตานจึงออกไปจากเบื้องพระพักตร์พระยาห์เวห์

2.2 การตอบของซาตาน

โยบ 1:9-11  แล้วซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า “โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆ หรือ?  พระองค์ไม่ได้ทรงกั้นรั้วรอบตัวเขา ครอบครัวของเขา และทุกสิ่งที่เขามีอยู่เสียทุกด้านหรือ?  พระองค์ได้ทรงอวยพรงานที่มือเขาทำ และฝูงปศุสัตว์ของเขาได้ทวีขึ้นในแผ่นดิน แต่ขอยื่นพระหัตถ์แตะต้องสิ่งของทั้งสิ้นที่เขามีอยู่ แล้วเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์”

พระเจ้าทรงอนุญาตให้ซาตานทดลองโยบเพื่อที่ความเชื่อของโยบจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม

โยบ 1:8 เป็นบันทึกแรกที่พวกเราเห็นการโต้ตอบกันระหว่างพระยาห์เวห์พระเจ้ากับซาตานในพระคัมภีร์  ดังนั้น พระเจ้าได้ตรัสสิ่งใด?  ตัวบทเดิมจัดเตรียมเรื่องราวดังต่อไปนี้ “และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า ‘เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย?’”  นี่คือการประเมินโยบของพระเจ้าต่อหน้าซาตาน พระเจ้าได้ตรัสว่าเขาเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ก่อนที่จะมีพระวจนะเหล่านี้ระหว่างพระเจ้ากับซาตานนั้น พระเจ้าตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าพระองค์จะทรงใช้ซาตานทดลองโยบ—ว่าพระองค์จะทรงส่งมอบโยบให้แก่ซาตาน  ในด้านหนึ่งนั้น นี่จะพิสูจน์ว่าการเฝ้าสังเกตและประเมินค่าโยบของพระเจ้านั้นถูกต้องแม่นยำและไม่มีข้อผิดพลาด และจะทำให้ซาตานอับอายโดยผ่านทางคำพยานของโยบ ในอีกด้านหนึ่ง มันจะเป็นการทำให้ความเชื่อในพระเจ้าและความยำเกรงพระเจ้าของโยบมีความเพียบพร้อม ด้วยเหตุนี้ เมื่อซาตานได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงเล่นสำนวน  พระองค์ทรงตัดตรงเข้าสู่ประเด็นและตรัสถามซาตานว่า “เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย?”  ในคำถามของพระเจ้ามีความหมายดังต่อไปนี้ นั่นคือ พระเจ้าทรงรู้ว่าซาตานได้ตระเวนไปทุกที่และมักจะได้สอดแนมโยบผู้ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง  มันได้ทดลองและโจมตีโยบอยู่บ่อยครั้ง โดยพยายามหาหนทางที่จะนำพาความล่มจมมาประสบแก่เขาเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าความเชื่อในพระเจ้าและความยำเกรงพระเจ้าของเขานั้นไม่สามารถมั่นคงได้  ซาตานยังพร้อมที่จะหาโอกาสทำให้โยบย่อยยับ โดยที่โยบอาจจะประกาศตัดขาดกับพระเจ้า และโดยที่มันอาจจะฉวยเขามาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า  ถึงกระนั้นพระเจ้าก็ได้ทอดพระเนตรภายในหัวใจของโยบและทรงมองเห็นว่าเขานั้นดีพร้อมและเที่ยงธรรม และว่าเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  พระเจ้าได้ทรงใช้คำถามหนึ่งเพื่อบอกกับซาตานว่าโยบเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม ผู้ซึ่งยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ว่าโยบจะไม่มีวันประกาศตัดขาดกับพระเจ้าและติดตามซาตาน  เมื่อได้ยินพระเจ้าทรงประเมินค่าโยบแล้วนั้น ความเดือดดาลจากการเหยียดหยามก็ได้เกิดขึ้นในตัวซาตาน และซาตานได้กลับกลายเป็นโกรธมากยิ่งขึ้นและร้อนรนมากยิ่งขึ้นที่จะฉกโยบไป เพราะซาตานไม่เคยเชื่อว่าใครบางคนจะสามารถเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงตรงได้ หรือว่าพวกเขาจะสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้  ในเวลาเดียวกันนั้น ซาตานก็เกลียดชังความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมในตัวมนุษย์ และเกลียดผู้คนที่สามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้  ดังนั้นจึงมีบันทึกไว้ในโยบ 1:9-11 ว่า “แล้วซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า ‘โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆ หรือ?  พระองค์ไม่ได้ทรงกั้นรั้วรอบตัวเขา ครอบครัวของเขา และทุกสิ่งที่เขามีอยู่เสียทุกด้านหรือ?  พระองค์ได้ทรงอวยพรงานที่มือเขาทำ และฝูงปศุสัตว์ของเขาได้ทวีขึ้นในแผ่นดิน แต่ขอยื่นพระหัตถ์แตะต้องสิ่งของทั้งสิ้นที่เขามีอยู่ แล้วเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์’”  พระเจ้าทรงคุ้นเคยใกล้ชิดกับธรรมชาติมุ่งร้ายของซาตาน และทรงรู้ดีอย่างเต็มที่ว่าซาตานได้วางแผนที่จะนำความล่มจมมาสู่โยบนานแล้ว และดังนั้น พระเจ้าจึงทรงปรารถนาในการนี้โดยผ่านทางการบอกกับซาตานอีกครั้งหนึ่งว่า โยบนั้นดีพร้อมและเที่ยงตรง และว่าเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว เพื่อนำซาตานมาสู่แนว เพื่อทำให้ซาตานเผยโฉมหน้าแท้จริงของมัน และโจมตีและทดลองโยบ  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงเจตนาเน้นย้ำว่าโยบนั้นดีพร้อมและเที่ยงธรรม และว่าเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และด้วยวิธีการนี้เองพระเจ้าได้ทรงทำให้ซาตานโจมตีโยบเนื่องจากความเกลียดและโกรธแค้นที่ซาตานมีต่อลักษณะที่โยบเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม ผู้ซึ่งยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ผลก็คือ พระเจ้าจะนำพาความอับอายมาให้ซาตานโดยผ่านทางข้อเท็จจริงที่ว่าโยบเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม ผู้ซึ่งยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และซาตานคงจะจากไปด้วยความละอายใจและพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง  หลังจากนั้น ซาตานคงจะไม่สงสัยหรือตั้งข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการที่โยบมีความดีพร้อม ความเที่ยงธรรม ความยำเกรงพระเจ้า หรือการหลบเลี่ยงความชั่วอีกต่อไป  ในหนทางนี้ การทดสอบของพระเจ้าและการทดลองของซาตานแทบจะไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถทนทานการทดสอบของพระเจ้าและการทดลองของซาตานได้ก็คือโยบ  หลังจากการโต้ตอบนี้ ซาตานก็ได้รับอนุญาตให้ทดลองโยบ  ด้วยเหตุนี้ การโจมตีรอบแรกของซาตานจึงได้เริ่มต้นขึ้น  เป้าหมายของการโจมตีเหล่านี้คือทรัพย์สินของโยบ เพราะซาตานได้ตั้งข้อกล่าวหาดังต่อไปนี้กับโยบ “โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆ หรือ?… พระองค์ได้ทรงอวยพรงานที่มือเขาทำ และฝูงปศุสัตว์ของเขาได้ทวีขึ้นในแผ่นดิน”  ผลก็คือ พระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้ซาตานเอาทุกอย่างที่โยบมี—นี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงว่าเหตุใดพระเจ้าจึงได้ตรัสกับซาตาน  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าได้ทำข้อเรียกร้องหนึ่งจากซาตาน นั่นคือ “ทุกสิ่งที่เขามีก็อยู่ในมือของเจ้า เพียงแต่อย่ายื่นมือแตะต้องตัวเขา” (โยบ 1:12)  นี่คือสภาพเงื่อนไขที่พระเจ้าทรงตั้งไว้หลังจากที่พระองค์ได้ทรงอนุญาตให้ซาตานทดลองโยบและได้ทรงวางโยบไว้ในมือของซาตานแล้ว และนี่คือขีดจำกัดที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้สำหรับซาตาน กล่าวคือ พระองค์ได้ทรงสั่งซาตานไม่ให้ทำอันตรายโยบ  เพราะพระเจ้าทรงระลึกได้ว่าโยบนั้นดีพร้อมและชอบธรรม และเพราะพระองค์ทรงมีความเชื่อว่าความดีพร้อมและความเที่ยงธรรมของโยบเฉพาะพระพักตร์พระองค์นั้นอยู่เหนือข้อสงสัยและสามารถทนทานต่อการถูกนำไปทดสอบได้ ดังนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงอนุญาตให้ซาตานทดลองโยบ แต่ได้ทรงกำหนดข้อจำกัดหนึ่งกับซาตาน นั่นคือ  ซาตานได้รับอนุญาตให้เอาทรัพย์สินทั้งหมดของโยบไป แต่มันไม่สามารถแตะต้องเขาได้  นี่หมายความว่าอย่างไร?  มันหมายความว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงมอบโยบให้กับซาตานโดยสิ้นเชิงในขณะนั้น  ซาตานสามารถทดลองโยบด้วยวิธีการใดก็ตามที่มันต้องการ แต่มันไม่สามารถทำอันตรายตัวของโยบเองได้—ไม่แม้แต่เส้นผมหนึ่งเส้นบนศีรษะของเขา—เพราะทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษย์นั้นถูกควบคุมโดยพระเจ้า และเพราะการที่มนุษย์จะมีชีวิตหรือตายนั้นพระเจ้าคือผู้ทรงกำหนด  ซาตานไม่มีใบอนุญาตนี้  หลังจากพระเจ้าได้ตรัสพระวจนะเหล่านี้กับซาตาน ซาตานก็ไม่สามารถรอที่จะเริ่มต้นได้  มันได้ใช้ทุกวิถีทางที่จะทดลองโยบ และไม่ช้าไม่นานโยบได้สูญเสียแกะและวัวที่มีค่าเท่าภูเขาและทรัพย์สินทั้งหมดที่พระเจ้าประทานให้เขาไป… ด้วยเหตุนี้ การทดสอบของพระเจ้าจึงได้ประสบกับเขา

ถึงแม้พระคัมภีร์จะบอกพวกเราถึงต้นกำเนิดของการทดลองโยบ ตัวโยบเองนั้น ผู้ซึ่งตกอยู่ภายใต้การทดลองเหล่านี้ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่หรือไม่?  โยบเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชน แน่นอนว่าเขาไม่รู้สิ่งใดเลยเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังคลี่คลายขึ้นรอบตัวเขา  แต่ถึงอย่างไร ความยำเกรงพระเจ้าของเขาและความเพียบพร้อมกับความเที่ยงธรรมของเขาก็ทำให้เขาตระหนักว่าการทดสอบของพระเจ้าได้มาประสบกับเขาแล้ว  เขาไม่รู้ว่าได้เกิดอะไรขึ้นในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ อีกทั้งไม่รู้ว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่อยู่เบื้องหลังการทดสอบนี้คืออะไร  แต่เขารู้ว่าไม่ว่าอะไรได้เกิดขึ้นกับเขาก็ตาม เขาควรจะยึดมั่นกับความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขา และควรปฏิบัติตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  พระเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นท่าทีและปฏิกิริยาของโยบต่อเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจน  พระเจ้าทรงมองเห็นสิ่งใด?  พระองค์ทรงมองเห็นความยำเกรงพระเจ้าของโยบ เพราะจากจุดเริ่มต้นตลอดมาจนกระทั่งถึงเวลาที่โยบถูกทดสอบนั้น หัวใจของโยบยังคงเปิดให้แก่พระเจ้า มันถูกวางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และโยบไม่ได้ประกาศตัดขาดกับความเพียบพร้อมหรือความเที่ยงธรรมของเขา อีกทั้งเขาไม่ได้ทิ้งขว้างหรือหันไปจากหนทางแห่งความยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว—ไม่มีสิ่งใดน่าอิ่มเอิบพระทัยสำหรับพระเจ้ามากไปกว่าการนี้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 42

ซาตานทดลองโยบเป็นครั้งแรก (ฝูงสัตว์ของเขาถูกขโมยและหายนะตกมาถึงลูกๆ ของเขา) (บทตอนที่คัดมา)

ปฏิกิริยาของโยบ

โยบ 1:20-21  แล้วโยบก็ลุกขึ้น ฉีกเสื้อคลุมของตน โกนศีรษะ กราบลงถึงดินนมัสการ ท่านว่า “ข้ามาจากครรภ์มารดาตัวเปล่า และข้าจะกลับไปตัวเปล่า พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์”

การที่โยบตัดสินใจด้วยตัวเองที่จะคืนทั้งหมดที่เขาครอบครองกลับไปนั้นเกิดจากการที่เขามีความยำเกรงพระเจ้า

หลังจากพระเจ้าได้ตรัสกับซาตานว่า “ทุกสิ่งที่เขามีก็อยู่ในมือของเจ้า เพียงแต่อย่ายื่นมือแตะต้องตัวเขา” ซาตานก็ได้จากไป ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นโยบก็ตกอยู่ภายใต้การโจมตีอย่างฉับพลันและรุนแรง กล่าวคือ ตอนแรก วัวและลาของเขาถูกปล้นและผู้รับใช้บางคนของเขาถูกฆ่า ต่อมา แกะของเขาและผู้รับใช้ของเขาจำนวนมากกว่านั้นก็ถูกไฟคลอก หลังจากนั้น อูฐของเขาถูกยึดและผู้รับใช้ของเขาก็ถูกสังหารเป็นจำนวนมากขึ้นไปอีก ในที่สุด ชีวิตบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขาก็ถูกพรากไป  การโจมตีที่ต่อเนื่องนี้คือความทรมานที่โยบได้ทนทุกข์ในช่วงระหว่างการทดลองครั้งแรก  ในช่วงระหว่างการโจมตีเหล่านี้ซาตานเพียงแค่มุ่งเป้าหมายที่ทรัพย์สินของโยบและลูกๆ ของเขาเท่านั้น และไม่ได้ทำอันตรายตัวของโยบเองตามที่พระเจ้าได้ทรงบัญชาไว้  แต่ถึงอย่างไร โยบก็ถูกเปลี่ยนสภาพจากคนมั่งคั่งที่ครอบครองทรัพย์สมบัติยิ่งใหญ่ไปเป็นใครบางคนที่ไม่มีสิ่งใดเลยในทันที  ไม่มีผู้ใดสามารถทนทานการโจมตีที่น่าตะลึงและน่าประหลาดใจนี้หรือมีปฏิกิริยากับมันอย่างเหมาะสมได้ แต่ทว่าโยบได้แสดงให้เห็นด้านที่เหนือธรรมดาของเขา  ข้อพระคัมภีร์จัดเตรียมเรื่องราวดังต่อไปนี้ ความว่า “แล้วโยบก็ลุกขึ้น ฉีกเสื้อคลุมของตน โกนศีรษะ กราบลงถึงดินนมัสการ”  นี่คือปฏิกิริยาแรกของโยบหลังจากที่ได้ยินว่าเขาได้สูญเสียลูกๆ และทรัพย์สินทั้งหมดของเขาไปแล้ว  เหนือสิ่งอื่นใด เขาไม่ได้ปรากฏว่าประหลาดใจ หรือตื่นตระหนก นับประสาอะไรที่เขาจะแสดงความโกรธหรือเกลียด  เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะเห็นว่าในหัวใจของเขานั้นเขาระลึกได้แล้วว่าความวิบัติเหล่านี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ หรือเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ นับประสาอะไรที่สิ่งเหล่านั้นจะเป็นการมาถึงของการตอบแทนอันสาสมหรือการลงโทษ  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น การทดสอบของพระยาห์เวห์ได้เกิดขึ้นกับเขา พระยาห์เวห์นั่นเองที่เป็นผู้ทรงปรารถนาที่จะเอาทรัพย์สินและลูกๆ ของเขาไป  โยบสงบใจและคิดได้ชัดเจนอย่างยิ่งในตอนนั้น  สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีพร้อมและเที่ยงธรรมของเขาทำให้เขาสามารถทำการตัดสินและการตัดสินใจที่ถูกต้องแม่นยำอย่างมีเหตุผลและเป็นธรรมชาติเกี่ยวกับความวิบัติทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้นกับเขา และด้วยเหตุนี้ เขาจึงประพฤติตนด้วยความสงบผิดปกติ นั่นคือ “แล้วโยบก็ลุกขึ้น ฉีกเสื้อคลุมของตน โกนศีรษะ กราบลงถึงดินนมัสการ”  “ฉีกเสื้อคลุมของตน” หมายความว่า เขาถอดเสื้อผ้าออก และไม่ครอบครองสิ่งใดเลย  “โกนศีรษะ” หมายความว่าเขาได้กลับคืนไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเหมือนดังเช่นทารกแรกเกิด  “กราบลงถึงดินนมัสการ”  หมายความว่าเขาได้มาสู่โลกนี้ตัวเปล่า และยังคงไม่มีสิ่งใดในวันนี้ เขาถูกส่งคืนกลับไปให้แก่พระเจ้าราวกับเป็นเด็กแรกเกิด  ท่าทีของโยบที่มีต่อทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเขานั้นไม่มีสิ่งทรงสร้างใดของพระเจ้าที่สามารถสัมฤทธิ์ได้  ความเชื่อในพระยาห์เวห์ของเขาได้ไปไกลเกินกว่าอาณาจักรแห่งการเชื่อ นี่คือความยำเกรงพระเจ้าของเขา การเชื่อฟังพระเจ้าของเขา เขาไม่เพียงสามารถขอบคุณพระเจ้าสำหรับการประทานให้เขาเท่านั้น แต่ยังขอบคุณสำหรับการเอาไปจากเขาด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น เขาสามารถตัดสินใจด้วยตนเองที่จะคืนทั้งหมดที่เขาเป็นเจ้าของให้แก่พระเจ้า รวมทั้งชีวิตของเขา

ความยำเกรงและการเชื่อฟังของโยบที่มีต่อพระเจ้าเป็นตัวอย่างแก่มวลมนุษย์ และความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขาเป็นจุดสูงสุดแห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ที่มนุษย์ควรจะครอบครอง  ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มองเห็นพระเจ้า แต่เขาก็ตระหนักว่าพระเจ้าทรงมีอยู่อย่างแท้จริง และเพราะการตระหนักนี้เขาจึงยำเกรงพระเจ้า และเนื่องจากความยำเกรงพระเจ้าของเขา เขาจึงสามารถเชื่อฟังพระเจ้าได้  เขายอมให้พระเจ้าทรงเอาสิ่งใดก็ตามที่เขามีไปโดยอิสระ กระนั้นเขาก็ไม่มีการร้องทุกข์คร่ำครวญ และได้ทรุดลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและทูลบอกกับพระองค์ว่า ณ ชั่วขณะนี้ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงเอาเนื้อหนังของเขาไป เขาก็จะยินดียอมให้พระองค์ทำเช่นนั้น โดยไม่มีการร้องทุกข์คร่ำครวญ  การประพฤติทั้งหมดทั้งมวลของเขานั้นเป็นไปเนื่องจากสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีและเที่ยงธรรมของเขา  กล่าวคือ ด้วยผลแห่งความไร้มลทิน ความซื่อสัตย์ และความใจดีของเขา โยบจึงไม่หวั่นไหวในประสบการณ์ที่เขามีและการตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ของพระเจ้า  บนรากฐานนี้เองที่เขาทำข้อเรียกร้องกับตัวเองและตั้งมาตรฐานการคิด พฤติกรรม การประพฤติ และหลักการในการกระทำของเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้สอดคล้องกับการทรงนำของพระเจ้าที่มีต่อเขาและกิจการทั้งหลายของพระเจ้าที่เขาได้มองเห็นท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง  ตลอดเวลานั้น ประสบการณ์ของเขาได้ทำให้ในตัวเขานั้นเกิดความยำเกรงที่จริงและแท้ต่อพระเจ้าและทำให้เขาหลบเลี่ยงความชั่ว  นี่คือแหล่งกำเนิดของความซื่อสัตย์ที่โยบยึดมั่น  โยบครองครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ซื่อสัตย์ ไร้มลทิน และใจดี และเขาได้มีประสบการณ์จริงแห่งการยำเกรงพระเจ้า การเชื่อฟังพระเจ้า และการหลบเลี่ยงความชั่ว ตลอดจนความรู้ว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย”  เพราะสิ่งเหล่านี้เท่านั้นเขาจึงสามารถตั้งมั่นในคำพยานของเขาได้ท่ามกลางการโจมตีที่โหดร้ายของซาตาน และเพราะการโจมตีเหล่านี้เท่านั้นเขาจึงสามารถไม่ทำให้พระเจ้าทรงผิดหวังได้และสามารถจัดเตรียมคำตอบที่น่าพึงพอพระทัยแก่พระเจ้าได้เมื่อการทดสอบของพระเจ้าเกิดขึ้นกับเขา  ถึงแม้ว่าการประพฤติของโยบในช่วงระหว่างการทดลองครั้งนี้จะซื่อตรงอย่างยิ่ง แต่ชนหลายรุ่นต่อมาก็ไม่มั่นใจในการสัมฤทธิ์ความซื่อตรงเช่นนั้นแม้ภายหลังจากความเพียรพยายามชั่วชีวิต อีกทั้งพวกเขาคงจะไม่จำเป็นต้องครอบครองการประพฤติของโยบดังที่พรรณนาไปข้างต้น  วันนี้ เมื่อได้เผชิญหน้ากับการประพฤติที่ซื่อตรงของโยบ และเมื่อเปรียบเทียบมันกับเสียงร้องและความมุ่งมั่นเกี่ยวกับ “การเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์และการจงรักภักดีจนตาย” ที่บรรดาผู้กล่าวอ้างว่าเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้าได้แสดงต่อพระเจ้า พวกเจ้ารู้สึกละอายอย่างลึกซึ้งหรือไม่รู้สึกกันแน่?

เมื่อเจ้าอ่านในข้อพระคัมภีร์เกี่ยวกับทั้งหมดที่โยบและครอบครัวของเขาได้ทนทุกข์ เจ้ามีปฏิกิริยาอย่างไร?  เจ้ากลายเป็นตกอยู่ในภวังค์ความคิดหรือไม่?  เจ้าประหลาดใจหรือไม่?  การทดสอบที่ตกมาถึงโยบสามารถพรรณนาว่า “น่ากลัว” ได้หรือไม่?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มันน่าตกใจพอแล้วกับการอ่านเกี่ยวกับการทดสอบโยบดังที่พรรณนาไว้ในข้อพระคัมภีร์ ไม่ต้องพูดถึงว่าการทดสอบเหล่านั้นจะเป็นอย่างไรในชีวิตจริง  เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับโยบนั้นไม่ใช่ “การฝึกซ้อม” แต่เป็น “การสู้รบ” จริง ที่มี “ปืน” และ “กระสุน” จริง  แต่เขาตกอยู่ภายใต้การทดสอบเหล่านี้ด้วยน้ำมือของผู้ใดเล่า?  แน่นอนว่าการทดสอบเหล่านี้เป็นงานของซาตาน และซาตานทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ด้วยมือของมันเอง  ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า  พระเจ้าได้ตรัสบอกกับซาตานหรือไม่ว่าให้ทดลองโยบด้วยวิธีการใด?  พระองค์ไม่ได้ตรัสบอก  พระเจ้าเพียงแค่ทรงตั้งสภาพเงื่อนไขหนึ่งที่ซาตานต้องปฏิบัติตาม และแล้วการทดลองจึงได้เกิดขึ้นกับโยบ  เมื่อการทดลองได้เกิดขึ้นกับโยบ มันให้ผู้คนได้มีสำนึกรับรู้ถึงความชั่วร้ายและความน่าเกลียดของซาตาน ถึงความมุ่งร้ายและความเกลียดชังที่มันมีต่อมนุษย์ และถึงความเป็นศัตรูต่อพระเจ้าของมัน  ในการนี้พวกเรามองเห็นว่าพระวจนะต่างๆ ไม่สามารถพรรณนาได้ว่าการทดลองนี้โหดร้ายเพียงใด  สามารถกล่าวได้ว่าธรรมชาติอันมุ่งร้ายที่ซาตานใช้ล่วงเกินมนุษย์ และใบหน้าที่น่าเกลียดของมันนั้น ถูกเปิดเผยอย่างเต็มที่ ณ ชั่วขณะนี้  ซาตานได้ใช้โอกาสนี้ โอกาสที่จัดเตรียมให้โดยการทรงอนุญาตของพระเจ้า เพื่อทำให้โยบตกอยู่ภายใต้การล่วงเกินที่รุ่มร้อนและไร้ความปรานี ซึ่งเป็นวิธีการและความโหดร้ายระดับที่ผู้คนวันนี้ทั้งไม่อาจจินตนาการได้และไม่อาจทนยอมรับได้โดยสิ้นเชิง  แทนที่จะกล่าวว่าโยบถูกซาตานทดลอง และว่าเขาตั้งมั่นอยู่ในคำพยานของเขาในช่วงระยะการทดลองนี้ มันดีกว่าที่จะกล่าวว่าในการทดสอบที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่เขานั้น โยบได้เริ่มต้นการแข่งขันกับซาตานเพื่อปกป้องความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขา และเพื่อป้องกันหนทางในการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ในการแข่งขันครั้งนี้ โยบได้สูญเสียแกะและฝูงปศุสัตว์ที่มีค่าเท่าภูเขา เขาได้สูญเสียทรัพย์สินทั้งหมดของเขา และเขาได้สูญเสียบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขาไป  อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ละทิ้งความเพียบพร้อม ความเที่ยงธรรม หรือความยำเกรงพระเจ้าของเขา  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในการแข่งขันกับซาตานครั้งนี้ โยบเลือกที่จะลิดรอนทรัพย์สินและลูกๆ ของเขามากกว่าที่จะสูญเสียความเพียบพร้อม ความเที่ยงธรรม และความยำเกรงพระเจ้าของเขา  เขาเลือกที่จะยึดมั่นกับรากเหง้าของสิ่งที่เป็นความหมายของการเป็นมนุษย์  ข้อพระคัมภีร์จัดเตรียมเรื่องราวที่รัดกุมเกี่ยวกับกระบวนการทั้งหมดทั้งมวลที่โยบได้สูญเสียสินทรัพย์ของเขา และยังบันทึกข้อมูลการประพฤติและท่าทีของโยบด้วย  เรื่องราวที่สั้นและกระชับเหล่านี้ให้สำนึกรับรู้ว่าโยบเกือบจะผ่อนคลายในการเผชิญหน้ากับการทดลองนี้ แต่หากสิ่งที่ได้เกิดขึ้นจริงๆ จะถูกสร้างขึ้นใหม่—โดยพิจารณาถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับธรรมชาติมุ่งร้ายของซาตานด้วย—เช่นนั้นแล้ว สิ่งต่างๆ ก็คงจะไม่เรียบง่ายหรือง่ายดายดังเช่นที่พรรณนาไว้ในประโยคเหล่านี้  ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายมากกว่าอย่างมาก  เช่นนั้นคือระดับของความร้างเปล่าและความเกลียดที่ซาตานใช้ปฏิบัติกับมวลมนุษย์และพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่พระเจ้าทรงอนุญาต  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงขอไว้ว่าไม่ให้ซาตานทำอันตรายโยบ ซาตานก็คงจะฆ่าเขาโดยไม่มีความเวทนาใดๆ อย่างไม่ต้องสงสัยไปแล้ว  ซาตานไม่ต้องการให้ผู้ใดนมัสการพระเจ้า และมันไม่ปรารถนาที่จะให้บรรดาผู้ที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้าและบรรดาผู้ที่มีความเพียบพร้อมและเที่ยงธรรมสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วต่อไปได้  เพราะการที่ผู้คนยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วหมายความว่าพวกเขาหลบเลี่ยงและละทิ้งซาตาน และดังนั้นซาตานจึงฉวยโอกาสจากการอนุญาตของพระเจ้าเพื่อสุมความโกรธและเกลียดของมันทั้งหมดที่มีต่อโยบโดยไม่มีความกรุณา  เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะมองเห็นว่าความทรมานที่โยบได้ทนทุกข์ จากจิตใจถึงเนื้อหนัง จากภายนอกถึงภายในนั้นใหญ่หลวงเพียงใด  วันนี้ พวกเรามองไม่เห็นว่ามันเป็นอย่างไร ณ เวลานั้น และได้รับเพียงความเข้าใจชั่วขณะสั้นๆ จากเรื่องราวในพระคัมภีร์เกี่ยวกับอารมณ์ของโยบเมื่อเขาได้ตกอยู่ภายใต้การทรมาน ณ เวลานั้น

ความซื่อสัตย์ที่ไม่สั่นคลอนของโยบนำความอับอายมาให้แก่ซาตานและทำให้มันหนีเตลิดไป

ดังนั้น พระเจ้าทรงทำสิ่งใดเมื่อโยบตกอยู่ภายใต้ความทรมานนี้?  พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกต และทรงเฝ้ามอง และทรงรอคอยบทอวสาน  ขณะที่พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตและทรงเฝ้ามองแล้ว พระองค์ทรงรู้สึกอย่างไร?  แน่นอนว่าพระองค์ทรงรู้สึกถูกครอบงำด้วยความโทมนัส  แต่มันเป็นไปได้หรือไม่ว่าพระเจ้าสามารถเสียพระทัยที่พระองค์ทรงอนุญาตให้ซาตานทดลองโยบเพียงเพราะพระองค์ทรงรู้สึกถึงความโทมนัส?  คำตอบคือ ไม่ พระองค์ไม่ทรงสามารถรู้สึกเสียพระทัยเช่นนั้นได้  เพราะพระองค์ทรงเชื่ออย่างมั่นคงว่าโยบนั้นดีพร้อมและเที่ยงธรรม ว่าเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  พระเจ้าเพียงแค่ทรงได้ให้โอกาสแก่ซาตานในการตรวจสอบยืนยันความชอบธรรมของโยบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และในการเปิดเผยความชั่วร้ายและความน่าเหยียดหยามของมันเอง  ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นโอกาสสำหรับโยบในการเป็นพยานต่อความชอบธรรมของเขาและต่อการที่เขามีความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วต่อหน้าผู้คนบนโลกนี้ ซาตาน และแม้กระทั่งบรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ติดตามพระเจ้า  บทอวสานสุดท้ายได้พิสูจน์หรือไม่ว่าการประเมินผลโยบของพระเจ้านั้นถูกต้องและไม่มีข้อผิดพลาด?  โยบได้ชนะซาตานจริงๆ หรือไม่?  ในที่นี้พวกเราได้อ่านคำพูดที่เป็นแบบฉบับที่โยบพูด คำพูดที่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเขาได้ชนะซาตานแล้ว  เขาได้กล่าวว่า “ข้ามาจากครรภ์มารดาตัวเปล่า และข้าจะกลับไปตัวเปล่า”  นี่คือท่าทีของโยบที่มีการเชื่อฟังต่อพระเจ้า  ต่อไป เขาได้กล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” คำพูดที่โยบได้พูดไปเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่า พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตส่วนลึกของหัวใจมนุษย์ ว่าพระองค์ทรงสามารถมองเข้าไปถึงจิตใจของมนุษย์ และคำพูดเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่าการที่พระองค์ทรงรับรองโยบนั้นไม่มีข้อผิดพลาด ว่ามนุษย์ที่พระเจ้าทรงรับรองผู้นี้ชอบธรรม “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์”  คำพูดเหล่านี้คือคำพยานของโยบต่อพระเจ้า  คำพูดธรรมดาเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ซาตานขลาดกลัว ที่ได้นำความอับอายมาสู่มันและทำให้มันหนีเตลิดไป และยิ่งไปกว่านั้น ที่ได้พันธนาการซาตานและทิ้งให้มันไม่มีหนทาง  ดังนั้น คำพูดเหล่านี้ด้วยเช่นกันที่ทำให้ซาตานรู้สึกถึงความน่าพิศวงและอิทธิฤทธิ์แห่งกิจการทั้งหลายของพระยาห์เวห์พระเจ้า และทำให้มันล่วงรู้ถึงพรสวรรค์เหนือธรรมดาของผู้ที่หัวใจของเขาถูกปกครองด้วยหนทางแห่งพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดเหล่านี้ได้แสดงให้ซาตานเห็นถึงพลังที่ทรงอำนาจในการยึดมั่นกับหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วที่แสดงให้เห็นโดยมนุษย์ตัวเล็กๆ และไม่สำคัญคนหนึ่ง  ด้วยเหตุนี้ซาตานจึงได้พ่ายแพ้ในการแข่งขันครั้งแรก  ถึงแม้ว่าจะได้ “เรียนรู้จากการนี้” แล้ว แต่ซาตานก็ไม่มีเจตนาที่จะปล่อยโยบไป และไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ในธรรมชาติที่มุ่งร้ายของมัน  ซาตานพยายามที่จะดำเนินการโจมตีโยบต่อไป และจึงได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอีกครั้ง…

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 43

ซาตานทดลองโยบอีกครั้ง (ฝีร้ายผุดขึ้นมาทั่วร่างของโยบ) (บทตอนที่คัดมา)

3.1 พระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสไว้

โยบ 2:3  และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย?  เขายังยึดมั่นในความซื่อสัตย์ของเขาอยู่ ถึงแม้เจ้าชวนเราให้ต่อสู้กับเขา เพื่อทำลายเขาโดยไม่มีเหตุ”

โยบ 2:6  และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “ดูเถิด เขาอยู่ในมือเจ้า จงไว้ชีวิตเขาเท่านั้น”

3.2 คำพูดที่ซาตานได้พูดไว้

โยบ 2:4-5  แล้วซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า “หนังแทนหนัง คนย่อมให้ทุกอย่างที่เขามีอยู่แทนชีวิตของเขา แต่บัดนี้ขอเหยียดพระหัตถ์แตะต้องกระดูกและเนื้อของเขา แล้วเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์”

3.3 วิธีที่โยบจัดการกับการทดสอบ

โยบ 2:9-10  แล้วภรรยาท่านกล่าวกับท่านว่า “เธอยังจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์อยู่อีกหรือ?  จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ” แต่ท่านตอบนางว่า “เธอพูดอย่างหญิงโง่เขลาจะพึงพูด เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?”  ในเหตุการณ์นี้ทั้งสิ้น โยบไม่ได้ทำบาปด้วยริมฝีปากของตน

โยบ 3:3-4  ขอให้วันที่ข้าเกิดมานั้นพินาศ อีกทั้งคืนที่พูดว่า “ตั้งครรภ์เด็กชายคนหนึ่งแล้ว” นั้นด้วย  ขอให้วันนั้นเป็นความมืด ขอพระเจ้าจากเบื้องบนอย่าเอาพระทัยใส่วันนั้น หรืออย่าให้แสงสว่างส่องในวันนั้น

ความรักของโยบที่มีต่อหนทางแห่งพระเจ้าเหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด

ข้อพระคัมภีร์บันทึกพระวจนะที่ตรัสและพูดระหว่างพระเจ้าและซาตาน ดังต่อไปนี้: “และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า ‘เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย?  เขายังยึดมั่นในความซื่อสัตย์ของเขาอยู่ ถึงแม้เจ้าชวนเราให้ต่อสู้กับเขา เพื่อทำลายเขาโดยไม่มีเหตุ’” (โยบ 2:3)  ในการโต้ตอบนี้ พระเจ้าตรัสซ้ำคำถามเดิมกับซาตาน  มันเป็นคำถามที่แสดงให้พวกเราเห็นการประเมินยืนยันของพระยาห์เวห์พระเจ้าถึงสิ่งที่โยบได้แสดงออกและได้ดำรงชีวิตตามในช่วงระหว่างการทดสอบครั้งแรก และเป็นการประเมินที่ไม่แตกต่างกันกับการประเมินโยบครั้งแรกของพระเจ้าก่อนที่เขาจะได้ก้าวผ่านการทดลองของซาตาน  กล่าวคือ ก่อนที่การทดลองจะเกิดขึ้นกับเขา โยบเป็นคนดีพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า และด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงได้ทรงคุ้มครองปกป้องเขาและครอบครัวของเขา และได้ทรงอวยพรเขา  เขามีค่าคู่ควรแก่การได้รับพรในสายพระเนตรของพระเจ้า  หลังจากการทดลอง โยบไม่ได้ทำบาปด้วยริมฝีปากของเขาเพราะได้สูญเสียทรัพย์สินและลูกๆ ของเขาไปแล้ว แต่ยังคงสรรเสริญพระนามของพระยาห์เวห์ต่อไป  การประพฤติจริงของเขาทำให้พระเจ้าทรงชมเชยเขา และด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงได้ประทานเครื่องหมายเต็มให้กับเขา  สำหรับในสายตาของโยบนั้น ลูกหลานหรือสินทรัพย์ของเขาไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาประกาศตัดขาดกับพระเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ที่ของพระเจ้าในหัวใจของเขานั้นไม่สามารถถูกแทนที่ได้ด้วยลูกๆ หรือทรัพย์สินชิ้นใดของเขา  ในระหว่างการทดลองครั้งแรกของโยบนั้น เขาได้แสดงให้พระเจ้าทรงเห็นว่าความรักที่เขามีต่อพระองค์และความรักที่เขามีต่อหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วนั้นมีเหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด  มันเป็นแค่ว่าการทดสอบนี้ได้ให้ประสบการณ์แก่โยบในการรับรางวัลตอบแทนจากพระยาห์เวห์พระเจ้าและการที่พระองค์ได้ทรงเอาทรัพย์สินและลูกๆ ของเขาไป

สำหรับโยบแล้ว นี่เป็นประสบการณ์แท้จริงที่ชำระล้างจิตใจของเขาให้สะอาด มันคือบัพติศมาแห่งชีวิตที่ได้เติมเต็มการดำรงอยู่ของเขา และยิ่งไปกว่านั้น มันคืองานเลี้ยงหรูหราที่ได้ทดสอบการเชื่อฟังและการยำเกรงพระเจ้าของเขา  การทดลองนี้ได้เปลี่ยนสภาพฐานะของโยบจากคนมั่งคั่งไปเป็นใครบางคนที่ไม่มีอะไรเลย และมันยังเปิดโอกาสให้เขาได้รับประสบการณ์กับการล่วงละเมิดมวลมนุษย์ของซาตานด้วยเช่นกัน  ความยากแค้นของเขาไม่ได้ทำให้เขาเกลียดชังซาตาน ตรงกันข้าม ในการกระทำที่เลวทรามของซาตานนั้นเขาได้มองเห็นความน่าเกลียดและความน่าเหยียดหยามของซาตาน ตลอดจนความเป็นศัตรูและการกบฏต่อพระเจ้าของซาตาน และนี่กระตุ้นให้เขายึดมั่นต่อหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วตลอดไปได้ดียิ่งขึ้น  เขาได้ปฏิญาณว่าเขาจะไม่มีวันละทิ้งพระเจ้าและหันหลังให้กับหนทางแห่งพระเจ้าเพราะปัจจัยภายนอกอย่างเช่นทรัพย์สิน ลูกหลาน หรือญาติมิตร อีกทั้งเขาจะไม่เป็นทาสของซาตาน ทรัพย์สิน หรือบุคคลใดเป็นอันขาด นอกเหนือจากพระยาห์เวห์พระเจ้าแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาหรือพระเจ้าของเขาได้  เช่นนั้นคือความมุ่งมาดปรารถนาของโยบ  ในทางกลับกัน โยบยังได้มาซึ่งบางสิ่งบางอย่างจากการทดลองครั้งนี้ด้วย นั่นคือ เขาได้รับความมั่งคั่งอันยิ่งใหญ่ท่ามกลางการทดสอบที่พระเจ้าได้ประทานลงบนเขา

ในระหว่างชีวิตของโยบตลอดหลายทศวรรษก่อนหน้านั้น เขาเคยได้เห็นกิจการทั้งหลายของพระยาห์เวห์และได้รับพรของพระยาห์เวห์พระเจ้าที่มีให้แก่เขาแล้ว  เหล่านั้นเป็นพรที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจและเป็นหนี้บุญคุณอย่างใหญ่หลวง เพราะเขาเชื่อว่าเขาไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อพระเจ้าเลย แต่ยังได้รับมรดกด้วยพรที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นและได้ชื่นชมพระคุณมากมายถึงเพียงนั้น  ด้วยเหตุผลนี้ เขาจึงมักจะอธิษฐานอยู่ในใจ โดยหวังว่าเขาคงจะสามารถชดใช้ให้พระเจ้าได้ โดยหวังว่าเขาคงจะมีโอกาสได้เป็นคำพยานต่อกิจการทั้งหลายและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และโดยหวังว่าพระเจ้าคงจะทรงทำการทดสอบการเชื่อฟังของเขา และยิ่งไปกว่านั้น โดยหวังว่าความเชื่อของเขาคงจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ จนกระทั่งการเชื่อฟังและความเชื่อของเขาได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า  เช่นนั้นแล้ว เมื่อการทดลองได้เกิดขึ้นกับโยบ เขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงได้ยินคำอธิษฐานของเขาแล้ว  โยบเชิดชูโอกาสนี้มากกว่าสิ่งอื่นใด และด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่กล้าปฏิบัติกับมันอย่างดูเบา เพราะความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดชีวิตของเขานั้นสามารถเป็นจริงได้แล้ว  การมาถึงของโอกาสนี้หมายความว่าการเชื่อฟังและความยำเกรงพระเจ้าของเขานั้นสามารถได้รับการทดสอบได้ และสามารถได้รับการทำให้บริสุทธิ์ได้  ยิ่งไปกว่านั้น  มันหมายความว่าโยบมีโอกาสที่จะได้รับการเห็นชอบของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการนำพาเขาให้เข้าใกล้ชิดพระเจ้ามากยิ่งขึ้น  ในระหว่างการทดสอบ ความเชื่อและการไล่ตามเสาะหาเช่นนั้นได้เปิดโอกาสให้เขาได้กลายเป็นมีความเพียบพร้อมมากยิ่งขึ้น และได้รับการเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  โยบยังได้กลายเป็นสำนึกขอบคุณต่อพรและพระคุณของพระเจ้ามากยิ่งขึ้นด้วย ในหัวใจของเขาหลั่งรินการสรรเสริญที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นต่อกิจการทั้งหลายของพระเจ้า และเขายำเกรงและเคารพพระเจ้ามากยิ่งขึ้น และถวิลหาความดีงาม ความยิ่งใหญ่ และความบริสุทธิ์ของพระเจ้ามากยิ่งขึ้น  ณ เวลานั้น ถึงแม้ว่าโยบยังคงเป็นผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วในสายพระเนตรของพระเจ้า แต่ความเชื่อและความรู้ของโยบในแง่ของประสบการณ์ทั้งหลายของเขานั้นได้ก้าวหน้าไปอย่างก้าวกระโดด กล่าวคือ ความเชื่อของเขาได้เพิ่มขึ้น การเชื่อฟังของเขาได้รับหลักยึด และความยำเกรงพระเจ้าของเขาได้กลายเป็นล้ำลึกมากยิ่งขึ้น  ถึงแม้ว่าการทดสอบนี้จะได้เปลี่ยนสภาพจิตวิญญาณและชีวิตของโยบไป แต่การเปลี่ยนสภาพเช่นนั้นก็ไม่ได้ทำให้โยบพึงพอใจ อีกทั้งมันไม่ได้ถ่วงการก้าวต่อไปข้างหน้าของเขา  ในเวลาเดียวกับที่กำลังคิดคำนวณสิ่งที่เขาได้รับจากการทดสอบครั้งนี้ และพิจารณาถึงความบกพร่องของเขาเอง เขาก็ได้อธิษฐานอย่างเงียบๆ โดยรอให้การทดสอบครั้งต่อไปเกิดขึ้นกับเขา เพราะเขาโหยหาที่จะให้ความเชื่อ การเชื่อฟัง และความยำเกรงพระเจ้าของเขาได้รับการยกระดับขึ้นในระหว่างการทดสอบครั้งต่อไปของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 44

ซาตานทดลองโยบอีกครั้ง (ฝีร้ายผุดขึ้นมาทั่วร่างของโยบ) (บทตอนที่คัดมา)

3.1 พระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสไว้

โยบ 2:3  และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย?  เขายังยึดมั่นในความซื่อสัตย์ของเขาอยู่ ถึงแม้เจ้าชวนเราให้ต่อสู้กับเขา เพื่อทำลายเขาโดยไม่มีเหตุ”

โยบ 2:6  และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “ดูเถิด เขาอยู่ในมือเจ้า จงไว้ชีวิตเขาเท่านั้น”

3.2 คำพูดที่ซาตานได้พูดไว้

โยบ 2:4-5  แล้วซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า “หนังแทนหนัง คนย่อมให้ทุกอย่างที่เขามีอยู่แทนชีวิตของเขา แต่บัดนี้ขอเหยียดพระหัตถ์แตะต้องกระดูกและเนื้อของเขา แล้วเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์”

ท่ามกลางความทุกข์สุดขีด โยบตระหนักอย่างแท้จริงถึงความใส่พระทัยของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมวลมนุษย์

หลังจากพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงมีคำถามกับซาตาน ซาตานก็มีความสุขอย่างลับๆ  นี่เป็นเพราะซาตานรู้ว่ามันจะได้รับอนุญาตให้โจมตีมนุษย์ผู้ซึ่งดีพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้าอีกครั้ง—สำหรับซาตานแล้ว นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก  ซาตานต้องการที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของโยบโดยสิ้นเชิง เพื่อทำให้เขาสูญเสียความเชื่อในพระเจ้า และด้วยเหตุนี้จึงไม่ยำเกรงพระเจ้าหรือสาธุการพระนามพระยาห์เวห์อีกต่อไป  นี่จะให้โอกาสหนึ่งแก่ซาตาน นั่นคือ  ไม่ว่าที่ใดหรือเวลาใดก็ตาม มันจะสามารถทำให้โยบเป็นของเล่นที่ทำตามคำสั่งของมัน  ซาตานซ่อนเจตนาชั่วร้ายของมันไว้โดยไม่มีร่องรอย แต่มันไม่สามารถควบคุมธรรมชาติชั่วร้ายของมันได้  ความจริงนี้แสดงนัยอยู่ในคำตอบของมันต่อพระวจนะของพระยาห์เวห์พระเจ้า ดังที่ได้บันทึกไว้ในข้อพระคัมภีร์ว่า “แล้วซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า ‘หนังแทนหนัง คนย่อมให้ทุกอย่างที่เขามีอยู่แทนชีวิตของเขา แต่บัดนี้ขอเหยียดพระหัตถ์แตะต้องกระดูกและเนื้อของเขา แล้วเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์’” (โยบ 2:4-5)  เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้ความรู้และสำนึกรับรู้ที่เป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับความมุ่งร้ายของซาตานจากการโต้ตอบระหว่างพระเจ้ากับซาตานนี้  เมื่อได้ยินเหตุผลวิบัติเหล่านี้ของซาตาน ทุกคนที่รักความจริงและรังเกียจความชั่วจะมีความเกลียดชังความไม่รู้เท่าทันและความไร้ยางอายของซาตานมากยิ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย จะรู้สึกตกใจและชิงชังเหตุผลวิบัติของซาตาน และในเวลาเดียวกันนั้นก็จะมอบคำอธิษฐานที่ลึกซึ้งและความปรารถนาที่จริงจังจริงใจแก่โยบ โดยอธิษฐานให้ชายที่มีความเที่ยงธรรมผู้นี้สามารถสัมฤทธิ์ความเพียบพร้อม โดยปรารถนาให้ชายผู้ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วผู้นี้จะชนะการทดลองของซาตานตลอดไป และดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง ท่ามกลางการทรงนำและพรจากพระเจ้า ดังนั้น ผู้คนเช่นนี้ก็จะปรารถนาให้ความประพฤติชอบธรรมของโยบสามารถกระตุ้นและส่งเสริมให้ทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ตลอดไปด้วยเช่นกัน  ถึงแม้ว่าเจตนาที่มุ่งร้ายของซาตานจะสามารถมองเห็นได้ในคำประกาศนี้ แต่พระเจ้าก็ได้ทรงยินยอมต่อ “คำร้องขอ” ของซาตานอย่างเย็นพระทัย—แต่พระองค์ก็ได้ทรงตั้งสภาพเงื่อนไขหนึ่งด้วยเช่นกัน ว่า “ดูเถิด เขาอยู่ในมือเจ้า จงไว้ชีวิตเขาเท่านั้น” (โยบ 2:6)  เพราะครั้งนี้ซาตานได้ขอยื่นมือของมันไปทำร้ายเนื้อหนังและกระดูกของโยบ พระเจ้าจึงได้ตรัสว่า “จงไว้ชีวิตเขาเท่านั้น”  ความหมายของพระวจนะเหล่านี้ก็คือว่า พระองค์ได้ทรงมอบเนื้อหนังของโยบให้ซาตาน แต่ชีวิตของโยบนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเก็บรักษาไว้  ซาตานไม่สามารถเอาชีวิตของโยบได้ แต่นอกเหนือจากนี้แล้วซาตานสามารถใช้วิถีทางหรือวิธีการใดก็ได้กับโยบ

เมื่อได้รับการอนุญาตจากพระเจ้าแล้ว ซาตานก็ได้รีบรุดไปหาโยบและยื่นมือของมันออกไปเพื่อทำให้ผิวหนังของเขาเจ็บปวด ทำให้เกิดฝีร้ายทั่วทั้งร่างกายของเขา และโยบรู้สึกเจ็บปวดผิวหนังของเขา  โยบสรรเสริญความมหัศจรรย์และความบริสุทธิ์ของพระยาห์เวห์พระเจ้า ซึ่งทำให้ซาตานจัดจ้านในความมุทะลุของมันมากยิ่งขึ้นไปอีก  เนื่องจากซาตานรู้สึกปีติยินดีที่ได้ทำอันตรายมนุษย์ มันจึงได้ยื่นมือของมันออกไปและครูดเนื้อหนังของโยบ ทำให้ฝีร้ายของเขาคั่งหนอง  โยบพลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดและความทรมานบนเนื้อหนังของเขาจนไม่มีอะไรเทียบเท่า และเขาอดไม่ได้ที่จะนวดตัวเขาเองตั้งแต่ศีรษะจนถึงเท้าด้วยมือของเขา ราวกับว่านี่จะบรรเทาการโจมตีที่ได้จัดการกับจิตวิญญาณของเขาด้วยความเจ็บปวดแห่งเนื้อหนังของเขานี้  เขาได้ตระหนักว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างโดยทรงเฝ้ามองเขาอยู่ และเขาพยายามสุดความสามารถเพื่อทำให้ตัวเขาเองเข้มแข็ง  เขาได้คุกเข่าลงกับพื้นอีกครั้ง และกล่าวว่า  “พระองค์ทรงมองเห็นภายในหัวใจของมนุษย์ พระองค์ทรงเฝ้าสังเกตความระทมทุกข์ของเขา เหตุใดพระองค์จึงทรงสนพระทัยกับจุดอ่อนของเขา?  สรรเสริญพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้า”  ซาตานมองเห็นความเจ็บปวดที่ไม่อาจทนทานได้ของโยบ แต่มันไม่เห็นโยบละทิ้งพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้า  ด้วยเหตุนี้ มันจึงรีบยื่นมือของมันออกไปเพื่อทำความเจ็บปวดให้กระดูกของโยบ มุ่งหมายอย่างยิ่งที่จะฉีกทึ้งแขนขาของเขา  ทันใดนั้น โยบรู้สึกถึงความทรมานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ราวกับว่าเนื้อหนังของเขาถูกทึ้งออกจากกระดูก และราวกับว่ากระดูกของเขาถูกทุบแตกออกไปทีละชิ้น  ความทรมานแสนสาหัสนี้ทำให้เขาคิดว่าตายเสียคงจะดีกว่า… ความสามารถของเขาในการทนความเจ็บปวดนี้ได้มาถึงขีดจำกัดของมันแล้ว… เขาต้องการร้องออกไป เขาต้องการฉีกหนังบนร่างกายของเขาเพื่อพยายามจะลดความเจ็บปวดลง—แต่ถึงกระนั้นเขาก็ได้กลั้นเสียงกรีดร้องของเขาไว้ และไม่ได้ฉีกหนังบนร่างกายของเขา เพราะเขาไม่ต้องการยอมให้ซาตานเห็นจุดอ่อนของเขา  ดังนั้น โยบจึงได้คุกเข่าลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่รู้สึกถึงการสถิตของพระยาห์เวห์พระเจ้า  เขารู้ว่าบ่อยครั้งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าสถิตอยู่เบื้องหน้าเขา และเบื้องหลังเขา และข้างใดข้างหนึ่งของเขา  แต่กระนั้นในระหว่างความเจ็บปวดของเขานี้ พระเจ้าไม่เคยทรงเฝ้ามองเลยสักครั้ง พระองค์ปิดบังพระพักตร์ของพระองค์และทรงซ่อนเร้น เพราะความหมายแห่งการทรงสร้างมนุษย์ของพระองค์ไม่ใช่เพื่อนำความทุกข์มาให้มนุษย์ ณ เวลานี้ โยบกำลังร่ำไห้และพยายามสุดความสามารถที่จะทนฝ่าความเจ็บปวดรวดร้าวทางกายนี้ แต่เขาก็ยังไม่สามารถรั้งตัวเขาเองจากการขอบพระคุณพระเจ้าได้อีกต่อไป: “มนุษย์ล้มลงในการโจมตีครั้งแรก เขาอ่อนแอและไร้พลัง เขาอ่อนเยาว์และไม่รู้เท่าทัน—เหตุใดพระองค์จึงจะทรงปรารถนาที่จะเอาพระทัยใส่และอ่อนโยนกับเขาถึงเพียงนั้น?  พระองค์ทรงฟาดฟันข้าพระองค์ กระนั้นการทำเช่นนั้นก็ทำให้พระองค์ทรงเจ็บปวด  มนุษย์มีอะไรที่มีค่าคู่ควรต่อการใส่พระทัยและกังวลพระทัยของพระองค์หรือ?”  คำอธิษฐานของโยบไปถึงพระกรรณของพระเจ้า และพระเจ้าทรงนิ่งเงียบ ทรงเพียงแต่เฝ้ามองโดยไม่ส่งเสียงใดๆ เท่านั้น… เมื่อได้พยายามทุกกลเม็ดในหนังสือโดยไร้ประโยชน์แล้ว ซาตานก็ได้จากไปอย่างเงียบๆ แต่กระนั้นนี่ก็ไม่ได้นำให้การทดสอบโยบของพระเจ้ามาถึงบทอวสาน  เพราะฤทธานุภาพของพระเจ้าที่ได้เปิดเผยในโยบนั้นไม่ได้ทำให้เปิดเผยสู่สาธารณะ เรื่องราวของโยบไม่ได้จบลงด้วยการล่าถอยของซาตาน  ขณะที่มีตัวละครอื่นๆ ได้ทำการเข้าสู่ของพวกเขา ฉากที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่ายังไม่มาถึง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 45

การสำแดงถึงความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วของโยบอีกอย่างหนึ่งคือการที่เขาเทิดทูนพระนามของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง

โยบได้ทนทุกข์กับความเสียหายต่างๆ อันเกิดจากซาตาน แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ได้ละทิ้งพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้า  ภรรยาของเขาคือคนแรกที่ก้าวออกมาและโจมตีโยบ โดยการเล่นบทของซาตานในรูปแบบที่สายตาของมนุษย์สามารถมองเห็นได้  ตัวบทดั้งเดิมพรรณนาเรื่องนี้ไว้ดังนี้ว่า “แล้วภรรยาท่านกล่าวกับท่านว่า ‘เธอยังจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์อยู่อีกหรือ?  จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ’” (โยบ 2:9)  เหล่านี้คือคำพูดที่ซาตานพูดในคราบมนุษย์  คำพูดเหล่านั้นเป็นการโจมตี เป็นคำกล่าวหา ตลอดจนเป็นเสียงยั่วยุ การทดลอง และการให้ร้าย  เมื่อล้มเหลวในการโจมตีเนื้อหนังของโยบแล้ว  ซาตานจึงได้โจมตีความซื่อสัตย์ของโยบโดยตรง โดยปรารถนาที่จะใช้การนี้เพื่อทำให้โยบล้มเลิกความซื่อสัตย์ของเขา ประกาศตัดขาดกับพระเจ้า และไม่มีชีวิตอยู่ต่อไปอีก  ดังนั้น ซาตานจึงปรารถนาด้วยว่าจะใช้ถ้อยคำเช่นนั้นทดลองโยบ นั่นคือ  หากโยบละทิ้งพระนามของพระยาห์เวห์ เช่นนั้นแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องทนฝ่าความทรมานเช่นนั้น เขาสามารถปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการทรมานของเนื้อหนังได้  เมื่อเผชิญหน้ากับคำแนะนำจากภรรยาของเขาแล้ว โยบได้ตำหนินางโดยกล่าวว่า “เธอพูดอย่างหญิงโง่เขลาจะพึงพูด เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?” (โยบ 2:10)  โยบรู้ถึงคำพูดเหล่านี้มานานแล้ว แต่ ณ เวลานี้ ความจริงเกี่ยวกับการที่โยบมีความรู้ในคำพูดเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์

เมื่อภรรยาของเขาได้แนะนำเขาให้สาปแช่งพระเจ้าและตายเสียนั้น นางหมายความว่า “พระเจ้าของท่านปฏิบัติกับท่านดังนี้ ดังนั้นเหตุใดจึงไม่สาปแช่งพระองค์?  ท่านจะยังคงมีชีวิตอยู่เพื่อทำสิ่งใด?  พระเจ้าของท่านทรงอยุติธรรมกับท่านยิ่งนัก แต่ท่านก็ยังกล่าวว่า ‘สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์’  พระองค์จะสามารถนำความวิบัติมาให้ท่านได้อย่างไรเมื่อท่านสาธุการพระนามของพระองค์?  จงรีบเร่งและละทิ้งพระนามของพระเจ้าเสีย และอย่าติดตามพระองค์อีกเลย  เช่นนั้นแล้ว ปัญหาต่างๆ ของท่านก็จะจบลง”  ณ เวลานั้น ได้มีคำพยานที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะเห็นเกิดขึ้นในตัวโยบ  ไม่มีบุคคลธรรมดาคนใดสามารถเป็นคำพยานเช่นนั้นได้ อีกทั้งพวกเราไม่ได้อ่านพบคำพยานเช่นนั้นในเรื่องราวใดๆ ในจากพระคัมภีร์—แต่พระเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นมันมานานก่อนที่โยบจะกล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา  พระเจ้าแค่ทรงปรารถนาที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อเปิดโอกาสให้โยบพิสูจน์แก่ทั้งหมดนั้นว่าพระเจ้าทรงถูกต้อง  เมื่อเผชิญหน้ากับคำแนะนำจากภรรยาของเขา โยบไม่เพียงแต่ไม่ล้มเลิกความซื่อสัตย์ของเขาหรือประกาศตัดขาดกับพระเจ้า แต่เขายังได้กล่าวแก่ภรรยาของเขาด้วยว่า “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?”  คำพูดเหล่านี้มีน้ำหนักยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่?  ในที่นี้ มีข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียวที่สามารถพิสูจน์น้ำหนักของคำพูดเหล่านี้  น้ำหนักของคำพูดเหล่านี้ก็คือว่าพวกมันได้รับการพิสูจน์โดยพระเจ้าในพระทัยของพระองค์ พวกมันเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ พวกมันเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะสดับฟัง และพวกมันเป็นบทอวสานที่พระเจ้าทรงโหยหาที่จะเห็น คำพูดเหล่านี้ยังเป็นส่วนในสุดแห่งคำพยานของโยบด้วยเช่นกัน  ในการนี้ ได้พิสูจน์ถึงความเพียบพร้อม ความเที่ยงธรรม การยำเกรงพระเจ้า และการหลบเลี่ยงความชั่วของโยบ  ความล้ำค่าของโยบตั้งอยู่ในการที่เขาถูกทดลองอย่างไรและเมื่อใด และแม้กระทั่งเมื่อทั้งร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยฝีร้าย เมื่อเขาได้ทนฝ่ากับความทรมานอย่างที่สุด และเมื่อภรรยาและญาติมิตรของเขาแนะนำเขา เขาก็ยังคงเปล่งถ้อยคำเช่นนั้นออกมา  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในหัวใจของเขานั้นเขาเชื่อว่า ไม่สำคัญว่าการทดลองจะเป็นอย่างไร หรือไม่ว่าความทุกข์ลำบากและความทรมานจะสาหัสเท่าใด แม้ว่าความตายจะมาประสบกับเขา เขาก็จะไม่ประกาศตัดขาดกับพระเจ้าหรือปัดทิ้งหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะเห็นว่าพระเจ้าทรงยึดครองที่ที่สำคัญมากที่สุดในหัวใจของเขา และว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นในหัวใจของเขา  เป็นเพราะการนี้นั่นเองพวกเราจึงอ่านการพรรณนาถึงเขาในข้อพระคัมภีร์ว่า ในเหตุการณ์นี้ทั้งสิ้น โยบไม่ได้ทำบาปด้วยริมฝีปากของตน  เขาไม่เพียงแค่ไม่ทำบาปด้วยริมฝีปากของเขาเท่านั้น แต่เขาไม่ได้ร้องทุกข์คร่ำครวญเกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของเขา  เขาไม่ได้กล่าวคำพูดอันตรายเกี่ยวกับพระเจ้า อีกทั้งเขาไม่ได้ทำบาปต่อพระเจ้า  ไม่เพียงแค่ปากของเขาสาธุการพระนามของพระเจ้าเท่านั้น แต่เขายังได้สาธุการพระนามของพระเจ้าในหัวใจของเขาด้วย ปากและหัวใจของเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน  นี่คือโยบที่แท้จริงที่พระเจ้าทอดพระเนตรเห็น และนี่คือเหตุผลที่แท้จริงว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงทะนุถนอมความล้ำค่าของโยบ

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 46

การเข้าใจผิดมากมายของผู้คนเกี่ยวกับโยบ

ความยากลำบากที่โยบได้ทนทุกข์นั้นไม่ใช่งานของผู้สื่อสารที่พระเจ้าทรงส่งมา อีกทั้งไม่ใช่เกิดขึ้นโดยพระหัตถ์ของพระเจ้าเอง  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มันเกิดขึ้นโดยซาตาน ศัตรูของพระเจ้า ด้วยตัวมันเอง  ดังนั้น ระดับความยากลำบากที่โยบได้ทนทุกข์จึงล้ำลึก  แต่ถึงกระนั้น ณ ชั่วขณะนี้โยบได้แสดงให้เห็นถึงความรู้ประจำวันของเขาเกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของเขาหลักการแห่งการกระทำประจำวันของเขา และท่าทีของเขาต่อพระเจ้า โดยไม่สงวนไว้—นั่นคือความจริง  หากโยบไม่ถูกทดลอง หากพระเจ้าไม่ทรงนำการทดสอบมาสู่โยบ เมื่อโยบได้กล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์”  เจ้าคงจะกล่าวว่าโยบเป็นคนหน้าซื่อใจคด พระเจ้าได้ประทานสินทรัพย์มากมายยิ่งนักให้กับเขา ดังนั้นเขาจึงสาธุการพระนามของพระยาห์เวห์อย่างแน่นอน  หากก่อนหน้าที่เขาจะถูกทดสอบ โยบได้กล่าวว่า “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?”  เจ้าก็คงจะกล่าวว่าโยบกำลังพูดเกินจริง และว่าเขาคงจะไม่ละทิ้งพระนามของพระเจ้าเนื่องจากเขามักจะได้รับพรจากพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง  เจ้าคงจะพูดว่าหากพระเจ้าได้ทรงนำความวิบัติมาสู่เขา เช่นนั้นแล้วเขาก็คงจะได้ละทิ้งพระนามของพระเจ้าไปแล้วอย่างแน่นอน  แต่ทว่าเมื่อโยบพบว่าตัวเขาเองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีผู้ใดจะปรารถนาถึงหรือปรารถนาที่จะเห็น รูปการณ์แวดล้อมที่ไม่มีผู้ใดจะปรารถนาที่จะให้เกิดขึ้นกับพวกเขา ที่พวกเขากลัวว่าจะเกิดขึ้นกับพวกเขา รูปการณ์แวดล้อมที่แม้กระทั่งพระเจ้าก็ไม่ทรงสามารถทนเฝ้ามองได้ โยบยังคงสามารถยึดมั่นกับความซื่อสัตย์ของเขา “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์”  และ “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?”  เมื่อเผชิญหน้ากับความประพฤติของโยบ ณ เวลานี้ บรรดาผู้ที่รักการพูดคุยด้วยคำพูดเสียงสูงและผู้ที่รักการพูดความหมายตามตัวอักษรและคำสอนต่างๆ ล้วนแล้วแต่พูดไม่ออก  บรรดาผู้ที่สดุดีพระนามของพระเจ้าในวาทะเท่านั้น แต่ทว่าไม่เคยยอมรับการทดสอบของพระเจ้า ถูกกล่าวโทษด้วยความซื่อสัตย์ที่โยบยึดมั่น และพวกที่ไม่เคยเชื่อว่ามนุษย์สามารถยึดมั่นกับหนทางแห่งพระเจ้าได้ก็จะได้รับการพิพากษาด้วยคำพยานของโยบ  เมื่อเผชิญหน้ากับการประพฤติของโยบในระหว่างการทดสอบเหล่านี้และคำพูดที่เขาได้กล่าวไป ผู้คนบางคนจะรู้สึกสับสน บางคนจะรู้สึกอิจฉา บางคนจะรู้สึกฉงน และบางคนจะถึงขั้นปรากฏว่าไม่สนใจ กลับเชิดจมูกของพวกเขาเข้าใส่คำพยานของโยบเพราะพวกเขาไม่เพียงแต่มองเห็นความทรมานที่ประสบกับโยบในระหว่างการทดสอบ และอ่านถึงคำพูดที่โยบได้พูดไปเท่านั้น แต่ยังมองเห็น “จุดอ่อน” ของมนุษย์ที่โยบแสดงให้เห็นเมื่อการทดสอบได้มาถึงตัวเขา  พวกเขาเชื่อว่า “จุดอ่อน” นี้เป็นความไม่เพียบพร้อมที่ควรจะเป็นในความเพียบพร้อมของโยบ เป็นความด่างพร้อยในมนุษย์ผู้ที่ดีพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า  กล่าวคือ เชื่อกันว่าบรรดาผู้ที่ดีพร้อมนั้นคือไม่มีตำหนิ ไม่มีมลทินหรือแปดเปื้อน ว่าพวกเขาไม่มีจุดอ่อน ไม่รู้จักความเจ็บปวด ว่าพวกเขาไม่เคยรู้สึกไม่มีความสุขหรือเศร้าสลด และไม่มีความเกลียดหรือพฤติกรรมสุดขีดทางภายนอกใดๆ  ผลก็คือ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าโยบมีความเพียบพร้อมอย่างแท้จริง  ผู้คนไม่เห็นชอบกับพฤติกรรมหลายอย่างของเขาในระหว่างการทดสอบของเขา  ยกตัวอย่างเช่น เมื่อโยบได้สูญเสียทรัพย์สินและลูกๆ ของเขาไปแล้ว เขาไม่ได้หลั่งน้ำตาออกมาเหมือนที่ผู้คนจินตนาการ  “การขาดมารยาท” ของเขาทำให้ผู้คนคิดว่าเขาเย็นชา เพราะเขาไม่มีน้ำตาหรือความรักใคร่ต่อครอบครัวของเขา  นี่เป็นความประทับใจไม่ดีแรกเริ่มที่ผู้คนมีต่อโยบ  พวกเขาพบว่าพฤติกรรมของเขาหลังจากนั้นน่างวยงงมากยิ่งขึ้นไปอีก กล่าวคือ  ผู้คนได้ตีความคำว่า “ฉีกเสื้อคลุมของตน”  ว่าเป็นการที่เขาไม่เคารพพระเจ้า และเชื่ออย่างผิดๆ ว่า “โกนศีรษะ” หมายถึงการที่โยบหมิ่นประมาทและการต่อต้านพระเจ้า  นอกเหนือจากคำพูดของโยบที่ว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์”  แล้ว ผู้คนก็ไม่หยั่งรู้ถึงความชอบธรรมใดๆ ในตัวโยบที่พระเจ้าได้ทรงสรรเสริญเลย และด้วยเหตุนี้การประเมินโยบโดยพวกเขาส่วนใหญ่จำนวนมากจึงไม่ใช่สิ่งใดมากไปกว่าการไม่จับใจความ การเข้าใจผิด ความสงสัย การกล่าวโทษ และการเห็นชอบทางทฤษฎีเท่านั้น  ไม่มีพวกเขาคนใดสามารถเข้าใจและซึ้งคุณค่าอย่างแท้จริงต่อพระวจนะของพระยาห์เวห์พระเจ้าที่ว่า โยบคือคนดีงามและเที่ยงธรรม ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว

บนพื้นฐานความประทับใจในตัวโยบของพวกเขาข้างต้น ผู้คนมีความสงสัยต่อไปเกี่ยวกับความชอบธรรมของเขา เพราะการกระทำต่างๆ ของโยบและการประพฤติของเขาที่บันทึกในข้อพระคัมภีร์ไม่ได้เร้าอารมณ์สะท้านโลกเหมือนอย่างผู้คนจะได้จินตนาการ  เขาไม่เพียงแค่ไม่ได้ดำเนินการความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่ใดๆ เท่านั้น แต่เขายังเอาชิ้นหม้อแตกมาขูดตัวเขาเองขณะที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองขี้เถ้าอีกด้วย  การกระทำนี้ยังทำให้ผู้คนประหลาดใจและทำให้พวกเขาสงสัย—และถึงขั้นปฏิเสธ—ความชอบธรรมของโยบอีกด้วย เพราะในขณะที่ขูดตัวเองโยบก็ไม่ได้อธิษฐานหรือทำสัญญากับพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น ก็ไม่เห็นว่าเขาจะร่ำไห้หลั่งน้ำตาด้วยความเจ็บปวด  ณ เวลานั้น ผู้คนเพียงแต่มองเห็นความอ่อนแอของโยบและไม่มองเห็นสิ่งอื่นใด และด้วยเหตุนี้ แม้เมื่อพวกเขาได้ยินโยบกล่าวว่า “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?”  พวกเขาก็ไม่รู้สึกสะเทือนใจโดยสิ้นเชิง หรือไม่ก็ลังเล และยังคงไม่สามารถหยั่งรู้ถึงความชอบธรรมของโยบจากคำพูดของเขา  ความประทับใจเบื้องต้นที่โยบให้แก่ผู้คนในระหว่างการทรมานจากการทดสอบของเขาก็คือว่า เขาไม่ประจบประแจงและไม่โอหัง  ผู้คนไม่เห็นเรื่องราวเบื้องหลังพฤติกรรมของเขาที่แสดงออกอยู่ในส่วนลึกของหัวใจเขา อีกทั้งพวกเขาก็ไม่เห็นความยำเกรงพระเจ้าภายในหัวใจของเขาหรือการที่เขายึดมั่นต่อหลักการแห่งหนทางของการหลบเลี่ยงความชั่ว  ความใจเย็นของเขาทำให้ผู้คนคิดว่าความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขาเป็นแค่คำพูดที่ว่างเปล่า ว่าความยำเกรงพระเจ้าของเขาเป็นแค่คำเล่าขาน ในขณะเดียวกัน “ความอ่อนแอ” ที่เขาได้เปิดเผยออกมาภายนอกได้ทิ้งความประทับใจที่ล้ำลึกไว้กับพวกเขา ให้พวกเขามี “มุมมองใหม่” และแม้กระทั่ง “ความเข้าใจใหม่” ต่อมนุษย์ผู้นี้ที่พระเจ้าทรงกำหนดนิยามว่าดีพร้อมและเที่ยงธรรม  “มุมมองใหม่” และ “ความเข้าใจใหม่” เช่นนั้นได้รับการพิสูจน์เมื่อโยบได้เปิดปากของเขาและสาปแช่งวันที่เขาเกิด

ถึงแม้ว่าระดับความทรมานที่เขาทนทุกข์จะไม่มีมนุษย์คนใดสามารถจินตนาการและจับความเข้าใจได้ แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวคำพูดใดที่นอกรีต แต่มีเพียงได้ลดความเจ็บปวดในร่างกายของเขาด้วยวิธีการของเขาเอง  ดังที่บันทึกไว้ในข้อพระคัมภีร์ เขาได้กล่าวว่า “ขอให้วันที่ข้าเกิดมานั้นพินาศ อีกทั้งคืนที่พูดว่า ‘ตั้งครรภ์เด็กชายคนหนึ่งแล้ว’ นั้นด้วย” (โยบ 3:3)  บางที อาจไม่มีผู้ใดเคยพิจารณาว่าคำพูดเหล่านี้สำคัญ และบางทีอาจจะมีผู้คนที่ให้ความสนใจกับคำพูดเหล่านี้  ในทรรศนะของพวกเจ้า คำพูดเหล่านี้หมายความว่าโยบต่อต้านพระเจ้าหรือไม่?  คำพูดเหล่านี้เป็นการร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระเจ้าหรือไม่?  เรารู้ว่าพวกเจ้าหลายคนมีแนวคิดที่แน่นอนเกี่ยวกับคำพูดที่โยบได้พูดไปเหล่านี้ และเชื่อว่าหากโยบเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เขาไม่ควรจะได้แสดงให้เห็นจุดอ่อนหรือความเศร้าโศกใดๆ และควรจะได้เผชิญหน้ากับการโจมตีจากซาตานในเชิงบวกแทน และแม้กระทั่งยิ้มในขณะที่เผชิญหน้ากับการทดลองของซาตาน  เขาไม่ควรมีปฏิกิริยาแม้แต่น้อยต่อความทรมานใดๆ ที่ซาตานได้นำมาสู่เนื้อหนังของเขา อีกทั้งเขาไม่ควรจะได้เผยให้เห็นอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ภายในหัวใจของเขา  เขาควรจะถึงขั้นขอให้พระเจ้าทำการทดสอบเหล่านี้ให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก  นี่คือสิ่งที่ใครบางคนที่ไม่หวั่นไหวและที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอย่างแท้จริงควรจะแสดงออกหรือครอบครอง  ท่ามกลางความทรมานสุดขีดนี้ โยบได้ทำแค่สาปแช่งวันที่เขาเกิด  เขาไม่ได้ร้องทุกข์คร่ำครวญเกี่ยวกับพระเจ้า นับประสาอะไรที่เขาจะได้มีเจตนาใดๆ ในการต่อต้านพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่พูดง่ายกว่าทำมาก เพราะนับตั้งแต่โบราณกาลจนกระทั่งถึงวันนี้ ยังไม่มีผู้ใดเคยได้รับประสบการณ์กับการทดลองเช่นนั้นหรือทนทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับโยบ  ดังนั้น เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดเคยตกอยู่ใต้การทดลองประเภทเดียวกันกับโยบ?  มันเป็นเพราะดังที่พระเจ้าทรงเห็นนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถแบกรับหน้าที่รับผิดชอบหรือพระบัญชาเช่นนั้นได้ ไม่มีผู้ใดสามารถทำอย่างที่โยบทำได้ และยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีผู้ใดที่นอกเหนือจากสาปแช่งวันที่เขาเกิดแล้วนั้นก็ยังคงสามารถไม่ละทิ้งพระนามของพระเจ้าและสาธุการพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าต่อเนื่องได้ดังเช่นที่โยบทำเมื่อความทรมานเช่นนั้นประสบกับเขา  ผู้ใดบ้างที่สามารถทำเยี่ยงนี้ได้?  เมื่อพวกเรากล่าวเยี่ยงนี้เกี่ยวกับโยบ พวกเรากำลังชมเชยพฤติกรรมของเขาหรือไม่?  เขาเป็นคนชอบธรรม และสามารถเป็นคำพยานเช่นนั้นต่อพระเจ้าได้ และสามารถทำให้ซาตานหนีไปโดยเอามือปิดหน้า จนมันไม่มีวันมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อกล่าวหาเขาอีก—ดังนั้นการชมเชยเขาจะผิดอย่างไร?  เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเจ้ามีมาตรฐานสูงกว่าพระเจ้า?  เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเจ้าจะกระทำได้ดีกว่าโยบเมื่อการทดสอบมาเกิดกับพวกเจ้า?  โยบได้รับการยกย่องจากพระเจ้า—พวกเจ้าสามารถมีข้อขัดข้องใดได้หรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 47

โยบสาปแช่งวันที่เขาเกิดเพราะเขาไม่ต้องการให้พระเจ้าทรงเจ็บปวดเพราะเขา

เราพูดบ่อยครั้งว่าพระเจ้าทรงมองภายในหัวใจของผู้คน ในขณะที่ผู้คนมองที่ภายนอกของผู้คน  เนื่องจากพระเจ้าทอดพระเนตรภายในหัวใจของผู้คน พระองค์จึงเข้าพระทัยเนื้อแท้ของพวกเขา ในขณะที่ผู้คนกำหนดนิยามเนื้อแท้ของผู้คนอื่นๆ บนพื้นฐานภายนอกของพวกเขา  เมื่อโยบเปิดปากของเขาและสาปแช่งวันที่เขาเกิด การกระทำนี้ได้ทำให้บุคคลสำคัญฝ่ายวิญญาณทั้งหมดประหลาดใจ รวมทั้งเพื่อนสามคนของโยบ  มนุษย์มาจากพระเจ้า และควรจะขอบคุณสำหรับชีวิตและเนื้อหนัง ตลอดจนวันที่เขาเกิด ซึ่งพระเจ้าได้ประทานให้แก่เขา และเขาไม่ควรสาปแช่งสิ่งเหล่านั้น  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนธรรมดาสามารถเข้าใจและคิดฝันได้  สำหรับใครก็ตามที่ติดตามพระเจ้า การเข้าใจนี้ศักดิ์สิทธิ์และไม่อาจฝ่าฝืนได้ และมันเป็นความจริงที่ไม่มีวันสามารถเปลี่ยนแปลงได้  ในทางกลับกันนั้น โยบได้แหกกฎเหล่านี้ กล่าวคือ เขาได้สาปแช่งวันที่เขาเกิด  นี่คือการกระทำที่ผู้คนธรรมดาพิจารณาว่าเป็นการข้ามไปสู่ดินแดนต้องห้าม  โยบไม่เพียงแค่ไม่ได้รับความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจของผู้คนเท่านั้น เขายังไม่มีสิทธิได้รับการอภัยโทษของพระเจ้าด้วย  ในขณะเดียวกัน ผู้คนมากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำที่กลายมาสงสัยต่อความชอบธรรมของโยบ เพราะดูเหมือนว่าความโปรดปรานที่พระเจ้าทรงมีต่อโยบนั้นได้ทำให้โยบเป็นคนเห็นแก่ตัว มันทำให้เขาเหิมเกริมและไม่ยั้งคิดจนกระทั่งเขาไม่เพียงไม่ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงอวยพรเขาและใส่พระทัยเขาในระหว่างชั่วชีวิตของเขาเท่านั้น แต่เขายังประณามสาปแช่งวันที่เขาเกิดให้พบกับความย่อยยับ  นี่คืออะไร หากว่าไม่ใช่การต่อต้านพระเจ้า?  ความฉาบฉวยเช่นนั้นจัดเตรียมหลักฐานให้ผู้คนกล่าวโทษการกระทำนี้ของโยบ แต่ผู้ใดเล่าสามารถรู้สิ่งที่โยบกำลังคิดอย่างแท้จริง ณ เวลานั้นได้?  ผู้ใดเล่าสามารถรู้เหตุผลว่าทำไมโยบจึงได้กระทำในลักษณะนั้น?  มีเพียงพระเจ้าและตัวโยบเองเท่านั้นที่รู้เรื่องราวภายในและเหตุผลทั้งหลายในที่นี้

เมื่อซาตานได้ยื่นมือของมันออกไปเพื่อทำความเจ็บปวดให้กระดูกของโยบ โยบก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของมัน โดยไม่มีวิธีที่จะหนีรอดหรือเรี่ยวแรงที่จะต้านทาน  ร่างกายและวิญญาณของเขาทนทุกข์กับความเจ็บปวดแสนสาหัส และความเจ็บปวดนี้ทำให้เขาตระหนักรู้อย่างลึกซึ้งถึงความไม่สำคัญ ความอ่อนแอ และความไร้พลังอำนาจของมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง  ในเวลาเดียวกันนั้น เขายังได้รับความซึ้งคุณค่าและความเข้าใจที่ล้ำลึกว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงมีพระทัยที่ห่วงใยและดูแลมวลมนุษย์อีกด้วย  ในเงื้อมมือของซาตาน โยบได้ตระหนักว่ามนุษย์ที่มีเลือดเนื้อนั้นแท้ที่จริงแล้วช่างไร้พลังอำนาจและอ่อนแอยิ่งนัก  เมื่อเขาคุกเข่าลงและอธิษฐานต่อพระเจ้า เขารู้สึกราวกับว่าพระเจ้ากำลังปิดบังพระพักตร์ของพระองค์และกำลังทรงซ่อนเร้น เพราะพระเจ้าได้ทรงวางเขาไว้ในมือของซาตานโดยสิ้นเชิง  ในเวลาเดียวกันนั้น พระเจ้าก็ทรงกรรแสงเพราะเขา และยิ่งไปกว่านั้น  ทรงโทมนัสเพราะเขา พระเจ้าทรงปวดร้าวด้วยความปวดร้าวของเขา และทรงเจ็บด้วยความเจ็บของเขา… โยบรู้สึกถึงความเจ็บปวดของพระเจ้า รวมทั้งมันไม่อาจทนได้เพียงใดสำหรับพระเจ้า… โยบไม่ต้องการที่จะนำความเศร้าโศกมาให้พระเจ้ามากขึ้นไปอีก และเขาไม่ต้องการให้พระเจ้าทรงกรรแสงเพราะเขา นับประสาอะไรที่เขาจะต้องการเห็นพระเจ้าทรงเจ็บปวดเพราะเขา  ณ ชั่วขณะนั้น โยบเพียงต้องการที่จะพรากตัวเขาเองไปจากเนื้อหนังของเขา ที่จะไม่ทนฝ่าความเจ็บปวดที่เนื้อหนังนี้นำมาให้เขาอีกต่อไป เพราะนี่คงจะหยุดพระเจ้าจากการทรงทรมานด้วยความเจ็บปวดของเขา—ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถทำได้ และเขาต้องทนยอมรับไม่เพียงแค่ความเจ็บปวดของเนื้อหนังเท่านั้น แต่เป็นความทรมานของการที่ไม่ปรารถนาจะทำให้พระเจ้ากังวลพระทัยด้วย  ความเจ็บปวดสองอย่างนี้—หนึ่งจากเนื้อหนัง และหนึ่งจากจิตวิญญาณ—ได้นำความเจ็บปวดจากหัวใจและบีบเค้นข้างในมาสู่โยบ และทำให้เขารู้สึกว่าขีดจำกัดของมนุษย์ผู้ซึ่งมีเลือดเนื้อสามารถทำให้คนเรารู้สึกผิดหวังและหมดหนทางเพียงใด  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ ความโหยหาพระเจ้าของเขาเริ่มแรงกล้าขึ้น และความเกลียดชังซาตานของเขาก็ได้กลายมาเป็นหนักแน่นยิ่งขึ้น  ในเวลานั้น โยบคงจะเลือกที่จะไม่ได้เกิดมาในโลกมนุษย์มากกว่า อยากที่จะให้เขาไม่มีอยู่มากกว่าเห็นพระเจ้าทรงหลั่งน้ำพระเนตรหรือรู้สึกเจ็บปวดเพื่อเห็นแก่เขา  เขาเริ่มเกลียดชังเนื้อหนังของเขาอย่างลึกซึ้ง เริ่มรำคาญและเบื่อหน่ายตัวเขาเอง วันที่เขาเกิด และแม้กระทั่งทั้งหมดที่เชื่อมโยงกับเขา  เขาไม่ปรารถนาให้มีการกล่าวถึงวันที่เขาเกิดหรือสิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวกับมันอีก และดังนั้นเขาจึงได้เปิดปากของเขาและสาปแช่งวันที่เขาเกิดว่า “ขอให้วันที่ข้าเกิดมานั้นพินาศ อีกทั้งคืนที่พูดว่า ‘ตั้งครรภ์เด็กชายคนหนึ่งแล้ว’ นั้นด้วย ขอให้วันนั้นเป็นความมืด ขอพระเจ้าจากเบื้องบนอย่าเอาพระทัยใส่วันนั้น หรืออย่าให้แสงสว่างส่องในวันนั้น” (โยบ 3:3-4)  คำพูดของโยบมีความเกลียดชังตัวเองของเขา “ขอให้วันที่ข้าเกิดมานั้นพินาศ อีกทั้งคืนที่พูดว่า ‘ตั้งครรภ์เด็กชายคนหนึ่งแล้ว’ นั้นด้วย”  รวมทั้งคำตำหนิที่เขารู้สึกต่อตัวเขาเองและสำนึกรับรู้ของเขาเกี่ยวกับการเป็นหนี้ที่ได้ทำให้เกิดความเจ็บปวดแก่พระเจ้า “ขอให้วันนั้นเป็นความมืด ขอพระเจ้าจากเบื้องบนอย่าเอาพระทัยใส่วันนั้น หรืออย่าให้แสงสว่างส่องในวันนั้น”  สองบทตอนเหล่านี้คือการแสดงออกมากที่สุดว่าโยบรู้สึกอย่างไรในขณะนั้น และแสดงให้เห็นถึงความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขาอย่างเต็มที่แก่ทุกคน  ในเวลาเดียวกันนั้น ในขณะที่โยบได้ปรารถนา ความเชื่อและการเชื่อฟังพระเจ้าของเขา ตลอดจนความยำเกรงพระเจ้าของเขาก็ได้รับการยกระดับขึ้นอย่างแท้จริง  แน่นอนว่าการยกระดับนี้เป็นผลที่พระเจ้าได้ทรงคาดหวังไว้อย่างแม่นยำ

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 48

โยบเอาชนะซาตานและกลายเป็นมนุษย์ที่แท้จริงในสายพระเนตรของพระเจ้า

เมื่อโยบได้ก้าวผ่านการทดสอบของเขาครั้งแรก เขาได้ถูกเพิกถอนทรัพย์สินของเขาทั้งหมดและลูกๆ ของเขาทั้งหมดไป แต่เขาไม่ได้ล้มลงหรือกล่าวสิ่งใดที่เป็นบาปต่อพระเจ้าอันเป็นผลที่ตามมา  เขาได้ชนะการทดลองของซาตาน และได้ชนะสินทรัพย์ทางวัตถุของเขา ลูกหลานของเขา และการทดสอบแห่งการสูญเสียสมบัติทางโลกของเขาทั้งหมด กล่าวคือ เขาสามารถที่จะเชื่อฟังพระเจ้าในขณะที่พระองค์ทรงเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเขา และเขายังสามารถที่จะถวายการขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าเนื่องจากสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำได้อีกด้วย  เช่นนั้นคือการประพฤติของโยบในระหว่างการทดลองครั้งแรกของซาตาน และเช่นนั้นคือคำพยานของโยบในระหว่างการทดสอบครั้งแรกของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  ในการทดสอบครั้งที่สอง ซาตานได้ยื่นมือของมันออกไปเพื่อทำความเจ็บปวดให้กับโยบ และถึงแม้ว่าโยบจะได้รับประสบการณ์กับความเจ็บปวดใหญ่หลวงกว่าที่เขาได้เคยรู้สึกมาก่อน แต่คำพยานของเขาก็ยังคงเพียงพอที่จะทิ้งให้ผู้คนประหลาดใจ  เขาได้ใช้ความอดทน ความเชื่อมั่น และการเชื่อฟังพระเจ้าของเขา ตลอดจนความยำเกรงพระเจ้าของเขา เพื่อทำให้ซาตานพ่ายแพ้อีกครั้ง และการประพฤติของเขาและคำพยานของเขาได้รับความเห็นชอบและความโปรดปรานจากพระเจ้าอีกครั้ง  ในระหว่างการทดลองนี้ โยบได้ใช้การประพฤติที่แท้จริงของเขาเพื่อประกาศแก่ซาตานว่าความเจ็บปวดของเนื้อหนังไม่สามารถเปลี่ยนความเชื่อและการเชื่อฟังพระเจ้าของเขาหรือนำการเฝ้าเดี่ยวต่อพระเจ้าและความยำเกรงพระเจ้าของเขาไปได้ เขาจะไม่ประกาศตัดขาดกับพระเจ้าหรือล้มเลิกความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขาเพราะเขาได้เผชิญหน้ากับความตาย  ความมุ่งมั่นของโยบทำให้ซาตานขี้ขลาด ความเชื่อของเขาทิ้งให้ซาตานขยาดและสั่นไหว  ความหนักหน่วงที่ใช้ต่อสู้กับซาตานในช่วงระหว่างการสู้รบที่อาจเป็นหรือตายของพวกเขาได้เพาะความเกลียดชังและความขุ่นเคืองอย่างลึกซึ้งในตัวซาตาน ความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขาทิ้งให้ซาตานไม่มีสิ่งใดที่มันจะสามารถทำกับเขาได้มากกว่านั้นแล้ว เช่นนั้นเองที่ซาตานได้ละทิ้งการโจมตีของมันที่มีต่อเขา และล้มเลิกข้อกล่าวหาที่มันมีต่อโยบที่มันได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้า  นี่หมายความว่าโยบได้ชนะโลกแล้ว เขาได้ชนะเนื้อหนังแล้ว เขาได้ชนะซาตานแล้ว และเขาได้ชนะความตายแล้ว  เขาเป็นมนุษย์ที่เป็นของพระเจ้าโดยครบบริบูรณ์และโดยสิ้นเชิง  ในช่วงระหว่างการทดสอบทั้งสองครั้งนี้ โยบได้ตั้งมั่นในคำพยานของเขา ได้ใช้ชีวิตด้วยความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขาอย่างแท้จริง และได้ขยายวงเขตแห่งหลักการดำรงชีวิตของเขาในด้านความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว  เมื่อได้ก้าวผ่านการทดสอบสองครั้งเหล่านี้แล้ว ประสบการณ์ที่มั่งคั่งยิ่งกว่าก็ได้เกิดขึ้นในตัวโยบ และประสบการณ์นี้ได้ทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่และช่ำชองมากยิ่งขึ้น มันทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น และมีความเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่ขึ้น และมันทำให้เขามั่นใจมากยิ่งขึ้นในความชอบธรรมและความมีคุณค่าของความซื่อสัตย์ที่เขาได้ยึดมั่น  การที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงทดสอบโยบได้มอบความเข้าใจและสำนึกรับรู้ที่ลึกซึ้งแก่เขาเกี่ยวกับความห่วงใยมนุษย์ของพระเจ้า และเปิดโอกาสให้เขาได้สำนึกรับรู้ถึงความมีค่าของความรักจากพระเจ้า ซึ่งจากจุดนี้การคิดคำนึงและความรักที่มีต่อพระเจ้าได้ถูกเพิ่มเข้าไปในความยำเกรงพระเจ้าของเขา  การทดสอบของพระยาห์เวห์พระเจ้าไม่เพียงแค่ไม่ได้แปลกแยกโยบออกจากพระองค์ แต่ยังได้นำพาหัวใจเขาให้ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น  เมื่อความเจ็บปวดทางเนื้อหนังที่โยบทนฝ่าได้ไปถึงจุดสูงสุดของมัน ความห่วงใยที่เขาได้รู้สึกจากพระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทำให้เขาไม่มีทางเลือกใดนอกจากต้องสาปแช่งวันที่เขาเกิด  การประพฤติเช่นนั้นไม่ได้ถูกวางแผนระยะยาว แต่เป็นการเปิดเผยตามธรรมชาติถึงการคิดคำนึงและความรักต่อพระเจ้าจากภายในหัวใจของเขา มันเป็นการเปิดเผยตามธรรมชาติที่มาจากการพิจารณาและความรักของเขาที่มีต่อพระเจ้า  กล่าวคือ เนื่องจากเขาเกลียดชังตัวเขาเอง และเขาไม่เต็มใจและไม่สามารถทนที่จะทรมานพระเจ้าได้ ด้วยเหตุนี้การคิดคำนึงและความรักของเขาจึงได้มาถึงจุดที่ไม่คำนึงถึงตนเอง  ณ เวลานี้ โยบได้ยกระดับการรักใคร่บูชาที่ยืนหยัดมายาวนานและการโหยหาพระเจ้าและการเฝ้าเดี่ยวต่อพระเจ้าของเขาขึ้นถึงระดับของการพิจารณาและการรัก  ในเวลาเดียวกัน เขายังได้ยกระดับความเชื่อและการเชื่อฟังพระเจ้าและการยำเกรงพระเจ้าของเขาขึ้นถึงระดับของการพิจารณาและการรัก  เขาไม่ยอมให้ตัวเขาเองทำสิ่งใดที่อาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดอันตรายกับพระเจ้า เขาไม่อนุญาตให้ตัวเองมีการประพฤติใดๆ ที่จะทำให้พระเจ้าทรงเจ็บปวด และไม่ยอมให้ตัวเขาเองนำความโทมนัส ความคับข้องพระทัย หรือแม้กระทั่งความไม่มีสุขมาสู่พระเจ้าเพราะเหตุผลของเขาเอง  ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น  ถึงแม้ว่าโยบจะยังคงเป็นโยบคนเดิมเหมือนเมื่อก่อน แต่ความเชื่อ การเชื่อฟัง และความยำเกรงพระเจ้าของโยบนั้นได้นำพาความพึงพอพระทัยและความชื่นชมยินดีอันครบบริบูรณ์มาให้พระเจ้า  ในเวลานั้น โยบได้บรรลุถึงความเพียบพร้อมที่พระเจ้าได้ทรงคาดหวังให้เขาบรรลุแล้ว เขาได้กลายเป็นใครบางคนที่มีค่าคู่ควรอย่างแท้จริงแก่การเรียกว่า “ดีพร้อมและเที่ยงธรรม” ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว  ความประพฤติที่ชอบธรรมของเขาเปิดโอกาสให้เขาชนะซาตานและตั้งมั่นในคำพยานของเขาต่อพระเจ้า  ดังนั้น ความประพฤติที่ชอบธรรมของเขาเช่นกันที่ได้ทำให้เขามีความเพียบพร้อม และเปิดโอกาสให้คุณค่าแห่งชีวิตของเขาได้รับการยกระดับและขึ้นสูงกว่าที่เคย และความประพฤติที่ชอบธรรมเหล่านั้นยังได้ทำให้เขาเป็นบุคคลแรกที่ไม่ถูกซาตานโจมตีและทดลองอีกต่อไป  เนื่องจากโยบนั้นชอบธรรม เขาจึงถูกซาตานกล่าวหาและทดลอง และเนื่องจากโยบนั้นชอบธรรม เขาจึงถูกส่งมอบให้แก่ซาตาน และเนื่องจากโยบนั้นชอบธรรม เขาจึงชนะซาตานและทำให้ซาตานพ่ายแพ้ และตั้งมั่นในคำพยานของเขา  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โยบได้กลายเป็นมนุษย์คนแรกที่จะไม่มีวันถูกส่งมอบให้แก่ซาตานอีก เขาได้มาอยู่หน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง และดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง ภายใต้พรของพระเจ้าโดยไม่มีการสอดแนมหรือการตามล้างตามผลาญของซาตาน… เขาได้กลายเป็นมนุษย์ที่แท้จริงในสายพระเนตรของพระเจ้า และได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระแล้ว…

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 49

ในชีวิตประจำวันของโยบพวกเรามองเห็นความเพียบพร้อม ความเที่ยงธรรม ความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วของเขา

หากพวกเราจะสนทนากันถึงโยบ เช่นนั้นแล้วพวกเราต้องเริ่มด้วยการประเมินเขาที่ถูกดำรัสมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า นั่นคือ “ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย”

พวกเรามาเรียนรู้เกี่ยวกับความดีพร้อมและความเที่ยงธรรมของโยบกันก่อนเถิด

ความเข้าใจของพวกเจ้าเกี่ยวกับคำว่า “ดีพร้อม” และ “เที่ยงธรรม” คือสิ่งใด?  พวกเจ้าเชื่อว่าโยบไม่มีที่ติ ว่าเขามีเกียรติใช่หรือไม่?  แน่นอนว่านี่คงจะเป็นการตีความตามตัวอักษรและการเข้าใจคำว่า “ดีพร้อม” และ “เที่ยงธรรม”  แต่บริบทแห่งชีวิตจริงเป็นส่วนสำคัญต่อการเข้าใจโยบที่แท้จริง—คำพูด หนังสือ และทฤษฎีอย่างเดียวจะไม่ให้คำตอบใด  พวกเราจะเริ่มด้วยการดูที่ชีวิตในบ้านของโยบ ว่าการประพฤติปกติของเขาเป็นอย่างไรในช่วงระหว่างชีวิตของเขา  นี่จะบอกให้พวกเรารู้เกี่ยวกับหลักการและวัตถุประสงค์ในชีวิตของเขา ตลอดจนเกี่ยวกับบุคลิกภาพและการไล่ตามเสาะหาของเขา  ตอนนี้ พวกเรามาอ่านพระวจนะสุดท้ายของโยบ 1:3 กันเถิด ความว่า “ดังนั้นชายผู้นี้จึงมั่งคั่งที่สุดในบรรดาชาวตะวันออก” สิ่งที่พระวจนะเหล่านี้กำลังกล่าวถึงก็คือว่า สถานะและตำแหน่งของโยบนั้นสูงส่งมาก และถึงแม้ว่าจะไม่มีการบอกให้พวกเรารู้ว่าเหตุผลที่ทำไมเขาจึงมั่งคั่งมากที่สุดในบรรดาชาวตะวันออกเป็นเพราะสินทรัพย์อันอุดมสมบูรณ์ของเขา หรือเพราะเขาเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม และยำเกรงพระเจ้าในขณะที่หลบเลี่ยงความชั่วก็ตาม แต่โดยรวมแล้วพวกเรารู้ว่าสถานะและตำแหน่งของโยบมีค่ามาก  ดังที่มีบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์นั้น ความประทับใจแรกที่ผู้คนมีต่อโยบก็คือว่าโยบเป็นคนดีพร้อม ว่าเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และว่าเขาครอบครองทรัพย์สมบัติที่มั่งคั่งและสถานะที่น่าเคารพนับถือ  สำหรับการที่บุคคลธรรมคนหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นและภายใต้สภาวะเงื่อนไขเช่นนั้น อาหารของโยบ คุณภาพชีวิต และแง่มุมต่างๆ ในชีวิตส่วนตัวของเขาคงจะเป็นจุดมุ่งความสนใจของผู้คนส่วนมาก ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องอ่านข้อพระคัมภีร์ต่อไป ความว่า “บุตรของท่านเคยจัดงานเลี้ยงในบ้านของแต่ละคนตามวันกำหนดของตน พวกเขาจะเชิญน้องสาวทั้งสามคนมารับประทานและดื่มกับพวกเขาด้วย และเมื่องานเลี้ยงเวียนครบรอบแล้ว โยบจะทำพิธีชำระตัวเขาทั้งหลายให้บริสุทธิ์ และท่านจะตื่นแต่เช้ามืด ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวตามจำนวนของเขาทั้งหมด เพราะโยบกล่าวว่า ‘บางทีลูกๆ ของข้าได้ทำบาปและแช่งพระเจ้าในใจ’ โยบทำอย่างนี้เรื่อยมา” (โยบ 1:4-5)  บทตอนนี้บอกให้พวกเรารู้สองสิ่ง นั่นคือ  สิ่งแรกคือบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของโยบจัดงานเลี้ยงเป็นประจำ มีการรับประทานและการดื่มมากมาย สิ่งที่สองคือโยบได้ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวบ่อยครั้ง เพราะเขามักเป็นห่วงบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขา โดยเกรงว่าพวกเขาจะทำบาป ว่าหัวใจของพวกเขาจะได้ประกาศตัดขาดกับพระเจ้าไปแล้ว  ในเรื่องนี้ได้พรรณนาถึงชีวิตของผู้คนสองชนิดที่แตกต่างกัน  ชนิดแรก บุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของโยบ ที่มักจะจัดงานเลี้ยงเนื่องจากความมั่งคั่งของพวกเขา ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย ดื่มและรับประทานอาหารจนจุใจพวกเขา และสุขสำราญกับคุณภาพชีวิตชั้นสูงที่ทรัพย์สมบัติทางวัตถุได้นำพามาให้  ด้วยการดำรงชีวิตเช่นนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่พวกเขาคงจะทำบาปและทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคืองบ่อยครั้ง—แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ชำระตัวพวกเขาให้บริสุทธิ์หรือถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว  เช่นนั้นแล้วเจ้าจะเห็นว่าพระเจ้าไม่ทรงมีที่ในหัวใจของพวกเขา ว่าพวกเขาไม่ได้คิดใคร่ครวญถึงพระคุณของพระเจ้าเลย อีกทั้งไม่ยำเกรงว่าจะทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคือง นับประสาอะไรที่พวกเขาจะยำเกรงการประกาศตัดขาดกับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา  แน่นอนว่าจุดมุ่งเน้นของเราไม่ใช่อยู่ที่ลูกๆ ของโยบ แต่อยู่ที่สิ่งที่โยบได้ทำเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ เช่นนั้น นี่คืออีกเรื่องหนึ่งที่ได้พรรณนาไว้ในบทตอนนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของโยบและแก่นแท้แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขา  ในที่ซึ่งพระคัมภีร์พรรณนาถึงงานเลี้ยงของบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของโยบ ไม่มีการกล่าวถึงโยบ ในนั้นกล่าวแต่เพียงว่าบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขามักจะรับประทานและดื่มด้วยกัน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เขาไม่ได้จัดงานเลี้ยง อีกทั้งเขาไม่ได้ร่วมกับบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขาในการรับประทานอย่างฟุ่มเฟือย  ถึงแม้จะมั่งคั่งและครอบครองสินทรัพย์และผู้รับใช้มากมาย แต่ชีวิตของโยบก็ไม่ใช่ชีวิตที่หรูหรา  เขาไม่ได้ถูกหลอกลวงด้วยสภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตที่เหนือกว่าของเขา และเขาไม่ได้ให้ตัวเองมูมมามกับความชื่นชมยินดีของเนื้อหนังหรือลืมที่จะถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวเนื่องจากทรัพย์สมบัติของเขา นับประสาอะไรที่มันจะเป็นสาเหตุให้เขาค่อยๆ หลบเลี่ยงพระเจ้าในหัวใจของเขา  เช่นนั้นแล้ว จึงเห็นเด่นชัดว่าโยบได้รับการบ่มวินัยในวิถีชีวิตของเขา ไม่โลภหรือสุรุ่ยสุร่ายอันเป็นผลจากพรที่พระเจ้าทรงให้แก่เขา และเขาไม่ได้ยึดติดกับคุณภาพของชีวิต  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาเป็นคนถ่อมใจและถ่อมตัว เขาไม่ได้รับมอบมาเพื่อการโอ้อวด และเขาระมัดระวังและเอาใจใส่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เขามักจะคิดใคร่ครวญถึงพระคุณและพรของพระเจ้าบ่อยๆ และเกรงกลัวพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง  ในชีวิตประจำวันของเขานั้น โยบมักจะลุกขึ้นแต่เช้าเพื่อถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวสำหรับบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขา  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ โยบไม่เพียงแต่ยำเกรงพระเจ้าด้วยตัวเขาเองเท่านั้น แต่เขายังหวังด้วยว่าลูกๆ ของเขาก็คงจะยำเกรงพระเจ้าในทำนองเดียวกันและไม่ทำบาปต่อพระเจ้า ทรัพย์สมบัติทางวัตถุของโยบไม่มีที่ภายในหัวใจของเขา อีกทั้งมันไม่ได้แทนที่ตำแหน่งที่พระเจ้าทรงครอง การกระทำประจำวันของโยบล้วนเชื่อมโยงกับความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว ไม่ว่าเพื่อประโยชน์ของเขาเองหรือเพื่อลูกๆ ของเขา  ความยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาไม่ได้หยุดอยู่ที่ปากของเขา แต่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่เขานำมาสู่การกระทำและได้สะท้อนอยู่ในทุกๆ ส่วนในชีวิตประจำวันของเขา  การประพฤติจริงนี้ของโยบแสดงให้พวกเราเห็นว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์ และครอบครองเนื้อแท้ที่รักความยุติธรรมและสิ่งต่างๆ ที่เป็นเชิงบวก  การที่โยบมักจะได้ส่งและได้ชำระบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขาให้บริสุทธิ์นั้นหมายความว่าเขาไม่ได้ห้ามหรือเห็นชอบกับพฤติกรรมของลูกๆ ของเขา ในทางกลับกัน ในหัวใจของเขานั้นเขาผิดหวังกับพฤติกรรมของพวกลูกๆ และกล่าวโทษพวกลูกๆ เขาได้สรุปว่าพฤติกรรมของบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขานั้นไม่เป็นที่พอพระทัยของพระยาห์เวห์พระเจ้า และดังนั้นเขาจึงมักเรียกให้พวกลูกๆมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าและสารภาพบาปของพวกเขาบ่อยๆ  การกระทำของโยบแสดงให้พวกเราเห็นสภาวะความเป็นมนุษย์อีกด้านหนึ่งของเขา ด้านที่เขาไม่มีวันเดินไปกับพวกที่มักทำบาปและทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคืองบ่อยๆ แต่กลับหลบเลี่ยงและหลีกเลี่ยงพวกเขาแทน  ถึงแม้ว่าผู้คนเหล่านี้จะเป็นบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขา แต่เขาก็ไม่ได้ละทิ้งหลักการแห่งการประพฤติของเขาเองเพราะพวกนั้นเป็นลูกหลานของเขาเอง อีกทั้งเขาไม่ได้ดื่มด่ำกับบาปของพวกลูกๆ เพราะอารมณ์ความรู้สึกของเขาเอง  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากระตุ้นให้พวกลูกๆ สารภาพและได้รับความอดกลั้นของพระยาห์เวห์พระเจ้า และเขาได้เตือนพวกลูกๆ ไม่ให้ละทิ้งพระเจ้าเพื่อเห็นแก่ความสุขสำราญอันละโมบของพวกเขาเอง  หลักการแห่งวิธีที่โยบปฏิบัติต่อผู้อื่นนั้นไม่อาจแยกกันได้จากหลักการแห่งความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วของเขา  เขารักสิ่งที่พระเจ้าทรงยอมรับ และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงขยะแขยง เขารักบรรดาผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา และเกลียดชังบรรดาผู้ที่กระทำชั่วหรือทำบาปต่อพระเจ้า  ความรักและความเกลียดชังเช่นนั้นถูกแสดงให้เห็นในชีวิตประจำวันของเขา และเป็นความเที่ยงธรรมยิ่งของโยบที่สายพระเนตรของพระเจ้ามองเห็น  โดยธรรมชาติแล้วนั้น นี่ยังเป็นการแสดงออกและการดำรงชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงของโยบในความสัมพันธ์ของเขากับคนอื่นๆ ในชีวิตประจำวันของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราต้องเรียนรู้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 50

การสำแดงถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ของโยบในช่วงระหว่างการทดสอบของเขา (การทำความเข้าใจความดีพร้อม ความเที่ยงธรรม ความยำเกรงพระเจ้า และการหลบเลี่ยงความชั่วของโยบในช่วงระหว่างการทดสอบของเขา)

เมื่อโยบได้ยินว่าทรัพย์สินของเขาได้ถูกขโมยไป ว่าบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขาได้เสียชีวิตไป และว่าผู้รับใช้ของเขาได้ถูกสังหารไปแล้ว เขามีปฏิกิริยาดังนี้ “แล้วโยบก็ลุกขึ้น ฉีกเสื้อคลุมของตน โกนศีรษะ กราบลงถึงดินนมัสการ” (โยบ 1:20)  พระวจนะเหล่านี้บอกให้เรารู้ข้อเท็จจริงหนึ่ง นั่นคือ  หลังจากได้ยินข่าวนี้แล้ว โยบไม่ได้ตื่นตระหนก เขาไม่ได้ร้องไห้หรือตำหนิผู้รับใช้ทั้งหลายที่ได้บอกข่าวนี้กับเขา นับประสาอะไรที่เขาจะได้ตรวจสอบที่เกิดเหตุเพื่อเจาะลึกและยืนยันความถูกต้องของรายละเอียดและหาว่าที่จริงแล้วได้เกิดอะไรขึ้น  เขาไม่ได้แสดงความเจ็บปวดหรือความเสียใจใดๆ ที่สูญเสียสิ่งครอบครองของเขา อีกทั้งเขาไม่ได้หลั่งน้ำตาเนื่องจากสูญเสียลูกๆ ของเขาและบรรดาผู้เป็นที่รักของเขา  ในทางตรงกันข้าม เขาได้ฉีกเสื้อคลุมของเขา และโกนศีรษะ กราบลงถึงดินและนมัสการ  การกระทำของโยบไม่เหมือนกับการกระทำของมนุษย์ธรรมดาคนใด  การกระทำเหล่านั้นทำให้ผู้คนมากมายสับสน และทำให้พวกเขาตำหนิโยบในหัวใจของพวกเขาสำหรับ “ความเลือดเย็น” ของเขา  การที่จู่ๆ ก็สูญเสียสิ่งครอบครองทั้งหลายของตนไป ผู้คนปกติคงจะปรากฏว่าใจสลายหรือหมดอาลัยตายอยาก—หรือในกรณีของผู้คนบางคน พวกเขาอาจถึงขั้นตกอยู่ในความซึมเศร้าที่ลึกซึ้ง  นี่เป็นเพราะว่าในหัวใจของผู้คนนั้น ทรัพย์สินของพวกเขาเป็นตัวแทนของความพยายามชั่วชีวิตของพวกเขา—มันคือสิ่งที่ความอยู่รอดของพวกเขาพึ่งพาอยู่ มันเป็นความหวังที่ทำให้พวกเขามีชีวิตอยู่  การสูญเสียทรัพย์สินของพวกเขาไปหมายถึงความพยายามของพวกเขาได้สูญเปล่า ว่าพวกเขาอยู่โดยไม่มีความหวัง และแม้กระทั่งว่าพวกเขาไม่มีอนาคต  นี่คือท่าทีของบุคคลปกติทุกคนที่มีต่อทรัพย์สินของพวกเขาและเป็นสัมพันธภาพอันใกล้ชิดที่พวกเขามีกับมัน และนี่ยังเป็นความสำคัญของทรัพย์สินในสายตาของผู้คนอีกด้วย  เช่นนั้นเอง ผู้คนส่วนใหญ่จำนวนมากจึงรู้สึกสับสนกับท่าทีที่ไม่แยแสของโยบที่มีต่อความสูญเสียทรัพย์สินของเขา  วันนี้ พวกเรากำลังจะขจัดความสับสนที่ผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดรู้สึกโดยการอธิบายถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นภายในหัวใจของโยบ

สามัญสำนึกบอกบทว่า เมื่อได้รับมอบสินทรัพย์อันอุดมสมบูรณ์เช่นนั้นจากพระเจ้าแล้ว โยบควรจะที่รู้สึกละอายเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเนื่องจากการสูญเสียสินทรัพย์เหล่านั้น เพราะเขาไม่ได้ดูแล หรือเอาใจใส่สิ่งเหล่านั้น เขาไม่ได้ยึดติดกับสินทรัพย์ที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่เขา  ด้วยเหตุนี้ เมื่อเขาได้ยินว่าทรัพย์สินของเขาได้ถูกขโมยไป ปฏิกิริยาแรกของเขาควรจะเป็นการไปยังที่เกิดเหตุและตรวจสอบสิ่งของที่คงเหลือจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้สูญหายไป แล้วจากนั้นก็ควรจะสารภาพต่อพระเจ้าเพื่อที่เขาอาจจะได้รับพรจากพระเจ้าอีกครั้ง  อย่างไรก็ตาม โยบไม่ได้ทำการนี้ และเขามีเหตุผลของเขาเองโดยธรรมชาติสำหรับการไม่ทำเช่นนั้น  ในหัวใจของเขา โยบเชื่ออย่างล้ำลึกว่าทั้งหมดที่เขาครอบครองนั้นได้ถูกพระเจ้าประทานมาให้แก่เขา และไม่ใช่ผลผลิตจากการลงแรงของเขาเอง  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่มองว่าพรเหล่านี้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้เป็นต้นทุน แต่กลับผูกติดหลักการแห่งความอยู่รอดเขาไว้ในการยึดมั่นกับหนทางที่ควรจะยกชูด้วยพละกำลังทั้งหมดของเขาแทน  เขาเชิดชูพรของพระเจ้าและขอบคุณสำหรับสิ่งเหล่านั้น แต่เขาไม่ได้ติดใจกับพร อีกทั้งเขาไม่ได้แสวงหาสิ่งเหล่านั้นให้มากยิ่งขึ้น  เช่นนั้นเองคือท่าทีของเขาที่มีต่อทรัพย์สิน  เขาไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อประโยชน์ของการได้มาซึ่งพร อีกทั้งไม่ได้กังวลหรือเป็นทุกข์ด้วยการขาดหรือสูญเสียพรต่างๆ ของพระเจ้า เขาไม่ได้กลายเป็นมีความสุขอย่างลำพองและพร่ำเพ้อเนื่องจากพรของพระเจ้า อีกทั้งไม่ได้เพิกเฉยต่อทางแห่งพระเจ้าหรือลืมพระคุณของพระเจ้าเนื่องจากพรต่างๆ ที่เขาได้ชื่นชมอยู่เป็นนิตย์  ท่าทีของโยบที่มีต่อทรัพย์สินของเขาเปิดเผยให้ผู้คนเห็นสภาวะความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงของเขา กล่าวคือ  ประการแรก โยบไม่ใช่คนโลภ และไม่ต้องการมากมายในชีวิตทางวัตถุของเขา  ประการที่สอง โยบไม่เคยเป็นห่วงหรือเกรงว่าพระเจ้าจะเอาทั้งหมดที่เขามีไป ซึ่งเป็นท่าทีของเขาที่เชื่อฟังต่อพระเจ้าในหัวใจของเขา กล่าวคือ เขาไม่มีความต้องการหรือการร้องทุกข์คร่ำครวญเกี่ยวกับว่าพระเจ้าจะทรงเอาไปจากเขาเมื่อไร หรือจะเอาไปหรือไม่ และไม่ได้ถามเหตุผลว่าทำไม แต่มีเพียงพยายามที่จะเชื่อฟังการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  ประการที่สาม เขาไม่เคยเชื่อว่าสินทรัพย์ของเขานั้นมาจากการลงแรงของเขาเอง แต่ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่เขา  นี่คือความเชื่อในพระเจ้าของโยบ และคือเครื่องบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของเขา  สภาวะความเป็นมนุษย์ของโยบและการไล่ตามเสาะหาประจำวันที่แท้จริงของเขาได้เป็นที่ชัดเจนในข้อสรุปสามประเด็นเกี่ยวกับเขานี้หรือไม่?  สภาวะความเป็นมนุษย์และการไล่ตามเสาะหาของโยบเป็นส่วนสำคัญในการประพฤติที่ดีเยี่ยมของเขาเมื่อเผชิญหน้ากับความสูญเสียในทรัพย์สินของเขา  มันเป็นเพราะการไล่ตามเสาะหาประจำวันของเขาอย่างแน่นอนที่โยบได้มีวุฒิภาวะและความเชื่อมั่นที่จะกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” ในช่วงระหว่างการทดสอบของพระเจ้า  คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่ได้มาชั่วข้ามคืน อีกทั้งคำพูดเหล่านี้ไม่ใช่เพิ่งได้ปรากฏขึ้นในหัวของโยบ  คำพูดเหล่านั้นคือสิ่งที่เขาได้มองเห็นและคุ้นเคยในช่วงระหว่างหลายปีแห่งการได้รับประสบการณ์กับชีวิต  เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่เพียงแค่แสวงหาพรของพระเจ้าและผู้ที่เกรงว่าพระเจ้าจะทรงเอาไปจากพวกเขา และผู้ที่เกลียดมันและพร่ำบ่นถึงมันแล้วนั้น การเชื่อฟังของโยบเป็นจริงอย่างมากไม่ใช่หรือ?  เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่เชื่อว่ามีพระเจ้า แต่เป็นผู้ไม่มีวันเชื่อว่าพระเจ้าทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่งแล้วนั้น โยบครอบครองความซื่อสัตย์และความเที่ยงธรรมที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่หรือ?

ความมีเหตุผลของโยบ

ประสบการณ์จริงของโยบและสภาวะความเป็นมนุษย์ที่เที่ยงธรรมและซื่อสัตย์หมายความว่าเขาได้ทำการตัดสินและเลือกอย่างมีเหตุผลมากที่สุดเมื่อเขาได้สูญเสียสินทรัพย์และลูกๆ ของเขาไป  ทางเลือกที่มีเหตุผลเช่นนั้นไม่อาจแยกกันได้จากการไล่ตามเสาะหาประจำวันของเขาและกิจการทั้งหลายของพระเจ้าที่เขาได้มารู้จักในช่วงระหว่างชีวิตแต่ละวันของเขา  ความซื่อสัตย์ของโยบทำให้เขาสามารถเชื่อได้ว่าพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง การเชื่อของเขาเปิดโอกาสให้เขารู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระยาห์เวห์พระเจ้า ความรู้ของเขาทำให้เขาเต็มใจและสามารถที่จะเชื่อฟังอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระยาห์เวห์พระเจ้า การเชื่อฟังของเขาทำให้เขาสามารถซื่อสัตย์สุจริตในความยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาได้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ความยำเกรงของเขาทำให้เขาเป็นจริงในการหลบเลี่ยงความชั่วของเขามากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในท้ายที่สุดโยบก็ได้กลายเป็นดีพร้อมเพราะเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ความดีพร้อมของเขาได้ทำให้เขามีปัญญา และได้ให้ความมีเหตุผลสูงสุดแก่เขา

พวกเราควรเข้าใจคำว่า “มีเหตุผล” นี้อย่างไร?  การตีความตามตัวอักษรก็คือมันหมายถึงการมีสำนึกรับรู้ที่ดี การมีตรรกะและสามัญสำนึกในความคิดของคนเรา การมีวาทะ การกระทำ และการตัดสินที่ถูกต้อง และการครอบครองมาตรฐานทางศีลธรรมที่ดีงามและเป็นปกติ  กระนั้น ความมีเหตุผลของโยบก็ไม่ใช่จะอธิบายได้อย่างง่ายดาย  เมื่อมีการกล่าวในที่นี้ว่าโยบครอบครองความมีเหตุผลสูงสุด การนี้กล่าวในความเชื่อมโยงกับสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขาและการประพฤติของเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เพราะโยบเป็นคนซื่อสัตย์ เขาจึงสามารถที่จะเชื่อและเชื่อฟังอธิปไตยของพระเจ้า ซึ่งได้มอบความรู้อย่างหนึ่งที่คนอื่นๆ ไม่สามารถหามาได้ให้แก่เขา และความรู้นี้ได้ทำให้เขาสามารถวินิจฉัย ตัดสิน และกำหนดนิยามสิ่งที่ได้ประสบแก่เขาได้อย่างถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้เขาสามารถเลือกสิ่งที่จะทำและสิ่งที่จะยึดมั่นได้อย่างถูกต้องแม่นยำและอย่างเฉียบแหลมมากยิ่งขึ้น  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คำพูด พฤติกรรมของเขา หลักการเบื้องหลังการกระทำของเขา และจรรยาบรรณในการที่เขาได้กระทำนั้นเป็นปกติ ชัดเจน และเฉพาะเจาะจง และไม่ได้มืดบอด หุนหันพลันแล่น หรือตามอารมณ์  เขารู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไรกับสิ่งใดก็ตามที่ประสบกับเขา เขารู้ว่าจะจัดสมดุลและรับมืออย่างไรกับสัมพันธภาพระหว่างเหตุการณ์ที่ซับซ้อน เขารู้วิธีที่จะยึดมั่นกับหนทางที่ควรจะยึดมั่น และยิ่งไปกว่านั้น เขารู้วิธีที่จะปฏิบัติกับการประทานและการทรงเอาไปของพระยาห์เวห์พระเจ้า  นี่คือความมีเหตุผลอย่างยิ่งของโยบ  มันเป็นเพราะโยบมีพร้อมด้วยความมีเหตุผลเช่นนั้นอย่างแน่นอนที่เขาได้กล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์”  เมื่อเขาได้สูญเสียสินทรัพย์ของเขาและบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขา

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 51

โฉมหน้าจริงของโยบ: ซื่อตรง บริสุทธิ์ และปราศจากความเท็จ

พวกเรามาอ่านโยบ 2:7-8 กันเถิด ความว่า “ซาตานจึงออกไปจากเบื้องพระพักตร์พระยาห์เวห์ และทำให้โยบเป็นฝีร้าย ตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงกระหม่อม และท่านก็เอาชิ้นหม้อแตกมาขูดตัว และนั่งอยู่ในกองขี้เถ้า”  นี่คือการพรรณนาถึงการประพฤติของโยบเมื่อฝีร้ายได้ผุดขึ้นบนร่างกายของเขา  ในเวลานี้ โยบนั่งอยู่ในกองขี้เถ้าขณะที่เขาทนฝ่าความเจ็บปวด  ไม่มีผู้ใดดูแลรักษาเขา และไม่มีผู้ใดช่วยเขาให้บรรเทาความเจ็บปวดของร่างกายเขา ในทางกลับกัน เขาได้ใช้ชิ้นหม้อแตกมาขูดผิวของฝีร้ายนั้น  ดูเผินๆ แล้วนั้น นี่เป็นแค่ช่วงระยะหนึ่งในความทรมานของโยบ และไม่มีความสัมพันธ์ใดกับสภาวะความเป็นมนุษย์และความยำเกรงพระเจ้าของเขา เพราะโยบไม่ได้กล่าวคำพูดใดเพื่อแสดงออกถึงอารมณ์และทรรศนะของเขาในเวลานั้น  กระนั้น การกระทำของโยบและการประพฤติของเขายังคงเป็นการแสดงออกที่แท้จริงของสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขา  ในบันทึกจากตอนก่อนหน้านี้พวกเราได้อ่านว่าโยบเป็นคนที่มั่งคั่งที่สุดในบรรดาชาวตะวันออก  ในขณะเดียวกัน บทตอนนี้จากตอนที่สองแสดงให้เราเห็นว่าชายที่มั่งคั่งจากตะวันออกผู้นี้แท้ที่จริงแล้วได้เอาชิ้นหม้อแตกมาขูดตัวในขณะที่นั่งอยู่ในกองขี้เถ้า  มีความขัดแย้งกันอย่างชัดเจนระหว่างการพรรณนาสองข้อนี้ไม่ใช่หรือ?  มันคือความขัดแย้งที่แสดงให้พวกเราเห็นตัวตนที่แท้จริงของโยบ นั่นคือ ถึงแม้ว่าเขาจะมีตำแหน่งและสถานะที่มีเกียรติ เขาไม่เคยได้รักหรือให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้เลย เขาไม่ได้ใส่ใจว่าคนอื่นๆ มองตำแหน่งของเขาอย่างไร อีกทั้งเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับว่าการกระทำหรือการประพฤติของเขาจะมีผลกระทบเชิงลบกับตำแหน่งของเขาหรือไม่ เขาไม่ได้ดื่มด่ำกับประโยชน์แห่งตำแหน่ง อีกทั้งเขาไม่ได้ชื่นชมสง่าราศีที่มากับตำแหน่งและสถานะ  เขาเพียงแต่ใส่ใจกับคุณค่าของเขาและนัยสำคัญแห่งการดำรงชีวิตของเขาในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าเท่านั้น  ตัวตนที่แท้จริงของโยบคือเนื้อแท้จริงๆ ของเขา นั่นคือ  เขาไม่ได้รักชื่อเสียงและโชควาสนา และไม่ได้ดำรงชีวิตเพื่อชื่อเสียงและโชควาสนา เขาซื่อตรง และบริสุทธิ์ และปราศจากความเท็จ

การแยกความรักและความเกลียดชังของโยบ

อีกด้านหนึ่งของสภาวะความเป็นมนุษย์ของโยบถูกแสดงอยู่ในการโต้ตอบระหว่างเขากับภรรยาของเขานี้ ความว่า “แล้วภรรยาท่านกล่าวกับท่านว่า ‘เธอยังจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์อยู่อีกหรือ?  จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ’ แต่ท่านตอบนางว่า ‘เธอพูดอย่างหญิงโง่เขลาจะพึงพูด เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?’” (โยบ 2:9-10)  เมื่อได้เห็นความทรมานที่เขากำลังทนทุกข์อยู่นั้น ภรรยาของโยบพยายามให้คำแนะนำแก่โยบเพื่อช่วยเขาให้รอดพ้นจากความทรมาน แต่ทว่า “เจตนาดี” ของนางไม่ได้รับความเห็นชอบจากโยบ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจตนาเหล่านั้นยังได้กระตุ้นความโกรธของเขา เพราะนางได้ปฏิเสธความเชื่อและการเชื่อฟังของเขาที่มีต่อพระยาห์เวห์พระเจ้า และยังได้ปฏิเสธการมีอยู่ของพระยาห์เวห์พระเจ้าอีกด้วย  นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจทนยอมรับได้สำหรับโยบ เพราะเขาไม่เคยยอมให้ตัวเองทำสิ่งใดที่ต่อต้านหรือเป็นอันตรายต่อพระเจ้า ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ  เขาสามารถไม่แยแสอยู่ได้อย่างไรเมื่อเขามองเห็นคนอื่นๆ กล่าวคำพูดที่หมิ่นประมาทและดูแคลนพระเจ้า?  ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้เรียกภรรยาของเขาว่า “หญิงโง่เขลา”  ท่าทีของโยบที่มีต่อภรรยาของเขาเป็นท่าทีของความโกรธและเกลียดชัง ตลอดจนการตำหนิและการติเตียน  นี่คือการแสดงออกที่เป็นธรรมชาติจากสภาวะความเป็นมนุษย์ของโยบ—โดยแยกแยะความแตกต่างระหว่างความรักและความเกลียดชัง—และมันเป็นตัวแทนที่แท้จริงของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่เที่ยงธรรมของเขา  โยบครอบครองสำนึกรับรู้แห่งความยุติธรรม—สำนึกรับรู้ที่ทำให้เขาเกลียดชังสายลมและสายน้ำแห่งความชั่ว และเกลียด ประณาม และปฏิเสธความนอกรีตที่ไร้สาระ การโต้แย้งที่ไร้สาระน่าขัน และการยืนยันที่น่าหัวเราะ และเปิดโอกาสให้เขามีความซื่อตรงต่อหลักการและท่าทีที่ถูกต้องของตัวเขาเองเมื่อเขาถูกฝูงชนปฏิเสธและถูกบรรดาผู้ที่ใกล้ชิดกับเขาทอดทิ้งไป

ความใจดีและความจริงใจของโยบ

ในเมื่อพวกเราสามารถมองเห็นการแสดงออกของแง่มุมต่างๆ แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ของโยบจากการประพฤติของเขา พวกเรามองเห็นสิ่งใดจากสภาวะความเป็นมนุษย์ของโยบเมื่อเขาได้เปิดปากของเขาเพื่อสาปแช่งวันที่เขาเกิด?  นี่คือหัวข้อที่พวกเราจะแบ่งปันกันด้านล่างนี้

ข้างต้นนั้น เราได้พูดถึงที่มาของการที่โยบสาปแช่งวันที่เขาเกิดไปแล้ว  พวกเจ้ามองเห็นสิ่งใดในการนี้?  หากโยบเป็นคนใจแข็งและปราศจากความรัก หากเขาเป็นคนเย็นชาและไร้อารมณ์และสูญสิ้นสภาวะความเป็นมนุษย์ เขาจะสามารถได้เอาใจใส่กับความพึงปรารถนาจากพระทัยของพระเจ้าได้หรือ?  เขาจะสามารถชิงชังรังเกียจวันที่ตัวเขาเองเกิดเพราะเขาเอาใจใส่พระทัยของพระเจ้าได้หรือ?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากโยบเป็นคนใจแข็งและสูญสิ้นสภาวะความเป็นมนุษย์ เขาจะสามารถทุกข์ใจด้วยความเจ็บปวดของพระเจ้าได้หรือ?  เขาจะสามารถได้สาปแช่งวันที่เขาเกิดเพราะพระเจ้าทรงโทมนัสเพราะเขาได้หรือ?  คำตอบคือ ไม่ได้อย่างแน่นอน!  เพราะเขาใจดี โยบจึงได้เอาใจใส่พระทัยของพระเจ้า เพราะเขาเอาใจใส่พระทัยของพระเจ้า โยบจึงสำนึกรับรู้ความเจ็บปวดของพระเจ้า เพราะเขาใจดี เขาจึงทนทุกข์กับความทรมานที่ใหญ่หลวงยิ่งขึ้นอันเป็นผลมาจากการสำนึกรับรู้ถึงความเจ็บปวดของพระเจ้า เพราะเขาสำนึกรับรู้ถึงความเจ็บปวดของพระเจ้า เขาจึงได้เริ่มเกลียดชังวันที่เขาเกิด และด้วยเหตุนี้จึงได้สาปแช่งวันที่เขาเกิด  สำหรับคนนอกแล้ว การประพฤติทั้งหมดทั้งมวลของโยบในช่วงระหว่างการทดสอบของเขานั้นน่าเป็นแบบอย่าง  มีเพียงการสาปแช่งวันที่เขาเกิดเท่านั้นที่ทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามเหนือความดีพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขา หรือเป็นนัยบ่งบอกถึงการประเมินที่แตกต่างออกไป  ในความเป็นจริง นี่เป็นการแสดงออกที่แท้จริงที่สุดถึงแก่นแท้แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ของโยบ  แก่นแท้แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขาไม่ได้ถูกปกปิดหรือห่อหุ้มไว้ หรือได้รับการแก้ไขใหม่โดยคนอื่นบางคน  เมื่อเขาได้สาปแช่งวันที่เขาเกิด เขาได้แสดงให้เห็นความใจดีและความจริงใจส่วนลึกภายในหัวใจของเขา เขาเป็นเหมือนน้ำพุที่น้ำนั้นใสมากและโปร่งใสจนเผยให้เห็นก้นบึ้งของมัน

เมื่อได้เรียนรู้ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับโยบแล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้คนส่วนใหญ่จะมีการประเมินแก่นแท้แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ของโยบอย่างถูกต้องแม่นยำตามข้อเท็จจริงพอสมควร  พวกเขาควรมีการเข้าใจและความซึ้งคุณค่าที่ล้ำลึก สัมพันธ์กับชีวิตจริง และก้าวหน้ายิ่งขึ้นเกี่ยวกับความดีพร้อมและความเที่ยงธรรมของโยบตามที่พระเจ้าได้ตรัสถึง  หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเข้าใจและความซึ้งคุณค่านี้จะช่วยให้ผู้คนเริ่มดำเนินการกับหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 52

สัมพันธภาพระหว่างการที่พระเจ้าทรงมอบหมายโยบให้ซาตานและจุดมุ่งหมายแห่งพระราชกิจของพระเจ้า

ถึงแม้ว่าตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่จะระลึกได้ว่าโยบนั้นดีงามและเที่ยงธรรม ว่าเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว แต่การระลึกได้นี้ก็ไม่ได้ให้ความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นแก่พวกเขาเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ในเวลาเดียวกันกับที่อิจฉาสภาวะความเป็นมนุษย์และการไล่ตามเสาะหาของโยบ พวกเขาก็ถามคำถามต่อไปนี้กับพระเจ้า นั่นคือ  โยบนั้นดีงามและเที่ยงธรรมยิ่งนัก ผู้คนรักใคร่บูชาเขามากเหลือเกิน ดังนั้น เหตุใดพระเจ้าจึงทรงส่งมอบเขาให้แก่ซาตานและให้เขาตกอยู่ในความทรมานมากมายนัก?  คำถามต่างๆ เช่นนั้นต้องมีอยู่ในหัวใจของผู้คนมากมายอย่างแน่นอน—หรือน่าจะเป็นว่า ความสงสัยนี้ก็คือคำถามในหัวใจของผู้คนจำนวนมาก  ในเมื่อมันได้สร้างความสับสนให้ผู้คนมากมายเหลือเกิน พวกเราต้องเปิดคำถามนี้และอธิบายมันอย่างถูกต้องเหมาะสม

ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำมีความจำเป็นและมีความสำคัญเหนือธรรมดา เพราะทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำในตัวมนุษย์นั้นเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระองค์และความรอดของมวลมนุษย์  โดยธรรมชาติแล้ว พระราชกิจที่พระเจ้าทำในตัวโยบก็ไม่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าโยบจะเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงตรงในสายพระเนตรของพระเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดหรือพระองค์ทรงทำสิ่งนั้นด้วยวิธีการใด ไม่ว่าในราคาใด ไม่ว่าวัตถุประสงค์ของพระองค์คืออะไร จุดประสงค์แห่งการกระทำของพระองค์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง  จุดประสงค์ของพระองค์คือการแทรกพระวจนะของพระเจ้าเข้าไปในตัวมนุษย์ รวมทั้งข้อพึงประสงค์และน้ำพระทัยที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เพื่อทำให้ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงเชื่อว่าสอดคล้องในเชิงบวกกับขั้นตอนต่างๆ ของพระองค์แทรกซึมเข้าไปในตัวมนุษย์ ทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจพระทัยของพระเจ้าและจับใจความเกี่ยวกับแก่นแท้ของพระเจ้าได้ ทั้งยังเปิดโอกาสให้มนุษย์เชื่อฟังอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์บรรลุความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว—ทั้งหมดนี้คือแง่มุมหนึ่งของจุดประสงค์ของพระเจ้าในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ  อีกแง่มุมหนึ่งก็คือว่า เนื่องจากซาตานคือวัตถุปรนนิบัติที่เป็นตัวประกอบเสริมความเด่นในพระราชกิจของพระเจ้า มนุษย์จึงมักจะถูกส่งมอบให้แก่ซาตาน นี่คือวิถีทางที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนได้มองเห็นความชั่วร้าย ความน่าเกลียด และความน่าเหยียดหยามของซาตานในการทดลองและการโจมตีของซาตาน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุให้ผู้คนเกลียดชังซาตานและสามารถรู้จักและระลึกรู้สิ่งที่เป็นลบ  กระบวนการนี้เปิดโอกาสให้พวกเขาค่อยๆ ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการควบคุมและการกล่าวหา การแทรกแซง และการโจมตีของซาตาน—จนกระทั่งพวกเขามีชัยชนะเหนือการโจมตีและการกล่าวหาของซาตาน ด้วยพระวจนะของพระเจ้า ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและความเชื่อฟังพระเจ้าของพวกเขา และความเชื่อในพระเจ้าและความยำเกรงพระองค์ของพวกเขา เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับการช่วยให้พ้นจากแดนครอบครองของซาตานโดยบริบูรณ์  การช่วยผู้คนให้รอดพ้นหมายความว่าซาตานได้พ่ายแพ้แล้ว หมายความว่าพวกเขาไม่ใช่อาหารในปากของซาตานอีกต่อไป—แทนที่จะกลืนพวกเขา ซาตานก็ได้ปล่อยพวกเขาไป  นี่เป็นเพราะผู้คนเช่นนั้นเป็นคนเที่ยงธรรม เพราะพวกเขามีความเชื่อ มีความเชื่อฟัง และมีความยำเกรงพระเจ้า และเพราะพวกเขาแตกหักกับซาตานโดยสิ้นเชิง  พวกเขานำความอับอายมาให้ซาตาน พวกเขาทำให้ซาตานขลาดกลัว และพวกเขาทำให้ซาตานปราชัยอย่างเด็ดขาด  ความเชื่อมั่นในการติดตามพระเจ้า และความเชื่อฟังและความยำเกรงพระเจ้าของพวกเขาทำให้ซาตานปราชัย และทำให้ซาตานยอมปล่อยมือจากพวกเขาโดยสิ้นเชิง  มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงรับไว้อย่างแท้จริง และนี่เองคือวัตถุประสงค์สูงสุดของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอด  หากพวกเขาปรารถนาที่จะได้รับการช่วยให้รอด และปรารถนาที่จะให้พระเจ้าทรงรับไว้โดยบริบูรณ์ เช่นนั้นแล้ว ผู้ที่ติดตามพระเจ้าทั้งหมดต้องเผชิญหน้ากับการทดลองและการโจมตีทั้งใหญ่และเล็กจากซาตาน  บรรดาผู้ที่รอดพ้นจากการทดลองและการโจมตีเหล่านี้และสามารถทำให้ซาตานปราชัยได้อย่างหมดรูปคือบรรดาผู้ที่พระเจ้าได้ทรงช่วยให้รอด  นี่หมายความว่าบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดคือผู้ที่ก้าวผ่านบททดสอบของพระเจ้า และเป็นผู้ที่ถูกซาตานทดลองและโจมตีมานับครั้งไม่ถ้วน  บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดนั้นเข้าใจน้ำพระทัยและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และสามารถยอมรับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และพวกเขาไม่ละทิ้งหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเมื่ออยู่ท่ามกลางการทดลองของซาตาน  บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดนั้นครองความซื่อสัตย์ พวกเขาใจดี พวกเขาจำแนกความแตกต่างระหว่างความรักและความเกลียด พวกเขามีสำนึกของความยุติธรรมและมีเหตุผล และพวกเขาสามารถที่จะเอาใจใส่พระเจ้าและทะนุถนอมความล้ำค่าของทั้งหมดที่เป็นของพระเจ้า  ผู้คนเช่นนั้นไม่ถูกซาตานพันธนาการ สอดแนม กล่าวหา หรือทารุณ พวกเขาเป็นอิสระโดยบริบูรณ์ พวกเขามีเสรีภาพและได้รับการปลดปล่อยโดยสมบูรณ์  โยบก็เป็นมนุษย์ที่มีอิสรภาพเช่นนั้น และแน่นอนว่านี่คือความสำคัญของการที่พระเจ้าทรงส่งมอบเขาให้แก่ซาตาน

โยบถูกซาตานล่วงละเมิด แต่เขาก็ได้รับอิสรภาพและเสรีภาพอันเป็นนิรันดร์ด้วยเช่นกัน และเขาได้รับสิทธิ์ที่จะไม่มีวันตกอยู่ภายใต้ความเสื่อมทราม การล่วงละเมิด และการกล่าวหาของซาตานอีก แต่กลับจะได้ดำรงชีวิตอยู่ในความสว่างแห่งโฉมพระพักตร์ของพระเจ้าที่อิสระและไร้ภาระผูกพันแทน และที่จะดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางพรที่พระเจ้าประทานให้เขา  ไม่มีผู้ใดสามารถพราก หรือทำลาย หรือยึด หรือเอาสิทธิ์นี้ไป  มันได้ถูกประทานให้แก่โยบเพื่อตอบแทนสำหรับความเชื่อ ความมุ่งมั่น และการเชื่อฟังและการยำเกรงพระเจ้า โยบได้จ่ายราคาด้วยชีวิตของเขาเพื่อให้ได้มาซึ่งความชื่นบานและความสุขบนแผ่นดินโลกและเพื่อให้ได้มาซึ่งความถูกต้องและสิทธิ์ดังที่สวรรค์ได้ลิขิตไว้และแผ่นดินโลกก็ยอมรับรู้ เพื่อที่จะนมัสการพระผู้สร้างโดยไม่มีการแทรกแซงในฐานะสิ่งทรงสร้างที่แท้จริงของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก  เช่นนั้นยังเป็นบทอวสานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการทดลองที่โยบได้ทนฝ่าด้วยเช่นกัน

เมื่อผู้คนยังไม่ได้รับการช่วยให้รอด ชีวิตของพวกเขามักถูกแทรกแซง และแม้กระทั่งถูกควบคุมโดยซาตาน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้คนที่ยังไม่ได้รับการช่วยให้รอดนั้นเป็นนักโทษของซาตาน พวกเขาไม่มีอิสรภาพ พวกเขายังไม่ถูกซาตานปล่อยตัว พวกเขาไม่มีคุณสมบัติหรือสิทธิ์ที่จะนมัสการพระเจ้า และพวกเขาถูกไล่ตามอย่างใกล้ชิดและถูกโจมตีอย่างชั่วช้าโดยซาตาน  ผู้คนเช่นนั้นไม่มีความสุขให้พูดถึง พวกเขาไม่มีสิทธิ์ในการดำรงอยู่ตามปกติให้พูดถึง และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่มีศักดิ์ศรีให้พูดถึง  มีเพียงเมื่อเจ้ายืนขึ้นและทำการสู้รบกับซาตาน โดยใช้ความเชื่อในพระเจ้า การเชื่อฟังและการยำเกรงพระเจ้าของเจ้าเป็นอาวุธเพื่อต่อสู้ในการสู้รบที่อาจเป็นหรือตายกับซาตาน จนกระทั่งเจ้าทำให้ซาตานพ่ายแพ้อย่างเต็มที่และทำให้มันหันหนีและกลายเป็นตัวสั่นงันงกเมื่อใดก็ตามที่มันมองเห็นเจ้า เพื่อที่มันจะได้ละทิ้งการโจมตีและการกล่าวหาของมันที่มีต่อเจ้าโดยสิ้นเชิง—เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะได้รับการช่วยให้รอดและกลายเป็นมีอิสระ  หากเจ้ามุ่งมั่นที่จะตัดขาดกับซาตานอย่างเต็มที่ แต่ไม่มีพร้อมด้วยอาวุธที่จะช่วยให้เจ้าทำให้ซาตานพ่ายแพ้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะยังคงอยู่ในอันตราย  ครั้นเวลาผ่านไป เมื่อเจ้าถูกซาตานทรมานอย่างยิ่งจนไม่มีเรี่ยวแรงเหลือในตัวเจ้าแม้แต่น้อย กระนั้นเจ้าก็ยังคงไม่สามารถเป็นคำพยานได้ ยังคงไม่ได้ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระโดยบริบูรณ์จากการกล่าวหาและการโจมตีของซาตานที่มีต่อเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีความหวังน้อยนิดในความรอด  ในวาระสุดท้าย เมื่อการสรุปปิดตัวพระราชกิจของพระเจ้าได้รับการประกาศขึ้น เจ้าจะยังคงอยู่ในกำมือของซาตาน ไร้ความสามารถที่จะปล่อยตัวเจ้าเองให้เป็นอิสระ และด้วยเหตุนี้เจ้าจะไม่มีวันมีโอกาสหรือความหวัง  เช่นนั้นแล้ว ความหมายก็คือว่า ผู้คนเช่นนั้นจะอยู่ในการเป็นเชลยของซาตานโดยบริบูรณ์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 53

จงยอมรับการทดสอบของพระเจ้า จงเอาชนะการทดลองของซาตาน และจงยอมให้พระเจ้าได้รับการเป็นอยู่ทั้งหมดของเจ้า

ในช่วงระหว่างพระราชกิจแห่งการจัดเตรียมและการสนับสนุนอันยืนยงที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์ พระองค์ตรัสบอกมนุษย์เกี่ยวกับน้ำพระทัยและข้อพึงประสงค์ทั้งปวงของพระองค์ และทรงแสดงกิจการต่างๆ และพระอุปนิสัยของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นให้มนุษย์เห็น  วัตถุประสงค์ก็คือเพื่อให้มนุษย์มีวุฒิภาวะ และเพื่อเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้รับความจริงต่างๆ จากพระเจ้าในขณะที่ติดตามพระองค์—ความจริงซึ่งเป็นอาวุธที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์ใช้ต่อสู้กับซาตาน  เมื่อมีพร้อมดังนั้นแล้ว มนุษย์ต้องเผชิญกับบททดสอบของพระเจ้า  พระเจ้าทรงมีวิธีการและลู่ทางมากมายที่จะทดสอบมนุษย์ แต่พวกเขาทุกคนพึงต้องได้รับ “ความร่วมมือ” จากศัตรูของพระเจ้า ซึ่งก็คือ ซาตาน  นี่หมายความว่าเมื่อมนุษย์ได้รับมอบอาวุธที่จะใช้สู้รบกับซาตานแล้ว พระเจ้าก็ทรงส่งมอบมนุษย์ให้แก่ซาตานและทรงอนุญาตให้ซาตาน “ทดสอบ” วุฒิภาวะของมนุษย์  หากมนุษย์สามารถฝ่ากระบวนรบของซาตานออกมาได้ หากเขาสามารถหนีรอดจากวงล้อมของซาตานและยังคงมีชีวิตอยู่ได้ เช่นนั้นแล้ว มนุษย์ย่อมจะผ่านการทดสอบ  แต่หากมนุษย์ล้มเหลวในการฝ่าออกจากกระบวนรบของซาตาน และกลับนบนอบซาตาน เช่นนั้นแล้ว เขาย่อมจะไม่ผ่านการทดสอบ  ไม่ว่าพระเจ้าทรงตรวจดูแง่มุมใดของมนุษย์ก็ตาม เกณฑ์การตรวจสอบของพระองค์มีอยู่ว่ามนุษย์ตั้งมั่นอยู่ในคำพยานของเขาเมื่อถูกซาตานโจมตีหรือไม่ และเขาละทิ้งพระเจ้า และยอมจำนนและนบนอบซาตานยามที่ติดอยู่ในบ่วงของซาตานหรือไม่  อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์จะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเขาสามารถเอาชนะและทำให้ซาตานปราชัยได้หรือไม่ และการที่เขาจะสามารถได้รับอิสรภาพหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาสามารถหยิบอาวุธที่พระเจ้าประทานแก่เขาขึ้นมาด้วยตัวของเขาเอง เพื่อเอาชนะพันธนาการของซาตาน ทำให้ซาตานละทิ้งความหวังอย่างสิ้นเชิงและปล่อยเขาไปได้หรือไม่  หากซาตานละทิ้งความหวังและปล่อยใครบางคนไป นี่ย่อมหมายความว่าซาตานจะไม่มีวันพยายามเอาตัวบุคคลผู้นี้ไปจากพระเจ้าอีก จะไม่มีวันกล่าวหาและแทรกแซงบุคคลผู้นี้อีก จะไม่มีวันทรมานหรือโจมตีพวกเขาตามใจชอบอีก มีเพียงคนเช่นนี้เท่านั้นที่พระเจ้าจะทรงรับไว้อย่างแท้จริง  นี่คือกระบวนการทั้งหมดทั้งมวลที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อรับผู้คนมา

คำตักเตือนและความรู้แจ้งที่คำพยานของโยบได้จัดเตรียมไว้ให้ชนรุ่นหลัง

ในเวลาเดียวกันกับการทำความเข้าใจกระบวนการที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อให้ได้รับใครบางคนมาโดยบริบูรณ์นั้น ผู้คนจะยังเข้าใจจุดมุ่งหมายและนัยสำคัญแห่งการที่พระเจ้าทรงมอบหมายโยบให้แก่ซาตานด้วยเช่นกัน  ผู้คนจะไม่ถูกรบกวนจิตใจด้วยความทรมานของโยบอีกต่อไป และมีความซึ้งคุณค่าใหม่เกี่ยวกับนัยสำคัญของการนี้  พวกเขาไม่กังวลเกี่ยวกับการที่พวกเขาจะตกอยู่ภายใต้การทดลองแบบเดียวกันกับโยบด้วยตัวพวกเขาเองหรือไม่อีกต่อไป และไม่ต่อต้านหรือปฏิเสธการทดสอบของพระเจ้าที่จะมาถึงอีกต่อไป  ความเชื่อและการเชื่อฟังของโยบ และคำพยานของเขาที่จะเอาชนะซาตานได้เป็นแหล่งกำเนิดของความช่วยเหลือและการให้กำลังใจอันใหญ่หลวงแก่ผู้คน  พวกเขามองเห็นความหวังเพื่อความรอดของพวกเขาเองในตัวโยบ และมองเห็นว่าโดยผ่านทางความเชื่อ การเชื่อฟัง และการยำเกรงพระเจ้าแล้วนั้น เป็นไปได้ทั้งสิ้นที่จะทำให้ซาตานพ่ายแพ้ ที่จะเหนือชั้นกว่าซาตาน  พวกเขามองเห็นว่าตราบเท่าที่พวกเขาโอนอ่อนต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และตราบเท่าที่พวกเขาครอบครองความตั้งใจแน่วแน่และความเชื่อที่จะไม่ละทิ้งพระเจ้าหลังจากได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็สามารถนำความอับอายและความพ่ายแพ้มาให้แก่ซาตานได้ และพวกเขามองเห็นว่าพวกเขาจำเป็นเพียงแค่ต้องครอบครองความตั้งใจแน่วแน่และความเพียรพยายามที่จะตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาเท่านั้น—แม้ว่ามันจะหมายถึงการสูญเสียชีวิตของพวกเขาไป—เพื่อทำให้ซาตานขลาดกลัวและตีให้ถอยร่นอย่างรวดเร็ว  คำพยานของโยบเป็นคำเตือนแก่ชนรุ่นหลัง และคำเตือนนี้บอกพวกเขาว่าหากพวกเขาไม่ทำให้ซาตานพ่ายแพ้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่มีวันสามารถทำให้ตัวเองพ้นการกล่าวหาและการแทรกแซงของซาตานได้ อีกทั้งพวกเขาจะไม่สามารถหนีรอดจากการล่วงละเมิดและการโจมตีของซาตานตลอดไป  คำพยานของโยบได้ให้ความรู้แจ้งแก่ชนรุ่นหลัง  ความรู้แจ้งนี้สอนผู้คนว่ามีเพียงเมื่อพวกเขาดีพร้อมและเที่ยงธรรมเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ มันสอนพวกเขาว่ามีเพียงเมื่อพวกเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเท่านั้นพวกเขาจึงสามารถเป็นคำพยานที่แข็งแกร่งและดังกึกก้องต่อพระเจ้าได้ มีเพียงเมื่อพวกเขาเป็นคำพยานที่แข็งแกร่งและดังกึกก้องต่อพระเจ้าเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถไม่มีวันถูกซาตานควบคุมและใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การทรงนำและการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้าได้—เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับการช่วยให้รอดอย่างแท้จริง  ทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาความรอดควรจะเอาอย่างบุคลิกภาพของโยบและการไล่ตามเสาะหาแห่งชีวิตของเขา  สิ่งที่โยบใช้ในการดำรงชีวิตในช่วงระหว่างทั้งชีวิตของเขาและการประพฤติของเขาในช่วงระหว่างการทดสอบของเขานั้นเป็นสมบัติอันล้ำค่าสำหรับบรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ไล่ตามเสาะหาหนทางแห่งความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว

คำพยานของโยบนำความสบายพระทัยมาสู่พระเจ้า

หากเราบอกพวกเจ้าในตอนนี้ว่าโยบเป็นคนดีงาม พวกเจ้าอาจไม่สามารถซึ้งคุณค่าความหมายที่อยู่ภายในคำพูดเหล่านี้ และอาจไม่สามารถจับความเข้าใจความรู้สึกเบื้องหลังเหตุผลที่เราได้พูดสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไป แต่จงรอจนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อพวกเจ้าได้รับประสบการณ์กับการทดสอบแบบเดียวกันหรือคล้ายกันกับการทดสอบทั้งหลายของโยบ เมื่อพวกเจ้าได้ก้าวผ่านความทุกข์ยาก เมื่อพวกเจ้าได้รับประสบการณ์กับการทดสอบต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้ให้พวกเจ้าโดยพระองค์เอง เมื่อเจ้ามอบทุกอย่างของเจ้า และทนฝ่าการเหยียดหยามและความยากลำบากเพื่อที่จะเหนือกว่าซาตานและเป็นคำพยานต่อพระเจ้าท่ามกลางการทดลองทั้งหลาย—เมื่อนั้นเจ้าจะสามารถซึ้งคุณค่าความหมายของคำพูดที่เราพูดเหล่านี้  ในเวลานั้น เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้านั้นด้อยกว่าโยบอยู่มาก เจ้าจะรู้สึกว่าโยบนั้นดีงามเพียงใด และว่าเขานั้นคู่ควรแก่การเอาอย่าง  เมื่อเวลานั้นมาถึง เจ้าจะตระหนักว่าคำพูดชั้นเยี่ยมที่โยบได้พูดไปเหล่านี้มีความสำคัญเพียงใดสำหรับผู้ที่เสื่อมทรามและผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ในเวลาเหล่านี้ และเจ้าจะตระหนักว่ามันยากเพียงใดสำหรับผู้คนในปัจจุบันที่จะสัมฤทธิ์สิ่งที่โยบได้สัมฤทธิ์ผล  เมื่อเจ้ารู้สึกว่ามันยาก เจ้าจะซึ้งคุณค่าว่าพระทัยของพระเจ้าทรงกังวลและทรงห่วงใยเพียงใด เจ้าจะซึ้งคุณค่าว่าพระเจ้าได้ทรงจ่ายราคาสูงเพียงใดเพื่อที่จะได้รับผู้คนเช่นนั้นมา และสิ่งที่พระเจ้าทรงทำและทรงสละให้เพื่อมวลมนุษย์นั้นมีค่าเพียงใด  บัดนี้ที่พวกเจ้าได้ยินคำพูดเหล่านี้ พวกเจ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องแม่นยำและการประเมินที่ถูกต้องเกี่ยวกับโยบหรือไม่?  ในสายตาของพวกเจ้า โยบเป็นคนที่ดีพร้อมและเที่ยงธรรมที่แท้จริงผู้ซึ่งยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่?  เราเชื่อว่าผู้คนส่วนใหญ่จะพูดอย่างแน่นอนที่สุดว่าใช่  เพราะข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งที่โยบได้กระทำและได้เปิดเผยไปนั้นไม่อาจปฏิเสธได้โดยมนุษย์คนใดหรือซาตาน  สิ่งเหล่านั้นเป็นข้อพิสูจน์ที่ทรงพลังมากที่สุดถึงชัยชนะของโยบที่มีเหนือซาตาน  ข้อพิสูจน์นี้ถูกสร้างขึ้นในตัวโยบ และเป็นคำพยานแรกที่พระเจ้าทรงได้รับ  ด้วยเหตุนี้ เมื่อโยบได้ชนะในการทดลองของซาตานและได้เป็นคำพยานต่อพระเจ้า พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความหวังในตัวโยบ และพระทัยของพระองค์ก็ได้รับการทำให้สบายโดยโยบ  นับตั้งแต่เวลาแห่งการทรงสร้างจนกระทั่งถึงเวลาของโยบ นี่คือครั้งแรกที่พระเจ้าทรงได้รับประสบการณ์ว่าความสบายพระทัยเป็นอย่างไร และอะไรคือความหมายของการสบายพระทัยโดยมนุษย์  มันเป็นครั้งแรกที่พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็น และทรงได้รับคำพยานที่แท้จริงที่มีขึ้นเพื่อพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 54

โยบรับฟังพระเจ้าด้วยการเงี่ยหูฟัง (บทตอนที่คัดมา)

โยบ 9:11  ดูเถิด พระองค์ทรงผ่านข้าไป และข้าหาเห็นพระองค์ไม่ พระองค์ทรงเลยไป และข้าหาได้สังเกตไม่

โยบ 23:8-9  ดูเถิด ข้าเดินไปข้างหน้า แต่พระองค์มิได้สถิตที่นั่น และไปข้างหลัง แต่ก็ไม่สังเกตเห็นพระองค์ ข้างซ้ายที่พระองค์ทรงทำกิจ ข้าก็ไม่เห็นพระองค์ ข้างขวาที่พระองค์ทรงซ่อนอยู่ ข้าก็ไม่พบพระองค์

โยบ 42:2-6  ข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงทำทุกสิ่งได้ และพระประสงค์ของพระองค์จะสำเร็จ พระองค์ตรัสว่า “นี่ผู้ใดหนอได้ซ่อนคำปรึกษาโดยปราศจากความรู้?”  เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงกล่าวถึงสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ สิ่งที่ประหลาดเกินกว่าข้าพระองค์จะทราบ พระองค์ตรัสว่า “ฟังสิ เราจะพูด เราจะถามเจ้า ขอเจ้าตอบเรา” ข้าพระองค์เคยได้ยินถึงพระองค์ด้วยหู แต่บัดนี้ดวงตาข้าพระองค์เห็นพระองค์ ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง และกลับใจอยู่ในผงคลีดินและขี้เถ้า

ถึงแม้พระเจ้าไม่ได้ทรงเปิดเผยพระองค์เองต่อโยบ โยบก็เชื่อในอธิปไตยของพระเจ้า

สาระหลักๆ ของพระวจนะเหล่านี้คืออะไร?  พวกเจ้าคนใดบ้างที่ตระหนักว่ามีข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งในที่นี้?  ก่อนอื่น โยบรู้ได้อย่างไรว่ามีพระเจ้า?  ต่อมา เขารู้ได้อย่างไรว่าฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งถูกปกครองโดยพระเจ้า?  มีบทตอนหนึ่งที่ตอบสองคำถามนี้ นั่นคือ “ข้าพระองค์เคยได้ยินถึงพระองค์ด้วยหู แต่บัดนี้ดวงตาข้าพระองค์เห็นพระองค์ ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง และกลับใจอยู่ในผงคลีดินและขี้เถ้า”  จากคำพูดเหล่านี้เราเรียนรู้ว่า แทนที่จะได้มองเห็นพระเจ้าด้วยตาของเขาเอง โยบได้เรียนรู้ถึงพระเจ้าจากตำนาน  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้นี่เองที่เขาเริ่มเดินบนเส้นทางแห่งการติดตามพระเจ้า ซึ่งหลังจากนั้นเขายืนยันถึงการมีอยู่ของพระเจ้าในชีวิตของเขา และท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง  มีข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้อย่างหนึ่งในที่นี้—ข้อเท็จจริงนั้นคือสิ่งใด?  ถึงแม้ว่าจะสามารถติดตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วได้แล้ว โยบก็ไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้า  ในการนี้ เขาไม่เป็นแบบเดียวกับผู้คนในปัจจุบันหรอกหรือ?  โยบไม่เคยเห็นพระเจ้า ความนัยของการนี้ก็คือว่า ถึงแม้เขาเคยได้ยินพระเจ้า เขาก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าสถิตที่ใด หรือพระเจ้าทรงเป็นเหมือนสิ่งใด หรือพระเจ้ากำลังทรงทำสิ่งใด  เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่อยู่ในใจ พูดอย่างไม่มีอคติได้ว่า ถึงแม้เขาได้ติดตามพระเจ้ามา พระเจ้าก็ไม่เคยได้ทรงปรากฏแก่เขาหรือตรัสกับเขา  นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ?  ถึงแม้พระเจ้าไม่ตรัสกับโยบหรือประทานพระบัญชาใดๆ แก่เขา โยบก็ได้มองเห็นการดำรงอยู่ของพระเจ้าและได้เห็นอธิปไตยของพระองค์ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง  และในตำนานต่างๆ ที่โยบได้รับฟังเกี่ยวกับพระเจ้าโดยการได้ยินด้วยหู ซึ่งหลังจากนั้นเขาได้เริ่มต้นชีวิตแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว  เช่นนั้นคือต้นกำเนิดและกระบวนการที่โยบได้ติดตามพระเจ้า  แต่ไม่สำคัญว่าเขาได้ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอย่างไร ไม่สำคัญว่าเขายึดมั่นกับความซื่อสัตย์เพียงใด พระเจ้าก็ยังคงไม่เคยทรงปรากฏแก่เขา  พวกเรามาอ่านบทตอนนี้กันเถิด  พระองค์ตรัสไว้ว่า “ดูเถิด พระองค์ทรงผ่านข้าไป และข้าหาเห็นพระองค์ไม่ พระองค์ทรงเลยไป และข้าหาได้สังเกตไม่” (โยบ 9:11)  สิ่งที่พระวจนะเหล่านี้กำลังกล่าวก็คือว่า โยบอาจได้รู้สึกว่าพระเจ้าสถิตอยู่รอบตัวเขาหรือเขาอาจจะไม่รู้สึก—แต่เขาไม่เคยสามารถมองเห็นพระเจ้า  มีหลายครั้งที่เขาได้จินตนาการว่าพระเจ้าทรงผ่านไปต่อหน้าเขา หรือทรงกระทำการ หรือทรงนำทางมนุษย์ แต่เขาไม่เคยได้รู้  พระเจ้าเสด็จมาหามนุษย์เมื่อเขาไม่ได้กำลังคาดหวังว่าจะเสด็จมา มนุษย์ไม่รู้ว่าพระเจ้าเสด็จมาหาเขาเมื่อใด หรือพระองค์เสด็จมาหาเขาที่ใด เพราะมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นพระเจ้า และด้วยเหตุนี้ สำหรับมนุษย์แล้วพระเจ้าทรงซ่อนเร้นจากเขา

ความเชื่อในพระเจ้าของโยบไม่ถูกสั่นคลอนด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงซ่อนเร้นจากเขา

ในบทตอนต่อมาจากข้อพระคัมภีร์ โยบกล่าวเมื่อนั้นว่า “ดูเถิด ข้าเดินไปข้างหน้า แต่พระองค์มิได้สถิตที่นั่น และไปข้างหลัง แต่ก็ไม่สังเกตเห็นพระองค์ ข้างซ้ายที่พระองค์ทรงทำกิจ ข้าก็ไม่เห็นพระองค์ ข้างขวาที่พระองค์ทรงซ่อนอยู่ ข้าก็ไม่พบพระองค์” (โยบ 23:8-9)  ในเรื่องราวนี้ พวกเราเรียนรู้ว่า ในประสบการณ์ของโยบนั้นพระเจ้าได้ทรงซ่อนเร้นต่อเขามาโดยตลอด พระเจ้าไม่ได้ทรงปรากฏต่อเขาอย่างเปิดเผย อีกทั้งพระองค์ไม่ตรัสพระวจนะใดๆ กับเขาอย่างเปิดเผย กระนั้น โยบก็มั่นใจในหัวใจของเขาถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้า  เขาเชื่ออยู่เสมอว่าพระเจ้าอาจจะกำลังทรงดำเนินต่อหน้าเขา หรืออาจจะกำลังทรงกระทำการเคียงข้างเขา และว่าถึงแม้เขาไม่สามารถมองเห็นพระเจ้า แต่พระเจ้าสถิตอยู่ชิดใกล้กับเขา ทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเขา  โยบไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้า แต่เขาก็สามารถยึดมั่นกับความเชื่อของเขาได้ ซึ่งไม่มีบุคคลอื่นใดสามารถทำได้  เหตุใดผู้คนอื่นๆ จึงไม่สามารถทำการนั้นได้?  มันเป็นเพราะพระเจ้าไม่ได้ตรัสกับโยบหรือทรงปรากฏแก่เขานั่นเอง และหากเขาไม่ได้เชื่ออย่างแท้จริง เขาก็คงไม่สามารถไปต่อได้ อีกทั้งเขาคงไม่สามารถยึดมั่นกับหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วได้  นี่ไม่จริงหรอกหรือ?  เจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อเจ้าอ่านถึงการที่โยบกล่าวคำพูดเหล่านี้?  เจ้ารู้สึกว่าความดีพร้อมและความเที่ยงธรรมของโยบ และความชอบธรรมของเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้านั้นเที่ยงแท้ และไม่เป็นการกล่าวเกินไปในส่วนของพระเจ้าใช่หรือไม่?  ถึงแม้ว่าพระเจ้าได้ทรงปฏิบัติต่อโยบแบบเดียวกันกับผู้คนอื่นๆ และไม่ทรงปรากฏหรือตรัสกับเขา โยบก็ยังคงยึดมั่นกับความซื่อสัตย์ของเขา ยังคงเชื่อในอธิปไตยของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น เขาได้ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอยู่เป็นนิตย์ซึ่งเป็นผลจากการที่เขาเกรงกลัวกับการทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคือง  ในความสามารถของโยบที่ยำเกรงพระเจ้าโดยไม่มีการมองเห็นพระเจ้า พวกเรามองเห็นว่าเขารักสิ่งต่างๆ ที่เป็นเชิงบวกมากเพียงใด และความเชื่อของเขามั่นคงและเป็นจริงเพียงใด  เขาไม่ปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้าเพราะพระเจ้าทรงซ่อนเร้นจากเขา อีกทั้งเขาไม่สูญเสียความเชื่อและละทิ้งพระเจ้าเพราะเขาไม่เคยได้มองเห็นพระองค์  ในทางกลับกัน ท่ามกลางพระราชกิจที่ซ่อนเร้นแห่งการปกครองทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า เขาตระหนักถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้า และรู้สึกถึงอธิปไตยและฤทธานุภาพของพระเจ้า  เขาไม่ได้ล้มเลิกการเป็นคนเที่ยงธรรมเพราะพระเจ้าทรงซ่อนเร้น อีกทั้งเขาไม่ได้ละทิ้งหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วเพราะพระเจ้าไม่เคยได้ทรงปรากฏแก่เขา  โยบไม่เคยได้ขอให้พระเจ้าทรงปรากฏอย่างเปิดเผยแก่เขาเพื่อพิสูจน์ถึงการดำรงอยู่ของพระองค์ เพราะเขาได้มองเห็นอธิปไตยของพระเจ้าอยู่แล้วท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และเขาเชื่อว่าเขาได้รับพรและพระคุณทั้งหลายที่คนอื่นๆ ไม่ได้รับ  ถึงแม้พระเจ้าจะยังคงทรงซ่อนเร้นต่อเขา ความเชื่อในพระเจ้าของโยบก็ไม่เคยสั่นคลอน  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่เคยมีผู้ใดได้มี นั่นก็คือ  การเห็นชอบของพระเจ้าและพรของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 55

โยบสาธุการพระนามของพระเจ้าและไม่คิดถึงพรหรือความวิบัติ

มีข้อเท็จจริงหนึ่งที่ไม่เคยอ้างอิงถึงในเรื่องราวเกี่ยวกับโยบจากข้อพระคัมภีร์ และข้อเท็จจริงนี้จะเป็นจุดมุ่งเน้นของพวกเราในวันนี้  ถึงแม้ว่าโยบไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้าหรือได้ยินพระวจนะของพระเจ้าด้วยหูของเขาเอง พระเจ้าก็ทรงมีที่อยู่ในหัวใจของเขา  ท่าทีของโยบที่มีต่อพระเจ้าเป็นอย่างไร?  ท่าทีนั้นเป็นดังที่ได้ถูกอ้างอิงถึงก่อนหน้านี้ว่า “สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์”  การที่เขาสาธุการต่อพระนามของพระเจ้านั้นไม่มีเงื่อนไข ไม่คำนึงถึงบริบท และไม่ผูกติดกับเหตุผลใด  พวกเรามองเห็นว่าโยบได้มอบหัวใจของเขาแด่พระเจ้า โดยยอมให้พระเจ้าทรงควบคุมมัน ทุกอย่างที่เขาคิด ทุกอย่างที่เขาตัดสินใจ และทุกอย่างที่เขาวางแผนไว้ในหัวใจของเขานั้นถูกวางแผ่ต่อพระเจ้าและไม่ปิดบังจากพระเจ้า  หัวใจของเขาไม่ได้ยืนในทางที่ต่อต้านพระเจ้า และเขาไม่เคยขอให้พระเจ้าทรงทำสิ่งใดเพื่อเขาหรือทรงมอบสิ่งใดให้เขา และเขาไม่ได้เก็บงำความอยากได้อยากมีที่ฟุ่มเฟือยว่าเขาจะไม่ได้รับสิ่งใดจากการนมัสการพระเจ้า  โยบไม่ได้สนทนาเรื่องการค้ากับพระเจ้า และไม่ได้ทำการเรียกร้องหรือการร้องขอใดๆ จากพระเจ้า  การที่เขาสรรเสริญพระนามของพระเจ้านั้นเป็นเพราะฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง และมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่เขาได้รับพรหรือประสบกับความวิบัติหรือไม่  เขาเชื่อว่าไม่ว่าพระเจ้าทรงอวยพรผู้คนหรือทรงนำความวิบัติมาสู่พวกเขาก็ตาม ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง และด้วยเหตุนี้ ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมของบุคคลจะเป็นอย่างไร พระนามของพระเจ้าก็ควรได้รับการสรรเสริญ  การที่มนุษย์ได้รับพรจากพระเจ้าเป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้า และเมื่อความวิบัติเกิดขึ้นกับมนุษย์ ดังนั้น มันก็เป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าจัดการเตรียมการและปกครองเหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษย์ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับโชควาสนาของมนุษย์เป็นการสำแดงฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้า และไม่ว่าทัศนคติของคนเราจะเป็นอย่างไร พระนามของพระเจ้าก็ควรได้รับการสรรเสริญ  นี่คือสิ่งที่โยบได้รับประสบการณ์และได้มารู้ในช่วงระหว่างหลายปีแห่งชีวิตของเขา  ความคิดและการกระทำทั้งหมดของโยบได้ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าและได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าสำคัญ  พระเจ้าทรงเชิดชูความรู้ของโยบนี้ และทรงทะนุถนอมความล้ำค่าของโยบเนื่องจากการมีหัวใจเช่นนี้  หัวใจนี้รอคอยพระบัญชาของพระเจ้าอยู่เสมอ และในทุกที่ และไม่สำคัญว่าเป็นเวลาหรือสถานที่ใด มันยินดีต้อนรับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็ตาม  โยบไม่ทำการร้องขอใดๆ ต่อพระเจ้า  สิ่งที่เขาร้องขอต่อตัวเขาเองคือให้รอคอย ยอมรับ เผชิญหน้า และเชื่อฟังทั้งหมดจากการจัดการเตรียมการที่มาจากพระเจ้า โยบเชื่อว่านี่เป็นหน้าที่ของเขา และมันเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์อย่างแน่นอน  โยบไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้า อีกทั้งไม่เคยได้ยินพระองค์ตรัสพระวจนะใด ทรงออกพระบัญชาใด ทรงมอบการสอนใด หรือทรงแนะนำเขาให้ทำสิ่งใด  กล่าวเป็นคำพูดในปัจจุบันนี้ได้ว่า การที่เขาสามารถครอบครองความรู้และท่าทีเช่นนั้นต่อพระเจ้าเมื่อพระเจ้าไม่ได้ทรงมอบความรู้แจ้ง การชี้นำ หรือการจัดเตรียมที่เกี่ยวกับความจริงใดๆ แก่เขา—นี่เป็นสิ่งที่มีค่า และการที่เขาแสดงสิ่งต่างๆ เช่นนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับพระเจ้า และคำพยานของเขาได้รับการชมเชยและเชิดชูจากพระเจ้า  โยบไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้าหรือได้ยินพระองค์ดำรัสคำสอนใดๆ แก่เขาด้วยพระองค์เอง แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว หัวใจของเขาและตัวเขาเองนั้นมีค่ามากกว่าผู้คนที่เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าก็เพียงแค่สามารถพูดคุยในแง่ของทฤษฎีที่ลึกซึ้ง ผู้ที่เพียงแต่สามารถอวดตัวและพูดถึงการถวายเครื่องบูชา แต่ไม่เคยได้มีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า และไม่เคยยำเกรงพระเจ้าอย่างแท้จริงเหล่านั้นมากมายนัก  เพราะหัวใจของโยบบริสุทธิ์ และไม่ซ่อนเร้นจากพระเจ้า และสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขานั้นซื่อสัตย์และใจดี และเขารักความยุติธรรมและสิ่งที่เป็นเชิงบวก  มีเพียงมนุษย์อย่างนี้ผู้ซึ่งครอบครองหัวใจและสภาวะความเป็นมนุษย์เช่นนั้นเท่านั้นที่สามารถติดตามหนทางแห่งพระเจ้าได้ และสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้  มนุษย์เช่นนั้นสามารถมองเห็นอธิปไตยของพระเจ้า สามารถมองเห็นสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์ และสามารถสัมฤทธิ์การเชื่อฟังต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์  มีเพียงมนุษย์เช่นนี้เท่านั้นที่สามารถสรรเสริญพระนามของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  นั่นเป็นเพราะเขาไม่ดูว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรเขาหรือทรงนำความวิบัติมาสู่เขาหรือไม่ เพราะเขารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกควบคุมด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้า และรู้ว่าสำหรับมนุษย์ที่จะต้องกังวลนั้นคือหมายสำคัญแห่งความโง่เขลา ความไม่รู้เท่าทัน และความไม่สมเหตุสมผล แห่งความสงสัยต่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า และแห่งการไม่ยำเกรงพระเจ้า  ความรู้ของโยบคือสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์อย่างแน่นอน  ดังนั้น โยบมีความรู้ทางทฤษฎีเกี่ยวกับพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่กว่าพวกเจ้ากระนั้นหรือ?  เนื่องจากพระราชกิจและถ้อยดำรัสของพระเจ้า ณ เวลานั้นมีน้อย จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า ความสำเร็จลุล่วงเช่นนั้นโดยโยบไม่ใช่ฝีมือแต่อย่างใด  เขาไม่เคยได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า อีกทั้งไม่เคยได้ยินพระเจ้าตรัส อีกทั้งไม่เคยได้เห็นพระพักตร์ของพระเจ้า  การที่เขาสามารถมีท่าทีเช่นนั้นต่อพระเจ้าได้เป็นผลมาจากสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขาและการไล่ตามเสาะหาส่วนตัวของเขาโดยทั้งสิ้น สภาวะความเป็นมนุษย์และการไล่ตามเสาะหาที่ไม่มีผู้คนในวันนี้ครอบครอง  ด้วยเหตุนี้ ในยุคนั้นพระเจ้าจึงได้ตรัสว่า “ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม”  ในยุคนั้น พระเจ้าได้ทรงทำการประเมินเช่นนั้นต่อเขาแล้ว และได้มาถึงบทสรุปเช่นนั้น  มันจะเที่ยงแท้กว่ามากเพียงใดในวันนี้?

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 56

ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงซ่อนเร้นจากมนุษย์ แต่กิจการทั้งหลายของพระองค์ท่ามกลางสรรพสิ่งก็เพียงพอสำหรับมนุษย์ที่จะรู้จักพระองค์

โยบไม่ได้มองเห็นพระพักตร์ของพระเจ้าหรือได้ยินพระวจนะที่พระเจ้าตรัส และนับประสาอะไรที่เขาจะเคยได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าเป็นการส่วนตัว กระนั้น ความยำเกรงพระเจ้าและคำพยานของเขาในช่วงระหว่างการทดสอบของเขานั้นเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน และสิ่งเหล่านั้นเป็นที่รัก ที่ยินดี และที่ชื่นชมของพระเจ้า และผู้คนอิจฉา และยกย่องสิ่งเหล่านั้น และที่มากยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ พวกเขาร้องเพลงสรรเสริญสิ่งเหล่านั้น  ไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่และเหนือธรรมดาเกี่ยวกับชีวิตของเขา กล่าวคือ  เขาใช้ชีวิตที่ไม่มีความโดดเด่นเหมือนกับบุคคลธรรมดาทุกคน ออกไปทำงานเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นและกลับบ้านเพื่อหยุดพักเมื่อดวงอาทิตย์ตก  ความแตกต่างก็คือว่า ในช่วงระหว่างหลายทศวรรษในชีวิตของเขาที่ไม่มีความโดดเด่นนั้น เขาได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในทางแห่งพระเจ้า และได้ตระหนักและเข้าใจฤทธานุภาพและอธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอย่างที่บุคคลอื่นไม่เคยได้รับ  เขาไม่ได้ฉลาดกว่าบุคคลธรรมดาคนใด ชีวิตของเขาไม่น่าหวงแหนเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ได้มีทักษะพิเศษที่ไม่ปรากฏแก่ตา อย่างไรก็ดี สิ่งที่เขาครอบครองคือบุคลิกภาพที่ซื่อสัตย์ ใจดี และเที่ยงธรรม บุคลิกภาพที่รักความยุติธรรม ความชอบธรรม และสิ่งต่างๆ ที่เป็นเชิงบวก—ผู้คนธรรมดาส่วนใหญ่ไม่ได้ครอบครองสิ่งต่างๆ เหล่านี้เลย  เขาแยกแยะความแตกต่างระหว่างความรักและความเกลียดชัง มีสำนึกรับรู้ถึงความยุติธรรม มีใจเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นพากเพียร และได้ให้ความสนใจพิถีพิถันต่อรายละเอียดในการคิดของเขา  ด้วยเหตุนี้ ในระหว่างเวลาที่ไม่มีความโดดเด่นของเขาบนแผ่นดินโลกเขาได้มองเห็นสิ่งต่างๆ ที่เหนือธรรมดาทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงทำไว้ และเขาได้มองเห็นความยิ่งใหญ่ ความบริสุทธิ์ และความชอบธรรมของพระเจ้า เขาได้มองเห็นความห่วงใย ความมีพระคุณ และการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ และเขาได้มองเห็นความทรงพระเกียรติ และสิทธิอำนาจของพระเจ้าผู้สูงสุด  เหตุผลแรกที่ว่าทำไมโยบจึงสามารถได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่เกินบุคคลธรรมดาก็คือ เพราะเขามีหัวใจที่บริสุทธิ์ และหัวใจของเขาเป็นของพระเจ้า และได้รับการทรงนำทางโดยพระผู้สร้าง  เหตุผลที่สองคือการไล่ตามเสาะหาของเขา กล่าวคือ การที่เขาไล่ตามเสาะหาการเป็นคนไม่มีมลทินและดีพร้อม และการเป็นใครบางคนที่ทำตามน้ำพระทัยแห่งสวรรค์ ผู้เป็นที่รักของพระเจ้า และผู้ที่หลบเลี่ยงความชั่ว  โยบครอบครองและไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านี้ในขณะที่ไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าหรือได้ยินพระวจนะของพระเจ้าได้ ถึงแม้ว่าเขาไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้า เขาก็ได้มารู้จักวิธีการที่พระเจ้าทรงใช้ปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง และเขาเข้าใจพระปรีชาญาณที่พระเจ้าทรงมีในการทำเช่นนั้น  ถึงแม้ว่าเขาไม่เคยได้ยินพระวจนะที่พระเจ้าตรัส แต่โยบก็รู้ว่ากิจการแห่งการให้รางวัลมนุษย์และเอาไปจากมนุษย์นั้นล้วนมาจากพระเจ้า  ถึงแม้ว่าหลายปีแห่งชีวิตของเขาจะไม่แตกต่างไปจากหลายปีของบุคคลธรรมดาคนใด เขาก็ไม่ยอมให้ความไม่โดดเด่นแห่งชีวิตของเขาส่งผลกระทบต่อความรู้ของเขาเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า หรือส่งผลกระทบต่อการติดตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว  ในสายตาของเขานั้น ธรรมบัญญัติทั้งหลายของทุกสรรพสิ่งเต็มไปด้วยกิจการต่างๆ ของพระเจ้า และอธิปไตยของพระเจ้าสามารถมองเห็นได้ในทุกส่วนของชีวิตของบุคคลหนึ่ง  เขาไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้า แต่เขาสามารถตระหนักว่ากิจการของพระเจ้าอยู่ทุกหนแห่ง และในช่วงระหว่างเวลาที่ไม่มีความโดดเด่นของเขาบนแผ่นดินโลก ในทุกมุมแห่งชีวิตของเขานั้นเขาสามารถมองเห็นและตระหนักถึงกิจการต่างๆ ที่เหนือธรรมดาและน่าอัศจรรย์ของพระเจ้า และเขาสามารถมองเห็นการจัดการเตรียมการที่น่าอัศจรรย์ของพระเจ้า  ความซ่อนเร้นและความนิ่งเงียบของพระเจ้าไม่ได้ขัดขวางความตระหนักที่โยบมีต่อกิจการทั้งหลายของพระเจ้า อีกทั้งสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความรู้ของเขาเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า ชีวิตของเขาคือความตระหนักถึงอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ผู้ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางทุกสรรพสิ่งในช่วงระหว่างชีวิตประจำวันของเขา  ในชีวิตประจำวันของเขานั้นเขายังได้ยินและเข้าใจพระสุรเสียงแห่งพระทัยของพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้า ผู้ซึ่งนิ่งเงียบท่ามกลางทุกสรรพสิ่งแต่กระนั้นก็ทรงแสดงพระสุรเสียงจากพระทัยของพระองค์และพระวจนะของพระองค์ด้วยการควบคุมธรรมบัญญัติแห่งทุกสรรพสิ่งด้วยเช่นกัน  เช่นนั้นแล้ว เจ้ามองเห็นว่าหากผู้คนมีสภาวะความเป็นมนุษย์และการไล่ตามเสาะหาแบบเดียวกันกับโยบ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็สามารถได้รับความตระหนักและความรู้แบบเดียวกันกับโยบ และสามารถได้มาซึ่งความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้าแบบเดียวกันกับโยบ  พระเจ้าไม่ได้ทรงปรากฏต่อโยบหรือตรัสกับเขา แต่โยบก็สามารถเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม และสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ กิจการทั้งหลายของพระเจ้าท่ามกลางทุกสรรพสิ่งและอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระองค์ก็เพียงพอสำหรับมนุษย์ที่จะกลายมาตระหนักรู้ถึงการดำรงอยู่ ฤทธานุภาพ และสิทธิอำนาจของพระเจ้า และฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าก็พอแล้วที่จะทำให้มนุษย์ติดตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วโดยไม่ต้องมีการที่พระเจ้าได้ทรงปรากฏหรือตรัสกับมนุษย์  ในเมื่อมนุษย์ธรรมดาอย่างเช่นโยบสามารถที่จะสัมฤทธิ์ความยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ เช่นนั้นแล้ว บุคคลธรรมดาทุกคนที่ติดตามพระเจ้าก็ควรจะสามารถทำได้เช่นกัน  ถึงแม้ว่าพระวจนะเหล่านี้อาจฟังดูเหมือนการอนุมานเชิงตรรกะ นี่ก็ไม่ขัดกับธรรมบัญญัติของสิ่งทั้งหลาย  แต่ถึงกระนั้นข้อเท็จจริงทั้งหลายก็ไม่สอดคล้องต้องกันกับความคาดหวัง กล่าวคือ  มันคงจะปรากฏว่า การยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วเป็นสิ่งสงวนของโยบและโยบคนเดียว  ในการกล่าวถึง “การยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว” นั้น ผู้คนคิดว่าการนี้ควรจะทำโดยโยบเท่านั้น ราวกับว่าหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วได้ถูกตีตราไว้ด้วยชื่อของโยบและไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับผู้คนอื่นๆ  เหตุผลสำหรับการนี้เห็นได้ชัด กล่าวคือ  เพราะโยบเท่านั้นที่ครอบครองบุคลิกภาพที่ซื่อสัตย์ ใจดี และเที่ยงธรรม และบุคลิกภาพที่รักความยุติธรรมและความชอบธรรม และสิ่งต่างๆ ที่เป็นเชิงบวก ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียงโยบเท่านั้นที่สามารถติดตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้  พวกเจ้าทั้งหมดต้องมีความเข้าใจความหมายโดยนัยในที่นี้—เพราะไม่มีผู้ใดที่ครอบครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ซื่อสัตย์ ใจดี และเที่ยงธรรม และที่รักความยุติธรรมและความชอบธรรม และสิ่งที่เป็นเชิงบวก จึงไม่มีผู้ใดสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ และด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงไม่เคยสามารถได้รับความชื่นบานยินดีของพระเจ้าหรือตั้งมั่นท่ามกลางการทดสอบต่างๆ ได้  การนี้ยังหมายความด้วยว่า ผู้คนทั้งปวงยังคงถูกซาตานพันธนาการและดักจับเอาไว้ พวกเขาทั้งหมดถูกมันกล่าวหา โจมตี และทารุณ โดยยกเว้นโยบ  พวกเขาเป็นบรรดาผู้ซึ่งซาตานพยายามที่จะกลืนกิน และพวกเขาล้วนปราศจากอิสรภาพ เป็นนักโทษที่ถูกซาตานจองจำ

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 57

หากหัวใจของมนุษย์อยู่ในความเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า มนุษย์จะสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้อย่างไร?

ในเมื่อผู้คนในปัจจุบันไม่ได้ครอบครองสภาวะความเป็นมนุษย์แบบเดียวกันกับโยบ แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา และท่าทีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าเป็นอย่างไร?  พวกเขายำเกรงพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาหลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่?  บรรดาผู้ที่ไม่ยำเกรงพระเจ้าหรือหลบเลี่ยงความชั่วสามารถสรุปได้ด้วยสามคำเท่านั้น นั่นก็คือ “ศัตรูของพระเจ้า”  พวกเจ้ามักจะกล่าวสามคำเหล่านี้บ่อยๆ แต่พวกเจ้าไม่เคยรู้ความหมายจริงของคำเหล่านี้  คำว่า “ศัตรูของพระเจ้า” มีสาระสำคัญ กล่าวคือ  คำพูดเหล่านี้ไม่ได้กำลังกล่าวว่าพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นมนุษย์เป็นศัตรู แต่กล่าวว่ามนุษย์มองเห็นพระเจ้าเป็นศัตรู  ประการแรก เมื่อผู้คนเริ่มที่จะเชื่อในพระเจ้า พวกเขาคนใดบ้างที่ไม่มีจุดมุ่งหมาย สิ่งจูงใจ และความทะเยอทะยานของพวกเขาเอง?  ถึงแม้ว่าส่วนหนึ่งของพวกเขาจะเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าและได้มองเห็นการดำรงอยู่ของพระเจ้า แต่การเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้าก็ยังคงบรรจุไปด้วยสิ่งจูงใจ และจุดมุ่งหมายสูงสุดของพวกเขาในการเชื่อในพระเจ้าก็คือเพื่อได้รับพรจากพระองค์และสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาต้องการ  ในประสบการณ์ชีวิตของผู้คนนั้น พวกเขามักคิดในใจว่า “ฉันได้ยอมทิ้งครอบครัวและงานของฉันเพื่อพระเจ้าแล้ว และพระองค์ได้ประทานสิ่งใดให้ฉัน?  ฉันต้องเพิ่มมันขึ้นและยืนยันมัน—ฉันได้รับพรใดๆ หรือยังในช่วงนี้?  ฉันได้ให้ไปมากมายในช่วงระหว่างเวลานี้  ฉันได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และได้ทนทุกข์มากมาย—พระเจ้าได้ทรงมอบพระสัญญาใดๆ เป็นการตอบแทนแก่ฉันหรือยัง?  พระองค์ได้ทรงจดจำความประพฤติดีๆ ของฉันหรือยัง?  บทอวสานของฉันจะเป็นอย่างไร?  ฉันจะสามารถได้รับพรจากพระเจ้าหรือไม่?…”  ทุกบุคคลทำการคิดคำนวณเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอภายในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาทำการร้องขอจากพระเจ้าซึ่งเป็นแรงจูงใจ ความทะเยอทะยาน และความคิดแบบแลกเปลี่ยนของพวกเขา  กล่าวคือ ในหัวใจของเขานั้น มนุษย์กำลังทดสอบพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ คิดวางแผนเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ โต้แย้งเรื่องราวเพื่อบทอวสานแต่ละอย่างของพวกเขาเองกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ และพยายามที่จะคัดรายงานแถลงจากพระเจ้า โดยดูว่าพระเจ้าสามารถประทานสิ่งที่เขาต้องการให้แก่เขาหรือไม่  ในเวลาเดียวกันกับที่ไล่ตามเสาะหาพระเจ้านั้น มนุษย์ก็ไม่ปฏิบัติกับพระเจ้าดังเช่นพระเจ้า มนุษย์พยายามที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้าอยู่เสมอ ทำข้อเรียกร้องจากพระองค์อย่างไม่หยุดหย่อน และแม้กระทั่งกดดันพระองค์ในทุกขั้นตอน โดยหลังจากได้คืบแล้วก็พยายามที่จะเอาศอก  ในเวลาเดียวกันกับที่พยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้า มนุษย์ก็ยังโต้แย้งกับพระองค์ด้วย และมีแม้กระทั่งผู้คนที่มักจะกลายเป็นอ่อนแอ อยู่นิ่งเฉย และหย่อนยานในงานของพวกเขา และเต็มไปด้วยการร้องทุกข์คร่ำครวญเกี่ยวกับพระเจ้าเมื่อการทดสอบตกมาถึงพวกเขาและเต็มไปด้วยคำติเตียนเกี่ยวกับพระเจ้า  จากเวลาที่มนุษย์ได้เริ่มเชื่อในพระเจ้านั้น เขาได้พิจารณาว่าพระเจ้าทรงเป็นความอุดมสมบูรณ์ เป็นมีดพับสวิส และเขาได้พิจารณาตัวเขาเองว่าเป็นเจ้าหนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้า ราวกับว่าการพยายามได้รับพรและสัญญาจากพระเจ้านั้นเป็นสิทธิ์และภาระผูกพันประจำตัวของเขา  ในขณะที่หน้าที่รับผิดชอบของพระเจ้าคือการคุ้มครองปกป้องและดูแลมนุษย์ และการจัดเตรียมให้กับเขา  เช่นนั้นเองคือความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ “การเชื่อในพระเจ้า” ของพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่เชื่อในพระเจ้า และเช่นนั้นคือความเข้าใจส่วนลึกที่สุดของพวกเขาเกี่ยวกับมโนทัศน์แห่งการเชื่อในพระเจ้า  จากแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์ไปจนถึงการไล่ตามเสาะหาในใจของเขา ไม่มีสิ่งใดที่สัมพันธ์กับความยำเกรงพระเจ้าเลย  จุดมุ่งหมายของมนุษย์ในการเชื่อในพระเจ้าไม่สามารถเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับการนมัสการพระเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มนุษย์ไม่เคยได้พิจารณาหรือเข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าจำเป็นต้องมีการยำเกรงและการนมัสการพระเจ้า  เนื่องจากสภาพเงื่อนไขเช่นนั้น เนื้อแท้ของมนุษย์ก็ชัดแจ้ง  เนื้อแท้นี้คือสิ่งใด?  มันก็คือหัวใจของมนุษย์นั้นมุ่งร้าย เก็บงำการทรยศหักหลังและการหลอกลวง ไม่รักความยุติธรรมและความชอบธรรมและสิ่งที่เป็นเชิงบวก และมันน่าเหยียดหยามและโลภ  หัวใจของมนุษย์ไม่สามารถใกล้ชิดกับพระเจ้าได้มากขึ้น เขาไม่ได้มอบมันให้แก่พระเจ้าเลย  พระเจ้าไม่เคยทรงมองเห็นหัวใจที่แท้จริงของมนุษย์ อีกทั้งพระองค์ไม่เคยได้รับการนมัสการโดยมนุษย์  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงจ่ายราคาที่ยิ่งใหญ่เพียงใด หรือพระองค์ทรงพระราชกิจมากเพียงใด หรือพระองค์ทรงจัดเตรียมให้มนุษย์มากเพียงใด มนุษย์ยังคงมืดบอดและไม่แยแสอย่างสิ้นเชิงต่อการนั้นทั้งหมด  มนุษย์ไม่เคยได้มอบหัวใจของเขาแด่พระเจ้า เขาเพียงต้องการที่จะเอาใจใส่หัวใจของเขาด้วยตัวเอง ที่จะทำการตัดสินใจของเขาเองเท่านั้น—ซึ่งความนัยก็คือว่ามนุษย์ไม่ต้องการที่จะติดตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว หรือที่จะเชื่อฟังอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า อีกทั้งเขาไม่ต้องการนมัสการพระเจ้าในฐานะพระเจ้า  เช่นนั้นคือสภาวะของมนุษย์ในปัจจุบัน  บัดนี้พวกเรามาดูที่โยบกันอีกครั้งเถิด  ก่อนอื่น เขาเคยทำข้อตกลงกับพระเจ้าหรือไม่?  เขามีแรงจูงใจแฝงในการยึดมั่นกับหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่?  ในเวลานั้น พระเจ้าเคยตรัสถึงบทอวสานที่จะมาถึงหรือไม่?  ในเวลานั้นพระเจ้าไม่ได้ทรงทำพระสัญญาต่อผู้ใดเกี่ยวกับบทอวสาน และมันขัดแย้งกับภูมิหลังที่โยบสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ผู้คนของวันนี้ได้ยืนขึ้นเพื่อการเปรียบเทียบกับโยบหรือไม่?  มีความต่างมากเกินไป พวกเขาอยู่ในกลุ่มที่แตกต่างกัน  ถึงแม้ว่าโยบไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้ามากนัก เขาได้มอบหัวใจของเขาแด่พระเจ้าและมันเป็นของพระเจ้า  เขาไม่เคยทำข้อตกลงกับพระเจ้า และไม่มีความอยากได้อยากมีหรือข้อเรียกร้องที่ฟุ่มเฟือยต่อพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาเชื่อว่า  “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย”  นี่เป็นสิ่งที่เขาได้มองเห็นและได้รับจากการยึดมั่นกับหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วในช่วงระหว่างหลายปีของชีวิต  ในทำนองเดียวกันนั้น เขายังได้รับบทอวสานที่ได้ถูกแสดงแทนไว้ในพระวจนะเหล่านี้ด้วย นั่นคือ “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?”  สองประโยคเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาได้เห็นและได้มารู้ว่าเป็นผลจากท่าทีของเขาที่มีต่อการเชื่อฟังต่อพระเจ้าในช่วงระหว่างประสบการณ์ชีวิตของเขา  และสองประโยคนั้นยังเป็นอาวุธที่ทรงพลังมากที่สุดของเขาที่เขาใช้เพื่อมีชัยชนะในช่วงระหว่างการทดลองของซาตานด้วยเช่นกัน และสองประโยคนั้นยังเป็นรากฐานแห่งการตั้งมั่นของเขาในคำพยานต่อพระเจ้า  ณ จุดนี้ พวกเจ้าพิจารณาว่าโยบเป็นบุคคลที่ดีงามหรือไม่?  พวกเจ้าหวังที่จะเป็นบุคคลเช่นนั้นหรือไม่?  พวกเจ้าเกรงว่าต้องก้าวผ่านการทดลองของซาตานหรือไม่?  พวกเจ้าตกลงใจแน่วแน่ที่จะอธิษฐานเพื่อให้พระเจ้าทรงให้พวกเจ้าตกอยู่ภายใต้การทดสอบแบบเดียวกันกับโยบหรือไม่?  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้คนส่วนใหญ่คงจะไม่กล้าที่จะอธิษฐานเพื่อสิ่งต่างๆ เช่นนั้น  เช่นนั้นแล้วมันจึงแน่ชัดว่าความเชื่อของพวกเจ้านั้นเล็กน้อยอย่างน่าเวทนา เมื่อเทียบกับโยบแล้ว ความเชื่อของเจ้าก็แค่ไม่มีค่าคู่ควรแก่การกล่าวถึง  พวกเจ้าเป็นศัตรูของพระเจ้า พวกเจ้าไม่ยำเกรงพระเจ้า พวกเจ้าไม่สามารถตั้งมั่นในคำพยานของพวกเจ้าต่อพระเจ้าได้ และพวกเจ้าไร้ความสามารถที่จะมีชัยเหนือการโจมตี การกล่าวหา และการทดลองของซาตาน  สิ่งใดทำให้พวกเจ้ามีคุณสมบัติที่จะได้รับพระสัญญาของพระเจ้า?  เมื่อได้ยินเรื่องของโยบและได้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอดและความหมายของความรอดของมนุษย์แล้ว บัดนี้พวกเจ้ามีความเชื่อที่จะยอมรับการทดสอบแบบเดียวกันกับโยบหรือไม่?  พวกเจ้าไม่ควรมีความตั้งใจแน่วแน่สักเล็กน้อยเพื่อยอมให้ตัวพวกเจ้าเองติดตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 58

จงอย่ากังวลถึงบททดสอบของพระเจ้า

เมื่อได้รับคำพยานจากโยบหลังจากที่การทดสอบของเขาสิ้นสุดลง พระเจ้าตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าพระองค์จะทรงได้รับผู้คนกลุ่มหนึ่ง—หรือมากกว่ากลุ่มหนึ่ง—ที่เหมือนกับโยบ แต่ทว่าพระองค์ตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะไม่มีวันเปิดโอกาสให้ซาตานโจมตีหรือล่วงละเมิดบุคคลอื่นใดโดยใช้วิธีการที่มันเคยใช้ทดลอง โจมตี และล่วงละเมิดโยบโดยการเดิมพันกับพระเจ้าอีก  พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานทำสิ่งต่างๆ เช่นนั้นกับมนุษย์ ผู้ซึ่งอ่อนแอ โง่เขลา และไม่รู้เท่าทันอีกเลย—มันพอแล้วที่ซาตานได้ทดลองโยบ!  การไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานล่วงละเมิดผู้คนอย่างไรก็ตามที่มันปรารถนาคือความกรุณาของพระเจ้า  สำหรับพระเจ้า มันพอแล้วที่โยบได้ทนทุกข์กับการทดลองและล่วงละเมิดของซาตาน  พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานทำสิ่งต่างๆ เช่นนั้นอีกเลย เพราะชีวิตและทุกสิ่งทุกอย่างของผู้คนที่ติดตามพระเจ้านั้นได้รับการปกครองและจัดวางเรียบเรียงโดยพระเจ้า และซาตานไม่มีสิทธิ์ที่จะจัดการผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกตามใจชอบ—พวกเจ้าควรจะชัดเจนเกี่ยวกับจุดนี้!  พระเจ้าใส่พระทัยเกี่ยวกับจุดอ่อนของมนุษย์ และเข้าพระทัยความโง่เขลาและความไม่รู้เท่าทันของเขา  ถึงแม้ว่าพระเจ้าต้องทรงส่งมอบมนุษย์ให้แก่ซาตานเพื่อที่เขาจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดอย่างบริบูรณ์ พระเจ้าก็ไม่เต็มพระทัยที่จะเห็นมนุษย์ถูกซาตานล้อเล่นเป็นคนโง่และล่วงละเมิดอีก และพระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะเห็นมนุษย์ทรมานอยู่เสมอ  มนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า และการที่พระเจ้าทรงปกครองและทรงจัดการเตรียมการทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับมนุษย์ถูกกำหนดโดยฟ้าและยอมรับรู้โดยแผ่นดินโลก นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของพระเจ้า และมันคือสิทธิอำนาจที่พระเจ้าทรงใช้ปกครองทุกสรรพสิ่ง!  พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานล่วงละเมิดหรือกระทำทารุณมนุษย์ตามใจชอบ พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานใช้วิธีการต่างๆ เพื่อนำทางมนุษย์ให้หลงผิด และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานแทรกแซงในอธิปไตยของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงยอมให้ซาตานเหยียบย่ำและทำลายธรรมบัญญัติที่พระองค์ทรงใช้ปกครองทุกสรรพสิ่ง ไม่ต้องพูดถึงพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเกี่ยวกับการบริหารจัดการและการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด!  บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยให้รอด และบรรดาผู้ที่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าได้ เป็นแกนหลักและการตกผลึกแห่งพระราชกิจในแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า ตลอดจนราคาแห่งความพยายามของพระองค์ในหกพันปีแห่งการทรงพระราชกิจของพระองค์  พระองค์จะทรงสามารถมอบผู้คนเหล่านี้ให้แก่ซาตานโดยง่ายดายได้อย่างไร?

ผู้คนมักจะกังวลถึงและเกรงกลัวการทดสอบของพระเจ้า แต่พวกเขาก็กำลังใช้ชีวิตอยู่ในบ่วงของซาตานตลอดเวลา ใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยอันตรายที่ซึ่งพวกเขาถูกซาตานโจมตีและทารุณ—กระนั้นพวกเขาก็ไม่รู้จักกลัว และไม่ร้อนใจ  กำลังเกิดอะไรขึ้น?  ความเชื่อในพระเจ้าของมนุษย์ถูกจำกัดอยู่กับสิ่งที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้เท่านั้น  เขาไม่มีความซึ้งคุณค่าแม้แต่น้อยกับความรักและความห่วงใยของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์ หรือกับความอ่อนโยนและการคิดคำนึงของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์  แต่เนื่องจากความกังวลใจและความเกรงกลัวเล็กน้อยเกี่ยวกับการทดสอบ การพิพากษากับการตีสอน และพระบารมีกับพระพิโรธของพระเจ้า มนุษย์จึงไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับเจตนารมณ์ที่ดีของพระเจ้าแม้แต่น้อย  เมื่อกล่าวถึงการทดสอบ ผู้คนรู้สึกราวกับว่าพระเจ้าทรงมีแรงจูงใจแฝง และบางคนถึงขั้นเชื่อว่าพระเจ้าทรงเก็บงำรูปแบบที่ชั่วร้าย โดยไม่ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่พระเจ้าจะทรงทำกับพวกเขาจริงๆ ด้วยเหตุนี้ ในเวลาเดียวกันกับที่ร่ำร้องถึงการเชื่อฟังต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า พวกเขาก็ทำทุกอย่างที่พวกเขาทำได้เพื่อต้านทานและต่อต้านอธิปไตยเหนือมนุษย์ของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการเพื่อมนุษย์ เพราะพวกเขาเชื่อว่าหากพวกเขาไม่เอาใจใส่พวกเขาจะถูกพระเจ้าทรงนำไปในทางที่ผิด เชื่อว่าหากพวกเขาไม่รักษาชะตากรรมของพวกเขาเองไว้ในกำมือ เช่นนั้นแล้วทั้งหมดที่พวกเขามีก็คงจะถูกพระเจ้าทรงเอาไปได้ และชีวิตของพวกเขาคงจะถึงขั้นจบสิ้นลงได้  มนุษย์อยู่ในค่ายของซาตาน แต่เขาไม่เคยกังวลเกี่ยวกับการถูกซาตานล่วงละเมิด และเขาถูกซาตานล่วงละเมิดแต่ไม่เคยเกรงกลัวการถูกซาตานจองจำ  เขาเอาแต่พูดว่าเขายอมรับความรอดของพระเจ้า แต่ไม่เคยไว้วางใจในพระเจ้าหรือเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงช่วยมนุษย์ให้รอดจากกรงเล็บของซาตานอย่างแท้จริง  หากมนุษย์สามารถนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และสามารถให้การเป็นอยู่ทั้งหมดของเขาแก่พระหัตถ์ของพระเจ้าได้เหมือนกับโยบ เช่นนั้นแล้วบทอวสานของมนุษย์จะไม่เป็นแบบเดียวกันกับของโยบ—คือการได้รับพรของพระเจ้าหรอกหรือ?  หากมนุษย์สามารถยอมรับและนบนอบต่อการปกครองของพระเจ้า มีสิ่งใดที่จะสูญเสียกระนั้นหรือ?  ด้วยเหตุนี้ เราขอแนะนำให้พวกเจ้าเอาใจใส่ในการกระทำของพวกเจ้า และระมัดระวังต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพวกเจ้า  จงอย่าใจร้อนหรือหุนหันพลันแล่น และจงอย่าปฏิบัติต่อพระเจ้าและผู้คน เรื่องราว และสิ่งของต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการให้พวกเจ้าไปตามความเลือดร้อนของพวกเจ้าหรือความเป็นธรรมชาติของพวกเจ้า หรือตามจินตนาการและมโนคติที่หลงผิดของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องระมัดระวังในการกระทำของพวกเจ้า และต้องอธิษฐานและแสวงหาให้มากยิ่งขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการยั่วยุพระพิโรธของพระเจ้า  จงจำการนี้ไว้!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 59

โยบหลังจากการทดสอบของเขา (บทตอนที่คัดมา)

โยบ 42:7-9  หลังจากพระยาห์เวห์ตรัสพระวจนะเหล่านี้แก่โยบแล้ว พระยาห์เวห์ตรัสกับเอลีฟัสชาวเทมานว่า “เราโกรธเจ้าและสหายทั้งสองของเจ้า เพราะเจ้าทั้งหลายไม่ได้พูดถึงเราอย่างถูกต้อง เหมือนโยบผู้รับใช้ของเราได้พูด เพราะฉะนั้นจงเอาวัวผู้ 7 ตัว และแกะผู้ 7 ตัว ไปหาโยบผู้รับใช้ของเรา และถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวสำหรับพวกเจ้า แล้วโยบผู้รับใช้ของเราจะอธิษฐานเพื่อพวกเจ้า เพราะเราจะรับคำอธิษฐานของเขา เราจะไม่ทำแก่เจ้าตามความโง่ของเจ้า เพราะเจ้าทั้งหลายไม่ได้พูดถึงเราอย่างถูกต้อง เหมือนโยบผู้รับใช้ของเราได้พูด” ฝ่ายเอลีฟัสชาวเทมาน และบิลดัดชาวชูอาห์ และโศฟาร์ชาวนาอาเมห์ ได้ไปทำตามที่พระยาห์เวห์ตรัสสั่ง และพระยาห์เวห์ทรงรับคำอธิษฐานของโยบ

โยบ 42:10  และพระยาห์เวห์ทรงให้โยบกลับสู่สภาพดี เมื่อท่านอธิษฐานเผื่อสหายของท่าน และพระยาห์เวห์ประทานให้โยบมีมากเป็นสองเท่าของที่มีอยู่ก่อน

โยบ 42:12  และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรชีวิตตอนปลายของโยบมากยิ่งกว่าตอนต้นของท่าน และท่านมีแกะ 14,000 ตัว อูฐ 6,000 ตัว วัวผู้ 1,000 คู่ และลาตัวเมีย 1,000 ตัว

โยบ 42:17  และโยบก็สิ้นชีวิตเป็นคนแก่หง่อมทีเดียว

พระเจ้าทอดพระเนตรมองผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วด้วยความรักและทะนุถนอม ในขณะที่พวกโง่เขลาถูกพระเจ้าทรงมองว่าต่ำต้อย

ในโยบ 42:7-9 นั้น พระเจ้าตรัสว่าโยบคือผู้รับใช้ของพระองค์  การที่พระองค์ทรงใช้คำว่า “ผู้รับใช้” เพื่ออ้างถึงโยบนั้นแสดงให้เห็นความสำคัญของโยบในพระทัยของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงเรียกโยบด้วยบางอย่างที่น่านับถือมากกว่า แต่การแต่งตั้งนี้ก็ไม่ได้มีผลต่อความสำคัญของโยบภายในพระทัยของพระเจ้า  “ผู้รับใช้” ในที่นี้คือชื่อเล่นที่พระเจ้าทรงมีต่อโยบ  การที่พระเจ้าทรงอ้างอิงถึง “โยบผู้รับใช้ของเรา” หลายครั้ง แสดงให้เห็นว่าพระองค์พอพระทัยในตัวโยบเพียงใด  แม้ว่าพระเจ้าไม่ได้ตรัสถึงความหมายเบื้องหลังคำว่า “ผู้รับใช้” แต่การที่พระเจ้าทรงกำหนดนิยามคำว่า “ผู้รับใช้” ก็สามารถมองเห็นได้จากพระวจนะของพระองค์ในบทตอนจากข้อพระคัมภีร์นี้  พระเจ้าได้ตรัสกับเอลีฟัสชาวเทมานในตอนแรกว่า “เราโกรธเจ้าและสหายทั้งสองของเจ้า เพราะเจ้าทั้งหลายไม่ได้พูดถึงเราอย่างถูกต้อง เหมือนโยบผู้รับใช้ของเราได้พูด”  พระวจนะเหล่านี้เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าได้ตรัสบอกกับผู้คนอย่างเปิดเผยว่าพระองค์ได้ทรงยอมรับทั้งหมดที่โยบได้พูดและทำลงไปหลังจากการทดสอบของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเขา และเป็นครั้งแรกที่พระองค์ได้ทรงยืนยันอย่างเปิดเผยถึงความถูกต้องแม่นยำและความถูกต้องของทั้งหมดที่โยบได้ทำและได้พูดไป  พระเจ้ากริ้วเอลีฟัสและคนอื่นๆ เนื่องจากการสนทนาที่ไม่ถูกต้องและไร้สาระของพวกเขา เพราะพวกเขาไม่สามารถมองเห็นการทรงปรากฏของพระเจ้าหรือได้ยินพระวจนะที่พระองค์ตรัสในชีวิตของพวกเขาเหมือนกับโยบ กระนั้นโยบก็มีความรู้ที่ถูกต้องแม่นยำเช่นนั้นเกี่ยวกับพระเจ้า ในขณะที่พวกเขาทำได้เพียงแค่เดาอย่างมืดบอดเกี่ยวกับพระเจ้า ฝ่าฝืนน้ำพระทัยของพระเจ้าและทดสอบความอดทนของพระองค์ในทั้งหมดที่พวกเขาทำ  ดังนั้น ในเวลาเดียวกันกับที่ทรงยอมรับทั้งหมดที่โยบได้ทำและได้พูดไปนั้น พระเจ้าก็พิโรธต่อคนอื่นๆ มากยิ่งขึ้น เพราะพระองค์ไม่เพียงแค่ไม่ทรงสามารถมองเห็นความเป็นจริงใดๆ เกี่ยวกับความยำเกรงพระเจ้าในตัวพวกเขาเท่านั้น แต่ยังไม่ทรงได้ยินสิ่งใดเกี่ยวกับความยำเกรงพระเจ้าในสิ่งที่พวกเขาพูดด้วย  และดังนั้นต่อมาพระเจ้าจึงได้ทรงทำข้อเรียกร้องกับพวกเขาดังต่อไปนี้ “เพราะฉะนั้นจงเอาวัวผู้ 7 ตัว และแกะผู้ 7 ตัว ไปหาโยบผู้รับใช้ของเรา และถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวสำหรับพวกเจ้า แล้วโยบผู้รับใช้ของเราจะอธิษฐานเพื่อพวกเจ้า เพราะเราจะรับคำอธิษฐานของเขา เราจะไม่ทำแก่เจ้าตามความโง่ของเจ้า”  ในบทตอนนี้พระเจ้ากำลังตรัสบอกเอลีฟัสและคนอื่นๆ ให้ทำบางสิ่งบางอย่างที่จะไถ่บาปของพวกเขา เพราะความโง่ของพวกเขาเป็นบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้า และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้ทำเครื่องบูชาเผาทั้งตัวเพื่อแก้ไขความผิดของพวกเขา  เครื่องบูชาเผาทั้งตัวมักจะถูกถวายแด่พระเจ้า แต่สิ่งที่ผิดปกติเกี่ยวกับเครื่องบูชาเผาทั้งตัวเหล่านี้ก็คือว่าพวกมันได้ถูกถวายให้แก่โยบ  โยบเป็นที่ยอมรับของพระเจ้าเพราะเขาเป็นคำพยานต่อพระเจ้าในระหว่างการทดสอบของเขา  ในขณะเดียวกัน เพื่อนเหล่านี้ของโยบได้ถูกเปิดโปงในช่วงระหว่างเวลาแห่งการทดสอบของเขา เนื่องจากความโง่ของพวกเขา พวกเขาจึงถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษ และพวกเขาได้ยั่วยุพระพิโรธของพระเจ้า และควรจะถูกพระเจ้าลงโทษ—เป็นการลงโทษด้วยการทำเครื่องบูชาเผาทั้งตัวต่อหน้าโยบ—ซึ่งหลังจากนั้นโยบได้อธิษฐานให้พวกเขาพ้นจากการลงโทษและพระพิโรธของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา  เจตนารมณ์ของพระเจ้าคือเพื่อนำความอับอายมาให้พวกเขา เพราะพวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และพวกเขาได้เคยกล่าวโทษความซื่อสัตย์ของโยบ  ในแง่หนึ่ง พระเจ้ากำลังตรัสบอกพวกเขาว่าพระองค์ไม่ทรงยอมรับการกระทำของพวกเขา แต่ทรงยอมรับและทรงปีติยินดีอย่างยิ่งในตัวโยบ ในอีกแง่หนึ่ง พระเจ้ากำลังตรัสบอกพวกเขาว่าการที่พระเจ้าทรงยอมรับนั้นเป็นการยกระดับมนุษย์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ว่ามนุษย์นั้นถูกพระเจ้าเกลียดชังเพราะความโง่ของเขา และทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคืองก็เพราะการนั้น และต่ำต้อยและชั่วช้าในสายพระเนตรของพระเจ้า  เหล่านี้คือการกำหนดนิยามที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่ผู้คนสองชนิด การกำหนดนิยามเหล่านั้นคือท่าทีของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้คนสองชนิดเหล่านี้ และเป็นการคิดคำนวณคุณค่าและตำแหน่งของผู้คนสองชนิดนี้ของพระเจ้า  ถึงแม้ว่าพระเจ้าทรงเรียกโยบว่าผู้รับใช้ของพระองค์ ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้นผู้รับใช้คนนี้เป็นที่รัก และได้รับมอบสิทธิอำนาจที่จะอธิษฐานเพื่อคนอื่นๆ และให้อภัยพวกเขาในความผิดพลาดของพวกเขา  ผู้รับใช้คนนี้สามารถพูดคุยกับพระเจ้าโดยตรงและมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าโดยตรงได้ และสถานะของเขาสูงกว่าและมีเกียรติมากกว่าของคนอื่นๆ  นี่คือความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ผู้รับใช้” ที่พระเจ้าได้ตรัสไป  โยบได้รับเกียรติพิเศษนี้เนื่องจากการที่เขามีความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว และเหตุผลที่ทำให้คนอื่นๆ ไม่ถูกพระเจ้าทรงเรียกว่าผู้รับใช้ก็เพราะพวกเขาไม่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  สองท่าทีเหล่านี้ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดของพระเจ้าคือท่าทีของพระองค์ที่ทรงมีต่อผู้คนสองชนิด กล่าวคือ บรรดาผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วนั้นได้รับการยอมรับจากพระเจ้าและถูกมองว่าเป็นคนมีค่าในสายพระเนตรของพระองค์ ในขณะที่พวกที่โง่เขลาไม่ยำเกรงพระเจ้า ไม่สามารถหลบเลี่ยงความชั่วได้ และไร้ความสามารถที่จะรับความโปรดปรานของพระเจ้าได้ พวกเขามักจะถูกพระเจ้าเกลียดชังและกล่าวโทษ และเป็นคนต่ำต้อยในสายพระเนตรของพระเจ้า

พระเจ้าประทานสิทธิอำนาจแก่โยบ

โยบได้อธิษฐานให้เพื่อนๆ ของเขา และหลังจากนั้น พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงจัดการกับพวกเขาให้สาสมกับความโง่ของพวกเขาเนื่องจากคำอธิษฐานของโยบ—พระองค์ไม่ทรงลงโทษพวกเขาหรือใช้การลงทัณฑ์อันสาสมใดๆ กับพวกเขา  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  มันเป็นเพราะคำอธิษฐานที่โยบผู้รับใช้ของพระเจ้าได้ขอให้พวกเขานั้นได้ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าทรงให้อภัยพวกเขาเพราะพระองค์ได้ทรงรับคำอธิษฐานของโยบ  ดังนั้น พวกเรามองเห็นสิ่งใดในการนี้?  เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรใครบางคน พระองค์ทรงมอบรางวัลมากมายแก่พวกเขา และไม่ใช่แค่รางวัลทางวัตถุ กล่าวคือ  พระเจ้ายังทรงมอบสิทธิอำนาจให้พวกเขา ให้สิทธิ์แก่พวกเขาในการอธิษฐานเพื่อคนอื่น และพระเจ้าทรงลืมและมองข้ามการล่วงละเมิดของผู้คนเหล่านั้นเพราะพระองค์ทรงได้ยินคำอธิษฐานเหล่านี้  นี่คือสิทธิอำนาจที่แท้จริงที่พระเจ้าได้ทรงมอบแก่โยบ  พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทรงนำความอับอายมาสู่ผู้คนที่โง่เขลาเหล่านี้โดยผ่านทางคำอธิษฐานของโยบที่ให้ระงับการกล่าวโทษพวกเขา—ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการลงโทษพิเศษของพระองค์สำหรับเอลีฟัสและคนอื่นๆ

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 60

โยบได้รับพรจากพระเจ้าอีกครั้ง และไม่ถูกซาตานกล่าวหาอีกเลย

ท่ามกลางถ้อยดำรัสของพระยาห์เวห์พระเจ้าคือพระวจนะที่ว่า “เจ้าทั้งหลายไม่ได้พูดถึงเราอย่างถูกต้อง เหมือนโยบผู้รับใช้ของเราได้พูด”  สิ่งที่โยบได้พูดไปคือสิ่งใด?  มันคือสิ่งที่พวกเราได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้ ตลอดจนพระวจนะหลายหน้าในหนังสือโยบที่ได้มีการบันทึกไว้ว่าโยบได้พูดไป  ในพระวจนะหลายหน้าทั้งหมดเหล่านี้ โยบไม่เคยมีคำร้องทุกข์คร่ำครวญหรือความขุ่นข้องใดๆ เกี่ยวกับพระเจ้าสักครั้ง  เขาเพียงแค่รอคอยบทอวสานเท่านั้น  การรอคอยนี้นี่เองที่เป็นท่าทีแห่งการเชื่อฟังของเขา ซึ่งผลของมัน และผลของคำพูดที่เขาได้พูดกับพระเจ้า โยบจึงเป็นที่ยอมรับของพระเจ้า  เมื่อเขาได้ทนฝ่าการทดสอบและทนทุกข์กับความยากลำบาก พระเจ้าสถิตเคียงข้างเขา และถึงแม้ว่าความยากลำบากของเขาไม่ได้ลดน้อยลงด้วยการสถิตของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงมองเห็นสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะเห็น และทรงได้ยินสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะได้ยิน  การกระทำและคำพูดทุกอย่างของโยบได้ไปถึงพระเนตรพระกรรณของพระเจ้า  พระเจ้าทรงได้ยิน และพระองค์ทรงมองเห็น—นี่คือข้อเท็จจริง  ความรู้ของโยบเกี่ยวกับพระเจ้า และความคิดของเขาเกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของเขาในเวลานั้น ในช่วงระหว่างระยะเวลานั้นไม่ได้เฉพาะจงเหมือนกับความรู้และความคิดของผู้คนในวันนี้อย่างแท้จริง แต่ในบริบทของเวลานั้น พระเจ้ายังคงทรงระลึกได้ถึงทั้งหมดที่เขาได้พูดไป เพราะพฤติกรรมของเขาและความคิดในหัวใจของเขา ตลอดจนสิ่งที่เขาได้แสดงออกและเปิดเผยออกมานั้นเพียงพอสำหรับข้อพึงประสงค์ของพระองค์  ในช่วงระหว่างเวลาที่โยบตกอยู่ภายใต้การทดสอบ สิ่งที่เขาคิดในหัวใจของเขาและตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำได้แสดงให้พระเจ้าทรงเห็นบทอวสานหนึ่ง ซึ่งเป็นบทอวสานที่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และหลังจากนี้พระเจ้าได้ทรงเอาการทดสอบของโยบไป โยบได้ผุดขึ้นจากปัญหาต่างๆ ของเขา และการทดสอบของเขาได้หมดไปและไม่เคยประสบกับเขาอีกเลย  เนื่องจากโยบได้เคยตกอยู่ภายใต้การทดสอบแล้ว และได้ตั้งมั่นในช่วงระหว่างการทดสอบเหล่านี้ และได้มีชัยชนะเหนือซาตานโดยสิ้นเชิง พระเจ้าจึงได้ประทานพรให้เขาที่เขาสมควรได้รับอย่างชอบธรรมยิ่งนัก  ดังที่มีการบันทึกไว้ในโยบ 42:10, 12 นั้น โยบได้รับพรอีกครั้งหนึ่งและได้รับพรมากกว่าที่เขาเคยได้รับในครั้งแรก  ในเวลานี้ซาตานได้ถอนตัวไปแล้ว และไม่ได้พูดหรือทำสิ่งใดอีกต่อไป และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โยบก็ไม่ถูกซาตานรบกวนหรือโจมตีอีกต่อไป และซาตานก็ไม่ทำการกล่าวหาพรที่พระเจ้าประทานแก่โยบอีกต่อไป

โยบใช้เวลาครึ่งหลังของชีวิตเขาท่ามกลางพรจากพระเจ้า

ถึงแม้ว่าพรจากพระองค์ในเวลานั้นจะถูกจำกัดอยู่แต่เพียงกับแกะ ฝูงปศุสัตว์ อูฐ ทรัพย์สินทางวัตถุ และอื่นๆ แต่พรที่พระเจ้าปรารถนาที่จะประทานแก่โยบในพระทัยของพระองค์นั้นมากมายกว่านี้มากนัก  ในเวลานั้น ได้มีการบันทึกว่าพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะมอบพระสัญญาชั่วนิรันดร์ประเภทใดให้แก่โยบหรือไม่?  ในพรที่พระองค์ประทานแก่โยบนั้น พระเจ้าไม่ได้ทรงกล่าวถึงหรือข้องเกี่ยวกับบทอวสานของเขา และไม่ว่าความสำคัญหรือตำแหน่งของโยบที่อยู่ภายในพระทัยของพระเจ้าจะเป็นอย่างไร โดยรวมแล้วพระเจ้าทรงไตร่ตรองอย่างยิ่งในพรของพระองค์  พระเจ้าไม่ได้ทรงประกาศบทอวสานของโยบ  การนี้หมายความว่าอย่างไร?  ในเวลานั้น เมื่อแผนของพระเจ้ายังไม่บรรลุถึงจุดของการประกาศบทอวสานของมนุษย์ แผนนั้นยังไม่ได้เข้าสู่ช่วงระยะสุดท้ายแห่งพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าไม่ทรงกล่าวถึงบทอวสาน โดยแค่ประทานพรทางวัตถุให้แก่มนุษย์  ความหมายของการนี้ก็คือว่าครึ่งหลังในชีวิตของโยบนั้นได้ผ่านไปท่ามกลางพรจากพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างกับผู้คนอื่นๆ—แต่เขาก็แก่ชราลงเหมือนกับคนเหล่านั้น และวันที่เขาลาโลกก็มาถึงเหมือนกับบุคคลธรรมดาทุกคน  ด้วยเหตุนี้จึงมีการบันทึกไว้ว่า “และโยบก็สิ้นชีวิตเป็นคนแก่หง่อมทีเดียว” (โยบ 42:17)  ความหมายของคำว่า “สิ้นชีวิตแก่หง่อมทีเดียว” ในที่นี้คืออะไร?  ในยุคสมัยนั้นก่อนที่พระเจ้าจะทรงประกาศบทอวสานของผู้คน พระเจ้าทรงกำหนดอายุขัยสำหรับโยบ และเมื่อได้บรรลุถึงอายุนั้นแล้วพระองค์ก็ทรงอนุญาตให้โยบจากโลกนี้ไปโดยธรรมชาติ  ตั้งแต่การอวยพรโยบครั้งที่สองจนกระทั่งเขาตาย พระเจ้าไม่ได้ทรงเพิ่มความยากลำบากใดอีกเลย  สำหรับพระเจ้าแล้ว ความตายของโยบเป็นไปตามธรรมชาติ และจำเป็นด้วย มันเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ปกติมาก และไม่ใช่ทั้งการพิพากษาและการตัดสินโทษ  ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่นั้น โยบได้นมัสการและยำเกรงพระเจ้า ส่วนเรื่องที่ว่าเขามีบทอวสานแบบใดภายหลังจากเขาตายไปแล้วนั้น พระเจ้าไม่ได้ตรัสสิ่งใด และไม่ได้ทรงแสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับการนั้น  พระเจ้าทรงมีสำนึกรับรู้อันแรงกล้าเกี่ยวกับความสมควรในสิ่งที่พระองค์ตรัสและทรงกระทำ และเนื้อหาและหลักการแห่งพระวจนะและการกระทำของพระองค์นั้นสอดคล้องกับช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระองค์ และระยะเวลาที่พระองค์กำลังทรงพระราชกิจ  ใครบางคนดังเช่นโยบมีบทอวสานชนิดใดในพระทัยของพระเจ้า?  พระเจ้าได้ทรงบรรลุถึงการตัดสินประเภทใดในพระทัยของพระองค์แล้วหรือไม่?  แน่นอนว่าพระองค์ทรงบรรลุแล้ว!  เพียงแต่ว่ามนุษย์ไม่รู้ถึงการนี้เท่านั้นเอง พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะตรัสบอกมนุษย์ และพระองค์ก็ไม่ทรงมีเจตนารมณ์ใดๆ ที่จะตรัสบอกมนุษย์  ด้วยเหตุนี้ เมื่อกล่าวอย่างคร่าวๆ โยบจึงตายในวัยที่ชรามากทีเดียว และเช่นนั้นเองคือชีวิตของโยบ

ราคาที่โยบได้ใช้ชีวิตไปในระหว่างชั่วชีวิตของเขา

โยบได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าหรือไม่?  คุณค่านั้นอยู่ที่ใด?  เหตุใดจึงกล่าวว่าเขาใช้ชีวิตอย่างมีค่า?  สำหรับมนุษย์แล้วคุณค่าของเขาคือสิ่งใด?  จากทัศนคติของมนุษย์ เขาเป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยให้รอด ในการเป็นคำพยานที่ดังกึกก้องต่อพระเจ้าต่อหน้าซาตานและผู้คนบนโลกนี้  เขาได้ทำสำเร็จลุล่วงในหน้าที่ที่สิ่งทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าควรทำให้สำเร็จลุล่วง กำหนดต้นแบบ และกระทำการเป็นแบบอย่างสำหรับบรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยให้รอด โดยเปิดโอกาสให้ผู้คนได้มองเห็นว่าเป็นไปได้โดยสมบูรณ์ที่จะมีชัยชนะเหนือซาตานด้วยการพึ่งพาพระเจ้า  คุณค่าของเขาที่มีต่อพระเจ้าคือสิ่งใด?  สำหรับพระเจ้าแล้ว คุณค่าของชีวิตโยบอยู่ในความสามารถของเขาที่จะยำเกรงพระเจ้า นมัสการพระเจ้า เป็นพยานต่อกิจการต่างๆ ของพระเจ้า และสรรเสริญกิจการต่างๆ ของพระเจ้า และนำความสบายพระทัยและบางสิ่งบางอย่างที่จะชื่นชมมาสู่พระเจ้า สำหรับพระเจ้าแล้ว คุณค่าของชีวิตโยบยังอยู่ในวิธีที่โยบได้รับประสบการณ์กับการทดสอบและมีชัยเหนือซาตานก่อนที่เขาจะตาย และได้เป็นคำพยานที่ดังกึกก้องต่อพระเจ้าต่อหน้าซาตานและผู้คนบนโลก เพื่อให้พระเจ้าทรงได้รับพระสิริท่ามกลางมวลมนุษย์ ชูใจพระหทัยของพระเจ้า และเปิดโอกาสให้พระหทัยที่กระตือรือร้นของพระองค์ได้มองเห็นบทอวสานและได้เห็นความหวังด้วยเช่นกัน  คำพยานของเขาได้กำหนดแบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับความสามารถที่จะตั้งมั่นในคำพยานของคนเราต่อพระเจ้า และสำหรับการสามารถทำให้ซาตานอับอายแทนพระเจ้าได้ ในพระราชกิจของพระเจ้าเกี่ยวกับการบริหารจัดการมวลมนุษย์  นี่ไม่ใช่คุณค่าแห่งชีวิตของโยบหรอกหรือ?  โยบได้นำความสบายพระทัยมาให้พระเจ้า เขาได้มอบการลิ้มรสความปีติยินดีแห่งการได้รับพระสิริแด่พระเจ้า และได้จัดเตรียมจุดเริ่มต้นที่น่าอัศจรรย์ให้แก่แผนการบริหารจัดการของพระเจ้า  ตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นไป ชื่อของโยบได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการได้รับพระสิริของพระเจ้า และเป็นหมายสำคัญแห่งการมีชัยเหนือซาตานของมวลมนุษย์  วิธีใช้ชีวิตของโยบระหว่างที่เขายังมีชีวิตอยู่ ตลอดจนชัยชนะอันโดดเด่นที่เขามีเหนือซาตานนั้น จะมีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าตลอดไป และความเพียบพร้อม ความเที่ยงธรรม ความยำเกรงพระเจ้าของเขาจะเป็นที่เคารพและเอาอย่างของชนรุ่นหลัง  เขาจะมีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าเหมือนไข่มุกเรืองแสงอันไร้ที่ติตลอดไป และเช่นเดียวกันเขายังคู่ควรที่มนุษย์จะมองว่าล้ำค่าอีกด้วย!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 61

กฎระเบียบแห่งยุคธรรมบัญญัติ

พระบัญญัติสิบประการ

หลักการสำหรับการสร้างแท่นบูชา

กฎระเบียบสำหรับการปฏิบัติของคนปรนนิบัติ

กฎระเบียบสำหรับขโมยและการชดเชย

การรักษาปีสะบาโตและงานเลี้ยงทั้งสาม

กฎระเบียบสำหรับวันสะบาโต

กฎระเบียบสำหรับเครื่องบูชา

เครื่องบูชาเผาทั้งตัว

เครื่องธัญบูชา

เครื่องศานติบูชา

เครื่องบูชาลบล้างบาป

เครื่องบูชาชดใช้บาป

กฎระเบียบสำหรับการถวายเครื่องบูชาโดยเหล่าปุโรหิต (อาโรนและบุตรชายทั้งหลายของเขาถูกสั่งให้ปฏิบัติตาม)

เครื่องบูชาเผาทั้งตัวโดยเหล่าปุโรหิต

เครื่องธัญบูชาโดยเหล่าปุโรหิต

เครื่องบูชาลบล้างบาปโดยเหล่าปุโรหิต

เครื่องบูชาชดใช้บาปโดยเหล่าปุโรหิต

เครื่องศานติบูชาโดยเหล่าปุโรหิต

กฎระเบียบสำหรับการรับประทานเครื่องบูชาโดยเหล่าปุโรหิต

สัตว์สะอาดและไม่สะอาด (สัตว์ที่กินได้และกินไม่ได้)

กฎระเบียบสำหรับการชำระสตรีหลังคลอดบุตรให้บริสุทธิ์

มาตรฐานสำหรับการตรวจโรคเรื้อน

กฎระเบียบสำหรับบรรดาผู้ที่ได้รับการรักษาหายจากโรคเรื้อน

กฎระเบียบสำหรับการชำระบ้านที่ติดเชื้อให้สะอาด

กฎระเบียบสำหรับบรรดาผู้ที่ทนทุกข์จากการปลดปล่อยที่ผิดปกติ

วันแห่งการลบมลทินที่ต้องปฏิบัติปีละครั้ง

กฎสำหรับการเชือดฝูงปศุสัตว์และแกะ

ข้อห้ามในการปฏิบัติตามข้อปฏิบัติที่น่ารังเกียจของคนต่างชาติ (ไม่กระทำการล่วงประเวณีกับญาติพี่น้อง และอื่นๆ)

กฎระเบียบที่ผู้คนต้องปฏิบัติตาม {“เจ้าทั้งหลายต้องบริสุทธิ์ เพราะเรายาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์” (เลวีนิติ 19:2)}

การประหารผู้ที่พลีอุทิศลูกหลานของตนให้พระโมเลค

กฎระเบียบสำหรับการลงโทษความผิดประเวณี

กฎที่เหล่าปุโรหิตควรถือปฏิบัติ (กฎสำหรับความประพฤติประจำวันของพวกเขา กฎสำหรับการบริโภคสิ่งที่บริสุทธิ์ กฎสำหรับการทำเครื่องบูชา และอื่นๆ)

งานเลี้ยงที่ควรถือปฏิบัติ (วันสะบาโต พิธีปัสกา เทศกาลเพ็นเทคอสต์ วันลบมลทิน และอื่นๆ)

กฎระเบียบอื่นๆ (การจุดตะเกียง ปีอิสรภาพ การไถ่แผ่นดิน การกล่าวปฏิญาณ การถวายทศางค์ และอื่นๆ)

กฎระเบียบแห่งยุคธรรมบัญญัติเป็นข้อพิสูจน์จริงแห่งการชี้นำมวลมนุษย์ทั้งปวงของพระเจ้า

ดังนั้น พวกเจ้าได้อ่านกฎระเบียบและหลักการทั้งหลายแห่งยุคธรรมบัญญัติแล้วใช่หรือไม่?  กฎระเบียบเหล่านี้ครอบคลุมแนวเขตที่กว้างขวางใช่หรือไม่?  ประการแรก พวกมันครอบคลุมถึงพระบัญญัติสิบประการ ซึ่งหลังจากนั้นเป็นกฎระเบียบสำหรับวิธีการสร้างแท่นบูชา และอื่นๆ  เหล่านี้ตามมาด้วยกฎระเบียบสำหรับการรักษาสะบาโตและการถือปฏิบัติงานเลี้ยงทั้งสาม ซึ่งหลังจากนั้นเป็นกฎระเบียบสำหรับเครื่องบูชา  พวกเจ้าเห็นหรือไม่ว่ามีเครื่องบูชากี่ชนิด?  มีเครื่องบูชาเผาทั้งตัว เครื่องธัญบูชา เครื่องศานติบูชา เครื่องบูชาลบล้างบาป และอื่นๆ  ทั้งหมดเหล่านี้ตามมาด้วยกฎระเบียบสำหรับเครื่องบูชาของเหล่าปุโรหิต ซึ่งประกอบด้วย เครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเครื่องธัญบูชาโดยเหล่าปุโรหิต และเครื่องบูชาประเภทอื่นๆ  กฎระเบียบชุดที่แปดนี้คือกฎระเบียบสำหรับการรับประทานเครื่องบูชาโดยเหล่าปุโรหิต  จากนั้นก็มีกฎระเบียบสำหรับสิ่งที่ควรถือปฏิบัติในระหว่างชีวิตของผู้คน  มีข้อกำหนดต่างๆ สำหรับหลายแง่มุมของชีวิตผู้คน เช่น กฎระเบียบสำหรับสิ่งที่พวกเขาอาจรับประทานได้หรือไม่ได้ สำหรับการชำระสตรีหลังคลอดบุตรให้บริสุทธิ์ และสำหรับพวกที่ได้รับการรักษาหายจากโรคเรื้อน  ในกฎระเบียบเหล่านี้ พระเจ้าตรัสไกลไปถึงโรค และมีแม้กระทั่งกฎสำหรับการเชือดแกะและฝูงปศุสัตว์ และอื่นๆ  แกะและฝูงปศุสัตว์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า และเจ้าควรเชือดพวกมันด้วยวิธีใดก็ตามที่พระเจ้าตรัสบอกให้เจ้าทำ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีเหตุผลสำหรับพระวจนะของพระเจ้า มันถูกต้องโดยไม่มีข้อสงสัยเลยที่จะต้องกระทำตามที่พระเจ้าได้ทรงประกาศกฤษฎีกาไว้ และแน่นอนว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้คน!  ยังมีงานเลี้ยงและกฎต่างๆ ที่ให้ถือปฏิบัติด้วย เช่น วันสะบาโต พิธีปัสกา และอื่นๆ—พระเจ้าตรัสถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  พวกเรามาดูที่ข้อท้ายๆ กันเถิด นั่นคือ กฎระเบียบอื่นๆ—การเผาตะเกียง ปีเสียงเขาสัตว์ การไถ่แผ่นดิน การกล่าวปฏิญาณ การถวายทศางค์ และอื่นๆ  เหล่านี้ครอบคลุมแนวเขตที่กว้างขวางหรือไม่?  สิ่งแรกที่จะกล่าวถึงคือเรื่องเกี่ยวกับเครื่องบูชาของผู้คน  ต่อมาก็มีกฎระเบียบเกี่ยวกับการขโมยและการชดเชย และการถือปฏิบัติในวันสะบาโต… มันเกี่ยวข้องกับรายละเอียดของชีวิต  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อพระเจ้าได้ทรงเริ่มพระราชกิจที่เป็นทางการในแผนการบริหารจัดการของพระองค์ พระองค์ได้ทรงกำหนดกฎระเบียบมากมายที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติตาม  กฎระเบียบเหล่านี้เป็นไปเพื่อเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้ใช้ชีวิตปกติของมนุษย์บนแผ่นดินโลก ชีวิตปกติของมนุษย์ที่ไม่อาจแยกได้จากพระเจ้าและการทรงนำของพระองค์  ก่อนอื่นพระเจ้าได้ตรัสบอกมนุษย์ว่าให้ทำแท่นบูชาอย่างไร ให้ตั้งแท่นบูชาอย่างไร  หลังจากนั้นพระองค์ได้ตรัสบอกมนุษย์ว่าให้ทำเครื่องบูชาอย่างไร และได้ทรงกำหนดว่ามนุษย์จะต้องดำรงชีวิตอย่างไร—สิ่งใดที่เขาจะต้องให้ความสนใจในชีวิต สิ่งใดที่เขาต้องปฏิบัติตาม และสิ่งใดที่เขาควรและไม่ควรทำ  สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดสำหรับมนุษย์นั้นครอบคลุมทั้งหมด และด้วยประเพณี กฎระเบียบ และหลักการเหล่านี้นี่เองที่พระองค์ได้ทรงกำหนดมาตรฐานพฤติกรรมของมนุษย์ ทรงนำทางชีวิตมนุษย์ ทรงนำทางการเริ่มต้นของพวกเขาสู่ธรรมบัญญัติของพระเจ้า ทรงนำทางพวกเขาสู่การมาอยู่หน้าแท่นบูชาของพระเจ้า ทรงนำทางพวกเขาในการมีชีวิตท่ามกลางสรรพสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าได้ทรงทำขึ้นสำหรับมนุษย์ที่อยู่ภายใต้ระเบียบ ความสม่ำเสมอ และความพอประมาณ  ก่อนอื่นพระเจ้าได้ทรงใช้กฎระเบียบและหลักการที่เรียบง่ายเหล่านี้เพื่อกำหนดขีดจำกัดสำหรับมนุษย์ เพื่อที่มนุษย์บนแผ่นดินโลกจะได้มีชีวิตปกติแห่งการนมัสการพระเจ้า จะได้มีชีวิตปกติของมนุษย์ เช่นนั้นเองคือเนื้อหาเฉพาะของการเริ่มต้นแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์  กฎระเบียบและกฎทั้งหลายเหล่านี้ครอบคลุมเนื้อหาที่กว้างอย่างยิ่ง พวกมันเป็นข้อเฉพาะเจาะจงแห่งการทรงนำมวลมนุษย์ของพระเจ้าในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติ ผู้คนที่มาก่อนหน้ายุคธรรมบัญญัติต้องยอมรับและเชื่อฟังกฎระเบียบและกฎเหล่านี้ กฎระเบียบและกฎเหล่านี้เป็นบันทึกเกี่ยวกับพระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงกระทำในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติ และเป็นข้อพิสูจน์จริงแห่งการเป็นผู้ทรงนำและการทรงนำมวลมนุษย์ทั้งปวงของพระเจ้า

มวลมนุษย์ไม่อาจแยกจากคำสอนและการจัดเตรียมของพระเจ้าได้ตลอดไป

ในกฎระเบียบเหล่านี้พวกเรามองเห็นว่าท่าทีของพระเจ้าที่ทรงมีต่อพระราชกิจของพระองค์ ต่อการบริหารจัดการของพระองค์ และต่อมวลมนุษย์นั้นจริงจัง มีมโนธรรม เข้มงวด และมีความรับผิดชอบ  พระองค์ทรงทำพระราชกิจที่พระองค์ต้องทรงทำท่ามกลางมวลมนุษย์โดยสอดคล้องกับขั้นตอนของพระองค์ โดยไม่มีความคลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย ตรัสพระวจนะที่พระองค์ต้องตรัสต่อมวลมนุษย์โดยไม่มีความผิดพลาดหรือการละเว้นแม้แต่น้อย ทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นว่าเขาไม่สามารถแยกจากการเป็นผู้ทรงนำของพระเจ้าได้ และทรงแสดงให้เขาเห็นว่าทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำและตรัสนั้นสำคัญต่อมวลมนุษย์เพียงใด  ไม่ว่ามนุษย์จะเป็นอย่างไรในยุคถัดไป ในตอนเริ่มต้น—ในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัตินั้น—พระเจ้าได้ทรงทำสิ่งที่เรียบง่ายเหล่านี้  สำหรับพระเจ้าแล้วนั้น มโนทัศน์ของมนุษย์เกี่ยวกับพระเจ้า โลก และมวลมนุษย์ในยุคนั้นเป็นนามธรรมและอับแสง และถึงแม้ว่ามโนทัศน์เหล่านั้นจะมีแนวคิดและเจตนาที่มีจิตสำนึกอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่ชัดเจนและไม่ถูกต้อง และด้วยเหตุนี้มวลมนุษย์จึงไม่สามารถแยกจากคำสอนและการจัดเตรียมของพระเจ้าที่ทรงมีต่อพวกเขาได้  มวลมนุษย์รุ่นแรกสุดนั้นไม่รู้สิ่งใดเลย และดังนั้นพระเจ้าจึงต้องทรงเริ่มสอนมนุษย์ตั้งแต่หลักการเพื่อการอยู่รอดและข้อบังคับที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานและผิวเผินที่สุดโดยประสาทสิ่งเหล่านี้ไว้ในหัวใจของมนุษย์ทีละนิด  ผ่านทางกฎเกณฑ์เหล่านี้ซึ่งก็คือพระวจนะ และผ่านทางระเบียบข้อบังคับเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานความเข้าใจเกี่ยวกับพระองค์เองทีละน้อย ประทานความซึ้งคุณค่าและความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของพระองค์เองทีละน้อย รวมทั้งแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับสัมพันธภาพระหว่างพระองค์กับมนุษย์  หลังจากที่สัมฤทธิ์ผลนี้แล้ว เมื่อนั้นเท่านั้นพระเจ้าจึงทรงสามารถทำพระราชกิจที่พระองค์จะทรงทำในภายหลังได้ทีละเล็กทีละน้อย  ด้วยเหตุนี้ กฎระเบียบเหล่านี้และพระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงทำในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติจึงเป็นฐานรากของพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระองค์ และเป็นช่วงระยะแรกของพระราชกิจในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า  ถึงแม้ว่าก่อนหน้าพระราชกิจของยุคธรรมบัญญัติ พระเจ้าได้ตรัสกับอาดัม เอวา และลูกหลานของพวกเขาไปแล้ว แต่พระบัญชาและคำสอนเหล่านั้นก็ไม่ได้เป็นระบบหรือเฉพาะเจาะจงพอที่จะกำหนดออกมาแก่มนุษย์ทีละข้อ และพระบัญชาและคำสอนเหล่านั้นก็ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ อีกทั้งสิ่งเหล่านั้นไม่ได้กลายเป็นกฎระเบียบ  นั่นเป็นเพราะว่าแผนการของพระเจ้าในเวลานั้นไม่ได้ไปไกลขนาดนั้น มีเพียงเมื่อพระเจ้าได้ทรงนำทางมนุษย์มาสู่ขั้นตอนนี้แล้วเท่านั้นพระเจ้าจึงทรงสามารถเริ่มตรัสกฎระเบียบแห่งยุคธรรมบัญญัติเหล่านี้ และเริ่มทำให้มนุษย์ดำเนินการตามกฎระเบียบเหล่านั้นได้  มันเป็นกระบวนการที่จำเป็น และบทอวสานเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  ประเพณีและกฎระเบียบง่ายๆ เหล่านี้แสดงให้มนุษย์เห็นขั้นตอนต่างๆ ในพระราชกิจการบริหารจัดการของพระเจ้า และพระปรีชาญาณของพระเจ้าได้เปิดเผยอยู่ในแผนการบริหารจัดการของพระองค์  พระเจ้าทรงรู้ว่าจะทรงใช้เนื้อหาและวิธีการใดเพื่อเริ่มต้น จะทรงใช้วิธีการใดเพื่อสานต่อ และจะทรงใช้วิธีการใดเพื่อสิ้นสุด เพื่อให้พระองค์ทรงสามารถได้รับผู้คนกลุ่มหนึ่งที่เป็นคำพยานต่อพระองค์ และเพื่อให้พระองค์ทรงสามารถได้รับผู้คนกลุ่มหนึ่งที่มีจิตใจเดียวกันกับพระองค์  พระองค์ทรงรู้ว่าสิ่งใดอยู่ภายในตัวมนุษย์ และทรงรู้ว่าสิ่งใดที่ขาดแคลนในตัวมนุษย์  พระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์ต้องทรงจัดเตรียมสิ่งใด และพระองค์ควรจะทรงนำทางมนุษย์อย่างไร และดังนั้น พระองค์ทรงรู้เช่นกันว่ามนุษย์ควรและไม่ควรจะทำสิ่งใด  มนุษย์เป็นเหมือนหุ่นเชิด กล่าวคือ ถึงแม้ว่าเขาไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า ก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะได้รับการนำโดยพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้า ทีละก้าวจนกระทั่งถึงวันนี้  ไม่มีความพร่ามัวในพระทัยของพระเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์จะทรงทำ ในพระทัยของพระองค์นั้นมีแผนที่ชัดเจนและสดใสอย่างมาก และพระองค์ได้ทรงดำเนินพระราชกิจที่พระองค์ด้วยพระองค์เองทรงปรารถนาที่จะทำตามขั้นตอนต่างๆ ของพระองค์และแผนการของพระองค์ โดยก้าวหน้าจากความผิวเผินไปสู่ความลึกซึ้ง  ถึงแม้ว่าพระองค์ไม่ได้ทรงบ่งชี้ถึงพระราชกิจที่พระองค์จะทรงกระทำในภายหลัง พระราชกิจที่ตามมาของพระองค์ก็ยังคงได้รับการดำเนินการต่อเนื่องไปและก้าวหน้าไปด้วยความสอดคล้องอย่างเข้มงวดกับแผนของพระองค์ ซึ่งเป็นการสำแดงถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และยังเป็นสิทธิอำนาจของพระเจ้าและอีกด้วย  ไม่ว่าพระองค์กำลังทรงพระราชกิจในแผนการบริหารจัดการของพระองค์ช่วงระยะใดก็ตาม พระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระองค์ก็เป็นตัวแทนของพระองค์เอง  การนี้เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน  ไม่ว่ายุคใด หรือจะเป็นพระราชกิจช่วงระยะใด มีสิ่งต่างๆ ที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง นั่นคือ ประเภทของผู้คนที่พระเจ้าทรงรัก ประเภทของผู้คนที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง พระอุปนิสัยของพระองค์ และทั้งหมดที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น  ถึงแม้ว่ากฎระเบียบและหลักการที่พระเจ้าทรงสถาปนาขึ้นในช่วงระหว่างพระราชกิจแห่งยุคธรรมบัญญัติเหล่านี้ดูเหมือนจะเรียบง่ายและผิวเผินอย่างมากสำหรับมนุษย์ในวันนี้ และถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะง่ายที่จะเข้าใจและสัมฤทธิ์ผล ในสิ่งเหล่านั้นก็ยังคงมีพระปรีชาญาณของพระเจ้า และยังคงมีพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  เนื่องจากภายในกฎระเบียบที่เห็นได้ชัดว่าเรียบง่ายเหล่านี้ได้แสดงถึงหน้าที่รับผิดชอบและการเอาใจใส่ต่อมวลมนุษย์ของพระเจ้า ตลอดจนเนื้อแท้ที่ประณีตแห่งพระดำริของพระองค์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้ตระหนักอย่างแท้จริงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง และทุกสรรพสิ่งถูกควบคุมด้วยพระหัตถ์ของพระองค์  ไม่สำคัญว่ามนุษย์เข้าใจถ่องแท้ในความรู้มากเพียงใด หรือเขาเข้าใจทฤษฏีและความล้ำลึกมากมายเพียงใด สำหรับพระเจ้าแล้วนั้นไม่มีสิ่งใดที่สามารถแทนที่การจัดเตรียมให้มวลมนุษย์และการเป็นผู้ทรงนำมวลมนุษย์ของพระองค์ได้ มวลมนุษย์จะไม่สามารถแยกจากการทรงนำของพระเจ้าและพระราชกิจส่วนพระองค์ของพระเจ้าได้ตลอดไป  เช่นนั้นคือสัมพันธภาพที่ไม่อาจแยกกันได้ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงมอบพระบัญญัติหนึ่ง หรือกฎระเบียบหนึ่งให้เจ้า หรือทรงจัดเตรียมความจริงเพื่อให้เจ้าเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์หรือไม่ก็ตาม ไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใด จุดมุ่งหมายของพระเจ้าก็คือเพื่อทรงนำมนุษย์ไปสู่วันพรุ่งนี้ที่สวยงาม  พระวจนะที่พระเจ้าทรงดำรัสและพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำนั้นเป็นทั้งการเปิดเผยถึงแง่มุมหนึ่งแห่งเนื้อแท้ของพระองค์ และการเปิดเผยถึงแง่มุมหนึ่งแห่งพระอุปนิสัยของพระองค์และพระปรีชาญาณของพระองค์ การเปิดเผยเหล่านั้นเป็นขั้นตอนที่ขาดเสียไม่ได้ในแผนการบริหารจัดการของพระองค์  การนี้ต้องไม่ถูกมองข้ามไป!  น้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่ในสิ่งใดก็ตามที่พระองค์ทรงทำ พระเจ้าไม่ทรงเกรงคำพูดที่ผิดที่ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงกลัวมโนคติที่หลงผิดหรือความคิดใดๆ ของมนุษย์ที่เกี่ยวกับพระองค์  พระองค์แค่ทรงพระราชกิจของพระองค์และทรงสานต่อการบริหารจัดการของพระองค์ตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์ โดยไม่ถูกจำกัดโดยบุคคล เรื่องราว หรือสิ่งของใดๆ

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 62

ย้อนมองพระดำริ แนวพระดำริ และกิจการของพระเจ้านับตั้งแต่การสร้างโลกของพระองค์

วันนี้ ในอันดับแรกพวกเราจะสรุปเกี่ยวกับพระดำริและแนวความคิดของพระเจ้า และการเคลื่อนไหวทุกๆ ประการของพระองค์นับตั้งแต่ที่พระองค์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์  พวกเราจะดูว่าพระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจใด นับตั้งแต่การสร้างโลกไปจนถึงการเริ่มยุคพระคุณอย่างเป็นทางการ  จากนั้น พวกเราจึงสามารถค้นพบได้ว่าพระดำริและแนวความคิดใดของพระองค์ที่มนุษย์ไม่รู้ และจากจุดนั้น พวกเราสามารถชี้แจงลำดับของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า และเข้าใจบริบทที่พระเจ้าได้ทรงสร้างพระราชกิจการบริหารจัดการของพระองค์ แหล่งที่มา และกระบวนการพัฒนาของแผนนั้นได้อย่างถ้วนทั่ว และยังเข้าใจผลลัพธ์ที่พระองค์ทรงต้องประสงค์จากแผนการบริหารจัดการของพระองค์—นั่นคือ แกนหลักและจุดประสงค์ของแผนการบริหารจัดการของพระองค์ได้อย่างถ้วนทั่วด้วย  เพื่อให้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ พวกเราจำเป็นต้องกลับไปยังช่วงเวลาอันไกลโพ้นที่นิ่งเงียบเมื่อครั้งที่ยังไม่มีพวกมนุษย์…

พระเจ้าทรงสร้างบุคคลที่มีชีวิตคนแรกด้วยพระองค์เอง

เมื่อพระเจ้าทรงลุกจากพระแท่นบรรทมของพระองค์ พระดำริแรกที่พระองค์ทรงมีคือสิ่งนี้: การสร้างบุคคลที่มีชีวิต—มนุษย์ที่มีชีวิตที่แท้จริง—ใครสักคนที่ใช้ชีวิตและเป็นสหายของพระองค์เสมอ บุคคลนี้สามารถรับฟังพระองค์ และพระองค์ทรงสามารถปรับทุกข์และตรัสกับบุคคลผู้นั้นได้  จากนั้น พระองค์ทรงช้อนฝุ่นมาหนึ่งกำพระหัตถ์และใช้มันสร้างบุคคลที่มีชีวิตคนแรกเป็นครั้งแรกตามพระฉายาที่พระองค์ได้ทรงจินตนาการไว้ในจิตใจของพระองค์ และจากนั้นพระองค์ได้ประทานชื่อให้กับสิ่งทรงสร้างซึ่งมีชีวิตนี้—อาดัม  ทันทีที่พระเจ้าทรงมีบุคคลที่มีชีวิตและหายใจนี้แล้ว พระองค์ทรงรู้สึกอย่างไร?  พระองค์ทรงรู้สึกเป็นครั้งแรกถึงความชื่นบานของการมีผู้ที่เป็นที่รัก มีสหาย  พระองค์ยังทรงรู้สึกเป็นครั้งแรกถึงความรับผิดชอบในการเป็นบิดา และความกังวลที่มาพร้อมความรับผิดชอบนั้น  บุคคลที่มีชีวิตและหายใจนี้นำความสุขและความชื่นบานมาสู่พระเจ้า พระองค์รู้สึกสบายพระทัยเป็นครั้งแรก  นี่คือสิ่งแรกที่พระเจ้าทรงทำ ซึ่งไม่ได้สำเร็จลุล่วงด้วยพระดำริหรือแม้กระทั่งพระวจนะของพระองค์ แต่ทรงกระทำด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง  เมื่อสิ่งประเภทนี้—บุคคลที่มีชีวิตและหายใจ—ที่ทำจากเลือดเนื้อ พร้อมด้วยร่างกายและรูปร่าง และสามารถพูดคุยกับพระเจ้ามายืนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์กับความชื่นบานแบบที่พระองค์ไม่เคยทรงรู้สึกมาก่อน  พระองค์ทรงรู้สึกถึงความรับผิดชอบของพระองค์อย่างแท้จริง และสิ่งมีชีวิตนี้ไม่เพียงแต่ทำให้พระองค์ทรงเกิดความเห็นพระทัยเท่านั้น แต่ยังทำให้พระทัยของพระองค์อบอุ่นและเร้าพระทัยของพระองค์ในทุกๆ การเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาทำ  เมื่อสิ่งมีชีวิตนี้ยืนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า นั่นเป็นครั้งแรกที่พระองค์มีพระดำริที่จะได้มาซึ่งผู้คนเช่นนั้นเพิ่มขึ้น  นี่คือลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เริ่มต้นขึ้นด้วยพระดำริแรกที่พระเจ้าทรงมีนี้  สำหรับพระเจ้าแล้วนั้น เหตุการณ์ทั้งหมดเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ในเหตุการณ์แรกๆ เหล่านี้ ไม่ว่าพระองค์ทรงรู้สึกอย่างไรในขณะนั้น—ความชื่นบาน ความรับผิดชอบ ความกังวล—พระองค์ทรงไม่มีผู้ใดให้แบ่งปันความรู้สึกนั้นด้วย  นับตั้งแต่ชั่วขณะนั้น พระเจ้าทรงรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาและความเสียพระทัยที่พระองค์ไม่เคยทรงได้ประสบการณ์มาก่อนอย่างแท้จริง  พระองค์ทรงรู้สึกว่ามนุษย์ไม่สามารถยอมรับหรือจับใจความความรักและความกังวลของพระองค์ หรือเจตนารมณ์ที่พระองค์ทรงมีให้กับมนุษย์ได้ ดังนั้นพระองค์จึงยังทรงรู้สึกโทมนัสและเจ็บปวดในพระทัยของพระองค์  ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้เพื่อมนุษย์ มนุษย์ก็ไม่ตระหนักรู้ถึงสิ่งนั้นและไม่เข้าใจ  นอกเหนือจากความสุขแล้ว ความชื่นบานและความสบายพระทัยที่มนุษย์นำมาให้พระองค์ยังทำให้พระองค์รู้สึกถึงความโทมนัสและความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาเป็นครั้งแรกอย่างรวดเร็วด้วย  เหล่านี้คือพระดำริและความรู้สึกของพระเจ้าในเวลานั้น  ในขณะที่พระเจ้ากำลังทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดนั้น ในพระทัยของพระองค์ พระองค์ทรงเปลี่ยนจากความชื่นบานเป็นความโทมนัส และจากความโทมนัสเป็นความเจ็บปวด และความรู้สึกเหล่านี้ผสมผสานกับความวิตกกังวล  ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะทำคือการเร่งรีบทำให้บุคคลนี้ มนุษย์ผู้นี้ รู้สิ่งที่อยู่ในพระทัยของพระองค์ และเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์เร็วขึ้น  เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจึงสามารถกลายเป็นผู้ติดตามของพระองค์ และมีความคิดเหมือนกับพระดำริของพระองค์ และเห็นพ้องกับน้ำพระทัยของพระองค์  พวกเขาจะไม่แค่รับฟังพระเจ้าตรัสและนิ่งเงียบอีกต่อไป พวกเขาจะตระหนักรู้วิธีการเข้าร่วมกับพระเจ้าในพระราชกิจของพระองค์  เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาจะไม่เป็นผู้คนที่ไม่แยแสต่อข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าอีกต่อไป  สิ่งแรกๆ เหล่านี้ที่พระเจ้าทรงทำมีความหมายอย่างยิ่ง และมีคุณค่ายิ่งใหญ่สำหรับแผนการบริหารจัดการของพระองค์ และสำหรับมนุษย์ในวันนี้

หลังจากที่พระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและมวลมนุษย์แล้ว พระเจ้าไม่ได้ทรงหยุดพัก  พระองค์ทรงกระวนกระวายและกระตือรือร้นที่จะดำเนินการบริหารจัดการของพระองค์ และทรงกระวนกระวายและกระตือรือร้นที่จะได้รับผู้คนที่พระองค์ทรงรักอย่างยิ่งในหมู่มวลมนุษย์

พระเจ้าทรงพระราชกิจที่ไม่เคยมีมาก่อนติดต่อกันอย่างต่อเนื่องในช่วงประมาณยุคธรรมบัญญัติ

จากนั้น ไม่นานหลังจากที่พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาแล้ว พวกเราเห็นจากพระคัมภีร์ว่าได้มีน้ำท่วมครั้งใหญ่เกิดขึ้นทั่วทั้งโลก  ในบันทึกเกี่ยวกับน้ำท่วมนั้นมีการกล่าวถึงโนอาห์ และสามารถกล่าวได้ว่าโนอาห์คือบุคคลแรกที่ได้รับการทรงเรียกของพระเจ้า ให้ทำงานร่วมกับพระองค์เพื่อทำให้พระราชกิจของพระเจ้าครบบริบูรณ์  แน่นอนว่านี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่พระเจ้าได้ทรงเรียกบุคคลบนแผ่นดินโลกให้ทำบางสิ่งบางอย่างตามพระบัญชาของพระองค์ ทันทีที่โนอาห์สร้างเรือเสร็จแล้ว พระเจ้าทรงทำให้น้ำท่วมแผ่นดินโลกเป็นครั้งแรก  เมื่อพระเจ้าทรงทำลายแผ่นดินโลกด้วยน้ำท่วม นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การทรงสร้างมนุษย์ที่พระองค์ทรงมีความรู้สึกรังเกียจพวกเขาอย่างยิ่ง นี่คือสิ่งที่ผลักดันให้พระเจ้าตัดสินพระทัยด้วยความเจ็บปวดที่จะทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้โดยผ่านทางน้ำท่วม  หลังจากที่น้ำท่วมได้ทำลายแผ่นดินโลกแล้ว พระเจ้าได้ทรงทำพันธสัญญาแรกของพระองค์กับมนุษย์ พันธสัญญาที่แสดงให้เห็นว่าพระองค์จะไม่มีวันทรงทำลายโลกด้วยน้ำท่วมอีก  เครื่องหมายแห่งพันธสัญญานี้คือรุ้ง  นี่คือพันธสัญญาแรกของพระเจ้าที่ทรงมีกับมนุษย์ ดังนั้นรุ้งจึงเป็นเครื่องหมายแรกแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าประทานให้ รุ้งเป็นสิ่งทางกายภาพที่เป็นจริงที่มีอยู่ การมีอยู่จริงของรุ้งนี่เองที่ทำให้พระเจ้ารู้สึกเสียพระทัยอยู่บ่อยครั้งเพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์ก่อนหน้านี้ซึ่งพระองค์ได้สูญเสียไป และทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนให้พระองค์ทรงระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาอยู่เสมอ… พระเจ้าไม่ทรงชะลอย่างพระบาทของพระองค์ลง—พระองค์ทรงกระวนกระวายและกระตือรือร้นที่จะดำเนินขั้นตอนต่อไปในการบริหารจัดการของพระองค์  หลังจากนั้น พระเจ้าได้ทรงเลือกอับราฮัมเป็นตัวเลือกแรกของพระองค์สำหรับพระราชกิจของพระองค์ทั่วทั้งอิสราเอล  นี่เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกันที่พระเจ้าทรงเลือกผู้ที่อาจเหมาะสมเช่นนั้น  พระเจ้าตัดสินพระทัยแน่วแน่ที่จะปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดโดยผ่านทางบุคคลนี้ และจะปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ต่อไปท่ามกลางพงศ์พันธุ์ของบุคคลนี้  พวกเราสามารถเห็นได้จากพระคัมภีร์ว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงทำกับอับราฮัม  พระเจ้าจึงได้ทรงทำให้อิสราเอลเป็นแผ่นดินแรกที่ได้รับเลือก และทรงเริ่มต้นพระราชกิจแห่งยุคธรรมบัญญัติของพระองค์โดยผ่านทางผู้คนที่ได้รับเลือกนี้ นั่นคือ คนอิสราเอล อีกครั้งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมกฎและธรรมบัญญัติที่ชัดแจ้งทั้งหลายที่มวลมนุษย์ควรปฏิบัติตามให้แก่คนอิสราเอลเป็นครั้งแรก และพระองค์ทรงอธิบายสิ่งเหล่านี้อย่างละเอียด  นี่เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมกฎที่เป็นมาตรฐานที่เฉพาะเจาะจงเช่นนั้นว่าพวกเขาควรพลีอุทิศอย่างไร พวกเขาควรใช้ชีวิตอย่างไร พวกเขาควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร เทศกาลและวันใดที่พวกเขาควรทำตาม และหลักการที่ควรปฏิบัติตามในทุกสิ่งที่พวกเขาได้ทำให้แก่พวกมนุษย์  นี่เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าประทานกฎระเบียบและหลักการที่ละเอียดและเป็นมาตรฐานเช่นนั้นเกี่ยวกับวิธีการใช้ชีวิตของตนให้แก่มวลมนุษย์

ในแต่ละครั้งที่เราพูดว่า “เป็นครั้งแรก” วลีนั้นหมายถึงประเภทของพระราชกิจที่พระเจ้าไม่เคยทรงทำมาก่อน  วลีนั้นหมายถึงพระราชกิจที่ไม่มีอยู่ก่อนหน้านั้น และถึงแม้ว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างมวลมนุษย์และสรรพสิ่งทรงสร้างและสิ่งมีชีวิตทุกลักษณะขึ้นมาแล้ว นี่ก็เป็นพระราชกิจประเภทหนึ่งที่พระองค์ไม่เคยทรงทำมาก่อน  พระราชกิจทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการมวลมนุษย์ของพระเจ้า ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับผู้คนและความรอดของพระองค์ และการบริหารจัดการพวกเขา  หลังจากอับราฮัม พระเจ้าทรงทำอะไรบางอย่างเป็นครั้งแรกอีกครั้ง—พระองค์ทรงเลือกโยบให้เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติ และผู้ที่สามารถทานทนต่อการทดลองของซาตาน ในขณะที่ยังคงยำเกรงพระเจ้า หลบเลี่ยงความชั่ว และยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระเจ้า  นี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ซาตานทดลองบุคคล และเป็นครั้งแรกที่พระองค์ทรงวางเดิมพันกับซาตาน  ท้ายที่สุดแล้ว เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าทรงได้รับคนบางคนที่สามารถยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระองค์และเป็นพยานต่อพระองค์ในขณะที่เผชิญหน้ากับซาตาน และบางคนที่สามารถทำให้ซาตานอับอายอย่างถ้วนทั่ว  นับตั้งแต่ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา นี่คือบุคคลแรกที่พระองค์ทรงได้รับมาซึ่งสามารถเป็นพยานเพื่อพระองค์ได้  ทันทีที่พระองค์ทรงได้รับมนุษย์ผู้นี้มาแล้ว พระเจ้าทรงมีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้นไปอีกที่จะดำเนินการบริหารจัดการของพระองค์ต่อไปและดำเนินช่วงระยะต่อไปในพระราชกิจของพระองค์ โดยทรงตระเตรียมสถานที่และผู้คนที่พระองค์จะทรงเลือกสำหรับขั้นตอนต่อไปในพระราชกิจของพระองค์

หลังจากที่ได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว พวกเจ้ามีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่?  พระเจ้าทรงพิจารณากรณีการบริหารจัดการมวลมนุษย์นี้ของพระองค์ กรณีความรอดของมวลมนุษย์ของพระองค์ ว่ามีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด  พระองค์ทรงทำสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ด้วยจิตใจของพระองค์เท่านั้น ไม่เพียงแต่ด้วยพระวจนะของพระองค์เท่านั้น และแน่นอนว่าไม่ใช่ด้วยท่าทีที่ไม่ใส่พระทัย—แต่พระองค์ทรงทำสิ่งทั้งหมดเหล่านี้ด้วยแผนการหนึ่ง ด้วยเป้าหมายหนึ่ง ด้วยมาตรฐานต่างๆ  และด้วยน้ำพระทัยของพระองค์  เห็นได้ชัดเจนว่าพระราชกิจในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทั้งพระเจ้าและมนุษย์  ไม่ว่าพระราชกิจนี้จะลำบากยากเย็นเพียงใด ไม่ว่าอุปสรรคจะยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่ว่ามนุษย์จะอ่อนแอเพียงใด หรือไม่ว่าความกบฏของมนุษย์จะล้ำลึกเพียงใด ไม่มีสิ่งใดในนี้ที่ลำบากยากเย็นสำหรับพระเจ้า  พระเจ้าทรงทำพระองค์เองให้ยุ่งอยู่เสมอ โดยทรงทุ่มเทความมานะพยายามอย่างพากเพียรของพระองค์ และทรงบริหารจัดการพระราชกิจที่พระองค์เองมีพระประสงค์จะดำเนินการ  พระองค์ยังกำลังทรงจัดการเตรียมการทุกสิ่งและใช้อำนาจอธิปไตยของพระองค์เหนือผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดที่พระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชกิจ และเหนือพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ให้ครบบริบูรณ์—ทั้งหมดนี้ไม่มีสิ่งใดที่เคยได้รับการทำมาก่อน  นี่คือครั้งแรกที่พระเจ้าทรงใช้วิธีการเหล่านี้และที่ทรงจ่ายราคามากมายเช่นนั้นเพื่อโครงการอันสำคัญยิ่งในการบริหารจัดการและช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนี้  ในขณะที่พระเจ้ากำลังทรงดำเนินพระราชกิจนี้ พระองค์กำลังทรงแสดงออกและทรงปลดปล่อยความมานะพยายามอย่างพากเพียรของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น พระปรีชาญาณและความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ และทุกแง่มุมของพระอุปนิสัยของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ทีละเล็กละน้อยอย่างไม่ตั้งข้อแม้ใดๆ  พระองค์ทรงปลดปล่อยและแสดงออกสิ่งเหล่านี้เพราะพระองค์ไม่เคยทรงทำมาก่อน  ดังนั้น ในทั้งจักรวาล นอกเหนือจากผู้คนที่พระเจ้าทรงมุ่งหมายที่จะจัดการและช่วยให้รอดนั้น ไม่เคยมีสิ่งทรงสร้างใดๆ ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าเช่นนั้น ที่ได้มีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมเช่นนั้นกับพระองค์  ในพระทัยของพระองค์ มวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะจัดการและช่วยให้รอดนั้นมีความสำคัญที่สุด  พระองค์ทรงให้คุณค่ากับมวลมนุษย์นี้เหนือสิ่งอื่นใด  ถึงแม้ว่าพระองค์จะได้ทรงจ่ายราคามากมายเพื่อพวกเขา และถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงเจ็บปวดและถูกพวกเขาไม่เชื่อฟังอย่างต่อเนื่อง แต่พระองค์ก็ไม่เคยทรงล้มเลิกกับพวกเขา และทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย โดยไม่มีการร้องทุกข์หรือความเสียใจใดๆ  นี่เป็นเพราะว่าพระองค์ทรงรู้ว่าอีกไม่ช้าไม่นาน ผู้คนจะตื่นรับการทรงเรียกของพระองค์และได้รับการขับเคลื่อนโดยพระวจนะของพระองค์ ระลึกได้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง และกลับมาเคียงข้างพระองค์…

หลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้ทั้งหมดในวันนี้ พวกเจ้าอาจรู้สึกว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นช่างปกติยิ่ง  ดูเหมือนว่าพวกมนุษย์จะได้รู้สึกถึงเจตนารมณ์บางส่วนที่พระเจ้าทรงมีให้กับพวกเขามาตลอด จากพระวจนะของพระองค์และจากพระราชกิจของพระองค์ แต่ระหว่างความรู้สึกของพวกเขาหรือความรู้ของพวกเขากับสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงดำรินั้นมีระยะห่างที่แน่นอนอยู่  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงคิดว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องสื่อสารกับผู้คนทั้งหมดว่าเหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงสร้างมวลมนุษย์ขึ้น และภูมิหลังที่อยู่เบื้องหลังความปรารถนาของพระองค์ที่จะได้รับมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงหวังไว้  การแบ่งปันสิ่งนี้กับทุกคนเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ทุกคนมีความชัดเจนและเข้าใจการนี้ในหัวใจของตน  เพราะทุกพระดำริและแนวความคิดของพระเจ้า และทุกระยะและทุกช่วงเวลาของพระราชกิจของพระองค์เกี่ยวพันและเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับพระราชกิจการบริหารจัดการทั้งหมดของพระองค์ ดังนั้น เมื่อเจ้าเข้าใจพระดำริของพระเจ้า แนวความคิด และน้ำพระทัยของพระองค์ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจของพระองค์แล้ว ก็เหมือนกับการเข้าใจว่าพระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการของพระองค์เกิดขึ้นอย่างไร  ความเข้าใจพระเจ้าของเจ้าลึกซึ้งยิ่งขึ้นบนรากฐานนี้นี่เอง  ถึงแม้ว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำเมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลกเป็นครั้งแรก ซึ่งเราได้กล่าวถึงไปแล้วก่อนหน้านี้ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าเป็นแค่ “ข้อมูล” นั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาความจริง แต่อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงเวลาที่เจ้าได้รับประสบการณ์ จะมีวันที่เจ้าไม่คิดว่าสิ่งนี้เป็นบางอย่างที่เรียบง่ายเหมือนกับข้อมูลสองสามชิ้น อีกทั้งสิ่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงความล้ำลึกบางประเภทเท่านั้น  ในขณะที่ชีวิตของเจ้าเดินหน้าไปนั้น ทันทีที่พระเจ้าทรงมีที่บางแห่งในหัวใจของเจ้าแล้ว หรือทันทีที่เจ้าเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์อย่างถี่ถ้วนและลึกซึ้งยิ่งขึ้นแล้ว เมื่อนั้นเจ้าจะเข้าใจความสำคัญและความจำเป็นของสิ่งที่เรากำลังกล่าวถึงในวันนี้อย่างแท้จริง  ไม่ว่าในตอนนี้พวกเจ้าจะยอมรับสิ่งนี้ถึงเพียงใดก็ตาม ก็ยังคงมีความจำเป็นที่พวกเจ้าต้องเข้าใจและรู้จักสิ่งเหล่านี้  เมื่อพระเจ้าทรงทำบางสิ่งบางอย่าง เมื่อพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำด้วยแนวความคิดของพระองค์หรือด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกหรือครั้งสุดท้ายที่พระองค์ทรงทำมัน ที่สุดแล้วพระเจ้าทรงมีแผนการ และจุดประสงค์ของพระองค์และพระดำริของพระองค์อยู่ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ  จุดประสงค์และพระดำริเหล่านี้เป็นสิ่งแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้า และแสดงถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  สองสิ่งนี้—พระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น—ต้องเป็นที่เข้าใจโดยทุกๆ บุคคล  ทันทีที่บุคคลหนึ่งเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นแล้ว พวกเขาจะสามารถค่อยๆ เข้าใจว่าเพราะเหตุใดพระองค์จึงทรงทำสิ่งที่พระองค์ทรงทำ และเพราะเหตุใดพระองค์จึงตรัสสิ่งที่พระองค์ตรัส  แล้วจากจุดนั้น พวกเขาจะสามารถมีความเชื่อที่มากขึ้นที่จะติดตามพระเจ้า ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา  นั่นจึงกล่าวได้ว่าความเข้าใจที่มนุษย์มีเกี่ยวกับพระเจ้าและความเชื่อที่เขามีในพระเจ้านั้นแยกจากกันไม่ได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 63

หากสิ่งที่ผู้คนได้รับความรู้และได้มาเข้าใจคือพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น เช่นนั้นแล้วสิ่งที่พวกเขาได้รับก็จะเป็นชีวิตที่มาจากพระเจ้า  ทันทีที่ชีวิตนี้ได้รับการสร้างขึ้นภายในตัวเจ้าแล้ว ความยำเกรงพระเจ้าของเจ้าจะกลายเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ  นี่คือสิ่งที่ได้รับซึ่งได้มาอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง  หากเจ้าไม่ต้องการเข้าใจหรือรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือแก่นแท้ของพระองค์ หากเจ้าไม่ต้องการแม้ที่จะครุ่นคิดหรือจดจ่อกับสิ่งเหล่านี้ เราก็สามารถบอกเจ้าได้ด้วยความมั่นใจว่า วิธีที่เจ้ากำลังไล่ตามเสาะหาความเชื่อพระเจ้าของเจ้าในปัจจุบันนั้นไม่มีวันสามารถทำให้เจ้าได้พบกับน้ำพระทัยของพระองค์หรือได้รับการสรรเสริญจากพระองค์ได้  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าไม่มีวันสามารถบรรลุถึงความรอดอย่างแท้จริง—สิ่งเหล่านี้คือผลพวงสุดท้าย  เมื่อผู้คนไม่เข้าใจพระเจ้าและไม่รู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์ หัวใจของพวกเขาก็ไม่มีวันสามารถเปิดรับพระองค์อย่างแท้จริงได้  ทันทีที่พวกเขาเข้าใจพระเจ้าแล้ว พวกเขาจะเริ่มต้นซึ้งคุณค่าและดื่มด่ำกับสิ่งที่อยู่ในพระทัยของพระองค์ด้วยความสนใจและความเชื่อ  เมื่อเจ้าซึ้งคุณค่าและดื่มด่ำกับสิ่งที่อยู่ในพระทัยของพระเจ้าแล้ว หัวใจของเจ้าจะค่อยๆ เปิดรับพระองค์ทีละเล็กละน้อย  เมื่อหัวใจของพวกเจ้าเปิดรับพระองค์แล้ว เจ้าจะรู้สึกว่าการโต้ตอบแลกเปลี่ยนกับพระเจ้าของเจ้า สิ่งที่เจ้าร้องขอจากพระเจ้า และความอยากอันฟุ้งเฟ้อของพวกเจ้าเองช่างน่าอับอายและน่าเหยียดหยามเพียงใด  เมื่อหัวใจของเจ้าเปิดรับพระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าจะมองเห็นว่าพระทัยของพระองค์ช่างเป็นโลกที่ไม่สิ้นสุด และเจ้าจะเข้าสู่อาณาจักรที่เจ้าไม่เคยได้รับประสบการณ์มาก่อน  ในอาณาจักรนี้ไม่มีการคดโกง ไม่มีการหลอกลวง ไม่มีความมืด และไม่มีความชั่ว  มีเพียงความจริงใจและความสัตย์ซื่อ มีเพียงความสว่างและความเที่ยงธรรม มีเพียงความชอบธรรมและความใจดี  อาณาจักรนี้เต็มไปด้วยความรักและความใส่ใจ เต็มไปด้วยความสงสารและการทนยอมรับ และเจ้าจะรู้สึกถึงความสุขและความชื่นบานของการมีชีวิตโดยผ่านทางอาณาจักรนี้  สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พระเจ้าจะทรงเผยต่อเจ้าเมื่อเจ้าเปิดหัวใจของพวกเจ้าเพื่อรับพระองค์  โลกที่ไม่สิ้นสุดนี้เต็มไปด้วยพระปรีชาญาณและอำนาจที่ไม่สิ้นสุดของพระเจ้า และเต็มไปด้วยความรักของพระองค์และสิทธิอำนาจของพระองค์ด้วยเช่นกัน  ที่นี่เจ้าสามารถมองเห็นทุกแง่มุมของสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น สิ่งที่นำความชื่นบานมาให้พระองค์ เหตุผลที่พระองค์ทรงกังวล และเหตุผลที่พระองค์ทรงกลายมาเสียพระทัย เหตุผลที่พระองค์ทรงกลายมากริ้ว… นี่คือสิ่งที่สามารถมองเห็นได้โดยทุกๆ บุคคลที่เปิดหัวใจของพวกเขาและยอมให้พระเจ้าเสด็จเข้ามา  พระเจ้าสามารถเสด็จเข้ามาในหัวใจของเจ้าได้ก็ต่อเมื่อเจ้าเปิดหัวใจของเจ้าเพื่อรับพระองค์เท่านั้น  หากพระองค์เสด็จเข้ามาในหัวใจของเจ้าแล้ว เจ้าสามารถมองเห็นได้เพียงสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และเจ้าสามารถมองเห็นได้เพียงเจตนารมณ์ที่พระองค์ทรงมีให้แก่เจ้า  ณ ขณะนั้น เจ้าจะค้นพบว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับพระเจ้านั้นช่างล้ำค่า ว่าสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนั้นช่างควรค่าแก่การทะนุถนอมความล้ำค่า  เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้คนที่รายล้อมเจ้า วัตถุและเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตของเจ้า และกระทั่งคนที่เจ้ารัก คู่ครองของเจ้า และสิ่งที่เจ้ารัก ก็แทบจะไม่ควรค่าที่จะกล่าวถึง  สิ่งเหล่านั้นช่างเล็กน้อยและช่างต่ำต้อย เจ้าจะรู้สึกว่าไม่มีวันที่วัตถุทางกายใดๆ จะสามารถดึงดูดเจ้าเข้าไปได้อีก หรือว่าวัตถุทางกายใดๆ จะสามารถยั่วยุเจ้าให้จ่ายราคาใดๆ เพื่อมันได้อีก  ในความถ่อมพระทัยของพระเจ้า เจ้าจะมองเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์และอำนาจสูงสุดของพระองค์  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าจะมองเห็นพระปรีชาญาณอันไม่สิ้นสุดของพระเจ้าและการทนยอมรับของพระองค์ในบางกิจการของพระเจ้าซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าเชื่อว่ามีค่อนข้างเล็กน้อย และเจ้าจะมองเห็นความอดทนของพระองค์ ความอดกลั้นของพระองค์ และความเข้าใจในตัวเจ้าของพระองค์  สิ่งนี้จะก่อให้เกิดการรักใคร่บูชาพระองค์ขึ้นในตัวเจ้า  ในวันนั้น เจ้าจะรู้สึกว่ามวลมนุษย์กำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่โสมมเช่นนั้น และรู้สึกว่าผู้คนข้างๆ เจ้าและสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเจ้า หรือแม้กระทั่งผู้คนที่เป็นที่รักของเจ้า ความรักที่พวกเขามีให้เจ้า และสิ่งที่เรียกว่าการคุ้มครองปกป้องของพวกเขา หรือความกังวลเกี่ยวกับเจ้าของพวกเขา ก็ไม่แม้แต่จะควรค่าแก่การกล่าวถึง—มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นที่รักของเจ้า และมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่เจ้าทะนุถนอมความล้ำค่ามากที่สุด  เมื่อวันนั้นมาถึง เราเชื่อว่าจะมีบางคนพูดว่า  ความรักของพระเจ้าช่างยิ่งใหญ่ และแก่นแท้ของพระองค์ช่างบริสุทธิ์ยิ่ง—ในพระเจ้าไม่มีการหลอกลวง ไม่มีความชั่ว ไม่มีความอิจฉา และไม่มีความขัดแย้ง แต่มีเพียงความชอบธรรมและความเป็นของแท้เท่านั้น และทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นควรเป็นที่ถวิลหาของมนุษย์  มนุษย์ควรเพียรพยายามและอยากมีสิ่งนั้น  ความสามารถของมวลมนุษย์ในการสัมฤทธิ์ผลในสิ่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานใด?  สิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า และความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับแก่นแท้ของพระเจ้า  ดังนั้น ความเข้าใจเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นจึงเป็นบทเรียนชั่วชีวิตของทุกบุคคล นี่คือเป้าหมายชั่วชีวิตที่ถูกไล่ตามเสาะหาโดยทุกบุคคลที่เพียรพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนและเพียรพยายามที่จะรู้จักพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 64

การบังเกิดเป็นมนุษย์ครั้งแรกของพระเจ้าเพื่อทรงพระราชกิจ

หากพวกเราต้องการเข้าใจให้มากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น พวกเราไม่สามารถหยุดอยู่ที่ภาคพันธสัญญาเดิมหรือที่ยุคธรรมบัญญัติ—เราจำเป็นต้องดำเนินต่อไป โดยเดินตามขั้นตอนที่พระเจ้าทรงปฏิบัติในพระราชกิจของพระองค์  ดังนั้น ในขณะที่พระเจ้าทรงสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติและเริ่มต้นยุคพระคุณ พระองค์ทรงปล่อยให้ฝีเท้าของพวกเราเองตามติดอยู่เบื้องหลังเข้าสู่ยุคพระคุณ—ซึ่งเป็นยุคที่เต็มไปด้วยพระคุณและการไถ่  ในยุคนี้ พระเจ้าทรงทำบางสิ่งบางอย่างที่มีความสำคัญมากและไม่เคยมีการทำมาก่อนอีกครั้ง  สำหรับทั้งพระเจ้าและมวลมนุษย์แล้ว พระราชกิจในยุคนี้เป็นจุดเริ่มต้นใหม่—จุดเริ่มต้นที่ประกอบด้วยพระราชกิจใหม่อีกประการหนึ่งของพระเจ้าที่ไม่เคยมีการทำมาก่อน  พระราชกิจใหม่นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นบางสิ่งบางอย่างที่อยู่เหนือพลังการจินตนาการของพวกมนุษย์และสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งปวง  พระราชกิจนี้คือบางสิ่งบางอย่างที่ตอนนี้ทุกผู้คนรู้เป็นอย่างดี—พระเจ้าได้ทรงกลายเป็นมนุษย์เป็นครั้งแรก และพระองค์ได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ในรูปร่างของมนุษย์ ด้วยอัตลักษณ์ของมนุษย์เป็นครั้งแรก  พระราชกิจใหม่นี้มีนัยสำคัญว่าพระเจ้าได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ในยุคธรรมบัญญัติให้ครบบริบูรณ์แล้ว และว่าพระองค์จะไม่ทรงทำหรือตรัสสิ่งใดภายใต้ธรรมบัญญัตินี้อีกต่อไป  พระองค์ไม่ตรัสหรือไม่ทรงทำสิ่งใดในรูปของธรรมบัญญัติหรือตามหลักการหรือกฎของธรรมบัญญัติ  นั่นคือ พระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ที่มีพื้นฐานจากธรรมบัญญัติได้ถูกหยุดลงตลอดไปและจะไม่ดำเนินต่อไป เพราะพระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะเริ่มต้นพระราชกิจใหม่และทำสิ่งใหม่  แผนของพระองค์มีจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และดังนั้น พระเจ้าจึงต้องทรงนำมวลมนุษย์ไปสู่ยุคต่อไป

ข่าวนี้เป็นข่าวอันน่าชื่นบานหรือเป็นลางร้ายสำหรับมนุษย์หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับแก่นแท้ของบุคคลแต่ละคน  สามารถกล่าวได้ว่าสำหรับบางคนแล้ว นี่ไม่ใช่ข่าวอันน่าชื่นบานแต่เป็นลางร้าย เพราะเมื่อพระเจ้าทรงเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ของพระองค์ ผู้คนที่เพิ่งทำตามธรรมบัญญัติและกฎต่างๆ ผู้ที่เพิ่งทำตามคำสอนแต่ไม่ยำเกรงพระเจ้า มีแนวโน้มจะใช้พระราชกิจเก่าของพระเจ้ามากล่าวโทษพระราชกิจใหม่ของพระองค์  สำหรับผู้คนเหล่านี้ นี่คือข่าวที่เป็นลางร้าย  แต่สำหรับทุกบุคคลที่ไร้เดียงสาและเปิดกว้าง ผู้ที่จริงใจต่อพระเจ้าและเต็มใจที่จะได้รับการไถ่ของพระองค์ การจุติเป็นมนุษย์ครั้งแรกของพระเจ้านั้นเป็นข่าวอันน่าชื่นบานอย่างยิ่ง  เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกมนุษย์ถูกทำให้เกิดขึ้นนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าได้ทรงปรากฏและดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมวลมนุษย์ในรูปร่างที่ไม่ใช่พระวิญญาณ ในครั้งนี้ พระเจ้าประสูติจากมนุษย์ และดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางผู้คนในฐานะบุตรมนุษย์ และปฏิบัติพระราชกิจท่ามกลางพวกเขา  “ครั้งแรก” นี้ได้ทำลายมโนคติที่หลงผิดของผู้คน สิ่งนี้อยู่เหนือเกินกว่าจินตนาการทั้งหมด  ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ติดตามทุกคนของพระเจ้ายังได้รับผลประโยชน์ที่จับต้องได้  พระเจ้าไม่เพียงแต่ทรงสิ้นสุดยุคเก่าเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงสิ้นสุดวิธีการทรงพระราชกิจและลักษณะแนวการทรงพระราชกิจแบบเก่าของพระองค์ด้วย  พระองค์ไม่ทรงขอให้ทูตสวรรค์ของพระองค์มาสื่อสารน้ำพระทัยของพระองค์อีกต่อไป พระองค์ไม่ทรงซ่อนอยู่ในเมฆอีกต่อไป และไม่ทรงปรากฏต่อมนุษย์หรือตรัสกับมนุษย์อย่างสูงใหญ่โดยผ่านทางฟ้าร้องอีกต่อไป  พระองค์ทรงกลายเป็นบุตรมนุษย์เพื่อเริ่มต้นพระราชกิจของยุคนั้น โดยผ่านทางวิธีการที่มนุษย์ไม่อาจจินตนาการได้และที่มนุษย์เข้าใจหรือยอมรับได้ยาก—การบังเกิดเป็นมนุษย์—ซึ่งไม่เหมือนสิ่งใดๆ ที่มีมาก่อน  กิจการนี้ของพระเจ้าเป็นสิ่งที่มวลมนุษย์นึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิง  มันทำให้พวกเขาอับอาย เพราะพระเจ้าทรงเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ที่พระองค์ไม่เคยทรงทำมาก่อนอีกครั้ง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 65

พระเยซูทรงเด็ดรวงข้าวเพื่อเสวยในวันสะบาโต

มัทธิว 12:1  ในเวลานั้น พระเยซูเสด็จไปในนาในวันสะบาโต และบรรดาสาวกของพระองค์หิว จึงเด็ดรวงข้าวมากินแก้หิว

บุตรมนุษย์ทรงเป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต

มัทธิว 12:6-8  แต่เราบอกท่านว่าที่เป็นใหญ่กว่าพระวิหารอยู่ที่นี่ ถ้าพวกท่านเข้าใจความหมายของพระคัมภีร์ ที่ว่า “เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา” พวกท่านก็คงจะไม่ตัดสินลงโทษพวกที่ไม่มีความผิด เพราะว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต

อันดับแรกพวกเรามาดูที่บทตอนนี้กัน: “ในเวลานั้น พระเยซูเสด็จไปในนาในวันสะบาโต และบรรดาสาวกของพระองค์หิว จึงเด็ดรวงข้าวมากินแก้หิว”

เหตุใดเราจึงเลือกบทตอนนี้?  บทตอนนี้เชื่อมโยงกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างไร?  ในบทตอนนี้ สิ่งแรกที่เรารู้คือวันนั้นเป็นวันสะบาโต แต่องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จไปข้างนอกและทรงนำสาวกของพระองค์ผ่านไปทางทุ่งนา  สิ่งที่ “เป็นการทรยศ” ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกท่านถึงขั้น “จึงเด็ดรวงข้าวมากินแก้หิว” ในยุคธรรมบัญญัติ ธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้ากำหนดว่าผู้คนไม่อาจออกไปข้างนอกหรือเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ ได้ตามใจในวันสะบาโต—มีหลายสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ในวันสะบาโต  การกระทำนี้ในส่วนขององค์พระเยซูเจ้าเป็นสิ่งที่น่าฉงนสำหรับบรรดาผู้ที่เคยได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติมาเป็นเวลานาน และกระทั่งกระตุ้นให้เกิดการติเตียน  ในเรื่องความสับสนของพวกเขาและวิธีการที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับสิ่งที่พระเยซูทรงทำนั้น พวกเราจะพักเรื่องนั้นไว้ก่อนในตอนนี้ และอันดับแรกพวกเราจะมาอภิปรายว่าเหตุใดองค์พระเยซูเจ้าจึงทรงเลือกทำเช่นนี้ในวันสะบาโต ไม่ใช่วันอื่นๆ และสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะสื่อสารกับผู้คนที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติโดยผ่านทางการกระทำนี้  นี่คือการเชื่อมโยงระหว่างบทตอนนี้กับพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่เราต้องการกล่าวถึง

เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมา พระองค์ทรงใช้การกระทำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์เพื่อบอกผู้คนว่าพระเจ้าทรงออกจากยุคธรรมบัญญัติและทรงได้เริ่มต้นพระราชกิจใหม่แล้ว และว่าพระราชกิจใหม่นี้ไม่กำหนดให้มีการทำตามกฎวันสะบาโต  การที่พระเจ้าเสด็จออกจากเขตจำกัดของวันสะบาโตเป็นเพียงการทดลองล่วงหน้าของพระราชกิจใหม่ของพระองค์ ส่วนพระราชกิจจริงที่ยิ่งใหญ่ยังมาไม่ถึง  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงทิ้ง “เครื่องพันธนาการ” ของยุคธรรมบัญญัติไว้เบื้องหลังแล้ว และได้ทรงฝ่ากฎระเบียบและหลักการของยุคนั้นแล้ว  ในพระองค์ไม่มีร่องรอยของสิ่งใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับธรรมบัญญัติ พระองค์ได้ทรงสละมันทิ้งไปทั้งหมดและไม่ทำตามธรรมบัญญัติอีกต่อไป และพระองค์ไม่ทรงพึงประสงค์ให้มวลมนุษย์ทำตามธรรมบัญญัติอีกต่อไป  ดังนั้น ในที่นี้เจ้าจึงมองเห็นองค์พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไปในนาในวันสะบาโต และว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงหยุดพัก พระองค์ทรงพระราชกิจอยู่ข้างนอกและไม่ได้ทรงหยุดพัก  การกระทำนี้ของพระองค์เป็นที่ตกใจสำหรับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน และการกระทำนี้สื่อสารกับพวกเขาว่าพระองค์ไม่ดำรงพระชนม์ภายใต้ธรรมบัญญัติอีกต่อไป และว่าพระองค์ทรงทิ้งเขตจำกัดของวันสะบาโตไว้เบื้องหลัง และทรงปรากฏต่อหน้ามวลมนุษย์และอยู่ท่ามกลางพวกเขาในพระฉายาใหม่ พร้อมทั้งวิธีใหม่ๆ ในการทรงพระราชกิจ  การกระทำนี้ของพระองค์บอกผู้คนว่าพระองค์ทรงได้นำพระราชกิจใหม่มากับพระองค์ พระราชกิจที่เริ่มต้นด้วยการผุดขึ้นจากการอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ และการแยกจากวันสะบาโต  เมื่อพระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจใหม่ของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงยึดติดกับอดีตอีกต่อไป และพระองค์ไม่ทรงกังวลเกี่ยวกับกฎระเบียบของยุคธรรมบัญญัติอีกต่อไป  พระองค์ไม่ทรงได้รับผลกระทบจากพระราชกิจของพระองค์ในยุคก่อน แต่พระองค์ทรงพระราชกิจในวันสะบาโตเช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงทำวันเว้นวันแทน และเมื่อสาวกของพระองค์หิวโหยในวันสะบาโต พวกเขาก็สามารถเด็ดรวงข้าวมากินได้  ทั้งหมดนี้เป็นปกติอย่างยิ่งในพระเนตรของพระเจ้า  สำหรับพระเจ้า การมีจุดเริ่มต้นใหม่สำหรับส่วนใหญ่ของพระราชกิจใหม่ที่พระองค์ทรงต้องประสงค์จะทำและพระวจนะใหม่ที่พระองค์ทรงต้องประสงค์จะตรัสนั้นเป็นสิ่งที่อนุญาตให้ทำได้  เมื่อพระองค์ทรงเริ่มต้นบางสิ่งบางอย่างที่ใหม่ พระองค์ไม่ทรงกล่าวถึงพระราชกิจก่อนหน้าของพระองค์ อีกทั้งไม่ทรงดำเนินพระราชกิจนั้นต่อไป  เพราะพระเจ้าทรงมีหลักการของพระองค์ในพระราชกิจของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงต้องประสงค์จะเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ นั่นคือเวลาที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะนำมวลมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่ของพระราชกิจของพระองค์ และคือเวลาที่พระราชกิจของพระองค์จะเข้าสู่ระยะที่สูงกว่า  หากผู้คนยังคงปฏิบัติตามคำกล่าวหรือกฎระเบียบเก่าๆ ต่อไป หรือยึดติดกับสิ่งเหล่านั้นต่อไป พระองค์จะไม่ทรงจดจำหรือรับรองสิ่งนั้น  นี่เป็นเพราะว่าพระองค์ได้ทรงนำพระราชกิจใหม่มาแล้ว และได้ทรงเข้าสู่ระยะใหม่ของพระราชกิจของพระองค์แล้ว  เมื่อพระองค์ทรงริเริ่มพระราชกิจใหม่ พระองค์ทรงปรากฏต่อมวลมนุษย์ด้วยพระฉายาใหม่โดยสิ้นเชิง จากมุมใหม่โดยสิ้นเชิง และในวิธีใหม่โดยสิ้นเชิง เพื่อให้ผู้คนสามารถมองเห็นแง่มุมที่แตกต่างของพระอุปนิสัยของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  นี่เป็นหนึ่งในเป้าหมายของพระองค์ในพระราชกิจใหม่ของพระองค์  พระเจ้าไม่ทรงยึดติดกับสิ่งเก่าๆ หรือทรงดำเนินบนเส้นทางที่คร่ำครึ เมื่อพระองค์ทรงพระราชกิจและตรัส พระองค์ไม่ทรงช่างห้ามปรามอย่างที่ผู้คนจินตนาการไว้  ในพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นอิสระและมีเสรีภาพ และไม่มีข้อห้าม ไม่มีการจำกัดใดๆ—สิ่งที่พระองค์ทรงนำมาสู่มวลมนุษย์คืออิสรภาพและเสรีภาพ  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ พระเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่อย่างจริงแท้และแท้จริง  พระองค์มิใช่หุ่นกระบอกหรือรูปปั้น และพระองค์ทรงแตกต่างจากรูปเคารพที่ผู้คนวางไว้บนหิ้งบูชาและนมัสการโดยสิ้นเชิง  พระองค์ทรงพระชนม์และสว่างไสว และสิ่งที่พระวจนะและพระราชกิจของพระองค์นำมาสู่มวลมนุษย์คือชีวิตและความสว่างทั้งหมด อิสรภาพและเสรีภาพทั้งหมด เพราะพระองค์ทรงยึดถือความจริง ชีวิต และหนทาง—พระองค์ไม่ทรงถูกจำกัดด้วยสิ่งใดๆ ในพระราชกิจใดๆ ของพระองค์  ไม่ว่าผู้คนจะพูดสิ่งใดและไม่ว่าพวกเขาจะมองเห็นหรือประเมินพระราชกิจใหม่ของพระองค์อย่างไรก็ตาม พระองค์จะทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์โดยปราศจากความหวาดหวั่น  พระองค์จะไม่ทรงกังวลเกี่ยวกับมโนคติที่หลงผิดหรือการชี้นิ้วของผู้ใดก็ตามเกี่ยวกับพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์ หรือแม้กระทั่งการต่อต้านหรือการต้านทานอย่างรุนแรงของพวกเขาต่อพระราชกิจใหม่ของพระองค์  ไม่มีผู้ใดท่ามกลางสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งหมดที่สามารถใช้เหตุผลของมนุษย์ จินตนาการของมนุษย์ ความรู้ หรือหลักศีลธรรมของมนุษย์เพื่อวัดหรือกำหนดนิยามสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ เพื่อทำให้เสื่อมเสีย ขัดขวาง หรือบ่อนทำลายพระราชกิจของพระองค์ได้  ไม่มีข้อห้ามใดๆ ในพระราชกิจของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงทำ พระราชกิจของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงทำจะไม่ถูกจำกัดด้วยมนุษย์ เหตุการณ์ หรือสิ่งใดๆ และจะไม่ถูกทำให้หยุดชะงักโดยพลังที่เป็นปรปักษ์ใดๆ เท่าที่เกี่ยวกับพระราชกิจใหม่ของพระองค์แล้ว พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้มีชัยเสมอ และพลังที่เป็นปรปักษ์ใดๆ และความนอกรีตและความคิดที่ไม่ถูกต้องทั้งหมดของมวลมนุษย์ถูกเหยียบย่ำภายใต้ที่รองพระบาทของพระองค์  ไม่ว่าพระองค์กำลังทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในระยะใหม่ใด พระราชกิจนั้นจะได้รับการพัฒนาและขยายไปท่ามกลางมวลมนุษย์อย่างแน่นอน และจะได้รับการดำเนินการโดยไม่มีการขัดขวางทั่วทั้งจักรวาลจนกระทั่งพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์จะครบสมบูรณ์แล้วอย่างแน่นอน  นี่คือความทรงมหิทธิฤทธิ์และพระปรีชาญาณของพระองค์ สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์  ดังนั้น องค์พระเยซูเจ้าทรงสามารถเสด็จออกไปและทรงพระราชกิจในวันสะบาโตได้อย่างเปิดเผยเพราะในพระทัยของพระองค์ไม่มีกฎ ไม่มีความรู้หรือคำสอนใดที่กำเนิดขึ้นจากมวลมนุษย์  สิ่งที่พระองค์ทรงมีคือพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าและหนทางแห่งพระเจ้า  พระราชกิจของพระองค์คือวิธีทำให้มวลมนุษย์เป็นอิสระ ปลดปล่อยผู้คน ทำให้พวกเขาอยู่ในความสว่างและใช้ชีวิต  ในขณะเดียวกัน พวกที่นมัสการรูปเคารพหรือเทพเจ้าเทียมเท็จใช้ชีวิตทุกๆ วันโดยที่ถูกผูกมัดด้วยซาตาน และถูกหน่วงเหนี่ยวด้วยกฎและข้อห้ามทุกประเภท—วันนี้สิ่งหนึ่งถูกห้าม พรุ่งนี้อีกสิ่งหนึ่งจะถูกห้าม—ในชีวิตของพวกเขาไม่มีอิสรภาพ  พวกเขาเป็นเหมือนนักโทษในโซ่ตรวนที่ใช้ชีวิตโดยไม่มีความชื่นบานให้กล่าวถึง  “ข้อห้าม” เป็นตัวแทนของสิ่งใด?  มันเป็นตัวแทนของข้อจำกัด พันธนาการ และความชั่ว  ทันทีที่บุคคลหนึ่งนมัสการรูปเคารพ พวกเขาก็กำลังนมัสการเทพเจ้าเทียมเท็จ วิญญาณชั่ว  ข้อห้ามเกิดขึ้นเมื่อมีการทำกิจกรรมเช่นนั้น เจ้าไม่สามารถกินสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น  วันนี้เจ้าไม่สามารถออกไปข้างนอก พรุ่งนี้เจ้าไม่สามารถทำอาหาร วันต่อไปเจ้าไม่สามารถย้ายไปบ้านใหม่ ต้องเลือกวันที่แน่นอนเพื่อการแต่งงานและงานศพ และแม้กระทั่งเพื่อการคลอดบุตร  สิ่งนี้เรียกว่าอะไร?  สิ่งนี้เรียกว่าข้อห้าม มันเป็นเครื่องพันธนาการของมวลมนุษย์ และมันคือโซ่ตรวนของซาตานและบรรดาวิญญาณชั่วที่ควบคุมผู้คนและหน่วงเหนี่ยวหัวใจและร่างกายของพวกเขา  ข้อห้ามเหล่านี้มีอยู่กับพระเจ้าหรือไม่?  เมื่อพูดถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า อันดับแรกเจ้าควรนึกถึงสิ่งนี้: ไม่มีข้อห้ามกับพระเจ้า  พระเจ้าทรงมีหลักการในพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์ แต่ไม่มีข้อห้ามใดๆ เพราะพระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นความจริง ทรงเป็นหนทาง และทรงเป็นชีวิต

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 66

“แต่เราบอกท่านว่าที่เป็นใหญ่กว่าพระวิหารอยู่ที่นี่ ถ้าพวกท่านเข้าใจความหมายของพระคัมภีร์ ที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’ พวกท่านก็คงจะไม่ตัดสินลงโทษพวกที่ไม่มีความผิด เพราะว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต” (มัทธิว 12:6-8) คำว่า “พระวิหาร” อ้างอิงถึงสิ่งใดในที่นี้?  กล่าวอย่างง่ายๆ คือ คำนี้หมายถึงอาคารที่สูงส่งสง่างาม และในยุคธรรมบัญญัติ พระวิหารคือสถานที่ที่นักบวชมานมัสการพระเจ้า  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ที่เป็นใหญ่กว่าพระวิหารอยู่ที่นี่” คำว่า “ที่” อ้างอิงถึงผู้ใด?  คำว่า “ที่” นี้หมายถึงองค์พระเยซูเจ้าในเนื้อหนังอย่างชัดเจน เพราะมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ยิ่งใหญ่กว่าพระวิหาร  พระวจนะเหล่านั้นบอกผู้คนว่าอย่างไร?  พระวจนะเหล่านั้นบอกผู้คนให้ออกมาจากพระวิหาร—พระเจ้าทรงออกมาจากพระวิหารแล้วและไม่ได้ทรงพระราชกิจในนั้นอีกต่อไป ดังนั้น ผู้คนจึงควรแสวงหาย่างพระบาทของพระเจ้านอกพระวิหาร และติดตามย่างก้าวของพระองค์ในพระราชกิจใหม่ของพระองค์  มีข้อสนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าเมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้ นั่นคือ ภายใต้ธรรมบัญญัติ ผู้คนได้มามองเห็นพระวิหารว่าเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าพระองค์เอง  นั่นคือ ผู้คนนมัสการพระวิหารแทนที่จะนมัสการพระเจ้า ดังนั้นองค์พระเยซูเจ้าจึงทรงเตือนพวกเขาให้อย่านมัสการรูปเคารพ แต่นมัสการพระเจ้าแทน เพราะพระองค์ทรงอำนาจสูงสุด  ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงตรัสว่า “เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา” เห็นได้ชัดเจนว่าในสายพระเนตรขององค์พระเยซูเจ้า ผู้คนส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติไม่ได้นมัสการพระยาห์เวห์อีกต่อไป แต่เพียงแค่พลีอุทิศไปอย่างพอเป็นพิธี และองค์พระเยซูเจ้าตกลงพระทัยว่านี่ถือเป็นการนมัสการรูปเคารพ  ผู้นมัสการรูปเคารพเหล่านี้เห็นว่าพระวิหารเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่และสูงส่งกว่าพระเจ้า  ในหัวใจของพวกเขามีเพียงพระวิหาร ไม่ใช่พระเจ้า และหากพวกเขาสูญเสียพระวิหารไป เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะสูญเสียที่อาศัยของพวกเขา  หากปราศจากพระวิหาร พวกเขาก็ไม่มีที่ใดให้นมัสการ และไม่สามารถทำการพลีอุทิศของพวกเขาได้  สิ่งที่เรียกว่า “ที่อาศัย” ของพวกเขานั้นคือสถานที่ที่พวกเขาใช้การกล่าวอ้างเท็จถึงการนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าเพื่อให้อยู่ในพระวิหารต่อไปและทำกิจการงานต่างๆ ของพวกเขาเอง  สิ่งที่เรียกว่า “การพลีอุทิศ” ของพวกเขานั้นเป็นแค่การที่พวกเขากระทำการอันน่าอับอายส่วนตัวของตนเองภายใต้การแสร้งทำเป็นปรนนิบัติในพระวิหาร  นี่คือเหตุผลที่ผู้คน ณ ขณะนั้นมองเห็นว่าพระวิหารยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า  องค์พระเยซูเจ้าตรัสพระวจนะเหล่านี้เพื่อเป็นคำเตือนให้กับผู้คน เพราะพวกเขากำลังใช้พระวิหารเป็นฉากหน้า และใช้การพลีอุทิศเป็นฉากบังการคดโกงผู้คนและการคดโกงพระเจ้า  หากเจ้านำพระวจนะเหล่านี้มาปฏิบัติกับปัจจุบัน พระวจนะเหล่านี้ยังคงใช้ได้เท่าเดิมและตรงประเด็นเท่าเดิม  ถึงแม้ว่าผู้คนในวันนี้จะได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าที่แตกต่างจากที่ผู้คนในยุคธรรมบัญญัติได้รับประสบการณ์ แต่แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขานั้นเหมือนกัน  ในบริบทของพระราชกิจในวันนี้นั้น ผู้คนยังคงทำสิ่งต่างๆ ในประเภทเดียวกับที่ถูกแสดงแทนด้วยคำว่า “พระวิหารยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า”  ตัวอย่างเช่น ผู้คนมองเห็นว่าการทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงคืองานของตน พวกเขามองเห็นว่าการเป็นพยานต่อพระเจ้าและการต่อสู้กับพญานาคใหญ่สีแดงคือการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อปกป้องสิทธิมนุษย์ เพื่อประชาธิปไตยและอิสรภาพ พวกเขาเปลี่ยนหน้าที่ของพวกเขาเป็นการใช้ทักษะของพวกเขาในอาชีพการงาน แต่พวกเขาปฏิบัติต่อการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วเสมือนไม่ใช่สิ่งใดนอกจากคำสอนอย่างหนึ่งทางศาสนาที่ควรทำตาม เป็นต้น  โดยพื้นฐานแล้วพฤติกรรมเหล่านี้ไม่เหมือนกับคำว่า “พระวิหารยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า” หรอกหรือ?  ความแตกต่างคือ เมื่อสองพันปีก่อน ผู้คนทำกิจธุระส่วนตัวของตนในพระวิหารทางกายภาพ แต่วันนี้ ผู้คนทำกิจธุระส่วนตัวของตนในพระวิหารที่ไม่อาจจับต้องได้  ผู้คนที่ให้คุณค่ากับกฎเหล่านั้นมองเห็นว่ากฎยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า ผู้คนที่รักสถานะเหล่านั้นมองเห็นว่าสถานะยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า ผู้คนที่รักอาชีพการงานของตนเหล่านั้นมองเห็นว่าอาชีพการงานยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า และอื่นๆ อีกมากมาย—การแสดงออกของพวกเขาทั้งหมดทำให้เรากล่าวว่า  “ผู้คนสรรเสริญพระเจ้าว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดโดยผ่านทางคำพูดของพวกเขา แต่ในสายตาของพวกเขา ทุกสิ่งยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า”  นี่เป็นเพราะว่าทันทีที่ผู้คนพบโอกาสที่จะแสดงพรสวรรค์ของตนเอง หรือทำกิจธุระของตนเองหรือประกอบอาชีพการงานของตนเองตามเส้นทางในการติดตามพระเจ้าของตน พวกเขาเว้นระยะห่างของตัวพวกเขาเองจากพระเจ้า และทุ่มเทตนเองในอาชีพการงานที่ตนรัก  ส่วนสิ่งที่พระเจ้าได้มอบความไว้วางพระทัยให้กับพวกเขาและน้ำพระทัยของพระองค์นั้น สิ่งเหล่านั้นได้ถูกละทิ้งไปนานแล้ว  สภาวะของผู้คนเหล่านี้กับบรรดาผู้ที่ทำกิจธุระของตนในพระวิหารเมื่อสองพันปีก่อนมีความแตกต่างกันอย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 67

ประโยคที่ว่า “บุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต” บอกผู้คนว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับพระเจ้าไม่ได้มีลักษณะทางวัตถุ และถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงสามารถจัดเตรียมเพื่อความต้องการทางวัตถุทั้งหมดของเจ้าได้ แต่ทันทีที่ความต้องการทางวัตถุทั้งหมดของเจ้าได้รับการตอบสนองแล้ว ความพึงพอใจจากสิ่งเหล่านี้จะสามารถแทนที่การไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้าได้หรือไม่?  นั่นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!  ทั้งพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นที่เราได้สามัคคีธรรมกันคือความจริง  คุณค่าของความจริงนี้ไม่สามารถวัดเทียบกับวัตถุที่เป็นสสารได้ ไม่ว่าจะมีค่าเพียงใดก็ตาม อีกทั้งคุณค่าของความจริงนี้ไม่สามารถระบุจำนวนเป็นตัวเงินได้ เพราะความจริงนี้ไม่ใช่วัตถุทางกายที่เป็นสสาร และความจริงนี้เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของหัวใจของทุกๆ คน  สำหรับทุกคนแล้ว คุณค่าของความจริงที่ไม่อาจจับต้องได้เหล่านี้ควรยิ่งใหญ่กว่าคุณค่าของสิ่งของที่เป็นสสารใดๆ ที่เจ้าอาจให้คุณค่า ไม่ใช่หรือ?  คำกล่าวนี้คือบางสิ่งบางอย่างที่พวกเจ้าต้องคำนึงถึง  ประเด็นสำคัญของสิ่งที่เราได้กล่าวไปคือสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และทุกสิ่งเกี่ยวกับพระเจ้าคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับทุกบุคคล และไม่สามารถแทนที่ได้ด้วยวัตถุที่เป็นสสารใดๆ  เราจะยกตัวอย่างให้เจ้าดู: เมื่อเจ้าหิว เจ้าจำเป็นต้องมีอาหาร  อาหารนี้สามารถเป็นอาหารที่ดีไม่มากก็น้อย หรือเป็นอาหารที่ไม่น่าพึงพอใจไม่มากก็น้อย แต่ตราบเท่าที่เจ้ากินอิ่ม ความรู้สึกหิวที่ไม่น่าพึงใจก็จะไม่มีอยู่อีกต่อไป—มันจะหายไป  เจ้าสามารถนั่งอย่างสงบ และร่างกายของเจ้าจะหยุดพัก  ความหิวของผู้คนสามารถแก้ได้ด้วยอาหาร แต่เมื่อเจ้ากำลังติดตามพระเจ้าและรู้สึกว่าเจ้าไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับพระองค์ เจ้าจะสามารถแก้ไขความว่างเปล่าในหัวใจของเจ้าได้อย่างไร?  ความว่างเปล่านี้สามารถแก้ได้ด้วยอาหารหรือไม่?  หรือเมื่อเจ้ากำลังติดตามพระเจ้าและไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ เจ้าสามารถนำสิ่งใดมาใช้ชดเชยความหิวนั้นในหัวใจของเจ้าได้?  ในกระบวนการของการได้รับประสบการณ์ความรอดของเจ้าโดยผ่านทางพระเจ้า ในขณะที่ไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า หากเจ้าไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ หรือไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร หากเจ้าไม่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่รู้สึกกระสับกระส่ายอย่างยิ่งหรือ?  เจ้าจะไม่รู้สึกถึงความหิวโหยและความกระหายอย่างรุนแรงในหัวใจของเจ้าหรือ?  ความรู้สึกเหล่านี้จะไม่ขัดขวางเจ้าไม่ให้รู้สึกสบายใจในหัวใจของเจ้าหรือ?  แล้วเจ้าจะสามารถชดเชยความหิวโหยในหัวใจของเจ้าได้อย่างไร—มีวิธีที่จะแก้ไขมันหรือไม่?  บางคนออกไปซื้อของ บางคนหาเพื่อนของตนเพื่อปรับทุกข์ บางคนปล่อยตัวปล่อยใจไปกับการนอนหลับเป็นเวลานาน คนอื่นๆ อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น หรือพวกเขาทำงานให้หนักขึ้น และใช้ความมานะพยายามมากขึ้นเพื่อทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง  สิ่งเหล่านี้สามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นจริงๆ ของเจ้าได้หรือ?  พวกเจ้าทุกคนเข้าใจการปฏิบัติประเภทเหล่านี้อย่างเต็มที่  เมื่อเจ้ารู้สึกไร้พลัง เมื่อเจ้ารู้สึกถึงความอยากที่จะได้รับความรู้แจ้งจากพระเจ้าเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้เจ้าสามารถรู้ความเป็นจริงของความจริงและน้ำพระทัยของพระองค์ เจ้าจำเป็นต้องมีสิ่งใดมากที่สุด?  สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องมีไม่ใช่อาหารเต็มจาน และไม่ใช่พระวจนะที่ใจดีไม่กี่คำ อย่าว่าแต่ความสุขสบายชั่วประเดี๋ยวและความพึงพอใจของเนื้อหนังเลย—สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องมีคือการที่พระเจ้าตรัสบอกเจ้าโดยตรงอย่างชัดเจนว่าเจ้าควรทำอะไรและเจ้าควรทำมันอย่างไร การที่พระเจ้าตรัสบอกเจ้าอย่างชัดเจนว่าความจริงคืออะไร  หลังจากที่เจ้าเข้าใจสิ่งนี้แล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าจะได้รับความเข้าใจเพียงเล็กน้อย เจ้าจะไม่รู้สึกพึงพอใจในหัวใจของเจ้ามากกว่าเมื่อเทียบกับการที่เจ้าได้กินอาหารดีๆ หรือ?  เมื่อหัวใจของเจ้าพึงพอใจแล้ว หัวใจของเจ้าและการเป็นอยู่ทั้งหมดของเจ้าจะไม่ได้รับการหยุดพักที่แท้จริงหรือ?  ตอนนี้ พวกเจ้าเข้าใจโดยผ่านทางการอุปมาและการวิเคราะห์นี้หรือไม่ว่าเหตุใดเราจึงต้องการแบ่งปันประโยคนี้กับพวกเจ้า “บุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต”?  ความหมายของประโยคนี้ก็คือว่า สิ่งที่มาจากพระเจ้า สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และทุกสิ่งเกี่ยวกับพระองค์นั้นยิ่งใหญ่กว่าสิ่งอื่นใด ซึ่งรวมถึงสิ่งของหรือบุคคลที่ครั้งหนึ่งเจ้าเชื่อว่าเจ้าทะนุถนอมความล้ำค่ามากที่สุดด้วย  นั่นจึงกล่าวได้ว่า หากบุคคลหนึ่งไม่สามารถได้รับพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าหรือหากพวกเขาไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์แล้ว พวกเขาจะไม่สามารถได้รับการหยุดพักได้  ในประสบการณ์ในอนาคตของพวกเจ้านั้น พวกเจ้าจะเข้าใจว่าเหตุใดเราจึงต้องการให้พวกเจ้าดูบทตอนนี้ในวันนี้—บทตอนนี้มีความสำคัญยิ่ง  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำคือความจริงและชีวิต  ความจริงคือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนไม่สามารถขาดได้ในชีวิตของพวกเขา และคือบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาไม่มีวันสามารถใช้ชีวิตโดยไม่มีมันได้ เจ้ายังสามารถกล่าวได้ว่าความจริงคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  ถึงแม้ว่าเจ้าไม่สามารถมองเห็นความจริงหรือสัมผัสความจริงได้ แต่ความสำคัญที่ความจริงมีต่อเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้ ความจริงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถนำการหยุดพักมาสู่หัวใจของเจ้าได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 68

ความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงของพวกเจ้าผสานรวมอยู่กับสภาวะต่างๆ ของเจ้าเองหรือไม่?  ในชีวิตจริง อันดับแรกเจ้าต้องคิดว่าความจริงใดที่เกี่ยวข้องกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่เจ้าได้พบ เจ้าจะสามารถพบน้ำพระทัยของพระเจ้าท่ามกลางความจริงเหล่านี้ และสามารถเชื่อมโยงสิ่งที่เจ้าได้พบเข้ากับน้ำพระทัยของพระองค์ได้  หากเจ้าไม่รู้ว่าแง่มุมใดของความจริงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ที่เจ้าได้พบ แต่ไปแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยตรงแทน การทำเช่นนี้คือวิธีเข้าหาที่หูหนวกตาบอดซึ่งไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใดๆ  หากเจ้าต้องการแสวงหาความจริงและเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า อันดับแรกเจ้าต้องดูว่าสิ่งต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้นกับเจ้าเป็นประเภทใด สิ่งเหล่านั้นมีความเกี่ยวข้องกับความจริงในแง่มุมใด และมองหาความจริงที่เฉพาะเจาะจงในพระวจนะของพระเจ้าที่สัมพันธ์กับสิ่งที่เจ้าได้รับประสบการณ์  จากนั้น เจ้าจึงมองหาเส้นทางการปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับเจ้าในความจริงนั้น  ด้วยวิธีนี้ เจ้าจะสามารถได้รับความเข้าใจโดยอ้อมเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  การค้นหาและการปฏิบัติตามความจริงไม่ใช่การประยุกต์ใช้คำสอนและการทำตามสูตรราวกับเป็นเครื่องจักร  ความจริงไม่มีสูตรตายตัว อีกทั้งไม่ได้เป็นกฎ  ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย—ความจริงคือชีวิตด้วยตัวของมันเอง ความจริงคือสิ่งที่มีชีวิต และความจริงคือกฎที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างต้องปฏิบัติตามในชีวิต และกฎที่มนุษย์ต้องมีในชีวิต  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าต้องเข้าใจโดยผ่านทางประสบการณ์ให้ได้มากเท่าที่เป็นไปได้  เจ้าไม่อาจแยกจากพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริงได้ไม่ว่าเจ้าได้มาถึงช่วงระยะใดในประสบการณ์ของเจ้าก็ตาม และสิ่งที่เจ้าเข้าใจเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่เจ้ารู้เกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นทั้งหมดต่างได้รับการแสดงออกในพระวจนะของพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับความจริงอย่างแยกจากกันไม่ได้  พระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นคือความจริงโดยตัวมันเอง ความจริงคือการสำแดงที่เป็นของแท้ถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  ความจริงทำให้สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนั้นเป็นรูปธรรม และความจริงกล่าวอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  ความจริงบอกเจ้าอย่างตรงไปตรงมามากยิ่งขึ้นว่าพระเจ้าโปรดสิ่งใด พระองค์ไม่โปรดสิ่งใด พระองค์ทรงต้องประสงค์ให้เจ้าทำสิ่งใด และพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้เจ้าทำสิ่งใด พระองค์ทรงรังเกียจชิงชังผู้คนใด และพระองค์ทรงปีติยินดีในผู้คนใด  เบื้องหลังความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงออกนั้น ผู้คนสามารถมองเห็นความหรรษายินดี ความกริ้ว ความโทมนัส และความสุขของพระองค์ เช่นเดียวกับแก่นแท้ของพระองค์—นี่คือการเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์  นอกจากการรู้สิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นและการเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์จากพระวจนะของพระองค์แล้ว สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดคือความจำเป็นที่จะต้องบรรลุความเข้าใจนี้โดยผ่านทางประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง หากบุคคลหนึ่งนำตัวเองออกจากชีวิตจริงเพื่อให้รู้จักพระเจ้า พวกเขาจะไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลในสิ่งนั้นได้  ถึงแม้ว่ามีผู้คนที่สามารถได้รับความเข้าใจบางอย่างจากพระวจนะของพระเจ้า แต่ความเข้าใจของพวกเขาก็จำกัดอยู่กับทฤษฎีและพระวจนะ และมีความต่างเกิดขึ้นกับเรื่องที่ว่าพระเจ้าพระองค์เองจริงๆ แล้วทรงเหมือนสิ่งใด

สิ่งที่เรากำลังสื่อสารถึงในตอนนี้ทั้งหมดอยู่ภายในขอบเขตของเรื่องราวทั้งหลายที่ได้รับการบันทึกในพระคัมภีร์  ผู้คนสามารถเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นที่พระองค์ได้ทรงแสดงออกโดยผ่านทางเรื่องราวเหล่านี้และโดยผ่านทางการวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ซึ่งจะทำให้พวกเขาสามารถรู้ทุกแง่มุมของพระเจ้าได้อย่างกว้างขวางขึ้น ลึกซึ้งขึ้น ครอบคลุมขึ้น และถ้วนทั่วขึ้น  แล้วการรู้จักทุกแง่มุมของพระเจ้ามีวิธีเดียวคือโดยผ่านทางเรื่องราวเหล่านี้หรือ?  ไม่ใช่ เรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่แค่วิธีเดียว!  เนื่องจากสิ่งที่พระเจ้าตรัสและพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำในยุคแห่งราชอาณาจักรสามารถช่วยผู้คนให้รู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์ได้ดียิ่งขึ้น และรู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์ได้อย่างเต็มที่ยิ่งขึ้น  อย่างไรก็ตาม เราคิดว่าจะเป็นการง่ายกว่าที่จะรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและเข้าใจสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นโดยผ่านทางตัวอย่างหรือเรื่องราวบางอย่างที่ได้รับการบันทึกในพระคัมภีร์ที่ผู้คนคุ้นเคย  หากเรานำพระวจนะแห่งการพิพากษาและการตีสอนและความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงออกในวันนี้มาทำให้เจ้ารู้จักพระองค์ด้วยวิธีนี้คำต่อคำ เจ้าจะรู้สึกว่ามันน่าเบื่อและไม่น่าสนใจจนเกินไป และบางคนยังอาจรู้สึกกระทั่งว่าพระวจนะของพระเจ้าดูเหมือนเป็นสูตรตายตัว  แต่หากเรานำเรื่องราวในพระคัมภีร์มาเป็นตัวอย่างเพื่อช่วยให้ผู้คนรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า พวกเขาจะไม่พบว่ามันน่าเบื่อ  เจ้าสามารถกล่าวได้ว่าในระหว่างการอธิบายตัวอย่างเหล่านี้ รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในพระทัยของพระเจ้า ณ ขณะนั้น—พระอารมณ์หรือความรู้สึกของพระองค์ หรือพระดำริและแนวความคิดของพระองค์—ได้มีการบอกต่อผู้คนในภาษาของมนุษย์ และเป้าหมายของทั้งหมดนี้คือการทำให้พวกเขาสามารถซึ้งคุณค่า สามารถรู้สึกว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นไม่ได้เป็นสูตรตายตัว  มันไม่ได้เป็นตำนานหรือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้  มันคือบางสิ่งบางอย่างที่ดำรงอยู่อย่างแท้จริง ที่ผู้คนสามารถรู้สึกและซึ้งคุณค่าได้  นี่คือเป้าหมายสูงสุด  เจ้าสามารถกล่าวได้ว่าผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุคนี้นั้นได้รับพร  พวกเขาสามารถใช้เรื่องราวต่างๆ เพื่อให้ได้รับความเข้าใจที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับพระราชกิจก่อนหน้าของพระเจ้า พวกเขาสามารถมองเห็นพระอุปนิสัยของพระองค์ผ่านพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงกระทำไปแล้ว พวกเขาสามารถเข้าใจน้ำพระทัยที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์ผ่านพระอุปนิสัยเหล่านี้ที่พระองค์ได้ทรงแสดงออก และเข้าใจการสำแดงอย่างเป็นรูปธรรมถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์ และการดูแลเอาใจใส่พวกมนุษย์ของพระองค์ และด้วยวิธีนี้ พวกเขาสามารถบรรลุไปถึงซึ่งความรู้ที่ละเอียดขึ้นและลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า  เราเชื่อว่าตอนนี้พวกเจ้าทุกคนสามารถรู้สึกถึงสิ่งนี้ได้!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 69

เจ้าสามารถมองเห็นอีกแง่มุมหนึ่งของสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นได้ในขอบเขตของพระราชกิจที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงดำเนินการเสร็จสมบูรณ์ในยุคพระคุณ  แง่มุมนี้ได้รับการแสดงออกโดยผ่านทางเนื้อหนังของพระองค์ และผู้คนสามารถมองเห็นและซึ้งคุณค่าในแง่มุมนี้เพราะสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์  ผู้คนมองเห็นในบุตรมนุษย์ว่าพระเจ้าในเนื้อหนังดำรงพระชนม์ชีพตามสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์อย่างไร และพวกเขามองเห็นเทวสภาพของพระองค์ซึ่งแสดงออกโดยผ่านทางเนื้อหนังนั้น  การแสดงออกสองประเภทนี้ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นพระเจ้าจริงๆ และทำให้ผู้คนสามารถสร้างมโนคติที่แตกต่างเกี่ยวกับพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม ในระหว่างช่วงเวลาระหว่างการทรงสร้างโลกและการสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ นั่นคือ ก่อนยุคพระคุณ แง่มุมเดียวเกี่ยวกับพระเจ้าที่ผู้คนมองเห็น ได้ยิน และได้รับประสบการณ์นั้นมีเพียงเทวสภาพของพระเจ้า สิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงทำและตรัสในอาณาจักรที่ไม่ใช่ทางวัตถุ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงแสดงออกจากตัวตนจริงของพระองค์ที่ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้  สิ่งเหล่านี้มักทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพระเจ้าทรงสูงส่งในความยิ่งใหญ่ของพระองค์จนพวกเขาไม่อาจเข้าใกล้พระองค์ได้  โดยปกติแล้ว ความประทับใจที่พระเจ้าทรงทำให้เกิดกับผู้คนคือ การที่พระเจ้าทรงปรากฏวาบเข้ามาแล้วก็ออกไปจากความสามารถในการล่วงรู้ของพวกเขา และผู้คนรู้สึกกระทั่งว่าทุกๆ พระดำริและแนวความคิดของพระองค์ช่างลึกลับและยากจะอธิบายจนไม่มีวิธีที่จะเอื้อมถึงสิ่งเหล่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับการพยายามที่จะเข้าใจและซึ้งคุณค่าสิ่งเหล่านั้น  สำหรับผู้คนแล้ว ทุกสิ่งเกี่ยวกับพระเจ้าช่างไกลห่างอย่างยิ่ง ช่างไกลห่างจนผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้ ไม่สามารถสัมผัสได้  ดูเหมือนว่าพระองค์ประทับอยู่สูงขึ้นไปบนฟ้า และดูเหมือนว่าไม่ทรงดำรงอยู่เลย  ดังนั้นสำหรับผู้คนแล้ว การเข้าใจพระทัยและจิตใจของพระเจ้า หรือพระดำริใดๆ ของพระองค์จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจสัมฤทธิ์ผลได้ และอาจถึงขั้นอยู่ไกลเกินที่พวกเขาจะเอื้อมถึง  ถึงแม้ว่าพระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจที่เป็นรูปธรรมอยู่บ้างในยุคธรรมบัญญัติ และพระองค์ยังได้ทรงออกพระวจนะที่เฉพาะเจาะจงอยู่บ้างและได้ทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยที่เฉพาะเจาะจงอยู่บ้างเพื่อให้ผู้คนสามารถซึ้งคุณค่าและล่วงรู้ถึงความรู้อันแท้จริงเกี่ยวกับพระองค์ แต่ในท้ายที่สุด การแสดงออกถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นเหล่านี้มาจากอาณาจักรที่ไม่ใช่ทางวัตถุ และสิ่งที่ผู้คนเข้าใจ สิ่งที่ผู้คนรู้ยังคงเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นในแง่มุมที่เป็นเทวสภาพ  มวลมนุษย์ไม่สามารถได้รับมโนคติที่เป็นรูปธรรมจากการแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนี้ และความประทับใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้ายังคงติดอยู่ภายในขอบเขตของ “กายฝ่ายวิญญาณที่ยากจะเข้าใกล้ ที่ปรากฏวาบเข้ามาแล้วก็ออกไปจากการล่วงรู้” เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงใช้วัตถุที่เฉพาะเจาะจงหรือพระฉายาที่เป็นของอาณาจักรทางวัตถุในการทรงปรากฏต่อหน้าผู้คน พวกเขาจึงยังคงไม่สามารถที่จะนิยามพระองค์โดยใช้ภาษาของมนุษย์ได้  ในหัวใจและจิตใจของผู้คนนั้น พวกเขามักต้องการที่จะใช้ภาษาของพวกเขาเองในการกำหนดมาตรฐานของพระเจ้า ที่จะทำให้พระองค์ทรงเป็นที่จับต้องได้ และที่จะทำให้พระองค์ทรงเป็นมนุษย์เสมอ เช่น พระองค์ทรงสูงเท่าใด พระองค์ทรงมีพระกายใหญ่เพียงใด พระองค์ทรงดูเป็นอย่างไร พระองค์ทรงชอบสิ่งใด และบุคลิกของพระองค์เป็นอย่างไรกันแน่  อันที่จริง ในพระทัยของพระองค์ พระเจ้าทรงรู้ว่าผู้คนกำลังคิดในลักษณะนี้  พระองค์เข้าพระทัยอย่างชัดเจนยิ่งเกี่ยวกับความต้องการของผู้คน และแน่นอนว่าพระองค์ทรงรู้เช่นกันว่าพระองค์ควรทรงทำสิ่งใด ดังนั้น พระองค์จึงทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในวิธีที่แตกต่างออกไปในยุคพระคุณ  วิธีใหม่นี้เป็นทั้งเทวสภาพและเป็นมนุษย์  ในช่วงเวลาที่องค์พระเยซูเจ้ากำลังทรงพระราชกิจอยู่นั้น ผู้คนสามารถมองเห็นว่าพระเจ้าทรงมีการแสดงออกแบบมนุษย์มากมาย  ตัวอย่างเช่น พระองค์ทรงสามารถเต้นรำ พระองค์ทรงสามารถเข้าร่วมงานแต่งงาน พระองค์ทรงสามารถประชาคมกับผู้คน ตรัสกับพวกเขา และหารือสิ่งต่างๆ กับพวกเขา  นอกเหนือจากนั้น องค์พระเยซูเจ้ายังได้ทรงทำให้พระราชกิจมากมายที่เป็นสิ่งแทนเทวสภาพของพระองค์ครบบริบูรณ์ด้วย และแน่นอนว่าทั้งหมดของพระราชกิจนี้เป็นการแสดงออกและการเปิดเผยถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ในช่วงระหว่างเวลานี้ เมื่อเทวสภาพของพระเจ้าได้รับการทำให้เป็นจริงขึ้นในเนื้อหนังธรรมดาในแบบที่ผู้คนสามารถมองเห็นและสัมผัสได้ พวกเขาก็ไม่รู้สึกอีกต่อไปว่าพระองค์ทรงปรากฏวาบเข้ามาแล้วก็ออกไปจากการล่วงรู้ หรือว่าพวกเขาไม่สามารถเข้าใกล้พระองค์ได้  ในทางตรงกันข้าม พวกเขาสามารถพยายามจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือทำความเข้าใจกับเทวสภาพของพระองค์โดยผ่านทางทุกการเคลื่อนไหว โดยผ่านทางพระวจนะ และโดยผ่านทางพระราชกิจของบุตรมนุษย์  บุตรมนุษย์ที่พระเจ้าทรงจุติมาทรงแสดงถึงเทวสภาพของพระเจ้าโดยผ่านทางสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ และสื่อสารน้ำพระทัยของพระเจ้าต่อมวลมนุษย์  และพระองค์ยังทรงเผยให้ผู้คนเห็นพระเจ้าที่ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้ที่ประทับอยู่ในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณโดยผ่านทางการแสดงออกของพระองค์ถึงน้ำพระทัยและพระอุปนิสัยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  สิ่งที่ผู้คนมองเห็นคือพระเจ้าพระองค์เองในรูปแบบที่จับต้องได้และมาจากเลือดเนื้อ  ดังนั้น บุตรมนุษย์ที่พระเจ้าทรงจุติมาทรงทำให้สิ่งต่างๆ ได้เป็นรูปธรรมและเป็นมนุษย์ขึ้น เช่น พระอัตลักษณ์ของพระเจ้าพระองค์เอง สถานะของพระเจ้า พระฉายา พระอุปนิสัย และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  ถึงแม้ว่าการทรงปรากฏภายนอกของบุตรมนุษย์จะมีขีดจำกัดบางอย่างเกี่ยวกับพระฉายาของพระเจ้า แต่แก่นแท้ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นทั้งหมดสามารถเป็นสิ่งแทนพระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าพระองค์เองได้—มีความแตกต่างอยู่บ้างในรูปของการแสดงออกเท่านั้น  พวกเราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าบุตรมนุษย์ได้ทรงเป็นตัวแทนพระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าพระองค์เองทั้งในรูปของสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์และเทวสภาพของพระองค์  อย่างไรก็ตาม ในช่วงระหว่างเวลานี้ พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจโดยผ่านทางเนื้อหนัง ตรัสจากมุมมองของเนื้อหนัง และทรงยืนต่อหน้ามวลมนุษย์ด้วยพระอัตลักษณ์และสถานะของบุตรมนุษย์ และนี่ทำให้ผู้คนมีโอกาสได้ประสบและรับประสบการณ์กับพระวจนะและพระราชกิจที่แท้จริงของพระเจ้าท่ามกลางมวลมนุษย์  นอกจากนี้ยังให้ผู้คนมีความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับเทวสภาพของพระองค์และความยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่ามกลางความถ่อมพระทัย อีกทั้งได้รับความเข้าใจและการจำกัดความในเบื้องต้นเกี่ยวกับความเป็นของแท้และความเป็นจริงของพระเจ้า  ถึงแม้ว่าพระราชกิจที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำให้ครบบริบูรณ์ วิธีการทรงพระราชกิจของพระองค์ และมุมมองที่พระองค์ตรัสจะแตกต่างจากตัวตนจริงของพระเจ้าในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ แต่ทุกสิ่งเกี่ยวกับพระองค์ก็ได้เป็นสิ่งแทนพระเจ้าพระองค์เองอย่างแท้จริง ผู้ซึ่งมวลมนุษย์ไม่เคยเห็นมาก่อน—นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้!  นั่นจึงกล่าวได้ว่าไม่ว่าพระเจ้าทรงปรากฏในรูปร่างใดก็ตาม ไม่ว่าพระองค์ตรัสจากมุมมองใดก็ตาม หรือไม่ว่าพระองค์ทรงเผชิญกับมวลมนุษย์ในพระฉายาใดก็ตาม พระเจ้าไม่ทรงเป็นตัวแทนสิ่งใดเว้นแต่พระองค์เองเท่านั้น  พระองค์ไม่สามารถเป็นตัวแทนมนุษย์คนหนึ่งคนใด หรือมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามคนใด  พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง และนี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 70

อุปมาเรื่องแกะหลง

มัทธิว 18:12-14  พวกท่านคิดอย่างไร?  ถ้าชายคนหนึ่งมีแกะอยู่ร้อยตัว และตัวหนึ่งหลงไปจากฝูง คนนั้นจะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้บนภูเขา แล้วไปเที่ยวหาตัวที่หลงไปนั้นหรือ?  เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าคนนั้นพบมัน เขาจะมีความเปรมปรีดิ์มากยิ่งกว่าที่มีแกะเก้าสิบเก้าตัวที่ไม่ได้หลงไปนั้น พระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็ทรงเป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย

บทตอนนี้เป็นนิทานอุปมา—บทตอนนี้ให้ความรู้สึกประเภทใดแก่ผู้คน?  วิธีการแสดงออก—นิทานอุปมา—ที่ใช้ในที่นี้คือการอุปมาอุปมัยในภาษาของมนุษย์ และดังนั้นจึงอยู่ภายในขอบเขตความรู้ของมนุษย์  หากพระเจ้าตรัสบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกันนี้ในยุคธรรมบัญญัติ ผู้คนจะรู้สึกว่าพระวจนะนั้นไม่ได้สอดคล้องกับผู้ที่พระเจ้าทรงเป็นอย่างแท้จริง แต่เมื่อบุตรมนุษย์ทรงส่งพระวจนะเหล่านี้ในยุคพระคุณ มันรู้สึกสบายใจ อบอุ่น และสนิทสนมกับผู้คน  เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อพระองค์ทรงปรากฏในรูปของมนุษย์ พระองค์ทรงใช้นิทานอุปมาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง  ที่มาจากสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์เอง เพื่อแสดงออกถึงพระสุรเสียงจากพระทัยของพระองค์  พระสุรเสียงนี้เป็นสิ่งแทนพระสุรเสียงของพระเจ้าเองและพระราชกิจที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะทำในยุคนั้น  และยังเป็นสิ่งแทนท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนในยุคพระคุณด้วย  พระองค์ทรงเปรียบเทียบแต่ละบุคคลเป็นแกะ โดยทอดพระเนตรจากมุมมองของท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน  หากแกะตัวหนึ่งหายไป พระองค์จะทรงทำไม่ว่าอะไรก็ตามที่จำเป็นเพื่อค้นหามัน  นี่เป็นสิ่งแทนหลักการของพระราชกิจของพระเจ้า ณ ขณะนั้นท่ามกลางมวลมนุษย์เมื่อพระองค์ประทับอยู่ในเนื้อหนัง  พระเจ้าทรงใช้นิทานอุปมานี้เพื่ออธิบายการตัดสินพระทัยแน่วแน่และท่าทีของพระองค์ในพระราชกิจนั้น  นี่คือความได้เปรียบของการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์: พระองค์ทรงใช้ความได้เปรียบของความรู้ของมวลมนุษย์และใช้ภาษาของมนุษย์เพื่อพูดคุยกับผู้คนและแสดงออกถึงน้ำพระทัยของพระองค์  พระองค์ทรงอธิบายหรือ “แปล” ภาษาแบบพระเจ้าที่ลุ่มลึกของพระองค์ซึ่งผู้คนดิ้นรนที่จะทำความเข้าใจในภาษามนุษย์ให้กับมนุษย์ในวิธีของมนุษย์  สิ่งนี้ช่วยให้ผู้คนเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์และรู้สิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะทำ  พระองค์ยังทรงสามารถมีการสนทนากับผู้คนจากมุมมองของมนุษย์โดยใช้ภาษาของมนุษย์ และทรงสื่อสารกับผู้คนในวิธีที่พวกเขาเข้าใจได้  พระองค์ยังถึงขั้นสามารถตรัสและทรงพระราชกิจโดยใช้ภาษาและความรู้ของมนุษย์เพื่อให้ผู้คนสามารถรู้สึกถึงความใจดีและความใกล้ชิดของพระเจ้า เพื่อให้พวกเขาสามารถมองเห็นพระทัยของพระองค์ได้  พวกเจ้ามองเห็นอะไรในการนี้?  มีข้อห้ามใดๆ ในพระวจนะและการกระทำของพระเจ้าหรือไม่?  ในความคิดของผู้คนแล้ว ไม่มีวิธีใดที่พระเจ้าจะทรงสามารถใช้ความรู้ ภาษา หรือวิธีการพูดของมนุษย์เพื่อทรงปราศรัยเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าพระองค์เองทรงต้องประสงค์ที่จะตรัส พระราชกิจที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะทำ หรือเพื่อแสดงออกถึงน้ำพระทัยของพระองค์เอง  แต่นี่คือการคิดที่ผิดพลาด  พระเจ้าทรงใช้นิทานอุปมาประเภทนี้เพื่อให้ผู้คนสามารถรู้สึกได้ถึงความเป็นจริงและความจริงใจของพระเจ้า และมองเห็นท่าทีของพระองค์ต่อผู้คนในระหว่างช่วงเวลานั้น  นิทานอุปมานี้ปลุกผู้คนที่ได้ใช้ชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติมาเป็นเวลานานให้ตื่นขึ้นจากฝัน และยังสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนที่ใช้ชีวิตในยุคพระคุณรุ่นแล้วรุ่นเล่า  ด้วยการอ่านบทตอนของนิทานอุปมานี้ ผู้คนรู้จักความจริงใจในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า และเข้าใจน้ำหนักและความสำคัญที่มีให้กับมวลมนุษย์ในพระทัยของพระเจ้า

เรามาดูที่ประโยคสุดท้ายในบทตอนนี้กัน: “พระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็ทรงเป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย”  นี่คือพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าเอง หรือพระวจนะของพระบิดาในสวรรค์?  จากภายนอกแล้ว ดูเหมือนว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้ตรัส แต่น้ำพระทัยของพระองค์เป็นตัวแทนน้ำพระทัยของพระเจ้าพระองค์เอง จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพระองค์จึงตรัสว่า: “พระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็ทรงเป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย” ผู้คน ณ ขณะนั้นยอมรับพระบิดาในสวรรค์เป็นพระเจ้าเท่านั้น และเชื่อว่าบุคคลผู้ที่พวกเขามองเห็นต่อหน้าต่อตาของเขานี้เป็นเพียงผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา และไม่สามารถเป็นตัวแทนพระบิดาในสวรรค์ได้  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมองค์พระเยซูเจ้าจึงได้ทรงเพิ่มประโยคนี้ลงในตอนท้ายของนิทานอุปมานี้ เพื่อให้ผู้คนสามารถรู้สึกถึงน้ำพระทัยที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์จริงๆ และรู้สึกถึงความเป็นของแท้และความถูกต้องแม่นยำในสิ่งที่พระองค์ตรัส  ถึงแม้ว่าประโยคนี้จะเป็นสิ่งที่พูดง่าย แต่พระองค์ก็ตรัสด้วยความใส่พระทัยและความรัก และเผยให้เห็นถึงความถ่อมพระทัยและความซ่อนเร้นขององค์พระเยซูเจ้า  ไม่ว่าพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์หรือไม่ หรือไม่ว่าพระองค์ทรงพระราชกิจในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณหรือไม่ พระองค์ก็ทรงรู้จักหัวใจของมนุษย์ดีที่สุด และทรงเข้าใจสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องมีดีที่สุด ทรงรู้สิ่งที่ผู้คนกังวลและสิ่งที่ทำให้พวกเขาสับสน และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพระองค์จึงทรงเพิ่มประโยคนี้ลงไป  ประโยคนี้เน้นให้เห็นถึงปัญหาที่ซ่อนเร้นอยู่ในมวลมนุษย์: ผู้คนกังขาในสิ่งที่บุตรมนุษย์ตรัส กล่าวคือ เมื่อองค์พระเยซูเจ้ากำลังตรัส พระองค์ต้องตรัสเพิ่มว่า: “พระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็ทรงเป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย” และพระวจนะของพระองค์เกิดผลได้ด้วยข้อสนับสนุนนี้เท่านั้น เพื่อทำให้ผู้คนเชื่อในความถูกต้องแม่นยำของพระวจนะของพระองค์ และเพิ่มความน่าเชื่อถือของพระวจนะของพระองค์  สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นบุตรมนุษย์ปกติธรรมดา พระเจ้าและมวลมนุษย์ก็มีสัมพันธภาพที่น่าอึดอัดอย่างมาก และสถานการณ์ของบุตรมนุษย์ก็น่าอับอายอย่างมาก  นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าสถานะขององค์พระเยซูเจ้าท่ามกลางมนุษย์มีนัยสำคัญเพียงใดในขณะนั้น  เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้ ที่จริงแล้วเป็นการตรัสเพื่อบอกผู้คนว่า: พวกเจ้าสามารถวางใจได้—พระวจนะเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งแทนสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเราเอง แต่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าผู้สถิตอยู่ในหัวใจของพวกเจ้า  สำหรับมวลมนุษย์ นี่ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าขันหรือ?  ถึงแม้ว่าพระเจ้าผู้ทรงพระราชกิจในเนื้อหนังจะมีข้อได้เปรียบมากมายที่พระองค์ไม่ทรงมีในตัวตนของพระองค์ แต่พระองค์ก็ทรงทานทนต่อความสงสัยและการปฏิเสธของพวกเขา  ตลอดจนความด้านชาและความไร้ความรู้สึกของพวกเขา  สามารถกล่าวได้ว่ากระบวนการของพระราชกิจของบุตรมนุษย์คือกระบวนการในการได้รับประสบการณ์กับการปฏิเสธของมวลมนุษย์ และการได้รับประสบการณ์กับการที่พวกเขาแข่งขันกับพระองค์  ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นกระบวนการในการทำงานเพื่อให้ได้รับความไว้ใจของมวลมนุษย์อย่างต่อเนื่อง และเพื่อพิชิตมวลมนุษย์โดยผ่านทางสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น โดยผ่านทางแก่นแท้ของพระองค์เอง  นั่นไม่เชิงว่าพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์จะทรงทำสงครามบนพื้นดินกับซาตาน แต่เป็นการที่พระเจ้าทรงกลายเป็นมนุษย์ธรรมดา และเริ่มการต่อสู้ดิ้นรนกับผู้ที่ติดตามพระองค์มากกว่า และในการต่อสู้ดิ้นรนนี้ บุตรมนุษย์ทรงได้ทำพระราชกิจของพระองค์ให้ครบบริบูรณ์ด้วยความถ่อมพระทัยของพระองค์ ด้วยสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และด้วยความรักและพระปรีชาญาณของพระองค์  พระองค์ทรงได้รับผู้คนที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ ได้รับพระอัตลักษณ์และสถานะที่พระองค์สมควรจะได้รับ และ “เสด็จกลับ” สู่บัลลังก์ของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 71

ยกโทษเจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด

มัทธิว 18:21-22  ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ควรยกโทษให้พี่น้องที่ทำผิดต่อข้าพระองค์สักกี่ครั้ง?  ถึงเจ็ดครั้งเชียวหรือ?”  พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าเจ็ดครั้งแต่เจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด”

ความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้า

มัทธิว 22:37-39  พระเยซูทรงตอบเขาว่า “‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน’ และด้วยสุดความคิดของท่าน นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’”

ในสองบทตอนนี้ บทหนึ่งพูดถึงการให้อภัยและอีกบทหนึ่งพูดถึงความรัก  สองหัวข้อนี้เน้นถึงพระราชกิจที่องค์พระเยซูเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะดำเนินการในยุคพระคุณ

เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงนำพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งมาพร้อมกับพระองค์ด้วย ซึ่งคือพระราชกิจเฉพาะและพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะแสดงออกในยุคนี้  ในช่วงเวลานั้น ทุกสิ่งที่บุตรมนุษย์ทรงทำนั้นวนเวียนอยู่กับพระราชกิจที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะปฏิบัติในยุคนั้น  พระองค์ไม่ทรงทำมากกว่านั้นและไม่ทรงทำน้อยกว่านั้น  ทุกๆ สิ่งที่พระองค์ตรัสและพระราชกิจทุกประเภทที่พระองค์ทรงดำเนินการล้วนเกี่ยวข้องกับยุคนี้  ไม่ว่าพระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งนี้ในวิธีของมนุษย์ด้วยภาษาของมนุษย์หรือโดยผ่านทางภาษาของพระเจ้า และไม่ว่าพระองค์จะทรงปฏิบัติเช่นนั้นในวิธีใดหรือจากมุมมองใดก็ตาม เป้าหมายของพระองค์คือการช่วยผู้คนให้เข้าใจว่าพระองค์ทรงต้องประสงค์จะทำอะไร น้ำพระทัยของพระองค์คืออะไร และข้อพึงประสงค์ของพระองค์จากผู้คนคืออะไร  พระองค์อาจจะทรงใช้วิถีทางที่หลากหลายและมุมมองที่แตกต่างเพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจและรู้น้ำพระทัยของพระองค์ และเพื่อทำความเข้าใจพระราชกิจของพระองค์ในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  ดังนั้น ในยุคพระคุณ เราจึงมองเห็นว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงใช้ภาษาของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่เพื่อแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะสื่อสารกับมวลมนุษย์  ยิ่งไปกว่านั้น เรามองเห็นพระองค์จากมุมมองของผู้ชี้ทางธรรมดาที่พูดคุยกับผู้คน ที่จัดเตรียมเพื่อความต้องการของพวกเขา และที่ช่วยพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาได้ร้องขอ  ในยุคธรรมบัญญัติที่มาก่อนยุคพระคุณนั้นไม่เห็นว่ามีการทรงพระราชกิจในวิธีนี้  พระองค์ทรงกลับกลายเป็นสนิทสนมมากขึ้นและสงสารเห็นใจมากขึ้นกับมวลมนุษย์ อีกทั้งทรงสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากยิ่งขึ้นทั้งในรูปแบบและลักษณะ  การอุปมาเกี่ยวกับการให้อภัยผู้คนเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้งทำให้ประเด็นนี้ชัดเจนอย่างยิ่ง  จุดประสงค์ที่ตัวเลขในการอุปมานี้ทำให้สัมฤทธิ์ผลคือการทำให้ผู้คนสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ขององค์พระเยซูเจ้า ณ เวลาที่พระองค์ตรัสสิ่งนี้  เจตนารมณ์ของพระองค์ก็คือว่าผู้คนควรให้อภัยผู้อื่น—ไม่ใช่หนึ่งครั้งหรือสองครั้ง และไม่แม้กระทั่งเจ็ดครั้ง แต่เป็นเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง  ภายในแนวคิดของคำว่า “เจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง” มีแนวคิดแบบใดอยู่?  แนวคิดนี้คือการทำให้ผู้คนทำให้การให้อภัยเป็นความรับผิดชอบของพวกเขาเอง เป็นบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาต้องเรียนรู้ และเป็น “วิธี” ที่พวกเขาต้องปฏิบัติตาม  ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเพียงแค่การอุปมา แต่การอุปมานี้ก็ทำหน้าที่เน้นถึงประเด็นที่สำคัญยิ่ง  การอุปมานี้ช่วยให้ผู้คนซึ้งคุณค่าอย่างลึกซึ้งในสิ่งที่พระองค์ทรงหมายถึง และพบวิธีที่ถูกต้องเหมาะสมในการปฏิบัติ และหลักการและมาตรฐานของการปฏิบัติ  การอุปมานี้ช่วยผู้คนให้เข้าใจอย่างชัดเจน และให้พวกเขาได้มีมโนคติที่ถูกต้อง—ว่าพวกเขาควรเรียนรู้การให้อภัยและให้อภัยไม่ว่าจะกี่ครั้งโดยไม่มีเงื่อนไข แต่โดยมีท่าทีของการทนยอมรับและความเข้าใจผู้อื่น  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนี้ มีสิ่งใดอยู่ในพระทัยของพระองค์?  พระองค์มีพระดำริถึงจำนวน “เจ็ดสิบคูณเจ็ด” จริงๆ หรือ?  ไม่ใช่ พระองค์ไม่มีพระดำริเช่นนั้น  มีจำนวนครั้งที่พระเจ้าจะทรงให้อภัยมนุษย์หรือไม่?  มีผู้คนมากมายที่มีความสนใจเป็นอย่างยิ่งใน “จำนวนครั้ง” ที่กล่าวถึงในที่นี้ ผู้ที่ต้องการจะเข้าใจจุดกำเนิดและความหมายของตัวเลขนี้จริงๆ  พวกเขาต้องการเข้าใจว่าเหตุใดจำนวนนี้จึงออกมาจากพระโอษฐ์ขององค์พระเยซูเจ้า พวกเขาเชื่อว่าตัวเลขนี้มีความหมายโดยนัยที่ลึกซึ้งลงไปอีก  แต่อันที่จริงแล้ว นี่เป็นเพียงการอุปมาอุปมัยของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้  ความหมายโดยนัยหรือความหมายใดๆ นั้นต้องทำความเข้าใจพร้อมกับข้อพึงพระสงค์ที่องค์พระเยซูเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์  เมื่อพระเจ้ายังไม่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ผู้คนไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสมากนัก เพราะพระวจนะของพระองค์มาจากเทวสภาพอย่างสมบูรณ์  มุมมองและบริบทของสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นไม่ปรากฏแก่ตาและไม่อาจเอื้อมถึงสำหรับมวลมนุษย์ สิ่งนี้ได้รับการแสดงออกจากอาณาจักรฝ่ายวิญญาณที่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้  สำหรับผู้คนที่ใช้ชีวิตในเนื้อหนัง พวกเขาไม่สามารถก้าวผ่านอาณาจักรฝ่ายวิญญาณได้  แต่หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ตรัสต่อมวลมนุษย์จากมุมมองของสภาวะความเป็นมนุษย์ และพระองค์เสด็จออกจากและผ่านขอบเขตของอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ  พระองค์สามารถแสดงออกถึงพระอุปนิสัย น้ำพระทัย และท่าทีที่แบบพระเจ้าของพระองค์โดยผ่านทางสิ่งต่างๆ ที่พวกมนุษย์สามารถจินตนาการได้ สิ่งต่างๆ ที่พวกเขามองเห็นและประสบพบเจอในชีวิตของพวกเขา และโดยใช้วิธีการที่พวกมนุษย์สามารถยอมรับได้ ในภาษาที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้ และด้วยความรู้ที่พวกเขาสามารถจับความเข้าใจได้ เพื่อให้มวลมนุษย์สามารถเข้าใจและรู้จักพระเจ้า เพื่อจับใจความเจตนารมณ์ของพระองค์และมาตรฐานที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ภายในขอบเขตของขีดความสามารถของพวกเขา และจนถึงระดับที่พวกเขาสามารถทำได้  นี่คือวิธีการและหลักการของพระราชกิจของพระเจ้าในสภาวะความเป็นมนุษย์  ถึงแม้ว่าโดยส่วนใหญ่แล้วหนทางของพระเจ้าและหลักการของพระองค์ในการทรงพระราชกิจในเนื้อหนังสัมฤทธิ์ผลด้วยการใช้หรือโดยผ่านทางสภาวะความเป็นมนุษย์ แต่ก็สัมฤทธิ์ผลอย่างแท้จริงในผลลัพธ์ที่ไม่อาจสัมฤทธิ์ผลได้โดยการทรงพระราชกิจในเทวสภาพโดยตรง  พระราชกิจของพระเจ้าในสภาวะความเป็นมนุษย์นั้นเป็นรูปธรรม เป็นของแท้ และมุ่งเป้าหมายมากกว่า วิธีการต่างๆ มีความยืดหยุ่นมากกว่ามาก และในรูปร่างนั้นเกินหน้าจากพระราชกิจที่ทรงดำเนินการในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติ

อันดับต่อไป พวกเรามาพูดถึงการรักองค์พระผู้เป็นเจ้าและการรักเพื่อนบ้านของเจ้าเหมือนรักตัวเจ้าเองกันเถิด  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่มีการแสดงออกโดยตรงในเทวสภาพหรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าไม่!  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่บุตรมนุษย์ได้ตรัสถึงในสภาวะความเป็นมนุษย์ มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่จะพูดบางสิ่งบางอย่างเช่น “จงรักเพื่อนบ้านของเจ้าเหมือนรักตัวเจ้าเอง” และ “จงรักผู้อื่นเหมือนกับที่เจ้าทะนุถนอมชีวิตของเจ้าเอง”  การพูดลักษณะเช่นนี้เป็นของมนุษย์แต่เพียงเท่านั้น  พระเจ้าไม่เคยตรัสในลักษณะเช่นนี้  อย่างน้อยที่สุด พระเจ้าไม่ทรงมีภาษาประเภทนี้ในเทวสภาพของพระองค์ เพราะพระองค์ไม่ทรงมีความจำเป็นต้องมีหลักความเชื่อประเภทนี้ที่ว่า “จงรักเพื่อนบ้านของเจ้าเหมือนรักตัวเจ้าเอง” เพื่อวางระเบียบความรักที่พระองค์ทรงมีให้กับมวลมนุษย์ เพราะความรักที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์นั้นเป็นการเปิดเผยตามธรรมชาติถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  พวกเจ้าเคยได้ยินพระเจ้าตรัสอะไรเช่นว่า  “เรารักมวลมนุษย์เหมือนที่เรารักตัวเราเอง” เมื่อใดกัน?  พวกเจ้าไม่เคยได้ยิน เพราะความรักอยู่ในแก่นแท้ของพระเจ้าและในสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  ความรักที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์ และท่าทีของพระองค์ และวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนคือการแสดงออกและการเปิดเผยตามธรรมชาติถึงพระอุปนิสัยของพระองค์  พระองค์ไม่จำเป็นต้องจงพระทัยทำสิ่งนี้ในลักษณะเฉพาะใดๆ หรือจงพระทัยทำตามวิธีการเฉพาะใดๆ หรือหลักศีลธรรมเพื่อสัมฤทธิ์ผลในการรักเพื่อนบ้านของพระองค์เหมือนรักพระองค์เอง—พระองค์ได้ทรงครอบครองแก่นแท้ประเภทนี้อยู่แล้ว  เจ้ามองเห็นอะไรในสิ่งนี้?  เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจในสภาวะความเป็นมนุษย์ วิธีการ พระวจนะ และความจริงมากมายของพระองค์ได้รับการแสดงออกด้วยวิธีของมนุษย์  แต่ในขณะเดียวกัน พระอุปนิสัยของพระเจ้า สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และน้ำพระทัยของพระองค์ได้รับการแสดงออกเพื่อให้ผู้คนรู้จักและทำความเข้าใจ  สิ่งที่พวกเขาได้มารู้จักและเข้าใจคือแก่นแท้ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งแทนพระอัตลักษณ์และสถานะโดยธรรมชาติของพระเจ้าพระองค์เอง  นั่นจึงกล่าวได้ว่า บุตรมนุษย์ในเนื้อหนังแสดงออกถึงพระอุปนิสัยและแก่นแท้โดยธรรมชาติของพระเจ้าพระองค์เองจนถึงขอบเขตสูงสุดที่เป็นไปได้ และอย่างถูกต้องแม่นยำที่สุดเท่าที่เป็นไปได้  ไม่เพียงสภาวะความเป็นมนุษย์ของบุตรมนุษย์จะไม่เป็นเครื่องกีดขวางหรืออุปสรรคต่อการสื่อสารและการโต้ตอบกับพระเจ้าในสวรรค์ของมนุษย์เท่านั้น แต่อันที่จริงแล้วยังเป็นช่องทางเดียวและสะพานเชื่อมเดียวที่มวลมนุษย์สามารถเชื่อมต่อกับองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างได้  บัดนี้ ในจุดนี้พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่ามีความคล้ายคลึงกันมากมายระหว่างธรรมชาติและวิธีการของพระราชกิจที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปฏิบัติในยุคพระคุณกับพระราชกิจช่วงระยะปัจจุบัน?  พระราชกิจในช่วงระยะปัจจุบันนี้ก็ใช้ภาษาของมนุษย์มากมายเพื่อแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และภาษาและวิธีมากมายจากชีวิตประจำวันของมวลมนุษย์และความรู้ของมนุษย์ในการแสดงออกถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าพระองค์เองเช่นเดียวกัน  เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ว่าพระองค์ตรัสจากมุมมองของมนุษย์หรือมุมมองของพระเจ้า ภาษาและวิธีการแสดงออกมากมายของพระองค์ออกมาโดยผ่านทางสื่อกลางคือภาษาและวิธีการของมนุษย์  นั่นคือ เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เจ้าจะมองเห็นฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระเจ้าและพระปรีชาญาณของพระองค์ และรู้จักแง่มุมจริงๆ ของพระเจ้าทุกแง่มุม  เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ขณะที่พระองค์ทรงเจริญเติบโตขึ้น พระองค์ได้ทรงมาเข้าใจ เรียนรู้ และจับความเข้าใจกับความรู้ สามัญสำนึก ภาษา และวิธีการแสดงออกบางอย่างของมวลมนุษย์ในสภาวะความเป็นมนุษย์  พระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ทรงครอบครองสิ่งเหล่านี้ซึ่งมาจากมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง  สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเครื่องมือของพระเจ้าในเนื้อหนังเพื่อแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์และเทวสภาพของพระองค์ และทำให้พระองค์ทรงสามารถทำให้พระราชกิจของพระองค์เข้าเรื่องยิ่งขึ้น เป็นของแท้ยิ่งขึ้น และถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้นเมื่อพระองค์กำลังทรงพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์ จากมุมมองของมนุษย์ และโดยใช้ภาษาของมนุษย์  นี่ทำให้พระราชกิจของพระองค์เข้าถึงได้มากขึ้นและเข้าใจได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้คน ด้วยเหตุนี้จึงสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์  หากพระเจ้าทรงพระราชกิจในเนื้อหนังในวิธีนี้จะไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากกว่าหรือ?  นี่ไม่ใช่พระปรีชาญาณของพระเจ้าหรือ?  เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อเนื้อหนังของพระเจ้าสามารถรับพระราชกิจที่พระองค์มีพระประสงค์จะดำเนินการ นั่นคือเวลาที่พระองค์ทรงแสดงออกอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงถึงพระอุปนิสัยของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ และนั่นก็เป็นเวลาที่พระองค์ทรงสามารถเริ่มต้นพันธกิจของพระองค์อย่างเป็นทางการในฐานะบุตรมนุษย์เช่นเดียวกัน  นี่หมายความว่าไม่มี “ช่องว่างของยุคสมัย” ระหว่างพระเจ้าและมนุษย์อีกต่อไป ว่าพระเจ้าจะทรงหยุดพระราชกิจของพระองค์ในการสื่อสารโดยผ่านทางผู้ส่งสารในอีกไม่นาน และว่าพระเจ้าพระองค์เองทรงสามารถแสดงออกถึงพระวจนะและพระราชกิจในเนื้อหนังทั้งหมดที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ได้ด้วยพระองค์เอง  อีกทั้งยังหมายความด้วยว่าผู้คนที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดนั้นใกล้ชิดกับพระองค์ยิ่งขึ้น ว่าพระราชกิจการบริหารจัดการของพระองค์ได้เข้าสู่ดินแดนใหม่แล้ว และว่ามวลมนุษย์ทั้งหมดกำลังจะได้เผชิญกับยุคใหม่

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 72

ทุกคนที่ได้อ่านพระคัมภีร์ต่างรู้ว่ามีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นเมื่อองค์พระเยซูเจ้าประสูติ  เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาเหตุการณ์เหล่านั้นก็คือการที่พระองค์ทรงถูกล่าโดยกษัตริย์แห่งมาร ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สุดขั้วจนเด็กทุกคนในเมืองที่มีอายุตั้งแต่สองปีลงไปถูกสังหาร  เห็นได้ชัดเจนว่าพระเจ้าทรงได้รับความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่จากการทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ท่ามกลางหมู่มนุษย์  ราคาที่ยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงจ่ายเพื่อทำการบริหารจัดการของพระองค์ในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดให้ครบบริบูรณ์ก็เห็นได้ชัดเจนเช่นเดียวกัน  ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงมีให้กับพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมวลมนุษย์ในเนื้อหนังก็เห็นได้ชัดเจนเช่นเดียวกัน  เมื่อเนื้อหนังของพระเจ้าสามารถรับพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์ได้ พระองค์ทรงรู้สึกเช่นไร?  ผู้คนควรจะสามารถเข้าใจเรื่องนั้นได้ถึงระดับหนึ่ง ไม่ใช่หรือ?  อย่างน้อยที่สุด พระเจ้าทรงพระเกษมสำราญเพราะพระองค์ทรงสามารถเริ่มดำเนินพระราชกิจใหม่ของพระองค์ท่ามกลางมวลมนุษย์  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงได้รับบัพติศมาและได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ในการทำให้พันธกิจของพระองค์ลุล่วงอย่างเป็นทางการ พระทัยของพระเจ้าเปี่ยมล้นไปด้วยความชื่นบาน เพราะหลังจากช่วงเวลาหลายปีแห่งการรอคอยและการตระเตรียม ในที่สุดพระองค์ก็ทรงสามารถสวมเนื้อหนังของมนุษย์ปกติและเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ของพระองค์ในรูปร่างของมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ ผู้ซึ่งผู้คนสามารถมองเห็นและสัมผัสได้  ในที่สุดพระองค์ก็ทรงสามารถตรัสกับผู้คนได้อย่างซึ่งหน้าและอย่างเปิดพระทัยโดยผ่านทางอัตลักษณ์ของมนุษย์  ในที่สุดพระเจ้าก็ทรงสามารถมาเผชิญกับมวลมนุษย์โดยผ่านทางสื่อกลางคือวิธีของมนุษย์และภาษาของมนุษย์  พระองค์ทรงสามารถจัดเตรียมเพื่อมวลมนุษย์ ประทานความรู้แจ้งแก่พวกเขา และช่วยพวกเขาให้รอดโดยใช้ภาษาของมนุษย์  พระองค์ทรงสามารถเสวยร่วมโต๊ะและดำรงพระชนม์ในพื้นที่เดียวกับพวกเขาได้  พระองค์ยังสามารถทอดพระเนตรมนุษย์ ทอดพระเนตรสิ่งต่างๆ และทอดพระเนตรทุกสิ่งในวิธีที่มนุษย์มองเห็น และแม้กระทั่งโดยผ่านทางดวงตาของพวกเขาเอง  สำหรับพระเจ้าแล้วนั้น นี่เป็นชัยชนะแรกของพระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนัง  นอกจากนี้ยังสามารถกล่าวได้ว่าเป็นความสำเร็จลุล่วงอย่างหนึ่งของพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่—แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงพระเกษมสำราญที่สุด  นับตั้งแต่นั้น พระเจ้าทรงรู้สึกเป็นครั้งแรกถึงความสบายแบบหนึ่งในพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมวลมนุษย์  เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นช่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงและช่างเป็นธรรมชาติยิ่งนัก และความสบายที่พระเจ้าทรงรู้สึกช่างจริงแท้ยิ่งนัก  สำหรับมวลมนุษย์แล้วนั้น แต่ละครั้งที่พระราชกิจในช่วงระยะใหม่ของพระเจ้าสำเร็จลุล่วง และแต่ละครั้งที่พระเจ้ารู้สึกพอพระทัย นั่นคือเวลาที่มวลมนุษย์สามารถเข้าใกล้พระเจ้าและความรอดได้มากขึ้น  สำหรับพระเจ้าแล้วนั้น นี่ยังเป็นการเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ของพระองค์อีกด้วย ซึ่งก้าวไปข้างหน้าในแผนการบริหารจัดการของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น เวลาเหล่านี้ยังเป็นเวลาที่เจตนารมณ์ของพระองค์เข้าใกล้ความลุล่วงที่ครบบริบูรณ์ด้วย  สำหรับมวลมนุษย์ การมาถึงของโอกาสดังกล่าวช่างเป็นโชคดีและเป็นสิ่งที่ดีมาก  สำหรับทุกคนที่รอความรอดของพระเจ้า นี่คือข่าวที่น่าชื่นบานยินดีและมีความสำคัญอย่างยิ่ง  เมื่อพระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจในช่วงระยะใหม่ เมื่อนั้นพระองค์ทรงมีจุดเริ่มต้นใหม่ และเมื่อพระราชกิจใหม่และจุดเริ่มต้นใหม่นี้ได้รับการเปิดตัวและแนะนำให้รู้จักท่ามกลางมวลมนุษย์ นั่นคือเวลาที่บทอวสานของพระราชกิจในช่วงระยะนี้ได้รับการกำหนดและสำเร็จลุล่วงแล้ว และพระเจ้าทรงเห็นผลกระทบและดอกผลสุดท้ายแล้ว  นี่ยังเป็นเวลาที่ผลกระทบเหล่านี้ทำให้พระเจ้ารู้สึกพึงพอพระทัย และแน่นอนว่าคือเวลาที่พระทัยของพระองค์ก็เกษมสำราญ  พระเจ้ารู้สึกวางพระทัย เพราะในสายพระเนตรของพระองค์ พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นและได้ทรงกำหนดผู้คนที่พระองค์กำลังทรงมองหาแล้ว และทรงได้รับผู้คนกลุ่มนี้ไว้แล้ว ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่สามารถทำให้พระราชกิจของพระองค์สำเร็จและนำความพึงพอพระทัยมาให้กับพระองค์  ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงละวางความกังวลของพระองค์ลงได้ และพระองค์ทรงรู้สึกเกษมสำราญ  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อเนื้อหนังของพระเจ้าสามารถเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ท่ามกลางมนุษย์และพระองค์ทรงเริ่มต้นพระราชกิจที่พระองค์ทรงต้องทำโดยไม่มีสิ่งกีดขวาง และเมื่อพระองค์ทรงรู้สึกว่าทั้งหมดได้สำเร็จลุล่วงแล้ว เมื่อนั้นแล้ว สำหรับพระองค์ จุดสิ้นสุดก็อยู่ในสายพระเนตรแล้ว  เพราะสิ่งนี้ พระองค์พึงพอพระทัย และพระทัยของพระองค์ก็เกษมสำราญ  พระเกษมสำราญของพระเจ้าได้รับการแสดงออกอย่างไร?  พวกเจ้าสามารถจินตนาการได้หรือไม่ว่าคำตอบอาจเป็นอะไร?  พระเจ้าอาจทรงกันแสงหรือไม่?  พระเจ้าทรงสามารถกันแสงได้หรือไม่?  พระเจ้าสามารถปรบพระหัตถ์ของพระองค์ได้หรือไม่?  พระเจ้าทรงสามารถลีลาศได้หรือไม่?  พระเจ้าทรงสามารถร้องเพลงได้หรือไม่?  ถ้าได้ พระองค์จะทรงร้องสิ่งใด?  แน่นอนว่าพระเจ้าอาจทรงร้องเพลงที่ไพเราะและดลใจ เพลงที่สามารถแสดงออกถึงความชื่นบานและพระเกษมสำราญในพระทัยของพระองค์  พระองค์ทรงสามารถร้องเพลงนั้นเพื่อมวลมนุษย์ เพื่อพระองค์เอง และเพื่อทุกสรรพสิ่ง  พระเกษมสำราญของพระเจ้าสามารถแสดงออกในวิธีใดก็ได้—ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะพระเจ้าทรงมีความชื่นบานและความโทมนัส และความรู้สึกต่างๆ ของพระองค์สามารถแสดงออกได้ในวิธีที่หลากหลาย  นี่คือสิทธิของพระองค์ และไม่มีสิ่งใดที่สามารถเป็นปกติและถูกต้องเหมาะสมไปมากกว่า  ผู้คนไม่ควรคิดถึงสิ่งอื่นใดก็ตามเกี่ยวกับเรื่องนี้  พวกเจ้าไม่ควรพยายามใช้ “คาถารัดเกล้า”[ก] กับพระเจ้าโดยบอกพระองค์ว่าพระองค์ไม่ควรทรงทำสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้ พระองค์ไม่ควรทรงกระทำการในวิธีนี้หรือวิธีนั้น และจำกัดความเกษมสำราญของพระองค์หรือความรู้สึกใดๆ ที่พระองค์อาจมีด้วยวิธีนี้  ในหัวใจของผู้คน พระเจ้าไม่สามารถมีพระเกษมสำราญ ไม่สามารถหลั่งน้ำพระเนตร ไม่ทรงสามารถกันแสง—พระองค์ไม่ทรงสามารถแสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ  โดยผ่านทางสิ่งที่เราได้สื่อสารในระหว่างการสามัคคีธรรมสองหัวข้อนี้ เราเชื่อว่าพวกเจ้าจะไม่มองเห็นพระเจ้าในลักษณะเช่นนี้อีกต่อไป แต่จะให้พระเจ้าสามารถมีอิสรภาพและการปลดปล่อยบ้าง  นี่คือสิ่งที่ดีมาก  ในอนาคต หากพวกเจ้าสามารถรู้สึกถึงความโทมนัสของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงเมื่อพวกเจ้าได้ยินว่าพระองค์ทรงโทมนัส และพวกเจ้าสามารถรู้สึกถึงพระเกษมสำราญของพระองค์ได้อย่างแท้จริงเมื่อพวกเจ้าได้ยินว่าพระองค์ทรงพระเกษมสำราญ เมื่อนั้นอย่างน้อยเจ้าจะสามารถรู้และเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งใดทำให้พระเจ้าทรงพระเกษมสำราญ และสิ่งใดทำให้พระองค์ทรงโทมนัส  เมื่อเจ้าสามารถรู้สึกเสียใจเพราะพระเจ้าทรงโทมนัสและรู้สึกมีความสุขเพราะพระเจ้าทรงพระเกษมสำราญ พระองค์จะได้รับหัวใจของเจ้าอย่างเต็มที่แล้ว และจะไม่มีอุปสรรคใดๆ ระหว่างตัวเจ้าเองและพระองค์อีก  เจ้าจะไม่พยายามที่จะจำกัดพระเจ้าด้วยการจินตนาการ มโนคติที่หลงผิด และความรู้ของมนุษย์อีกต่อไป  ณ เวลานั้น พระเจ้าจะทรงพระชนม์และแจ่มแจ้งในหัวใจของเจ้า  พระองค์จะทรงเป็นพระเจ้าแห่งชีวิตของเจ้า และเป็นองค์เจ้านายของทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเจ้า  พวกเจ้ามีความทะเยอทะยานประเภทนี้หรือไม่?  พวกเจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าพวกเจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์สิ่งนี้ได้?

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

เชิงอรรถ:

ก. “คาถารัดเกล้า” คือ คาถาที่พระถังซัมจั๋งใช้ในนิยายจีนเรื่องไซอิ๋ว  เขาใช้คาถานี้เพื่อควบคุมซุนหงอคง ด้วยการรัดห่วงโลหะรอบศีรษะของฝ่ายหลัง ซึ่งทำให้เขาปวดศีรษะอย่างรุนแรง และด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาตกอยู่ภายใต้การควบคุม  นั่นได้กลายเป็นคำอุปมาเพื่อพรรณนาถึงบางสิ่งบางอย่างที่ผูกมัดบุคคลหนึ่งไว้


พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 73

นิทานอุปมาขององค์พระเยซูเจ้า

อุปมาเรื่องผู้หว่านพืช (มัทธิว 13:1-9)

อุปมาเรื่องข้าวละมาน (มัทธิว 13:24-30)

อุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด (มัทธิว 13:31-32)

อุปมาเรื่องเชื้อขนม (มัทธิว 13:33)

การทรงอธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมาน (มัทธิว 13:36-43)

อุปมาเรื่องขุมทรัพย์ (มัทธิว 13:44)

อุปมาเรื่องไข่มุก (มัทธิว 13:45-46)

อุปมาเรื่องอวน (มัทธิว 13:47-50)

เรื่องแรกคืออุปมาเรื่องผู้หว่านพืช  นิทานอุปมานี้มีความน่าสนใจอย่างมาก การหว่านพืชเป็นเหตุการณ์ที่พบได้ทั่วไปในชีวิตของผู้คน  เรื่องที่สองคืออุปมาเรื่องข้าวละมาน  ผู้ใดก็ตามที่ปลูกพืชผล และแน่นอนว่าผู้ใหญ่ทุกคนจะรู้ว่า “ข้าวละมาน” คืออะไร  เรื่องที่สามคืออุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด  พวกเจ้าทุกคนรู้ว่ามัสตาร์ดคืออะไร ใช่หรือไม่?  หากเจ้าไม่รู้ เจ้าสามารถดูในพระคัมภีร์ได้  นิทานอุปมาเรื่องที่สี่คืออุปมาเรื่องเชื้อขนม  ตอนนี้ คนส่วนใหญ่รู้ว่ามีการใช้เชื้อขนมเพื่อการหมัก และรู้ว่ามันคือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนใช้ในชีวิตประจำวันของพวกเขา  นิทานอุปมาต่อไป ซึ่งรวมถึงเรื่องที่หก อุปมาเรื่องขุมทรัพย์ เรื่องที่เจ็ด อุปมาเรื่องไข่มุก และเรื่องที่แปด อุปมาเรื่องอวน ทั้งหมดต่างนำมาจากและมีต้นกำเนิดมาจากชีวิตจริงของผู้คน  นิทานอุปมาเหล่านี้วาดรูปภาพแบบใด?  รูปภาพนี้เป็นรูปภาพของพระเจ้าที่ทรงกลายเป็นบุคคลปกติและดำรงพระชนม์ชีพอยู่เคียงข้างมวลมนุษย์ โดยใช้ภาษาของชีวิต ภาษาแบบมนุษย์ เพื่อสื่อสารกับมนุษย์และเพื่อจัดหาสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องมีให้กับพวกเขา  เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมวลมนุษย์เป็นเวลานาน หลังจากที่พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์และเป็นประจักษ์พยานวิถีชีวิตที่หลากหลายของผู้คนแล้ว ประสบการณ์เหล่านี้ก็ได้กลายเป็นเนื้อหาการสอนที่พระองค์ทรงแปลงจากภาษาแบบพระเจ้าของพระองค์มาเป็นภาษาแบบมนุษย์  แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ที่พระองค์ทอดพระเนตรและทรงได้ยินในชีวิตยังได้ประเทืองประสบการณ์แบบมนุษย์ของบุตรมนุษย์ด้วยเช่นกัน  เมื่อพระองค์ทรงต้องประสงค์ให้ผู้คนเข้าใจความจริงบางอย่าง ให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าบ้าง เช่นนั้นแล้วพระองค์จึงทรงสามารถใช้นิทานอุปมาที่คล้ายคลึงกับนิทานอุปมาข้างต้นเพื่อบอกผู้คนเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าและข้อพึงประสงค์ของพระองค์ที่ทรงมีต่อมวลมนุษย์  นิทานอุปมาเหล่านี้ทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คน ไม่มีนิทานอุปมาสักเรื่องเดียวที่ไม่สัมพันธ์กับชีวิตของมนุษย์  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าดำรงพระชนม์ชีพอยู่กับมวลมนุษย์ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นชาวนาดูแลไร่นาของตน และพระองค์ทรงรู้ว่าข้าวละมานคืออะไร และเชื้อขนมคืออะไร พระองค์เข้าพระทัยว่ามนุษย์รักขุมทรัพย์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงใช้การอุปมาเกี่ยวกับทั้งขุมทรัพย์และไข่มุก  ในชีวิต พระองค์ทรงเห็นชาวประมงลากอวนของตน องค์พระเยซูเจ้าทรงมองเห็นสิ่งนี้และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ และพระองค์ทรงได้รับประสบการณ์กับชีวิตประเภทนั้นด้วยเช่นกัน  พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์กับกิจวัตรประจำวันของมนุษย์และการรับประทานอาหารวันละสามมื้อของพวกเขาเช่นเดียวกับมนุษย์ปกติอื่นๆ ทุกคน  พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์กับชีวิตของคนทั่วไปด้วยพระองค์เอง และได้ทรงสังเกตชีวิตของผู้อื่น  เมื่อพระองค์ทรงสังเกตและได้รับประสบการณ์กับทั้งหมดนี้ด้วยพระองค์เองแล้ว สิ่งที่พระองค์มีพระดำริถึงไม่ใช่ว่าจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร หรือพระองค์จะสามารถดำรงพระชนม์ชีพอย่างเป็นอิสระและสะดวกสบายมากขึ้นได้อย่างไร  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น องค์พระเยซูเจ้ากลับทอดพระเนตรเห็นความยากลำบากในชีวิตของผู้คนจากประสบการณ์เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ที่เป็นของแท้ของพระองค์  พระองค์ทรงมองเห็นความยากลำบาก เคราะห์ร้าย และความโศกเศร้าของผู้คนที่ใช้ชีวิตภายใต้แดนครอบครองของซาตานและใช้ชีวิตแห่งบาปใต้ความเสื่อมทรามของซาตาน  ในขณะที่พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์ชีวิตของมนุษย์ด้วยพระองค์เอง พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์ว่าผู้คนที่ไร้ที่พึ่งคือผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความเสื่อมทรามอย่างไร และพระองค์ทอดพระเนตรเห็นและได้รับประสบการณ์กับสภาวะที่ทุกข์ยากของพวกมนุษย์ที่ใช้ชีวิตในบาป ผู้สูญเสียทุกการชี้นำท่ามกลางความทรมานที่ซาตานและความชั่วควบคุมให้เกิดกับพวกเขา  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นสิ่งเหล่านี้ พระองค์ทรงมองเห็นสิ่งเหล่านั้นด้วยเทวสภาพของพระองค์หรือสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์?  สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ปรากฏอยู่จริงๆ และมีชีวิตอยู่อย่างยิ่ง พระองค์ทรงสามารถรับประสบการณ์และทอดพระเนตรสิ่งทั้งหมดนี้  แต่แน่นอนว่าพระองค์ยังทรงมองเห็นสิ่งเหล่านี้ในแก่นแท้ของพระองค์ด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือเทวสภาพของพระองค์  นั่นคือ พระคริสต์พระองค์เอง องค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นมนุษย์ทรงมองเห็นสิ่งนี้ และทุกสิ่งที่พระองค์ทอดพระเนตรทำให้พระองค์ทรงรู้สึกถึงความสำคัญและความจำเป็นของพระราชกิจที่พระองค์ทรงได้ปฏิบัติในระหว่างช่วงเวลาที่พระองค์ทรงพระชนม์ชีพในเนื้อหนังนี้  ถึงแม้ว่าพระองค์เองทรงทราบว่าความรับผิดชอบที่พระองค์ทรงต้องรับในเนื้อหนังนั้นมหาศาลนัก และพระองค์ทรงทราบว่าความเจ็บปวดที่พระองค์จะทรงเผชิญจะโหดร้ายเพียงใด เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นมนุษย์ไร้ที่พึ่งในบาป เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเคราะห์ร้ายของชีวิตของพวกเขาและความดิ้นรนอย่างอ่อนแรงภายใต้ธรรมบัญญัติของพวกเขา พระองค์ทรงรู้สึกเศร้าโศกยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และกลับกลายเป็นวิตกกังวลที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากบาป  ไม่ว่าพระองค์จะทรงเผชิญกับความลำบากยากเย็นแบบใด หรือพระองค์จะทรงทนทุกข์กับความเจ็บปวดแบบใด พระองค์ทรงกลับกลายเป็นตัดสินพระทัยแน่วแน่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่จะไถ่มวลมนุษย์ผู้กำลังใช้ชีวิตอยู่ในบาป  ในช่วงระหว่างกระบวนการนี้ เจ้าสามารถพูดได้ว่าองค์พระเยซูเจ้าเริ่มเข้าพระทัยพระราชกิจที่พระองค์ต้องทรงปฏิบัติและสิ่งที่พระองค์ทรงได้รับมอบหมายมากขึ้นและชัดเจนขึ้น  นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงกระตือรือร้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่จะปฏิบัติพระราชกิจที่พระองค์จะต้องทรงปฏิบัติ—การรับบาปทั้งหมดของมวลมนุษย์ การไถ่โทษให้กับมวลมนุษย์เพื่อให้พวกเขาไม่ใช้ชีวิตอยู่ในบาปอีกต่อไป และในขณะเดียวกัน พระเจ้าจะสามารถประทานอภัยให้กับบาปของมนุษย์เพราะเครื่องบูชาลบล้างบาป ทำให้พระองค์ทรงพระราชกิจในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระองค์เพิ่มเติมได้ต่อไป  สามารถกล่าวได้ว่าในพระทัยขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์เต็มพระทัยที่จะสละพระองค์เองเพื่อมวลมนุษย์ ที่จะพลีอุทิศพระองค์เอง  พระองค์ยังเต็มพระทัยที่จะทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป ที่จะถูกตรึงที่กางเขน และพระองค์ทรงกระตือรือร้นที่จะทำพระราชกิจนี้ให้ครบบริบูรณ์โดยแท้  เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นสภาวะที่ทุกข์ยากของชีวิตมนุษย์ พระองค์ทรงต้องประสงค์ยิ่งขึ้นไปอีกที่จะทำให้พันธกิจของพระองค์ลุล่วงโดยเร็วที่สุด โดยไม่ให้ล่าช้าสักนาทีเดียวหรือแม้เพียงหนึ่งวินาที  เมื่อทรงรู้สึกถึงความเร่งด่วนเช่นนั้น พระองค์จึงไม่มีพระดำริว่าความเจ็บปวดของพระองค์เองจะมากเพียงใด อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงเก็บงำการจับความเพิ่มเติมใดๆ ว่าพระองค์จะทรงต้องทนฝ่าการเหยียดหยามเพียงใด  พระองค์ทรงมีความมั่นใจอย่างแรงกล้าเพียงอย่างเดียวในพระทัยของพระองค์: ตราบเท่าที่พระองค์ทรงมอบถวายพระองค์เอง ตราบเท่าที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขนในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาป เช่นนั้นแล้วน้ำพระทัยของพระเจ้าก็จะได้รับการดำเนินการ และพระเจ้าก็จะทรงสามารถเริ่มพระราชกิจใหม่ได้  ชีวิตของมวลมนุษย์และสภาวะการดำรงอยู่ในบาปของพวกเขาจะถูกแปลงรูปไปโดยสิ้นเชิง  ความมั่นใจอย่างแรงกล้าของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมุ่งมั่นจะทำนั้นสัมพันธ์กับการช่วยมนุษย์ให้รอด และพระองค์ทรงมีวัตถุประสงค์เดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือการปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเพื่อให้พระเจ้าทรงสามารถเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ในช่วงระยะถัดไปได้สำเร็จ  นี่คือสิ่งที่อยู่ในจิตใจขององค์พระเยซูเจ้า ณ ขณะนั้น

เมื่อดำรงพระชนม์ชีพในเนื้อหนัง พระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ทรงครอบครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พระองค์ทรงมีอารมณ์และเหตุผลของบุคคลที่ปกติ  พระองค์ทรงรู้ว่าความสุขคือสิ่งใด ความเจ็บปวดคือสิ่งใด และเมื่อพระองค์ทรงมองเห็นมวลมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ในชีวิตประเภทนี้ พระองค์ทรงรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าแค่การให้คำสอนบางอย่างแก่ผู้คน การจัดเตรียมบางสิ่งบางอย่างแก่พวกเขา หรือการสอนบางสิ่งบางอย่างแก่พวกเขาคงจะไม่เพียงพอที่จะนำพวกเขาออกจากบาปได้  แค่การทำให้พวกเขาเชื่อฟังพระบัญญัติก็ไม่สามารถไถ่พวกเขาจากบาปเช่นกัน—มีเพียงเมื่อพระองค์ทรงรับบาปของมนุษยชาติและกลายเป็นความเสมือนของเนื้อหนังที่เต็มไปด้วยบาปเท่านั้นที่พระองค์จะทรงสามารถรับชัยชนะเป็นเสรีภาพของมวลมนุษย์และการให้อภัยมวลมนุษย์ของพระเจ้าเป็นการแลกเปลี่ยน  ดังนั้น หลังจากที่องค์พระเยซูเจ้าทรงได้รับประสบการณ์และเป็นประจักษ์พยานต่อชีวิตในบาปของผู้คนแล้ว พระประสงค์อันแรงกล้าอย่างหนึ่งจึงเกิดขึ้นในพระทัยของพระองค์—การทำให้พวกมนุษย์สามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากชีวิตแห่งการดิ้นรนในบาปของพวกเขา  พระประสงค์นี้ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าพระองค์ทรงต้องไปที่กางเขนและรับบาปของมนุษย์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  สิ่งเหล่านี้คือพระดำริขององค์พระเยซูเจ้า ณ ขณะนั้น หลังจากที่พระองค์ได้ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับผู้คน และได้ทอดพระเนตร ได้ทรงสดับ และได้ทรงรู้สึกถึงความทุกข์เข็ญของชีวิตในบาปของพวกเขาแล้ว  การที่พระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์สามารถมีน้ำพระทัยแบบนี้เพื่อมวลมนุษย์ การที่พระองค์ทรงสามารถแสดงออกและเผยถึงพระอุปนิสัยประเภทนี้—นี่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่คนทั่วไปสามารถมีได้หรือไม่?  คนทั่วไปที่ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมประเภทนี้จะเห็นเป็นอย่างไร?  พวกเขาจะคิดอะไร?  หากคนทั่วไปเผชิญกับเรื่องทั้งหมดนี้ พวกเขาจะมองดูปัญหาจากมุมมองที่อยู่สูงหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่!  ถึงแม้ว่าการทรงปรากฏภายนอกของพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์จะเหมือนกับมนุษย์อย่างแน่ชัด และถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงเรียนรู้ความรู้ของมนุษย์และพูดภาษาของมนุษย์ และแม้กระทั่งทรงแสดงออกถึงแนวความคิดของพระองค์โดยผ่านทางวิธีการหรือลักษณะการพูดของมวลมนุษย์เองในบางครั้ง กระนั้น วิธีการที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพวกมนุษย์และทอดพระเนตรเห็นแก่นแท้ของสิ่งต่างๆ ก็ไม่เหมือนกับวิธีที่ผู้คนที่เสื่อมทรามมองเห็นมวลมนุษย์และแก่นแท้ของสิ่งต่างๆ  มุมมองของพระองค์และจุดสูงที่พระองค์ประทับยืนคือบางสิ่งบางอย่างที่บุคคลที่เสื่อมทรามไม่สามารถบรรลุไปถึงได้  นี่เป็นเพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง เพราะเนื้อหนังที่พระองค์ทรงสวมใส่ก็ครอบครองแก่นแท้ของพระเจ้าเช่นเดียวกัน และพระดำริและสิ่งที่สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์แสดงออกก็เป็นความจริงเช่นเดียวกัน  สำหรับผู้คนที่เสื่อมทราม สิ่งที่พระองค์ทรงแสดงออกในเนื้อหนังคือการจัดเตรียมความจริง และการจัดเตรียมชีวิต  การจัดเตรียมเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปเพียงเพื่อบุคคลหนึ่งคน แต่เพื่อมวลมนุษย์ทั้งหมด  ในหัวใจของบุคคลที่เสื่อมทรามคนใดก็ตาม มีผู้คนเพียงไม่กี่คนที่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขา  พวกเขาใส่ใจและกังวลแค่กับผู้คนหยิบมือนี้เท่านั้น  เมื่อความวิบัติจะเกิดขึ้นในไม่ช้า พวกเขาคิดถึงบุตรหลาน คู่ครอง หรือบิดามารดาของพวกเขาเป็นอันดับแรก  อย่างมากที่สุด บุคคลที่มีความสงสารเห็นใจมากกว่าคงจะเผื่อความคิดไปถึงญาติหรือเพื่อนที่ดีบางคนอยู่บ้าง แต่ความคิดของบุคคลที่สงสารเห็นใจเช่นนั้นขยายไปเกินกว่านั้นหรือไม่?  ไม่มีวัน!  เพราะในท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ก็คือมนุษย์ และพวกเขาสามารถเพียงมองดูทุกสิ่งได้จากจุดสูงและมุมมองของมนุษย์เท่านั้น  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ทรงแตกต่างจากมนุษย์ที่เสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง  ไม่ว่าเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์จะธรรมดาเพียงใด จะปกติเพียงใด จะต่ำต้อยเพียงใด หรือแม้ผู้คนจะดูถูกพระองค์ด้วยการดูหมิ่นใด พระดำริของพระองค์และท่าทีของพระองค์ต่อมวลมนุษย์คือสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถครอบครองได้ ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถเอาอย่างได้  พระองค์จะทรงสังเกตมวลมนุษย์จากมุมมองของเทวสภาพเสมอ จากจุดสูงของฐานะของพระองค์ในฐานะพระผู้สร้าง  พระองค์จะทอดพระเนตรมวลมนุษย์โดยผ่านทางแก่นแท้และกรอบความคิดของพระเจ้าเสมอ  พระองค์ไม่สามารถทอดพระเนตรมวลมนุษย์จากจุดที่ต่ำต้อยของบุคคลทั่วไป หรือจากมุมมองของบุคคลที่เสื่อมทราม  เมื่อผู้คนมองดูมวลมนุษย์ พวกเขามองดูด้วยวิสัยทัศน์ของมนุษย์ และพวกเขาใช้สิ่งต่างๆ เช่น ความรู้ของมนุษย์และกฎและทฤษฎีของมนุษย์มาเป็นตัววัดของพวกเขา  สิ่งนี้อยู่ภายในขอบเขตของสิ่งที่ผู้คนสามารถมองเห็นด้วยตาของพวกเขา และขอบเขตที่ผู้คนที่เสื่อมทรามสามารถสัมฤทธิ์ผลได้  เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรมวลมนุษย์ พระองค์ทอดพระเนตรด้วยนิมิตของพระเจ้า และพระองค์ทรงใช้แก่นแท้ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นมาเป็นตัววัด  ขอบเขตนี้รวมถึงสิ่งต่างๆ ที่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้ และนี่คือจุดที่พระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์และมนุษย์ที่เสื่อมทรามแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  ความแตกต่างนี้กำหนดด้วยแก่นแท้ที่แตกต่างกันของมนุษย์และพระเจ้า—แก่นแท้ที่แตกต่างกันเหล่านี้นี่เองที่กำหนดอัตลักษณ์และฐานะของมนุษย์และพระเจ้า ตลอดจนมุมมองและจุดสูงที่มนุษย์และพระเจ้าใช้มองดูสิ่งต่างๆ  พวกเจ้ามองเห็นการแสดงออกและการเปิดเผยของพระเจ้าพระองค์เองในองค์พระเยซูเจ้าหรือไม่?  เจ้าสามารถกล่าวได้ว่าสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำและตรัสนั้นสัมพันธ์กับพันธกิจของพระองค์และพระราชกิจการบริหารจัดการของพระเจ้าพระองค์เอง ว่าทั้งหมดนั้นคือการแสดงออกและการเปิดเผยถึงแก่นแท้ของพระเจ้า  ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงมีการสำแดงแบบมนุษย์ แต่แก่นแท้ที่เป็นเทวสภาพของพระองค์และการเปิดเผยถึงเทวสภาพของพระองค์เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้  การสำแดงแบบมนุษย์นี้เป็นการสำแดงถึงสภาวะความเป็นมนุษย์จริงๆ หรือไม่?  การสำแดงแบบมนุษย์ของพระองค์โดยแก่นแท้จริงๆ แล้วแตกต่างจากการสำแดงแบบมนุษย์ของผู้คนที่เสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง  องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์  หากพระองค์ทรงเป็นหนึ่งในผู้คนเสื่อมทรามที่ปกติธรรมดา พระองค์จะสามารถทอดพระเนตรเห็นชีวิตในบาปของมวลมนุษย์จากมุมมองของพระเจ้าได้หรือ?  ไม่อย่างแน่นอน!  นี่คือความแตกต่างระหว่างบุตรมนุษย์และผู้คนปกติธรรมดา  ผู้คนที่เสื่อมทรามทั้งหมดล้วนใช้ชีวิตในบาป และเมื่อมีใครก็ตามมองเห็นบาป พวกเขาไม่มีความรู้สึกที่เฉพาะเจาะจงใดๆ เกี่ยวกับมัน พวกเขาทั้งหมดเป็นแบบเดียวกัน เหมือนกับหมูที่ใช้ชีวิตในโคลนและไม่รู้สึกว่าไม่สบายใจหรือสกปรกแต่อย่างใดเลย—ในทางตรงกันข้าม มันกลับกินได้ดีและนอนหลับได้สนิท  หากมีคนทำความสะอาดเล้าหมู อันที่จริงหมูจะรู้สึกกระสับกระส่าย และมันจะไม่อยู่อย่างสะอาดต่อไป  ไม่นานนัก มันจะกลิ้งเกลือกในโคลนไปทั่วอีกครั้ง รู้สึกสบายใจเต็มที่เพราะมันคือสิ่งทรงสร้างที่โสโครก  พวกมนุษย์มองว่าหมูโสโครก แต่หากเจ้าทำความสะอาดที่อยู่อาศัยของหมู มันจะไม่รู้สึกดีขึ้นเลย—นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงไม่มีผู้ใดเลี้ยงหมูไว้ในบ้านของพวกเขา  วิธีที่มนุษย์มองหมูจะแตกต่างจากวิธีที่หมูมันรู้สึกเองเสมอ เพราะพวกมนุษย์และหมูไม่ได้เป็นชนิดเดียวกัน  และเพราะบุตรมนุษย์ที่พระเจ้าทรงจุติมาไม่ทรงเป็นชนิดเดียวกับมนุษย์ที่เสื่อมทราม จึงมีเพียงพระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์เท่านั้นที่สามารถประทับยืนที่มุมมองของพระเจ้า ที่จุดสูงของพระเจ้าที่พระองค์ทอดพระเนตรมวลมนุษย์และทุกสิ่งทุกอย่างจากจุดนั้น

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 74

ความทุกข์แบบใดที่พระเจ้าทรงได้รับประสบการณ์เมื่อพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมวลมนุษย์?  ความทุกข์นี้คืออะไร?  มีใครเข้าใจจริงๆ หรือไม่?  บางคนพูดว่าพระเจ้าทรงทนทุกข์อย่างใหญ่หลวง ว่าถึงแม้พระองค์จะทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง ผู้คนก็ไม่เข้าใจแก่นแท้ของพระองค์ แต่มีแนวโน้มจะปฏิบัติต่อพระองค์ราวกับเป็นบุคคลหนึ่ง ซึ่งทำให้พระองค์ทรงรู้สึกเศร้าโศกและถูกกระทำผิด—พวกเขาพูดว่าเพราะเหตุผลเหล่านี้ ความทุกข์ของพระเจ้าจึงยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง อีกคนพูดว่าพระเจ้าทรงไร้เดียงสาและปราศจากบาป แต่ว่าพระองค์ทรงทนทุกข์ในแบบเดียวกับมวลมนุษย์ ว่าพระองค์ทรงทนทุกข์จากการข่มเหง การให้ร้าย และการเสียเกียรติเคียงข้างมวลมนุษย์ พวกเขาพูดว่าพระเจ้ายังทรงทนต่อความเข้าใจผิดและการไม่เชื่อฟังของบรรดาผู้ติดตามของพระองค์อีกด้วย—ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงพูดว่าความทุกข์ของพระเจ้านั้นไม่สามารถวัดได้อย่างแท้จริง  ตอนนี้ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าไม่ได้เข้าใจพระเจ้าอย่างแท้จริง  อันที่จริงแล้ว ความทุกข์ที่พวกเจ้าพูดถึงนี้ไม่ได้นับว่าเป็นความทุกข์ที่แท้จริงสำหรับพระเจ้า เพราะมีความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้  เช่นนั้นแล้ว ความทุกข์ที่แท้จริงสำหรับพระเจ้าพระองค์เองคือสิ่งใด?  ความทุกข์ที่แท้จริงสำหรับเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์คือสิ่งใด?  สำหรับพระเจ้า การที่มวลมนุษย์ไม่เข้าใจพระองค์นั้นไม่นับเป็นความทุกข์ และผู้คนที่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่บ้างและไม่มองว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าก็ไม่นับเป็นความทุกข์เช่นเดียวกัน  อย่างไรก็ตาม ผู้คนมักรู้สึกว่าพระเจ้าทรงต้องเคยได้ทนทุกข์กับความอยุติธรรมที่ยิ่งใหญ่ ว่าในช่วงระหว่างเวลาที่พระเจ้าทรงอยู่ในเนื้อหนัง พระองค์ไม่ทรงสามารถแสดงตัวตนของพระองค์ต่อมวลมนุษย์และทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้ และว่าพระเจ้ากำลังทรงซ่อนเร้นอย่างถ่อมพระทัยในเนื้อหนังที่ไม่มีนัยสำคัญ และว่าสิ่งนี้ต้องเป็นความทรมานที่ยิ่งใหญ่สำหรับพระองค์  ผู้คนเชื่อในสิ่งที่พวกเขาสามารถเข้าใจและสิ่งที่พวกเขาสามารถมองเห็นเกี่ยวกับความทุกข์ของพระเจ้าอย่างสุดใจ และถวายความเห็นอกเห็นใจทุกชนิดให้กับพระเจ้า และกระทั่งจะถวายการสรรเสริญเล็กน้อยให้กับความทุกข์ของพระองค์อยู่บ่อยครั้ง  ในความเป็นจริงแล้วมีความแตกต่างกัน มีช่องว่างระหว่างสิ่งที่ผู้คนเข้าใจเกี่ยวกับความทุกข์ของพระเจ้ากับสิ่งที่พระองค์ทรงรู้สึกจริงๆ เรากำลังบอกความจริงกับพวกเจ้า—สำหรับพระเจ้าแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นพระวิญญาณของพระเจ้าหรือเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์ ความทุกข์ที่พรรณนามาข้างต้นไม่ใช่ความทุกข์ที่แท้จริง  เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่พระเจ้าทรงทนทุกข์จริงๆ คือสิ่งใด?  พวกเรามาพูดถึงความทุกข์ของพระเจ้าจากมุมมองของพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์เท่านั้นกันเถิด

เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงเปลี่ยนเป็นบุคคลปกติทั่วไปและดำรงพระชนม์ชีพเคียงข้างผู้คนท่ามกลางมวลมนุษย์นั้น พระองค์ไม่ทรงสามารถมองเห็นและรู้สึกถึงวิธีการ กฎ และปรัชญาการใช้ชีวิตของผู้คนหรอกหรือ?  วิธีการและกฎในการใช้ชีวิตแบบนี้ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกอย่างไร?  พระองค์ทรงรู้สึกเกลียดชังในพระทัยของพระองค์หรือไม่?  เหตุใดพระองค์จึงทรงรู้สึกเกลียดชัง?  วิธีการและกฎในการใช้ชีวิตของมวลมนุษย์มีอะไรบ้าง?  วิธีการและกฎในการใช้ชีวิตเหล่านี้มีรากเหง้าในหลักการใด?  วิธีการและกฎในการใช้ชีวิตเหล่านี้มีพื้นฐานบนสิ่งใด?  วิธีการ กฎ และสิ่งอื่นๆ ของมวลมนุษย์ตามที่สัมพันธ์กับวิธีการใช้ชีวิตนั้น—ทั้งหมดนี้ได้รับการสร้างขึ้นบนพื้นฐานแห่งตรรกะ ความรู้ และปรัชญาของซาตาน  พวกมนุษย์ที่ใช้ชีวิตภายใต้กฎประเภทเหล่านี้ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ ไม่มีความจริง—พวกเขาทั้งหมดต่างประณามความจริงและเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้า  หากเราดูที่แก่นแท้ของพระเจ้า เราจะมองเห็นว่าแก่นแท้ของพระองค์ตรงกันข้ามกับตรรกะ ความรู้ และปรัชญาของซาตานโดยสิ้นเชิง  แก่นแท้ของพระองค์เต็มไปด้วยความชอบธรรม ความจริง และความบริสุทธิ์ และความเป็นจริงอื่นๆ ของทุกสรรพสิ่งที่เป็นบวก  พระเจ้าผู้ทรงครอบครองแก่นแท้นี้และดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมวลมนุษย์เช่นนั้นทรงรู้สึกอย่างไร?  พระองค์ทรงรู้สึกอะไรในพระทัยของพระองค์?  พระทัยของพระองค์ไม่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดหรอกหรือ?  พระทัยของพระองค์เจ็บปวด ความเจ็บปวดที่ไม่มีบุคคลใดสามารถเข้าใจหรือได้รับประสบการณ์ได้  นี่เป็นเพราะทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเผชิญ ทรงพบปะ ทรงสดับ ทอดพระเนตร และทรงได้รับประสบการณ์คือความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ทั้งหมด ความชั่ว และความกบฏต่อความจริงและการต้านทานความจริงของพวกเขา  ทั้งหมดที่มาจากมนุษย์คือแหล่งกำเนิดของความทุกข์ของพระองค์  นั่นจึงกล่าวได้ว่า เพราะแก่นแท้ของพระองค์ไม่เหมือนกับพวกมนุษย์ที่เสื่อมทราม ความเสื่อมทรามของพวกมนุษย์จึงกลายมาเป็นแหล่งกำเนิดของความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์  เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงสามารถพบใครบางคนที่มีภาษาเดียวกันกับพระองค์หรือไม่?  บุคคลเช่นนั้นไม่สามารถพบได้ท่ามกลางมวลมนุษย์  ไม่สามารถพบผู้ใดที่สามารถสื่อสารหรือสามารถมีการโต้ตอบแลกเปลี่ยนนี้กับพระเจ้าได้—เจ้าจะพูดว่าพระเจ้าทรงมีความรู้สึกแบบใดเกี่ยวกับเรื่องนี้?  สิ่งต่างๆ ที่ผู้คนหารือ รัก ไล่ตามเสาะหา และถวิลหาทั้งหมดเกี่ยวข้องกับแนวโน้มของบาปและความชั่ว  เมื่อพระเจ้าทรงเผชิญกับสิ่งทั้งหมดนี้ นี่มันไม่เหมือนกับมีดที่ทิ่มแทงพระทัยของพระองค์หรือ?  เมื่อพระองค์ทรงเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ พระองค์จะทรงสามารถมีความชื่นบานในพระทัยของพระองค์ได้หรือไม่?  พระองค์จะทรงสามารถพบการปลอบโยนได้หรือไม่?  บรรดาผู้ที่ใช้ชีวิตกับพระองค์คือพวกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความกบฏและความชั่ว—พระทัยของพระองค์จะไม่ทนทุกข์ได้อย่างไร?  ความทุกข์นี้จริงๆ แล้วยิ่งใหญ่เพียงใด และใครใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้?  ใครที่เอาใจใส่?  และใครที่สามารถซึ้งคุณค่าถึงเรื่องนี้?  ผู้คนไม่มีหนทางที่จะทำความเข้าใจพระทัยของพระเจ้า  ความทุกข์ของพระองค์คือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนไม่สามารถซึ้งคุณค่าอย่างเฉพาะเจาะจงได้ และความเย็นชาและความด้านชาของสภาวะความเป็นมนุษย์ทำให้ความทุกข์ของพระเจ้าดิ่งลึกยิ่งขึ้นไปอีก

มีบางคนที่มักเห็นอกเห็นใจกับสภาพเลวร้ายของพระคริสต์ เพราะมีวรรคหนึ่งในพระคัมภีร์ที่เขียนว่า: “หมาจิ้งจอกมีโพรง และนกก็มีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ”  เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนี้ พวกเขาเก็บเอาไปคิดและเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าทรงทนฝ่า และความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระคริสต์ทรงทนฝ่า  ตอนนี้ เมื่อดูจากมุมมองของข้อเท็จจริง มันเป็นเช่นนั้นหรือไม่?  ไม่ พระเจ้าไม่ทรงเชื่อว่าความลำบากยากเย็นเหล่านี้เป็นความทุกข์  พระองค์ไม่เคยทรงร่ำไห้จากความอยุติธรรมเพราะความลำบากยากเย็นของเนื้อหนังของพระองค์ และพระองค์ไม่เคยทรงทำให้พวกมนุษย์ต้องชดใช้หรือให้รางวัลใดก็ตามกับพระองค์  อย่างไรก็ตาม เมื่อพระองค์ทรงเป็นประจักษ์พยานทุกสิ่งเกี่ยวกับมวลมนุษย์และชีวิตที่เสื่อมทรามและความชั่วของมนุษย์ที่เสื่อมทราม เมื่อพระองค์ทรงเป็นประจักษ์พยานว่ามวลมนุษย์อยู่ในเงื้อมมือของซาตานและถูกซาตานกักขังและไม่สามารถหนีรอดได้ ว่าผู้คนที่ใช้ชีวิตในบาปไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร พระองค์ไม่ทรงสามารถทนยอมรับบาปทั้งหมดเหล่านี้ได้  ความเกลียดชังพวกมนุษย์ของพระองค์เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน แต่พระองค์ต้องทรงทนฝ่าทั้งหมดนี้  นี่คือความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงสามารถแสดงออกแม้กระทั่งพระสุรเสียงจากพระทัยของพระองค์หรืออารมณ์ของพระองค์ท่ามกลางผู้ติดตามของพระองค์ และไม่มีผู้ใดท่ามกลางผู้ติดตามของพระองค์ที่สามารถเข้าใจความทุกข์ของพระองค์อย่างแท้จริง  ไม่มีผู้ใดที่แม้กระทั่งพยายามที่จะทำความเข้าใจหรือทำให้พระองค์สบายพระทัยของพระองค์ ซึ่งทนฝ่าต่อความทุกข์นี้วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า และซ้ำแล้วซ้ำเล่า  พวกเจ้ามองเห็นอะไรในทั้งหมดนี้?  พระเจ้าไม่ทรงพึงประสงค์สิ่งใดก็ตามจากพวกมนุษย์เป็นการตอบแทนสำหรับสิ่งที่พระองค์ได้ประทานให้ แต่เพราะแก่นแท้ของพระเจ้า พระองค์ไม่ทรงสามารถทนยอมรับความชั่ว ความเสื่อมทราม และบาปของมวลมนุษย์ได้โดยสิ้นเชิง และกลับทรงรู้สึกถึงความเกลียดชังและความเกลียดอย่างสุดขีดแทน ซึ่งทำให้พระทัยของพระเจ้าและเนื้อหนังของพระองค์ทนฝ่าความทุกข์ไม่รู้จบ  พวกเจ้าเคยมองเห็นสิ่งนี้หรือไม่?  ที่มีแนวโน้มที่สุดคือ ไม่มีพวกเจ้าคนใดสามารถมองเห็นสิ่งนี้ได้ เพราะไม่มีพวกเจ้าคนใดสามารถเข้าใจพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าควรจะได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้ทีละน้อยๆ ด้วยตัวเจ้าเอง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 75

พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคน

ยอห์น 6:8-13  สาวกคนหนึ่งของพระองค์คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า “ที่นี่มีเด็กชายคนหนึ่งมีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่เท่านั้นจะพออะไรกับคนมากอย่างนี้?”  พระเยซูตรัสว่า “ให้ทุกคนนั่งลงเถิด” (ที่นั่นมีหญ้ามาก) คนเหล่านั้นจึงนั่งลง นับแต่ผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน แล้วพระเยซูก็ทรงหยิบขนมปัง เมื่อขอบพระคุณแล้วก็ทรงแจกจ่ายให้บรรดาคนที่นั่งอยู่นั้น และให้ปลาด้วยตามที่เขาต้องการ เมื่อพวกเขากินอิ่มแล้วพระเยซูตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น” พวกเขาจึงเก็บเศษขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนที่เหลือหลังจากทุกคนกินแล้วใส่กระบุงได้สิบสองกระบุงเต็ม

แนวความคิดเกี่ยวกับ “ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว” คืออะไร?  โดยธรรมดาสามัญทั่วไปแล้ว ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวสามารถเป็นอาหารให้กับผู้คนจำนวนเท่าใดได้เพียงพอ?  หากเจ้าใช้ความอยากอาหารของบุคคลทั่วไปเป็นพื้นฐานในการวัด นี่จะเพียงพอสำหรับคนสองคนเท่านั้น  นี่คือแนวความคิดเกี่ยวกับ “ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว” ที่พื้นฐานที่สุด  อย่างไรก็ตาม ในบทตอนนี้ ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวให้อาหารกับผู้คนจำนวนเท่าใด?  ข้อความต่อไปนี้คือสิ่งที่ได้รับการบันทึกไว้ในองค์คัมภีร์ว่า “(ที่นั่นมีหญ้ามาก) คนเหล่านั้นจึงนั่งลง นับแต่ผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน”  เมื่อเทียบกับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวแล้ว ห้าพันเป็นจำนวนที่มากมายหรือไม่?  จำนวนที่มากมายอย่างยิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงสิ่งใด?  จากมุมมองของมนุษย์ การแบ่งขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวให้กับคนห้าพันคนจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะความแตกต่างระหว่างผู้คนและอาหารนั้นมีมากเกินไป  ถึงแม้ว่าทุกคนจะกินเพียงคำเล็กๆ หนึ่งคำ ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับคนห้าพันคนอยู่ดี  แต่ในที่นี้ องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงปฏิบัติการอัศจรรย์—พระองค์ไม่เพียงแต่ทรงทำให้ผู้คนห้าพันคนสามารถได้กินจนอิ่มเท่านั้น แต่ยังมีอาหารเหลืออีกด้วย  องค์คัมภีร์เขียนไว้ว่า: “เมื่อพวกเขากินอิ่มแล้วพระเยซูตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า ‘จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น’ พวกเขาจึงเก็บเศษขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนที่เหลือหลังจากทุกคนกินแล้วใส่กระบุงได้สิบสองกระบุงเต็ม”  การอัศจรรย์นี้ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นพระอัตลักษณ์และสถานะขององค์พระเยซูเจ้า และมองเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระเจ้า—ในลักษณะนี้ พวกเขามองเห็นความจริงของฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระเจ้า  ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวเพียงพอที่จะให้อาหารคนห้าพันคน แต่หากไม่มีอาหารใดๆ อยู่เลย พระเจ้าจะทรงให้อาหารแก่คนห้าพันคนได้หรือไม่?  แน่นอนว่าพระองค์ย่อมจะทรงทำได้!  นี่คือการอัศจรรย์ ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้คนจะรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเกินจะเข้าใจได้ เหลือเชื่อ และลึกลับ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว การทำเช่นนั้นไม่ได้สำคัญอันใด  ในเมื่อนี่เป็นสิ่งที่ธรรมดาสำหรับพระเจ้า เหตุใดจึงควรหยิบยกเรื่องนี้มาตีความในตอนนี้?  เพราะสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการอัศจรรย์นี้คือน้ำพระทัยขององค์พระเยซูเจ้า ซึ่งมวลมนุษย์ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน

ประการแรก พวกเรามาพยายามทำความเข้าใจว่าคนห้าพันคนนี้เป็นคนประเภทใด  พวกเขาเป็นผู้ติดตามขององค์พระเยซูเจ้าหรือไม่?  จากองค์คัมภีร์ เรารู้ว่าพวกเขาไม่ใช่สาวกของพระองค์  พวกเขารู้หรือไม่ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้ใด?  ไม่อย่างแน่นอน!  อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ไม่รู้ว่าบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาคือพระคริสต์ หรือบางทีบางคนอาจรู้เพียงว่าพระองค์มีพระนามว่าอะไร และรู้หรือเคยได้ยินบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ทรงเคยได้ทำมาแล้ว  พวกเขาเพียงแค่ถูกปลุกเร้าให้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้าเมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ แต่แน่นอนว่าเจ้าไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขาติดตามพระองค์ นับประสาอะไรที่จะเข้าใจพระองค์  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นคนห้าพันคนนี้ พวกเขาหิวโหยและคิดถึงได้แค่เพียงการหาอาหารลงท้องของพวกเขาเท่านั้น ดังนั้นองค์พระเยซูเจ้าจึงทรงตอบสนองความอยากของพวกเขาในบริบทนี้  เมื่อพระองค์ทรงตอบสนองความอยากของพวกเขา สิ่งใดอยู่ในพระทัยของพระองค์?  พระองค์ทรงมีท่าทีอย่างไรต่อผู้คนที่ต้องการเพียงกินจนอิ่มเหล่านี้?  ในขณะนี้ พระดำริขององค์พระเยซูเจ้าและท่าทีของพระองค์สัมพันธ์กับพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้า  เมื่อทรงเผชิญกับผู้คนห้าพันคนที่ท้องว่างและต้องการเพียงกินอาหารเต็มมื้อ เมื่อทรงเผชิญกับผู้คนที่เต็มไปด้วยความสงสัยและความหวังจากพระองค์ องค์พระเยซูเจ้าจึงมีพระดำริเพียงที่จะใช้การอัศจรรย์นี้เพื่อประทานพระคุณแก่พวกเขาเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม พระองค์ไม่ได้ยกความหวังของพระองค์ให้สูงขึ้นว่าพวกเขาจะกลายเป็นผู้ติดตามของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงทราบว่าพวกเขาเพียงต้องการเข้าร่วมความสนุกและกินจนอิ่ม ดังนั้นพระองค์จึงทรงใช้ประโยชน์จากสิ่งที่พระองค์ทรงมีในที่แห่งนั้นให้ดีที่สุด และทรงใช้ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวเพื่อให้อาหารกับคนห้าพันคน  พระองค์ทรงเปิดตาของผู้คนที่สุขสำราญกับการมองเห็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นต่างๆ เหล่านี้ ผู้ที่ต้องการพบเห็นการอัศจรรย์ และพวกเขามองเห็นสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ทรงสามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยตาของพวกเขาเอง  ถึงแม้ว่าองค์พระเยซูเจ้าจะทรงใช้บางสิ่งบางอย่างที่จับต้องได้เพื่อตอบสนองความสงสัยของพวกเขา แต่พระองค์ก็ทรงรู้อยู่แล้วในพระทัยของพระองค์ว่าผู้คนห้าพันคนนี้เพียงต้องการที่จะกินอาหารดีๆ ดังนั้นพระองค์จึงไม่ทรงเทศนาพวกเขาหรือตรัสสิ่งใดเลย—พระองค์เพียงทรงปล่อยให้พวกเขามองเห็นการอัศจรรย์นี้ในขณะที่มันเกิดขึ้น  พระองค์ไม่ทรงสามารถปฏิบัติต่อผู้คนเหล่านี้ในลักษณะเดียวกันกับที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อบรรดาสาวกของพระองค์ผู้ที่ติดตามพระองค์อย่างแท้จริงได้อย่างแน่นอน แต่ในพระทัยของพระเจ้า สิ่งทรงสร้างทั้งหมดอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ และพระองค์จะประทานพระอนุญาตให้สิ่งทรงสร้างทั้งหมดที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นได้สุขสำราญกับพระคุณของพระเจ้าเมื่อมีความจำเป็น  ถึงแม้ว่าผู้คนเหล่านี้จะไม่รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นใครและไม่เข้าใจพระองค์ หรือมีความประทับใจที่เฉพาะเจาะจงใดๆ เกี่ยวกับพระองค์ หรือมีความรู้สึกขอบคุณต่อพระองค์แม้หลังจากที่พวกเขาได้กินขนมปังและปลานั้น นี่ไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่พระเจ้าขัดพระทัย—พระองค์ประทานโอกาสที่ยอดเยี่ยมที่จะสุขสำราญกับพระคุณของพระเจ้าให้ผู้คนเหล่านี้  บางคนพูดว่าพระเจ้าทรงมีหลักการในสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ว่าพระองค์ทรงไม่คอยคุ้มกันหรือปกป้องบรรดาผู้ไม่เชื่อ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ว่าพระองค์ทรงไม่อนุญาตให้พวกเขาสุขสำราญกับพระคุณของพระองค์  เป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือไม่?  ในสายพระเนตรของพระเจ้า ตราบเท่าที่พวกเขาเป็นสิ่งทรงสร้างซึ่งมีชีวิตที่พระองค์เองได้ทรงสร้างขึ้น พระองค์จะทรงบริหารจัดการและดูแลเอาใจใส่พวกเขา และพระองค์จะทรงปฏิบัติต่อพวกเขา วางแผนเพื่อพวกเขา และปกครองพวกเขาในหลากหลายวิธี  เหล่านี้คือพระดำริและท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อทุกสรรพสิ่ง

ถึงแม้ว่าคนห้าพันคนที่กินขนมปังกับปลาไม่ได้วางแผนที่จะติดตามองค์พระเยซูเจ้า แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงมีข้อเรียกร้องที่เข้มงวดมากจากพวกเขา ทันทีที่พวกเขากินจนอิ่มแล้ว พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงทำสิ่งใด?  พระองค์ทรงเทศนาพวกเขาบ้างหรือไม่?  พระองค์เสด็จไปที่ใดหลังจากที่ทรงทำเช่นนี้?  ข้อพระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกว่าองค์พระเยซูเจ้าตรัสสิ่งใดกับพวกเขา แค่ว่าพระองค์เสด็จจากไปเงียบๆ เมื่อพระองค์ทรงแสดงการอัศจรรย์ของพระองค์แล้ว  เช่นนั้นแล้วพระองค์ได้ทรงมีข้อพึงประสงค์ใดๆ จากผู้คนเหล่านี้หรือไม่?  มีความเกลียดชังใดๆ หรือไม่?  ไม่ ไม่มีสิ่งเหล่านี้เลยในที่นี้  พระองค์เพียงไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะให้ความใส่พระทัยใดๆ อีกต่อไปกับผู้คนที่ไม่สามารถติดตามพระองค์ และในเวลานี้พระทัยของพระองค์เจ็บปวด  เพราะพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นความเสื่อมทรามลงของมวลมนุษย์แล้ว และพระองค์ได้ทรงรู้สึกถึงการปฏิเสธพระองค์จากมวลมนุษย์แล้ว เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรผู้คนเหล่านี้และเมื่อพระองค์ประทับอยู่กับพวกเขา พระองค์เกิดความรู้สึกเสียพระทัยจากความทึ่มและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์ และพระทัยของพระองค์เจ็บปวด พระประสงค์ทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีคือการจากผู้คนเหล่านี้ไปโดยเร็วที่สุด  องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงมีข้อพึงประสงค์ใดๆ จากพวกเขาในพระทัยของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะให้ความใส่พระทัยใดๆ กับพวกเขา และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะสละพลังงานของพระองค์ไปกับพวกเขา  พระองค์ทรงรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถติดตามพระองค์ได้ แต่ถึงแม้ว่าจะมีเหตุทั้งหมดนี้ ท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาก็ยังคงชัดเจนอย่างมาก  พระองค์เพียงทรงต้องประสงค์ที่จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างใจดี ประทานพระคุณให้กับพวกเขา และนี่คือท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อทุกสิ่งที่ทรงสร้างภายใต้การปกครองของพระองค์โดยแท้—เพื่อปฏิบัติต่อทุกสิ่งที่ทรงสร้างอย่างเมตตา เพื่อจัดเตรียมให้พวกเขาและบำรุงเลี้ยงพวกเขา  ด้วยเหตุผลนี้เองที่องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงเผยแก่นแท้ของพระเจ้าพระองค์เองอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง และทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างใจดี  พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยพระทัยแห่งความเมตตากรุณาและการทนยอมรับ และพระองค์ทรงแสดงความใจดีต่อพวกเขาด้วยพระทัยเช่นนั้น  ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้จะมององค์พระเยซูเจ้าอย่างไร และไม่ว่าบทอวสานจะเป็นแบบใดก็ตาม พระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกสิ่งที่ทรงสร้างโดยมีพื้นฐานจากฐานะของพระองค์ ในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้าของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง  ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเผยคือพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นอย่างไม่มีข้อยกเว้น  องค์พระเยซูเจ้าทรงทำสิ่งนี้อย่างเงียบๆ และเสด็จจากไปอย่างเงียบๆ—นี่เป็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าในแง่มุมใด?  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่านี่คือความรักเมตตาของพระเจ้า?  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่านี่คือความไม่เห็นแก่พระองค์เองของพระเจ้า?  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่บุคคลทั่วไปสามารถทำได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่!  โดยแก่นแท้แล้ว ผู้คนห้าพันคนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงให้อาหารด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวเป็นใคร?  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพวกเขาคือผู้คนที่มีความเข้ากันได้กับพระองค์?  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นปรปักษ์ต่อพระองค์?  สามารถกล่าวได้ด้วยความมั่นใจว่าพวกเขาไม่มีความเข้ากันได้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน และแก่นแท้ของพวกเขาเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้าอย่างแน่นอน  แต่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร?  พระองค์ทรงใช้วิธีการหนึ่งในการขจัดความเป็นปรปักษ์ที่ผู้คนมีต่อพระเจ้า—วิธีการนี้เรียกว่า “ความใจดี”  นั่นคือ ถึงแม้ว่าองค์พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นผู้คนเหล่านี้ว่าเป็นคนบาป แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาก็เป็นสิ่งทรงสร้างของพระองค์อยู่ดี ดังนั้นพระองค์จึงยังทรงปฏิบัติต่อคนบาปเหล่านี้อย่างใจดี  นี่คือการทนยอมรับของพระเจ้า และการทนยอมรับนี้ได้รับการกำหนดจากพระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้าเอง  ดังนั้น นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีมนุษย์คนใดที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นจะสามารถทำได้—มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำสิ่งนี้ได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 76

เมื่อเจ้าสามารถซึ้งคุณค่ากับพระดำริและท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ได้อย่างแท้จริง เมื่อเจ้าสามารถเข้าใจอารมณ์และความกังวลที่พระเจ้าทรงมีให้กับแต่ละสิ่งทรงสร้าง เจ้าจะสามารถเข้าใจการอุทิศพระองค์และความรักที่ใช้ไปกับทุกๆ ผู้คนที่พระผู้สร้างได้ทรงสร้างขึ้น  เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น เจ้าจะใช้คำสองคำเพื่อพรรณนาความรักของพระเจ้า คำสองคำนั้นคืออะไร?  บางคนพูดว่า “ไม่เห็นแก่พระองค์เอง” และบางคนพูดว่า “ใจบุญสุนทาน”  ในสองคำนี้ “ใจบุญสุนทาน” เป็นคำที่เหมาะสมน้อยที่สุดในการพรรณนาความรักของพระเจ้า  นี่คือคำที่ผู้คนใช้พรรณนาถึงคนบางคนที่เผื่อแผ่หรือใจกว้าง  เราเกลียดคำนี้ เพราะมันอ้างอิงถึงการให้การกุศลโดยไร้แบบแผน โดยไม่เลือกหน้า โดยไม่พิจารณาถึงหลักการ  มันคือความโน้มเอียงที่ใช้อารมณ์มากเกินไป ซึ่งพบได้มากในผู้คนที่โง่เขลาและสับสน  เมื่อใช้คำนี้พรรณนาถึงความรักของพระเจ้า มีความหมายแฝงที่เป็นการดูหมิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  เรามีคำสองคำที่อธิบายความรักของพระเจ้าได้อย่างเหมาะสมมากกว่า  ได้แก่อะไรบ้าง?  คำแรกคือ “มหาศาล”  คำนี้ไม่ได้ทำให้เห็นภาพเป็นอย่างมากหรอกหรือ?  คำที่สองคือ “กว้างใหญ่ไพศาล” มีความหมายที่แท้จริงอยู่เบื้องหลังคำเหล่านี้ ซึ่งเราใช้พรรณนาความรักของพระเจ้า  เมื่อตีความหมายตามตัวอักษร “มหาศาล” พรรณนาถึงปริมาตรหรือความสามารถของสิ่งหนึ่ง แต่ไม่ว่าสิ่งนั้นจะใหญ่เพียงใด มันคือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนสามารถจับต้องและมองเห็นได้  นี่เป็นเพราะมันมีอยู่—มันไม่ใช่วัตถุที่เป็นนามธรรม แต่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่สามารถให้แนวความคิดแก่ผู้คนในลักษณะที่ค่อนข้างถูกต้องแม่นยำและสัมพันธ์กับชีวิตจริง  ไม่ว่าเจ้าจะมองมันจากมุมมองสองมิติหรือสามมิติ เจ้าไม่จำเป็นต้องจินตนาการถึงการมีอยู่ของมัน เพราะมันคือสิ่งที่มีอยู่จริงๆ ในลักษณะที่เป็นจริง  ถึงแม้ว่าการใช้คำว่า “มหาศาล” ในการอธิบายความรักของพระเจ้าจะสามารถทำให้รู้สึกเหมือนความพยายามที่จะระบุปริมาณความรักของพระองค์ แต่คำนี้ยังให้ความรู้สึกว่าความรักของพระองค์ไม่อาจระบุปริมาณได้เช่นเดียวกัน  เราพูดว่าความรักของพระเจ้าสามารถระบุปริมาณได้ เพราะความรักของพระองค์ไม่ว่างเปล่า อีกทั้งไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นตำนานเล่าขาน  แต่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ทุกสิ่งภายใต้การปกครองของพระองค์มีเหมือนกัน บางสิ่งบางอย่างที่สิ่งทรงสร้างทั้งปวงได้ชื่นชมจนถึงระดับที่หลากหลายและจากมุมมองที่แตกต่าง  ถึงแม้ว่าผู้คนไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสความรักของพระองค์ได้ แต่ความรักนี้นำการบำรุงเลี้ยงและชีวิตมายังทุกสรรพสิ่งในขณะที่ความรักนี้ได้รับการเผยทีละเล็กละน้อยในชีวิตของทุกสรรพสิ่ง และพวกเขาคำนึงถึงความรักของพระเจ้าและเป็นพยานต่อความรักของพระเจ้าที่พวกเขาได้ชื่นชมในแต่ละชั่วขณะที่ผ่านไป  เราพูดว่าความรักของพระเจ้าไม่สามารถระบุปริมาณได้เพราะความล้ำลึกของพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมและบำรุงเลี้ยงทุกสรรพสิ่งคือบางสิ่งบางอย่างที่พวกมนุษย์หยั่งลึกได้ยาก เช่นเดียวกับพระดำริที่พระเจ้าทรงมีให้กับทุกสรรพสิ่ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ให้กับมวลมนุษย์  นั่นจึงกล่าวได้ว่า ไม่มีผู้ใดรู้ถึงพระโลหิตและน้ำพระเนตรที่พระผู้สร้างได้ทรงหลั่งออกมาเพื่อมวลมนุษย์  ไม่มีผู้ใดสามารถจับใจความ ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจความลึกซึ้งหรือน้ำหนักของความรักที่พระผู้สร้างทรงมีให้กับมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง  การพรรณนาความรักของพระเจ้าว่ามหาศาลคือการช่วยให้ผู้คนซึ้งคุณค่าและเข้าใจวงเขตแห่งความรักของพระเจ้า และความจริงของการดำรงอยู่ของความรักของพระเจ้า  นอกจากนี้การพรรณนานี้ยังเป็นไปเพื่อให้ผู้คนสามารถจับใจความถึงความหมายจริงๆ ของคำว่า “พระผู้สร้าง” ได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และเพื่อให้ผู้คนสามารถได้รับความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับความหมายที่แท้จริงของสมญา “การทรงสร้าง”  คำว่า “กว้างใหญ่ไพศาล” มักพรรณนาถึงสิ่งใด?  โดยทั่วไป คำนี้นำมาใช้พรรณนาถึงมหาสมุทรหรือจักรวาล ตัวอย่างเช่น  “จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล” หรือ “มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล”  ความไพศาลและความลึกที่เงียบสงัดของจักรวาลอยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ คือบางสิ่งบางอย่างที่จับจินตนาการของมนุษย์ บางสิ่งบางอย่างที่พวกเขารู้สึกมีความเลื่อมใสอย่างยิ่งใหญ่ให้  ความลึกลับและความลึกล้ำของมันมองเห็นได้ แต่เกินเอื้อมถึง  เมื่อเจ้านึกถึงมหาสมุทร เจ้านึกถึงความกว้างของมัน และเจ้าสามารถรู้สึกถึงความลึกลับและความสามารถในการเก็บสิ่งต่างๆ ได้ยอดเยี่ยมของมัน  นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงได้ใช้คำว่า “กว้างใหญ่ไพศาล” ในการพรรณนาถึงความรักของพระเจ้า เพื่อช่วยให้ผู้คนรู้สึกว่าความรักของพระเจ้าล้ำค่าเพียงใด เพื่อให้รู้สึกว่าความงดงามอย่างลุ่มลึกของความรักของพระองค์นั้นไม่สิ้นสุดและครอบคลุมกว้างขวาง  เราใช้คำนี้เพื่อช่วยให้ผู้คนรู้สึกถึงความบริสุทธิ์ของความรักของพระองค์ และความทรงเกียรติและความมิอาจถูกทำให้ขุ่นเคืองได้ของพระเจ้าที่ได้รับการเผยโดยผ่านทางความรักของพระองค์  ตอนนี้พวกเจ้าคิดว่า “กว้างใหญ่ไพศาล” เป็นคำที่เหมาะสมในการพรรณนาถึงความรักของพระเจ้าหรือไม่?  ความรักของพระเจ้าสามารถเทียบเท่ากับสองคำที่ว่า “มหาศาล” และ “กว้างใหญ่ไพศาล” นี้หรือไม่?  แน่นอน!  ในภาษาของมนุษย์ คำสองคำนี้เพียงอย่างเดียวค่อนข้างเพียงพอแล้ว และค่อนข้างใกล้เคียงกับการพรรณนาถึงความรักของพระเจ้า  พวกเจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ?  หากเราให้พวกเจ้าอธิบายความรักของพระเจ้า พวกเจ้าจะใช้คำสองคำนี้หรือไม่?  มีแนวโน้มอย่างมากที่สุดที่พวกเจ้าจะไม่ใช้คำสองคำนี้ เพราะความเข้าใจและความซึ้งคุณค่าที่พวกเจ้ามีเกี่ยวกับความรักของพระเจ้านั้นจำกัดอยู่ในขอบเขตของมุมมองแบบสองมิติ และไม่ได้ขึ้นไปถึงความสูงของพื้นที่สามมิติ  ดังนั้น หากเราให้พวกเจ้าพรรณนาถึงความรักของพระเจ้า พวกเจ้าจะรู้สึกว่าพวกเจ้าไม่มีคำพูดหรือแม้กระทั่งบางทีพวกเจ้าจะกลายเป็นพูดไม่ออกก็เป็นได้  พวกเจ้าอาจเข้าใจคำสองคำที่เราได้พูดถึงในวันนี้ได้ยาก หรือบางทีพวกเจ้าอาจแค่ไม่เห็นด้วย  นี่แสดงให้เห็นเพียงว่าความซึ้งคุณค่าและเข้าใจในความรักของพระเจ้าของพวกเจ้านั้นผิวเผินและจำกัดอยู่แค่ขอบเขตแคบๆ เท่านั้น  เราได้กล่าวแล้วก่อนหน้านี้ว่าพระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่พระองค์เอง พวกเจ้าจำคำว่า “ไม่เห็นแก่ตัวเอง” ได้  อาจเป็นได้หรือไม่ว่าความรักของพระเจ้าสามารถพรรณนาถึงได้ด้วยคำว่าไม่เห็นแก่พระองค์เองเท่านั้น?  นี่ไม่ได้เป็นขอบเขตที่แคบจนเกินไปหรอกหรือ?  เจ้าควรครุ่นคิดถึงประเด็นนี้ให้มากขึ้น เพื่อให้พวกเจ้าอาจได้รับบางสิ่งบางอย่างจากประเด็นนี้ได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 77

การทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

ยอห์น 11:43-44  เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงร้องเสียงดังว่า “ลาซารัส ออกมาเถิด” คนตายนั้นก็ออกมา มีผ้าพันมือและเท้า และที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่ด้วย พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “จงแกะผ้าที่พันออกแล้วปล่อยเขาเถิด”

พวกเจ้ามีความประทับใจใดบ้างหลังจากที่ได้อ่านบทตอนนี้?  นัยสำคัญของการอัศจรรย์ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงแสดงนี้ยิ่งใหญ่กว่าการอัศจรรย์ก่อนหน้านี้มาก เพราะไม่มีการอัศจรรย์ใดจะน่าประหลาดใจมากไปกว่าการนำคนตายกลับขึ้นจากหลุมฝังศพ  ในสมัยนั้น การที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำบางสิ่งบางอย่างเช่นนี้เป็นสิ่งที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง  เพราะพระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ผู้คนจึงสามารถมองเห็นได้เพียงการทรงปรากฏทางกายของพระองค์ ด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์ และแง่มุมที่ไม่มีนัยสำคัญของพระองค์เท่านั้น  ถึงแม้ว่าบางคนจะมองเห็นและเข้าใจบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับคุณลักษณะของพระองค์ หรือความสามารถพิเศษบางอย่างที่ปรากฏว่าพระองค์ทรงครอบครอง แต่ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาจากที่ใด จริงๆ แล้วพระองค์ทรงเป็นผู้ใดในแก่นแท้ของพระองค์ และจริงๆ แล้วพระองค์ทรงมีความสามารถในการทำสิ่งอื่นใดอีก  ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มวลมนุษย์ไม่รู้  มีผู้คนมากมายเหลือเกินที่ต้องการพบหลักฐานเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้าเหล่านี้ และเพื่อให้รู้ความจริง  พระเจ้าสามารถทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อพิสูจน์พระอัตลักษณ์ของพระองค์เองได้หรือไม่?  สำหรับพระเจ้าแล้ว นี่คือของเด็กเล่น—มันง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก  พระองค์สามารถทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อพิสูจน์พระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระองค์ได้ทุกที่ ทุกเวลา แต่พระเจ้าทรงมีวิธีการทำสิ่งต่างๆ—โดยมีแผนและอย่างเป็นขั้นเป็นตอน  พระองค์ไม่ทรงทำสิ่งต่างๆ โดยไม่เลือกหน้า แต่แทนที่จะทำเช่นนั้น พระองค์ทรงมองหาเวลาที่เหมาะสมและโอกาสที่เหมาะสมในการทำบางสิ่งบางอย่างที่พระองค์จะทรงอนุญาตให้มนุษย์เห็นได้ บางสิ่งบางอย่างที่ชุ่มไปด้วยความหมายอย่างแท้จริง  พระองค์ทรงพิสูจน์สิทธิอำนาจและพระอัตลักษณ์ของพระองค์ในหนทางนี้  ดังนั้นแล้ว การทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายเป็นการพิสูจน์พระอัตลักษณ์ขององค์พระเยซูเจ้าหรือไม่?  พวกเรามาดูบทตอนต่อไปนี้ของพระคัมภีร์กันเถิด: “เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงร้องเสียงดังว่า ‘ลาซารัส ออกมาเถิด’ คนตายนั้นก็ออกมา…”  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงทำเช่นนี้ พระองค์ตรัสเพียงอย่างเดียวว่า “ลาซารัส ออกมาเถิด”  จากนั้นลาซารัสก็ออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ—สิ่งนี้สำเร็จลุล่วงเพียงเพราะพระวจนะไม่กี่คำที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดำรัสออกมา  ในช่วงระหว่างเวลานี้ องค์พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงตั้งแท่นบูชา และพระองค์ไม่ได้ทรงกระทำการอื่นใด  พระองค์แค่ตรัสสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวนี้  นี่ควรเรียกว่าการอัศจรรย์หรือพระบัญชา?  หรือมันเป็นศาสตร์เวทมนตร์คาถาบางอย่าง?  จากภายนอกแล้ว ดูเหมือนว่าสามารถเรียกสิ่งนี้ได้ว่าเป็นการอัศจรรย์ และหากเจ้ามองสิ่งนี้จากมุมมองสมัยใหม่ แน่นอนว่าเจ้าก็จะยังคงเรียกสิ่งนี้ว่าการอัศจรรย์  อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นเวทมนตร์ประเภทที่ควรจะเรียกวิญญาณกลับจากความตาย และสิ่งนี้ไม่ใช่ศาสตร์เวทมนตร์คาถาประเภทใดๆ อย่างแน่นอน  หากพูดว่าการอัศจรรย์นี้เป็นการแสดงเล็กๆ ให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างอย่างเป็นปกติที่สุดก็ถูกต้องแล้ว  นี่คือสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้า  พระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจที่จะให้บุคคลคนหนึ่งตาย ที่จะให้วิญญาณของเขาออกจากร่างกายของเขาและกลับสู่แดนคนตายหรือที่ใดก็ตามที่มันควรไป  กรอบเวลาการตายของบุคคลและสถานที่ที่พวกเขาจะไปหลังจากที่ตาย—สิ่งเหล่านี้พระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนด  พระองค์ตัดสินพระทัยเรื่องเหล่านี้ทุกที่และทุกเวลา โดยไม่ถูกจำกัดจากพวกมนุษย์ เหตุการณ์ วัตถุ พื้นที่ หรือภูมิศาสตร์  หากพระองค์ทรงต้องประสงค์จะทำมัน พระองค์สามารถทำมันได้ เพราะทุกสรรพสิ่งและสิ่งมีชีวิตอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ และทุกสรรพสิ่งถือกำเนิด ใช้ชีวิต และพินาศตามพระวจนะของพระองค์และสิทธิอำนาจของพระองค์  พระองค์สามารถทำให้ชายที่ตายแล้วเป็นขึ้นจากตาย และสิ่งนี้คือบางสิ่งบางอย่างที่พระองค์สามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา  นี่คือสิทธิอำนาจที่มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ครอบครอง

เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ เช่นการนำลาซารัสกลับจากความตาย เป้าหมายของพระองค์คือการให้หลักฐานเพื่อให้พวกมนุษย์และซาตานมองเห็น และเพื่อให้พวกมนุษย์และซาตานรู้ว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับมวลมนุษย์ ชีวิตและความตายของมวลมนุษย์ได้รับการกำหนดโดยพระเจ้า และว่าถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ก็ยังทรงเป็นผู้บัญชาโลกฝ่ายกายที่สามารถมองเห็นได้ และโลกฝ่ายวิญญาณที่พวกมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้  นี่เป็นไปเพื่อให้มวลมนุษย์และซาตานรู้ว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับมวลมนุษย์ไม่ได้อยู่ภายใต้คำสั่งของซาตาน  นี่คือการเผยและการแสดงให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า และยังเป็นวิธีหนึ่งที่พระเจ้าทรงส่งสารถึงทุกสรรพสิ่ง ว่าชีวิตและความตายของมวลมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  การที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายเป็นหนึ่งในวิธีที่พระผู้สร้างทรงสอนและแนะนำมวลมนุษย์  นี่คือการกระทำที่เป็นรูปธรรมที่พระองค์ทรงใช้ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจเพื่อแนะนำและจัดเตรียมมวลมนุษย์  นี่คือวิธีหนึ่งที่พระผู้สร้างทรงทำให้มวลมนุษย์สามารถมองเห็นความจริงโดยไม่ใช้พระวจนะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้บัญชาทุกสรรพสิ่ง  นี่คือวิธีหนึ่งที่พระองค์ทรงบอกมวลมนุษย์โดยผ่านทางการกระทำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงว่าไม่มีความรอดอื่นใดนอกเหนือจากความรอดโดยผ่านทางพระองค์  วิถีทางที่ไร้พระสุรเสียงที่พระองค์ทรงใช้เพื่อแนะนำมวลมนุษย์นี้อยู่ชั่วนิรันดร์ ลบไม่ออก และนำความตกใจและความรู้แจ้งที่ไม่มีวันเลือนรางไปมาสู่หัวใจของมนุษย์  การทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า—นี่มีผลกระทบที่ลึกซึ้งต่อผู้ติดตามทุกๆ คนของพระเจ้า  การนี้ทำให้ความเข้าใจ นิมิตว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถบัญชาชีวิตและความตายของมวลมนุษย์ได้เกิดติดตรึงอยู่ในทุกผู้คนที่เข้าใจเหตุการณ์นี้อย่างลึกซึ้ง  ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงมีสิทธิอำนาจประเภทนี้ และถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงส่งสารเกี่ยวกับอธิปไตยที่พระองค์ทรงมีเหนือชีวิตและความตายของมวลมนุษย์โดยผ่านทางการทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตาย แต่นี่ก็ไม่ใช่พระราชกิจหลักของพระองค์  พระเจ้าไม่มีวันทรงทำบางสิ่งบางอย่างโดยไร้ความหมาย ทุกๆ สิ่งที่พระองค์ทรงทำมีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ และเป็นเครื่องอาภรณ์ที่เลิศล้ำในห้องเก็บขุมทรัพย์  พระองค์จะไม่ทรงทำให้ “การทำให้บุคคลหนึ่งออกมาจากอุโมงค์ฝังศพของพวกเขา” เป็นรายการหรือเป้าหมายหลักเพียงอย่างเดียวของพระราชกิจของพระองค์  พระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งใดก็ตามที่ปราศจากความหมาย  การทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายในฐานะเหตุการณ์เดี่ยวๆ นั้นเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า และพิสูจน์พระอัตลักษณ์ขององค์พระเยซูเจ้า  นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมองค์พระเยซูเจ้าจึงไม่ทรงทำการอัศจรรย์ประเภทนี้ซ้ำ  พระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ ตามหลักการของพระองค์เอง  ในภาษาของมนุษย์ สามารถกล่าวได้ว่าพระเจ้าทรงให้จิตใจของพระองค์ติดพันอยู่กับเรื่องที่จริงจังเท่านั้น  นั่นคือ เมื่อพระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ พระองค์ไม่ทรงไถลห่างจากจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระองค์  พระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์ทรงต้องประสงค์จะปฏิบัติพระราชกิจใดในช่วงระยะนี้ พระองค์ทรงต้องประสงค์จะสำเร็จลุล่วงในสิ่งใด และพระองค์จะทรงพระราชกิจตามแผนของพระองค์อย่างเข้มงวด  หากบุคคลที่เสื่อมทรามมีความสามารถประเภทนั้น เขาจะคิดถึงเพียงวิธีที่จะเผยความสามารถของเขาเพื่อให้ผู้อื่นรู้ว่าเขาช่างน่าเกรงขามเพียงใด เพื่อให้พวกเขากราบไหว้เขา เพื่อให้เขาสามารถควบคุมพวกเขาและล้างผลาญพวกเขา  นี่คือความชั่วที่มาจากซาตาน—สิ่งนี้เรียกว่าความเสื่อมทราม  พระเจ้าไม่ทรงมีพระอุปนิสัยเช่นนั้น และพระองค์ไม่ทรงมีแก่นแท้เช่นนั้น  จุดประสงค์ของพระองค์ในการทำสิ่งต่างๆ ไม่ใช่เพื่ออวดตัวพระองค์ แต่เพื่อจัดเตรียมการเปิดเผยและการทรงนำมากยิ่งขึ้นให้แก่มวลมนุษย์ และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้คนจึงมองเห็นตัวอย่างอุบัติการณ์ประเภทนี้ในพระคัมภีร์น้อยมาก  นี่ไม่ใช่เพื่อจะพูดว่าฤทธานุภาพขององค์พระเยซูเจ้ามีจำกัด หรือว่าพระองค์ไม่ทรงสามารถทำสิ่งเช่นนั้น  เป็นเพียงว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะทำเช่นนั้น เพราะการที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายมีนัยสำคัญที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก และยังเป็นเพราะว่าพระราชกิจหลักของพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้นไม่ใช่การแสดงการอัศจรรย์ ไม่ใช่การนำผู้คนกลับจากความตาย แต่เป็นพระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์  ดังนั้น พระราชกิจส่วนใหญ่ที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำให้ครบบริบูรณ์คือการสอนผู้คน การจัดเตรียมพวกเขา และการช่วยเหลือพวกเขา และเหตุการณ์ต่างๆ เช่นการทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของพันธกิจที่องค์พระเยซูเจ้าทรงดำเนินการ  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าสามารถกล่าวได้ว่า “การอวด” ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแก่นแท้ของพระเจ้า ดังนั้น องค์พระเยซูเจ้าจึงไม่ทรงมีเจตนาที่จะหักห้ามพระทัยโดยการไม่แสดงการอัศจรรย์เพิ่มเติม อีกทั้งนี่ไม่ได้เป็นเพราะข้อจำกัดด้านสภาพแวดล้อม และแน่นอนว่าไม่ได้เป็นเพราะการขาดฤทธานุภาพ

เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงนำลาซารัสกลับจากความตาย พระองค์ทรงใช้เพียงไม่กี่คำเหล่านี้ว่า “ลาซารัส ออกมาเถิด”  พระองค์ไม่ตรัสสิ่งใดนอกเหนือไปจากนี้  ดังนั้นแล้วพระวจนะเหล่านี้แสดงถึงสิ่งใด?  พระวจนะเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าสามารถทำสิ่งใดก็ตามให้สำเร็จลุล่วงได้โดยการตรัส รวมถึงการทรงทำให้คนตายเป็นขึ้นจากตาย  เมื่อพระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง เมื่อพระองค์ทรงสร้างโลก พระองค์ทรงทำเช่นนั้นด้วยพระวจนะ—พระบัญชาที่ตรัสออกมา พระวจนะที่มีสิทธิอำนาจ และในหนทางนี้ ทุกสรรพสิ่งได้รับการสร้างขึ้น และด้วยเหตุนี้การทรงสร้างจึงสำเร็จลุล่วง  พระวจนะไม่กี่คำที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสเหล่านี้เป็นเหมือนกับพระวจนะที่พระเจ้าตรัสเมื่อพระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก และสรรพสิ่ง ในลักษณะเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ก็ถือสิทธิอำนาจของพระเจ้าและฤทธานุภาพของพระผู้สร้าง  ทุกสรรพสิ่งได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นและยืนหยัดได้เพราะพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า และในหนทางเดียวกัน ลาซารัสเดินออกจากอุโมงค์ฝังศพของเขาเพราะพระวจนะจากพระโอษฐ์ขององค์พระเยซูเจ้า  นี่คือสิทธิอำนาจของพระเจ้า ซึ่งได้รับการแสดงให้เห็นและได้รับการทำให้เป็นจริงขึ้นในเนื้อหนังที่พระองค์ทรงจุติมาเป็นมนุษย์  สิทธิอำนาจและความสามารถประเภทนี้เป็นของพระผู้สร้างและบุตรมนุษย์ ซึ่งพระผู้สร้างได้ทรงเป็นจริงขึ้นในบุตรมนุษย์นี้  นี่คือความเข้าใจที่มวลมนุษย์ได้รับการสอนจากการที่พระเจ้าทรงนำลาซารัสกลับจากความตาย

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 78

การตัดสินพระเยซูของพวกฟาริสี

มาระโก 3:21-22  เมื่อญาติพี่น้องของพระองค์ได้ยินเหตุการณ์นี้ ก็ออกไปรั้งพระองค์ไว้ เพราะพวกเขาบอกว่าพระองค์เสียสติแล้ว ส่วนพวกธรรมาจารย์ที่ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มกล่าวว่า “คนนี้ถูกผีเบเอลเซบูลเข้าสิง ที่เขาขับผีได้ก็เพราะเขาใช้อำนาจของนายผีนั้น”

พระเยซูทรงประณามพวกฟาริสี

มัทธิว 12:31-32  เพราะเหตุนี้เราบอกพวกท่านว่า บาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดอภัยให้มนุษย์ได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะโปรดอภัยให้มนุษย์ไม่ได้ ถ้าใครกล่าวร้ายบุตรมนุษย์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นได้ แต่ถ้าใครกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า

มัทธิว 23:13-15  วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม [วิบัติแก่พวกเจ้าพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าริบเอาบ้านของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องมีโทษมากยิ่งขึ้น] วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าไปทั่วทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อจะได้สักคนหนึ่งเข้าจารีต แต่เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาตกนรกยิ่งกว่าพวกเจ้าเองถึงสองเท่า

เนื้อหาของสองบทตอนข้างต้นแตกต่างกัน  พวกเรามาดูที่บทตอนแรกกันก่อนคือ  การตัดสินพระเยซูของพวกฟาริสี

ในพระคัมภีร์ การตีราคาพระเยซูพระองค์เองของพวกฟาริสีและสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำนั้นได้แก่ “…พวกเขาบอกว่าพระองค์เสียสติแล้ว… ‘คนนี้ถูกผีเบเอลเซบูลเข้าสิง ที่เขาขับผีได้ก็เพราะเขาใช้อำนาจของนายผีนั้น’” (มาระโก 3:21-22) การตัดสินองค์พระเยซูเจ้าของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีไม่ใช่การที่พวกเขาแค่เอาอย่างคำพูดของผู้คนอื่นๆ และไม่ใช่การอนุมานที่ไม่มีพื้นฐานที่มา—มันเป็นข้อสรุปที่พวกเขามีเกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้าจากสิ่งที่พวกเขามองเห็นและได้ยินเกี่ยวกับการกระทำของพระองค์  ถึงแม้ว่าข้อสรุปของพวกเขาจะมีขึ้นอย่างโอ้อวดในนามของความยุติธรรมและปรากฏต่อผู้คนเสมือนว่ามันมีพื้นฐานมาจากข้อเท็จจริง แต่ความโอหังที่พวกเขาใช้ตัดสินองค์พระเยซูเจ้านั้นก็ยากจะเก็บไว้แม้สำหรับพวกเขา  พลังงานที่คลุ้มคลั่งของความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อองค์พระเยซูเจ้าได้เปิดโปงความมักใหญ่ใฝ่สูงอันขาดการยับยั้งชั่งใจของพวกเขาเองและโฉมหน้าเยี่ยงซาตานชั่วของพวกเขา อีกทั้งธรรมชาติที่มุ่งร้ายของพวกเขาที่พวกเขาใช้ต้านทานพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้ที่พวกเขาพูดในการตัดสินองค์พระเยซูเจ้าของพวกเขาได้รับการขับเคลื่อนจากความมักใหญ่ใฝ่สูงอันขาดการยับยั้งชั่งใจ ความอิจฉาริษยา และธรรมชาติที่น่าเกลียดและมุ่งร้ายของความเป็นปรปักษ์ที่มีต่อพระเจ้าและความจริงของพวกเขา  พวกเขาไม่ได้ตรวจสอบแหล่งที่มาของการกระทำขององค์พระเยซูเจ้า อีกทั้งพวกเขาไม่ได้ตรวจสอบแก่นแท้ของสิ่งที่พระองค์ตรัสหรือทำ  แทนที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาที่อยู่ในสภาวะของการปลุกปั่นที่บ้าคลั่ง กลับโจมตีและทำให้สิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำนั้นเสื่อมเสียด้วยความมุ่งร้ายโดยตั้งใจและอย่างมืดบอด พวกเขายังถึงกับตั้งใจทำให้พระวิญญาณของพระเจ้า นั่นคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งเป็นพระวิญญาณของพระเจ้าเสื่อมเสียด้วย  นี่คือความหมายที่พวกเขาตั้งใจเมื่อพวกเขาพูดว่า  “พระองค์เสียสติแล้ว” “ผีเบเอลเซบูล” และ “นายผีนั้น”  กล่าวได้ว่าพวกเขาพูดว่าพระวิญญาณของพระเจ้าถูกผีเบเอลเซบูลเข้าสิงและเป็นนายผี  พวกเขาอธิบายลักษณะพระราชกิจของพระวิญญาณของพระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์และทรงสวมพระองค์เองในเนื้อหนังว่าเป็นความบ้า  พวกเขาไม่เพียงแต่หมิ่นประมาทพระวิญญาณของพระเจ้าว่าเป็นผีเบเอลเซบูลและเป็นนายผี แต่ยังกล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้า และกล่าวโทษและหมิ่นประมาทองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอีกด้วย  แก่นแท้ของการต้านทานและการหมิ่นประมาทพระเจ้าของพวกเขาเหมือนกับแก่นแท้ของการต้านทานและการหมิ่นประมาทพระเจ้าที่ซาตานและปีศาจใชทั้งหมด  พวกเขาไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนมนุษย์ที่เสื่อมทรามเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเป็นรูปจำแลงของซาตาน  พวกเขาคือช่องทางของซาตานท่ามกลางมวลมนุษย์ และพวกเขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและข้ารับใช้ของซาตาน  แก่นแท้ของการหมิ่นประมาทของพวกเขาและการทำให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าเสื่อมเสียคือการที่พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนกับพระเจ้าเพื่อให้ได้รับสถานะ การแข่งขันกับพระเจ้าของพวกเขา และการทดสอบพระเจ้าอย่างไม่รู้จบของพวกเขา  แก่นแท้ของการต้านทานพระเจ้าของพวกเขา และท่าทีการเป็นปรปักษ์ต่อพระองค์ของพวกเขา อีกทั้งคำพูดของพวกเขาและความคิดของพวกเขาต่างหมิ่นประมาทและทำให้พระวิญญาณของพระเจ้ากริ้วโดยตรง  ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงกำหนดการพิพากษาที่เหมาะสมโดยมีพื้นฐานมาจากสิ่งที่พวกเขาพูดและทำ และพระเจ้าทรงกำหนดว่าความประพฤติของพวกเขาเป็นบาปแห่งการหมิ่นประมาทต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์  บาปนี้ไม่อาจให้อภัยได้ทั้งในโลกนี้และโลกที่กำลังจะมาถึง ดังที่ได้รับการสนับสนุนในบทตอนดังต่อไปนี้ของพระคัมภีร์ ความว่า “คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะโปรดอภัยให้มนุษย์ไม่ได้” และ “ถ้าใครกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า” วันนี้ พวกเราจะมาพูดถึงความหมายที่แท้จริงของพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้า: “จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า”  นั่นคือ พวกเรามาขจัดความลึกลับกันว่าพระเจ้าทรงทำให้พระวจนะนี้ลุล่วงได้อย่างไร: “จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า”

ทุกสิ่งที่พวกเราได้กล่าวถึงนั้นสัมพันธ์กับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ  โดยธรรมชาติแล้ว สองบทตอนข้างต้นก็ไม่มีข้อยกเว้น  พวกเจ้าสังเกตเห็นสิ่งใดในสองบทตอนนี้ในข้อพระคัมภีร์?  บางคนพูดว่าพวกเขามองเห็นความกริ้วของพระเจ้าในบทตอนเหล่านี้  บางคนพูดว่าพวกเขามองเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าในด้านที่ไม่ทนยอมรับการทำให้ขุ่นเคืองของมวลมนุษย์ และหากผู้คนทำบางสิ่งบางอย่างที่หมิ่นประมาทพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะไม่ได้รับการให้อภัยจากพระองค์  ถึงแม้ว่าจะมีข้อเท็จจริงที่ผู้คนมองเห็นและล่วงรู้ความกริ้วของพระเจ้าและความไม่ทนยอมรับต่อการทำให้ขุ่นเคืองของมวลมนุษย์ในสองบทตอนนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้เข้าใจท่าทีของพระองค์อย่างแท้จริง  สิ่งที่บอกเป็นนัยในบทตอนสองบทนี้คือการอ้างอิงที่ซ่อนอยู่เกี่ยวกับท่าทีที่แท้จริงของพระเจ้าและวิธีเข้าหาที่พระองค์ทรงมีต่อผู้ที่หมิ่นประมาทและทำให้พระองค์กริ้ว  ท่าทีและวิธีเข้าหาของพระองค์แสดงให้เห็นความหมายที่แท้จริงของบทตอนต่อไปนี้: “ถ้าใครกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า”  เมื่อผู้คนหมิ่นประมาทพระเจ้าและเมื่อพวกเขาทำให้พระองค์กริ้ว พระองค์ทรงออกคำพิพากษา และคำพิพากษานี้คือบทอวสานที่พระองค์ทรงกำหนด  ในพระคัมภีร์มีการพรรณนาในลักษณะนี้: “เพราะเหตุนี้เราบอกพวกท่านว่า บาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดอภัยให้มนุษย์ได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะโปรดอภัยให้มนุษย์ไม่ได้” (มัทธิว 12:31) และ “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด” (มัทธิว 23:13) อย่างไรก็ตาม มีการบันทึกในพระคัมภีร์หรือไม่ว่าบทอวสานสำหรับพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี ตลอดจนสำหรับผู้คนที่พูดว่าองค์พระเยซูเจ้าเป็นบ้าหลังจากที่พระองค์ตรัสสิ่งเหล่านี้คืออะไร?  มีการบันทึกหรือไม่ว่าพวกเขาทนทุกข์จากการลงโทษใดๆ?  ไม่—สิ่งนี้สามารถพูดได้อย่างแน่นอน  การพูดว่า “ไม่” ในที่นี้ไม่ใช่การพูดว่าไม่มีการบันทึกเช่นนั้น แต่อันที่จริงแล้วเป็นเพียงว่าไม่มีบทอวสานที่ตามนุษย์สามารถมองเห็นได้เท่านั้น  การพูดว่า “ไม่มีการบันทึก” เป็นการจาระไนถึงประเด็นเกี่ยวกับท่าทีและหลักการของพระเจ้าในการควบคุมดูแลบางสิ่ง พระเจ้าไม่ได้ทรงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นผู้คนที่หมิ่นประมาทหรือต้านทานพระองค์ หรือแม้กระทั่งบรรดาผู้ที่ให้ร้ายพระองค์—ผู้คนที่มีเจตนาโจมตี ให้ร้าย และสาปแช่งพระองค์—แต่พระองค์ทรงมีท่าทีที่ชัดเจนต่อพวกเขา  พระองค์ทรงรังเกียจชิงชังผู้คนเหล่านี้ และพระองค์ทรงกล่าวโทษพวกเขาในพระทัยของพระองค์  พระองค์ยังแม้กระทั่งประกาศอย่างเปิดเผยว่าบทอวสานของพวกเขาจะเป็นอย่างไร เพื่อให้ผู้คนรู้ว่าพระองค์ทรงมีท่าทีที่ชัดเจนต่อผู้ที่หมิ่นประมาทพระองค์ และเพื่อให้พวกเขารู้ว่าพระองค์จะทรงกำหนดบทอวสานของพวกเขาอย่างไร  อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พระเจ้าตรัสสิ่งเหล่านี้ ผู้คนแทบจะไม่สามารถมองเห็นความจริงว่าพระเจ้าจะทรงควบคุมดูแลผู้คนเหล่านั้นอย่างไร และพวกเขาไม่สามารถเข้าใจหลักการที่อยู่เบื้องหลังบทอวสานและคำพิพากษาที่พระเจ้าทรงออกให้กับพวกเขา  นั่นจึงกล่าวได้ว่า ผู้คนไม่สามารถมองเห็นแนวทางและวิธีการที่เฉพาะเจาะจงที่พระเจ้าทรงมีเพื่อควบคุมดูแลพวกเขา  นี่เกี่ยวข้องกับหลักการในการทำสิ่งต่างๆ ของพระเจ้า  พระเจ้าทรงใช้อุบัติการณ์ของข้อเท็จจริงในการจัดการกับพฤติกรรมชั่วของผู้คนบางคน  นั่นคือ พระองค์ไม่ได้ทรงประกาศบาปของพวกเขา และไม่ได้ทรงกำหนดบทอวสานของพวกเขา แต่ทรงใช้อุบัติการณ์ของข้อเท็จจริงในการให้การลงโทษและผลสนองที่ยุติธรรมของพวกเขา  เมื่อข้อเท็จจริงเหล่านี้เกิดขึ้น เนื้อหนังของผู้คนคือสิ่งที่ทนทุกข์กับการลงโทษ ซึ่งหมายความว่าการลงโทษคือบางสิ่งบางอย่างที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์  เมื่อทรงจัดการกับพฤติกรรมชั่วของผู้คนบางคน พระเจ้าเพียงแค่ทรงสาปแช่งพวกเขาด้วยพระวจนะ และความกริ้วของพระองค์ก็เกิดขึ้นกับพวกเขาด้วยเช่นกัน แต่การลงโทษที่พวกเขาได้รับอาจเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้  อย่างไรก็ตาม บทอวสานประเภทนี้อาจร้ายแรงมากกว่าบทอวสานที่ผู้คนสามารถมองเห็นได้เสียอีก เช่น การถูกลงโทษหรือถูกฆ่า  นี่เป็นเพราะภายใต้รูปการณ์แวดล้อมต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดแล้วว่าจะไม่ช่วยบุคคลประเภทนี้ให้รอด จะไม่แสดงความปรานีหรือมีการทนยอมรับให้พวกเขาอีกต่อไป และจะไม่จัดเตรียมโอกาสใดๆ แก่พวกเขาอีก เช่นนั้นแล้วท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาคือท่าทีแห่งการละวางพวกเขา  “ละวาง” หมายความว่าอย่างไรในที่นี้?  ความหมายโดยพื้นฐานของคำนี้คือ การวางบางสิ่งบางอย่างไว้ข้างหนึ่ง การเพิกเฉยและไม่ให้ความสนใจกับมันอีกต่อไป  แต่ในที่นี้ เมื่อพระเจ้าทรงละวางใครบางคน ความหมายของวลีนี้มีคำอธิบายที่แตกต่างกันสองประการ ได้แก่  คำอธิบายแรกคือพระองค์ได้ประทานชีวิตของบุคคลผู้นั้นและทุกสิ่งเกี่ยวกับบุคคลผู้นั้นให้ซาตานจัดการไปแล้ว และพระเจ้าจะไม่ทรงรับผิดชอบบุคคลผู้นั้นอีกต่อไป และจะไม่ทรงบริหารจัดการบุคคลผู้นั้นอีกต่อไป  ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะบ้าหรือโง่ หรือไม่ว่าพวกเขาจะตายหรือมีชีวิตอยู่ หรือไม่ว่าพวกเขาจะได้ลงนรกเพื่อเป็นการลงโทษของพวกเขาหรือไม่ ไม่มีสิ่งใดในนี้ที่จะมีความเกี่ยวข้องกับพระเจ้า  นั่นจะหมายความว่าสิ่งทรงสร้างเช่นนั้นจะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับพระผู้สร้าง  คำอธิบายที่สองคือพระเจ้าได้ทรงกำหนดว่าพระองค์เองทรงต้องประสงค์ที่จะทำบางสิ่งบางอย่างกับบุคคลผู้นี้ ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง  ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่พระองค์จะทรงใช้ประโยชน์จากการปรนนิบัติของบุคคลผู้นี้ หรือพระองค์จะใช้พวกเขาเป็นสิ่งที่เน้นให้เห็นสิ่งอื่น  มีความเป็นไปได้ที่พระองค์จะทรงมีวิธีการพิเศษในการจัดการกับบุคคลประเภทนี้ ซึ่งเป็นวิธีการพิเศษในการปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นเดียวกับเปาโล เป็นต้น  นี่คือหลักการและท่าทีในพระทัยของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงใช้ในการกำหนดการจัดการกับบุคคลประเภทนี้  ดังนั้น เมื่อบุคคลหนึ่งต้านทานพระเจ้าและให้ร้ายและหมิ่นประมาทพระองค์ หากพวกเขายั่วยุพระอุปนิสัยของพระองค์ หรือหากพวกเขาผลักดันพระเจ้าเกินขีดจำกัดการทนยอมรับของพระองค์ เช่นนั้นแล้วผลพวงจะเป็นสิ่งที่น่าตกใจเกินกว่าจะนึกถึง  ผลพวงที่รุนแรงที่สุดคือ พระเจ้าทรงยื่นชีวิตของพวกเขาและทุกสิ่งเกี่ยวกับพวกเขาให้แก่ซาตานแบบครั้งเดียวและตลอดไป  พวกเขาจะไม่ได้รับการประทานอภัยชั่วนิจนิรันดร์  นี่หมายความว่าบุคคลนี้ได้กลายเป็นอาหารในปากของซาตาน ของเล่นในมือของมันไปแล้ว และจากนั้นเป็นต้นไปพระเจ้าจะไม่ทรงมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพวกเขาอีก  พวกเจ้าสามารถจินตนาการออกหรือไม่ว่ามันเป็นความทุกข์เข็ญใดเมื่อซาตานทดลองโยบ?  แม้อยู่ภายใต้สภาวะที่ซาตานไม่ได้รับอนุญาตให้ทำร้ายชีวิตของโยบ แต่โยบยังคงทนทุกข์เป็นอย่างยิ่ง  และมันไม่ได้ยากยิ่งไปกว่าอีกหรือที่จะจินตนาการถึงการทำลายล้างที่ซาตานจะทำให้เกิดขึ้นกับใครบางคนที่ได้ถูกยื่นให้กับซาตานอย่างสมบูรณ์ ผู้ที่อยู่ภายในเงื้อมมือของซาตานอย่างสมบูรณ์ ผู้ที่ได้สูญเสียความใส่พระทัยและความปรานีของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ ผู้ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของพระผู้สร้างอีกต่อไป และผู้ที่ถูกถอดสิทธิที่จะนมัสการพระองค์และสิทธิที่จะเป็นสิ่งทรงสร้างภายใต้การปกครองของพระเจ้า และผู้ที่สัมพันธภาพของเขากับองค์พระผู้เป็นเจ้าของสิ่งทรงสร้างถูกตัดขาดอย่างสมบูรณ์?  การข่มเหงโยบของซาตานคือบางสิ่งบางอย่างที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์ แต่หากพระเจ้าทรงยื่นชีวิตของบุคคลหนึ่งให้ซาตาน ผลพวงจะเกินกว่าจินตนาการของมนุษย์  ตัวอย่างเช่น บางคนอาจเกิดใหม่เป็นวัวหรือลา ในขณะที่บางคนอาจติดพันและถูกครอบครองด้วยบรรดาวิญญาณชั่วที่มีมลทิน เป็นต้น  เช่นนั้นคือบทอวสานของผู้คนบางคนที่พระเจ้าทรงยื่นให้กับซาตาน  จากภายนอกนั้นดูเหมือนว่าผู้คนเหล่านั้นผู้ซึ่งได้เยาะหยัน ให้ร้าย กล่าวโทษ และหมิ่นประมาทองค์พระเยซูเจ้าไม่ได้ทนทุกข์กับผลพวงใดๆ  อย่างไรก็ตาม ความจริงคือพระเจ้าทรงมีแนวทางในการจัดการกับทุกสิ่ง  พระองค์อาจไม่ทรงใช้ภาษาที่ชัดเจนในการตรัสบอกผู้คนถึงผลลัพธ์ว่าพระองค์ทรงจัดการบุคคลทุกประเภทอย่างไร  บางครั้งพระองค์อาจไม่ตรัสโดยตรง แต่ทรงกระทำการโดยตรงแทน  การที่พระองค์ไม่ตรัสถึงมันไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นไม่มีบทอวสาน—อันที่จริง ในกรณีเช่นนั้น มีความเป็นไปได้ที่บทอวสานจะร้ายแรงมากกว่าอีก  จากภายนอกอาจดูเหมือนว่ามีบางคนที่พระเจ้าไม่ตรัสเกี่ยวกับท่าทีของพระองค์อย่างชัดเจน แต่ในความเป็นจริงแล้ว พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะให้ความใส่พระทัยใดๆ กับพวกเขามาเป็นเวลานานแล้ว  พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะทอดพระเนตรเห็นพวกเขาอีกต่อไป  เพราะสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาได้ทำและพฤติกรรมของพวกเขา เพราะแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา พระเจ้าจึงทรงต้องประสงค์เพียงที่จะให้พวกเขาหายไปจากสายพระเนตรของพระองค์ ทรงต้องประสงค์ที่จะยื่นพวกเขาให้ซาตานโดยตรง ที่จะประทานวิญญาณ จิตใจ และร่างกายของพวกเขาให้กับซาตาน และอนุญาตให้ซาตานทำสิ่งใดก็ตามที่มันต้องการกับพวกเขาได้  เป็นที่ชัดเจนว่าพระเจ้าทรงเกลียดชังพวกเขาถึงขอบเขตใด พระองค์ทรงรังเกียจพวกเขาถึงขอบเขตใด  หากบุคคลหนึ่งทำให้พระเจ้ากริ้วจนถึงจุดที่พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์แม้แต่จะทอดพระเนตรเห็นพวกเขาอีกและทรงตระเตรียมที่จะหยุดคาดหวังในตัวพวกเขาอย่างสมบูรณ์ จนถึงจุดที่พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์แม้แต่จะจัดการกับพวกเขาด้วยพระองค์เอง—หากมันไปถึงจุดที่พระองค์จะทรงยื่นพวกเขาให้กับซาตานเพื่อให้มันทำตามที่มันต้องการ เพื่ออนุญาตให้ซาตานควบคุม กินผลาญ และปฏิบัติต่อพวกเขาในหนทางใดก็ตามที่มันพอใจ—เช่นนั้นแล้วบุคคลนี้ก็ถึงจุดจบโดยสิ้นเชิง  สิทธิในการเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้ถูกเพิกถอนไปอย่างถาวรแล้ว และสิทธิในการเป็นสิ่งทรงสร้างหนึ่งจากการทรงสร้างของพระเจ้าของพวกเขาได้มาถึงบทอวสานแล้ว  นี่ไม่ได้เป็นการลงโทษชนิดที่รุนแรงที่สุดหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 79

พระวจนะของพระเยซูถึงบรรดาสาวกของพระองค์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ (บทตอนที่คัดมา)

ยอห์น 20:26-29  เมื่อผ่านไปแปดวันแล้ว พวกสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีกและโธมัสอยู่กับพวกเขาด้วย ประตูก็ปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย” แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า “เอานิ้วของท่านแยงที่นี่ และดูที่มือของเรา ยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ” โธมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านเห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ?  คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข”

ยอห์น 21:16-17  พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?”  เขาทูลตอบพระองค์ว่า “ใช่ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงดูแลแกะของเราเถิด” พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?”  เปโตรเสียใจมากที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า “ท่านรักเราหรือ?”  เขาจึงทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงรู้ดีว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด”

สิ่งที่บทตอนเหล่านี้เล่าคือบางสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงปฏิบัติและตรัสต่อบรรดาสาวกของพระองค์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์  อันดับแรก พวกเรามาดูที่ความแตกต่างใดๆ ที่อาจมีในองค์พระเยซูเจ้าก่อนและหลังการคืนพระชนม์  พระองค์ยังคงทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้เดียวกับในอดีตหรือไม่?  พระคัมภีร์ประกอบด้วยบรรทัดต่อไปนี้ ซึ่งพรรณนาเกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้าหลังจากการคืนพระชนม์: “ประตูก็ปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาตรัสว่า ‘สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย’”  เป็นที่ชัดเจนอย่างยิ่งว่าองค์พระเยซูเจ้า ณ ขณะนั้นไม่ได้ประทับอยู่ในกายที่เป็นเนื้อหนังอีกต่อไป แต่ตอนนั้นพระองค์ประทับอยู่ในกายจิตวิญญาณ  นี่เป็นเพราะว่าพระองค์ได้ทรงก้าวเหนือข้อจำกัดของเนื้อหนังไปแล้ว ถึงแม้ว่าประตูจะปิด แต่พระองค์ยังคงสามารถเสด็จมาอยู่ท่ามกลางผู้คนและทรงทำให้พวกเขาสามารถมองเห็นพระองค์ได้  นี่คือความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างองค์พระเยซูเจ้าหลังการคืนพระชนม์กับองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงพระชนม์ชีพในเนื้อหนังก่อนการคืนพระชนม์  ถึงแม้ว่าจะไม่มีความแตกต่างใดๆ ระหว่างการทรงปรากฏของกายจิตวิญญาณในชั่วขณะนั้นกับการทรงปรากฏขององค์พระเยซูเจ้าตามที่ทรงเป็นก่อนหน้านั้น แต่องค์พระเยซูเจ้าในชั่วขณะนั้นได้ทรงกลายเป็นผู้ที่ผู้คนรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เพราะพระองค์ได้ทรงกลายเป็นกายจิตวิญญาณหลังจากที่ได้คืนพระชนม์จากความตาย และเมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อหนังก่อนหน้าของพระองค์แล้ว กายจิตวิญญาณนี้เป็นปริศนาและน่าสับสนมากกว่าสำหรับผู้คน  นอกจากนี้ยังทำให้เกิดระยะห่างระหว่างองค์พระเยซูเจ้าและผู้คนมากยิ่งขึ้น และผู้คนรู้สึกในหัวใจของพวกเขาว่าองค์พระเยซูเจ้าในชั่วขณะนั้นทรงกลับกลายเป็นลึกลับยิ่งขึ้น  การรับรู้และความรู้สึกเหล่านี้ในส่วนของผู้คนได้นำพวกเขากลับไปสู่ในยุคแห่งการเชื่อในพระเจ้าที่ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้โดยฉับพลัน  ดังนั้น สิ่งแรกที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์คือการทำให้ทุกคนสามารถมองเห็นพระองค์ได้ เพื่อยืนยันว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ และเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการคืนพระชนม์ของพระองค์  นอกจากนี้ การกระทำนี้ยังฟื้นคืนสัมพันธภาพที่พระองค์ทรงมีกับผู้คนให้กลับไปเป็นอย่างที่เคยเป็นเมื่อครั้งที่พระองค์กำลังทรงพระราชกิจในเนื้อหนัง เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ผู้ที่พวกเขาสามารถมองเห็นและสัมผัสได้  บทอวสานหนึ่งของการนี้คือ ผู้คนไม่มีความสงสัยในสิ่งใดก็ตามที่องค์พระเยซูเจ้าได้คืนพระชนม์จากความตายหลังจากทรงถูกตรึงที่กางเขน และพวกเขายังไม่มีความสงสัยในพระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์ขององค์พระเยซูเจ้าเช่นเดียวกัน  อีกบทอวสานหนึ่งคือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏต่อผู้คนหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์และการที่ทรงทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นและสัมผัสพระองค์นั้นได้ให้ความปลอดภัยแก่มวลมนุษย์ในยุคพระคุณอย่างมั่นคง ซึ่งทำให้แน่ใจว่า นับจากเวลานี้เป็นต้นไป ผู้คนจะไม่กลับไปสู่ยุคธรรมบัญญัติที่เป็นยุคก่อนหน้านั้นด้วยเหตุผลที่พวกเขาทึกทักเอาว่าองค์พระเยซูเจ้าได้ทรง “หายไป” หรือว่าพระองค์ได้ “เสด็จจากไปโดยไม่ตรัสพระวจนะใดๆ”  ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงได้ทรงทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะเดินหน้าต่อไปโดยปฏิบัติตามคำสอนขององค์พระเยซูเจ้าและพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำไว้  ด้วยเหตุนี้ ระยะใหม่ในพระราชกิจในยุคพระคุณจึงได้เปิดขึ้นอย่างเป็นทางการ และจากชั่วขณะนั้นเป็นต้นไป ผู้คนที่เคยได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติก็ได้โผล่ขึ้นจากธรรมบัญญัติและเข้าสู่ยุคใหม่ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นใหม่  เหล่านี้คือความหมายที่มีหลายแง่มุมของการที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏต่อมวลมนุษย์หลังจากการคืนพระชนม์

ในเมื่อขณะนี้องค์พระเยซูเจ้ากำลังประทับอยู่ในกายจิตวิญญาณ ผู้คนสามารถสัมผัสพระองค์และมองเห็นพระองค์ได้อย่างไร?  คำถามนี้กล่าวถึงนัยสำคัญของการทรงปรากฏต่อมวลมนุษย์ขององค์พระเยซูเจ้า  พวกเจ้าสังเกตเห็นสิ่งใดในบทตอนของข้อพระคัมภีร์ที่พวกเราเพิ่งได้อ่านไปหรือไม่?  โดยทั่วไปแล้ว กายจิตวิญญาณไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้ และหลังจากการคืนพระชนม์ พระราชกิจที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงปฏิบัติก็ได้ครบบริบูรณ์แล้ว  ดังนั้น ในทางทฤษฎี พระองค์ไม่ทรงมีความจำเป็นโดยสิ้นเชิงที่จะต้องเสด็จกลับมาท่ามกลางผู้คนในพระฉายาดั้งเดิมของพระองค์เพื่อพบกับพวกเขา แต่การทรงปรากฏของกายจิตวิญญาณขององค์พระเยซูเจ้าต่อผู้คนเช่นโธมัสได้ทำให้นัยสำคัญของการทรงปรากฏของพระองค์เป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อที่ว่าการทรงปรากฏของพระองค์จะได้แทรกซึมเข้าไปในหัวใจของผู้คนอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น  เมื่อพระองค์ได้เสด็จมาหาโธมัส พระองค์ได้ทรงให้โธมัสผู้สงสัยสัมผัสพระหัตถ์ของพระองค์ และได้ตรัสบอกเขาว่า: “ยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ”  พระวจนะและการกระทำเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าทรงต้องประสงค์จะตรัสและทำเพียงหลังจากที่พระองค์ได้คืนพระชนม์เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว นั่นคือสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะตรัสและทำก่อนที่พระองค์จะทรงถูกตรึงกางเขน เพราะข้อสงสัยของโธมัสไม่ได้เริ่มต้นในตอนนั้นเท่านั้น แต่อยู่กับเขาตลอดเวลาที่เขาติดตามองค์พระเยซูเจ้า  เห็นได้ชัดว่าก่อนที่พระองค์จะทรงถูกตรึงที่กางเขนนั้น องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงมีความเข้าใจเกี่ยวกับผู้คนเช่นโธมัสอยู่แล้ว  แล้วเราสามารถเห็นสิ่งใดจากการนี้?  พระองค์ยังคงทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าพระองค์เดิมหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์  แก่นแท้ของพระองค์ไม่ได้เปลี่ยนไป  อย่างไรก็ตาม นี่คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ได้คืนพระชนม์จากความตายและได้ทรงกลับจากโลกฝ่ายวิญญาณด้วยพระฉายาดั้งเดิมของพระองค์ ด้วยพระอุปนิสัยดั้งเดิมของพระองค์ และด้วยความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์ของพระองค์จากเวลาที่พระองค์ทรงอยู่ในเนื้อหนัง ดังนั้นพระองค์จึงได้เสด็จไปหาโธมัสก่อนเป็นอันดับแรก และทรงให้โธมัสสัมผัสพระปรัศว์ของพระองค์ ไม่ใช่เพียงเพื่อให้โธมัสมองเห็นกายจิตวิญญาณของพระองค์หลังจากการคืนพระชนม์เท่านั้น แต่ยังให้โธมัสสัมผัสและรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของกายทางจิตวิญญาณของพระองค์และคลายความสงสัยของเขาไปโดยสิ้นเชิง  ก่อนที่องค์พระเยซูเจ้าจะทรงถูกตรึงที่กางเขน โธมัสสงสัยในเรื่องที่พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์มาโดยตลอด และไม่สามารถเชื่อได้  ความเชื่อที่เขามีในพระเจ้านั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่เขาสามารถมองเห็นได้ด้วยตาของเขาเอง สิ่งที่เขาสามารถสัมผัสได้ด้วยมือของเขาเองเท่านั้น  องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงมีความเข้าใจเป็นอย่างดีเกี่ยวกับความเชื่อของบุคคลชนิดนี้  พวกเขาเชื่อเพียงพระเจ้าในสวรรค์ และไม่เชื่อในองค์หนึ่งเดียวผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา หรือพระคริสต์ในเนื้อหนังเลย อีกทั้งพวกเขาก็จะไม่ยอมรับพระองค์  เพื่อให้โธมัสยอมรับและเชื่อในการดำรงอยู่ขององค์พระเยซูเจ้าและเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง พระองค์จึงได้ทรงอนุญาตให้โธมัสเอื้อมมือของเขาออกมาสัมผัสพระปรัศว์ของพระองค์  ความสงสัยของโธมัสก่อนและหลังจากการคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูเจ้ามีความแตกต่างกันหรือไม่?  เขาสงสัยอยู่เสมอและไม่มีทางที่ผู้ใดจะสามารถแก้ไขความสงสัยและทำให้เขาคลายความสงสัยเหล่านั้นไปได้ ยกเว้นแต่กายจิตวิญญาณขององค์พระเยซูเจ้ามาปรากฏต่อเขาด้วยพระองค์เองและยอมให้เขาสัมผัสรอยตะปูบนพระกายของพระองค์  ดังนั้น นับตั้งแต่เวลาที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงอนุญาตให้โธมัสสัมผัสพระปรัศว์ของพระองค์ และปล่อยให้เขารู้สึกถึงการมีอยู่ของรอยตะปูจริงๆ ความสงสัยของโธมัสก็ได้หายไป และเขาได้รู้อย่างแท้จริงว่าองค์พระเยซูเจ้าได้คืนพระชนม์แล้ว และเขาได้ยอมรับและเชื่อว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระคริสต์และพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ที่แท้จริง  ถึงแม้ว่าในเวลานี้โธมัสจะไม่มีความสงสัยอีกต่อไป แต่เขาก็ได้สูญเสียโอกาสที่จะพบกับพระคริสต์ตลอดไปแล้ว  เขาได้สูญเสียโอกาสที่จะอยู่ร่วมกับพระองค์ ติดตามพระองค์ และรู้จักพระองค์ตลอดไปแล้ว  เขาได้สูญเสียโอกาสที่พระคริสต์จะทรงทำให้เขาเพียบพร้อมไปแล้ว  การทรงปรากฏขององค์พระเยซูเจ้าและพระวจนะของพระองค์ได้จัดเตรียมข้อสรุปและคำพิพากษากับความเชื่อของพวกที่เต็มไปด้วยความสงสัย  พระองค์ได้ทรงใช้พระวจนะและการกระทำจริงๆ ของพระองค์เพื่อบอกบรรดาผู้สงสัย บอกพวกที่เชื่อเฉพาะในพระเจ้าในสวรรค์แต่ไม่เชื่อในพระคริสต์ว่า  พระเจ้าไม่ได้ทรงชมเชยความเชื่อของพวกเขา อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงชมเชยพวกเขาสำหรับการติดตามพระองค์ในขณะที่สงสัยพระองค์  วันที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าและพระคริสต์อย่างเต็มเปี่ยมอาจเป็นวันที่พระเจ้าได้ทรงทำให้พระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ครบบริบูรณ์แล้วเท่านั้น  แน่นอนว่าวันนั้นก็จะเป็นวันที่ได้มีคำพิพากษาต่อความสงสัยของพวกเขาเช่นเดียวกัน  ท่าทีที่พวกเขามีต่อพระคริสต์ได้กำหนดชะตากรรมของพวกเขา และความสงสัยที่ดื้อรั้นของพวกเขาหมายความว่าความเชื่อของพวกเขาไม่ก่อให้เกิดผลใด และความแข็งกระด้างของพวกเขาหมายความว่าความหวังของพวกเขานั้นสูญเปล่า  เพราะการที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าในสวรรค์เพิ่มขึ้นเพราะภาพลวงตา และความสงสัยที่พวกเขามีต่อพระคริสต์นั้นอันที่จริงแล้วคือท่าทีที่แท้จริงที่พวกเขามีต่อพระเจ้า ถึงแม้ว่าพวกเขาได้สัมผัสรอยตะปูบนพระกายขององค์พระเยซูเจ้า ความเชื่อของพวกเขาก็ยังคงไร้ประโยชน์และบทอวสานของพวกเขาก็สามารถอธิบายได้เพียงว่าเป็นการตักน้ำด้วยตะกร้าไม้ไผ่—ทั้งหมดนั้นสูญเปล่า  สิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับโธมัสยังเป็นวิธีการของพระองค์ที่ชัดเจนอย่างยิ่งในการตรัสบอกทุกผู้คนเช่นกันว่า  องค์พระเยซูเจ้าผู้คืนพระชนม์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ได้ทรงใช้เวลาสามสิบสามปีครึ่งไปในการทรงพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์  ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงถูกตรึงที่กางเขนและได้ทรงรับประสบการณ์กับหุบเขาแห่งเงาของความตาย และถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงรับประสบการณ์กับการคืนพระชนม์ พระองค์ก็ไม่ได้ทรงก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าในแง่มุมใดๆ  ถึงแม้ว่าขณะนี้พระองค์ได้ทรงมีรอยตะปูบนร่างกายของพระองค์แล้ว และถึงแม้ว่าพระองค์ได้คืนพระชนม์และได้ทรงพระดำเนินออกจากหลุมฝังศพแล้ว แต่พระอุปนิสัยของพระองค์ ความเข้าใจเกี่ยวกับมวลมนุษย์ของพระองค์ และเจตนารมณ์ที่พระองค์ทรงมีต่อมวลมนุษย์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย  นอกจากนี้ พระองค์ยังกำลังตรัสบอกผู้คนว่าพระองค์ได้เสด็จลงจากกางเขน ได้ทรงฉลองชัยเหนือบาป ได้ทรงเอาชนะความยากลำบาก และได้ทรงฉลองชัยเหนือความตาย  รอยตะปูเป็นแค่หลักฐานแห่งชัยชนะเหนือซาตานของพระองค์ หลักฐานแห่งการเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปเพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งหมดได้สำเร็จ  พระองค์กำลังตรัสบอกผู้คนว่าพระองค์ได้ทรงรับบาปของมวลมนุษย์แล้ว และว่าพระองค์ได้ทรงทำให้พระราชกิจแห่งการไถ่ของพระองค์ครบบริบูรณ์แล้ว  เมื่อพระองค์ได้เสด็จกลับมาพบกับบรรดาสาวกของพระองค์ พระองค์ได้ตรัสบอกข้อความนี้กับพวกเขาโดยการทรงปรากฏของพระองค์: “เรายังมีชีวิตอยู่ เรายังดำรงอยู่ วันนี้เรากำลังยืนอยู่ต่อหน้าพวกเจ้าอย่างแท้จริง เพื่อที่ว่าพวกเจ้าสามารถมองเห็นและสัมผัสเราได้  เราจะอยู่กับพวกเจ้าเสมอ”  องค์พระเยซูเจ้ายังทรงต้องประสงค์ที่จะใช้กรณีของโธมัสเป็นการตักเตือนสำหรับผู้คนในอนาคตว่า  ถึงแม้ว่าเจ้าไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสองค์พระเยซูเจ้าในความเชื่อในพระองค์ของเจ้า แต่เจ้าก็ได้รับพรเพราะความเชื่อที่แท้จริงของเจ้า และเจ้าสามารถมองเห็นองค์พระเยซูเจ้าเพราะความเชื่อที่แท้จริงของเจ้า และบุคคลประเภทนี้ได้รับพร

พระวจนะที่ได้รับการบันทึกในพระคัมภีร์เหล่านี้ซึ่งองค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้เมื่อพระองค์ได้ทรงปรากฏต่อโธมัสเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้คนทั้งหมดในยุคพระคุณ  การทรงปรากฏต่อโธมัสของพระองค์และพระวจนะที่พระองค์ได้ตรัสต่อเขามีผลกระทบที่ลุ่มลึกต่อหลายชั่วคนหลังจากนั้น สิ่งเหล่านี้มีนัยสำคัญชั่วนิรันดร์  โธมัสเป็นตัวแทนของบุคคลชนิดหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้าแต่ยังสงสัยพระเจ้า  พวกเขามีธรรมชาติที่หวาดระแวง มีหัวใจที่มุ่งร้าย เป็นคนทรยศ และไม่เชื่อในสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงสามารถทำให้สำเร็จลุล่วง  พวกเขาไม่เชื่อในฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระเจ้าและอธิปไตยของพระองค์ และพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน  อย่างไรก็ตาม การคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูเจ้าขัดแย้งกับคุณสมบัติเหล่านี้ที่พวกเขามี และยังให้โอกาสพวกเขาในการค้นพบความสงสัยของพวกเขาเอง ระลึกได้ถึงความสงสัยของพวกเขาเอง และยอมรับการทรยศของพวกเขาเอง ด้วยเหตุนี้จึงมาเชื่ออย่างแท้จริงในการดำรงอยู่และการคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูเจ้า  สิ่งที่เกิดขึ้นกับโธมัสคือการตักเตือนและข้อควรระวังสำหรับคนยุคหลังจากนั้น เพื่อที่ว่าผู้คนจำนวนมากขึ้นสามารถตักเตือนตัวเองไม่ให้เป็นผู้สงสัยอย่างเช่นโธมัส และว่าหากพวกเขาได้ทำให้ตัวเองเต็มไปด้วยความสงสัย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะจมลงสู่ความมืด  หากเจ้าติดตามพระเจ้า แต่ต้องการสัมผัสพระปรัศว์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าและรู้สึกถึงรอยตะปูของพระองค์เพื่อยืนยัน เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง เพื่อคาดคะเนว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่อยู่เสมอเช่นเดียวกับโธมัส เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะทรงละทิ้งเจ้า  ดังนั้น องค์พระเยซูเจ้าจึงทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนไม่เป็นเหมือนกับโธมัสที่เชื่อเพียงสิ่งที่พวกเขามองเห็นได้ด้วยตาของพวกเขาเอง แต่ให้เป็นผู้คนที่บริสุทธิ์และซื่อสัตย์ ไม่เก็บงำความสงสัยต่อพระเจ้าเอาไว้  แต่เพียงเชื่อและติดตามพระองค์  ผู้คนเช่นนี้ย่อมได้รับพร  นี่คือพระประสงค์ที่เล็กน้อยมากที่องค์พระเยซูเจ้าทรงมีต่อผู้คน และเป็นการตักเตือนบรรดาผู้ติดตามของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 80

พระวจนะของพระเยซูถึงบรรดาสาวกของพระองค์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ (บทตอนที่คัดมา)

ยอห์น 21:16-17  พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?”  เขาทูลตอบพระองค์ว่า “ใช่ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงดูแลแกะของเราเถิด” พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?”  เปโตรเสียใจมากที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า “ท่านรักเราหรือ?”  เขาจึงทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงรู้ดีว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด”

ในการสนทนานี้ องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสถามสิ่งหนึ่งกับเปโตรซ้ำๆ ว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?”  นี่คือมาตรฐานที่สูงขึ้นซึ่งองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงพึงประสงค์จากผู้คนเช่นเปโตรหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ ผู้คนที่เชื่อในพระคริสต์อย่างแท้จริงและเพียรพยายามที่จะรักองค์พระผู้เป็นเจ้า  คำถามนี้เป็นการสืบสวนและการซักถามประเภทหนึ่ง แต่ยิ่งไปกว่านั้น คำถามนี้เป็นข้อพึงประสงค์และความคาดหวังจากผู้คนเช่นเปโตร  องค์พระเยซูเจ้าทรงใช้วิธีการตั้งคำถามนี้เพื่อให้ผู้คนไตร่ตรองเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง และมองเข้าไปในตัวพวกเขาเองและถามว่า: ข้อพึงประสงค์ขององค์พระเยซูเจ้าที่ทรงมีต่อผู้คนคือสิ่งใด?  เรารักองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือไม่?  เราเป็นบุคคลที่รักพระเจ้าหรือไม่?  เราควรรักพระเจ้าอย่างไร?  ถึงแม้ว่าองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงถามคำถามนี้กับเปโตรเท่านั้น แต่ความจริงก็คือ ในพระทัยของพระองค์ โดยการถามคำถามเหล่านี้กับเปโตร พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะใช้โอกาสนี้ถามคำถามประเภทเดียวกันนี้กับผู้คนมากกว่านี้ผู้ที่พยายามที่จะรักพระเจ้า  เป็นเพียงแค่ว่าเปโตรได้รับพรให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นตัวแทนของบุคคลประเภทนี้ เพื่อรับการตั้งคำถามจากพระโอษฐ์ขององค์พระเยซูเจ้าเอง

เมื่อเทียบกับพระวจนะต่อไปนี้ ซึ่งองค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับโธมัสหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ว่า “ยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ” การที่พระองค์ได้ทรงตั้งคำถามซ้ำสามครั้งกับเปโตรว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?”  ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ดีขึ้นถึงความเข้มงวดกวดขันในท่าทีขององค์พระเยซูเจ้า และความเร่งด่วนที่พระองค์ทรงรู้สึกในช่วงระหว่างการตั้งคำถามของพระองค์  สำหรับโธมัสผู้สงสัยนั้น ด้วยธรรมชาติที่หลอกลวงของเขา องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงอนุญาตให้เขาเอื้อมมือของเขามาสัมผัสรอยตะปูบนพระกายของพระองค์ ซึ่งได้นำให้เขาเชื่อว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นบุตรมนุษย์ที่ได้คืนพระชนม์ และยอมรับพระอัตลักษณ์ขององค์พระเยซูเจ้าในฐานะพระคริสต์  และถึงแม้ว่าองค์พระเยซูเจ้าจะไม่ได้ทรงประณามโธมัสอย่างเข้มงวดกวดขัน อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงแสดงการพิพากษาเขาที่ชัดเจนใดๆ โดยวาจา กระนั้นพระองค์ก็ได้ทรงใช้การกระทำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเพื่อให้โธมัสรู้ว่าพระองค์ทรงเข้าใจเขา ในขณะเดียวกันก็ทรงแสดงท่าทีและความตั้งพระทัยแน่วแน่ของพระองค์ต่อบุคคลชนิดนั้น  ข้อพึงประสงค์และความคาดหวังขององค์พระเยซูเจ้าที่ทรงมีต่อบุคคลชนิดนั้นไม่สามารถมองเห็นได้จากสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้ เพราะผู้คนเช่นโธมัสเพียงไม่มีความเชื่อที่แท้จริงแม้สักเสี้ยว  ข้อพึงประสงค์ขององค์พระเยซูเจ้าต่อพวกเขาไปถึงแค่จุดหนึ่งเท่านั้น แต่ท่าทีที่พระองค์ได้ทรงเผยต่อผู้คนเช่นเปโตรนั้นแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง  พระองค์ไม่ได้ทรงพึงประสงค์ให้เปโตรเอื้อมมือของเขามาสัมผัสรอยตะปูของพระองค์ อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ตรัสต่อเปโตรว่า “อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ”  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ได้ทรงถามคำถามเดิมกับเปโตรซ้ำๆ แทน  คำถามนี้กระตุ้นความคิดและเปี่ยมความหมาย คำถามที่มีแต่จะทำให้ผู้ติดตามทุกคนของพระคริสต์รู้สึกถึงความสำนึกผิดและความยำเกรง และยังรู้สึกถึงอารมณ์ที่วิตกกังวลและเต็มไปด้วยความโทมนัสขององค์พระเยซูเจ้า  และเมื่อพวกเขามีความเจ็บปวดและความทุกข์อันยิ่งใหญ่ พวกเขาจะมีความสามารถมากขึ้นที่จะเข้าใจความกังวลขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าและความใส่พระทัยของพระองค์ พวกเขาตระหนักถึงคำสอนที่จริงจังจริงใจของพระองค์และข้อพึงประสงค์ที่เคร่งครัดต่อผู้คนที่บริสุทธิ์และซื่อสัตย์  คำถามขององค์พระเยซูเจ้าทำให้ผู้คนสามารถรู้สึกว่าความคาดหวังที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีจากผู้คนซึ่งได้รับการเผยในพระวจนะที่เรียบง่ายเหล่านี้ไม่ใช่แค่การเชื่อและติดตามพระองค์เท่านั้น แต่เป็นการสัมฤทธิ์ผลในการมีความรัก การรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้าและพระเจ้าของเจ้า  ความรักประเภทนี้เป็นการเอาใจและการเชื่อฟัง  ความรักประเภทนี้คือการที่พวกมนุษย์ใช้ชีวิตเพื่อพระเจ้า ตายเพื่อพระเจ้า ทุ่มเทอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างให้กับพระเจ้า และสละและมอบทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระเจ้า  ความรักประเภทนี้ยังมอบความสบายพระทัยให้แก่พระเจ้าอีกด้วย ทำให้พระองค์ได้ทรงสุขสำราญกับคำพยานและได้ทรงหยุดพัก  ความรักประเภทนี้คือการตอบแทนพระเจ้าของมวลมนุษย์ ความรับผิดชอบ ภาระผูกพัน และหน้าที่ของมนุษย์ และเป็นวิธีการที่ผู้คนต้องติดตามตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา  คำถามสามคำถามเหล่านี้คือข้อพึงประสงค์และการเตือนสติที่องค์พระเยซูเจ้าทรงมีกับเปโตรและผู้คนทั้งหมดที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  คำถามสามคำถามนี้นี่เองที่ได้นำและจูงใจให้เปโตรติดตามเส้นทางของเขาในชีวิตไปจนถึงที่สุด และเป็นคำถามเหล่านี้นี่เองในเวลาที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จจากไป ที่ได้นำให้เปโตรเริ่มต้นเส้นทางใหม่ของการได้รับการทำให้เพียบพร้อมของเขา ที่ได้นำให้เขาดูแลเอาใจใส่พระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะความรักของเขาที่มีให้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า เชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า ถวายความสบายพระทัยให้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า และมอบถวายทั้งชีวิตของเขาและทั้งการเป็นอยู่ของเขาเพราะความรักนี้

ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ พระราชกิจของพระเจ้าเป็นไปเพื่อผู้คนสองประเภทเป็นหลัก  ผู้คนประเภทแรกคือผู้ที่เชื่อและติดตามพระองค์ ผู้ที่สามารถทำตามพระบัญญัติของพระองค์และแบกกางเขน และผู้ที่สามารถยึดมั่นตามวิธีของยุคพระคุณ  ผู้คนประเภทนี้จะได้รับพรจากพระเจ้าและสุขสำราญกับพระคุณของพระเจ้า  ผู้คนประเภทที่สองคือผู้คนเช่นเปโตร คนบางคนที่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม ดังนั้น หลังจากที่องค์พระเยซูเจ้าได้คืนพระชนม์ อันดับแรกพระองค์ได้ทรงทำสิ่งที่เปี่ยมความหมายมากที่สุดสองสิ่งนี้  สิ่งแรกได้ทรงปฏิบัติกับโธมัส อีกสิ่งกับเปโตร  สองสิ่งเหล่านี้เป็นตัวแทนของอะไร?  สิ่งเหล่านี้เป็นตัวแทนของเจตนารมณ์ที่แท้จริงของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดหรือไม่?  สิ่งเหล่านี้เป็นตัวแทนของความจริงใจที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์หรือไม่?  พระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำกับโธมัสคือเพื่อเตือนผู้คนว่าอย่าเป็นผู้สงสัย แต่เพียงแค่เชื่อ  พระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำกับเปโตรคือเพื่อเสริมกำลังความเชื่อของผู้คนเช่นเปโตร และทำให้พระประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อบุคคลประเภทนี้ชัดเจน เพื่อแสดงว่าพวกเขาควรไล่ตามเสาะหาเป้าหมายใด

หลังจากที่องค์พระเยซูเจ้าได้คืนพระชนม์แล้ว พระองค์ได้ทรงปรากฏต่อผู้คนที่พระองค์มีพระดำริว่าจำเป็น ตรัสกับพวกเขา และกำหนดข้อพึงประสงค์จากพวกเขา โดยทรงปล่อยให้เจตนารมณ์และความคาดหวังที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คนไว้เบื้องหลัง  นั่นจึงกล่าวได้ว่า ในฐานะพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ ความกังวลต่อมวลมนุษย์และข้อพึงประสงค์จากผู้คนของพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้ยังคงเหมือนกับเมื่อครั้งที่พระองค์ได้ประทับอยู่ในเนื้อหนัง และเมื่อพระองค์ได้ประทับอยู่ในกายจิตวิญญาณของพระองค์หลังจากที่ได้ทรงถูกตรึงที่กางเขนและคืนพระชนม์  พระองค์ทรงกังวลเกี่ยวกับสาวกเหล่านี้ก่อนที่พระองค์ทรงอยู่บนกางเขน และในพระทัยของพระองค์นั้น พระองค์ทรงชัดเจนเกี่ยวกับสภาวะของทุกบุคคลและพระองค์เข้าพระทัยความบกพร่องของทุกคน และแน่นอนว่าความเข้าพระทัยที่พระองค์ทรงมีเกี่ยวกับทุกบุคคลหลังจากที่พระองค์ได้สิ้นพระชนม์ คืนพระชนม์ และได้ทรงกลายเป็นกายจิตวิญญาณนั้นเหมือนกับที่เคยเป็นเมื่อพระองค์ประทับอยู่ในเนื้อหนัง  พระองค์ทรงรู้ว่าผู้คนไม่มั่นใจโดยสิ้นเชิงเกี่ยวกับพระอัตลักษณ์ของพระองค์ในฐานะพระคริสต์ แต่ในช่วงระหว่างเวลาที่พระองค์ประทับอยู่ในเนื้อหนัง พระองค์ไม่ได้ทรงมีข้อเรียกร้องที่เคร่งครัดใดๆ กับผู้คน  อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พระองค์ได้คืนพระชนม์แล้ว พระองค์ได้ทรงปรากฏต่อพวกเขา และพระองค์ได้ทรงทำให้พวกเขามั่นใจอย่างสมบูรณ์ว่าองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาจากพระเจ้า และว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ และพระองค์ได้ทรงใช้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทรงปรากฏของพระองค์และการคืนพระชนม์ของพระองค์เป็นนิมิตและแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับการไล่ตามเสาะหาตลอดชีวิตของมวลมนุษย์  การคืนพระชนม์จากความตายของพระองค์ไม่เพียงแต่เสริมกำลังทุกผู้คนที่ติดตามพระองค์เท่านั้น แต่ยังทำให้พระราชกิจแห่งยุคพระคุณของพระองค์มีผลอย่างครบถ้วนท่ามกลางมวลมนุษย์ และดังนั้นข่าวประเสริฐเกี่ยวกับความรอดขององค์พระเยซูเจ้าในยุคพระคุณจึงค่อยๆ แพร่ออกไปยังทุกมุมของมนุษยชาติ  เจ้าจะพูดหรือไม่ว่าการทรงปรากฏขององค์พระเยซูเจ้าหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์มีนัยสำคัญใดๆ?  หากเจ้าเป็นโธมัสหรือเปโตร ณ เวลานั้น และเจ้าได้พบกับสิ่งหนึ่งนี้ในชีวิตของเจ้าซึ่งเปี่ยมความหมายอย่างยิ่ง สิ่งนั้นจะมีผลกระทบแบบใดกับเจ้า?  เจ้าจะมองสิ่งนี้ว่าเป็นนิมิตที่ดีที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้าในการเชื่อพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าจะมองสิ่งนี้ว่าเป็นแรงขับเคลื่อนเจ้าในขณะที่เจ้าติดตามพระเจ้า เพียรพยายามที่จะทำให้พระองค์พึงพอพระทัย และพยายามที่จะรักพระเจ้าในทั้งชีวิตของเจ้าหรือไม่?  เจ้าจะสละให้ความมานะพยายามทั้งชีวิตเพื่อเผยแพร่นิมิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้หรือไม่?  เจ้าจะยอมรับว่าการเผยแพร่ความรอดขององค์พระเยซูเจ้าเป็นพระบัญชาจากพระเจ้าหรือไม่?  ถึงแม้ว่าพวกเจ้าไม่ได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้ ตัวอย่างสองตัวอย่างของโธมัสและเปโตรก็เพียงพอแล้วที่ผู้คนสมัยใหม่จะได้รับความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับพระเจ้าและน้ำพระทัยของพระองค์  สามารถกล่าวได้ว่าหลังจากที่พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ หลังจากที่พระองค์ได้ทรงรับประสบการณ์กับชีวิตท่ามกลางมวลมนุษย์ด้วยพระองค์เอง และได้รับประสบการณ์กับชีวิตมนุษย์ด้วยพระองค์เอง และหลังจากที่พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นความชั่วช้าของมวลมนุษย์และสถานการณ์ของชีวิตมนุษย์ ณ เวลานั้น พระเจ้าในเนื้อหนังทรงรู้สึกอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่ามวลมนุษย์ช่างไร้ที่พึ่ง น่าโศกเศร้า และน่าเวทนาเพียงใด  พระเจ้าทรงได้รับความรู้สึกร่วมเกี่ยวกับสภาวะของมนุษย์มากขึ้นเพราะสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ที่พระองค์ทรงครอบครองในขณะที่ดำรงพระชนม์อยู่ในเนื้อหนัง เพราะสัญชาตญาณที่เป็นเนื้อหนังของพระองค์  สิ่งนี้ได้นำให้พระองค์ทรงรู้สึกกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับผู้ติดตามของพระองค์  สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสิ่งต่างๆ ที่พวกเจ้าไม่สามารถเข้าใจได้ แต่เราสามารถพรรณนาถึงความกังวลและความใส่พระทัยที่พระเจ้าทรงรู้สึกในเนื้อหนังต่อผู้ติดตามทุกๆ คนของพระองค์ได้โดยใช้คำแค่สองคำ: “ความกังวลอย่างรุนแรง”  ถึงแม้ว่าคำนี้จะมาจากภาษาของมนุษย์ และถึงแม้ว่าจะมีความเป็นมนุษย์อย่างยิ่ง กระนั้นคำนี้ก็แสดงและอธิบายอย่างชัดเจนถึงความรู้สึกที่พระเจ้าทรงมีให้กับบรรดาผู้ติดตามของพระองค์  สำหรับความกังวลอย่างรุนแรงที่พระเจ้าทรงมีให้กับมนุษย์นั้น ในระหว่างช่วงเวลาที่พวกเจ้าได้รับประสบการณ์ พวกเจ้าจะค่อยๆ รู้สึกถึงสิ่งนี้และได้ลิ้มรสสิ่งนี้  อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้สามารถสัมฤทธิ์ผลได้โดยการค่อยๆ ทำความเข้าใจกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าบนพื้นฐานของการไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าเองเท่านั้น  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้ทำการทรงปรากฏนี้ สิ่งนี้เป็นสาเหตุให้ความกังวลอย่างรุนแรงที่พระองค์ทรงมีให้กับผู้ติดตามของพระองค์ในสภาวะความเป็นมนุษย์ปรากฏเป็นรูปร่างขึ้น และได้รับการส่งต่อไปยังกายจิตวิญญาณของพระองค์ หรือเจ้าสามารถกล่าวได้ว่าไปยังเทวสภาพของพระองค์  การทรงปรากฏของพระองค์ทำให้ผู้คนสามารถได้รับประสบการณ์และรู้สึกถึงความกังวลและความใส่พระทัยของพระเจ้าอีกครั้ง และในขณะเดียวกันก็พิสูจน์อย่างทรงพลังว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงเริ่มต้นยุค ผู้ทรงคลี่เปิดยุค และผู้ที่สิ้นสุดยุคด้วยเช่นกัน  พระองค์ทรงเสริมกำลังความเชื่อของทุกผู้คน และทรงพิสูจน์กับโลกถึงข้อเท็จจริงว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง โดยผ่านทางการทรงปรากฏของพระองค์  สิ่งนี้ให้การยืนยันชั่วนิรันดร์แก่บรรดาผู้ติดตามของพระองค์ และ พระองค์ยังได้ทรงเริ่มต้นระยะของพระราชกิจของพระองค์ในยุคใหม่โดยผ่านทางการทรงปรากฏของพระองค์ด้วยเช่นกัน

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 81

พระเยซูเสวยขนมปังและทรงอธิบายข้อพระคัมภีร์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์

ลูกา 24:30-32  เมื่อประทับที่โต๊ะอาหารกับพวกเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอพระพร แล้วทรงหักส่งให้เขา ตาของเขาทั้งสองก็เปิดออกและเขาก็จำพระองค์ได้ แล้วพระองค์ก็อันตรธานไปจากเขา เขาจึงพูดกันว่า “ใจเรารุ่มร้อนภายในเมื่อพระองค์ตรัสตามทาง และเมื่อทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟังไม่ใช่หรือ?”

บรรดาสาวกนำปลาย่างมาให้พระเยซูเสวย

ลูกา 24:36-43  ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดเรื่องนี้อยู่ พระองค์เสด็จมาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา และตรัสกับเขาว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” พวกเขาต่างตื่นตกใจหวาดกลัวคิดว่าเห็นผี พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายวุ่นวายใจทำไม?  เพราะอะไรท่านถึงเกิดความคิดสงสัยขึ้นในใจ?  จงดูที่มือและเท้าของเราว่าเป็นเราเอง จงคลำตัวเราดู เพราะว่าผีไม่มีเนื้อและกระดูกเหมือนอย่างที่พวกท่านเห็นว่าเรามี” เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงสำแดงพระหัตถ์และพระบาทให้เขาเห็น เมื่อพวกเขายังไม่ค่อยเชื่อเพราะเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างเหลือเชื่อ และกำลังประหลาดใจอยู่นั้น พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “ที่นี่มีอะไรกินบ้างไหม?”  พวกเขาก็เอาปลาย่างชิ้นหนึ่งมาให้พระองค์ พระองค์ทรงรับมาเสวยต่อหน้าพวกเขา

อันดับต่อไป พวกเราจะมาดูบทตอนของข้อพระคัมภีร์ข้างต้น  บทตอนแรกคือการเล่าถึงการที่พระเยซูเสวยขนมปังและทรงอธิบายพระคัมภีร์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ และบทตอนที่สองคือการเล่าถึงการที่องค์พระเยซูเจ้าเสวยปลาย่าง  สองบทตอนนี้ช่วยให้เจ้ารู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างไร?  พวกเจ้าสามารถจินตนาการประเภทของรูปภาพที่พวกเจ้าได้รับจากคำพรรณนาถึงการที่องค์พระเยซูเจ้าเสวยขนมปังและจากนั้นก็ปลาย่างได้หรือไม่?  เจ้าสามารถจินตนาการได้หรือไม่ว่าพวกเจ้าอาจรู้สึกอย่างไรหากองค์พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ต่อหน้าพวกเจ้าและเสวยขนมปัง?  หรือหากพระองค์เสวยพระกระยาหารร่วมโต๊ะเดียวกับพวกเจ้า และเสวยปลาและขนมปังร่วมกับผู้คน เจ้าจะมีความรู้สึกแบบใดในชั่วขณะนั้น?  หากเจ้าจะรู้สึกใกล้ชิดกับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างมาก ว่าพระองค์ทรงสนิทสนมกับเจ้าเป็นอย่างมาก เช่นนั้นแล้วความรู้สึกนี้ก็ถูกต้อง  นี่แหละคือผลลัพธ์ที่องค์พระเยซูเจ้าทรงต้องประสงค์ให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอนจากการเสวยขนมปังและปลาต่อหน้าผู้คนที่รวมตัวกันหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์  หากองค์พระเยซูเจ้าเพียงตรัสกับผู้คนหลังจากการคืนพระชนม์ หากพวกเขาไม่สามารถรู้สึกถึงเนื้อหนังและพระอัฐิของพระองค์ แต่รู้สึกว่าพระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณที่เอื้อมไม่ถึงแทน พวกเขาจะรู้สึกอย่างไร?  พวกเขาจะไม่ผิดหวังหรอกหรือ?  ผู้คนที่รู้สึกผิดหวังจะไม่รู้สึกว่าถูกทิ้งขว้างหรอกหรือ?  พวกเขาจะไม่รู้สึกถึงระยะห่างระหว่างพวกเขาเองและองค์พระเยซูคริสต์เจ้าหรือ?  ระยะห่างนี้จะทำให้เกิดผลกระทบที่เป็นลบใดกับสัมพันธภาพของผู้คนกับพระเจ้า?  แน่นอนว่าผู้คนจะรู้สึกกลัว ว่าพวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้พระองค์ และด้วยเหตุนั้นพวกเขาจะมีท่าทีที่รักษาระยะห่างด้วยความเคารพกับพระองค์  จากนั้นเป็นต้นไป พวกเขาจะตัดขาดสัมพันธภาพที่สนิทสนมกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของพวกเขา และกลับไปยังสัมพันธภาพระหว่างมวลมนุษย์กับพระเจ้าที่สถิตในสวรรค์เหมือนกับที่เคยเป็นก่อนยุคพระคุณ  กายจิตวิญญาณที่ผู้คนไม่สามารถสัมผัสหรือรู้สึกได้จะทำให้เกิดการกำจัดความสนิทสนมกับพระเจ้าของพวกเขา และจะยังเป็นสาเหตุให้สัมพันธภาพที่สนิทสนมซึ่งได้รับการสร้างขึ้นในช่วงระหว่างเวลาที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงอยู่ในเนื้อหนังโดยไม่มีระยะห่างระหว่างพระองค์กับพวกมนุษย์นั้น ไม่มีอยู่อีกต่อไป  สิ่งเดียวที่กายจิตวิญญาณก่อขึ้นในผู้คนคือความรู้สึกกลัว การหลีกเลี่ยง และการเพ่งมองอย่างไร้คำพูด  อย่าว่าแต่กับการติดตาม เชื่อใจ หรือเคารพยำเกรงพระองค์เลย พวกเขาจะไม่กล้าเข้าใกล้หรือมีส่วนร่วมในการสนทนากับพระองค์ด้วยซ้ำ  พระเจ้าไม่มีพระประสงค์ที่จะมองเห็นความรู้สึกประเภทนี้ที่พวกมนุษย์มีให้กับพระองค์  พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะมองเห็นผู้คนหลีกเลี่ยงพระองค์ หรือนำตัวพวกเขาเองออกจากพระองค์ พระองค์ทรงต้องประสงค์เพียงให้ผู้คนเข้าใจพระองค์ มาอยู่ใกล้ชิดพระองค์ และเป็นครอบครัวของพระองค์  หากครอบครัวของเจ้าเอง บุตรของเจ้าเอง มองเห็นเจ้าแต่ไม่รับรู้ถึงเจ้า และไม่กล้าที่จะมาเข้าใกล้เจ้าแต่หลีกเลี่ยงเจ้าอยู่เสมอ หากเจ้าไม่สามารถได้รับความเข้าใจจากพวกเขาเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เจ้าเคยได้ทำให้พวกเขา นั่นจะทำให้เจ้ารู้สึกอย่างไร?  นั่นจะไม่เจ็บปวดหรอกหรือ?  เจ้าจะไม่ใจสลายหรอกหรือ?  นั่นแหละคือสิ่งที่พระเจ้าทรงรู้สึกเมื่อผู้คนหลีกเลี่ยงพระองค์  ดังนั้น หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ องค์พระเยซูเจ้ายังได้ทรงปรากฏต่อผู้คนในรูปร่างที่มีเลือดเนื้อของพระองค์ และยังคงได้เสวยและทรงดื่มร่วมกับพวกเขา  พระเจ้าทรงมองผู้คนว่าเป็นครอบครัว และพระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะให้มวลมนุษย์มองพระองค์เป็นองค์หนึ่งเดียวผู้เป็นยอดรักสำหรับพวกเขาเช่นกัน พระเจ้าทรงสามารถได้รับผู้คนอย่างแท้จริงได้ในหนทางนี้เท่านั้น และผู้คนสามารถรักและนมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริงได้ในหนทางนี้เท่านั้น  ตอนนี้ พวกเจ้าสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของเราในการคัดสองบทตอนนี้จากพระคัมภีร์ที่องค์พระเยซูเจ้าเสวยขนมปังและอธิบายข้อพระคัมภีร์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ และที่สาวกถวายปลาย่างแก่พระองค์เพื่อเสวยได้หรือไม่?

สามารถกล่าวได้ว่ามีการใช้พระดำริอย่างจริงจังจริงใจในลำดับสิ่งต่างๆ ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสและได้ทรงทำหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์  สิ่งเหล่านี้เต็มไปด้วยความใจดีและความรักใคร่ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษยชาติ และเต็มไปด้วยความทะนุถนอมและความใส่พระทัยอย่างพิถีพิถันที่พระองค์ได้ทรงมีให้กับสัมพันธภาพอันสนิทสนมที่พระองค์ทรงได้สร้างขึ้นกับมวลมนุษย์ในช่วงระหว่างเวลาที่พระองค์ทรงอยู่ในเนื้อหนังด้วยเช่นกัน  ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งเหล่านั้นยังเต็มไปด้วยความอาวรณ์และการถวิลหาที่พระองค์ทรงรู้สึกกับชีวิตแห่งการเสวยและการดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับบรรดาสาวกของพระองค์ในช่วงระหว่างเวลาที่พระองค์ทรงอยู่ในเนื้อหนัง  ดังนั้น พระเจ้าจึงไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะให้ผู้คนรู้สึกถึงระยะห่างระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ให้มวลมนุษย์ตีตัวออกห่างจากพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ให้มวลมนุษย์รู้สึกว่าหลังจากการคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้สนิทสนมกับผู้คนยิ่งนักอีกต่อไป ว่าพระองค์ไม่ได้ทรงอยู่ร่วมกับมวลมนุษย์อีกต่อไปเพราะพระองค์ได้เสด็จกลับไปสู่โลกฝ่ายวิญญาณ ได้เสด็จกลับไปหาพระบิดาผู้ซึ่งผู้คนไม่มีวันสามารถมองเห็นหรือเอื้อมถึงได้  พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ให้ผู้คนรู้สึกว่าเกิดความแตกต่างใดๆ ในสถานะระหว่างพระองค์และมวลมนุษย์  เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นผู้คนที่ต้องการติดตามพระองค์แต่รักษาระยะห่างที่เต็มไปด้วยความเคารพกับพระองค์ พระทัยของพระองค์เจ็บปวด เพราะนั่นหมายความว่าหัวใจของพวกเขาอยู่ห่างไกลจากพระองค์มาก และพระองค์จะได้รับหัวใจของพวกเขาได้ยากยิ่ง  ดังนั้น หากพระองค์ทรงปรากฏต่อผู้คนในกายจิตวิญญาณที่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้ นี่จะทำให้มนุษย์มีระยะห่างจากพระเจ้าอีกครั้ง และจะนำให้มวลมนุษย์มองพระคริสต์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์อย่างเข้าใจผิดว่าทรงกลายเป็นสูงส่ง เป็นแบบที่แตกต่างไปจากมวลมนุษย์ และเป็นใครบางคนที่ไม่สามารถร่วมโต๊ะและเสวยกับมนุษย์ได้อีกต่อไปเพราะพวกมนุษย์เต็มไปด้วยบาป โสโครก และไม่มีวันสามารถเข้าใกล้พระเจ้าได้  เพื่อที่จะขับไล่ความเข้าใจผิดเหล่านี้ของมวลมนุษย์นั้น องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำหลายสิ่งที่พระองค์เคยทำในเนื้อหนัง ตามที่มีบันทึกในพระคัมภีร์ว่า: “พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอพระพร แล้วทรงหักส่งให้เขา” พระองค์ยังได้ทรงอธิบายข้อพระคัมภีร์กับพวกเขาเหมือนกับที่พระองค์ทรงเคยทำในอดีต  สิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำนั้นทำให้ทุกบุคคลที่มองเห็นพระองค์รู้สึกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเปลี่ยนแปลงไป ว่าพระองค์ยังทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าพระองค์เดิม  ถึงแม้ว่าพระองค์จะได้ทรงถูกตรึงที่กางเขนและได้ทรงรับประสบการณ์กับความตายมาแล้ว พระองค์ก็ได้คืนพระชนม์ และไม่ได้เสด็จจากมวลมนุษย์ไป  พระองค์ได้เสด็จกลับมาอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์ และไม่มีสิ่งใดเกี่ยวกับพระองค์ที่เปลี่ยนแปลงไป  บุตรมนุษย์ที่ทรงยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนยังคงเป็นองค์พระเยซูเจ้าพระองค์เดิม  อากัปกิริยาของพระองค์และวิธีของพระองค์ในการสนทนากับผู้คนก็ให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยยิ่งนัก  พระองค์ยังคงทรงเต็มไปด้วยความรักเมตตา พระคุณ และการทนยอมรับ—พระองค์ยังคงทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าพระองค์เดิมที่ทรงรักผู้อื่นเหมือนที่พระองค์รักพระองค์เอง ที่สามารถประทานอภัยให้กับมวลมนุษย์ได้เจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง  พระองค์ได้เสวยร่วมกับผู้คนเหมือนกับที่พระองค์ทรงเคยเป็นมาเสมอ ทรงหารือเกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์กับพวกเขา และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงมาจากเลือดเนื้อและสามารถสัมผัสและมองเห็นได้เหมือนก่อนหน้า  บุตรมนุษย์อย่างที่พระองค์ทรงเป็นเปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถรู้สึกถึงความสนิทสนมได้ รู้สึกสบายใจ และรู้สึกถึงความชื่นบานของการได้รับบางสิ่งบางอย่างที่ได้สูญเสียไปกลับคืนมา  ด้วยความสบายใจอย่างยิ่งยวด พวกเขาเริ่มต้นวางใจและเคารพยำเกรงอย่างกล้าหาญและมั่นใจในบุตรมนุษย์ผู้นี้ที่ทรงสามารถให้อภัยมวลมนุษย์สำหรับบาปของพวกเขา  พวกเขายังเริ่มต้นอธิษฐานด้วยพระนามขององค์พระเยซูเจ้าโดยไม่มีความลังเลอีกด้วย อธิษฐานเพื่อให้ได้รับพระคุณของพระองค์ พรจากพระองค์ และเพื่อให้ได้รับสันติสุขและความชื่นบานจากพระองค์ เพื่อให้ได้รับความใส่พระทัยและการคุ้มครองปกป้องจากพระองค์ และพวกเขาได้เริ่มต้นเยียวยารักษาผู้เจ็บป่วยและขับไล่ปีศาจด้วยพระนามขององค์พระเยซูเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 82

ในช่วงระหว่างเวลาที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงพระราชกิจในเนื้อหนังนั้น บรรดาผู้ติดตามของพระองค์ส่วนใหญ่ไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันพระอัตลักษณ์ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ตรัสได้อย่างเต็มที่  เมื่อพระองค์กำลังทรงเข้าไปใกล้กางเขน ท่าทีของบรรดาผู้ติดตามของพระองค์คือท่าทีของการสังเกต  เช่นนั้นแล้ว นับตั้งแต่เวลาที่พระองค์ได้ทรงถูกตรึงที่กางเขนจนถึงเวลาที่พระองค์ทรงถูกฝังในอุโมงค์ฝังศพ ท่าทีที่ผู้คนมีต่อพระองค์คือความผิดหวัง  ในช่วงระหว่างเวลานี้ ในหัวใจของพวกเขาผู้คนได้เริ่มเปลี่ยนจากการสงสัยในสิ่งต่างๆ ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ในช่วงระหว่างเวลาของพระองค์ในเนื้อหนัง ไปเป็นการปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด  จากนั้น เมื่อพระองค์ได้เสด็จพระดำเนินออกจากอุโมงค์ฝังศพและได้ทรงปรากฏต่อผู้คนทีละคน ผู้คนส่วนใหญ่ที่มองเห็นพระองค์ด้วยตาของพวกเขาเองหรือได้ยินข่าวการคืนพระชนม์ของพระองค์จึงได้ค่อยๆ เปลี่ยนท่าทีของพวกเขาจากการปฏิเสธเป็นความกังขา  พวกเขายอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระคริสต์ในเนื้อหนังก็เฉพาะเมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงให้โธมัสวางมือของเขาลงบนพระปรัศว์ของพระองค์ และเมื่อพระองค์ทรงหักขนมปังและเสวยมันต่อหน้าฝูงชนหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ และจากนั้นจึงเสวยปลาย่างต่อหน้าพวกเขาเท่านั้น  เจ้าสามารถพูดได้ว่ามันเป็นเสมือนว่ากายจิตวิญญาณนี้ของเลือดเนื้อที่ยืนต่อหน้าผู้คนเหล่านั้นกำลังปลุกพวกเขาทุกๆ คนจากความฝัน: บุตรมนุษย์ที่ทรงยืนต่อหน้าพวกเขาคือองค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งได้ทรงดำรงอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ  พระองค์ทรงมีรูปร่างและเนื้อหนังและพระอัฐิ และพระองค์ได้ทรงพระชนม์ชีพและเสวยพระกระยาหารเคียงข้างมวลมนุษย์มาเป็นเวลานานแล้ว… ในเวลานี้ ผู้คนรู้สึกว่าการดำรงอยู่ของพระองค์เป็นจริงอย่างยิ่ง และช่างยอดเยี่ยมยิ่ง  ในขณะเดียวกัน พวกเขายังชื่นบานและมีความสุข และเต็มไปด้วยอารมณ์ด้วยเช่นกัน  การทรงปรากฏอีกครั้งของพระองค์ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นความถ่อมพระทัยของพระองค์ได้อย่างแท้จริง รู้สึกถึงความใกล้ชิดและความผูกพันกับมวลมนุษย์ของพระองค์ และรู้สึกว่าพระองค์มีพระดำริเกี่ยวกับพวกเขามากเพียงใด  การอยู่ร่วมกันเป็นเวลาสั้นๆ อีกครั้งนี้ทำให้ผู้คนที่มองเห็นองค์พระเยซูเจ้ารู้สึกเสมือนว่าชั่วชีวิตได้ผ่านไป  หัวใจที่สูญเสีย สับสน หวั่นเกรง วิตกกังวล โหยหา และด้านชาของพวกเขาได้พบความสบายใจ  พวกเขาไม่เคลือบแคลงหรือผิดหวังอีกต่อไป เพราะพวกเขารู้สึกว่าตอนนี้มีความหวังและมีบางสิ่งบางอย่างให้พึ่งพา  จากนั้น บุตรมนุษย์ที่ทรงยืนต่อหน้าพวกเขาจะระวังหลังให้พวกเขาอยู่เสมอ พระองค์จะทรงเป็นปราการที่แข็งแรงของพวกเขา เป็นที่หลบภัยของพวกเขานิจนิรันดร์

ถึงแม้ว่าองค์พระเยซูเจ้าจะได้คืนพระชนม์ แต่พระทัยของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ก็ไม่ได้จากมวลมนุษย์ไป  โดยการทรงปรากฏต่อผู้คน พระองค์ได้ตรัสบอกพวกเขาว่าไม่ว่าพระองค์จะทรงดำรงอยู่ในรูปร่างใดก็ตาม พระองค์จะทรงร่วมทางไปกับผู้คน เสด็จพระดำเนินกับพวกเขา และทรงอยู่กับพวกเขาในทุกที่และทุกเวลา  พระองค์ได้ตรัสบอกพวกเขาว่าพระองค์จะทรงจัดเตรียมมวลมนุษย์และเลี้ยงดูพวกเขา อนุญาตให้พวกเขามองเห็นและสัมผัสพระองค์ และทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่มีวันรู้สึกไร้ที่พึ่งอีกในทุกที่และทุกเวลา  องค์พระเยซูเจ้ายังทรงต้องประสงค์ให้ผู้คนรู้ว่าพวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตตามลำพังในโลกนี้  มวลมนุษย์มีความใส่พระทัยของพระเจ้า พระเจ้าทรงอยู่กับพวกเขา  พวกเขาสามารถพึ่งพิงพระเจ้าได้เสมอ และพระองค์ทรงเป็นครอบครัวของผู้ติดตามของพระองค์ทุกๆ คน  เมื่อมีพระเจ้าให้พึ่งพิงแล้ว มวลมนุษย์จะไม่เปล่าเปลี่ยวหรือไร้ที่พึ่งอีกต่อไป และผู้ที่ยอมรับพระองค์ว่าเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของพวกเขาจะไม่ถูกผูกมัดในบาปอีกต่อไป  ในสายตาของมนุษย์ พระราชกิจส่วนเหล่านี้ของพระองค์ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงดำเนินการหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์นั้นเป็นสิ่งเล็กน้อยอย่างมาก แต่ตามที่เราเห็นนั้น ทุกๆ สิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำช่างเปี่ยมความหมาย ช่างล้ำค่า ช่างมีความสำคัญและเต็มไปด้วยนัยสำคัญอย่างหนักหน่วง

ถึงแม้ว่าช่วงเวลาที่องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจในเนื้อหนังนั้นจะเต็มไปด้วยความยากลำบากและความทุกข์ พระองค์ก็ได้ทรงพระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนังเพื่อไถ่มวลมนุษย์ ณ เวลานั้นได้สำเร็จลุล่วงอย่างครบบริบูรณ์และเพียบพร้อม โดยผ่านทางการทรงปรากฏในกายจิตวิญญาณของเลือดเนื้อของพระองค์  พระองค์ได้ทรงเริ่มต้นพันธกิจของพระองค์โดยการทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และพระองค์ได้ทรงสรุปพันธกิจของพระองค์โดยการทรงปรากฏต่อมวลมนุษย์ในรูปร่างที่เป็นเนื้อหนังของพระองค์  พระองค์ได้ทรงป่าวประกาศยุคพระคุณ ทรงเริ่มต้นยุคใหม่โดยผ่านทางพระอัตลักษณ์ของพระองค์ในฐานะพระคริสต์  พระองค์ได้ทรงดำเนินพระราชกิจในยุคพระคุณ และพระองค์ได้ทรงเสริมกำลังและนำผู้ติดตามทั้งหมดของพระองค์ในยุคพระคุณโดยผ่านทางพระอัตลักษณ์ของพระองค์ในฐานะพระคริสต์  พระราชกิจของพระเจ้านั้นสามารถกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงปฏิบัติสิ่งที่พระองค์ทรงเริ่มต้นให้เสร็จสิ้นอย่างแท้จริง  มีขั้นตอนและแผนการ และพระราชกิจนั้นเต็มไปด้วยพระปรีชาญาณของพระองค์ ฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์ กิจการที่น่าพิศวงของพระองค์ และความรักและความปรานีของพระองค์  แน่นอนว่าเส้นด้ายเส้นสำคัญที่ร้อยผ่านพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าคือความใส่พระทัยที่พระองค์ทรงมีให้กับมวลมนุษย์ สิ่งนี้แผ่ซ่านไปด้วยความรู้สึกกังวลของพระองค์ ซึ่งพระองค์ไม่เคยทรงสามารถละวางลงได้เลย  ในวรรคเหล่านี้ของพระคัมภีร์ ในทุกๆ สิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ ความหวังที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพระเจ้าและความกังวลที่ทรงมีให้กับมวลมนุษย์ได้รับการเผยออกมา เช่นเดียวกับความใส่พระทัยอย่างพิถีพิถันและการทะนุถนอมมวลมนุษย์ของพระองค์ด้วยเช่นกัน  ไม่มีสิ่งใดในนี้เคยเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลาจนถึงเวลาปัจจุบัน—พวกเจ้าสามารถมองเห็นได้หรือไม่?  เมื่อพวกเจ้ามองเห็นสิ่งนี้ หัวใจของพวกเจ้าไม่ได้เข้าใกล้พระเจ้าโดยไม่รู้ตัวหรอกหรือ?  หากพวกเจ้าใช้ชีวิตในยุคนั้น และองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏต่อพวกเจ้าหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ในรูปร่างที่จับต้องได้เพื่อให้พวกเจ้ามองเห็น และหากพระองค์ประทับต่อหน้าพวกเจ้า เสวยขนมปังและปลา และอธิบายข้อพระคัมภีร์ให้พวกเจ้าฟัง และตรัสกับพวกเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจะรู้สึกอย่างไร?  เจ้าจะรู้สึกมีความสุขหรือไม่?  หรือว่าเจ้าจะรู้สึกผิด?  ความเข้าใจผิดและการหลีกเลี่ยงพระเจ้าก่อนหน้านี้ ปัญหาความขัดแย้งและความสงสัยพระเจ้า—สิ่งเหล่านี้จะไม่แค่หายไปหรอกหรือ?  สัมพันธภาพระหว่างพระเจ้าและมนุษย์จะไม่กลายเป็นปกติและถูกต้องเหมาะสมมากขึ้นหรอกหรือ?

โดยการตีความบทตอนที่จำกัดเหล่านี้ในพระคัมภีร์ พวกเจ้าพบข้อบกพร่องใดๆ ในพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้าพบการมีสิ่งเจือปนใดๆ ในความรักของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้ามองเห็นการหลอกลวงหรือความชั่วใดๆ ในฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดหรือพระปรีชาญาณของพระเจ้าหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอน!  ตอนนี้พวกเจ้าสามารถพูดด้วยความมั่นใจได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์?  พวกเจ้าสามารถพูดด้วยความมั่นใจได้หรือไม่ว่าอารมณ์แต่ละอย่างของพระเจ้าคือการเผยถึงแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระองค์?  เราหวังว่าหลังจากที่พวกเจ้าได้อ่านพระวจนะเหล่านี้แล้ว ความเข้าใจที่พวกเจ้าได้รับจากพระวจนะเหล่านี้จะช่วยเจ้าและนำผลประโยชน์มาให้เจ้าในการไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยและความกลัวพระเจ้าของเจ้า และว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดผลในตัวพวกเจ้า ผลที่เติบโตขึ้นในแต่ละวัน เพื่อให้ในขณะที่กำลังทำการไล่ตามเสาะหานี้ พวกเจ้าจะได้รับการนำเข้าไปใกล้ชิดกับพระเจ้ายิ่งขึ้นเรื่อยๆ ใกล้ชิดกับมาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  เจ้าจะไม่เบื่อกับการไล่ตามเสาะหาความจริงอีกต่อไป และจะไม่รู้สึกว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงและการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยเป็นเรื่องยุ่งยากหรือเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เมื่อได้รับแรงจูงใจจากการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้าและแก่นแท้ที่บริสุทธิ์ของพระเจ้าแล้ว พวกเจ้าจะถวิลหาความสว่าง ถวิลหาความยุติธรรม มุ่งที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง ไล่ตามเสาะหาการสนองน้ำพระทัยของพระเจ้า และเจ้าจะกลายเป็นบุคคลที่พระเจ้าได้ทรงรับไว้ กลายเป็นบุคคลที่แท้จริง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

ก่อนหน้า: การรู้จักพระเจ้า 1

ถัดไป: การรู้จักพระเจ้า 3

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger