70. ไม่โอ้อวดอีกต่อไป

โดย ม่อเหวิน ประเทศสเปน

ผมจำได้ย้อนไปในปี 2018 ผมทำหน้าที่ด้านข่าวประเสริฐในคริสตจักร แล้วต่อมาก็ได้เป็นผู้ดูแลงานนั้น  ผมมองเห็นปัญหาและข้อผิดพลาดในหน้าที่ของพี่น้องชายหญิง และแก้ไขสิ่งเหล่านั้นได้ผ่านการสามัคคีธรรม ดังนั้นทุกคนจึงพอใจผม และผมก็รู้สึกถึงความสำเร็จ  ผมเริ่มรู้สึกพอใจตัวเองอย่างมาก และรู้สึกว่าผมดีกว่าคนอื่น  จนผมอดที่จะโอ้อวดไม่ได้  ผมคิดว่า “ฉันให้ข้อแนะนำและแก้ไขปัญหาของคนอื่น และทุกคนก็ประทับใจในตัวฉัน  หากฉันช่วยพวกเขามากขึ้นอีก ก็จะทำให้ฉันดูยิ่งมีความสามารถมากกว่าพวกเขา  แล้วพวกเขาก็จะยกย่องฉันยิ่งขึ้นไปอีกแน่”  ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง พี่น้องชายลูพูดว่าเขาเผอิญเจอคนทำงานทางศาสนาคนหนึ่งในระหว่างเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ผู้ชายคนนั้นเป็นผู้ประกาศมามากกว่า 20 ปีแล้ว และเป็นผู้เชื่อที่แท้จริง และเขามีมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาหนักหนามาก  พี่น้องชายลูสามัคคีธรรมกับเขา แต่เขาก็ไม่ยอมรับข่าวประเสริฐนั้น และพี่น้องชายลูก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ ผมคิดกับตัวเองว่า “ชายคนนี้เป็นผู้เชื่อที่แท้จริง และต้องการฟังการสามัคคีธรรม  คุณพลาดโอกาสเปลี่ยนความเชื่อของเขาเพราะคุณไม่สามัคคีธรรมบนความจริงชัดเจนพอ  ฉันเคยประสบอะไรแบบนี้มาก่อน ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสที่จะบอกประสบการณ์ทั้งหมดนี้กับคุณละ”  ผมพูดกับพวกเขา “ผมไม่เห็นความยากลำบากเลย  คุณต้องมุ่งไปที่ประเด็นหลักและสามัคคีธรรมให้ชัดเจน  หากเขาเต็มใจฟังและคุณแก้ไขปัญหาของเขา เขาจะไม่ยอมรับได้ยังไง?  เพื่อนร่วมงานจางเคยมีมโนคติที่หลงผิดมากมาย ผมจึงหักล้างมโนคติที่หลงผิดที่หนักที่สุดของเขาผ่านการสามัคคีธรรม จากนั้นก็พูดถึงประเด็นต่อไป  สุดท้ายเขาก็ยอมรับข่าวประเสริฐ  คุณต้องสามัคคีธรรมให้ชัดเจนเวลาให้คำพยานเรื่องพระราชกิจของพระเจ้า”  แล้วผมก็บอกพวกเขาเกี่ยวกับปัญหาทั้งหมดที่ผู้คนที่ผมเคยประกาศให้ฟังมี ผมสามัคคีธรรมอย่างไรเพื่อแก้ไขปัญหาพวกนั้น และพวกเขายอมรับข่าวประเสริฐอย่างไร  ผมเล่าประสบการณ์เหล่านี้อย่างละเอียดยิบ ให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรตกหล่น เพื่อที่พวกเขาทุกคนจะเห็นว่าผมมีความสามารถแค่ไหน  หลังจากนั้น ทุกคนก็ยกย่องผม แล้วพี่น้องหญิงคนหนึ่งก็พูดว่า “คุณทำในสิ่งที่ถูกต้องจริงๆ  ทำไมฉันถึงไม่เห็นเรื่องนี้นะ”  ผมพูดว่าทั้งหมดเป็นเพราะการทรงนำของพระเจ้า แต่ในใจผมปลื้มมาก  บางครั้งเวลาที่ผมหารือเรื่องงาน ผมจะพิจารณาว่าจะพูดอะไรให้ทุกคนคิดว่าผมกำลังพิจารณาและวิเคราะห์ทุกรายละเอียด ว่าผมมีขีดความสามารถ มีปัญญา และดีกว่าคนอื่น  พอผมได้พูด ผมจะพูดไม่หยุด และคำว่า “ผม” ก็ติดปากผมตลอด  “ผมคิดเรื่องนี้” และ “ผมแก้ไขเรื่องนั้น”  “ผม ผม ผม…”  ผมจะสาธยายทฤษฎีและแนวคิดของผม อีกทั้งวิเคราะห์ทั้งหมดอย่างละเอียดยิบ  เมื่อเวลาผ่านไป คนอื่นก็เริ่มพึ่งพาผม พวกเขาจึงไม่รู้ที่จะแสวงหาหลักปฏิบัติเมื่อเกิดปัญหาขึ้น  เวลาหารือเรื่องงาน บางครั้งพวกเขาก็จะขอให้ผมพูดก่อน ก่อนที่พวกเขาจะพูดเสริม  บางครั้งความคิดก็ผุดขึ้นในใจผมว่า “ถ้าฉันทำอย่างนี้ต่อไป จะลงเอยที่ผู้คนชื่นชูฉันหรือเปล่า?”  แต่แล้วผมก็จะคิดว่า “ฉันไม่ได้บังคับให้ใครฟังฉันสักหน่อย ฉันก็แค่พูดทรรศนะของตัวเอง  ยังไงซะ การเป็นคนคุมสถานการณ์ก็เป็นวิถีทางที่เป็นบวกและมีความรับผิดชอบนะ”  ผมไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก แล้วก็พล่ามต่อไป

ต่อมาพวกเราก็เจอความลำบากยากเย็นมากมายในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ แล้วพี่น้องชายหญิงก็ค่อนข้างท้อใจ  ผมก็รู้สึกแบบเดียวกัน  ผมอยากเปิดใจกับทุกคนว่าผมรู้สึกอย่างไร แต่ผมเป็นคนรับผิดชอบงานนี้ ดังนั้นถ้าผมมองในด้านลบเสียง่ายๆ ผมจะไม่ดูอ่อนแอหรอกหรือ? คนอื่นจะคิดกับผมอย่างไรหากพวกเขารู้ว่าวุฒิภาวะของผมน้อยนิดมาก? ความประทับใจดีๆ ที่พวกเขามีต่อผมจะไม่ถูกทำลายหรือ? ผมนึกสงสัยว่า “หากผมพูดเรื่องการเข้าสู่ทางบวก และนำทุกคนไปในหนทางที่เป็นบวก แบบนั้นจะทำให้ทุกคนมีแรงจูงใจไม่ใช่หรือ?” ดังนั้นในทุกการสามัคคีธรรม ผมจดจ่ออยู่กับว่าผมเผชิญปัญหาที่ผมเจอด้วยการคิดด้านบวกอย่างไร ผมพึ่งพาพระเจ้าผ่านความทุกข์ยากอย่างไร และผมลุกขึ้นเผชิญความท้าทายอย่างไร ทุกคนคิดว่าผมมีวุฒิภาวะและสามารถรับมือสิ่งต่างๆ ได้ พวกเขาทุกคนเลื่อมใสผม บางครั้งเมื่อหารือเรื่องงานกับคนอื่น ผมจะเปิดเผยว่าผมกดดันกับหน้าที่ ว่าผมยุ่งมากจนแทบไม่มีเวลากินหรือพักเลย พวกเขาจะได้รู้ว่าผมเป็นทุกข์มากแค่ไหน ในการชุมนุม ผมไม่ไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าหรือทบทวนตัวเอง แต่คิดแค่ว่าจะทำอย่างไรให้ทุกคนคิดว่าการสามัคคีธรรมของผมนั้นลุ่มลึกและมีน้ำหนัก อย่างไม่ทันรู้ตัว ผมก็ได้ประกาศหลักคำสอนที่เลิศลอย และผมสนุกกับการเห็นสายตายอมรับของคนอื่นจริงๆ เมื่อเวลาผ่านไป บางคนเริ่มถามผมก่อนเมื่อไรก็ตามที่พวกเขามีปัญหาในหน้าที่ แม้แต่เมื่อพวกเขาสามารถแก้ไขปัญหานั้นด้วยตัวเองได้ด้วยการคิดสักนิดหนึ่ง พวกเขาก็ยังถามความเห็นของผมก่อน พวกเขาจะบอกสภาวะและความคิดลึกๆ ของตัวเองกับผม และผมก็พอใจมากที่รู้ว่าพวกเขาเชื่อใจผม เมื่อเวลาผ่านไป ผมดูยุ่งมาก แต่ผมไม่สามารถรู้สึกถึงความรู้แจ้งใดๆ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เลยเวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้า เวลาหารือเรื่องงานกับคนอื่นๆ ข้อเสนอแนะทั้งหมดของผมไร้ค่า และผมก็ไม่เห็นแม้แต่ปัญหาที่เด่นชัดที่สุดในงานของเรา ในที่สุดผมก็ตระหนักว่าตัวเองอยู่ในสภาวะที่แย่มาก ความโอหังทั้งหมดของผมหายไป ผมเคยคิดว่าตัวเองเป็นที่สุดของที่สุด แต่ผมรู้สึกเหมือนเป็นไอ้งั่งขึ้นมาทันที แบบไม่มีอะไรให้โอ้อวดเลย มีความมืดมิดและเจ็บปวดมากมายในจิตวิญญาณของผม

วันหนึ่งผมกำลังคุยอยู่กับพี่ชายสองคน พอพี่ซูพูดว่า “ผมรู้จักคุณมาสักพักหนึ่งแล้ว และคุณก็ยกย่องตัวเองและโอ้อวดเสมอเลย  คุณแทบไม่พูดถึงความเสื่อมทรามหรือข้อบกพร่องของตัวเองในการสามัคคีธรรม แต่พูดถึงข้อดีของตัวเองเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทำให้ผมคิดว่าคุณยอดเยี่ยมและยกย่องคุณ  เวลาที่งานของผมมีปัญหา คุณไม่สามัคคีธรรมบนหลักปฏิบัติของความจริง และพูดถึงแค่สิ่งที่คุณเคยทำและคุณแก้ปัญหาต่างๆ อย่างไร ผมจึงคิดว่าคุณน่ะยอดเยี่ยมและดีกว่าพวกเราที่เหลือ…” ผมไม่อยากยอมรับสิ่งที่พี่ซูพูดเลย โดยเฉพาะตอนที่เขาพูด ว่าผมเอาแต่ยกย่องตัวเองและโอ้อวดเสมอ คำพูดเหล่านี้สะท้อนไปมาในหัวของผม แม้ว่าผมจะไม่โต้เถียง ผมก็รู้สึกต่อต้านสิ่งที่เขาพูด “ผมไม่เคยขอให้คุณชื่นชูผมเลย ผมแย่ขนาดที่คุณพูดจริงๆ หรือ” ผมคิด ผมยอมรับไม่ได้จริงๆ ก็เลยถามพี่ชายอีกคนว่าเขาคิดอย่างไร ผมแปลกใจที่เขาพูดว่า “คุณไม่เคยพูดถึงความเสื่อมทรามหรือข้อบกพร่องของคุณเลย ผมไม่เข้าใจคุณอีกต่อไปแล้วละ” นี่ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ขึ้นไปอีก “เขาพูดได้อย่างไรว่าเขาไม่เข้าใจฉันอีกต่อไปแล้ว ฉันเข้าใจยากขนาดนั้นเลยหรือ?” ผมอยากจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อกู้ศักดิ์ศรีของผมคืนบ้างจริงๆ แต่พอเห็นพวกเขาทั้งคู่ตัดแต่งและจัดการผมแบบนั้น ผมก็รู้ว่ามันต้องมีเหตุผล หากสิ่งที่พวกเขาพูดเป็นความจริง งั้นผมก็มีปัญหาจริงๆ ซะแล้ว!

ผมรีบหาพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงคนที่ยกย่องและเป็นคำพยานให้ตัวเอง ผมอ่านบทตอนนี้ที่ว่า “การยกย่องและการให้คำพยานกับตัวพวกเขาเอง การโอ้อวดตัวพวกเขาเอง การลองพยายามที่จะทำให้ผู้คนยกย่องนับถือพวกเขา—มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้  นี่คือวิธีที่ผู้คนมีปฏิกิริยาโดยสัญชาตญาณเมื่อพวกเขาถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาครอบงำ และนี่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งปวง  ผู้คนมักจะยกย่องและให้คำพยานต่อตัวพวกเขาเองอย่างไร?  พวกเขาสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายนี้อย่างไร?  หนทางหนึ่งคือการให้คำพยานว่าพวกเขาได้ทนทุกข์มามากเพียงใด พวกเขาได้ทำงานมามากเพียงใด และพวกเขาได้สละตัวพวกเขาเองมามากเพียงใด  กล่าวคือ พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเงินตราซึ่งพวกเขาใช้ในการยกย่องตัวพวกเขาเอง ซึ่งให้พวกเขามีที่ที่สูงกว่า มั่นคงกว่า ปลอดภัยกว่าในจิตใจของผู้คน เพื่อที่จะได้มีผู้คนมากขึ้นนับถือ เลื่อมใส เคารพ และแม้กระทั่งเทิดทูน ชื่นชู และติดตามพวกเขา  นั่นคือผลสูงสุด  สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำเพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายนี้—การยกย่องและการให้คำพยานต่อตัวพวกเขาเองทั้งหมด—มีเหตุผลหรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นไม่มีเหตุผล  สิ่งเหล่านั้นอยู่เลยพ้นขอบเขตของความมีเหตุผล  ผู้คนเหล่านี้ไม่มีความอับอายเลย กล่าวคือ  พวกเขาให้คำพยานอย่างไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งที่พวกเขาได้ทำไปเพื่อพระเจ้าและว่าพวกเขาได้ทนทุกข์ไปมากมายเพียงใดเพื่อพระองค์  พวกเขาถึงขั้นโอ้อวดพรสวรรค์ ความสามารถพิเศษ ประสบการณ์ และทักษะพิเศษของพวกเขา หรือเทคนิคอันชาญฉลาดของพวกเขาสำหรับการประพฤติตน และวิธีการที่พวกเขาใช้ในการเล่นกับผู้คน  วิธีการของพวกเขาในการยกย่องและการให้คำพยานต่อตัวพวกเขาเองคือ การโอ้อวดตัวพวกเขาเองและดูแคลนผู้อื่น  พวกเขายังกลบเกลื่อนและอำพรางตัวพวกเขาเองด้วยเช่นกัน โดยซ่อนเร้นความอ่อนแอ ข้อบกพร่อง และความล้มเหลวของพวกเขาจากผู้คน เพื่อที่ผู้คนเหล่านั้นจะเพียงแค่มองเห็นความปราดเปรื่องของพวกเขาไปตลอดเท่านั้น  พวกเขาไม่แม้กระทั่งกล้าที่จะบอกผู้คนอื่นๆ เมื่อพวกเขารู้สึกคิดลบ พวกเขาขาดพร่องความกล้าที่จะเปิดกว้างและสามัคคีธรรมกับผู้อื่น และเมื่อพวกเขาทำบางสิ่งที่ผิด พวกเขาก็ทำอย่างสุดความสามารถในการที่จะปกปิดสิ่งที่ผิดนั้นและปิดบังสิ่งที่ผิดนั้น  พวกเขาไม่เคยพาดพิงถึงอันตรายซึ่งพวกเขาได้เป็นเหตุให้เกิดขึ้นต่อพระนิเวศของพระเจ้าในครรลองของการทำหน้าที่ของพวกเขาเลย  อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้มีส่วนร่วมแบ่งปันเล็กน้อยอยู่บ้างหรือได้สัมฤทธิ์ความสำเร็จเล็กน้อยอยู่บ้าง พวกเขาก็รีบร้อนที่จะโอ้อวดการนั้น  พวกเขาไม่สามารถรอเพื่อให้ทั้งโลกรู้ว่าพวกเขามีความสามารถเพียงใด ขีดความสามารถของพวกเขาสูงเพียงใด พวกเขายอดเยี่ยมเพียงใด และพวกเขาดีกว่าผู้คนปกติมากเพียงใด  นี่ไม่ใช่หนทางของการยกย่องและการให้คำพยานต่อตัวพวกเขาเองหรอกหรือ?  การยกย่องและการให้คำพยานต่อตัวเจ้าเอง อยู่ภายในเขตแดนอันมีเหตุผลของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติหรือไม่?  ไม่ใช่เลย  ดังนั้นแล้ว เมื่อผู้คนทำการนี้ อุปนิสัยใดมักจะถูกเปิดเผย?  ความโอหังคือหนึ่งในการสำแดงหลัก ตามมาด้วยความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นไปได้เพื่อทำให้ผู้คนอื่นๆ นับถือพวกเขาว่าสูงส่ง  เรื่องราวของพวกเขารัดกุมอย่างสมบูรณ์ คำพูดของพวกเขาบรรจุแรงจูงใจและกลอุบายอย่างชัดเจน และพวกเขาได้พบหนทางที่จะซ่อนข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขากำลังอวดตัวอยู่ แต่จุดจบของสิ่งที่พวกเขาพูดก็คือ ผู้คนยังคงถูกทำให้รู้สึกว่าพวกเขาดีกว่าผู้อื่น ว่าไม่มีผู้ใดเลยที่เทียบเท่าพวกเขา ว่าคนอื่นทุกคนด้อยกว่าพวกเขา  และจุดจบนี้ไม่ได้สัมฤทธิ์ผ่านวิธีการอันซ่อนเร้นทุจริตหรอกหรือ?  อุปนิสัยใดอยู่ที่ใจกลางของวิธีการเช่นนั้น?  และมีองค์ประกอบของความเลวอันใดหรือไม่?  นี่คืออุปนิสัยที่เลวประเภทหนึ่ง  สามารถเห็นได้ว่า วิธีการซึ่งพวกเขาใช้เหล่านี้ถูกชี้นำโดยอุปนิสัยอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง—ดังนั้นแล้ว เหตุใดเราจึงพูดว่าอุปนิสัยนั้นเลว?  การนี้มีความเชื่อมโยงใดกับความเลว?  พวกเจ้าคิดอย่างไรเล่า คิดว่า  พวกเขาสามารถเปิดกว้างเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของพวกเขาในการยกย่องและการให้คำพยานต่อตัวพวกเขาเองได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  มีความอยากได้อยากมีอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขาอยู่เสมอ และสิ่งที่พวกเขาพูดและทำก็เป็นการช่วยความอยากได้อยากมีนั้น และดังนั้นแล้ว จุดมุ่งหมายและแรงจูงใจในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาพูดและทำ จึงถูกเก็บเป็นความลับมิดชิด  ตัวอย่างเช่น พวกเขาจะใช้การชี้นำที่ผิดหรือกลวิธีอันเคลือบแคลงบางอย่างเพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายเหล่านี้  การมีความลับเช่นนั้นไม่เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกในธรรมชาติหรอกหรือ?  ความเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกเช่นนั้นไม่สามารถเรียกได้ว่าเลวหรอกหรือ?  จริงๆ แล้วความเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกเช่นนั้นสามารถเรียกได้ว่าเลว และนั่นไหลลึกยิ่งกว่าความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง(“สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงาน การเลือกสรรเส้นทางคือความสำคัญสูงสุด (2)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  ผมคิดถึงวิธีที่ผมประพฤติในหน้าที่ของผมที่ว่า เวลาพี่น้องชายหญิงมีปัญหา ผมทำทีเหมือนกำลังสามัคคีธรรมและช่วยพวกเขา พูดถึงว่าผมแก้ไขปัญหาอย่างไร เพื่อที่จะโอ้อวดความองอาจของผมในงาน และทำให้ทุกคนคิดว่าผมมีความสามารถมากกว่าพวกเขา  เวลาหารือเรื่องงาน คำแรกที่หลุดจากปากผมก็คือ “ผม” เพื่ออวดโอ่ ทำให้คนคิดว่าผมรู้เสียเต็มประดา พวกเขาจะได้ชื่นชูผม  ผมซ่อนด้านลบและความเสื่อมทรามของผมจากคนอื่น  ผมไม่เคยหารือเรื่องความลำบากยากเย็นของผม ยิ่งการชำแหละอุปนิสัยเสื่อมทรามของผมยิ่งไม่เลย  แต่ผมกลับพูดถึงการเข้าสู่ทางบวก และซ่อนข้อบกพร่องของผม เพื่อให้คนอื่นคิดว่าผมมีวุฒิภาวะและยกย่องผม  ผมพูดถึงว่าผมเป็นทุกข์แค่ไหนในหน้าที่และมันยากแค่ไหนเสมอ เพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นว่าผมอุทิศตัวให้หน้าที่ของผมแค่ไหน  และในการชุมนุม ก็เป็นที่ชัดเจนว่าผมไม่มีความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าหรือตัวผมเองเลย แต่ผมก็พล่ามไปเรื่อยๆ แต่งนิยายว่าผมรู้จักตัวเอง เพื่อที่คนอื่นจะได้คิดว่าผมสูงส่งขึ้นไปอีก  เพื่อจะได้เพลิดเพลินกับความนับถือและความรักบูชาของพวกเขาต่อไป ผมพูดและทำสิ่งที่ดูเหมือนถูกต้องต่อไป ในขณะที่จริงๆ แล้วผมกำลังคุยโม้โอ้อวดตัวเอง ทำให้หัวใจของคนอื่นออกห่างจากพระเจ้า  พฤติกรรมของผมที่เกิดจากอุปนิสัยชั่วไม่ได้เปิดเผยในพระวจนะของพระเจ้าหรอกหรือ?  ไม่ว่าผมทำอะไรหรือดูว่าผมเสียสละตัวเองอย่างไร เป้าหมายของผมก็ไม่ใช่การทำหน้าที่ให้ดีเลย  ผมทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาตำแหน่งของผม ทำให้คนอื่นชื่นชูผม  ผมกำลังเดินอยู่บนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์  ในที่สุดผมก็ตระหนักถึงอันตรายของตัวเอง ผมจึงรีบอธิษฐานต่อพระเจ้า ต้องการกลับใจ

พระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ผุดขึ้นในใจผม “หากคนเราจะต้องดำรงชีวิตไปตามสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ พวกเขาควรเปิดตัวพวกเขาเองให้กว้างและตีแผ่ตัวพวกเขาเองอย่างไร?  การนี้กระทำไปโดยการเปิดตนเองให้กว้างและแสดงให้ผู้อื่นเห็นความรู้สึกที่แท้จริง ณ ก้นบึ้งของหัวใจของคนเราอย่างชัดเจน โดยการมีความสามารถที่จะปฏิบัติความจริงได้ง่ายๆ และอย่างถ่องแท้  หากคนเราเปิดเผยความเสื่อมทรามของพวกเขา พวกเขาต้องมีความสามารถที่จะรู้จักแก่นแท้ของปัญหานั้น และมีความสามารถที่จะเกลียดชังและรังเกียจตัวพวกเขาเองจากก้นบึ้งของหัวใจของพวกเขา  เมื่อพวกเขาตีแผ่ตัวพวกเขาเอง พวกเขาจะไม่ขวนขวายที่จะให้เหตุผลว่าพฤติกรรมของพวกเขาถูกต้อง อีกทั้งพวกเขาจะไม่ลองพยายามที่จะแก้ต่างพฤติกรรมเหล่านั้น…ประการแรก คนเราต้องเข้าใจปัญหาของพวกเขาที่ระดับอันเป็นแก่นสาร ชำแหละตัวพวกเขาเอง และตีแผ่ตัวพวกเขาเอง  พวกเขาต้องมีหัวใจที่ซื่อสัตย์และท่าทีที่จริงใจ และพูดถึงสิ่งที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้เกี่ยวกับปัญหาทั้งหลายในอุปนิสัยของพวกเขา  ประการที่สอง หากคนเรารู้สึกว่าอุปนิสัยของพวกเขานั้นรุนแรงเป็นพิเศษ พวกเขาต้องพูดต่อทุกคนว่า ‘หากฉันเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นนั้นอีกครั้ง พวกคุณทุกคน จงลุกขึ้น—จงจัดการกับฉัน และชี้การนั้นให้ชัดแก่ฉัน  จงอย่าออมมือเลย  ฉันอาจไม่มีความสามารถที่จะทนการนั้นได้ในเวลานั้น แต่จงอย่าใส่ใจกับการนั้นเลย  จงทำงานร่วมกันเพื่อเฝ้าจับตาดูฉัน  หากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนี้ปะทุขึ้นมาอีกอย่างร้ายแรง ทุกคนจงลุกขึ้นเพื่อเปิดโปงฉันและจัดการกับฉัน  ฉันหวังอย่างจริงใจว่าทุกคนจะเฝ้าจับตาดูฉัน ช่วยเหลือฉัน และเลี่ยงไม่ให้ฉันหลงเจิ่น’  เช่นนั้นคือท่าทีซึ่งคนเราควรใช้ในการปฏิบัติความจริง(“ว่าด้วยการประสานอย่างปรองดอง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าชี้ทางให้ผม  ไม่ว่าผมจะเข้าใจปัญหาของผมมากแค่ไหน ผมก็รู้ว่าผมยังคงเป็นแบบเดิมต่อไปไม่ได้  ผมต้องซื่อตรงและตีแผ่ตัวเอง เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นถึงแรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำของผม พวกเขาจะได้เห็นว่าผมกำลังยกย่องตัวเอง โอ้อวด และเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์  นี่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ผมต้องเปิดใจถึงสภาวะที่แท้จริงของผมให้คนอื่นรับรู้ ไม่ว่าพวกเขาจะคิดกับผมอย่างไร

ในการชุมนุมครั้งถัดมา ผมเปิดเผยตัวเองอย่างหมดเปลือกต่อหน้าพี่น้องชายหญิง และขอความช่วยเหลือและคำแนะนำจากพวกเขา  หลังจากเปิดใจเต็มที่ ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก  คนอื่นๆ ใช้เวลาสองสามวันต่อมาส่งข้อความชี้ถึงปัญหาของผมมาให้ว่า “คุณโอ้อวดในหน้าที่เสมอ  ฉันไม่อยากแสวงหาหลักปฏิบัติในหน้าที่ของฉันอีกแล้ว เอาแต่พึ่งพาคุณเท่านั้น  ฉันคิดว่าคุณรู้ทุกอย่างและถามคุณจะง่ายกว่า”  บางคนพูดว่า “พักหลังฉันไม่ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับพระเจ้าเลย แต่เรียนรู้ที่จะชื่นชูคุณมากขึ้น คิดว่าคุณทั้งเก่งงานและรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง  ฉันเคยยกย่องคุณจริงๆ”  การได้ยินทั้งหมดนี้ทำให้ผมเสียใจมาก  ผมไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือสิ่งที่ได้จากการทำหน้าที่ของผมมาหลายเดือนนี้  ผมรู้สึกเศร้าโศกเสียใจมาก คิดว่าพระเจ้าต้องทรงเกลียดชังผมแน่ๆ  ผมสลดหดหู่จริงๆ  แต่โดยผ่านการอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง แล้วด้วยความช่วยเหลือและสนับสนุนของคนอื่นๆ ในที่สุดผมก็ตระหนักว่าพระเจ้าไม่ได้กำลังทรงทำทั้งหมดนี้เพื่อกำจัดผมทิ้ง แต่เพื่อชำระผมให้สะอาดและเปลี่ยนแปลงผม  หากสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้น ผมก็คงไม่ได้เห็นว่าผมอยู่บนเส้นทางที่ผิด  นี่คือความรอดอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าสำหรับผม!  พอผมเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ผมก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะทบทวนตัวเองและกลับใจอย่างแท้จริง

ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอนที่ว่า “ผู้คนบางคนชื่นชูเปาโลมากเป็นอย่างยิ่ง  พวกเขาชอบที่จะออกไปข้างนอกและกล่าวสุนทรพจน์และทำงาน พวกเขาชอบที่จะเข้าร่วมการชุมนุมและเทศนา พวกเขาชอบให้ผู้คนฟังพวกเขา เคารพบูชาพวกเขา และกังวลสนใจพวกเขาเป็นหลัก  พวกเขาชอบที่จะมีสถานะในจิตใจของผู้อื่น และพวกเขาซาบซึ้งเมื่อผู้อื่นให้คุณค่าภาพลักษณ์ที่พวกเขานำเสนอ  พวกเราลองมาวิเคราะห์ธรรมชาติของพวกเขาจากพฤติกรรมเหล่านี้กันว่า สิ่งใดหรือที่เป็นธรรมชาติของพวกเขา?  หากพวกเขาประพฤติเช่นนี้จริง เช่นนั้นแล้วมันก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาโอหังและทะนงตน  พวกเขาไม่นมัสการพระเจ้าแต่อย่างใดเลย พวกเขาแสวงหาสถานะที่สูงส่งกว่าและปรารถนาที่จะมีสิทธิอำนาจเหนือผู้อื่น ที่จะครองพวกเขา และที่จะมีสถานะในจิตใจของพวกเขา  นี่คือภาพลักษณ์อมตะของซาตาน  แง่มุมที่โดดเด่นของธรรมชาติของพวกเขาก็คือความโอหังและความทะนงตน ความไม่เต็มใจที่จะนมัสการพระเจ้า และความปรารถนาที่จะได้รับการเคารพบูชาจากผู้อื่น  พฤติกรรมเช่นนั้นสามารถให้ทรรศนะที่ชัดเจนมากแก่เจ้าในเรื่องธรรมชาติของพวกเขา(“วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  “ตัวอย่างเช่น หากความโอหังและความทะนงตนมีอยู่ภายในตัวเจ้า เจ้าก็คงจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเลี่ยงการไม่เยาะเย้ยท้าทายพระเจ้า เจ้าคงจะรู้สึกถูกบีบให้จำยอมเยาะเย้ยท้าทายพระองค์  เจ้าคงจะไม่ทำสิ่งนั้นโดยมีจุดประสงค์ เจ้าคงจะทำสิ่งนั้นไปภายใต้การครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเจ้า ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้าและเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ  สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นเหตุให้เจ้ายกย่องตัวเจ้าเอง อวดแสดงตัวเองอยู่เป็นนิตย์ และในที่สุดก็นั่งในที่ของพระเจ้า และให้คำพยานสำหรับตัวเจ้าเอง  ในที่สุด เจ้าก็คงจะแปรแนวคิดของเจ้าเอง การคิดของเจ้าเอง และมโนคติที่หลงผิดของตัวเจ้าเองไปเป็นความจริงเพื่อที่จะได้รับการนมัสการ  จงดูเถิดว่า ผู้คนทำความชั่วไปมากเพียงใดภายใต้ภาวะครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของพวกเขา!(“โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  วิวรณ์ในพระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ผมเห็นว่า เป็นธรรมชาติอันโอหังของผมที่ผลักดันให้ผมแสวงหาสถานะที่สูงขึ้นในหัวใจของคนอื่น และผมกำลังต่อต้านพระเจ้า  เมื่อถูกธรรมชาติอันโอหังนี้ควบคุม ผมเริ่มรู้สึกพอใจตัวเองเวลาที่ผมเห็นผลลัพธ์ในหน้าที่ของผม และผมยกย่องตัวเองและโอ้อวดทุกทางที่ผมทำได้  ผมพูดและทำเพียงเพื่อให้โดดเด่น เพื่ออวดแสดงพรสวรรค์และความสามารถของผม  ผมโอ้อวดอย่างไม่ละอายว่าผมเป็นทุกข์เพื่อหน้าที่อย่างไร มันเหนื่อยล้าแค่ไหน ผมแก้ปัญหาอย่างไร ทั้งหมดเพื่อทำให้คนอื่นคิดว่าผมดีกว่าพวกเขา คิดว่าผมไม่ธรรมดา  ผมแค่ต้องให้ผู้คนยกย่องและรักบูชาผม  นี่เป็นอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ?  เปาโลก็เหมือนกัน  เขาอวดแสดงภูมิรู้และพรสวรรค์ของตัวเองผ่านทางการเทศนาและงานของเขาตลอดเวลา โอ้อวดเพื่อทำให้คนอื่นเลื่อมใสเขา  เขาเขียนจดหมายถึงคริสตจักรทั้งหลายเสมอ โอ้อวดเรื่องที่เขาทำงานและทนทุกข์เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้ามากแค่ไหน เพื่อจะครองใจของผู้คน  เขาตรากตรำทำงานหนัก ไม่ใช่เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีหรือเป็นคำพยานให้พระคริสต์ผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ แต่เพื่อเติมเต็มความทะเยอทะยานและความปรารถนาของตัวเขาเอง  ไม่ว่าเขาจะทำงานหรือเป็นทุกข์มากแค่ไหน หรือผู้คนชื่นชูเขามากแค่ไหน ในเมื่อเขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง และหัวของเขาก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเขาก็ให้คำพยานอย่างโจ่งแจ้งว่าเขาเองนั่นแหละคือพระคริสต์  นี่ทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคืองอย่างร้ายแรง และพระเจ้าก็ทรงลงโทษเขาในเรื่องนี้  ผมมีธรรมชาติแบบเดียวกับเปาโลไม่มีผิด  ผมทั้งโอหังและทะนงตนมาก ด้วยหลงรักสถานะ ยกย่องตัวเองและโอ้อวดเสมอ เพื่อที่ทุกคนจะชื่นชูผม ในหัวใจของพวกเขาไม่มีที่ให้พระเจ้าเลย และพวกเขาจะไม่พึ่งพาพระเจ้าหรือแสวงหาความจริงเมื่อเกิดปัญหาขึ้น  การทำหน้าที่ของผมแบบนี้เป็นการต่อต้านพระเจ้าและทำร้ายพี่น้องชายหญิงของผม  ผมไม่เคยคิดว่าความชั่วและการต่อต้านพระเจ้าแบบนี้จะสามารถมาจากการใช้ชีวิตด้วยธรรมชาติอันโอหังของผมได้  หากผมไม่กลับใจ ไม่ช้าไม่นานผมก็จะกระตุ้นพระพิโรธของพระเจ้าและถูกลงโทษ  หากไม่มีการบ่มวินัยของพระเจ้าและความช่วยเหลือและสนับสนุนของพี่น้องชายหญิง ผมก็คงไม่ได้ทบทวนตัวเอง  เป็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและความรอดอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่ทำให้ผมถูกเปิดโปงอย่างนั้น

พอลองคิดดูแล้ว ตอนที่ผมสัมฤทธิ์สิ่งต่างๆ ในหน้าที่ของผม และค้นพบปัญหา ทั้งหมดมาจากการทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำของพระเจ้า  หากไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมก็เป็นคนโง่เขลาที่ไม่สามารถเข้าใจอะไรเลย  ผมไม่มีความเป็นจริงของความจริงสักนิดเดียว แต่ผมกลับโอหังและหยิ่งผยอง แข่งขันเพื่อตำแหน่งของพระเจ้าอย่างไร้ยางอาย  ผมช่างไร้เหตุผลนัก!  ผมไม่ได้สามัคคีธรรมความจริงหรือเป็นคำพยานต่อพระเจ้าในหน้าที่ของผม แต่แค่โอ้อวดและนำผู้คนให้หลงผิด—เป็นการกระทำที่ชั่วร้ายนัก!  ผมเริ่มเกลียดชังตัวเองในตอนนั้นจริงๆ  ผมไม่อยากเป็นแบบนั้นต่อไปอีก ผมจึงกล่าวอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ช่างทำผิดมหันต์!  ข้าพระองค์เห็นแล้วว่าตัวเองโอหังและไร้เหตุผลแค่ไหน  ขอบคุณพระองค์ที่ประทานโอกาสให้ข้าพระองค์ได้กลับใจ  ข้าพระองค์จะปฏิบัติความจริงสุดจิตสุดใจตั้งแต่นี้ไปและเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง  ได้โปรดทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด”

แล้วผมก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “คนเราควรทำสิ่งใดเพื่อที่จะไม่ยกย่องและให้การเป็นพยานแก่ตัวเอง?  เกี่ยวกับเรื่องเดียวกันนี้ ก็มีการที่เจ้าทำเรื่องน่าขายหน้าเพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของการยกย่องและให้การเป็นพยานแก่ตัวเจ้าเองและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นเกิดความเคารพเทิดทูน ซึ่งตรงกันข้ามกับการเปิดกว้างและตีแผ่ตัวตนที่แท้จริงของเจ้า—เหล่านี้แตกต่างกันในสาระสำคัญ  เหล่านี้ไม่ใช่รายละเอียดหรอกหรือ?  ตัวอย่างเช่น การที่จะเปิดกว้างและตีแผ่สิ่งจูงใจและความคิดของเจ้า อะไรคือวิธีพูด ถ้อยคำที่แสดงออกถึงการรู้จักตนเอง?  การแสดงออกประเภทใดที่ส่งผลให้เกิดการยกย่องสรรเสริญจากคนอื่นๆ เป็นเหตุให้เกิดการยกย่องและการเป็นพยานให้ตัวเอง?  การเล่าวิธีที่เจ้าได้อธิษฐานและแสวงหาความจริงและยืนหยัดเป็นพยานโดยผ่านทางบททดสอบ คือการยกย่องและการเป็นพยานให้แก่พระเจ้า  การปฏิบัติประเภทนี้ไม่ใช่การยกย่องและการเป็นพยานให้ตัวเจ้าเอง  การเปิดโปงตัวเองเกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ กล่าวคือ หากแรงจูงใจของใครคนหนึ่งคือการแสดงให้ทุกคนเห็นความเสื่อมทรามของพวกเขา แทนที่จะเป็นการยกย่องตัวพวกเขาเอง เช่นนั้นแล้ว คำพูดของพวกเขาย่อมจะจริงจังตั้งใจ แท้จริง และมีพื้นฐานอยู่บนข้อเท็จจริง หากแรงจูงใจของพวกเขาคือการทำให้ผู้อื่นเคารพเทิดทูนพวกเขา การตบตาผู้อื่น และซ่อนเร้นใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขาจากผู้คนเหล่านั้น เพื่อหยุดยั้งไม่ให้สิ่งจูงใจ ความเสื่อมทราม หรือความอ่อนแอและความคิดลบของพวกเขาถูกเปิดเผยต่อหน้าผู้อื่น ลักษณะการพูดของพวกเขาย่อมเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและชักนำให้เข้าใจผิด  ไม่มีความแตกต่างอันเป็นรูปธรรมในที่นี้หรอกหรือ?(“สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงาน การเลือกสรรเส้นทางคือความสำคัญสูงสุด (2)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  “ตอนที่กำลังเป็นคำพยานต่อพระเจ้า โดยหลักนั้น เจ้าควรพูดคุยให้มากขึ้นเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงพิพากษาและตัดสินผู้คน การทดสอบอะไรที่พระองค์ทรงใช้ถลุงผู้คนและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา  เจ้าควรพูดคุยเกี่ยวกับการที่ความเสื่อมทรามได้ถูกเปิดเผยในประสบการณ์ของพวกเจ้าไปมากเท่าไร เจ้าได้สู้ทนไปมากเท่าใด และพระเจ้าได้ทรงพิชิตเจ้าอย่างไรในท้ายที่สุดนั้น นั่นคือ เจ้ามีความรู้ที่เป็นจริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้ามากเท่าไร และเจ้าควรเป็นพยานสำหรับพระเจ้าและชดใช้คืนพระองค์สำหรับความรักของพระองค์อย่างไร  พวกเจ้าควรใส่สาระสำคัญเข้าไปในภาษาประเภทนี้ ในขณะเดียวกันก็ทำไปในลักษณะอันเรียบง่าย  จงอย่าพูดคุยเกี่ยวกับทฤษฎีอันว่างเปล่าทั้งหลาย  จงพูดจาแบบติดดินไม่ถือตัวให้มากกว่านี้ พูดจาจากหัวใจ  นี่คือวิธีที่เจ้าควรได้รับประสบการณ์  จงอย่าทำให้มีทฤษฎีว่างเปล่าทั้งหลายที่ดูลุ่มลึกอยู่ในตัวพวกเจ้าเองด้วยความพยายามที่จะโอ้อวด การทำเช่นนั้นทำให้เจ้าปรากฎเป็นค่อนข้างโอหังและไร้เหตุผล  เจ้าควรพูดให้มากขึ้นถึงสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นจริงจากประสบการณ์จริงของเจ้าซึ่งเป็นจริงแท้และมาจากหัวใจ การนี้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นที่สุด และเป็นการเหมาะสมที่สุดที่พวกเขาจะมองเห็น(“โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ผมเห็นว่า ผมต้องจดจ่ออยู่กับการทบทวนและรู้จักตัวเองโดยผ่านประสบการณ์เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องการยกย่องตัวเองและโอ้อวดของผม  ผมต้องมีแรงจูงใจที่ถูกต้องเวลาให้การสามัคคีธรรม และพูดถึงความเสื่อมทรามที่ผมแสดงมากขึ้น ชำแหละแรงจูงใจและราคีของผม พูดถึงเรื่องที่ผมได้รับประสบการณ์การถูกพระวจนะของพระเจ้าพิพากษาอย่างไร สิ่งที่ผมเข้าใจเกี่ยวกับตัวเองอย่างแท้จริง สิ่งที่ผมเข้าใจเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและความรักของพระองค์ และใช้ประสบการณ์จริงของผมเพื่อยกย่องและเป็นคำพยานให้พระเจ้า นั่นแหละคือการทำหน้าที่ของผมอย่างแท้จริง ในการชุมนุมครั้งถัดมาผมตั้งใจชำแหละว่าผมวางแผนร้าย และโอ้อวดเพื่อสถานะของตัวเองอย่างไร แล้วพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสถานการณ์เพื่อจัดการผมและทำให้ผมเห็นความน่าเกลียดของตัวเองอย่างไร แล้วพี่ชายคนหนึ่งก็พูดกับผมว่า “ประสบการณ์ของคุณได้แสดงให้ผมเห็นว่า แม้ว่าเราจะมีอุปนิสัยเสื่อมทราม เราเพียงแค่ต้องยอมรับการถูกพิพากษาและจัดการโดยพระวจนะของพระเจ้า ปฏิบัติความจริงและละทิ้งเนื้อหนังของเรา และเราจะได้รับการแปลงสภาพ ผมยังเห็นด้วยว่าทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำก็เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด” เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ผมก็เต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณต่อพระเจ้า การที่ผมได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเองนี้ทั้งหมดเป็นเพราะได้รับการพิพากษาและตีสอนโดยพระวจนะของพระเจ้า

ผมเริ่มเข้าสู่สิ่งนี้ในหน้าที่ของผมอย่างมีสติหลังจากนั้น  เมื่อผมค้นพบความผิดพลาดในหน้าที่ของคนอื่น ผมจะอธิษฐานต่อพระเจ้า ปรับแรงจูงใจของผมให้ถูกต้องและแสดงทรรศนะของผมอย่างไม่มีอคติ  ผมไม่ได้คุยโม้อย่างเมื่อก่อน  ผมพบหลักปฏิบัติแห่งความจริงเพื่อแบ่งปันกับพี่น้องชายหญิงอีกด้วย  ในการชุมนุม ผมจะชำแหละแรงจูงใจและจุดด่างพร้อยในการกระทำของผมและอุปนิสัยเสื่อมทรามที่ผมเปิดเผย เพื่อที่ว่าคนอื่นจะรู้ตัวจริงของผม โดยปฏิบัติความจริงแบบนี้ ผมรู้สึกถึงสันติสุขในหัวใจ และความสัมพันธ์ของผมกับพระเจ้าก็กลายเป็นปกติ  ไม่นานหลังจากนั้น ผมรู้สึกว่าคนอื่นปฏิบัติต่อผมอย่างเหมาะสม และไม่ยกย่องผมเหมือนที่เคยทำ  เวลาผมพูดหรือทำอะไรขัดกับหลักปฏิบัติแห่งความจริง พวกเขาจะชี้ให้เห็นเพื่อให้ผมแก้ไขให้ถูกต้องได้  การปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นแบบนี้ให้อิสระจริงๆ  ผมขอบคุณพระเจ้าอย่างแท้จริงที่ทรงจัดการเตรียมการสถานการณ์นี้เพื่อชำระผมให้สะอาดและเปลี่ยนแปลงผม!

ก่อนหน้า: 69. กลับสู่หนทางที่ถูกต้อง

ถัดไป: 71. ความเสียหายที่ทำลงไปด้วยการโอ้อวด

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger