2. ท่ามกลางการทดสอบของความตาย

โดย สิงต้าว ประเทศเกาหลีใต้

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระเจ้าได้เสด็จมาทรงพระราชกิจบนแผ่นดินโลกก็เพื่อช่วยมวลมนุษย์ซึ่งเสื่อมทรามให้รอด ไม่มีการโป้ปดมดเท็จอยู่ในการนี้เลย  หากมี พระองค์ก็คงไม่ได้เสด็จมาทรงพระราชกิจด้วยพระองค์เองอย่างแน่นอน  ในอดีตนั้น วิถีทางแห่งความรอดของพระองค์เกี่ยวข้องกับการแสดงความรักและความเมตตาสงสารอย่างถึงที่สุด จนถึงขั้นที่พระองค์ประทานทั้งหมดของพระองค์ให้แก่ซาตานเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับมวลมนุษย์ทั้งหมดทั้งมวล  ปัจจุบันนี้ไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นเหมือนอดีต กล่าวคือ ความรอดที่ประทานให้แก่พวกเจ้าในวันนี้เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาแห่งยุคสุดท้าย ในช่วงระหว่างที่มีการจำแนกชั้นแต่ละบุคคลไปตามประเภท ทั้งนี้ วิถีทางแห่งความรอดของพวกเจ้าไม่ใช่ความรักหรือความเมตตาสงสาร แต่เป็นการตีสอนและการพิพากษา เพื่อที่มนุษย์อาจสามารถได้รับการช่วยให้รอดอย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนั้น ทั้งหมดที่พวกเจ้าได้รับคือการตีสอน การพิพากษา และการเฆี่ยนตีอย่างไร้ปรานี แต่จงรู้สิ่งนี้ไว้ว่า ในการเฆี่ยนตีอันไร้หัวใจนี้ไม่มีการลงโทษเลยแม้แต่น้อย  โดยไม่ต้องคำนึงว่าคำพูดของเราอาจจะกร้าวกระด้างเพียงใด สิ่งที่ตกมาถึงพวกเจ้าเป็นเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำที่อาจจะดูเหมือนไร้หัวใจอย่างถึงที่สุดสำหรับพวกเจ้า และไม่สำคัญว่าเราอาจจะมีความโมโหมากเพียงใด สิ่งที่พรั่งพรูลงมาบนพวกเจ้าก็ยังคงเป็นวจนะแห่งการสอน และเราไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำร้ายพวกเจ้าหรือทำให้พวกเจ้าถึงแก่ความตาย  ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ?  จงรู้ไว้ว่าทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการพิพากษาอันชอบธรรม หรือกระบวนการถลุงและการตีสอนอันไร้หัวใจ ทุกอย่างเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความรอด  โดยไม่ต้องคำนึงว่า วันนี้ แต่ละคนได้รับการจำแนกชั้นไปตามประเภทหรือไม่ หรือหมวดหมู่ของมนุษย์ได้รับการตีแผ่หรือไม่ จุดประสงค์ของพระวจนะทั้งปวงและพระราชกิจของพระเจ้าคือเพื่อช่วยบรรดาผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงให้รอด  การพิพากษาอันชอบธรรมถูกนำมาใช้ชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ และกระบวนการถลุงอันไร้หัวใจกระทำขึ้นเพื่อชำระพวกเขาให้สะอาด ทั้งพระวจนะหรือการสั่งสอนอันกร้าวกระด้างต่างกระทำเพื่อการชำระให้บริสุทธิ์และเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความรอด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรละวางพระพรเกี่ยวกับสถานะลงและทำความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าในการนำพาความรอดมาสู่มนุษย์)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมตื้นตันใจจริงๆ และทำให้ผมคิดถึงประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงที่ผมได้เจอเมื่อกว่า 20 ปีก่อน ระหว่างการทดสอบของความตายครับ ผมได้มาซาบซึ้งอย่างแท้จริงที่การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าคือความรักและความรอดสำหรับมนุษย์ ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้ารุนแรงหรือทำร้ายจิตใจแค่ไหน ก็เพียงเพื่อชำระเราให้สะอาดและเปลี่ยนแปลงเราเท่านั้น

ตอนนั้นเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1992 หลังจากการทดสอบของคนปรนนิบัติ พระเจ้าทรงยกเราขึ้นให้เป็นคนของยุคแห่งราชอาณาจักรและพระองค์ได้ประทานข้อกำหนดของพระองค์แก่เรา ให้เราจดจ่อกับการอ่านพระวจนะของพระองค์และนำมาปฏิบัติ แสวงหาการรู้จักพระเจ้า เป็นพยานต่อพระเจ้าผ่านการทดสอบและบรรลุมาตรฐานของผู้คนของราชอาณาจักรโดยเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ย้อนไปตอนนั้น พระวจนะของพระเจ้ามักจะกล่าวถึง “ผู้คนในครอบครัวของเรา” และ “ประชากรของราชอาณาจักรของเรา” พระวจนะเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนพระเจ้าทรงเห็นเราเป็นครอบครัวของพระองค์เองเสมอ ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและการสนับสนุน ดังนั้นผมจึงเริ่มไล่ตามมาตรฐานเพื่อเป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้า ผมอธิษฐาน อ่านพระวจนะของพระเจ้าและไตร่ตรองน้ำพระทัยของพระองค์จากพระวจนะของพระองค์ ผมทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ และตกลงใจติดตามพระเจ้าตลอดชีวิตของผม ตอนนั้นผมอายุ 22 ปี หนุ่มๆ วัยเดียวกับผมส่วนใหญ่แต่งงานมีลูกแล้วทั้งนั้น ครอบครัวที่ไม่เชื่อของผมคอยพยายามหาภรรยาให้ผม แต่ผมก็ปฏิเสธไปทุกคน

ผมเคยรักการร้อง “เพลงเฉลิมราชอาณาจักร” มากๆ โดยเฉพาะท่อนนี้ “ในเสียงประโคมคารวะแห่งราชอาณาจักร อาณาจักรซาตานพลันโค่นสลาย มีอันบรรลัยไปในเสียงก้องกัมปนาทของเพลงเฉลิมราชอาณาจักร ไม่มีวันผงาดขึ้นมาได้อีกเลย!  ใครเล่าบนแผ่นดินโลกกล้าลุกขึ้นมาต้านทาน?  ขณะพระเจ้าทรงเคลื่อนลงมายังแผ่นดินโลก พระองค์ทรงนำมาซึ่งการเผาผลาญ ทรงนำมาซึ่งพระพิโรธ ทรงนำมาซึ่งทุกเภทแห่งมหันตภัย อาณาจักรทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลก ณ บัดนี้คือราชอาณาจักรของพระเจ้า!(“เพลงเฉลิมราชอาณาจักร (1) ราชอาณาจักรเคลื่อนลงสถิตบนพิภพ” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ)  ผมจะคิดว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าจะสำแดงบนแผ่นดินโลกอย่างไร และเมื่อพระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสิ้น ความวิบัติครั้งใหญ่ทั้งหลายจะมา และทุกคนที่ต่อต้านพระเจ้าจะถูกทำลาย แต่ทว่าพวกเราที่ติดตามพระเจ้าจะรอดชีวิต และพระเจ้าจะทรงนำเราเข้าสู่ราชอาณาจักรเพื่อรื่นรมย์กับพระพรอันเป็นนิรันดร์ มันวิเศษมากครับที่ได้คิดถึงทั้งหมดนี้ ตอนนั้น ผมคิดว่าการยอมรับพระนามของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และการถูกยกขึ้นไปเข้าร่วมกับประชากรของราชอาณาจักร หมายความว่าการเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าในชีวิตนี้ เป็นข้อตกลงมั่นเหมาะที่ไม่มีใครสามารถพรากไปจากผมได้ ผมตื่นเต้นสุดขีด วิญญาณของเราได้รับการฟื้นคืนชีพและเราก็เต็มไปด้วยความยินดี เราทุ่มเทตัวเองเพื่อพระเจ้าอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย

แต่พระเจ้าทรงชอบธรรมและบริสุทธิ์ พระองค์ทอดพระเนตรลึกเข้าไปในหัวใจของเรา และพระองค์ทรงรู้มโนคติที่หลงผิด จินตนาการ และความปรารถนาสุดบรรเจิดที่เราเก็บงำไว้ แล้วพอเราเต็มไปด้วยความหวังว่าจะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรและสำราญกับพระพร ในปลายเดือนเมษายน พระเจ้าก็ดำรัสพระวจนะใหม่ นำทางเราทั้งหมดเข้าสู่การทดสอบของความตาย

วันหนึ่งก็มีผู้นำคริสตจักรจัดงานชุมนุมและอ่านพระวจนะของพระเจ้า “ในขณะที่ผู้คนกำลังฝันอยู่นั้น เราเดินทางไปยังประเทศทั้งหลายในโลกโดยแผ่ ‘กลิ่นอายแห่งความตาย’ ในมือของเราท่ามกลางมนุษย์  ผู้คนทั้งปวงทิ้งความมีชีวิตชีวาไว้เบื้องหลังทันที และเข้าสู่ลำดับชั้นถัดไปแห่งชีวิตมนุษย์  ท่ามกลางมวลมนุษย์นั้น ไม่อาจพบเห็นสิ่งมีชีวิตใดๆ ได้อีกต่อไป ซากศพกระจัดกระจายไปทุกหนแห่ง สิ่งทั้งหลายที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาก็อันตรธานหายไปโดยไร้ร่องรอยในทันที และกลิ่นคละคลุ้งของซากศพขจรขจายไปทั่วแผ่นดิน…วันนี้ ในที่นี้ ซากศพของผู้คนทั้งหมดนอนกลาดเกลื่อน  เราปลดปล่อยโรคระบาดในมือของเราไปโดยที่ผู้คนไม่รู้ตัว และร่างของมนุษย์ก็เน่าเปื่อย ไม่เหลือร่องรอยของเนื้อหนังตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า และเราก็ไปห่างไกลจากมนุษย์  เราจะไม่มีวันจับกลุ่มชุมนุมกับมนุษย์อีกเลย เราจะไม่มีวันมาท่ามกลางมนุษย์อีกเลย เพราะช่วงระยะสุดท้ายแห่งการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลของเราได้มาถึงบทอวสานแล้ว และเราจะไม่สร้างมวลมนุษย์ขึ้นมาอีก จะไม่ให้ความใส่ใจใดๆ กับมนุษย์อีก  หลังจากได้อ่านวจนะจากปากของเราแล้ว ผู้คนล้วนสูญสิ้นความหวัง เพราะพวกเขาไม่ต้องการที่จะตาย—แต่ผู้ใดเล่าที่ไม่ ‘ตาย’ เพื่อประโยชน์แห่ง ‘การมามีชีวิต’?  เมื่อเราบอกผู้คนว่าเราขาดเวทมนตร์ที่จะทำให้พวกเขากลับมามีชีวิต พวกเขาก็ระเบิดเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แท้จริงแล้ว ถึงแม้ว่าเราเป็นพระผู้สร้าง แต่เราก็มีเพียงพลังอำนาจที่จะทำให้ผู้คนตาย และขาดความสามารถที่จะทำให้พวกเขากลับมามีชีวิต  ในการนี้ เราขออภัยต่อมนุษย์  ด้วยเหตุนี้ เราได้บอกมนุษย์ไว้ล่วงหน้าว่า ‘เราติดค้างหนี้ที่ไม่อาจชำระได้ต่อเขา’—แต่ทว่าเขาก็คิดว่าเรากำลังสุภาพ  วันนี้ ด้วยการมาถึงของข้อเท็จจริง เรายังคงกล่าวการนี้  เราจะไม่ทรยศต่อข้อเท็จจริงที่เราพูด  ในมโนคติที่หลงผิดของพวกเขานั้น ผู้คนเชื่อว่าหนทางที่เราพูดมีมากเกินไป และดังนั้น พวกเขาจึงคว้าวจนะที่เรามอบให้พวกเขาในขณะที่หวังอะไรอย่างอื่นอยู่เสมอ  เหล่านี้มิใช่แรงจูงใจที่ผิดพลาดของมนุษย์หรอกหรือ?  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้นี่เองที่เรากล้ากล่าว ‘อย่างอาจหาญ’ ว่ามนุษย์มิได้รักเราอย่างแท้จริง  เราจะไม่หันหลังให้กับมโนธรรมและบิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะเราจะไม่นำผู้คนเข้าไปสู่ดินแดนในอุดมคติของพวกเขา ในท้ายที่สุด เมื่องานของเราเสร็จสิ้น เราจะนำพวกเขาไปยังดินแดนแห่งความตาย” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 40)  เมื่อผมอ่าน “ถึงแม้ว่าเราเป็นพระผู้สร้าง แต่เราก็มีเพียงพลังอำนาจที่จะทำให้ผู้คนตาย และขาดความสามารถที่จะทำให้พวกเขากลับมามีชีวิต” ผมรู้สึกสับสนมาก ผมคิดว่า “ทำไมพระเจ้าถึงตรัสอะไรแบบนั้น” “ชีวิตและความตายของมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทำไมจึงตรัสว่าพระองค์ขาด ‘ความสามารถ’ ที่จะทำให้มนุษย์มีชีวิตขึ้นมาล่ะ เราผู้เชื่อจะยังตายในบทอวสานจริงๆหรือ เราเป็นประชากรของราชอาณาจักร ดังนั้นเราจะตายได้อย่างไร แต่พระเจ้าคงไม่ทรงล้อเล่นกับเรา พระวจนะของพระองค์กล่าวชัดเจน ‘เมื่องานของเราเสร็จสิ้น เราจะนำพวกเขาไปยังดินแดนแห่งความตาย’ นั่นไม่ได้แปลว่าที่สุดแล้วเราจะเผชิญกับความตายหรอกหรือ ทั้งหมดนี้มันเรื่องอะไรกัน” ผมคิดไม่ออกเลยว่าทำไมพระเจ้าถึงตรัสอะไรแบบนั้น ดูเหมือนว่าพี่น้องชายหญิงรอบตัวผมก็งุนงงเหมือนกัน แล้วผู้นำคริสตจักรก็สามัคคีธรรมกับเราว่า “เนื้อหนังของเราได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนัก มันเต็มไปด้วยอุปนิสัยแบบซาตาน เราโอหัง เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง เห็นแก่ตัว และโลภ และเรายังโกหกและคดโกงตลอดเวลา เราอาจเชื่อในพระเจ้าและทุ่มเทตัวเองเพื่อพระองค์ แต่เราไม่สามารถนำพระวจนะของพระองค์มาปฏิบัติได้ เรายังตัดสินและโทษพระองค์เมื่อการทดสอบและความทุกข์ลำบากมาถึง นี่แสดงว่าเนื้อหนังของเราเป็นของซาตานและต่อต้านพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรม บริสุทธิ์ และไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้ พระองค์จะทรงปล่อยให้ผู้คนที่เป็นของซาตานเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้อย่างไร ดังนั้นเมื่อพระราชกิจของพระองค์เสร็จสิ้น ความวิบัติครั้งใหญ่ทั้งหลายจะมาถึง และหากเราในฐานะผู้เชื่อไม่ได้รับความจริง หากอุปนิสัยแห่งชีวิตของเราไม่เปลี่ยนแปลง เช่นนั้นเราก็ยังจะตาย”

พอได้ฟังการสามัคคีธรรมนี้จากผู้นำ ผมก็ท่วมท้นไปด้วยอารมณ์และไม่รู้ว่าผมควรจะรู้สึกอย่างไร ผมรู้สึกเหมือนอยู่ๆ สวรรค์ก็ถล่มลงมา ผมอึ้งไปเลย จิตใจของผมเต็มไปด้วยความสับสนและความขุ่นเคือง และผมคิดว่า “ในฐานะคนรุ่นสุดท้าย เราได้รับพระพรที่สุดไม่ใช่หรือ พระเจ้าได้ทรงยกเราขึ้นเพื่อเป็นประชากรของยุคแห่งราชอาณาจักร เราเป็นเสาหลักของราชอาณาจักรของพระเจ้า แล้วเราจะตายเมื่อถึงบทอวสานได้อย่างไร ผมทิ้งวัยหนุ่มและความหวังที่จะแต่งงานเพื่อติดตามพระเจ้า ผมวิ่งวุ่น ทุ่มเทตัวเองเพื่อพระเจ้า และทนทุกข์มามาก ผมถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุมและข่มเหง ถูกผู้ไม่เชื่อเยาะเย้ยและใส่ร้าย ทำไมผมยังต้องตายในบทอวสานด้วยล่ะ การทนทุกข์ทั้งหมดของผมนั้นสูญเปล่าหรือ” การคิดเรื่องนี้เจ็บปวดมากครับ ผมรู้สึกหนักอึ้งจนหายใจแทบไม่ออก ผมสังเกตเห็นว่าทุกคนโดยรอบก็รู้สึกเหมือนผม บางคนร้องไห้อย่างเงียบๆ ในขณะที่คนอื่นซบหน้ากับมือคร่ำครวญ หลังจากการชุมนุม แม่ของผมก็พูดพลางถอนหายใจว่า “แม่ก็หกสิบกว่าแล้ว และแม่ยอมรับความตาย แต่ลูกยังหนุ่มยังแน่น ชีวิตของลูกเพิ่งจะเริ่ม…” ได้ยินแม่พูดแบบนี้ยิ่งทำให้ผมหัวเสียมากขึ้นอีก จนผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ คืนนั้นผมนอนกระสับกระส่าย ข่มตาไม่หลับเลย ผมหาคำตอบไม่ได้จริงๆ ผมทุ่มเทตัวเองอย่างที่สุดเพื่อพระเจ้า และละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อติดตามพระองค์ ดังนั้นทำไมผมถึงต้องตายในภัยพิบัติครั้งใหญ่ล่ะ ผมไม่สามารถยอมรับได้จริงๆ ดังนั้นผมจึงเริ่มไล่อ่านพระวจนะของพระเจ้า โดยหวังว่าจะพบเบาะแส เพื่อดูว่าบทอวสานของเราสามารถเปลี่ยนได้หรือเปล่า แต่ผมไม่พบคำตอบที่ผมต้องการ ผมคิดด้วยความตกตะลึง “ดูเหมือนว่าพระเจ้าได้ทรงกล่าวโทษเราจริงๆ และความตายของเราก็แน่นอน ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ มันเป็นสิ่งที่สวรรค์ได้ประกาศกฤษฎีกาไว้”

ช่วงสองสามวันถัดมา ผมรู้สึกหดหู่มาก ผมพูดเบาจนแทบไม่ได้ยิน และไม่อยากทำอะไรเลย ผมเคยทำงานถอดความพระวจนะของพระเจ้านานๆ หลายชั่วโมง จนผมเจ็บมือไปหมด แต่ก็ไม่เคยเป็นปัญหาเลย ผมแค่อยากให้พี่น้องชายหญิงได้อ่านถ้อยดำรัสใหม่ของพระเจ้าโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ความรู้สึกรับผิดชอบนั้นหมดไปแล้ว ศรัทธาอันร้อนแรงของผมเย็นลงกะทันหัน ตอนนี้เวลาผมถอดความพระวจนะของพระเจ้า ผมจะคิดว่า “ฉันยังหนุ่มแต่ยังไม่ได้เพลิดเพลินกับพระพรแห่งอาณาจักรสวรรค์เลย ฉันไม่อยากตายแบบนี้เลยจริงๆ!” พอคิดทบทวนหมดแล้วผมก็เริ่มร้องไห้ หัวใจของผมหนักอึ้งในช่วงเวลานั้น และเจ็บปวดเหมือนมีมีดมาแทงทะลุหัวใจ โลกนี้หมดรสชาติสำหรับผม ผมรู้สึกเหมือนว่าความวิบัติครั้งใหญ่ทั้งหลายมาถึงได้ทุกเมื่อ และผมไม่รู้ว่าผมจะตายเมื่อไหร่ ผมรู้สึกเหมือนโลกถึงจุดจบแล้ว

ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าและรู้จักตัวเองขึ้นมาบ้างครับ จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ผมก็ค่อยๆ รู้สึกเป็นอิสระ ผมอ่านเจอในพระวจนะของพระเจ้าว่า “วันนี้ ณ เวลาแห่งการเคลื่อนไปข้างหน้าเข้าหาประตูของราชอาณาจักร ผู้คนทั้งหมดก็เริ่มทะยานไปข้างหน้า—แต่เมื่อพวกเขามาถึงเบื้องหน้าประตู เราก็ปิดประตู เรากักผู้คนไว้ข้างนอก และเรียกร้องให้พวกเขาแสดงให้เห็นบัตรผ่านการเข้าสู่ของพวกเขา  การขับเคลื่อนที่แปลกประหลาดเช่นนี้สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับความคาดหวังของผู้คน และพวกเขาทั้งหมดก็ประหลาดใจ  เหตุใดประตู—ซึ่งได้เปิดกว้างอยู่เสมอ—จึงถูกปิดแน่นโดยฉับพลันในวันนี้?  ผู้คนกระทืบเท้าของพวกเขาและเดินพล่านกลับไปกลับมา  พวกเขาจินตนาการว่าพวกเขาสามารถหาทางพาตัวเองเข้าไปได้ แต่เมื่อพวกเขายื่นบัตรผ่านการเข้าสู่เทียมเท็จของพวกเขามาให้เรา เราก็โยนพวกมันลงไปในบ่อไฟตรงนั้นและเดี๋ยวนั้น และเมื่อมองเห็น ‘ความพยายามอย่างอุตสาหะ’ ของพวกเขาเองในเปลวไฟ พวกเขาก็สูญเสียความหวัง  พวกเขากุมศีรษะของพวกเขา ร้องไห้ เฝ้ามองฉากที่สวยงามภายในราชอาณาจักร แต่ไม่สามารถเข้าไปได้  ถึงกระนั้นเราก็จะไม่ปล่อยให้พวกเขาเข้ามาเพราะสภาวะที่น่าสงสารของพวกเขา—ผู้ใดอาจทำลายแผนการของเราตามอำเภอใจของพวกเขา?  มีการให้พรแห่งอนาคตเพื่อแลกเปลี่ยนกับความกระตือรือร้นของผู้คนหรือไม่?  ความหมายของการดำรงอยู่ของมนุษย์อยู่ที่การเข้าสู่ราชอาณาจักรของเราตามอำเภอใจของคนเราหรือ?…เราได้สูญเสียความเชื่อในมนุษย์มานานแล้วและเราได้สูญเสียความหวังในผู้คนมานานแล้ว เนื่องจากพวกเขาขาดพร่องความทะเยอทะยาน พวกเขาไม่เคยได้สามารถให้หัวใจที่รักพระเจ้าแก่เรา และให้แรงจูงใจของพวกเขาแก่เราเสมอแทน  เราได้พูดมากมายกับมนุษย์ และในเมื่อผู้คนยังคงเพิกเฉยต่อคำแนะนำของเราในวันนี้ เราก็บอกพวกเขาถึงทรรศนะของเราเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้พวกเขาเข้าใจหัวใจของเราผิดในอนาคต ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่หรือตายในอนาคตเป็นเรื่องของพวกเขา เราไม่มีการควบคุมเหนือการนี้  เราหวังว่าพวกเขาจะพบเส้นทางสู่การอยู่รอดของพวกเขาเอง  เราไม่มีพลังอำนาจในเรื่องนี้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 46)  “เมื่อผู้คนพร้อมที่จะพลีอุทิศชีวิตของพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นไม่สลักสำคัญ และไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพวกเขาได้  สิ่งใดจะสามารถสำคัญกว่าชีวิตได้?  ด้วยเหตุนั้น ซาตานจึงกลายเป็นไม่สามารถทำสิ่งใดมากขึ้นอีกในผู้คน ไม่มีสิ่งใดที่มันสามารถทำกับมนุษย์  ถึงแม้ว่าในคำนิยามของ ‘เนื้อหนัง’ มีการกล่าวว่าเนื้อหนังถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม หากผู้คนยอมมอบตัวพวกเขาเองอย่างแท้จริง และไม่ถูกซาตานขับดัน เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพวกเขาได้—และ ณ ชั่วขณะนั้น เนื้อหนังจะปฏิบัติอีกหน้าที่หนึ่งของมัน และเริ่มรับการกำกับของพระวิญญาณของพระเจ้าอย่างเป็นกิจจะลักษณะ  นี่เป็นกระบวนการที่จำเป็น มันต้องเกิดขึ้นทีละขั้นตอน หากไม่เป็นเช่นนั้น พระเจ้าก็จะไม่ทรงมีวิถีทางทรงพระราชกิจในเนื้อหนังที่ดื้อรั้น  เช่นนั้นคือพระปรีชาญาณของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่งพระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 36)  ผมเจ็บปวดมากขณะที่ไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ผมรู้สึกในแง่ลบและเจ็บปวดแบบนั้น เพราะผมกลัวความตายและต้องการพระพรมากเกินไปไม่ใช่หรือ เมื่อก่อนนี้ผมเชื่อในพระเจ้าเพื่อพระพรและเพื่อเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แม้ว่าผมจะเคยผ่านการทดสอบของคนปรนนิบัติ และสามารถปล่อยวางความปรารถนาพระพรของผมได้เล็กน้อย และตกลงใจจะทำงานปรนนิบัติเพื่อพระเจ้า ธรรมชาติแบบซาตานที่หลอกลวงและชั่วร้ายของผมก็หยั่งรากลึกอยู่ดี เมื่อพระเจ้าทรงทำให้เราเป็นประชากรของพระองค์ หัวใจของผมก็ลิงโลดด้วยความคาดหวังอีกครั้ง ผมคิดไปว่าครั้งนี้ผมจะสามารถเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้แน่นอน ผมคิดว่าด้วยการยอมรับพระนามของพระเจ้า ได้รับการยกขึ้นไปโดยพระเจ้า เพื่อเป็นหนึ่งในประชากรของราชอาณาจักร ยอมละทิ้งทุกอย่าง และทุ่มเทตัวเอง ก็แน่นอนว่าผมจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ มันเป็นของตาย เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าตีมโนคติที่หลงผิดของผมจนแหลก และพรากความคาดหวังและบั้นปลายของผมไป ผมก็กลายเป็นอ่อนแอและคิดลบ อีกทั้งตัดพ้อพระเจ้า ผมถึงกับเสียดายสิ่งที่ได้เสียสละไปในอดีต ผมเห็นว่าความพยายามทั้งหมดของผมทำไปก็เพื่อให้ได้รับพระพรของอาณาจักรสวรรค์ตอบแทน นั่นเป็นการที่ผมทำข้อตกลงกับพระเจ้า โกงพระองค์ และใช้พระองค์ไม่ใช่หรือครับ ผมไม่ได้เปิดเผยอะไรเลยนอกจากความกบฏและคำตัดพ้อเบื่องหน้าทุกการทดสอบ ผมอยากเชื่อฟังพระองค์แต่ไม่สามารถทำได้ และผมไม่สามารถปฏิบัติความจริงที่ผมรู้ได้ดี ผมตระหนักว่าผมต่อต้านพระเจ้าโดยธรรมชาติ ว่าผมเป็นของซาตาน คนอย่างผม ที่เต็มไปด้วยอุปนิสัยแบบซาตานอย่างมาก ควรตายและถูกทำลาย ผมไม่เหมาะสมที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง สิ่งนี้ถูกกำหนดโดยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ การได้มีโอกาสติดตามพระเจ้าและรู้อุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ แปลว่าชีวิตของผมไม่ได้สูญเปล่าครับ!  จากนั้นผมก็กล่าวคำอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์ไม่ต้องการใช้ชีวิตเพื่อเนื้อหนังของตนเองอีกต่อไป แต่ปรารถนาที่จะนบนอบต่อกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระองค์ ไม่ว่าบทอวสานของข้าพระองค์จะเป็นเช่นไร ถึงแม้ข้าพระองค์ตาย ข้าพระองค์ก็จะยังสรรเสริญความชอบธรรมของพระองค์” เมื่อผมหยุดคิดเรื่องบทอวสานและบั้นปลายของผม และปรารถนาที่จะเชื่อฟังการจัดการเตรียมการของพระเจ้าแม้ว่าต้องจ่ายด้วยชีวิตของตัวเองก็ตาม ผมก็รู้สึกเบาใจอย่างน่าอัศจรรย์ครับ

แต่ในเวลานั้น แม้ว่าเราจะสามารถเชื่อฟัง และติดตามพระเจ้าโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ของเรา เราก็ไม่มีเป้าหมายให้ไล่ตาม แต่ในเดือนพฤษภาคม ปี 1992 พระเจ้าทรงแสดงพระวจนะเพิ่มเติม ทรงบอกให้เราแสวงหาการรักพระเจ้าในขณะที่มีชีวิตอยู่และใช้ชีวิตที่มีความหมาย พระเจ้าได้ทรงนำทางเราเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการรักพระเจ้า และการทดสอบแห่งความตายก็สิ้นสุดลงแล้ว ผ่านการอ่านพระวจนะของพระเจ้า การชุมนุมและการสามัคคีธรรม ผมตระหนัก ว่าแม้ว่าชะตากรรมของมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าและไม่มีใครหนีความตายพ้น น้ำพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ใช่เพื่อให้เราเผชิญความตายในทางลบ พระองค์ทรงต้องการให้เราแสวงหาที่จะรักพระองค์ในขณะที่เรามี่ชีวิตอยู่ ที่จะสามารถปฏิบัติความจริง ละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเรา และได้รับการช่วยให้รอดอย่างสมบูรณ์ เมื่อนั้นเท่านั้นที่เราจะเหมาะสมที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ครับ ในที่สุดผมก็เข้าใจว่า ด้วยการทรงนำเราเข้าสู่การทดสอบแห่งความตาย พระเจ้าไม่ได้ทางนำเราสู่ความตายของเรา แต่ทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์แก่เรา พระองค์ทรงทำเช่นนี้เพื่อที่เราจะสามารถเข้าใจว่าพระองค์ทรงช่วยใครให้รอด พระองค์ทรงทำลายใคร และใครที่เหมาะสมที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ ผมเห็นด้วยว่าผมถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแค่ไหน และผมสามารถปล่อยวางมโนคติที่หลงผิดของผม จินตนาการ และความปรารถนาพระพรของผม ผมกลายเป็นสามารถนบนอบต่อกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระเจ้าและเริ่มไล่ตามความจริงจริงๆ นี่คือความรอดของพระเจ้าสำหรับผมครับ!  ผมยิ่งเห็นมากขึ้นว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงพิพากษาและตีสอนผู้คนเพราะพระองค์ทรงเกลียดชังเราหรือทรงประสงค์ที่จะทรมานเรา แต่เพื่อทรงนำเราไปบนเส้นทางที่ถูกต้องแห่งการไล่ตามความจริงและได้รับการช่วยให้รอดครับ!  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำในเราไม่ใช่การมาถึงโดยข้อเท็จจริง พระองค์ทรงได้ผลลัพธิ์ด้วยการเพียงแค่ทรงแสดงพระวจนะที่พิพากษา ตีสอน ทดสอบ และถลุงเราครับ พระราชกิจของพระเจ้าทรงพระปรีชาญาณมาก และความรักของพระองค์และความรอดสำหรับมนุษย์ก็จริงแท้มากครับ!

ก่อนหน้า: 1. ฉันช่างวาสนาดีที่ได้ทำงานปรนนิบัติเพื่อพระเจ้า

ถัดไป: 3. บททดสอบของตัวประกอบเสริมความเด่น

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger