29. ข้าราชการกลับใจ
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้ ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงได้ปฏิบัติในพระราชกิจของพระองค์คือความรัก โดยปราศจากความเกลียดชังใดๆ ต่อมนุษย์ แม้แต่การตีสอนและการพิพากษาที่เจ้าได้เห็นก็เป็นความรักเช่นกัน ความรักที่แท้จริงกว่าและเป็นจริงกว่า ความรักที่นำทางให้ผู้คนมาอยู่บนเส้นทางของชีวิตมนุษย์ที่ถูกต้อง…พระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงปฏิบัตินั้นเป็นไปเพื่อจุดประสงค์ในการนำทางผู้คนไปสู่เส้นทางชีวิตมนุษย์ที่ถูกต้อง เพื่อที่พวกเขาอาจใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ที่ปกติ เพราะผู้คนไม่รู้วิธีใช้ชีวิต และหากปราศจากการทรงนำนี้ เจ้าจะใช้ชีวิตที่ว่างเปล่าเท่านั้น ชีวิตของเจ้าจะปราศจากคุณค่าหรือความหมาย และเจ้าจะไม่สามารถเป็นบุคคลที่ปกติได้เลย นี่คือนัยสำคัญที่ลึกซึ้งที่สุดของการพิชิตมนุษย์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (4)) พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าเป็นการดลใจสำหรับผมจริงๆ และผมอดไม่ได้ที่จะคิดถึงความรอดของพระองค์ที่มีให้ผม
ผมเกิดในชนบท พ่อแม่เป็นชาวนาที่ซื่อสัตย์และขยันขันแข็ง ชาวบ้านคนอื่นๆ มักดูถูกและกลั่นแกล้งเราเสมอเพราะเรายากจน ผมเลยคิดว่า “สักวันฉันจะทำให้พวกเขาเห็น สักวันพวกเขาจะมองฉันเปลี่ยนไป” ผมเคยเข้าร่วมกับกองทัพตอนที่เป็นวัยรุ่น ผมแบกรับทุกภารกิจ ไม่ว่าสกปรกหรือเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน หวังจะได้เลื่อนขั้น แต่หลายปีผ่านไป ผมก็ยังเป็นพลทหาร จากนั้นผมจึงได้รู้ว่า การมอบของกำนัลต่างหากที่ทำให้ได้รับการประเมินที่ดีและได้เลื่อนขั้น มิใช่ความขยัน มันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับผม แต่ผมก็อยากเลื่อนขั้น ผมจึงแข็งใจให้ของกำนัลผู้บังคับบัญชาด้วยเงินเก็บทั้งหมดที่มี แน่นอน ในไม่ช้าผมก็มีคุณสมบัติสำหรับโรงเรียนเตรียมทหาร ย้อนไปสมัยเข้าหน่วยหลังเรียนจบ ผมถูกส่งไปเป็นพ่อครัว เพราะผมไม่มีเงินสำหรับของกำนัล ผมรู้ดีว่า “ข้าราชการเปิดทางสะดวกให้ผู้มีของกำนัล” และ “ไม่มีความสำเร็จหากไม่สอพลอปอปั้น” หากผมอยากมีอนาคตไกล ผมก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อหาเงินมาซื้อของกำนัล “ไม่อย่างนั้น ผมคงย่ำอยู่กับที่ไม่ว่าเก่งแค่ไหนก็ตาม” ผมอยากก้าวหน้า ดังนั้นผมจึงทำทุกอย่างเพื่อหาเงิน ผมสอพลอพวกระดับสูง ให้สิ่งต่างๆ ที่ผมรู้ว่าพวกเขาชอบ ผมรู้ว่า สิ่งที่ผมกำลังทำตอนนั้นมันผิดกฎหมาย และผมกลัวว่าจะถูกจับได้และถูกส่งเข้าคุก ผมอยู่อย่างหวาดวิตกตลอดเวลา แต่ความคิดเรื่องการได้เป็นข้าราชการทำให้ผมเดินหน้าต่อ ผ่านไปสักพัก ในที่สุดผมก็ได้เป็นผู้บังคับกองพัน ทุกครั้งที่ผมกลับบ้าน ชาวบ้านจะมาห้อมล้อม สอพลอปอปั้น สิ่งนี้ยิ่งส่งเสริมความยโสโอหังของผม ขณะที่ความทะเยอะทะยานและความปรารถนาต่างๆ ของผมก็ยิ่งพองโตขึ้นเช่นกัน อย่างที่เขาว่ากันว่า “การเป็นข้าราชการก็เพื่ออาหารและอาภรณ์ชั้นเลิศ” และ “จงใช้อำนาจตอนที่มีเพราะเมื่อหมดอำนาจ ย่อมไม่มีให้ใช้” ผมเริ่มหลงในอภิสิทธิ์ของการเป็นข้าราชการ ที่ได้ทุกอย่างที่ต้องการมาโดยไม่ต้องเสียเงิน ใครที่หวังอะไรจากผมต้องพาผมไปเลี้ยงอาหารหรือให้ของกำนัล ผมถึงขั้นใช้สถานะคนโปรดของผู้บัญชาการและผู้ตรวจการทางการเมือง มารีดสิ่งที่ต้องการจากผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยซ้ำ ผมเปลี่ยนจากการเป็นลูกชาวนาธรรมดา กลายมาเป็นคนโลภ กลับกลอก หลอกลวง
ผมเป็นกังฉินในที่ทำงานยังไม่พอ ที่บ้านผมยังปฏิบัติต่อภรรยาแย่อีกด้วย ผมกล่าวหาโดยไร้เหตุผลว่าเธอคบชู้ สร้างรอยร้าวลึกระหว่างเรา สุดท้าย เธอก็หมดความอดทนและบอกผมว่าต้องการหย่า ครอบครัวที่สุขสันต์ของผมกำลังจะพังลง และลูกชายของเราย่อมทุกข์ด้วยเช่นกัน ผมรู้สึกแย่มาก และเอาแต่หวนคิดถึงชีวิตของตัวเอง ผมมุ่งมั่นอยากโดดเด่นตั้งแต่เด็กอยากเหนือกว่าคนอื่นๆ ภรรยาและผมต่างก็มีหน้าที่การงานที่ดี เรามีชีวิตที่สุขสบาย ทุกคนยกย่องเรา ดังนั้นผมควรจะรู้สึกเป็นสุขและสมปรารถนาแล้ว ทำไมผมยังรู้สึกว่างเปล่าและอยู่อย่างเจ็บปวดเช่นนั้น? นี่คือชีวิตที่ผมต้องการงั้นหรือ? จริงๆ แล้วเราควรใช้ชีวิตอย่างไรกันแน่? ผมรู้สึกสับสนและหลงทาง แต่ผมก็หาคำตอบใดๆ ไม่ได้เลย ต่อมาภรรยาผมยอมรับข่าวประเสริฐราชอาณาจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และจะรวมตัวและสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงโดยตลอด ไม่นานเธอก็กลายเป็นคนคิดบวกจริงๆ เธอไม่เถียงกับผมอีกต่อไป และหยุดพูดเรื่องการหย่า เห็นการเปลี่ยนแปลงของภรรยา ผมก็รู้ได้ว่าศรัทธาต่อพระเจ้าต้องเป็นสิ่งดี ผมเริ่มศรัทธาในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จากการอ่านพระวจนะอีกด้วย
ผมเริ่มใช้วิถีชีวิตคริสตจักร และพบว่าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แตกต่างไปจากโลกอย่างสิ้นเชิง เหล่าพี่น้องชายหญิงอ่านพระวจนะ และทำการสามัคคีธรรมบนความจริง พวกเขาแสวงหาเพื่อประพฤติตนตามพระวจนะและความจริง เพื่อจะเป็นผู้ซื่อสัตย์ เปิดเผย และจริงใจ มันรู้สึกเหมือนว่า ผมได้มายังสถานที่อันบริสุทธิ์ และผมรู้สึกถึงอิสรภาพและการปลดปล่อย อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ด้วยการเข้าร่วมการชุมนุมและอ่านพระวจนะ ผมได้เรียนรู้ว่า พระเจ้านั้นทรงบริสุทธิ์และชอบธรรม และพระองค์ทรงชิงชังความโสมมและเสื่อมทรามของมนุษย์ที่สุด ผมเริ่มมีนิสัยแย่ๆ หลายอย่างตอนอยู่ในกองทัพ และหากผมไม่สำนึกผิด ผมรู้ว่าพระเจ้าจะทรงดูหมิ่นและกำจัดผม หลังจากนั้น ผมก็ได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าที่ว่า “มนุษย์ซึ่งเกิดมาในดินแดนอันโสมมเช่นนั้น ได้ถูกสังคมทำให้มัวหมองอย่างรุนแรง เขาได้รับอิทธิพลจากจริยธรรมแบบศักดินา และเขาได้รับการสอน ณ ‘สถาบันอุดมศึกษา’ การคิดล้าหลัง ศีลธรรมอันเสื่อมทราม มุมมองชีวิตแบบคับแคบ ปรัชญาเพื่อการดำรงชีวิตที่น่ารังเกียจ การดำรงอยู่อันไร้ค่าอย่างที่สุด และรูปแบบการใช้ชีวิตและขนบธรรมเนียมทั้งหลายอันต่ำทราม—สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้รุกล้ำเข้าไปในหัวใจของมนุษย์อย่างรุนแรง และได้บ่อนทำลายและโจมตีมโนธรรมของเขาอย่างรุนแรง ผลก็คือ มนุษย์ยิ่งอยู่ห่างไกลจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งต่อต้านพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ อุปนิสัยของมนุษย์กลายมาเป็นชั่วช้ามากขึ้นในแต่ละวัน และไม่มีสักคนหนึ่งที่จะเต็มใจยอมสละสิ่งใดๆ เพื่อพระเจ้า ไม่มีสักคนหนึ่งที่จะเต็มใจเชื่อฟังพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีสักคนหนึ่งที่จะเต็มใจแสวงหาการทรงปรากฏของพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน มนุษย์ไม่ทำอะไรเลยเว้นแต่ไล่ตามเสาะหาความยินดี โดยยอมให้ตัวเขาเองจมอยู่กับความเสื่อมทรามของเนื้อหนังในดินแดนแห่งโคลน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า) การอ่านพระวจนะนี้ ทำให้ผมเห็นว่าทำไมผมถึงเสื่อมทรามอย่างลึกล้ำนัก ผมนึกทบทวนถึงช่วงเวลาหลายปีในกองทัพ ผมทำตามกฎที่ไม่ได้เขียนไว้ของโลก เพื่อความก้าวหน้า ทำสิ่งเลวร้ายมากมายและหาประโยชน์โดยมิชอบ ผมกลายเป็นคนเสื่อมทรามและชั่วช้า ใช้ชีวิตอยู่ในบาปโดยไร้ยางอาย พระวจนะของพระเจ้า แสดงให้ผมเห็นถึงความแตกต่างระหว่างความดีและความชั่ว และพระวจนะนั้น ทำให้ผมเห็นถึงรากของความเสื่อมและความชั่วช้าของตัวเอง กลายเป็นว่าซาตานคือต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ซาตานกษัตริย์มาร ได้ใช้การศึกษาและการจูงใจทุกชนิด เพื่อทำให้สังคมเสื่อมทรามลงสู่ถังบาปอันเดือดพล่าน ผู้ทรงอำนาจเหิมเกริมเกินควบคุม ทำตามอำเภอใจโดยไม่สนคนธรรมดาสามัญ ขณะที่คนธรรมดาผู้ซื่อสัตย์ถูกกลั่นแกล้งและไม่ก้าวหน้าในชีวิต สังคมของเรา เต็มไปด้วยความเชื่อที่ผิดและความนอกศาสนา ดังเช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “คนใช้แรงงานเป็นขี้ข้า คนใช้สมองดีกว่า เพราะได้เป็นนาย” “จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ และจงนำพาเกียรติมาเผื่อบรรพบุรุษของเจ้า” “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ” “ข้าราชการเปิดทางสะดวกให้ผู้มีของกำนัล ไม่มีความสำเร็จหากไม่สอพลอปอปั้น” และ “การเป็นข้าราชการก็เพื่ออาหารและอาภรณ์ชั้นเลิศ” และ “จงใช้อำนาจตอนที่มีเพราะเมื่อหมดอำนาจ ย่อมไม่มีให้ใช้” เมื่อถูกหลอกลวงด้วยสิ่งเหล่านี้ บวกกับแรงกดดันโดยรอบ ก็ทำให้ผมหลงทางไปโดยไม่รู้ตัว ผมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เป็นข้าราชการ ใช้อำนาจโดยมิชอบเพื่อประโยชน์ส่วนตน ผมกลายเป็นคนทุจริตอย่างยิ่งยวด มุ่งแต่จะค้ากำไรเกินควร ผมเสียใจต่อการกระทำอันชั่วร้ายของตัวเองจริงๆ ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยผมให้รอด เพราะพระองค์ทรงมอบโอกาสให้ผมได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ไม่อย่างนั้น ผมคงถูกสาปและถูกทำโทษจากความประพฤติของตัวเอง ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าอย่างมาก ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทาง ออกจากกองทัพ และหาอาชีพใหม่ แต่ผู้บังคับบัญชาพยายามรั้งผมไว้ บอกว่าเขาจะเลื่อนขั้นให้ผมเป็นรองผู้บัญชาการกรม ผมลังเล พลางคิดในใจ “รองผู้บัญชาการกรมงั้นหรือ? นั่นมันฝันที่เป็นจริงเลย!” ชั่วขณะหนึ่ง ผมไม่อยากปล่อยชื่อยศนั้นไป และผมก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ผมจึงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและแสวงหา จากนั้น ผมก็ได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า “หากเจ้าอยู่ในสถานะอันสูงส่ง มีภาพลักษณ์อันทรงเกียรติ ครองความรู้อันอุดม เป็นเจ้าของสินทรัพย์ล้นเหลือและได้รับการสนับสนุนจากผู้คนมากมาย กระนั้น สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ป้องกันเจ้าจากการมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อยอมรับการทรงเรียกของพระองค์และยอมรับพระบัญชาของพระองค์ และทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้เจ้าทำ เช่นนั้นแล้วทุกสิ่งที่เจ้าทำก็จะเป็นมูลเหตุอันเปี่ยมความหมายที่สุดบนแผ่นดินโลก และเป็นหน้าที่รับผิดชอบอันชอบธรรมที่สุดของมวลมนุษย์ หากเจ้าปฏิเสธการทรงเรียกของพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของสถานภาพและเป้าหมายของตัวเจ้าเอง ทั้งหมดที่เจ้าทำก็จะถูกสาปแช่ง และอาจถึงขั้นถูกดูหมิ่นโดยพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง) “ผู้คนมาที่แผ่นดินโลกและไม่บ่อยนักที่จะเผชิญกับเรา และก็ไม่บ่อยเช่นกันที่จะมีโอกาสแสวงหาและได้รับความจริง เหตุใดพวกเจ้าจึงจะไม่ให้ราคาสูงแก่เวลาที่สวยงามนี้ว่าเป็นเส้นทางที่ถูกต้องที่ต้องไล่ตามเสาะหาในชีวิตนี้? และเหตุใดเจ้าจึงเมินเฉยเหลือเกินต่อความจริงและความยุติธรรมเสมอ? เหตุใดพวกเจ้าจึงกำลังเหยียบย่ำและทำให้ตัวเองล่มสลายเสมอเพื่อความไม่ชอบธรรมและความสกปรกโสมมที่เล่นกับผู้คน?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะสำหรับผู้เยาว์และผู้สูงวัย) ทุกๆ คำกระหน่ำเข้าที่จิตสำนึกของผม ผมถูกปลุกให้ตื่น ผมคิด “โชคดีของฉันที่ได้พบพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ ผู้เสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อทรงแสดงความจริงและทรงช่วยมนุษย์ให้รอด และมีโอกาสได้ไล่ตามความจริง อีกทั้งทุ่มเทตนเองเพื่อพระเจ้า นั่นคือการยกระดับและพระคุณที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” อะไรจะมีความหมายไปกว่าการได้ทุ่มเทตนเองเพื่อพระผู้สร้างอีกล่ะ? ต่อให้ผมได้เลื่อนยศสูงแค่ไหน แต่ผมจะมีความสุขหรือเปล่า? ผู้มีอำนาจมากมายทำตามอำเภอใจและทำชั่วทุกรูปแบบ แต่สุดท้าย ทุกคนก็ได้ในรับสิ่งที่สาสม และข้าราชการระดับสูงมากมายที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงอยู่ระยะหนึ่ง แต่พอแพ้ศึกชิงอำนาจเมื่อไหร่ บางคนจบลงที่คุกแบบไม่เหลืออะไรเลย และบางคนก็ปลิดชีวิตตัวเอง เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตลอดเวลา สำหรับผมเอง ผมกำลังไต่เต้ามาจนถึงตอนนั้น แต่ผมก็ได้กลายเป็นคนโอหัง เห็นแก่ตัว และไม่ซื่ออย่างมาก ถึงตอนนี้พระเจ้าทรงมอบความจริงมากมายและทรงชี้ทางเดินชีวิตที่ถูกต้องให้ผม แล้วผมจะใช้ชีวิตแบบเก่าต่อไปได้อย่างไร ผมถูกซาตานทำร้ายและหลอกลวงมาค่อนชีวิต จนผมแทบไม่คล้ายมนุษย์แล้ว ตั้งแต่นั้นมาผมจึงอยากใช้ชีวิตเปลี่ยนไป เพื่อเดินตามพระเจ้า ปฏิบัติความจริง และประพฤติตนตามพระวจนะของพระเจ้า ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพและตัดขาดจากกองทัพ แต่เพราะซาตานได้ทำให้ผมเสื่อมทรามอย่างหยั่งลึกมาก พิษของ “จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ และจงนำพาเกียรติมาเผื่อบรรพบุรุษของเจ้า” ได้กลายมาเป็นชีวิตจริงๆ ของผม ในคริสตจักรผมจะแข่งขันชิงตำแหน่งเสมอ มีเพียงการเปิดเผยและการพิพากษาของพระเจ้าเท่านั้นที่แก้ไขการงานของผมให้ถูกต้อง
หลังจากทำหน้าที่ในคริสตจักรแห่งนั้นได้สักพัก ผมเห็นว่าผู้นำคริสตจักรอายุยังน้อยมาก ส่วนอีกคนเคยเป็นเพื่อนผมมาก่อน ผมร้อนรนและคิดว่า “โลกภายนอกเธอสองคนด้อยกว่าฉันแต่ในคริสตจักรนี้พวกเธอเหนือกว่าฉัน ฉันคงจะเป็นผู้นำได้ดีกว่าพวกเธอมาก!” ผมเริ่มทำตามความคิดนั้นแบบทุ่มสุดตัว หนึ่ง ผมเขียนแผนการ ผมจะตื่นตีห้ามาอ่านพระวจนะทุกวัน จากนั้นฟังคำเทศนาสองชั่วโมง เรียนเพลงสรรเสริญแห่งพระวจนะของพระเจ้าสัปดาห์ละสามเพลง ปฏิบัติหน้าที่เชิงรุกมากขึ้น เป็นคนนำทุกเรื่องในคริสตจักรเท่าที่ทำได้ ไม่ว่าจะยากหรือเหนื่อยแค่ไหน ในการชุมนุม ผมจะพูดถึงประสบการณ์ในกองทัพ โอ้อวดความสามารถของตัวเอง และเมินใส่การสามัคคีธรรมของผู้นำคริสตจักร บางครั้งผมจะหมิ่นความคิดและการกระทำของพวกเขากลายๆ ประหนึ่งว่าผมทำได้ดีกว่า นี่คือการใช้ชีวิตภายใต้การต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและสถานภาพของผม หวังว่าจะได้เป็นผู้นำคริสตจักรอยู่เสมอ ครั้งหนึ่ง ผมสังเกตเห็นว่าผู้นำคริสตจักรรับมือกับปัญหาได้ไม่เหมาะสมนัก ผมจึงตำหนิเธอเรื่องที่ไม่สามารถรับมือกับปัญหาได้ และเปรยว่าเธอควรจะลาออกซะ ผมหวังจะได้รับเลือกเป็นผู้นำในการเลือกครั้งต่อไป เมื่อเหล่าพี่น้องชายหญิงทราบเรื่อง พวกเขาก็ได้วิเคราะห์พฤติกรรมของผม บอกว่าผมเป็นคนไม่ซื่อ ทะเยอทะยาน และต้องการควบคุมคริสตจักร ผมถูกปลดจากตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม เรื่องนี้ทำให้ผมไม่พอใจมากและคิดว่า “ฉันเคยเป็นถึงผู้บังคับกองพันที่มีเกียรติ แต่ตอนนี้แค่หัวหน้ากลุ่มในคริสตจักรยังเป็นไม่ได้เลย” หลังจากที่เป็นแบบนั้นอยู่หลายเดือน ผมก็รับไม่ได้อีกต่อไปและผมรู้สึกเกลียดเหล่าพี่น้องชายหญิงอย่างมาก ผมปิดปากเงียบในการชุมนุม จิตวิญญาณของผมมืดดำจนผมไม่รู้สึกถึงพระเจ้าอีกต่อไป ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มรู้สึกกลัว ผมจึงรีบอธิษฐานและเรียกหาพระเจ้าให้ทรงนำทางผมออกจากความมืดนี้
ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ที่ว่า “ในการแสวงหาของพวกเจ้านั้น พวกเจ้ามีมโนคติที่หลงผิด ความหวัง และอนาคตของแต่ละคนมากเกินไป พระราชกิจปัจจุบันเป็นไปเพื่อที่จะจัดการกับความอยากของพวกเจ้าที่มีต่อสถานะและความอยากอันฟุ้งเฟ้อของพวกเจ้า ความหวัง สถานะ และมโนคติที่หลงผิดทั้งหมดเป็นตัวแทนชั้นเยี่ยมของอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน…บัดนี้พวกเจ้าเป็นผู้ติดตาม และพวกเจ้าได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ อย่างไรก็ตาม พวกเจ้ายังคงไม่ได้วางความอยากได้สถานะของพวกเจ้าลงไว้ก่อน เมื่อสถานะของเจ้าสูงเจ้าแสวงหาอย่างดี แต่เมื่อสถานะของเจ้าต่ำต้อยเจ้าไม่แสวงหาอีกต่อไป พระพรแห่งสถานะอยู่ในจิตใจของเจ้าเสมอ…ยิ่งเจ้าแสวงหาในหนทางนี้มากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งจะเก็บเกี่ยวได้น้อยลงเท่านั้น ยิ่งความอยากได้สถานะของบุคคลหนึ่งมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งจะต้องได้รับการจัดการอย่างจริงจังมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็ยิ่งจะต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุงที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น ผู้คนเช่นนั้นไร้ค่า! พวกเขาต้องได้รับการจัดการและได้รับการพิพากษาอย่างพอเพียงเพื่อที่พวกเขาจะได้ปล่อยวางสิ่งเหล่านี้อย่างถ้วนทั่ว หากพวกเจ้าไล่ตามเสาะหาหนทางนี้จนกระทั่งถึงที่สุด พวกเจ้าจะไม่ได้เก็บเกี่ยวสิ่งใดเลย พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาชีวิตไม่สามารถได้รับการแปลงสภาพ และพวกที่ไม่ได้กระหายความจริงไม่สามารถได้รับความจริง เจ้าไม่ได้มุ่งเน้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาการแปลงสภาพและการเข้าสู่ส่วนบุคคล แต่กลับมุ่งเน้นอยู่กับความอยากอันฟุ้งเฟ้อและสิ่งต่างๆ ที่จำกัดความรักของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าและป้องกันเจ้าจากการเข้าใกล้พระองค์ สิ่งเหล่านั้นสามารถแปลงสภาพเจ้าได้หรือไม่? สิ่งเหล่านั้นสามารถนำพาเจ้าเข้าไปสู่ราชอาณาจักรได้หรือไม่?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหตุใดเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น?) พระวจนะของพระเจ้าทิ่มแทงใจผม และผมรู้สึกละอายมาก ผมเคยแข่งขันชิงตำแหน่ง จากนั้นก็ถูกเปิดโปงและจัดการโดยเหล่าพี่น้องชายหญิง และถูกปลดจากหน้าที่ มันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ แต่ก็ไม่ใช่เพราะใครบางคนอยากทำร้ายผม แต่มันคือการพิพากษาอันชอบธรรมของพระเจ้าและเป็นความรอดที่ทันเวลา พระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายก็เพื่อเปลี่ยนความคิดและมโนคติที่หลงผิดเก่าๆ ของเรา เพื่อช่วยเราให้รอดจากอิทธิพลของซาตาน เพื่อให้เราได้รับความจริงและชีวิตจากพระเจ้าเพื่อใช้ชีวิตในแสงสว่าง ผมไม่ได้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง หรือไม่ได้มุ่งเน้นที่การไล่ตามความจริง แต่กลับไล่ตามตำแหน่งและชื่อเสียง ผมใช้กลอุบายและวิธีในทางลับเพื่อให้ได้ตำแหน่ง สิ่งนั้นไม่ได้ขัดแย้งกับน้ำพระทัยของพระเจ้า ที่จะทรงช่วยมนุษยชาติให้รอดหรอกหรือ? การทำเช่นนั้นต่อไป หมายความว่าผมคงไม่มีวันได้รับความจริง และคงถูกกำจัด เพื่อหยุดผมจากการเดินหลงทางและพากลับสู่เส้นทางที่ถูก พระเจ้าทรงตัดแต่งและจัดการผมผ่านเหล่าพี่น้องชายหญิง ที่ได้เปิดโปงความทะเยอทะยานและความปรารถนาของผม รวมถึงเอาตำแหน่งไปจากผม เพื่อให้ผมย้อนมองตัวเองและเปลี่ยนทางเดิน ผมได้เห็นแล้วว่า พระเจ้าทรงมองลึกลงไปในหัวใจของเราอย่างแท้จริง ผมยังได้มีความเข้าใจถ่องแท้ในเรื่องความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ พระมหิทธิฤทธิ์ และพระปรีชาญาณของพระเจ้าอีกด้วย ผมไม่คิดลบหรือเสียใจที่เสียตำแหน่งอีกต่อไป แต่กลับต้องการไล่ตามความจริงและนบนอบต่อการดัดแปลงและจัดเตรียมของพระองค์
หกเดือนต่อมา ผมได้ไปใช้ชีวิตวิถีคริสตจักรที่อีกคริสตจักรหนึ่ง ซึ่งพวกเขากำลังจะเลือกผู้นำกัน ผมดีใจตอนที่ได้รู้ว่าที่นั่นไม่มีใครศรัทธาพระเจ้ามานานเท่าผม ผมจึงคิดว่าตัวเองคงจะมีโอกาส เรื่องประสบการณ์ชีวิตและจำนวนปีแห่งศรัทธา ผมเหนือกว่าพวกเขา ผมคิดว่าตัวเองควรเป็นตัวเลือกที่ชัดเจนสำหรับตำแหน่งผู้นำคริสตจักร ในขณะที่ผมกำลังเตรียมพร้อมจะแสดงศักยภาพของตัวเอง ภคินีจากคริสตจักรเดิมของผมหนีมาคริสตจักรนี้เพราะเธอถูกตามล่าจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผมคิดว่า “เธอรู้ว่าเราเคยแข่งขันชิงตำแหน่งที่คริสตจักรเก่า ถ้าเธอเห็นเราแข่งเป็นผู้นำคริสตจักรใหม่อีก เธอจะแฉพฤติกรรมฉาวโฉ่เก่าๆ ของเราไหม ชื่อเสียงของฉันคงจะเสื่อมเสียถ้าเธอทำแบบนั้น” โดยไม่มีทางเลือก ผมละทิ้งแผนการแล้วพิจารณาถึงสถานการณ์ “เราจะเป็นผู้นำกลุ่มก่อนแล้วค่อยไต่ขึ้นไปจากตรงนั้น” อย่างไรก็ตาม ผมยังนึกไม่ถึงที่ตัวผมไม่ได้รับเลือกเป็นผู้นำกลุ่มด้วยซ้ำ ทางคริสตจักรมีคนไม่พอทำงานกิจวัตรบางอย่าง ผู้นำคริสตจักรจึงถามว่าผมอยากทำกิจวัตรเหล่านั้นไหม ผมเกรงจะถูกมองว่าไม่เชื่อฟัง เลยฝืนใจตอบตกลง ผมเคยเป็นถึงผู้บังคับกองพันทรงเกียรติกลับต้องมาทำหน้าที่แสนต่ำต้อย สำหรับผม ทุกอย่างดูผิดไปหมด ไม่นานตำรวจเริ่มมาเฝ้าสถานที่ชุมนุมของเรา เราจึงชุมนุมที่นั่นไม่ได้อีก ผู้นำคริสตจักรมอบหมายผมไปอยู่กับอีกกลุ่ม ให้รวมตัวกับเหล่าพี่น้องชายหญิงทำหน้าที่ต้อนรับแขก สิ่งนี้มันมากเกินไปสำหรับผม ผมทำหน้าที่ต่ำต้อยไม่พอ แต่คราวนี้ต้องรวมตัวกับเหล่าพี่น้องชายหญิงทำหน้าที่รับแขก ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าขายหน้ามาก เราตกต่ำขนาดนี้ได้อย่างไร? ถ้าเป็นเช่นนั้นต่อไป ผมจะมีความสำเร็จแบบไหนกัน? ผมไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ ผมได้แต่พลันอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอพระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงชี้ทางผม
จากนั้น ผมได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า “เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ความคิดที่ผู้คนได้พึ่งพาเพื่อการอยู่รอดของพวกเขาได้กัดกร่อนหัวใจของพวกเขาเรื่อยมาจนถึงจุดที่ว่า พวกเขาได้กลายเป็นทรยศ ขี้ขลาด และน่ารังเกียจ ไม่เพียงแค่พวกเขาขาดพร่องพลังจิตและความแน่วแน่เท่านั้น แต่พวกเขายังได้กลายเป็นโลภมาก โอหัง และเอาแต่ใจตัวเองด้วยเช่นกัน พวกเขาขาดพร่องความแน่วแน่ใดๆ ซึ่งอยู่เหนือตนเองโดยสิ้นเชิง และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่มีความกล้าหาญแม้แต่น้อยที่จะสลัดการควบคุมของอิทธิพลมืดเหล่านี้ ความคิดและชีวิตของผู้คนนั้นเน่าเปื่อยมากจนกระทั่งมุมมองของพวกเขาต่อการเชื่อในพระเจ้ายังคงน่าขยะแขยงอย่างไม่สามารถทนได้ และแม้กระทั่งเมื่อผู้คนพูดถึงมุมมองของพวกเขาต่อการเชื่อในพระเจ้า ก็ไม่สามารถทนฟังได้อย่างแน่นอน ผู้คนทั้งหมดล้วนขี้ขลาด ไร้ความสามารถ น่ารังเกียจ และบอบบาง พวกเขาไม่รู้สึกถึงความขยะแขยงที่มีต่อกองกำลังของความมืด และพวกเขาไม่รู้สึกถึงความรักที่มีต่อความสว่างและความจริง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับทำอย่างสุดความสามารถที่จะขับไล่สิ่งเหล่านั้น ความคิดและมุมมองปัจจุบันของพวกเจ้าไม่ได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ? ‘ในเมื่อข้าพระองค์เชื่อในพระเจ้า ข้าพระองค์ก็แค่ควรได้รับการหลั่งพระพรและควรจะได้รับการทำให้มั่นใจว่าสถานะของข้าพระองค์จะไม่มีวันหลุดไป และว่ามันจะยังคงสูงกว่าสถานะของบรรดาผู้ปราศจากความเชื่อ’ เจ้าไม่ได้เก็บงำมุมมองประเภทนั้นภายในตัวพวกเจ้ามาเป็นเวลาแค่หนึ่งหรือสองปีเท่านั้น แต่เป็นเวลาหลายปี วิธีการคิดแบบแลกเปลี่ยนกันของพวกเจ้านั้นได้พัฒนามากเกินไป ถึงแม้ว่าพวกเจ้าได้มาถึงขั้นตอนนี้ในวันนี้ พวกเจ้ายังคงไม่ได้ปล่อยวางสถานะแต่ดิ้นรนต่อสู้อยู่ตลอดเวลาเพื่อสอบถามถึงมัน และสังเกตการณ์มันในแต่ละวัน ด้วยความเกรงกลัวลึกๆ ว่าวันหนึ่งสถานะของพวกเจ้าจะสูญหายไปและชื่อของพวกเจ้าจะย่อยยับ ผู้คนไม่เคยได้วางความอยากมีความสะดวกสบายของพวกเขาลงไว้ก่อน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหตุใดเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น?) “เมื่อเจ้าเดินบนเส้นทางของวันนี้ อะไรคือประเภทของการไล่ตามเสาะหาที่เหมาะสมที่สุด? ในการไล่ตามเสาะหาของเจ้า เจ้าควรมองว่าตัวเจ้าเองเป็นบุคคลประเภทใด? มันทำให้เจ้าต้องรู้ว่าเจ้าควรเข้าหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเจ้าในวันนี้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบหรือความยากลำบากทั้งหลาย หรือการตีสอนและการสาปแช่งอย่างไร้ความปรานี เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว เจ้าควรทบทวนสิ่งเหล่านี้อย่างพิถีพิถันในทุกกรณี” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกที่ไม่เรียนรู้และยังคงไม่รู้เท่าทัน: พวกเขาไม่ใช่สัตว์เดียรัจฉานหรอกหรือ?) การใคร่ครวญถึงพระวจนะของพระเจ้า ทำให้ผมได้ย้อนดูตัวเอง ผมคิด “ในการไล่ตามนี้ผมควรมองตัวเองเป็นคนประเภทไหนกัน” ผมมักคิดเสมอว่าตัวเองเป็นผู้บังคับกองพัน เป็นคนมีชั้นยศ ต้องเป็นงานที่มีตำแหน่งเท่านั้นถึงจะเหมาะกับผม และต้องเป็นบุคคลที่มีสถานะเท่านั้นถึงคู่ควรมาจับกลุ่มกับผม ผมดูแคลนเหล่าพี่น้องชายหญิงผู้ทำหน้าที่ต้อนรับ คิดว่าการอยู่กับพวกเขา แสดงให้เห็นว่าผมเป็นคนไม่สำคัญ พอไร้สถานะ ผมจึงคิดลบและต่อต้านถึงขั้นรู้สึกว่าชีวิตไร้ความหมาย สถานะ ชื่อ ผลประโยชน์ทำให้ความคิดสับสนจนผมสูญเสียความเป็นมนุษย์ ผมช่างเป็นคนที่น่าชังและน่ารังเกียจอะไรเช่นนี้! คนอย่างผมจะคู่ควรเป็นผู้นำคริสตจักรได้อย่างไร คริสตจักรไม่เหมือนในสังคมโลก ในคริสตจักรนั้นความจริงมีอำนาจเหนือ ผู้นำต้องมีมนุษยธรรมที่ดีและไล่ตามความจริง แต่ทั้งหมดที่ผมทำ คือไล่ตามสถานะและแข่งขันเพื่อจะได้เป็นผู้นำ ผมเป็นคนไร้เหตุผล ไร้ยางอายขนาดนั้นได้อย่างไร?
หลังจากนั้น ผมได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ที่ว่า “เราตัดสินใจเรื่องบั้นปลายของแต่ละบุคคลโดยไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอายุ ความอาวุโส ปริมาณความทุกข์ และที่น้อยที่สุดคือ ระดับความชวนสังเวชของพวกเขา แต่เป็นไปโดยสอดคล้องกับการที่ว่า พวกเขาครองความจริงหรือไม่ ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้ พวกเจ้าจำต้องตระหนักว่า ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจะถูกลงโทษด้วยเช่นกัน นี่คือข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า) ผมได้เข้าใจจากพระวจนะของพระเจ้าว่า พระองค์มิได้ทรงกำหนดบั้นปลายของเรา ตามสถานภาพหรือปริมาณงานที่เราทำ สิ่งสำคัญคือเราได้มาซึ่งความจริงหรือไม่ และเราเชื่อฟังพระเจ้าไหม ผมได้เห็นว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรมต่อทุกคน ไม่ว่าเราทำหน้าที่อะไร เราต้องไล่ตามความจริงเสมอ ด้วยความจริงนั้น แม้จะไม่มีสถานะใดๆ มนุษย์ก็ยังสามารถถูกช่วยให้รอด แต่หากปราศจากการไล่ตามความจริงแม้สถานะสูงแค่ไหนก็ไม่อาจถูกช่วยให้รอดได้ ผมคิดได้ว่าผมช่างโง่สิ้นดีที่ไล่ตามสถานะสุดชีวิตแบบนั้น ผมเคยเกลียดข้าราชการทหารทุจริตพวกนั้น แต่ยิ่งผมมียศสูงขึ้น ตัวของผมกลับยิ่งเลวร้ายลง สุดท้ายกลายเป็นข้าราชการทุจริตเหมือนพวกเขาไม่มีผิด ผู้อำนาจบางคน ก่อนจะมีสถานะพวกเขาสามารถทำหน้าที่ตัวเองได้อย่างสุจริต แต่ทันทีที่มีอำนาจอยู่ในมือ พวกเขาก็เริ่มใช้ในทางมิชอบ และบาปของพวกเขาก็พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดถึงศัตรูของพระคริสต์ซึ่งถูกขับไล่ออกจากคริสตจักร เมื่อพวกเขาไร้ซึ่งสถานะ ก็ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ทำสิ่งชั่วร้าย แต่ทันทีที่สิ่งนั้นเปลี่ยนไป พวกเขาก็เริ่มบังคับและเอาชนะผู้อื่นอย่างจองหอง พูดและทำเพื่อรักษาตำแหน่งของตน ทำชั่ว และขัดขวางงานของพระนิเวศของพระเจ้า นี่แสดงให้ผมเห็นว่าหากปราศจากความจริง เราจะใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเสื่อมทรามเสมอ ทันทีที่เราได้อำนาจและสถานะมา เราก็กลายเป็นคนเอาแต่ใจและทำชั่ว ซึ่งท้ายที่สุดก็นำไปสู่การลงโทษ หลายปีที่ต่อสู้ดิ้นรนไต่เต้าในกองทัพ ผมเต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ผมโอหัง เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ชั่ว และเลวทราม ถ้าผมพบว่าตัวเองมีตำแหน่งสูง ความทะเยอทะยานของผมก็จะโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมือนตอนที่ใช้อำนาจโดยมิชอบในฐานะข้าราชการทหาร ผมคงลงเอยด้วยการทำชั่ว ก้าวล่วงต่อพระอุปนิสัย ของพระเจ้าและถูกลงโทษเท่านั้น พอคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ผมรู้สึกทั้งกลัวและขอบคุณ พระเจ้าทรงนำอุปสรรคและความล้มเหลวมาหลายครั้งหลายครา เพื่อยับยั้งความทะเยอะทะยานแลความปรารถนาของผมไม่ให้ลุล่วง นี่คือความรอดและการปกป้องผมของพระองค์ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรู้แจ้งของพระองค์ ที่ทรงแสดงให้ผมเห็นถึงเนื้อแท้และผลลัพธ์ของการไล่ตามชื่อเสียงและสถานะ ยิ่งไปกว่านั้น สุดท้ายผมก็ได้เห็นว่าการไล่ตามความจริงสำคัญแค่ไหน
ตั้งแต่นั้นมา ผมก็มุ่งเน้นไปที่การไล่ตามความจริง เพื่อแก้ไขความเสื่อมทรามของตัวเอง ไม่ว่าคริสตจักรมอบหมายหน้าที่ใดมา ชั้นยศก็ไม่ใช่สิ่งผมมุ่งเน้นอีกต่อไป ผมหันมามุ่งเน้นที่การแสวงหาหลักการแห่งความจริงและการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ผมรู้สึกได้ถึงการสถิตและการทรงนำของพระเจ้า เมื่อผมเริ่มปฏิบัติทางนี้ และผมรู้สึกถึงความสงบสุขและแสนปีติที่เกินพรรณนา หลังผ่านไปสักระยะ ผมก็พบว่าตัวเองถ่อมตัวกับผู้อื่นมากขึ้น และไม่คุยโตเรื่องเคยเป็นข้าราชการทหารอีก เมื่อเหล่าพี่น้องชายหญิงได้ชี้ถึงความผิดของผม ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าและนบนอบต่อพระองค์ด้วยใจจดจ่อ แล้วจึงมองย้อนและพยายามทำความรู้จักตนเอง ผมสามารถเข้ากับผู้อื่นได้โดยเท่าเทียมกัน และไม่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าใครอีก กว่าจะรู้ตัว มุมมองของผมต่อการงานก็เปลี่ยนสภาพไป สถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์เลือนหายไปมากสำหรับผม พวกมันไม่อาจถ่วงผมได้อีกต่อไป เวลาผมเห็นคนที่มีศรัทธาทีหลังผมได้เป็นผู้นำคริสตจักร ผมก็ยังรู้สึกอิจฉาอยู่นิดหน่อย แต่การอธิษฐานและแสวงหาความจริง ทำให้ผมปล่อยวางได้เร็ว ตอนนี้ ผมทำหน้าที่ของตัวเองที่บ้านกับภรรยา มันอาจไม่มีอะไรโดดเด่นแต่ใจผมเป็นสุขเหลือเกิน ในชีวิตของเรา เราปฏิบัติเพื่อยินยอมให้พระวจนะของพระเจ้านั้นมีอำนาจเหนือ และเรารับฟังใครก็ตามที่พูดถูกต้อง และสอดคล้องกับความจริง ผมได้มีประสบการณ์แท้จริง ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเปลี่ยนแปลงผม พระองค์ทรงช่วยชีวิตคู่ และช่วยครอบครัวของผมให้รอด และพระองค์ยังช่วยผมซึ่งเป็นคนเลวทรามให้รอด ผมเคยเป็นคนยโส อวดดี หมกมุ่นกับสถานะและผลประโยชน์ เป็นคนที่ชั่วร้ายและโลภมาก หากไร้ซึ่งพระราชกิจเพื่อความรอดแห่งพระเจ้า ในชีวิตผมคงไม่มีวันได้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง ผมคงกลายเป็นคนที่เสื่อมทรามและชั่วช้าไปมากกว่าเดิมเท่านั้น และลงเอยด้วยการทำสิ่งชั่วร้ายมากมาย จนพระเจ้าคงสาปแช่งและลงโทษผม ผมรู้สึกถึงพระราชกิจเพื่อความรอดและความรักของพระเจ้าอย่างแท้จริง ผ่านประสบการณ์เหล่านี้ การได้ปฏิบัติความจริงและได้ใช้ชีวิตดังเช่นมนุษย์บ้าง ทั้งหมดเป็นเพราะการตัดสินและการตีสอนของพระเจ้านั่นเอง! ขอบพระคุณพระเจ้า!