76. บทเรียนที่ผมได้รับจากการถูกปลด

โดย โอเวน, ประเทศสเปน

เมื่อ ค.ศ. 2018 ผมดูแลงานวีดิทัศน์  บางครั้งก็มีงานวีดิทัศน์หลายงานเข้ามาพร้อมกัน และจำเป็นต้องมอบหมายให้ผู้คนที่เหมาะสมทำการผลิต  ทุกครั้งผมจะคิดอย่างรวดเร็วว่าจะจัดสรรงานอย่างไร แต่พอผมบอกแผนการจัดสรรงานให้พี่น้องชายหญิงที่เป็นคู่ทำงานของผมฟัง ทั้งสองคนก็จะมีอะไรเพิ่มเติมเข้ามาและปรับปรุงแผนการของผมเสมอ  บางครั้งพวกเขาจะชี้ให้เห็นว่าผมยังคิดไม่ครอบคลุมตรงไหน และผมก็รู้สึกอับอายนิดหน่อยเวลาที่พวกเขามีข้อเสนอแนะมากๆ  วิธีที่พวกเขาชี้ให้เห็นปัญหาของผมนั้นทำให้ผมรู้สึกราวกับว่าตัวเองมีความสามารถในการทำงานที่ไม่ดีนัก  นี่ทำให้ผมนึกสงสัยว่าคนอื่นจะคิดกับผมในฐานะผู้นำทีมอย่างไร  ยิ่งไปกว่านั้น หนึ่งในคู่ทำงานสองคนของผมมีความสามารถในการทำงานที่โดดเด่น  ส่วนอีกคนก็มีประสบการณ์การทำงานมากมายและเชื่อในพระเจ้ามานานแล้วด้วย  ทั้งสองคนพิจารณาปัญหาค่อนข้างครอบคลุมและไม่ให้โอกาสผมได้ฉายแสงบ้าง  ผมนึกเอาว่าในไม่ช้าพี่น้องชายหญิงทั้งหลายก็อาจรู้สึกว่านอกจากทำวีดิทัศน์สองสามเรื่องแล้ว ผมในฐานะผู้นำทีมกลับไม่มีประโยชน์อะไรนักกับงานของกลุ่ม  ยิ่งคิดแบบนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่และเริ่มนึกสงสัยว่า “ถ้าฉันทำสิ่งที่คู่ทำงานของฉันจัดการไม่ได้มากขึ้นอีกสักนิดและทำได้ดีกว่าอีกสักหน่อย ฉันก็จะโดดเด่นได้ไม่ใช่หรือ?  ทักษะต่างๆ ในการทำงานของฉันภายในกลุ่มก็ค่อนข้างดี และพี่น้องชายหญิงก็พูดว่าฉันมีการเข้าสู่ชีวิตที่ดี ดังนั้นถ้าฉันใช้เวลามากขึ้นเพื่อแก้ไขสภาวะของพี่น้องชายหญิง และแบ่งปันความรู้ที่ฉันมีในสายงานให้มากขึ้น พวกเขาก็จะยอมรับนับถือฉันอย่างแน่นอน”  ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะเกิดความจำเป็นหรือมีปัญหาอะไร ผมก็จะไปพูดคุยถึงสภาวะของพวกเขาและสามัคคีธรรมด้วยเสมอ  นอกจากนี้ผมยังมักจะมองหาข้อมูลทางเทคนิคและสรุปเทคนิคในสายงานเพื่อแบ่งปันกับพวกเขาด้วย  แม้การทำอย่างนี้จะทำให้งานผลิตวีดิทัศน์ของผมล่าช้า ผมก็ยืนกรานที่จะทำสิ่งเหล่านี้  ผมรู้สึกว่าการยอมลำบากเช่นนี้คุ้มค่า

เพราะเจตนาของผมผิด ผมจึงทำความเข้าใจงานที่สำคัญมากๆ ไม่ได้ ประสิทธิผลในงานของผมก็ลดลงอย่างสังเกตเห็นได้ และมีปัญหาเกิดขึ้นไม่หยุด  มีอยู่ครั้งหนึ่งผมทำผิดพลาดในเรื่องพื้นๆ ที่แม้แต่มือใหม่ก็แทบจะไม่ทำกัน ซึ่งทำให้ผมรู้สึกละอายใจมาก  ผมคิดเอาว่า “น่าหัวเราะที่ฉันในฐานะผู้นำทีมทำเรื่องผิดพลาดพื้นๆ อย่างนี้  ถ้าฉันไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อกอบกู้ภาพลักษณ์ของตัวเอง ฉันจะเป็นผู้นำทีมต่อไปได้อย่างไร?”  หลังจากนั้น เพื่อไม่ให้ถูกดูแคลน ผมจึงง่วนอยู่กับงานของตัวเอง  ผมไม่ถามถึงความคืบหน้าของงานในกลุ่มเลย และทุกครั้งที่ผมรับงานมา ผมก็จะรีบมอบหมายให้พี่น้องชายหญิงทำและไม่สนใจอีก  นี่ทำให้มีหลายครั้งที่ผมมอบหมายงานล่าช้าเพราะไม่ได้ติดตามงานอย่างทันท่วงที  ตอนนั้นผมไม่รู้สึกรู้สาถึงขนาดนั้น  ผมไม่ได้ทบทวนตัวเองตอนที่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น  ต่อมาผมกับคู่ทำงานฝึกฝนสมาชิกใหม่หลายคนในทีมตามข้อพึงประสงค์ของงาน  ผมคิดว่าลอเรนที่ผมกำลังฝึกฝนให้อยู่นั้นมีรากฐานที่แข็งแกร่งกว่าคนอื่น และถ้าผมบ่มเพาะเธอได้เร็ว ผมก็จะพิสูจน์ได้ว่าความสามารถของผมในการบ่มเพาะผู้คนนั้นดี  อย่างไรก็ตาม หลังจากติดต่อสื่อสารกับเธอจริงๆ อยู่ระยะหนึ่ง ผมก็พบว่าขีดความสามารถของเธออยู่ในเกณฑ์ปานกลางและเธอก็ก้าวหน้าค่อนข้างช้า  หลังจากนั้นเวลาสอนเธอ ผมจึงไม่พิถีพิถันหรือรอบคอบอย่างเคย  เวลาเธอมีคำถาม ผมก็ตอบไปอย่างนั้น  บางครั้งพอเธอไม่เข้าใจคำตอบของผม ผมก็รู้สึกด้วยซ้ำว่าวุ่นวายเกินไปที่จะอธิบาย  ผลก็คือผ่านไปสักพัก เธอไม่เพียงไม่ก้าวหน้า แต่ยังปฏิบัติหน้าที่ได้ยากขึ้นอีกด้วย  ในภายหลัง คู่ทำงานของผมจึงเสนอแนะว่าเธอจะสอนเทคนิคต่างๆ ให้ลอเรนร่วมกับผม ผมเลยคิดว่า “มาคราวนี้เธอจะทำลายภาพลักษณ์ของฉันสินะ  อย่างไรเสียฉันก็เป็นผู้นำทีม  เธอคิดว่าฉันจำเป็นต้องให้เธอช่วยฉันสอนลอเรนอย่างนั้นหรือ?  นั่นจะทำให้ฉันดูไร้ความสามารถไปเลยไม่ใช่หรือไร?”  แต่ผมก็ตระหนักว่าการฝึกอบรมของตนเองไม่มีประสิทธิผล ผมจึงปฏิเสธเธอไปตรงๆ ไม่ได้ ทำได้แค่ตอบตกลงไปอย่างไม่เต็มใจ  ผมอยากหาโอกาสอื่นพิสูจน์ตัวเองเพื่อจะได้กอบกู้ศักดิ์ศรีคืนมาบ้าง  มีครั้งหนึ่งที่อีกกลุ่มหนึ่งประสบปัญหาบางอย่างในการทำงานและขอให้ผมช่วย  ผมคิดว่า “นี่เป็นโอกาสที่หายาก  ถ้าฉันจัดการปัญหานี้ได้ดี พี่น้องชายหญิงก็จะยอมรับนับถือฉันแน่นอน และชื่อเสียงในด้านดีของฉันก็อาจจะถึงกับดังไปถึงกลุ่มอื่นๆ ด้วย”  แต่พอผมตรวจสอบสถานการณ์เข้าจริงๆ ก็พบว่าจะต้องใช้เวลาและความอุตสาหะอย่างมากในการจัดการปัญหานี้  ตอนนั้นผมมีปัญหาในงานของตัวเองที่จำเป็นต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนเยอะอยู่แล้ว และปัญหาของกลุ่มนั้นก็ไม่ได้เร่งด่วนมาก  ผมเลยคิดว่าบางทีผมควรจะวางปัญหาของพวกเขาไว้ก่อน  แต่ผมก็คิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่ผมจะกอบกู้ภาพลักษณ์ของตัวเอง ผมจึงปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้  อีกอย่าง คู่ทำงานของผมสามารถรับมืองานในกลุ่มของพวกเราได้อยู่แล้ว  ครั้งนี้ถึงไม่มีผม พวกเขาก็ทำกันได้  พอคิดแบบนี้ ผมเลยเดินหน้าด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

ผมใช้เวลาทั้งหมดของตัวเองไปกับการคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนอื่นยอมรับนับถือผม ผมจึงไม่สนใจงานของกลุ่มเลย ซึ่งทำให้งานผลิตวีดิทัศน์คืบหน้าไปช้ามาก  นอกจากนี้ เพราะผมไม่ติดตามงานอย่างทันท่วงที จึงมีงานคั่งค้างและประสิทธิผลของงานก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด  ผมเป็นหนึ่งในผู้ดูแลหลัก แต่กลับไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไร และสภาวะของผมก็แย่ลงเรื่อยๆ  แม้ผมจะงานยุ่งทุกวัน แต่ผลงานของผมก็ยังออกมาไม่ดี  ผู้นำของผมตัดแต่งผมหลังจากที่รู้สถานการณ์นี้ บอกว่าผมกำลังมุ่งเน้นความมีหน้ามีตาและสถานะในหน้าที่ของตนและไม่ได้แก้ไขปัญหาจำเพาะในงานของพวกเรา  หลังจากนั้น แม้ว่าภายนอกผมจะมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่ผมก็ไม่เคยพยายามทำความรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง และเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ผมก็ยังคงพยายามปกป้องความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเองก่อน  ต่อมาลอเรนถูกย้ายไปทำหน้าที่อื่นเพราะเธอผลิตวีดิทัศน์ด้วยตัวเองไม่ได้  ก่อนที่เธอจะจากไป เธอสรุปปัญหาบางส่วนที่เธอมีระหว่างที่ทำหน้าที่นี้อยู่  เธอบอกว่าตอนที่ผมสอนทักษะในการทำงานให้เธอนั้น เธอมีความยากลำบากหลายอย่างที่เธอแก้ไขไม่ได้ และทักษะในสายงานของเธอก็เพิ่งจะดีขึ้นเมื่อพี่น้องหญิงอีกคนหนึ่งเริ่มสอนเธอ  พอเห็นสิ่งที่เธอเขียน ผมโกรธมาก คิดในใจว่า “ถ้าผู้นำหรือเพื่อนร่วมงานของฉันอ่านสิ่งที่เธอพูดมา พวกเขาจะคิดอย่างไร?  พวกเขาต้องคิดเป็นแน่ว่าฉันไม่ได้ความ”  เพื่อปกป้องสถานะและภาพลักษณ์ของตน ผมจึงไปรายงานปัญหาของลอเรนให้ผู้นำทราบ จงใจดูเบาขีดความสามารถของเธอ พูดเกินจริงเรื่องที่เธอทำหน้าที่สักแต่พอเอาหน้ารอดและมักจะเถียงกลับ และผมพยายามเน้นย้ำความบกพร่องต่างๆ ในสภาวะความเป็นมนุษย์ของเธอ  ผมประหลาดใจที่ผู้นำพูดว่า “ถ้านั่นเป็นความจริง การให้เธอให้น้ำแก่ผู้มาใหม่ก็อาจจะไม่เหมาะ”  ผมไม่เคยนึกว่าคำพูดของตนเองจะนำไปสู่ผลสืบเนื่องแบบนั้นได้  ถ้าลอเรนให้น้ำผู้มาใหม่ไม่ได้เพราะสิ่งที่ผมพูด ผมก็กำลังทำชั่วอย่างแท้จริง  ผมอยากอธิบายเรื่องนี้กับผู้นำ แต่ก็นึกได้ว่าภาพลักษณ์ของผมในความรู้สึกนึกคิดของทุกคนนั้นแย่อยู่แล้ว  ถ้าผมซื่อสัตย์ในเรื่องนี้ นอกจากจะดูไร้ประโยชน์ในงานของตนเองแล้ว ผู้คนก็จะคิดว่าผมมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่แย่  ดังนั้น ผมจึงพูดกับผู้นำอย่างกำกวมว่า “คุณควรจะตรวจสอบดู”  ต่อมาหลังจากตรวจสอบและยืนยันสิ่งต่างๆ แล้ว ผู้นำก็พบว่าปัญหาของลอเรนไม่ได้ร้ายแรงเท่าที่ผมกล่าวอ้าง และไม่ได้ย้ายเธอไป

เนื่องจากผมดึงดันไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะ และเพราะผมไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ตามที่พี่น้องชายหญิงประเมินผมเอาไว้ ผู้นำจึงพูดว่าผมไม่มีความรับผิดชอบในหน้าที่ ไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ทำแต่สิ่งที่ทำให้ตัวผมเองดูดี ดังนั้นจึงปลดผมด้วยเรื่องเหล่านี้  ผมไม่สามารถเข้าใจได้  ผมยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตัวเองทุกวัน แต่ผลกลับออกมาเป็นแบบนี้  ถ้าพี่น้องชายหญิงรู้เข้าถึงเหตุผลที่ผมถูกปลด พวกเขาก็จะพูดเป็นแน่ว่าผมมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่แย่ และพูดว่าผมไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  แล้วในอนาคตผมจะสู้หน้าทุกคนอย่างไร?  พอคิดเรื่องนี้ ผมก็รู้สึกเศร้าใจอย่างไม่อาจบรรยายได้ แต่ผมรู้ว่าไม่ว่าอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดคือผมต้องเชื่อฟัง  ผมเลือกเดินทางนี้และโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง  ในช่วงเวลานั้น ผมอยากทบทวนปัญหาต่างๆ ของตน ผมจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าและขอให้พระองค์ทรงนำผมให้รู้จักตัวเอง

ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าและพบบทตอนหนึ่งที่อธิบายสภาวะของผมไว้อย่างดีเยี่ยม  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ศัตรูของพระคริสต์มีชีวิตอยู่ในแต่ละวันเพียงเพื่อความมีหน้ามีตาและสถานะ พวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อสุขสำราญกับผลประโยชน์แห่งสถานะเท่านั้น นี่คือทั้งหมดที่พวกเขาคำนึงถึง  แม้ในยามที่พวกเขาเกิดความทุกข์ยากเล็กน้อยบางอย่างหรือจ่ายราคาบ้างนิดหน่อยเป็นครั้งคราว นี่ก็เป็นไปเพื่อให้ได้สถานะและความมีหน้ามีตา  ทันทีที่เชื่อในพระเจ้า ศัตรูของพระคริสต์ก็คิดหาอุบายที่จะไล่ตามไขว่คว้าสถานะ มีอำนาจ และมีชีวิตที่สุขสบายเป็นหลัก และพวกเขาก็ไม่ยอมล้มเลิกจนกว่าจะสัมฤทธิ์เป้าหมายของตน  ถ้าความประพฤติชั่วของพวกเขาเกิดถูกเปิดโปงขึ้นมา พวกเขาย่อมตื่นตระหนกราวกับฟ้าจะถล่มใส่ตน  พวกเขากินไม่ได้หรือนอนไม่หลับ และพวกเขาดูเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ราวกับกำลังทนทุกข์จากอาการซึมเศร้า  เมื่อผู้คนถามพวกเขาว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็กุเรื่องโกหกและกล่าวว่า ‘เมื่อวานฉันยุ่งมากจนไม่ได้นอนทั้งคืน ฉันก็เลยเหนื่อยมาก’  แต่ที่จริงแล้วทั้งหมดนี้ไม่เป็นจริงเลย เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งสิ้น  พวกเขารู้สึกเช่นนี้เพราะกำลังครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ‘เรื่องไม่ดีที่ฉันทำเอาไว้ได้ถูกเปิดโปงแล้ว ดังนั้นฉันจะกอบกู้ความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเองได้อย่างไร?  ฉันสามารถไถ่ตัวเองได้ด้วยวิธีไหน?  ฉันสามารถอธิบายเรื่องนี้กับทุกคนโดยใช้น้ำเสียงแบบไหนได้?  ฉันพูดอะไรได้บ้างเพื่อไม่ให้ทุกคนรู้ทัน?’  พวกเขาคิดไม่ออกอยู่นานว่าสามารถทำเช่นไรได้ ดังนั้นพวกเขาจึงซึมเศร้า  บางครั้งดวงตาของพวกเขาก็เหม่อมองอยู่จุดเดียว และไม่มีใครรู้ว่าพวกเขากำลังมองอะไรอยู่  ประเด็นปัญหานี้ทำให้พวกเขาเค้นสมองคิดทุกทางจนเหนื่อยอ่อน และไม่อยากกินหรือดื่มอะไร  แม้จะเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ยังคงแสดงออกด้วยการเอาใจใส่งานของคริสตจักร และถามผู้คนว่า ‘งานข่าวประเสริฐเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?  การประกาศข่าวประเสริฐมีประสิทธิผลอย่างไร?  หมู่นี้พี่น้องชายหญิงได้รับการเข้าสู่ชีวิตบ้างหรือไม่?  มีใครก่อเหตุขัดขวางหรือก่อกวนบ้างหรือเปล่า?’  การสอบถามเกี่ยวกับงานของคริสตจักรของพวกเขาคือวิธีการแสดงให้ผู้อื่นเห็น  ถ้าพวกเขารู้ปัญหาแล้ว พวกเขาก็จะไม่มีวิธีแก้ไข ดังนั้นคำถามของพวกเขาจึงเป็นเพียงพิธีการซึ่งคนอื่นมีแนวโน้มที่จะมองว่าเป็นการใส่ใจงานของคริสตจักร  ถ้าใครบางคนพึงรายงานปัญหาของคริสตจักรให้พวกเขาแก้ไข พวกเขาก็จะเอาแต่ส่ายหน้า  ไม่มีกลอุบายใดจะช่วยพวกเขาได้ และแม้พวกเขาจะอยากอำพรางตน แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้ และพวกเขาจะเสี่ยงต่อการถูกเปิดโปงและถูกเผยออกมา  นี่คือปัญหาใหญ่ที่สุดที่ศัตรูของพระคริสต์เผชิญตลอดชีวิตของตน… ที่ใดก็ตามที่ศัตรูของพระคริสต์กุมอำนาจ ไม่ว่าอิทธิพลของพวกเขาจะมีขอบเขตเท่าใด ต่อให้เป็นเพียงคนกลุ่มเดียว พวกเขาก็จะมีอิทธิพลครอบงำงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรส่วนหนึ่งที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  ถ้าพวกเขากุมอำนาจในคริสตจักรสักแห่ง งานของคริสตจักรและน้ำพระทัยของพระเจ้าในที่แห่งนั้นก็จะถูกขัดขวาง  เหตุใดการจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าจึงไม่อาจดำเนินการให้เป็นผลได้ในคริสตจักรบางแห่ง?  นั่นเพราะศัตรูของพระคริสต์กุมอำนาจอยู่ในคริสตจักรเหล่านี้  ใครก็ตามที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะไม่ยอมสละเพื่อพระเจ้าด้วยใจจริง การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาจะเป็นเพียงเรื่องของพิธีการและทำอย่างขอไปทีเท่านั้น  ต่อให้พวกเขาเป็นผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขาก็จะไม่ทำงานจริง พวกเขาจะเอาแต่พูดและทำเพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ โดยไม่ปกป้องงานของคริสตจักรแต่อย่างใด  ดังนั้นวันทั้งวันศัตรูของพระคริสต์ทำอะไรบ้าง?  พวกเขายุ่งอยู่กับการแสดงผลงานและอวดตัว  พวกเขาทำแต่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตน  พวกเขายุ่งอยู่กับการชักพาผู้อื่นให้หลงผิด ดึงคนมาเป็นพวก และเมื่อพวกเขาสะสมความแข็งแกร่งแล้ว พวกเขาก็จะขยายไปควบคุมคริสตจักรต่างๆ ให้มากแห่งขึ้น  พวกเขาปรารถนาจะได้ปกครองอย่างกษัตริย์และเปลี่ยนคริสตจักรให้กลายเป็นอาณาจักรอิสระของตนเท่านั้น  พวกเขาปรารถนาแต่จะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ กุมอำนาจเบ็ดเสร็จแต่เพียงฝ่ายเดียว และควบคุมคริสตจักรต่างๆ ให้มากขึ้น  พวกเขาไม่ใส่ใจเรื่องอื่นแม้แต่น้อย  พวกเขาไม่กังวลสนใจเรื่องงานของคริสตจักร หรือการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร นับประสาอะไรที่พวกเขาจะใส่ใจว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าได้รับการดำเนินการหรือไม่  พวกเขากังวลสนใจแต่ว่าเมื่อใดพวกเขาจะสามารถกุมอำนาจอย่างเป็นเอกเทศ ควบคุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และยืนเสมอพระเจ้า  ความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานในตัวศัตรูของพระคริสต์ช่างมหาศาลจริงๆ!  ไม่ว่าศัตรูของพระคริสต์จะดูขยันหมั่นเพียรขนาดไหน พวกเขาก็ยุ่งอยู่แต่กับความบากบั่นเพื่อตนเอง ทำสิ่งที่ตนชอบทำ และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตนเอง  พวกเขาไม่คำนึงถึงความรับผิดชอบหรือหน้าที่ที่ตนควรปฏิบัติด้วยซ้ำ และพวกเขาไม่ทำสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแต่อย่างใด  นี่เป็นสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์เป็น—พวกเขาคือเหล่าซาตานและมารที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สอง))  พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยว่าศัตรูของพระคริสต์มีชีวิตอยู่เพื่อความมีหน้ามีตาและสถานะเท่านั้น และไม่เคยทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแต่อย่างใดเลย  เพื่อที่จะหยุดยั้งคนอื่นไม่ให้มีวิจารณญาณแยกแยะและมองพวกเขาออก พวกเขาจึงเค้นสมองหาทางรักษาตำแหน่งของตนไว้ และเพื่อที่จะทำเช่นนั้น พวกเขายินดีที่จะทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า  ผมทบทวนการกระทำและพฤติกรรมทั้งหมดของตนตั้งแต่มาเป็นผู้นำทีม และมองเห็นว่าผมประพฤติตัวเหมือนศัตรูของพระคริสต์  พอผมเห็นว่าคู่ทำงานของผมมองเห็นประเด็นปัญหาได้ครอบคลุมกว่า และเมื่อพวกเขาชี้ให้เห็นข้อบกพร่องในงานของผมอยู่เสมอ ผมก็กลัวพี่น้องชายหญิงจะคิดว่าผมมีขีดความสามารถไม่ดีและไร้ความสามารถในงานของตน ผมจึงพยายามใช้ทุกโอกาสที่มีเพื่อกู้ศักดิ์ศรีของตนคืนมา  ผมใช้เวลาจัดทำข้อมูลด้านทักษะในการทำงานเพื่อให้ทุกคนเห็นได้ว่าผมแบกรับภาระและเข้าใจสิ่งเหล่านี้  ผมถึงกับละเลยและเพิกเฉยต่อปัญหาเร่งด่วนที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขในกลุ่มของตน และใช้เวลาแก้ปัญหาให้อีกกลุ่มหนึ่งแทนเพื่ออวดตัว  หลังจากที่ผมทำวีดิทัศน์ของตัวเองผิดพลาด ผมก็กลัวพี่น้องชายหญิงจะพูดว่าทักษะของผมแย่ ผมจึงวางงานของกลุ่มเอาไว้ก่อนและง่วนอยู่กับงานผลิตที่เป็นส่วนของผมเอง หวังจะทำงานให้ดีพอที่จะพิสูจน์ว่าผมมีความสามารถ  ผมยังใช้การบ่มเพาะคนอื่นเป็นโอกาสในการพิสูจน์ตัวเองอีกด้วย แต่เมื่อผมพบว่าลอเรนไม่ได้เติบโตเร็วพอที่จะแสดงให้เห็นความสามารถของผม ผมจึงเริ่มทำตัวเย็นชาและขอไปทีกับเธอ ซึ่งทำให้เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเชี่ยวชาญทักษะเหล่านั้น  ผมสนใจแต่การไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะ และการทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับตนเองเท่านั้น ไม่ได้ทำงานจริง  ผมทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าและเสียหาย  พฤติกรรมของผมนี้เหมือนกับของศัตรูของพระคริสต์เลยไม่ใช่หรือ?  แม้แต่หลังจากที่ลอเรนถูกย้ายหน้าที่ ผมก็ไม่รู้สึกผิดใดๆ และเพราะเธอชี้ให้เห็นจุดอ่อนและข้อบกพร่องของผม ผมจึงพยายามให้เหตุผลและแก้ต่างให้ตัวเองเพื่อปกป้องความมีหน้ามีตาและสถานะของตน ดูถูกและตัดสินเธอ และเกือบจะทำให้เธอถูกย้ายอีกครั้ง  ผมช่างชั่วร้าย เห็นแก่ตัว และน่ารังเกียจจริงๆ!  พอคิดถึงความเสียหายทั้งหมดที่ผมก่อไว้กับงานของคริสตจักรและลอเรน ผมก็รู้สึกทุกข์ใจเป็นพิเศษ  การกระทำเหล่านี้ทำให้เส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าของผมมีอันด่างพร้อย!  ในเวลาต่อมา ผมจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อสารภาพและกลับใจ

วันหนึ่ง ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “เมื่อพระเจ้าตรัสขอให้ผู้คนละชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ นั่นไม่ใช่ว่าพระองค์กำลังทรงลิดรอนสิทธิ์ในการเลือกของพวกเขา ตรงกันข้าม นั่นเป็นเพราะขณะที่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะอยู่นั้น ผู้คนได้ก่อกวนและทำให้งานของคริสตจักรกับการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหยุดชะงัก และถึงขั้นสามารถมีอิทธิพลต่อการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าของผู้คนเป็นจำนวนมากขึ้น การเข้าใจความจริง รวมถึงการสัมฤทธิ์ความรอดของพระเจ้า  นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจโต้แย้งได้  เมื่อผู้คนไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตน แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ลุล่วงหน้าที่ของตนด้วยความสัตย์ซื่อ  พวกเขาจะพูดและทำเพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะเท่านั้น และงานทุกอย่างที่พวกเขาทำก็ล้วนเป็นไปเพื่อสิ่งเหล่านั้นโดยไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่น้อย  การประพฤติและปฏิบัติในหนทางเช่นนี้คือการเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์อย่างไม่ต้องสงสัย ก่อให้เกิดความไม่สงบและทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงัก ผลสืบเนื่องต่างๆ ของการนี้ล้วนขัดขวางการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรและการดำเนินงานตามน้ำพระทัยของพระเจ้าภายในคริสตจักร  ดังนั้น คนเราอาจพูดได้อย่างมั่นใจว่าเส้นทางที่ผู้ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะเดินอยู่นั้นเป็นเส้นทางของการต้านทานพระเจ้า  นี่คือการตั้งใจต้านทานพระองค์ ปฏิเสธพระองค์—นี่คือการร่วมมือกับซาตานเพื่อต้านทานพระเจ้าและยืนหยัดต่อต้านพระองค์  นี่คือธรรมชาติของการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของผู้คน  ปัญหาของการที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาผลประโยชน์ของตนเองนั้นก็คือว่า เป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามเสาะหานั้นคือเป้าหมายของซาตาน—เป้าหมายเหล่านั้นเป็นเป้าหมายที่เลวและไม่ยุติธรรม  เมื่อผู้คนไล่ไขว่คว้าผลประโยชน์ส่วนตน เช่น ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ พวกเขากลายเป็นเครื่องมือของซาตานโดยไม่รู้ตัว พวกเขากลายเป็นทางออกสำหรับซาตาน และที่มากกว่านั้นก็คือ พวกเขากลายเป็นร่างจำแลงของซาตาน  พวกเขาแสดงบทบาทเชิงลบอยู่ในคริสตจักร ผลกระทบที่พวกเขามีต่องานของคริสตจักร และต่อชีวิตคริสตจักรที่ปกติและการไล่ตามเสาะหาตามปกติของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็คือ การก่อความไม่สงบและลดคุณค่า พวกเขาส่งผลเลวร้ายในเชิงลบ(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่หนึ่ง))  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ในที่สุดผมก็ตระหนักว่าเวลาผมไล่ตามไขว่คว้าสถานะและปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองนั้น ในแก่นแท้แล้วผมกำลังทำตัวเป็นผู้รับใช้ซาตานและทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก  ผมรู้ว่าความสามารถในการทำงานและทักษะในสายงานของผมไม่ได้ดีเท่าคู่ทำงานทั้งสอง  ถ้าผมเรียนรู้จากพวกเขาได้อย่างถ่อมใจและร่วมมือกับพวกเขาอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ ไม่เพียงทักษะของผมจะก้าวหน้าไปบ้างเท่านั้น ผมยังจะเข้าใจหลักธรรมความจริงบางอย่างได้อีกด้วย  นี่ย่อมจะเป็นเรื่องดีสำหรับผม  แต่ผมกลับไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับตนเอง  ตำแหน่ง “ผู้นำทีม” ทำให้ผมขาดสติอย่างสิ้นเชิง  ผมไม่ได้ใช้เวลาไปกับการทำหน้าที่จริงๆ ของตนหรือทุ่มเทความอุตสาหะให้กับงานหลักของตน  ผมกลับออกอุบายอำพรางตนและอวดตัวเพื่อทำให้คนอื่นเลื่อมใสในตัวผม  ผมดำรงตำแหน่งผู้นำทีมโดยที่ไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างแท้จริง และผมขัดขวางและถ่วงความคืบหน้าในงานของพวกเรา  พระเจ้าทรงเกลียดและรังเกียจสิ่งต่างๆ ที่ผมทำ  การที่ผมถูกปลดแสดงถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าและการที่พระเจ้าทรงคุ้มครองผม  พอคิดถึงความเสียหายที่ผมก่อให้เกิดกับงานของคริสตจักร ผมก็รู้สึกผิดเป็นพิเศษ  ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ความอยากได้อยากมีสถานะของข้าพระองค์รุนแรงเกินไป!  หากไม่มีการเปิดเผยนี้ ข้าพระองค์ก็ไม่รู้ว่าตนเองจะด้านชาไปอีกนานขนาดไหน  ข้าพระองค์ต้องการใช้ความล้มเหลวนี้มาทบทวนตัวเองและแก้ไขปัญหาของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม”

ในเวลาต่อมา ขณะที่ผมแสวงหาเส้นทางปฏิบัติอยู่นั้น ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอน ความว่า “จงอย่าทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองเสมอ และจงอย่าพิจารณาผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเจ้าเองเป็นนิตย์ จงอย่าคำนึงถึงผลประโยชน์ของมนุษย์ และอย่าได้คำนึงถึงความภาคภูมิใจ ความมีหน้ามีตา และสถานะของตัวเจ้าเอง  ก่อนอื่นเจ้าต้องคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และให้ผลประโยชน์เหล่านั้นมีความสำคัญเป็นอันดับแรก  เจ้าควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและเริ่มโดยการใคร่ครวญว่ามีสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์อยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือไม่ เจ้าจงรักภักดี ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และทุ่มเททั้งหมดที่เจ้ามีหรือยัง  รวมทั้งเจ้าได้คำนึงถึงหน้าที่ของเจ้าและงานของคริสตจักรด้วยหัวใจทั้งดวงหรือไม่  เจ้าต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้  หากเจ้าคิดคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้อยู่เนืองๆ และคิดออก ก็ย่อมจะง่ายขึ้นที่เจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น)  “หากผู้คนไล่ตามไขว่คว้าเพียงชื่อเสียง ผลตอบแทน และสถานะ—หากพวกเขาเพียงไล่ตามเสาะหาผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น—เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะไม่มีวันได้รับความจริงและชีวิต และท้ายที่สุดพวกเขาจะเป็นผู้ที่ทุกข์ทนกับความสูญเสีย  พระเจ้าทรงช่วยผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงให้รอด  หากเจ้าไม่ยอมรับความจริง และหากเจ้าไม่สามารถคิดทบทวนและรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่กลับใจอย่างแท้จริง และเจ้าจะไม่มีการเข้าสู่ชีวิต  การยอมรับความจริงและการรู้จักตนเองคือเส้นทางไปสู่การเจริญเติบโตในชีวิตและได้มาซึ่งความรอด เป็นโอกาสให้เจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อยอมรับการพินิจพิเคราะห์ การพิพากษา และการตีสอนจากพระองค์ อีกทั้งได้รับชีวิตและความจริง  หากเจ้ายอมทิ้งการไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ความได้เปรียบ สถานะ และผลประโยชน์ของตนเอง นี่ก็เท่ากับการยอมทิ้งโอกาสในการยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้า และบรรลุความรอด  เจ้ากำลังเลือกชื่อเสียง ผลตอบแทนและสถานะกับผลประโยชน์ของตนเอง แต่สิ่งที่เจ้ากำลังทิ้งไปนั้นคือความจริง และสิ่งที่เจ้ากำลังสูญเสียคือชีวิต และโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด  สิ่งใดมีความหมายมากกว่ากัน?  หากเจ้าเลือกผลประโยชน์ของตัวเจ้าเองและยอมทิ้งความจริง นี่ก็ย่อมโง่เขลามิใช่หรือ?  พูดในภาษาทั่วไป นี่คือการทนทุกข์กับการสูญเสียครั้งใหญ่แลกกับประโยชน์เล็กน้อย  ชื่อเสียง ผลตอบแทน สถานะ เงินทอง และผลประโยชน์ทั้งหลายล้วนชั่วคราว สิ่งเหล่านี้ไม่จีรังทั้งสิ้น ในขณะที่ความจริงและชีวิตเป็นนิรันดร์และเปลี่ยนแปลงมิได้  หากผู้คนแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เป็นเหตุให้พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลตอบแทนและสถานะ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มีหวังที่จะบรรลุความรอด  ที่มากกว่านั้นคือ ความจริงทั้งหลายที่ผู้คนได้รับนั้นเป็นนิรันดร์ ซาตานไม่สามารถเอาความจริงเหล่านี้ไปจากผู้คนได้ อีกทั้งใครคนอื่นก็ไม่สามารถ  เจ้าปล่อยวางผลประโยชน์ของตน แต่สิ่งที่เจ้าได้รับคือความจริงและความรอด ผลลัพธ์เหล่านี้เป็นของเจ้า  และเจ้าได้รับผลลัพธ์เหล่านี้ไว้เพื่อตัวเจ้าเอง  หากผู้คนเลือกที่จะปฏิบัติความจริงแล้วไซร้ ถึงแม้พวกเขาสูญเสียผลประโยชน์ของตนไป พวกเขาก็กำลังได้รับความรอดของพระเจ้าและชีวิตนิรันดร์  ผู้คนเหล่านั้นเป็นคนที่หลักแหลมที่สุด  หากผู้คนยอมละทิ้งความจริงเพื่อผลประโยชน์ของตน เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็สูญเสียชีวิตและความรอดของพระเจ้า  ผู้คนพวกนั้นเป็นพวกโง่เขลาที่สุด(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การรู้จักอุปนิสัยของคนเราคือรากฐานของการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยนั้น)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมเข้าใจว่าในหน้าที่ของพวกเรา พวกเราต้องละทิ้งเจตนาและความอยากได้อยากมีที่ไม่ถูกต้อง  พวกเราต้องให้ผลประโยชน์ของคริสตจักรมาก่อนทุกสิ่งเสมอ แทนที่จะเป็นความมีหน้ามีตาและสถานะของตน  การปฏิบัติแบบนี้เท่านั้นที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และนี่คือขั้นต่ำสุดที่บุคคลที่มีมโนธรรมและเหตุผลควรทำ  เมื่อตระหนักรู้สิ่งเหล่านี้ ผมก็ละทิ้งเนื้อหนังของผมอย่างมีสติ ไม่สนใจความมีหน้ามีตาและสถานะอีกต่อไป และมุ่งปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ถูกต้องเหมาะสม  นอกจากจะทำงานผลิตในส่วนของตนเองให้เสร็จแล้ว ผมยังจดปัญหาและความเบี่ยงเบนที่พบบ่อยในงานของผมและของคนอื่นไว้ด้วย และนำปัญหาเหล่านั้นไปหารือและหาทางออกร่วมกับเหล่าผู้นำทีมและพี่น้องชายหญิง  การปฏิบัติแบบนี้เป็นประโยชน์ต่อทุกคน และพวกเราก็ทำให้ทักษะในสายงานของพวกเราก้าวหน้าได้  เมื่อผมเห็นผลลัพธ์นี้ ผมก็รู้สึกขอบคุณพระเจ้าเป็นอย่างมาก  นี่คือผลจากการที่ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  ในอดีต ผมพยายามปกป้องความมีหน้ามีตาและสถานะของผมอยู่เสมอ  ผมทำสิ่งต่างๆ เพื่อเสริมภาพลักษณ์ของตนและอวดตัวในหน้าที่เสมอ ผมไม่ได้แก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแต่อย่างใด และสิ่งที่ผมหลงเหลือไว้เบื้องหลังมีแต่การฝ่าฝืน  แต่ทันทีที่ผมเลิกคิดถึงความมีหน้ามีตาและสถานะของตน และเริ่มเปิดเผยข้อบกพร่องและข้อผิดพลาดในงานแทน ไม่เพียงพี่น้องชายหญิงไม่ได้ดูถูกผมเท่านั้น พวกเขายังหารือและร่วมมือกับผม และพวกเราก็พบหนทางที่ดีขึ้นในการทำหน้าที่ของพวกเรา  ตอนนั้นเองที่ผมมองเห็นว่าตัวเองเขลาขนาดไหนที่อำพรางตนและอวดตัว  ถ้าผมปฏิบัติในแนวทางนี้แต่เนิ่นๆ ผมก็คงไม่ทำให้งานล่าช้า

ต่อมาอีกสักระยะหนึ่ง ผู้นำก็จัดแจงเตรียมการให้ผมทำงานให้น้ำผู้มาใหม่แบบนอกเวลา  เธอบอกว่าเพราะผู้มาใหม่บางคนยังไม่ได้วางรากฐานบนหนทางที่แท้จริง พวกเขาจึงเฉื่อยชา อ่อนแอ และไม่เข้าร่วมการชุมนุมเมื่อเผชิญความยากลำบากหรือเมื่อถูกพวกศิษยาภิบาลก่อกวน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องได้รับการเกื้อหนุนด้วยการให้น้ำโดยด่วน  แม้ผมจะรู้ว่าหน้าที่นี้สำคัญมาก แต่ผมก็ยังลังเลนิดหน่อย  เหตุผลหลักเป็นเพราะนี่เป็นงานนอกเวลา ดังนั้นไม่ว่าผมจะทำให้ดีขนาดไหน ก็ไม่มีใครในกลุ่มของพวกเรารับรู้  ผมจึงคิดว่าผมน่าจะใช้เวลาส่วนใหญ่ทำงานหลักของผมเองจะดีกว่า  ผมสามารถใช้เวลาว่างพัฒนาเทคนิคในสายงานของผม  ถ้าผมมีประสิทธิผลในงานหลักของตนเองมากขึ้น พี่น้องชายหญิงก็จะยอมรับนับถือผม  ด้วยเหตุนั้น ผมจึงไม่อยากทำงานให้น้ำผู้มาใหม่ให้หนักเกินไป  แต่ตลอดสองสามวันถัดมา ผมรู้สึกว่าสภาวะของผมผิดไปเล็กน้อย ผมจึงเปิดใจสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิง และตอนนั้นเองที่ผมตระหนักว่าตัวเองยังคงไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะ  ผมอ่านเจอในพระวจนะของพระเจ้าว่า “ถึงแม้ผู้คนส่วนใหญ่บอกว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างมีความสุข เมื่อเป็นเรื่องของการนำความจริงไปปฏิบัติหรือยอมลำบากให้การนี้ บางคนก็เพียงแต่ล้มเลิกไป  นี่คือการทรยศโดยแก่นแท้  ยิ่งเป็นชั่วขณะที่สำคัญยิ่งยวดมากเท่าใด เจ้ายิ่งจำเป็นต้องล้มเลิกผลประโยชน์ทางเนื้อหนังและละวางความไร้แก่นสารและความหยิ่งยโสมากขึ้นเท่านั้น หากเจ้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เจ้าย่อมไม่สามารถได้รับความจริง และนั่นแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่เชื่อฟังพระเจ้า  หากเป็นชั่วขณะที่สำคัญยิ่งยวดกว่า ผู้คนก็จะยิ่งสามารถนบนอบและปล่อยมือจากผลประโยชน์ส่วนตัว ความทระนง และความภูมิใจของพวกเขา และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างถูกต้องเหมาะสม เมื่อนั้นเท่านั้นพระเจ้าจึงจะทรงจดจำพวกเขา  เหล่านั้นเป็นความประพฤติดีทั้งหมด!  ไม่ว่าผู้คนปฏิบัติหน้าที่ใด หรือพวกเขาทำอะไร สิ่งใดสำคัญกว่ากัน—ความไร้แก่นสารและความหยิ่งยโสของพวกเขา หรือพระสิริของพระเจ้า?  ผู้คนควรเลือกสิ่งใด?  (พระสิริของพระเจ้า)  สิ่งใดสำคัญกว่ากัน—ความรับผิดชอบของเจ้า หรือผลประโยชน์ของเจ้าเอง?  ความรับผิดชอบของเจ้าคือสิ่งที่สำคัญที่สุด และเจ้ามีภาระหน้าที่ต่อความรับผิดชอบเหล่านั้น(การสามัคคีธรรมของพระเจ้า)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมมองเห็นชัดเจนว่าไม่ว่าผมจะได้รับการยอมรับนับถือหรือไม่ นี่ก็คือหน้าที่ของผม ซึ่งหมายความว่าเป็นความรับผิดชอบของผมและพระบัญชาจากพระเจ้า  ผมควรยอมรับหน้าที่นี้และปฏิบัติกับหน้าที่อย่างจริงใจ  ผมจะมัวแต่คอยคิดคำนวณเพื่อความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเองต่อไปอีกไม่ได้  มีความต้องการบุคลากรเพื่อทำงานให้น้ำ และถ้าผมไม่อยากทำหน้าที่นี้เพียงเพราะไม่เปิดโอกาสให้อวดตัว ผมก็ย่อมไร้มโนธรรมและไร้เหตุผลไม่ใช่หรือ?  ค่ำวันนั้น ผมได้ฟังบทสวดสรรเสริญจากพระวจนะของพระเจ้าชื่อว่า “เจ้าเต็มใจที่จะมอบความรักในหัวใจของเจ้าแด่พระเจ้าหรือไม่?”  เนื้อเพลงร้องว่า “พระเจ้าทรงทะนุถนอมความรักของมนุษย์ทุกคน  พระพรของพระองค์เพิ่มเป็นทวีคูณต่อทุกคนที่รักพระองค์ ด้วยว่าความรักของมนุษย์หาได้ยากยิ่ง และมีเพียงเล็กน้อยมาก(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เส้นทาง… (3))  ผมตื้นตันใจมาก  ยิ่งงานของคริสตจักรจำเป็นต้องได้รับการปกป้อง ผมก็ยิ่งควรทำหน้าที่และความรับผิดชอบของตัวเองให้ลุล่วง  ผมไม่อาจทำให้พระเจ้าทรงผิดหวังได้อีก  แม้ผมจะมีข้อบกพร่องอยู่มากในระหว่างที่ให้น้ำแก่ผู้มาใหม่และแม้ผมจะพบเจอความยากลำบากหลายอย่าง แต่เมื่อผมมีแรงจูงใจที่ถูกต้องและพี่งพาพระเจ้า ผมก็มองเห็นการทรงนำของพระเจ้า และไม่นานผู้มาใหม่บางคนที่ผมให้น้ำอยู่ก็สามารถเข้าร่วมการชุมนุมได้ตามปกติ

ไม่ช้า คริสตจักรก็ให้ผมดูแลอีกงานหนึ่ง  ครั้งนี้ไม่ว่าผมจะยุ่งกับงานมากขนาดไหน ผมก็คอยติดตามความคืบหน้าของกลุ่มและมอบหมายงานอย่างไม่ตกหล่น  ผมยังตรวจตรางานของพวกเราร่วมกันกับพี่น้องชายหญิงเพื่อแก้ไขความยากลำบากของพวกเขาอยู่สักพักด้วย และสำหรับสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ ผมก็หาคนที่มีทักษะดีมาช่วยพวกเราแก้ไข  ผลของงานจึงค่อยๆ ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ  ผมรู้ว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะการทรงนำและพรจากพระเจ้า  ในอดีตผมสนใจแต่ความมีหน้ามีตาและสถานะ  ตอนนี้ผมสามารถปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้าสถานะได้บ้าง ปกป้องงานของคริสตจักรได้อย่างมีสติ และปฏิบัติหน้าที่ของผมได้โดยไม่โอ้อวด  เหล่านี้คือผลสัมฤทธิ์ที่เกิดจากพระวจนะของพระเจ้า  ขอคำขอบคุณจงมีแด่พระเจ้า!

ก่อนหน้า: 75. เรียนรู้จากการขับผู้กระทำชั่ว

ถัดไป: 77. การกระหายความสบายไม่ให้อะไรเลย

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger