61. ยี่สิบวันแห่งความทุกข์ทรมาน

โดย เย่หลิน, ประเทศจีน

ราวสี่โมงเย็นวันหนึ่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2002 ขณะที่ผมยืนโทรศัพท์อยู่ริมถนน จู่ๆ ผมก็ถูกกระชากผมและแขนจากด้านหลัง และก่อนที่ผมจะทันได้ตอบโต้ เท้าของผมทั้งสองข้างก็ถูกเตะกวาดลอยขึ้นจากพื้น  ผมเสียหลักล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง  ทันใดนั้นก็มีคนหลายคนเข้ามากดผมลงจนหน้าแนบกับพื้น และสวมกุญแจมือทั้งสองข้างของผมไพล่หลัง  จากนั้นพวกนั้นฉุดผมขึ้นจากพื้นและลากผมขึ้นรถเก๋งคันหนึ่ง  ผมตระหนักได้ว่าพวกที่เข้ามาจับผมคือตำรวจ  ความกักขฬะของพวกมันคือหลักฐาน และผมจำเรื่องเล่าของพี่น้องชายหญิงถึงการทรมานอันโหดเหี้ยมหลังถูกจับกุมได้  ผมกลัวจนลนลานไปหมด วิตกว่าจะไม่สามารถทนการทรมานได้และกลายเป็นยูดาสไป  ผมพร่ำอธิษฐานต่อพระเจ้าตลอดทางที่รถวิ่งไป ขอให้พระองค์ทรงมอบความเชื่อและความแข็งแกร่งเพื่อให้ผมสามารถตั้งมั่นในคำพยานได้ และไม่ยอมจำนนต่อซาตาน

ตำรวจพาผมตรงไปยังโรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ที่พวกมันฉีกทึ้งเสื้อเชิ้ตกับรองเท้าของผม ดึงเข็มขัดของผมออก และให้ผมยืนเท้าเปล่าอยู่บนพื้นที่เย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง  ในห้องนั้นมีเจ้าหน้าที่อยู่หลายคนและใครคนหนึ่งกำลังถ่ายรูปผม  จากนั้น หนึ่งในพวกเขาก็เอาภาพวิดีโอตอนที่ผมกับพี่น้องชายอีกคนกำลังฝากเงินที่ธนาคารให้ดู และร้องสั่งให้ผมบอกว่าเงินนั่นมาจากไหน กำลังถูกส่งไปให้ใคร และคนเหล่านั้น อาศัยอยู่ที่ไหน  ผมตกตะลึง  ผมตระหนักว่าเจ้าหน้าที่พวกนี้ไม่ได้เพิ่งเฝ้าจับตาและตามประกบผมมาแค่วันสองวัน และด้วยการที่วันนั้นมีเจ้าหน้าที่อยู่ที่นั่นหลายคนมาก ผมจึงเห็นได้เลยว่าพวกนั้นจะไม่ปล่อยผมไปง่ายๆ  ความคิดนี้ทำให้ผมหวาดกลัว ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ผมนึกถึงพระวจนะบางตอนของพระองค์ที่ว่า  “จงอย่ากลัวเลย ด้วยการสนับสนุนของเรา ใครเล่าจะสามารถขวางกั้นถนนสายนี้ได้?  จงจำการนี้ไว้!  จงอย่าลืม!  ทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนเป็นไปตามเจตจำนงอันดีของเราทั้งสิ้น และทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ภายในการเฝ้าสังเกตของเราทั้งสิ้น  เจ้าสามารถทำตามคำพูดของเราในทุกๆ สิ่งที่เจ้าพูดและทำได้หรือไม่?  เมื่อบททดสอบด้วยไฟมาถึงตัวเจ้า เจ้าจะคุกเข่าและร้องเรียกหรือไม่?  หรือว่าเจ้าจะขดตัวด้วยความขลาดกลัว ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10)  เมื่อรู้ว่าผมมีพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างคอยเกื้อหนุนผม ผมก็ไม่รู้สึกวิตกหรือกลัวมากนัก  ผมรู้ว่าพระเจ้าทรงอนุญาตให้ผมถูกจับกุม ว่าพระองค์ทรงกำลังใช้สถานการณ์นี้เพื่อทดสอบ ว่าผมมีความเชื่อในพระองค์และอุทิศตนให้พระองค์หรือไม่  ผมจะให้พระเจ้าทรงผิดหวังไม่ได้ แต่ผมต้องพึ่งพิงพระองค์เพื่อที่จะตั้งมั่นในคำพยานและนำความอัปยศมาให้ซาตาน  ผมตกลงใจอย่างเงียบๆ ว่าไม่สำคัญว่าตำรวจพวกนั้นจะทรมานผมอย่างไร ผมก็จะไม่มีวันยอมบอกที่เก็บเงินของคริสตจักรหรือยอมเป็นยูดาส ต่อให้นั่นหมายถึงความตายของผม!  พอผมไม่ปริปากพูดอะไร เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็ตบผมอย่างแรงหลายครั้ง และสั่งให้ผมบอกว่าผู้นำคริสตจักรเป็นใคร  เงินของคริสตจักรถูกเก็บไว้ที่ไหน และคนที่ไปฝากเงินกับผมเป็นใคร  พอผมยังคงไม่ตอบ เขาก็ตบผมอีกหลายครั้ง แล้วพอเขาเริ่มเจ็บมือ เขาก็หยิบรองเท้าของผมขึ้นมา และใช้ส้นรองเท้าฟาดเข้าที่ปากผม  ไม่นานปากของผมก็เริ่มบวม ฟันบางซี่กระเด็นหลุด และมีเลือดไหลออกจากมุมปาก  พวกมันทรมานผมนานชั่วโมงกว่าๆ ก่อนจะหยุดลงในที่สุด  พวกมันเริ่มจับคู่ผลัดเวรกันเฝ้าดูผม บังคับให้ผมยืนอยู่อย่างนั้น โดยไม่อนุญาตให้ผมนอน  ผมยืนแบบนั้นนานสามวันสามคืนรวด  และได้มารู้ภายหลัง ว่านั่นเป็นวิธีทรมานที่เรียกว่า “ทำให้นกอินทรีหมดแรง” ที่พวกตำรวจใช้บ่อยๆ ในการสอบสวน โดยตำรวจบังคับให้ใครบางคนอดหลับอดนอนอย่างต่อเนื่องจนสติแตก แล้วจากนั้นก็สอบสวนพวกเขาในขณะที่พวกเขาคิดอะไรได้ไม่แจ่มชัดนัก  พวกตำรวจใช้กลยุทธ์นี้เพื่อให้ผู้คนทรยศพระเจ้า  ทั้งร่างผมเจ็บปวดจนทนไม่ไหว และผมก็เหนื่อยล้าทั้งกายและใจ  ผมสามารถผล็อยหลับทั้งๆ ที่กำลังยืนอยู่ได้เลย แต่ทันทีที่ผมสัปหงก เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็จะตบผมอย่างชั่วร้ายเลวทราม เตะผมอย่างแรง หรือตะคอกใส่หูผมตรงๆ ทันที จนผมตื่นด้วยความตกใจกลัว  ผมรู้สึกเหมือนหัวใจจะกระดอนออกจากอก  บางครั้งผมก็รู้สึกสติแจ่มชัด บางครั้งผมก็มีสติแจ่มชัดและบางครั้งผมก็รู้สึกมึนงง และผมไม่รู้แล้วว่าอะไรจริงและอะไรคือความฝัน  ผมทุกข์ทรมานมากและรู้สึกเหมือนตัวผมรับไม่ไหวแล้ว และผมกลัวว่าถ้าเป็นอย่างนั้นต่อไป ผมก็คงกลายเป็นคนปัญญาอ่อนหรือคนฟั่นเฟือนไป  ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าในหัวใจ ร่ำร้องขอความเชื่อและความแข็งแกร่งจากพระองค์ เพื่อที่จะตั้งมั่นในคำพยานให้พระองค์

เช้าวันหนึ่ง เจ้าหน้าที่สองคนเข้ามาสอบถามผม  พวกเขาพูดว่า “อย่าคิดว่าแกจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ง่ายๆ ด้วยการไม่พูดอะไรนะ  ในเมื่อแกอยู่ที่นี่ แกก็ต้องตอบคำถามของเรามาให้ชัดๆ! จะบอกความจริงให้เลยนะว่า เราเฝ้าตามแกมาหลายเดือนแล้ว  เราใช้ระบบดาวเทียมระบุตำแหน่งเพื่อหาตัวแก และเรารู้ทุกความเคลื่อนไหวของแก  การบอกให้แกสารภาพก็คือการให้โอกาสแกนะ  แกมีซิมการ์ดอยู่หลายอัน และมีการติดต่อในหลายตำแหน่งที่ตั้ง  แกต้องเป็นผู้นำแน่นอนใช่ไหม?”  จากนั้นพวกมันก็ดึงบันทึกการโทรของผมซึ่งยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรออกมา แล้วให้ผมบอกพวกมันว่า ในแต่ละรายการพูดคุยเรื่องอะไรบ้าง  ผมตกตะลึง—ถ้าตำรวจรู้เรื่องผมมากขนาดนั้นแล้ว และคิดว่าผมเป็นผู้นำ  ใครจะรู้ว่าจากนี้ไปพวกมันจะทรมานผมอย่างไรบ้าง!  ผมไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาสี่ห้าวันแล้ว และรู้สึกว่ารับมากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว  ผมเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ ว่าถ้าเราอดนอนติดต่อกันเจ็ดหรือแปดวัน เราก็อาจจะตายเอาดื้อๆ เลยก็ได้  ผมจึงฉงน ว่าผมจะตายในนั้นไหม หากพวกมันยังให้ผมอดหลับอดนอนแบบนั้น  พอรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมา ผมก็รีบกล่าวอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า เนื้อหนังของข้าพระองค์อ่อนแอและข้าพระองค์กลัวว่าจะไม่สามารถทานทนต่อการทรมานนี้ได้ แต่ข้าพระองค์ไม่ต้องการทรยศพระองค์หรือขายพี่น้องชายหญิงของตนเอง  ได้โปรดทรงมอบความเชื่อแลความแข็งแกร่งให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด”  หลังคำอธิษฐาน พระวจนะของพระเจ้าก็ผุดขึ้นในใจผมว่า “ความเชื่อเป็นเหมือนสะพานไม้ซุงต้นเดียว กล่าวคือ พวกที่ยึดติดอยู่กับชีวิตอย่างยอมจำนนจะประสบความลำบากยากเย็นในการข้ามสะพานนั้นไป แต่บรรดาผู้ที่พร้อมจะพลีอุทิศตัวพวกเขาเองจะสามารถข้ามไปได้ด้วยเท้าที่มั่นคงและปราศจากความกังวล  หากว่ามนุษย์เก็บงำความคิดที่ขลาดอายและเกรงกลัว นั่นก็เป็นเพราะซาตานได้หลอกพวกเขา ด้วยกลัวว่าพวกเราจะข้ามสะพานแห่งความเชื่อเพื่อเข้าสู่พระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6)  พระวจนะของพระองค์ปลุกให้ผมตื่น ชีวิตและความตายของผมอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ผมตาย ซาตานก็ทำอะไรผมไม่ได้  ผมขาดความเชื่อในพระเจ้า ผมขี้ขลาดและอ่อนแอเพราะผมยึดเกาะชีวิตจนน่าสังเวช  ความคิดนี้ทำให้ใจผมสงบลงไปหน่อย และไม่รู้สึกกลัวมากนัก  พอเห็นว่าผมยังปิดปากเงียบ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็ต่อยเข้าที่ศีรษะผม  ผมเห็นดาวและชาไปหมดทั้งร่างราวกับโดนไฟฟ้าช็อต  ผมแทบล้มทั้งยืน  เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งเอาที่แขวนเสื้อคลุมซึ่งทำจากไม้มาดันคางผมขึ้นอย่างแรง  ผมเจ็บปวดจนเกินทน ผมถามพวกมันไปว่า “การที่ผมเชื่อพระเจ้าผิดกฎหมายข้อไหนหรือ?  รัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดเจนว่าประชาชนมีเสรีภาพในการเชื่อ  พวกคุณใช้หลักเกณฑ์อะไรมาซ้อมผมจนปางตายแบบนี้?  ประเทศนี้มีกฎหมายบ้างไหม?”  พวกมันคนหนึ่งพูดว่า “กฎหมายในประเทศนี้เหรอ?  กฎหมายคืออะไร?  ก็คือพรรคคอมมิวนิสต์ไง!  ตอนนี้แกอยู่ในเงื้อมมือเรา ถ้าไม่บอกสิ่งที่เราอยากรู้ ก็อย่าคิดจะมีชีวิตกลับออกไปเลย”  พอเห็นว่าพวกมันอำมหิตและไร้ยางอายแค่ไหน ผมก็รู้สึกพะอืดพะอมและเดือดดาล และไม่ตอบรับอะไรพวกมันอีก

วันหนึ่ง เจ้าหน้าที่สองคนพูดขู่เข็ญผมว่า “เรามีวิธีทำให้แกเปิดปากนะ อยู่ที่ว่าเมื่อไรเท่านั้นเอง  แกไม่ยอมพูดก็มีแต่จะทุกข์ทรมานมากขึ้น  แกเป็นอินทรีที่ทรหดนักใช่ไหม?  แกรู้ไหมว่าเขาทำให้อินทรีหมดแรงกันยังไง?  แกต้องมีความอดทน แต่พอเวลามาถึง อินทรีตัวนั้นจะเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทเลยละ…”  ถึงตอนนั้น ผมได้ถูกทรมานจนถึงจุดที่ผมไม่ค่อยมีสติแจ่มชัดสักเท่าไรแล้ว และผมไม่รู้ว่าผมจะทนต่อไปได้อีกสักกี่วัน  ผมทำได้เพียงพยายามบังคับตัวเองให้ตื่นตัวและพยายามมีสติเอาไว้ให้ได้มากที่สุด  ผมเฝ้าอธิษฐานและร้องหาพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ผมนึกถึงพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าที่ว่า “งานของเราท่ามกลางกลุ่มผู้คนของยุคสุดท้ายเป็นวิสาหกิจที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และด้วยเหตุนั้น ผู้คนทั้งหมดต้องทนทุกข์กับความยากลำบากสุดท้ายเพื่อเรา เพื่อที่สง่าราศีของเราอาจเติมเอกภพจนเต็ม  เจ้าเข้าใจเจตนารมณ์ของเราไหม?  นี่เป็นความประสงค์สุดท้ายที่เรามีต่อมนุษย์ กล่าวคือเราหวังว่าผู้คนทั้งหมดสามารถกล่าวคำพยานที่กึกก้องแข็งแกร่งต่อเราเบื้องหน้าพญานาคใหญ่สีแดง ว่าพวกเขาสามารถมอบถวายตัวพวกเขาเองเพื่อเราเป็นครั้งสุดท้าย และทำให้ข้อกำหนดของเราลุล่วงเป็นคราวสุดท้าย  พวกเจ้าสามารถทำการนี้ได้อย่างแท้จริงหรือ?  เจ้าไม่ได้สามารถที่จะทำให้สมดังหัวใจเราในอดีต—เจ้าจะสามารถทำลายแบบแผนนี้ในคราวสุดท้ายได้หรือ?  เราให้โอกาสผู้คนที่จะไตร่ตรอง เราปล่อยให้พวกเขาใคร่ครวญอย่างรอบคอบระมัดระวังก่อนที่จะให้คำตอบกับเราในที่สุด—มันผิดหรือที่ทำการนี้?  เรารอคอยการขานรับของมนุษย์ เรารอคอย ‘จดหมายตอบกลับ’ ของเขา—พวกเจ้ามีความเชื่อที่จะทำให้ข้อกำหนดของเราลุล่วงหรือไม่?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 34)  พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ผมเข้าใจว่าพระองค์กำลังทรงอนุญาตให้พญานาคใหญ่สีแดงจับกุมและข่มเหงผมเพื่อทำให้ความเชื่อและการอุทิศตนของผมเพียบพร้อม  พระองค์กำลังประทานโอกาสให้ผมตั้งมั่นในคำพยานที่ผมมีให้พระองค์ต่อหน้าซาตานด้วย  พระเจ้ากำลังทรงพินิจพิเคราะห์ทุกคำพูดและทุกการกระทำของผม  ผมต้องพึ่งพิงพระเจ้าและตั้งมั่น  ความคิดนี้ทำให้ความเชื่อและความแข็งแกร่งของผมฟื้นคืนมา และผมรู้สึกมีสติแจ่มชัดขึ้นมาก ไม่ง่วงนอนเท่าเดิม และมีกำลังวังชามากขึ้น  เจ้าหน้าที่สองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดคุยกันว่า “ไอ้หมอนี้มันเจ๋งว่ะ ขนาดไม่ได้นอนมาตั้งหลายวันก็ยังมีกำลังวังชาเหลืออีกเยอะเลย แต่พวกเราสิบกว่าคนน่ะหมดแรงแล้ว”  ผมรู้ว่าทั้งหมดนั้นคือพระกรุณาและการทรงคุ้มครองที่พระเจ้าทรงมีต่อผม ผมจึงขอบคุณพระเจ้าจากหัวใจ

หลังจากนั้น พวกนั้นก็บังคับให้ผมยืนในท่าย่อเข่า  หลังจากที่ไม่ได้นอนและแทบไม่ได้กินอาหารอะไรเลยมาเจ็ดวันเจ็ดคืน ผมจะหาเรี่ยวแรงจากที่ไหนมายืนในท่านั้น?  ผมอยู่ในท่านั้นได้ไม่นานก็ร่วงลงกับพื้น  พวกมันฉุดผมลุกขึ้นมายืนในท่าที่ย่อเข่ามากขึ้นไปอีก  เพราะไม่เหลือเรี่ยวแรงจริงๆ ผมจึงร่วงลงไปเป็นครั้งที่สอง แล้วหลังจากนั้นก็ทำท่านั้นไม่ได้อีกแล้ว  พวกนั้นก็เลยสั่งให้ผมคุกเข่าหันหน้าเข้าหาพวกมัน  ผมสติแตกและคิดกับตัวเองว่า “ฉันคุกเข้าเพื่อนมัสการพระเจ้าเท่านั้น ฉันจะไม่คุกเข่าต่อหน้าปีศาจอย่างพวกแกแน่”  พอผมปฏิเสธหัวชนฝา พวกมันสองคนก็คว้าแขนผมอย่างเดือดดาลและเตะน่องผมทั้งสองข้างเพื่อบังคับให้ผมอยู่ในท่าคุกเข่า  แต่ผมก็ยังไม่ยอมอยู่ในท่าคุกเข่า พวกมันก็เลยเหยียบน่องผมกดลงอย่างแรง  ผมเจ็บปวดมากจนเหงื่อแตกโซมตัว  รู้สึกเหมือนตายไปยังจะดีเสียกว่า  พวกมันทรมานผมแบบนั้นอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมง จนน่องผมบวมช้ำ และผมก็เดินกะเผลกไปอีกนานหลังจากนั้น

จนเข้าวันที่แปดแล้ว พวกนั้นก็ยังไม่ปล่อยให้ผมได้หลับได้นอน  ผมรู้สึกพร่าเลือน มีไข้สูง หูก็อื้อไปหมด  ผมฟังอะไรได้ไม่ชัดและเห็นภาพซ้อน—ถ้าไม่ถูกซ้อมแม้แต่นาทีเดียว ผมก็คงจะเป็นลมไปเลย  ข้างนอกยังมีหิมะตกอยู่ แต่ตำรวจประคองผมเข้าไปในห้องน้ำ แล้วสาดน้ำเย็นจัดจนแสบผิวลงบนหัวผม  ทันทีที่พวกมันปล่อยมือ ผมก็ทรุดลงไปกองกับพื้น  ชั่วขณะหนึ่งสติผมแจ่มชัด และอีกอึดใจต่อมาผมก็สับสน  สติผมใกล้แตกเต็มที่และร่างกายก็ถึงขีดจำกัดแล้วเช่นกัน  ความคิดที่ว่าผมไม่รู้เลยว่าวันคืนอันน่าสะพรึงกลัวเหล่านั้นจะจบลงเมื่อไรทำให้จิตวิญญาณผมอ่อนแอลง จนผมไม่อยากกินด้วยซ้ำ

ค่ำวันที่เก้า ใครคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนเป็นผู้นำอะไรสักอย่างก็เข้ามา  เขาชี้ไปที่เตียงตัวหนึ่งและพูดว่า “ทั้งหมดที่คุณต้องทำมีแค่บอกผมว่าเงินนั่นมาจากไหน ผู้ชายคนที่ไปฝากเงินกับคุณอยู่ที่ไหน และผู้นำคือใคร ผมพูดคำเดียวคุณก็จะได้อาบน้ำเข้านอน แล้วเราก็จะปล่อยคุณกลับบ้าน”  ร่างกายผมเหนื่อยล้าจนถึงขีดจำกัด และผมก็ร่วงลงกับพื้นมาหลายครั้งแล้ว  ผมรู้สึกเหมือนถ้าไม่ได้นอนก็อาจจะตายได้ทุกเมื่อ  ผมคิดกับตัวเองว่า “บางทีฉันอาจจะพูดอะไรที่ไม่สำคัญนักได้?  ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ถึงฉันจะไม่ถูกซ้อมจนตาย ฉันก็คงหมดแรงหรืออดนอนจนตายแน่!”  แต่แล้วผมก็ตระหนักได้ทันทีว่านั่นจะทำให้ผมเป็นยูดาส  ผมรีบกล่าวอธิษฐานในใจว่า “พระเจ้า!  ข้าพระองค์ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ขอทรงมอบความเชื่อและความแข็งแกร่งให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด  ข้าพระองค์อยากตั้งมั่นในคำพยานของตนและทำให้ซาตานอับอาย”  ในขณะที่อธิษฐาน ผมก็นึกถึงพระวจนะบางตอนของพระเจ้าที่ว่า “ในระหว่างวันสุดท้ายเหล่านี้พวกเจ้าต้องเป็นคำพยานต่อพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด เจ้าควรต้องเดินไปจนถึงวาระสิ้นสุด และแม้กระทั่งถึงลมหายใจสุดท้ายของพวกเจ้า พวกเจ้ายังคงต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และการนี้เท่านั้นคือคำพยานที่หนักแน่นและดังกึกก้อง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น)  พระวจนะของพระเจ้าเตือนใจผมว่า เป็นเวลานี้นี่เองที่ผมจำเป็นต้องตั้งมั่นในคำพยานที่ผมมีให้พระองค์ และการนี้พึงต้องสามารถที่จะทนทุกข์และแสดงให้เห็นถึงการอุทิศตนให้พระองค์ได้  แต่ผมไม่ได้ต้องการทนทุกข์ และผมถึงกับคิดจะขายผลประโยชน์ของคริสตจักรเพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง  ผมช่างเห็นแก่ตัวและสามานย์นัก—นั่นเป็นการมีสภาวะความเป็นมนุษย์ได้อย่างไร?  นั่นเป็นคำพยานได้อย่างไร?  ความคิดนี้ทำให้ความเชื่อและความเข้มแข็งของผมกลับคืนมา  ผมรู้ว่าต่อให้นั่นหมายถึงการยอมสละชีวิต ผมก็ต้องตั้งมั่นในคำพยานของตนและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  และดังนั้น ผมจึงปิดปากเงียบต่อไป  พอเห็นแบบนี้ ชายคนที่ดูท่าจะเป็นผู้นำนั่นพูดกับพวกเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าดูผมว่า “จับตาดูเขาไว้ ห้ามเขาหลับจนกว่าเขาจะพูด”  แล้วเขาก็หันหลังเดินออกไป

บ่ายวันที่สิบ ตำรวจพวกนั้นจับกุมพี่น้องหญิงมาหลายคน  พวกมันต้องการแยกสอบสวนพวกเธอ และเพราะพวกมันมีคนไม่พอจะเฝ้าดูผม คืนนั้นผมจึงได้นอนในที่สุด  เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้กองแซ่ไช่พูดว่า “เราไปบ้านคุณมา แม่ของคุณแก่แล้ว สุขภาพก็ไม่ดี แถมเธอยังต้องคอยดูแลลูกสองคนของคุณ  ชีวิตของพวกเขายากลำบากมาก  เมียคุณไม่อยู่บ้าน ลูกก็ยังเล็ก พวกเขาต้องการให้พ่อแม่ดูแลและคิดถึงคุณมาก  ครอบครัวของคุณลำบากจริงๆ  เราคิดว่าจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง ควรรับไว้จะดีกว่านะ  เมื่อวานเราได้ตัวมาอีกสองสามคน ดังนั้นแค่บอกผมว่าพวกเขาคนไหนคือผู้นำ ใครเก็บเงินเอาไว้และพักอยู่ที่ไหน แล้วผมจะปล่อยคุณทันที  คุณจะได้กลับบ้านไปเจอครอบครัว แล้วเราก็ช่วยหางานดีๆ ในพื้นที่นั้นให้คุณ ให้คุณดูแลพวกเขาได้”  พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น ผมก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ผมอยู่ในความเจ็บปวด รู้สึกอ่อนแอ  แม่ของผมกับลูกๆ กำลังเป็นทุกข์ แต่ผมกลับไม่มีทางช่วยพวกเขาได้เลย  ผมรู้สึกเหมือนว่าผมกำลังทำให้พวกเขาผิดหวังจริงๆ  ตอนนั้นเองที่ผมตระหนักว่าผมอยู่ในสภาวะที่ผิด ผมจึงรีบอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำและทรงเฝ้าดูหัวใจผม  ผมนึกถึงพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าที่ว่า  “ในทุกเวลา ประชากรของเราควรเตรียมพร้อมต่อต้านกลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน พิทักษ์ประตูบ้านของเราเพื่อเรา… เพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในกับดักของซาตาน ซึ่งในเวลานั้นก็คงจะสายเกินกว่าจะเสียใจ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 3)  พระวจนะของพระเจ้าเตือนใจผมอีกครั้งว่า นี่คือหนึ่งในการทดลองของซาตาน  ซาตานกำลังใช้เสน่หาของผมเพื่อทดลองผมให้ทรยศพระเจ้าและขายพี่น้องชายหญิง พวกตำรวจจะได้ขโมยเงินของคริสตจักรและทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้  ผมจะหลงกลซาตานไม่ได้ และผมจะไม่มีทางขายพวกเขา และมีชีวิตยืดเยื้อต่อไปอย่างอัปยศอดสู  หลังจากนี้ไม่นาน พวกเขาก็พาตัวพี่น้องหญิงเข้ามาทีละคนเพื่อให้ผมชี้ตัวพวกเธอ พวกนั้นให้พวกเธอหมุนตัวอย่างช้าๆ เพื่อให้ผมเห็นพวกเธอได้ชัดเจน  จากหางตาของผม ผมเห็นได้ว่ามีเจ้าหน้าที่สามคนคอยเฝ้าสังเกตสีหน้าของผม ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงเฝ้าดูไม่ให้ผมทรยศพวกเธอ  ผมรู้สึกสงบมาก และผมมองแต่ละคนด้วยสีหน้าที่เฉยเมยและส่ายหัวเบาๆ  ผู้กองไช่ตบผมด้วยความเดือดดาลและตะคอกว่า “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกไม่รู้จักพวกมันเลยสักคน แกเจอปราบพยศอินทรีอีกสักสิบวันดีไหม มาดูกันว่าแกจะทำตัวว่าง่ายหรือเปล่า?”  แล้วพวกมันก็กระหน่ำถามผมเรื่องเงินของคริสตจักรเก็บอยู่ที่ไหน และผู้นำคือใคร  ผมไม่พูด พวกมันจึงทรมานผมต่อไปทั้งวันทั้งคืน ไม่ให้ผมได้นอนสักนิดเดียว  พวกมันคนหนึ่งจะตบผม เตะน่องผม จิกผมกลางกระหม่อมผมแรงมาก หรือเอาสองมือป้องหูผมแล้วตะโกนใส่เวลาผมผล็อยหลับ  พวกมันจะระเบิดเสียงหัวเราะทุกครั้งที่เห็นสีหน้าหวาดกลัวและเจ็บปวดของผมตอนผวาตื่น  ผมทุกข์ทรมาน และไม่รู้ว่าจะทนการตายทั้งเป็นนั้นไปได้อีกนานแค่ไหน  โดยเฉพาะเมื่อผมนึกถึงที่พวกตำรวจพูดว่า ไม่มีการจำกัดเวลาของการ “ทำให้นกอินทรีหมดแรง” และพูดว่ามันจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นสารภาพ ผมก็ยิ่งอ่อนแอลงไปอีก

พอถึงวันที่ยี่สิบที่ผมถูกทรมาน ผมเห็นเลยว่าไม่มีสัญญาณว่าพวกตำรวจจะหยุด แต่ตัวผมนั้นได้มาถึงขีดจำกัดทางกายแล้ว  ทุกครั้งที่ผมร่วงลงกับพื้น ผมไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกกลับขึ้นมาหรือแม้แต่ลืมตาขึ้นด้วยซ้ำ  การตื่นรู้ของผมพร่าเลือนลงทุกที แม้แต่การหายใจก็ยังลำบากยากเย็น  ผมรู้สึกเหมือนผมอาจตายได้ทุกขณะ และผมก็หวาดกลัวมากจริงๆ  ผมได้ยินเจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะโกนว่า “ถึงเราจะซ้อมไอ้อึดอย่างแกจนตายก็ไม่เป็นไรเลย!  เราเอาแกไปฝังที่ไหนก็ได้ และจะไม่มีใครมีวันรู้หรอก”  พอผมได้ยินแบบนั้น ผมก็ใจสลายโดยสิ้นเชิง  ถ้าผมถูกซ้อมจนตาย แม่ ภรรยา และลูกๆ ของผมจะทำอย่างไร?  แม่ผมชราภาพแล้ว และแม่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและความดันโลหิตสูง  ชีวิตแม่จะไม่จบสิ้นหรอกหรือหากผมตายไป?  แล้วภรรยาของผมจะเจ็บปวดแค่ไหน?  ลูกๆ ของผมยังเล็กมาก—พวกเขาจะใช้ชีวิตกันอย่างไร?  ผมไม่กล้าพอคิดเรื่องนั้นต่อ  ผมรู้สึกมีบางอย่างจุกอยู่ในลำคอแล้วน้ำตาผมก็ทะลักพรูนองใบหน้า  จังหวะที่ความเจ็บปวดและอ่อนแอของผมไปถึงจุดหนึ่งนั่นเอง ผมก็ได้ยินเจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดว่า “แค่บอกเราว่าที่ผ่านมาแกพักที่ไหน แล้วเราก็จะปิดคดีนี้เสียที!  ไม่อย่างนั้น เราก็ปิดคดีไม่ได้  เราไม่อยากอยู่จนดึกดื่นแล้วทนทุกข์ไปกับแกอยู่ที่นี่ทุกวันหรอกนะ”  ผมคิดกับตัวเองว่า “ถ้าคืนนี้ฉันไม่บอกอะไรพวกมัน ฉันไม่คิดว่าฉันจะผ่านคืนนี้ไปได้เลยจริงๆ  บางทีฉันอาจจะพูดบางอย่างที่ไม่ส่งผลสืบเนื่องตามมาได้  พี่สาวที่เป็นเจ้าบ้านต้อนรับฉันก็เป็นแค่ผู้เชื่อทั่วไปและรู้ข้อมูลของคริสตจักรน้อยมาก  การยอมรับว่าฉันพักที่บ้านเธอไม่น่าจะทำอันตรายจริงจังอะไรต่อคริสตจักร  นอกจากนั้น นั่นก็ 20 วันแล้วนับตั้งแต่ฉันถูกจับกุมมา ดังนั้นหนังสือพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดในบ้านเธอก็คงถูกเคลื่อนย้ายออกไปแล้ว  ถ้าพวกมันหาหลักฐานเรื่องที่เธอมีความเชื่อไม่ได้  พวกมันก็คงไม่ทำอะไรกับหญิงชราคนหนึ่งหรอกใช่ไหม?”  ผมไม่ได้อธิษฐานต่อพระเจ้าหลังฉุกคิดได้ในเรื่องนี้  จากนั้นพอตำรวจให้ผมดูภาพร่างพื้นที่โดยรอบของบ้านพี่น้องหญิงซึ่งเป็นเจ้าบ้านต้อนรับผม ผมก็บอกพวกนั้นไปว่าหลังไหน  ทันทีที่คำพูดหลุดจากปากผมไป ผมก็กลับมีสติแจ่มชัด ตื่นขึ้นมาทันที และพลันรู้สึกถึงความมืดมิดที่แท้จริงในหัวใจของผม  ผมรู้ตัวว่าได้กลายเป็นยูดาสและล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ผมหวาดกลัวและอึ้งทำอะไรไม่ถูก ร้าวรานด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจ  ผมกลายเป็นยูดาสและขายพี่น้องหญิงคนนั้นได้อย่างไร?  แล้วตำรวจคนหนึ่งก็ถามว่า “เงินเก็บอยู่ในบ้านหลังไหน?  ผู้นำคือใคร?  หนังสือพระวจนะของพระเจ้าถูกพิมพ์ที่ไหน?”  พอผมไม่บอกอะไรอีก พวกมันคนหนึ่งก็เตะผม  แต่ ณ จุดนั้น ความเจ็บปวดทางกายไม่สำคัญอะไรเลย  ความเจ็บปวดในใจผมนั้นย่ำแย่กว่าความเจ็บปวดในร่างกายผมเป็นร้อยเท่า  ราวกับผมถูกแทงทะลุหัวใจ และผมปรารถนาแทบขาดใจให้ตัวเองสามารถย้อนเวลากลับไปถอนคำพูดในสิ่งที่ผมเพิ่งพูดไปได้ แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว  ผมรู้สึกเหมือนเพิ่งสูญเสียดวงจิตไปและไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ออกมาเลย  พอพวกมันเห็นว่าคงไม่ได้ข้อมูลอะไรจากผมอีก พวกมันจึงย้ายผมไปไว้ที่สถานกักกัน

ในสถานกักกัน เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ให้ผมเปลือยกายต่อหน้าทุกคนเพื่อตรวจร่างกายและถ่ายรูปผม  ผมไม่ได้ล้างหน้าหรือแปรงฟันเลยมา 20 วันแล้ว ตัวผมจึงเหม็นสาบสิ้นดี  และในสภาพอากาศฤดูหนาวซึ่งอยู่ที่ประมาณลบ 10 องศาเซลเซียส พวกนั้นไม่ให้น้ำอุ่นกับผม ยอมให้ผมล้างตัวด้วยน้ำเย็นจัดเท่านั้น  เนื่องจากผมหมดสิ้นเรี่ยวแรงจนถึงจุดที่ทรุดลงไปกอง และไม่มีแรงแม้แต่จะพูดด้วยซ้ำ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เตะหน้าอกผมอย่างแรงเมื่อเขาคิดว่าผมขานรับเสียงเบาเกินไประหว่างการขานชื่อ  มันเจ็บมากเสียจนทำให้รู้สึกเหมือนอวัยวะภายในผมโยกคลอนไปหมด จนผมต้องใช้เวลาสักพักจึงคว้าลมหายใจได้อีกครั้ง  พวกนั้นยังให้ผมท่องกฎของสถานกักกันนั้นด้วย และพอผมท่องได้ไม่ถูกต้อง ผมก็ต้องถูกทำโทษให้ไปถูพื้นและทำความสะอาดห้องส้วม  มือของผมเต็มไปด้วยแผลแตกซึ่งมีเลือดออกง่ายมาก และทุกคืนผมก็ต้องลุกจากเตียงมายืนเฝ้ายามนานสองชั่วโมง  ผมสามารถทนรับความเจ็บปวดทางกายทั้งหมดนั้นได้ แต่ตั้งแต่ผมขายพี่น้องหญิงคนนั้นไป ผมก็ถูกความรู้สึกผิดรุมเร้าทุกวัน รู้สึกว่าผมติดหนี้พระเจ้าและติดหนี้เธอ  ผมยกโทษให้ตัวเองไม่ได้เลย  เธอไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองเลยในการที่จะรับผมเข้าบ้าน แต่ผมกลับขายเธอเพื่อปกป้องตัวเอง  ผมไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์อันใดเลย!  พระวจะเหล่านี้ของพระเจ้าสะเทือนใจผมมากเป็นพิเศษ “กับบรรดาผู้ที่ไม่ได้แสดงให้เราเห็นความจงรักภักดีแม้แต่น้อยในระหว่างช่วงเวลาของความทุกข์ลำบาก เราจะไม่ปรานีอีกต่อไป เพราะความปรานีของเราขยายเวลามาเพียงถึงตอนนี้เท่านั้น  ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่มีความชอบให้กับใครก็ตามที่ครั้งหนึ่งเคยทรยศเรา นับประสาอะไรที่เราจะชอบเชื่อมสัมพันธ์กับบรรดาผู้ที่ขายผลประโยชน์ของผองเพื่อนของตน นี่คืออุปนิสัยของเรา  ไม่ว่าบุคคลคนนั้นอาจเป็นใครก็ตาม เราจำต้องบอกเรื่องนี้กับพวกเจ้าว่า ใครก็ตามที่ทำให้เราเสียใจจะไม่ได้รับความเมตตาผ่อนผันจากเราเป็นครั้งที่สอง และใครก็ตามที่สัตย์ซื่อต่อเราตลอดมาจะยังคงอยู่ในหัวใจของเราตลอดกาล(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า)  พระวจนะของพระเจ้าเหมือนมีดกรีดแทงหัวใจ และทำให้มโนธรรมของผมรู้สึกถูกกล่าวหายิ่งขึ้นไปอีก เหมือนผมไม่มีศักดิ์ศรีที่จะสู้หน้าพระเจ้า  ผมรู้ดีว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์และชอบธรรม และไม่ทนต่อการล่วงเกินของมนุษย์ ว่าพระองค์ทรงดูหมิ่นพวกที่สละพี่น้องเพื่อปกป้องตัวเอง และผู้ที่ต้องการรักษาตัวเองให้รอดจากอันตรายเท่านั้น  ผมได้ขายเธอ กลายเป็นยูดาสที่น่าอับอาย  นั่นเจ็บปวดอย่างเหลือเชื่อสำหรับพระเจ้า และน่าสะอิดสะเอียนสำหรับพระองค์อย่างสิ้นเชิง  พอคิดถึงเรื่องนี้ก็เหมือนหัวใจของผมถูกฉีกเป็นชิ้นๆ และผมนอนไม่หลับทั้งคืน  ผมจมปลักอยู่ในความเจ็บปวดและรู้สึกผิด

ผู้กองไช่มาที่สถานกักกันอีกสองครั้งเพื่อสอบปากคำผม ว่าเงินของคริสตจักรอยู่ที่ไหน และผมได้แบ่งปันข่าวประเสริฐไปกับใคร  มีครั้งหนึ่ง เขานำรูปถ่ายของพี่น้องหญิงสองคนมาให้ผมชี้ตัว และเตือนผมว่าถ้าผมไม่บอกความจริง เขาจะส่งผมเข้าคุกแน่นอน  ก่อนหน้านั้น ผมเพียงแค่ต้องการเอาชีวิตรอด ผมจึงขายพี่น้องหญิงคนนั้นและสร้างบาดแผลให้พระทัยของพระเจ้าจริงๆ  การถูกลงโทษและส่งลงนรกก็ยังจะไม่มากเกินไป  ครั้งนี้ ต่อให้ผมได้รับโทษตัดสินประหารชีวิต ต่อให้ผมตาย ผมก็จะไม่มีวันเปิดปากบอกข้อมูลอะไรอีก  ผมจึงพูดไปอย่างไม่ลังเลว่า “ผมไม่รู้จักพวกเธอ!”  จากนั้นผู้กองไช่ก็พูดเน้นว่า “ดูให้ดี!  คิดก่อนแล้วค่อยตอบ”  ผมทวนคำอย่างเฉียบขาดว่า “ผมไม่รู้จักพวกเธอ!”  พอเห็นความหนักแน่นของผม เจ้าหน้าที่อีกคนก็ตบผมอย่างแรงสองครั้ง จนหน้าของผมปวดแสบปวดร้อนไปหมด  แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกมีสันติสุขโดยสมบูรณ์

ต่อมา  ผมได้ทบทวนถึงเหตุผลที่ผมล้มเหลว  ส่วนหนึ่งในนั้นเป็นเพราะผมหลงติดอยู่กับเสน่หาของตัวเองมากเกินไป ดังนั้นพอพวกตำรวจทรมานผมและขู่เอาชีวิตผม ผมจึงปล่อยวางแม่ ลูกๆ หรือภรรยาของผมไม่ได้ ด้วยกลัวว่าถ้าผมตาย พวกเขาจะไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้ ไม่สามารถทนรับเรื่องเลวร้ายนั้นได้  ผมทรยศพระเจ้าและขายพี่น้องหญิงคนนั้นเพราะตัวเองใส่ใจไยดีในเนื้อหนัง กลายเป็นยูดาสผู้คิดคดทรยศและน่าอับอาย  ผมไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์เลยจริงๆ!  ตามที่เป็นจริงนั้น ชะตากรรมของครอบครัวผมทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และพวกเขาจะทนทุกข์กับการทรมานและความเจ็บปวดในชีวิตมากมายขนาดไหนก็ถูกพระเจ้าทรงกำหนดพิจารณาไว้แล้ว  ต่อให้ผมไม่ตายและผมอาจอยู่เคียงข้างพวกเขาได้ ผมก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเรื่องที่พวกเขาไม่แคล้วต้องทนทุกข์มากแค่ไหนได้  ผมยังมองไม่เห็นสิ่งนี้ แต่กลับถูกความรู้สึกของตัวเองเหนี่ยวรั้งไว้  นี่ช่างโง่เขลาจริงๆ  อีกแง่มุมหนึ่งของเรื่องนี้ก็คือ ผมไม่ได้เข้าใจโดยครบถ้วนถึงนัยสำคัญของความตาย  ผมไม่อาจทนที่จะถูกพรากชีวิตไป ซึ่งแปลว่าผมไม่มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงเลยสักนิดเดียว  พอถึงวันที่ยี่สิบของการทรมานให้หมดเรี่ยวแรง สติ รู้ตัวของผมมืดมัวลงทุกที ผมกระเสือกกระสนที่จะหายใจ และผมรู้สึกเหมือนอาจตายได้ทุกขณะ  ผมตกใจกลัวมากจริงๆ กลัวว่าเวลาของผมได้มาถึงแล้ว  ผมนึกถึงธรรมิกชนทุกคนตลอดหลายยุค ซึ่งทำงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐขององค์พระผู้เป็นเจ้า  บางคนถูกขว้างด้วยหินจนตาย บางคนถูกตัดหัว และบางคนถูกตรึงกางเขน  พวกเขาทุกคนถูกข่มเหงเพื่อประโยชน์แห่งความชอบธรรม และความตายของพวกเขาต่างก็เป็นคำพยานแห่งชัยชนะเหนือซาตาน แห่งการหลู่เกียรติซาตาน และได้รับการรำลึกเป็นอนุสรณ์จากพระเจ้า  แม้พวกเขาจะตายในเนื้อหนัง แต่ดวงจิตของพวกเขาอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  ผมนึกถึงคำตรัสขององค์พระเยซูเจ้าที่ว่า “ใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด(มัทธิว 16:25)  ผมถูกจับกุมและทรมานเพราะความเชื่อของผม  นี่คือการทนทุกข์กับการถูกข่มเหงเพื่อเหตุอันชอบธรรม  ถ้าตำรวจพวกนั้นซ้อมผมจนพิการหรือตายจริงๆ นั่นก็คงจะเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นสง่าราศี  การคิดทบทวนเรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจจริงๆ และผมตั้งใจแน่วแน่ว่า ไม่สำคัญว่าหลังจากนั้นผมจะทุกข์ทนเพียงใด ต่อให้ผมจำเป็นต้องมอบชีวิต ผมก็จะตั้งมั่นในคำพยานที่ผมมีให้พระเจ้า ชดใช้ให้กับการฝ่าฝืนที่ผ่านมาของผม และไม่ดำรงชีวิตอยู่ในความเสื่อมเสียเช่นนี้ต่อไปอย่างแน่นอน

แล้วปลายเดือนมกราคม ค.ศ. 2003 ก็มาถึง เป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้วนับตั้งแต่ผมถูกจับกุม  น้ำหนักผมลดลงไปกว่า 13 กิโลกรัม และเวลาที่พวกนั้นปล่อยผู้ต้องขังออกไปสูดอากาศภายนอก ผมเดินรอบลานกว้างได้แค่สองสามรอบเท่านั้นก็เหนื่อยหอบแล้ว  ผมอยู่ในสภาวะที่บอบบางจริงๆ และพวกเจ้าหน้าที่ก็กลัวว่าผมจะตายในความดูแลของพวกเขา สุดท้ายพวกเขาก็เลยตัดสินโทษผมแค่ 18 เดือนซึ่งสามารถรับโทษนอกคุกได้  หลังจากผมได้รับการปล่อยตัว ผมจำเป็นต้องโทรหาสำนักงานความปลอดภัยสาธารณะเดือนละสองครั้ง และรายงานหลักแหล่งของผม และรายงานอุดมคติของผมให้พวกเขารู้ทุกสามเดือน  หลังจากที่ผมกลับถึงบ้าน ญาติมิตรผู้ไม่เชื่อทั้งหมดของผมก็พากันมารุมว่าผม  ผมรู้สึกแย่จริงๆ  ในคุก ผมถูกพญานาคใหญ่สีแดงทรมานจนปางตาย แล้วพอตอนนี้ผมกลับมาบ้าน ผมก็ต้องทนยอมรับความเข้าใจผิดของครอบครัว  ทั้งหมดที่ผมทำได้ก็คือกลืนยาขมนั่นลงไป  ผมค้นพบในภายหลังว่าหลังจากผมถูกจับ พวกตำรวจก็ไปค้นบ้านผมและหลอกลวงครอบครัวผม เล่าเรื่องต่างๆ เช่น ผมมีส่วนร่วมในกิจกรรมหาเงินด้วยการต้มตุ๋น  ผมเดือดดาลเป็นไฟ  ตำรวจพวกนั้นจับกุมและทรมานผม ผลักไสให้ผมเป็นยูดาสและขายพี่น้องหญิงคนหนึ่ง และถึงกับกุคำโกหกเพื่อปลุกปั่นให้เกิดความเดือดร้อนและทำให้ครอบครัวปฏิเสธ ผม  ผมเกลียดปีศาจพรรคคอมมิวนิสต์จีนพวกนั้นด้วยทุกเส้นใยของความเป็นตัวผมเลย!

ไม่นานนักพวกตำรวจก็ตามล่าผมอีกครั้ง ผมจึงต้องหนีหัวซุกหัวซุน  ผมกลายเป็นหนึ่งในผู้ร้ายหลบหนีที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องการตัว  ผมต้องใช้ชื่อปลอมทำงานจิปาถะ พร้อมมีบ้านหลังหนึ่งซึ่งผมไม่มีทางได้กลับไป  ผมยังขาดการติดต่อกับคริสตจักรไปด้วย  การถูกตำรวจไล่ล่า ถูกครอบครัวปฏิเสธ และไม่สามารถแม้แต่จะใช้ชีวิตคริสตจักรเป็นสิ่งที่เจ็บปวดเหลือเกินสำหรับผม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ที่ผมกลายเป็นยูดาสและขายพี่น้องหญิงคนนั้นให้ความรู้สึกเหมือนเป็นรอยตีตราบนหัวใจของผม  ผมรู้สึกอยู่ตลอด ว่าผมได้ทำบาปซึ่งยกโทษให้ไม่ได้ลงไป ว่าเส้นทางแห่งความเชื่อของผมได้มาถึงปลายทางของมันแล้ว และรู้สึกว่าผมไม่มีโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอดอีกต่อไป  ความคิดเหล่านี้ทำให้ผมทุกข์ทรมานและรู้สึกกะปลกกะเปลี้ยสิ้นแรง

ผมกลับมาทำการติดต่อกับคริสตจักรในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2008 และรับหน้าที่อีกครั้ง  หลังจากนั้น ผมก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “แต่ละบุคคลที่ยอมรับการพิชิตจากพระวจนะของพระเจ้าย่อมจะมีโอกาสเกินพอที่จะได้รับความรอด ความรอดของพระเจ้าสำหรับผู้คนเหล่านี้แต่ละคนจะเป็นการให้ความกรุณาอันสูงสุดของพระองค์  กล่าวได้อีกนัยว่า พวกเขาจะมองเห็นการยอมผ่อนปรนอย่างถึงที่สุด  ตราบเท่าที่ผู้คนหันหลังกลับจากเส้นทางที่ผิด และตราบเท่าที่พวกเขาสามารถกลับใจได้ พระเจ้าจะประทานโอกาสให้พวกเขาได้รับความรอดของพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรละมือจากพรเกี่ยวกับสถานะและทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าเรื่องการนำความรอดมาสู่มนุษย์)  “การจัดการของพระเจ้ากับแต่ละบุคคลนั้นอยู่บนพื้นฐานของสถานการณ์จริงของรูปการณ์แวดล้อมและภูมิหลังของบุคคลนั้นในเวลานั้น รวมถึงการกระทำและพฤติกรรมของบุคคลนั้นและแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา  พระเจ้าจะไม่มีทางทรงผิดต่อใคร  นี่คือด้านหนึ่งของความชอบธรรมของพระเจ้า  ยกตัวอย่างเช่น เอวาถูกงูล่อลวงให้กินผลไม้จากต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่ว แต่พระยาห์เวห์ไม่ทรงตำหนิเอวาด้วยการตรัสว่า ‘เราบอกเจ้าแล้วว่าอย่ากิน แล้วทำไมเจ้าถึงทำอยู่ดีเล่า?  เจ้าควรมีวิจารณญาณ เจ้าควรรู้อยู่แล้วว่าเจ้างูนั่นพูดเพียงเพื่อล่อลวงเจ้า’  พระยาห์เวห์มิได้ทรงตำหนิเอวาเช่นนั้น  เพราะมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระเจ้า พระองค์ทรงรู้ว่าสัญชาตญาณของพวกเขาคืออะไร และสัญชาตญาณเหล่านั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง ผู้คนสามารถควบคุมตนเองได้ถึงขอบข่ายใด และผู้คนสามารถไปได้ไกลแค่ไหน  พระเจ้าทรงรู้ทั้งหมดนี้อย่างชัดเจนทีเดียว  การจัดการของพระเจ้าต่อบุคคลคนหนึ่งไม่ได้ง่ายอย่างที่ผู้คนคิดฝัน  เมื่อท่าทีของพระองค์ต่อบุคคลคนหนึ่งคือท่าทีของความเกลียดหรือความรู้สึกรังเกียจ หรือเมื่อเป็นสิ่งที่บุคคลผู้นี้พูดในบริบทที่ได้รับมา พระองค์ทรงมีความเข้าใจอันดีต่อสภาวะของพวกเขา  นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจและแก่นแท้ของมนุษย์  ผู้คนคิดอยู่เสมอว่า ‘พระเจ้าทรงมีเพียงเทวสภาพ  พระองค์ทรงชอบธรรมและไม่ทนการล่วงเกินจากมนุษย์  พระองค์ไม่ทรงคำนึงถึงความลำบากยากเย็นของมนุษย์หรือดำริในมุมของผู้คน  หากบุคคลคนหนึ่งต้านทานพระเจ้า พระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา’  นั่นไม่ใช่วิธีที่สิ่งทั้งหลายเป็นอยู่เลย  หากนั่นคือวิธีที่ใครบางคนเข้าใจความชอบธรรมของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์ และการปฏิบัติต่อผู้คนของพระองค์ พวกเขาเข้าใจผิดมหันต์  การที่พระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของผู้คนแต่ละคนนั้นไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ แต่ยึดตามพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  พระองค์จะทรงตอบแทนบุคคลแต่ละคนตามสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไป  พระเจ้าทรงชอบธรรม และไม่ช้าก็เร็ว พระองค์จะทรงจัดการเรื่องนี้เพื่อให้ผู้คนทั้งหมดเชื่ออย่างทะลุปรุโปร่ง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  การอ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าทำให้ผมสะเทือนใจจนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  ผมเป็นเหมือนเด็กที่ได้กระทำผิดร้ายแรงลงไปและไม่กล้ากลับบ้าน หลังจากร่อนเร่ไปในโลก ในที่สุดก็กลับสู่อ้อมกอดของแม่  ผมรู้สึกได้อย่างแท้จริงถึงความเมตตากรุณาจากแก่นแท้ของพระเจ้า  ผมขายพี่น้องหญิงคนนั้นและทรยศพระเจ้า ผมจึงสมควรถูกลงโทษ แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อผมตามการฝ่าฝืนของผม  พระองค์ทรงมอบโอกาสให้ผมกลับใจ  ผมเห็นได้ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่เพียงมีแค่การพิพากษาและพระพิโรธ แต่ยังมีความกรุณาและความยอมผ่อนปรนด้วย  พระเจ้าทรงมีหลักธรรมอย่างเหลือเชื่อในการทรงปฏิบัติของพระองค์ต่อผู้คน  พระองค์ไม่ได้ทรงตีกรอบจำกัดพวกเขาตามการฝ่าฝืนชั่วครั้งชั่วคราวของพวกเขา แต่ตามธรรมชาติและบริบทของการกระทำของพวกเขา และวุฒิภาวะของพวกเขาในเวลานั้น  หากใครบางคนคิดคดทรยศเนื่องจากความอ่อนแอของมนุษย์ แต่พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธหรือทรยศพระเจ้าจากหัวใจของพวกเขา และหลังจากนั้นพวกเขายังสามารถกลับใจต่อพระเจ้าได้ พระเจ้าก็ยังทรงสามารถยกโทษให้กับพวกเขาและทรงอนุญาตให้พวกเขาได้รับโอกาสอีกครั้ง  ผมเห็นเลยว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าชอบธรรมเพียงใด  พระเจ้าทรงเกลียดชังอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและการทรยศของมวลมนุษย์ แต่พระองค์ยังทรงทำเต็มที่เพื่อช่วยพวกเราให้รอด  นี่ทำให้ผมเต็มล้นไปด้วยความรู้สึกสำนึกบุญคุณต่อพระเจ้าและผมรู้สึกเป็นหนี้พระองค์ยิ่งขึ้นไปอีก  ผมได้ทำร้ายพระเจ้ามามากเกินไปและผมอยากตบตัวเองจริงๆ  ผมตกลงใจแน่วแน่ว่า ไม่ว่าจุดจบของผมจะเป็นอย่างไร ผมก็จะทะนุถนอมโอกาสที่พระเจ้าประทานมาให้นี้ ไว้ราวสมบัติล้ำค่า แสวงหาความจริง และปฏิบัติหน้าที่เพื่อตอบแทนความรักของพระองค์

หลังจากผ่านประสบการณ์กับการทรมานอันโหดเหี้ยมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผมก็ได้เห็นอย่างทะลุปรุโปร่งถึงแก่นแท้เยี่ยงปีศาจและโฉมหน้าชั่วเจ้าของมันที่เกลียดชังและต่อต้านพระเจ้า  ผมจึงเกลียดซาตานเสียยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา!  ผมยังได้รับประสบการณ์ด้วยตัวเองเลย ว่าพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนั้นช่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงและเปี่ยมปัญญามาก  พระองค์ทรงใช้พญานาคใหญ่สีแดงเพื่อทำให้ความเชื่อและการอุทิศตนของผมเพียบพร้อม เปิดโอกาสให้ผมได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับพระอุปนิสัยชอบธรรมของพระเจ้า และได้เห็นสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระวจนะของพระเจ้า  ประสบการณ์ทั้งหมดนี้ได้แสดงให้ผมเห็น ว่าความยากลำบากและบททดสอบคือพระพรของพระเจ้าสำหรับผม และมันยังเป็นความรักและความรอดของพระองค์อีกด้วย!  ไม่ว่าผมอาจจะเผชิญการกดขี่หรือความทุกข์ยากชนิดใดในภายภาคหน้า ผมก็มุ่งมั่นอย่างที่สุดที่จะติดตามพระเจ้าจนถึงปลายทาง!

ก่อนหน้า: 60. การรายงานผู้นำเทียมเท็จ: การดิ้นรนส่วนบุคคล

ถัดไป: 62. การตื่นจากความโอหังของผม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger