สิ่งใดคือการไล่ตามเสาะหาความจริง (8)

ครั้งที่แล้ว เราได้สามัคคีธรรมถึงถ้อยแถลงสี่ข้อของวัฒนธรรมดั้งเดิมด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม  จงบอกเราเถิดว่าถ้อยแถลงเหล่านั้นมีอะไรบ้าง  (“ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับนั้นควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” “จงพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น” “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” และ “ขณะดื่มน้ำในบ่อ คนเราไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาดว่าผู้ใดขุดบ่อน้ำเอาไว้”)  พวกเจ้าเข้าใจชัดเจนหรือไม่ว่าควรชำแหละและเข้าใจสิ่งใดในถ้อยแถลงแต่ละข้อ?  ถ้อยแถลงทุกข้อในวัฒนธรรมดั้งเดิมสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับชีวิตจริงของผู้คนและวิธีที่พวกเขาประพฤติปฏิบัติตน  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้อยแถลงแห่งวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้มีอิทธิพลบางอย่างเหนือชีวิตจริงของผู้คนและหนทางที่พวกเขาประพฤติปฏิบัติตน  หลักการในคำพูด การกระทำและการประพฤติปฏิบัติตนของผู้คนในชีวิตจริงโดยพื้นฐานแล้วได้มาจากถ้อยแถลงและมุมมองเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิม  ชัดเจนว่าอิทธิพลและการพร่ำสอนผู้คนของวัฒนธรรมดั้งเดิมไหลลึกพอสมควร  หลังจากที่เราได้สามัคคีธรรมเสร็จสิ้นในการชุมนุมครั้งก่อน พวกเจ้าได้ใคร่ครวญและสามัคคีธรรมกันเพิ่มเติมบ้างหรือไม่?  (พวกเราได้สามัคคีธรรมและพอจะเข้าใจถ้อยแถลงเรื่องการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้บ้าง พวกเราสามารถปรับเปลี่ยนทัศนะและมุมมองของตนในเรื่องเหล่านี้เล็กน้อย แต่ยังคงไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้)  ส่วนหนึ่งของการสัมฤทธิ์ความเข้าใจอย่างถ่องแท้คือเจ้าต้องทำความเข้าใจตามสิ่งที่เราสามัคคีธรรมเอาไว้ อีกส่วนหนึ่งคือเจ้าต้องทำความเข้าใจตามมุมมองที่เจ้ามีในชีวิตจริง รวมทั้งความคิดและการกระทำที่เกิดขึ้นเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า  ลำพังการฟังคำเทศนาเพียงอย่างเดียวแทบจะไม่เพียงพอ  จุดประสงค์ของการฟังคำเทศนาคือเพื่อให้ตระหนักรู้สิ่งที่เป็นลบในชีวิตจริงได้ สามารถแยกแยะสิ่งที่เป็นลบได้ถูกต้องแม่นยำขึ้น แล้วก็สามารถเข้าใจสิ่งที่เป็นบวกและมีความเข้าใจที่ถ่องแท้ในสิ่งเหล่านั้น เพื่อให้พระวจนะของพระเจ้ากลายเป็นเกณฑ์กำหนดวิธีประพฤติตนและวางตัวในชีวิตจริง  ในแง่หนึ่ง การใช้วิจารณญาณกับสิ่งที่เป็นลบเหล่านี้มีผลเป็นการแก้ไขพฤติกรรมและการวางตัวของผู้คนเท่าที่การใช้วิจารณญาณนั้นจะสามารถแก้ไขแนวคิด มุมมอง และท่าทีผิดๆ ที่ผู้คนมีต่อเหตุการณ์และสิ่งต่างๆ ได้ ยิ่งไปกว่านั้นในบทบาทด้านบวก การใช้วิจารณญาณสามารถทำให้ผู้คนเลือกใช้หนทางและวิธีการที่ถูกต้อง รวมทั้งเลือกใช้หลักธรรมที่ถูกต้องสำหรับการปฏิบัติเมื่อเป็นเรื่องของทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้คนและสิ่งต่างๆ และในการวางตัวและการกระทำของพวกเขาด้วย  นี่คือจุดประสงค์และผลลัพธ์ตามเจตนาของการสามัคคีธรรมและการชำแหละถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้

สองครั้งแล้วที่พวกเราสามัคคีธรรมถึงถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเป็นข้อกำหนดการประพฤติปฏิบัติทางด้านศีลธรรมของผู้คนที่เกิดขึ้นในบริบทขนาดใหญ่ทางสังคม  ในระดับบุคคลนั้น ถ้อยแถลงเหล่านี้สามารถบังคับและควบคุมพฤติกรรมของผู้คนได้ถึงจุดหนึ่ง จากมุมมองที่กว้างขึ้น ถ้อยแถลงเหล่านี้มีเจตนาที่จะสร้างลักษณะร่วมอันดีในสังคม และแน่นอนว่าเพื่อทำให้นักปกครองทั้งหลายสามารถปกครองประชาชนได้ดีขึ้น  หากผู้คนมีแนวคิดของตนเอง สามารถคิดอ่านได้อย่างอิสระ และแสวงหาจนพบมาตรฐานการวางตัวในเชิงศีลธรรมของพวกเขาเอง หรือหากพวกเขาสามารถแสดงความคิดเห็นของตน ดำเนินชีวิตตามแนวคิดของตน วางตัวตามที่พวกเขาเห็นควร และใช้หนทางของพวกเขาเองในการมองสิ่งทั้งหลาย มองผู้คน สังคมของตน และประเทศที่พวกเขาอาศัยอยู่ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีหรือสัญญาณที่ดีสำหรับนักปกครอง เพราะย่อมคุกคามฐานะในการปกครองของพวกเขาโดยตรง  กล่าวสั้นๆ คือ ถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้โดยพื้นฐานแล้วได้รับการเสนอแนะโดยผู้ที่เรียกกันว่านักศีลธรรม นักคิด และนักการศึกษาเพื่อเป็นหนทางในการเอาใจและตามใจนักปกครอง โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถใช้แนวคิดและทฤษฎีเหล่านี้ รวมทั้งความมีหน้ามีตาและเกียรติยศของพวกเขาเอง ในการรับใช้นักปกครอง  โดยพื้นฐานแล้วนี่คือธรรมชาติของถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมทั้งหมดที่พวกเราได้สามัคคีธรรมกันไป จุดประสงค์ของถ้อยแถลงเหล่านี้เป็นเพียงเพื่อจำกัดความคิด การประพฤติปฏิบัติทางด้านศีลธรรม และทัศนะที่ผู้คนมีต่อสิ่งต่างๆ ให้อยู่ในขอบเขตทางศีลธรรมที่ผู้คนคิดว่าดีขึ้น เป็นบวกมากขึ้น และสูงส่งขึ้นเล็กน้อย เพื่อที่จะลดความขัดแย้งระหว่างผู้คน มีความปรองดองในปฏิสัมพันธ์ของพวกเขา และก่อให้เกิดความสงบสุข อันเป็นประโยชน์ต่ออำนาจครอบครองที่นักปกครองมีเหนือผู้คน นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความมั่นคงให้แก่สถานะของชนชั้นปกครองและธำรงรักษาความปรองดองและเสถียรภาพทางสังคมอีกด้วย  ดังนั้น ผู้คนที่พัฒนามาตรฐานการประพฤติปฏิบัติทางด้านศีลธรรมนี้จึงได้ทุกสิ่งที่พวกเขาปรารถนา ซึ่งก็คือการที่ชนชั้นปกครองมองเห็นคุณค่าและมอบหมายตำแหน่งที่สำคัญให้  นี่เป็นเส้นทางอาชีพที่พวกเขาใฝ่ฝันและคาดหวังกันมาก และต่อให้พวกเขาไม่สามารถเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงได้ อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็จะถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคนและได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์  ลองคิดดูเถิด—มีผู้ใดบ้างที่เสนอแนะถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้แล้วไม่ได้รับความเคารพจากสังคมแห่งนี้?  ผู้ใดไม่ได้รับความเลื่อมใสจากเผ่าพันธุ์มนุษย์?  แม้กระทั่งทุกวันนี้ในหมู่ชาวจีน ผู้ที่เรียกกันว่านักคิด นักการศึกษาและนักศีลธรรมเหล่านี้ เช่น ขงจื๊อ เม่งจื๊อ เล่าจื๊อ หานเฟย์จื่อ และคนอื่นๆ ก็ยังเป็นที่นิยมมิเสื่อมคลาย ได้รับการยกย่องอย่างสูง และเป็นที่เคารพ  แน่นอนว่าพวกเราได้ระบุถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมไปไม่กี่ข้อ และตัวอย่างที่ให้ไว้ก็เป็นเพียงบางส่วนของถ้อยแถลงที่ใช้กันมากเท่านั้น  แม้ว่าถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้จะมาจากผู้คนมากมาย แต่แนวคิดและมุมมองที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ที่เรียกกันว่าผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านี้ สอดคล้องกับความต้องการของนักปกครองและชนชั้นปกครองทั้งสิ้น มโนทัศน์ด้านการปกครองและแนวคิดหลักๆ ของพวกเขานั้นล้วนเหมือนกันคือ เพื่อกำหนดบรรทัดฐานทางศีลธรรมบางประการสำหรับการวางตัวและการกระทำให้มนุษย์ปฏิบัติตามเพื่อให้คนเหล่านี้ประพฤติตนดี ทำคุณงามความดีให้แก่สังคมและประเทศของตนโดยดี และใช้ชีวิตอย่างว่าง่ายในหมู่พวกพ้องของตน—โดยพื้นฐานแล้วทั้งหมดก็มีเท่านั้น  ไม่ว่าถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้จะมีที่มาจากราชวงศ์ใดหรือบุคคลใด แนวคิดและมุมมองของพวกเขาก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือเพื่อรับใช้ชนชั้นปกครอง และเพื่อล่อลวงและควบคุมมวลมนุษย์

พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมไปแปดข้อแล้ว  โดยพื้นฐานแล้วธรรมชาติของถ้อยแถลงแปดข้อนี้ก็คือข้อกำหนดให้ผู้คนละทิ้งความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัวและเจตจำนงของตน แล้วรับใช้สังคม เผ่าพันธุ์มนุษย์ และประเทศของตนแทน ตลอดจนสัมฤทธิ์ความไม่เห็นแก่ตัว  ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าจะมีการเสนอแนะถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “จงพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น” “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” และ “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น” ให้แก่กลุ่มใด ทุกข้อล้วนประสงค์ให้ผู้คนยับยั้งชั่งใจ—ยับยั้งความอยากได้อยากมีและการประพฤติปฏิบัติที่ผิดศีลธรรมของตน—และยึดถือมุมมองทางด้านอุดมการณ์และศีลธรรมตามที่นิยมกัน  ไม่ว่าถ้อยแถลงเหล่านี้จะมีอิทธิพลต่อมวลมนุษย์มากเพียงใด และไม่ว่าอิทธิพลนั้นจะเป็นบวกหรือเป็นลบก็ตาม หากจะกล่าวให้กระชับ จุดมุ่งหมายของผู้ที่เรียกกันว่านักศีลธรรมเหล่านี้ก็คือการควบคุมและกำกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คนด้วยการเสนอแนะถ้อยแถลงดังกล่าว เพื่อที่ผู้คนจะได้มีหลักเกณฑ์พื้นฐานว่าพวกเขาควรวางตัวและกระทำการอย่างไร ควรมองผู้คนและสิ่งต่างๆ อย่างไร และควรรับรู้สังคมและประเทศของตนว่าอย่างไร  เมื่อมองในแง่บวก การประดิษฐ์ถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ มีบทบาทในการควบคุมและกำกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษยชาติในระดับหนึ่ง  แต่เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงตามความเป็นจริงแล้ว การประดิษฐ์ถ้อยแถลงดังกล่าวได้ชี้นำให้ผู้คนโอบรับความคิดและมุมมองบางอย่างที่ไม่จริงใจและเสแสร้ง ทำให้ผู้คนที่ได้รับอิทธิพลและการพร่ำสอนจากวัฒนธรรมดั้งเดิมยิ่งยอกย้อนมากขึ้น กลิ้งกลอกมากขึ้น เสแสร้งเก่งขึ้น และยึดถือความคิดอ่านของตนมากขึ้น  เนื่องด้วยอิทธิพลและการพร่ำสอนของวัฒนธรรมดั้งเดิม ผู้คนจึงค่อยๆ ปฏิบัติตามทัศนะและถ้อยแถลงผิดๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิมในฐานะสิ่งที่เป็นบวก และเคารพบูชาผู้ทรงคุณวุฒิและบุคคลสำคัญที่ล่อลวงผู้คนเหล่านี้ว่าเป็นธรรมิกชน  เมื่อผู้คนหลงผิด จิตใจของพวกเขาย่อมเลอะเลือน ด้านชา และเซื่องซึม  พวกเขาไม่รู้ว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติเป็นเช่นไร หรือผู้คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรไล่ตามเสาะหาและยึดปฏิบัติตามสิ่งใด  พวกเขาไม่รู้ว่าผู้คนควรดำรงชีวิตในโลกนี้อย่างไร หรือพวกเขาควรเลือกใช้รูปแบบหรือกฎเกณฑ์การดำรงอยู่แบบใด และยิ่งไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายที่ถูกต้องเหมาะสมในการดำรงอยู่ของมนุษย์คืออะไร  เนื่องด้วยอิทธิพล การพร่ำสอน และแม้กระทั่งการจำกัดขอบเขตของวัฒนธรรมดั้งเดิม สิ่งต่างๆ ที่เป็นบวก ข้อกำหนด และกฎเกณฑ์จากพระเจ้าจึงถูกระงับเอาไว้  ในแง่นี้ ถ้อยแถลงส่วนใหญ่ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมจึงล่อลวงและมีอิทธิพลต่อการคิดอ่านของผู้คนอย่างลึกซึ้ง จำกัดขอบเขตความคิดของพวกเขาและพาพวกเขาออกนอกลู่นอกทาง ห่างจากเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต และไกลจากข้อกำหนดของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ  นี่หมายความว่ายิ่งเจ้าได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและมุมมองต่างๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมมากขึ้นเท่าใด ถูกสิ่งเหล่านี้พร่ำสอนนานขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งไถลห่างจากความคิด ความมุ่งมาดปรารถนา จุดหมายที่ต้องไล่ตามเสาะหา และกฎเกณฑ์แห่งการดำรงอยู่ซึ่งผู้คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมีมากขึ้นเท่านั้น และเจ้าก็จะยิ่งไถลห่างจากมาตรฐานที่พระเจ้าทรงประสงค์จากผู้คนมากขึ้นเท่านั้นด้วย  เมื่อถูกแนวคิดจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้แพร่เชื้อ ล้างสมอง และพร่ำสอน ผู้คนจึงเลือกใช้แนวคิดเหล่านี้เป็นหลักเกณฑ์ ถึงกับมองว่าแนวคิดเหล่านี้คือความจริง และเป็นเกณฑ์กำหนดสำหรับการมองผู้คนและสิ่งต่างๆ การวางตัว และการกระทำ  ผู้คนไม่คิดหรือสงสัยว่าสิ่งเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่อีกต่อไป และพวกเขาก็ไม่ทำสิ่งใดเกินกว่าที่ถ้อยแถลงของวัฒนธรรมดั้งเดิมระบุไว้เกี่ยวกับความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ เพื่อคิดเอาว่าพวกเขาควรที่จะดำรงชีวิตอย่างไร  ผู้คนไม่รู้จักทำเช่นนั้นและพวกเขาก็ไม่คิดที่จะทำเช่นนั้นด้วย  เหตุใดพวกเขาจึงไม่คิดที่จะทำเช่นนั้น?  เพราะความคิดของผู้คนถูกยึดครองและเต็มไปด้วยคัมภีร์ทางศีลธรรมเหล่านี้ที่ประกาศความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ  แม้ว่าผู้คนมากมายจะเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้และอ่านพระคัมภีร์ แต่พวกเขายังคงเอาพระวจนะของพระเจ้าและความจริงไปสับสนกับถ้อยแถลงมากมายด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม ซึ่งเป็นถ้อยแถลงที่เกิดจากความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ  บางคนถึงกับมองว่าถ้อยแถลงเหล่านี้ในวัฒนธรรมดั้งเดิมมีมากมายที่เป็นคัมภีร์เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เป็นบวก และพวกเขาก็อ้างว่าถ้อยแถลงเหล่านี้คือความจริง ประกาศและส่งเสริมถ้อยแถลงเหล่านี้ในฐานะความจริง และไปไกลถึงขั้นยกถ้อยแถลงเหล่านี้มาใช้เป็นหนทางสั่งสอนผู้อื่น  นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงมาก เป็นบางสิ่งที่พระเจ้าไม่ต้องการทอดพระเนตรเห็น และเป็นสิ่งที่ทำให้พระองค์ขัดเคืองพระทัย  ดังนั้นทุกคนที่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายสามารถมองทะลุและวินิจฉัยสิ่งต่างๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิมได้อย่างชัดเจนหรือไม่?  ไม่จำเป็นต้องทำได้  ต้องมีบางคนที่ยังคงเคารพบูชาและเห็นชอบในสิ่งต่างๆ ที่เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมเอาการ  หากพิษเหล่านี้ของซาตานไม่ถูกกำจัดให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง ก็จะเป็นการยากที่ผู้คนจะเข้าใจและได้รับความจริง  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องมองข้อเท็จจริงข้อหนึ่งออกอย่างทะลุปรุโปร่งซึ่งก็คือ พระวจนะของพระเจ้าคือพระวจนะของพระเจ้า ความจริงคือความจริง และคำพูดของมนุษย์ก็คือคำพูดของมนุษย์  ความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือเป็นคำพูดของมนุษย์ และวัฒนธรรมดั้งเดิมก็เป็นคำพูดของมนุษย์  คำพูดของมนุษย์ไม่ใช่ความจริงอย่างเด็ดขาด และจะไม่มีวันกลายเป็นความจริง  นี่คือข้อเท็จจริง  ไม่ว่าผู้คนจะเข้าใจความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือในความคิดและทัศนะของตนมากเพียงใด สิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถแทนที่พระวจนะของพระเจ้าได้ ไม่ว่าคุณค่าเช่นนี้จะได้รับการตรวจสอบและยืนยันว่าถูกต้องเพียงใด ตลอดระยะเวลาหลายพันปีของการดำรงอยู่ของมนุษย์ คุณค่าเหล่านี้ก็ไม่สามารถกลายเป็นพระวจนะของพระเจ้าหรือแทนที่พระวจนะได้ และยิ่งไม่สามารถนำมาสับสนกับพระวจนะของพระเจ้า  ต่อให้ถ้อยแถลงเกี่ยวกับความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือสอดคล้องกับมโนธรรมและเหตุผลของผู้คน ถ้อยแถลงเหล่านี้ก็ไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้า ไม่สามารถแทนที่พระวจนะของพระองค์ และยิ่งไม่อาจเรียกว่าความจริงได้  ถ้อยแถลงและข้อกำหนดเกี่ยวกับความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือในวัฒนธรรมดั้งเดิมรับใช้สังคมและชนชั้นปกครองเท่านั้น  ถ้อยแถลงและข้อกำหนดเหล่านี้มีไว้เพื่อควบคุมและกำกับพฤติกรรมของผู้คนเท่านั้นเพื่อให้สัมฤทธิ์ลักษณะร่วมอันดียิ่งขึ้นในสังคม ซึ่งเอื้อต่อการรักษาอำนาจของชนชั้นปกครองให้มีเสถียรภาพ  แน่นอนว่าไม่ว่าเจ้าจะยึดปฏิบัติตามคุณค่าของความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือได้ดีเพียงใด เจ้าก็จะไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ เจ้าจะไม่สามารถเชื่อฟังพระเจ้า และในท้ายที่สุดเจ้าย่อมจะไม่กลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ดีพอ  ไม่ว่าเจ้าจะยึดปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้ดีเพียงใด หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าก็จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ตามมาตรฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับ  เช่นนั้นแล้วเจ้าจะเป็นสิ่งใดในสายพระเนตรของพระเจ้า?  เจ้าจะยังคงเป็นผู้ไม่เชื่อและเป็นของซาตาน  คนที่เชื่อกันว่ามีคุณสมบัติอันโดดเด่นทางศีลธรรมและมีจริยธรรมอันสูงส่งนั้นมีมโนธรรมและสำนึกของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่?  พวกเขายอมรับความจริงได้อย่างแท้จริงหรือไม่?  พวกเขาสามารถเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอนที่สุด!  เพราะสิ่งที่พวกเขาเคารพบูชาคือซาตาน พวกมาร ธรรมิกชนเสแสร้ง และวิสุทธิชนเทียมเท็จ  ลึกลงไปในหัวใจและกระดูกของพวกเขา พวกเขาเบื่อหน่ายและเกลียดชังความจริง  เพราะฉะนั้นพวกเขาย่อมต้องเป็นผู้คนที่ต้านทานพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระองค์  ผู้คนที่เคารพบูชามารซาตานคือผู้คนที่โอหัง ทะนงตน และไร้สำนึกอย่างที่สุด—เป็นพวกที่เสื่อมเสียของเผ่าพันธุ์มนุษย์ กระดูกของพวกเขาเต็มไปด้วยพิษของซาตาน เต็มไปด้วยความนอกรีตและเหตุผลวิบัติของซาตาน  ทันทีที่พวกเขาเห็นพระวจนะของพระเจ้าและความจริง ดวงตาของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงและพวกเขามีแต่ความโกรธ เผยให้เห็นใบหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวของมารตนหนึ่ง  เพราะฉะนั้นผู้ที่เคารพวัฒนธรรมดั้งเดิมและเชื่ออย่างมืดบอดในเหตุผลวิบัติตามจารีตดังกล่าว อันได้แก่ ความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ จึงเบื่อหน่ายและเกลียดชังความจริง  พวกเขาไม่มีสำนึกของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติเลย และพวกเขาจะไม่มีวันยอมรับความจริง  เรื่องของวัฒนธรรมดั้งเดิมและถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่เกี่ยวกับความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ ไม่สอดคล้องกับความจริงหรือพระวจนะของพระเจ้าเลย  ไม่ว่าผู้คนจะนำคุณค่าเหล่านี้ไปปฏิบัติอย่างถูกต้องเพียงใด หรือค้ำชูคุณค่าเหล่านี้ดีเพียงใด ก็ไม่เหมือนการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  นี่เป็นเพราะผู้คนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม  นั่นคือข้อเท็จจริงของเรื่องนี้  พวกเขาเต็มไปด้วยคำสอนทุกประเภทของซาตาน และคำสอนที่ว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” ก็ได้กลายเป็นธรรมชาติและแก่นแท้ของผู้คนไปแล้ว  ไม่ว่าเจ้าจะทำให้คำสอนเหล่านี้ฟังดูดีเพียงใด ภาษาที่เจ้าใช้จะสูงส่งเพียงใด หรือทฤษฎีของเจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด ถ้อยแถลงเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมย่อมไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้  ต่อให้เจ้ายึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์แต่ละข้อที่บังคับใช้ ตามคุณค่าของความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือในวัฒนธรรมดั้งเดิม เจ้าก็ประพฤติดีเพียงภายนอกเท่านั้น  แต่เมื่อเป็นเรื่องของการเชื่อในพระเจ้า ติดตามพระองค์  ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และเชื่อฟังพระเจ้า รวมทั้งท่าทีและทัศนะที่เจ้ามีต่อพระองค์และความจริง คุณค่าเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมกลับไม่มีประโยชน์เลย  คุณค่าเหล่านี้ไม่สามารถควบคุมความเป็นกบฏของเจ้า หรือพลิกมโนคติอันหลงผิดที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้า หรือแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผู้คนได้ นับประสาอะไรที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องผู้คนไม่เอาใจใส่และสุกเอาเผากินในการปฏิบัติหน้าที่ของตนได้  คุณค่าเหล่านี้ไม่ได้ช่วยควบคุมพฤติกรรมที่เสื่อมทรามของผู้คนแต่อย่างใด และโดยพื้นฐานแล้วคุณค่าเหล่านี้ก็ไม่สามารถทำให้ผู้คนใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้

ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่าความเชื่อนั้นเรียบง่ายมากเมื่อพวกเขาเพิ่งเริ่มเชื่อในพระเจ้า  พวกเขาคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้าหมายถึงการเรียนรู้ที่จะอดทนและยอมผ่อนปรน พร้อมให้เพื่อการกุศล เต็มใจช่วยเหลือผู้อื่น ถูกประเมินวัดด้วยคำพูดและการกระทำของตน ไม่โอหังจนเกินไป หรือแข็งกร้าวกับผู้อื่นมากไป  พวกเขารู้สึกว่าหากพวกเขาประพฤติปฏิบัติตนในแบบนี้ พระเจ้าก็จะพึงพอพระทัย และพวกเขาจะไม่ถูกตัดแต่งและจัดการขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน  หากพวกเขาทำหน้าที่ผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาจะไม่ถูกแทนที่หรือขับออก  พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาได้รับประกันว่าจะบรรลุความรอด  การเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องที่เรียบง่ายเพียงนั้นจริงหรือ?  (ไม่จริง)  ผู้คนจำนวนไม่น้อยยึดถือทัศนคตินี้ แต่ในที่สุด แนวคิด มุมมอง และหนทางที่พวกเขาประพฤติปฏิบัติตนในชีวิตล้วนจบลงที่ความล้มเหลว ในท้ายที่สุด ผู้คนบางคนที่ไม่รู้มากไปกว่านี้ก็สรุปทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในประโยคเดียวว่า “ฉันเคยล้มเหลวในฐานะมนุษย์!”  พวกเขาคิดว่าการวางตัวในฐานะมนุษย์หมายถึงการยึดติดคุณค่าของความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะสม ปัญญา และความน่าไว้วางใจ  แต่นั่นสามารถเรียกขานว่าเป็นการวางตัวในฐานะมนุษย์ได้หรือ?  นั่นไม่ใช่การวางตัวในฐานะมนุษย์ แต่เป็นการวางตัวของปีศาจ  กับผู้คนที่พูดว่า “ฉันเคยล้มเหลวในฐานะมนุษย์” เราจะถามว่าเจ้าได้วางตัวในฐานะมนุษย์แล้วหรือ?  เจ้ายังไม่ได้พยายามวางตัวในฐานะมนุษย์เสียด้วยซ้ำ ดังนั้นแล้วเจ้าพูดได้อย่างไรว่า “ฉันเคยล้มเหลวในฐานะมนุษย์”?  นี่คือความล้มเหลวของคุณค่าทางวัฒนธรรมดั้งเดิม อาทิ ความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะสม ปัญญา และความน่าไว้วางใจ ในการปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้คน ไม่ใช่ความล้มเหลวในการวางตัวในฐานะมนุษย์ของเจ้า  เมื่อผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้อันได้แก่ ความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะสม ปัญญา และความน่าไว้วางใจ ไม่เป็นประโยชน์อย่างแน่นอนที่สุดและใช้ไม่ได้อีกต่อไป  ก่อนที่พวกเขาจะรู้ ผู้คนก็สรุปในที่สุดว่า “โอ ความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะสม ปัญญา และความน่าไว้วางใจ—สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ผล!  ฉันเคยคิดว่าการวางตัวฉันเองเป็นเรื่องที่เรียบง่าย และการเชื่อในพระเจ้าก็เรียบง่ายมากเช่นกันและไม่ซับซ้อนขนาดนั้น  แต่มาบัดนี้ฉันจึงตระหนักว่าฉันได้ทำให้ความเชื่อในพระเจ้าเรียบง่ายเกินไปเสียแล้ว”  หลังจากฟังคำเทศนามานานพวกเขาก็ตระหนักในที่สุดว่าการที่ผู้คนไม่เข้าใจความจริงนั้นใช้ไม่ได้  หากผู้คนไม่เข้าใจความจริงบางด้าน พวกเขาย่อมมีแนวโน้มที่จะทำผิดในด้านนั้นๆ และถูกจัดการ ล้มเหลว และถูกตัดสินและตีสอน  สิ่งเหล่านั้นที่พวกเขาเชื่อก่อนหน้านั้นว่าถูกต้อง ดี เป็นบวก และสูงส่ง จืดจางลงจนไร้นัยสำคัญและกลายเป็นไร้ค่าเมื่อเผชิญหน้าความจริง  ถ้อยแถลงต่างๆ เกี่ยวกับความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะสม ปัญญา และความน่าไว้วางใจ ล้วนมีอิทธิพลอยู่บ้างต่อความคิดและมุมมองของผู้คน รวมทั้งหนทางและวิถีทางที่พวกเขาใช้ดำเนินกิจธุระของตน  หากพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดไม่เกี่ยวข้อง และมวลมนุษย์ใช้ชีวิตตามที่พวกเขาเป็นอยู่ต่อไป ภายใต้อำนาจครอบครองของซาตาน เช่นนั้นแล้วความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะสม ปัญญา และความน่าไว้วางใจ อันเป็นสิ่งที่ต่อนข้างเป็นบวก ก็จะมีบทบาทเล็กๆ ที่เป็นบวกในการขบคิดของผู้คน และในลักษณะร่วมอันดีในสังคม และสภาพแวดล้อม  อย่างน้อยที่สุด สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ยุแหย่ผู้คนให้ทำชั่ว ฆาตกรรม และวางเพลิง หรือข่มขืนและปล้นไปทั่ว  อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นเรื่องของพระราชกิจของพระเจ้าในการช่วยผู้คนให้รอด ไม่มีสิ่งใดในสิ่งเหล่านี้—ความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะสม ปัญญา และความน่าไว้วางใจ—เกี่ยวพันกับความจริง หนทาง หรือชีวิตที่พระเจ้าทรงต้องการมอบให้มวลมนุษย์  และนั่นไม่ใช่ทั้งหมด กล่าวคือเมื่อพิจารณาแนวคิดต่างๆ ที่คุณค่าของความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะสม ปัญญา และความน่าไว้วางใจ สนับสนุน ข้อกำหนดที่พวกเขาวางไว้เหนือการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คน และอิทธิพลและการจำกัดควบคุมที่ข้อกำหนดเหล่านี้มีต่อการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คน ไม่มีสิ่งใดเลยที่เล่นบทบาทในการนำผู้คนกลับมาสู่พระเจ้าหรือนำพวกเขาไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นสิ่งเหล่านั้นกลับกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ขัดขวางผู้คนไม่ให้ไล่ตามเสาะหาและยอมรับความจริง  ถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่พวกเราได้สามัคคีธรรมและชำแหละกันก่อนหน้านี้—จงอย่านำเงินที่เจ้าเก็บได้มาใส่ในกระเป๋า จงได้รับความหรรษายินดีจากการช่วยเหลือผู้อื่น จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับนั้นควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ จงพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม ขณะดื่มน้ำในบ่อ คนเราไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาดว่าผู้ใดขุดบ่อน้ำเอาไว้—โดยพื้นฐานแล้วพวกเราได้ทำให้ถ้อยแถลงเหล่านี้ชัดเจนในการสามัคคีธรรมแล้ว และอย่างน้อยทุกคนก็เข้าใจความหมายโดยทั่วไปของถ้อยแถลงเหล่านี้  ข้อเท็จจริงคือไม่ว่าถ้อยแถลงเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในแง่มุมใดก็ตาม ถ้อยแถลงเหล่านี้จะจำกัดขอบเขตการขบคิดของผู้คน  หากเจ้าไม่สามารถแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้ และไม่สามารถเข้าใจแก่นแท้ของถ้อยแถลงเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน และไม่พลิกกลับทัศนะผิดๆ เหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่สามารถปล่อยมือจากถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ได้ หรือปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากจากอิทธิพลที่ถ้อยแถลงเหล่านี้มีต่อเจ้า  หากเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้ ก็จะยากที่เจ้าจะยอมรับความจริงจากพระเจ้า เกณฑ์กำหนดของพระวจนะของพระเจ้า และข้อกำหนดเฉพาะเจาะจงของพระผู้สร้างสำหรับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คน และก็จะยากที่จะทำตามและปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าในฐานะหลักธรรมและเกณฑ์กำหนดของความจริง  นี่ไม่ใช่ปัญหาร้ายแรงหรือ?

วันนี้ พวกเรามาดำเนินกันต่อโดยสามัคคีธรรมถึงและชำแหละถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อถัดไป นั่นคือ “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา”  นี่บรรยายวิธีการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นที่ซาตานได้พร่ำสอนผู้คน  นี่หมายความว่าเมื่อเจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เจ้าต้องให้ทางหนีทีไล่แก่พวกเขาบ้าง  เจ้าไม่ควรแข็งกร้าวกับผู้อื่นมากเกินไป เจ้าไม่สามารถนำความผิดในอดีตของพวกเขาขึ้นมาพูด เจ้าต้องธำรงรักษาศักดิ์ศรีของพวกเขา เจ้าไม่สามารถทำลายสัมพันธภาพที่ดีกับพวกเขา เจ้าต้องโอนอ่อนต่อพวกเขา เหล่านี้เป็นต้น  คำกล่าวด้านศีลธรรมนี้โดยมากบรรยายปรัชญาประเภทหนึ่งสำหรับการดำเนินชีวิตที่สั่งการปฏิสัมพันธ์ในหมู่มนุษย์  มีหลักปรัชญาข้อหนึ่งสำหรับการดำเนินชีวิตกล่าวไว้ว่า “จงนิ่งเงียบต่อความผิดของเพื่อนสนิทเพื่อสร้างมิตรภาพอันดีงามและยาวนาน”  นี่หมายความว่า เพื่อรักษาสัมพันธภาพฉันมิตรไว้ คนเราต้องนิ่งเงียบเกี่ยวกับปัญหาของเพื่อน แม้ว่าพวกเขาจะมองเห็นปัญหาเหล่านั้นได้ชัดเจนก็ตาม—หมายความว่าพวกเขาควรยึดปฏิบัติตามหลักธรรมของการไม่โบยตีผู้อื่นที่ใบหน้าหรือเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา  พวกเขาจะหลอกลวงกันและกัน ซ่อนตัวจากกัน วางแผนร้ายกัน และแม้ว่าพวกเขารู้อย่างชัดเจนมากว่าอีกฝ่ายเป็นบุคคลจำพวกใด พวกเขาก็ไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ใช้วิธีการอันฉลาดแกมโกงเพื่อรักษาสัมพันธภาพฉันมิตรไว้  เหตุใดคนเราจึงต้องการรักษาสัมพันธภาพเช่นนี้ไว้?  นี่เกี่ยวกับการไม่ต้องการสร้างศัตรูในสังคมนี้ภายในกลุ่มของตน ซึ่งจะหมายถึงการให้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายบ่อยๆ  การรู้ว่าใครบางคนจะกลายเป็นศัตรูของเจ้าและทำร้ายเจ้าหลังจากที่เจ้าได้เปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขาหรือทำร้ายพวกเขาแล้ว และไม่ปรารถนาที่จะพาตนเองไปอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าจึงใช้หลักปรัชญาในการดำเนินชีวิตที่กล่าวว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา”  ด้วยเหตุนี้ หากคนสองคนมีสัมพันธภาพเช่นนี้จะนับว่าพวกเขาเป็นเพื่อนแท้กันหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาไม่ใช่เพื่อนแท้ และไม่ใช่คนรู้ใจของกันและกันอีกด้วย  ดังนั้นแล้วนี่เป็นสัมพันธภาพชนิดใดกันแน่?  เป็นสัมพันธภาพทางสังคมขั้นพื้นฐานใช่หรือไม่?  (ใช่)  ในสัมพันธภาพทางสังคมเช่นนี้ ผู้คนไม่สามารถแสดงความรู้สึกของตนได้ หรือมีการแลกเปลี่ยนลึกๆ หรือพูดทุกสิ่งที่พวกเขาอยากพูดได้  พวกเขาไม่สามารถพูดสิ่งที่อยู่ในใจ หรือปัญหาที่พวกเขาเห็นในอีกฝ่าย หรือคำพูดที่จะเป็นประโยชน์ต่ออีกฝ่ายออกมาดังๆ ได้  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับเลือกพูดสิ่งดีๆ เพื่อรักษาความโปรดปรานของอีกฝ่าย  พวกเขาไม่กล้าพูดความจริงหรือเชิดชูหลักธรรม ด้วยเกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นเกิดความเป็นอริต่อพวกเขา  เมื่อไม่มีผู้ใดข่มขู่ใครบางคน บุคคลนั้นย่อมมีชีวิตอยู่อย่างค่อนข้างสบายและสงบสุขมิใช่หรือ?  นี่ไม่ใช่จุดหมายของผู้คนในการส่งเสริมคำพูดที่ว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” หรอกหรือ?  (ใช่)  ชัดเจนว่านี่เป็นหนทางดำรงอยู่ที่ตบตาและฉลาดแกมโกงโดยมีองค์ประกอบของความระแวดระวัง ซึ่งมีจุดหมายเพื่อรักษาตนเองให้อยู่รอด  ผู้คนที่ใช้ชีวิตแบบนี้ไม่มีคนรู้ใจ ไม่มีเพื่อนสนิทที่พวกเขาสามารถพูดสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาชอบ  พวกเขาคอยระแวดระวังกันและกัน และใช้กันและกัน และมีกลยุทธ์ โดยแต่ละฝ่ายกอบโกยสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องมีจากสัมพันธภาพนี้  เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  โดยรากฐานแล้ว จุดหมายของคำว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” คือการไม่ทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองและสร้างศัตรู เพื่อป้องกันตนเองโดยไม่ทำให้ผู้ใดบาดเจ็บ  นี่เป็นกลวิธีและวิธีการที่คนเราเลือกใช้เพื่อป้องกันตนเองจากการถูกทำร้าย  เมื่อพิจารณาแก่นแท้หลายประการเหล่านี้แล้ว ความต้องการการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คนที่ว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” เป็นความต้องการที่สูงส่งหรือไม่?  เป็นความต้องการที่เป็นบวกหรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้วความต้องการนี้สอนผู้คนในเรื่องใด?  สอนว่าเจ้าต้องไม่ล่วงเกินหรือทำร้ายผู้ใด มิฉะนั้นแล้วเจ้าจะเป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในที่สุด และเจ้าไม่ควรไว้วางใจผู้ใดอีกด้วย  หากเจ้าทำร้ายเพื่อนสนิทคนใดคนหนึ่งของเจ้า มิตรภาพจะเริ่มเปลี่ยนไปอย่างเงียบๆ  พวกเขาจะเปลี่ยนจากการเป็นเพื่อนสนิทที่ดีของเจ้าไปเป็นคนแปลกหน้าหรือศัตรู  การสอนผู้คนให้ปฏิบัติตนเช่นนี้สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้บ้าง?  ต่อให้เจ้าไม่ได้สร้างศัตรูและถึงกับเสียศัตรูไปบ้างด้วยการประพฤติตนในแบบนี้ นี่จะทำให้ผู้อื่นเลื่อมใสและเห็นชอบกับเจ้า และให้เจ้าเป็นเพื่อนคนหนึ่งตลอดไปหรือ?  นี่สัมฤทธิ์มาตรฐานสำหรับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมอย่างเต็มที่แล้วหรือ?  อย่างเก่งนี่เป็นเพียงปรัชญาสำหรับการใช้ชีวิต  การยึดปฏิบัติตามถ้อยแถลงนี้และการปฏิบัตินี้ถือว่าเป็นการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ดีได้หรือ?  ไม่ได้เลย  นี่คือวิธีที่บิดามารดาบางคนให้การศึกษาแก่ลูกหลานของตน  หากลูกของพวกเขาถูกโบยตีขณะอยู่ข้างนอกที่ใดสักแห่ง พวกเขาก็บอกลูกคนนั้นว่า “เจ้าเป็นเด็กอ่อนแอ  ทำไมเจ้าไม่สู้ตอบ?  ถ้าเขาชกเจ้า ก็แค่เตะเขา!”  นี่ใช่หนทางที่ถูกต้องหรือ?  (ไม่ใช่)  นี่เรียกว่าอะไร?  นี่เรียกว่าการยุแหย่  จุดประสงค์ของการยุแหย่คืออะไร  เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียและเพื่อเอาเปรียบผู้อื่น  หากมีใครบางคนชกเจ้าก็จะบาดเจ็บอยู่สองสามวันเป็นอย่างมาก หากเจ้าเตะพวกเขาจะไม่เกิดผลสืบเนื่องร้ายแรงยิ่งขึ้นหรือ?  และผู้ใดเล่าจะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น?  (บิดามารดาผ่านการยุแหย่ของพวกเขา)  ดังนั้นแล้วบทบาทของถ้อยแถลงที่ว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” ไม่ค่อนข้างคล้ายกันหรอกหรือ?  เป็นการถูกต้องแล้วหรือที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นตามถ้อยแถลงข้อนี้?  (ไม่เป็น)  ไม่ถูกต้อง  เมื่อมองจากมุมนี้ นี่ไม่ใช่หนทางยุแหย่ผู้คนหรือ?  (นี่ใช่)  มันสอนให้ผู้คนฉลาดเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น สามารถบอกความแตกต่างของผู้คน เห็นผู้คนและสิ่งต่างๆ ในหนทางที่ถูกต้อง และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนอย่างมีปัญญาหรือไม่?  สอนเจ้าหรือไม่ว่าหากพบพานคนดี คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ เจ้าควรปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความจริงใจ ช่วยเหลือพวกเขาหากเจ้าทำได้ และหากเจ้าทำไม่ได้ เช่นนั้นแล้วก็ควรยอมผ่อนปรนและปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างถูกต้องเหมาะสม เรียนรู้ที่จะยอมผ่อนปรนต่อข้อบกพร่องของพวกเขา อดทนต่อความเข้าใจผิดและการตัดสินที่พวกเขามีต่อเจ้า และเรียนรู้จากจุดแข็งและคุณสมบัติที่ดีของพวกเขา?  นี่ใช่สิ่งที่คำกล่าวนี้สอนผู้คนหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ดังนั้นแล้วสิ่งใดเล่าที่มาในตอนท้ายของสิ่งที่คำกล่าวนี้สอนผู้คน?  ทำให้ผู้คนซื่อสัตย์ขึ้น หรือเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมากขึ้น?  ส่งผลให้ผู้คนเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมากขึ้น หัวใจของผู้คนยิ่งห่างกันมากขึ้น ระยะห่างระหว่างผู้คนกว้างขึ้น และสัมพันธภาพของผู้คนกลายเป็นซับซ้อน นี่เทียบเท่ากับความซับซ้อนในสัมพันธภาพทางสังคมของผู้คน  การสื่อสารจากใจถึงใจระหว่างผู้คนสูญหายไป และกรอบความคิดที่ต้องระวังภัยกันและกันก็เกิดขึ้น  สัมพันธภาพของผู้คนยังคงเป็นปกติแบบนี้ได้หรือ?  บรรยากาศทางสังคมจะดีขึ้นหรือไม่?  (ไม่)  นั่นคือเหตุผลที่คำล่าวที่ว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” ผิดอย่างเห็นได้ชัด  การสอนผู้คนให้ทำเช่นนี้ไม่สามารถทำให้พวกเขาใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้ ยิ่งกว่านั้นการสอนนี้ไม่สามารถทำให้ผู้คนเปิดเผย เที่ยงธรรม หรือตรงไปตรงมาได้  มันไม่สามารถสัมฤทธิ์สิ่งใดที่เป็นบวกได้อย่างแน่นอนที่สุด

คำกล่าวที่ว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” อ้างอิงถึงการกระทำสองอย่าง อย่างหนึ่งคือการโบยตี และอีกอย่างคือการร้องเรียก  ในปฏิสัมพันธ์ปกติของผู้คนกับผู้อื่น การโบยตีใครบางคนถูกหรือผิด?  (ผิด)  การโบยตีใครบางคนคือการสาธิตและพฤติกรรมของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติในปฏิสัมพันธ์ของคนเรากับผู้อื่นใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  การโบยตีผู้คนผิดอย่างแน่นอน ไม่ว่าเจ้าจะโบยตีพวกเขาที่ใบหน้าหรือที่อื่นก็ตาม  ดังนั้นแล้วคำกล่าวที่ว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า” จึงผิดในตัวเอง  ตามคำกล่าวนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ถูกต้องที่จะโบยตีผู้อื่นที่ใบหน้า แต่ถูกต้องที่จะโบยตีที่อื่น เพราะว่าหลังจากถูกโบยตีใบหน้าจะแดง บวม และบาดเจ็บ  นี่ทำให้บุคคลนั้นดูไม่ดีและไม่น่าดู และยังแสดงให้เห็นด้วยว่าเจ้าปฏิบัติต่อผู้คนอย่างหยาบคาย ไร้มารยาท และต่ำช้ามาก  ดังนั้นแล้วการโบยตีผู้คนที่อื่นจึงสูงส่งหรือ?  ไม่—นั่นก็ไม่สูงส่งเช่นกัน  อันที่จริงแล้ว จุดมุ่งเน้นของคำกล่าวนี้ไม่ใช่การโบยตีใครบางคนที่ใด แต่เป็นเคำว่า “โบยตี” นั่นเอง  เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น หากเจ้าใช้การโบยตีผู้อื่นตลอดเวลาเป็นหนทางเผชิญหน้าและจัดการปัญหา วิธีการของเจ้าก็ผิดในตัวเองแล้ว  นี่เป็นการกระทำที่เกิดจากความหุนหันพลันแล่นและไม่เป็นไปตามมโนธรรมและเหตุผลของสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนเรา และแน่นอนว่ายิ่งไม่ใช่การปฏิบัติความจริงหรือการยึดติดหลักธรรมของความจริง  ผู้คนบางคนไม่โจมตีศักดิ์ศรีของผู้อื่นเมื่ออยู่ต่อหน้า—พวกเขารอบคอบระมัดระวังสิ่งที่พวกเขาพูดและงดเว้นการโบยตีผู้อื่นที่ใบหน้า แต่เล่นเล่ห์เหลี่ยมสกปรกลับหลัง จับมือบนโต๊ะแต่เตะอีกฝ่ายใต้โต๊ะ พูดสิ่งดีๆ ต่อหน้าแต่สมคบคิดกันต่อต้านอีกฝ่ายลับหลัง จับผิดเพื่อเล่นงานอีกฝ่าย คอยโอกาสเพื่อแก้แค้น จัดฉากใส่ร้ายและวางกลอุบาย กระจายข่าวลือ หรือจัดการสร้างความขัดแย้งและใช้ผู้อื่นเข้าเล่นงานอีกฝ่ายตลอดเวลา  วิธีการที่ร้ายกาจเหล่านี้ดีกว่าการโบยตีใครบางคนที่ใบหน้ามากเพียงใดหรือ?  วิธีการเหล่านี้ไม่ถึงกับร้ายแรงกว่าการโบยตีใครบางคนที่ใบหน้าใครหรือ?  วิธีการเหล่านี้ไม่ได้ร้ายกาจ เหี้ยมโหด และไร้ซึ่งสภาวะความเป็นมนุษย์ยิ่งกว่าเสียอีกหรอกหรือ? (ใช่ วิธีการเหล่านี้เป็นเช่นนั้น)  ดังนั้นแล้ว คำกล่าวที่ว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า” จึงไร้ความหมายในตัวเอง  มุมมองนี้คือความผิดพลาดในตัวเองพร้อมกับมีนัยของการล่อหลอกให้เข้าใจผิด  นี่เป็นวิธีการที่หน้าซื่อใจคดซึ่งทำให้มันน่ารังเกียจ น่าขยะแขยง และน่าเกลียดมากยิ่งขึ้น  ตอนนี้พวกเราชัดเจนแล้วว่าการโบยตีผู้คนนั้นถูกกระทำด้วยความหุนหันพลันแล่น  เจ้าโบยตีใครบางคนเพราะเหตุใด?  ได้รับอนุญาตตามกฎหมายหรือเป็นสิทธิที่พระเจ้าประทานให้เจ้า?  ไม่ใช่สิ่งเหล่านี้สักอย่าง  ดังนั้นแล้วเหตุใดจึงโบยตีผู้คน?  หากเจ้าสามารถไปกันได้กับใครบางคนตามปกติ เจ้าก็สามารถใช้หนทางที่ถูกต้องในการไปกันได้กับพวกเขาและมีปฏิสัมพันธ์ได้  หากเจ้าไม่สามารถไปกันได้กับพวกเขา เจ้าก็สามารถแยกตัวไปตามทางของเจ้าได้โดยไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดอย่างหุนหันพลันแล่นหรือต่อสู้กัน  ภายในวงเขตของมโนธรรมและเหตุผลของสภาวะความเป็นมนุษย์ นี่ควรเป็นบางสิ่งที่ผู้คนทำ  ทันทีที่เจ้ากระทำการอย่างหุนหันพลันแล่น ต่อให้เจ้าไม่โบยตีผู้ใดที่ใบหน้าแต่ที่อื่น ก็ยังเป็นปัญหาร้ายแรง  นี่ไม่ใช่หนทางปฏิสัมพันธ์ที่ปกติ  นี่คือวิธีที่ศัตรูมีปฏิสัมพันธ์กัน ไม่ใช่หนทางปกติที่ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์  นี่อยู่ไกลเกินเอื้อมของสำนึกแห่งสภาวะความเป็นมนุษย์  วลี “เปิดเผย” ในคำกล่าวที่ว่า “หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” ดีหรือไม่ดี?  วลี “เปิดเผย” มีระดับที่อ้างอิงถึงการที่ผู้คนถูกเปิดเผยหรือเปิดโปงภายในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่มี)  จากความเข้าใจของเราเกี่ยวกับวลี “เปิดเผย” ที่มีอยู่ในภาษามนุษย์ วลีนี้ไม่ได้หมายความเช่นนั้น  แก่นแท้ของวลีนี้คือรูปแบบหนึ่งของการเปิดโปงที่ค่อนข้างมุ่งร้าย หมายถึงการเปิดเผยปัญหาและความขาดตกบกพร่องของผู้คน หรือบางสิ่งและบางพฤติกรรมที่ผู้อื่นไม่รู้ หรืออุบายร้าย แนวคิด หรือทัศนะบางอย่างที่ดำเนินการอยู่เบื้องหลัง  นี่คือความหมายของวลี “เปิดเผย” ในคำกล่าวที่ว่า “หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา”  หากคนสองคนไปกันได้ดีและเป็นคนรู้ใจกันโดยไม่มีสิ่งกีดขวางระหว่างพวกเขา และต่างก็หวังที่จะเป็นประโยชน์และช่วยเหลืออีกฝ่าย เช่นนั้นแล้วก็คงจะดีที่สุดสำหรับพวกเขาที่จะนั่งด้วยกันและแจกแจงปัญหาของแต่ละฝ่ายอย่างเปิดเผยและจริงใจ  นี่ถูกต้องเหมาะสม และไม่ใช่การเปิดเผยข้อบกพร่องของผู้อื่น  หากเจ้าค้นพบปัญหาของบุคคลอื่นแต่เห็นว่าพวกเขายังไม่สามารถยอมรับคำแนะนำจากเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วก็เพียงไม่พูดสิ่งใด เพื่อหลีกเลี่ยงการทะเลาะหรือความขัดแย้ง  หากเจ้าต้องการช่วยเหลือพวกเขา เจ้าสามารถขอความคิดเห็นของพวกเขาและถามพวกเขาก่อนว่า “ฉันเห็นว่าคุณมีปัญหานิดหน่อย และฉันหวังว่าจะให้คำแนะนำแก่คุณได้บ้าง  ฉันไม่รู้ว่าคุณจะยอมรับได้หรือไม่  ถ้าคุณยอมรับได้ฉันจะบอกคุณ  หากคุณยอมรับไม่ได้ ฉันจะเก็บไว้กับตัวเองสำหรับตอนนี้และไม่พูดอะไร”  หากพวกเขาพูดว่า “ฉันเชื่อใจคุณ  สิ่งใดก็ตามที่คุณต้องพูดจะไม่มากเกินไป  ฉันยอมรับได้” นั่นก็หมายความว่าเจ้าได้รับอนุญาตแล้ว และเจ้าก็สามารถสื่อสารปัญหาของพวกเขากับพวกเขาทีละข้อ  พวกเขาไม่เพียงแต่จะยอมรับสิ่งที่เจ้าพูดอย่างครบบริบูรณ์ แต่ยังได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้ด้วย และพวกเจ้าทั้งสองจะยังคงสามารถธำรงรักษาสัมพันธภาพที่ปกติไว้ได้  นั่นคือการปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่เป็นวิธีการที่ถูกต้องสำหรับการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น นี่ไม่ใช่การเปิดเผยข้อบกพร่องของผู้อื่น  การไม่ “เปิดเผยข้อบกพร่องของผู้อื่น” ตามคำกล่าวที่พูดถึงหมายความว่าอย่างไร?  หมายถึงการไม่พูดถึงความขาดตกบกพร่องของผู้อื่น ไม่พูดถึงปัญหาที่ต้องห้ามที่สุดของพวกเขา ไม่เปิดโปงแก่นแท้ของปัญหาของพวกเขา และไม่โจ่งแจ้งนักในการเปิดเผย  หมายถึงเพียงการกล่าวข้อสังเกตระดับผิวเผินบ้าง พูดสิ่งที่คนทั้งหลายพูดทั่วๆ ไป  พูดสิ่งที่บุคคลเหล่านั้นสามารถรับรู้ได้อยู่แล้ว และไม่เปิดเผยข้อผิดพลาดที่บุคคลนั้นได้ทำไว้ก่อนหน้านี้หรือประเด็นที่ละเอียดอ่อน  บุคคลนั้นได้ประโยชน์อะไรหากเจ้ากระทำการแบบนี้?  บางทีเจ้าอาจไม่ได้ทำให้พวกเขาขุ่นเคืองหรือทำให้พวกเขาเป็นศัตรู แต่สิ่งที่เจ้าทำไปแล้วไม่ได้ช่วยหรือเป็นประโยชน์แก่พวกเขาเลย  เพราะฉะนั้นวลีที่ว่า “จงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของผู้อื่น” จึงเป็นการบ่ายเบี่ยงและเล่ห์กระเท่ห์รูปแบบหนึ่งที่ไม่เปิดโอกาสให้มีความจริงใจในการปฏิบัติต่อผู้อื่นโดยผู้คน  คนเราอาจกล่าวได้ว่าการกระทำในลักษณะนี้คือการเก็บงำเจตนาชั่ว ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น  ผู้ไม่เชื่อถึงกับมองว่า “หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” เป็นบางสิ่งที่ผู้มีศีลธรรมอันสูงส่งควรทำ  ชัดเจนว่านี่เป็นรูปแบบที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของการมีปฏิบัติสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งผู้คนเลือกใช้เพื่อปกป้องตนเอง ไม่ใช่รูปแบบปฏิสัมพันธ์ที่ถูกต้องเหมาะสมเลย  การไม่เปิดเผยข้อบกพร่องของผู้อื่นในตัวเองไม่จริงใจ และในการเปิดเผยข้อบกพร่องของผู้อื่นก็อาจมีเจตนาแอบแฝง  โดยทั่วไปแล้วเจ้าสามารถเห็นผู้คนเปิดเผยข้อบกพร่องของกันและกันภายใต้สถานการณ์ใดบ้าง?  ต่อไปนี้คือตัวอย่างหนึ่ง ในสังคม หากผู้สมัครสองคนลงสมัครรับตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง พวกเขาจะเปิดเผยข้อบกพร่องของกันและกัน  คนหนึ่งจะพูดว่า “คุณได้ทำสิ่งที่ไม่ดีบางอย่าง และคุณได้ยักยอกเงินไปไม่ว่าจะมากเท่าใด” และอีกคนหนึ่งจะพูดว่า “คุณทำร้ายคนไม่ว่าจะมากเพียงใด”  พวกเขาเปิดโปงสิ่งเหล่านี้เกี่ยวกับกันและกัน  นี่ไม่ใช่การเปิดเผยข้อบกพร่องของผู้อื่นหรอกหรือ?  (ใช่)  พวกที่เปิดเผยข้อบกพร่องของกันและกันบนเวทีการเมืองคือฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง แต่เมื่อคนธรรมดาทำ พวกเขาเป็นศัตรูกัน  ในภาษาทั่วไป คนเราจะพูดว่าคนสองคนนี้ไปกันไม่ได้  เมื่อใดก็ตามที่พบกัน พวกเขาจะเริ่มโต้เถียงกัน เปิดเผยข้อบกพร่องของกันและกัน ตัดสินและกล่าวโทษกัน และถึงกับสร้างสิ่งต่างๆ จากความว่างเปล่า และทำการกล่าวหาที่เป็นเท็จ  ตราบใดที่มีสิ่งน่าสงสัยเกี่ยวกับกิจธุระของอีกฝ่าย พวกเขาจะเปิดโปงสิ่งนั้นและกล่าวโทษอีกฝ่ายในสิ่งนั้น  หากผู้คนเปิดเผยสิ่งต่างๆ มากมายเกี่ยวกับกันและกัน แต่ไม่ใช่ข้อบกพร่องของผู้อื่น นั่นเป็นการกระทำอันสูงส่งหรือไม่?  (ไม่)  นั่นไม่ใช่การกระทำอันสูงส่ง แต่ผู้คนยังคงถือว่าหลักการนี้เป็นการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมอันสูงส่งและยกย่องมัน ซึ่งน่าขยะแขยงจริงๆ! คำกล่าวที่ว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” ล้มเหลวในตัวเองในการสนับสนุนสิ่งใดก็ตามที่เป็นบวก  ไม่เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับนั้นควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” “จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี” และ “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” ซึ่งอย่างน้อยก็สนับสนุนการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่น่ายกย่อง  สำนวนที่ว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” เป็นถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ยุแหย่พฤติกรรมที่เป็นลบและไม่มีหน้าที่ที่เป็นบวกต่อผู้คนเลย  ถ้อยแถลงนี้ไม่บอกผู้คนว่าหนทางหรือหลักธรรมใดถูกต้องสำหรับการประพฤติปฏิบัติตนเองในชีวิตในโลกนี้  ถ้อยแถลงนี้ไม่ได้ให้ข้อมูลเช่นนี้เลย  ทั้งหมดที่ถ้อยแถลงนี้ทำคือบอกผู้คนไม่ให้โบยตีผู้อื่นที่ใบหน้า ราวกับว่าการโบยตีพวกเขาที่ใดก็ตามยกเว้นใบหน้าไม่เป็นไร  จงโบยตีพวกเขาเต็มที่ตามที่เจ้าชอบ ทิ้งให้พวกเขาฟกช้ำดำเขียว บาดเจ็บสาหัส หรือแม้กระทั่งปางตาย ตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่  และเมื่อผู้คนขัดแย้งกัน เมื่อศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองพบกัน พวกเขาสามารถเปิดเผยสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาต้องการเกี่ยวกับกันและกัน ตราบใดที่พวกเขาไม่เปิดเผยข้อบกพร่องของกันและกัน  นี่เป็นรูปแบบประเภทใด?  ก่อนหน้านี้พวกเจ้าไม่เห็นชอบกับคำกล่าวนี้อย่างมากใช่หรือไม่?  (ใช่)  สมมติว่าคนสองคนขัดแย้งกันและเริ่มโต้เถียงกัน  หนึ่งในนั้นพูดว่า “ฉันรู้ว่าสามีของคุณไม่ใช่พ่อของลูกของคุณ” และอีกคนพูดว่า “ฉันรู้ว่าธุรกิจครอบครัวของคุณใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรในการหาเงิน”  ผู้คนบางคนออกความเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาที่พวกเขาทะเลาะกันว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา  ดูพวกเขาขุดคุ้ยข้อบกพร่องและความลับที่น่าละอายไม่กี่ข้อของกันและกัน และทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่  เป็นพฤติกรรมที่หยุมหยิมอะไรเช่นนี้!  และขาดความซื่อตรงเหลือเกินอีกด้วย  อย่างน้อยเจ้าสามารถแสดงความเคารพต่อผู้คนสักหน่อย มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะสามารถประพฤติปฏิบัติตนได้อย่างไรในอนาคต?”  การออกความเห็นแบบนี้ถูกหรือผิด? (ผิด)  นี่มีผลที่เป็นบวกแม้เพียงเล็กน้อยหรือไม่?  มีส่วนใดที่สอดคล้องกับความจริงแม้เพียงน้อยนิดหรือไม่?  (ไม่มี)  ใครบางคนต้องมีแนวคิดและมุมมองประเภทใดถึงจะออกความเห็นเช่นนี้?  ความเห็นเช่นนี้มาจากใครบางคนที่มีสำนึกแห่งความชอบธรรมและเข้าใจความจริงใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ความเห็นเช่นนี้เกิดขึ้นจากพื้นฐานใด?  ความเห็นเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพราะได้รับอิทธิพลทั้งหมดจากแนวคิดของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ความเห็นเหล่านี้ล้วนเป็นไปตามแนวคิดและมุมมองนี้ในวัฒนธรรมดั้งเดิม

ในเรื่องของความขัดแย้งระหว่างคนสองคนที่พวกเราเพิ่งพูดคุยกันไปนั้น หากเจ้าพิจารณาเรื่องนี้จากมุมมองของใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้าแล้วควรจะปฏิบัติต่อเรื่องนี้อย่างไร ตามพระวจนะของพระเจ้าและมีความจริงเป็นเกณฑ์กำหนด?  นี่เป็นประเด็นที่ผู้คนควรคิดทบทวนมิใช่หรือ?  (ใช่ นี่เป็น)  นี่เป็นบางสิ่งที่พวกเจ้าควรคิดทบทวน  ผู้เชื่อควรยึดปฏิบัติตามหลักธรรมใดบ้าง?  พวกเขาต้องมองดูผู้คนและสิ่งต่างๆ วางตัวและประพฤติตนตามพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมด โดยมีความจริงเป็นเกณฑ์กำหนด  หากมีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างพี่น้องชายหญิง พวกเขาต้องยอมผ่อนปรนและอดทนต่อกัน และปฏิบัติต่อกันด้วยความรัก  พวกเขาต้องคิดทบทวนและตระหนักรู้ในตนเองเสียก่อน แล้วจึงแก้ไขประเด็นปัญหานั้นตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง ถึงขั้นที่พวกเขาตระหนักรู้ความผิดพลาดของตนและสามารถละทิ้งเนื้อหนัง และปฏิบัติต่อผู้อื่นตามหลักธรรมของความจริง  ด้วยวิธีนี้พวกเขาจะแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ  พวกเจ้าควรได้รับความเข้าใจอย่างถ้วนทั่วในปัญหานี้  คำกล่าวที่ว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” ไม่ใช่มาตรฐานสำหรับประเมินวัดสภาวะความเป็นมนุษย์ แต่เป็นเพียงปรัชญาพื้นฐานสำหรับการดำเนินชีวิต เป็นปรัชญาข้อหนึ่งที่ไม่สามารถจำกัดตวบคุมพฤติกรรมที่เสื่อมทรามของผู้คนได้เลย  คำกล่าวนี้ไร้ความหมายอย่างยิ่ง และผู้เชื่อไม่จำเป็นต้องยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เช่นนี้  ผู้คนควรมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมของความจริง  เหล่านั้นคือสิ่งที่ผู้เชื่อต้องยึดปฏิบัติตาม  หากผู้คนเชื่อในพระเจ้าแต่ก็ยังคงเชื่อในทัศนะทางวัฒนธรรมดั้งเดิมและปรัชญาของซาตาน และใช้แนวคิดทางวัฒนธรรมดั้งเดิมเช่น “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” เพื่อประเมินวัดผลผู้คนและจำกัดควบคุมผู้อื่น หรือเรียกร้องให้ตนเองทำสิ่งใด เช่นนั้นแล้วนั่นก็เป็นเรื่องไร้สาระและวิปริตผิดแผกของพวกเขา และพวกเขาเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ  คำกล่าวที่ว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” เป็นปรัชญาของซาตานสำหรับปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ซึ่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาต้นตอที่สำคัญของสัมพันธภาพระหว่างบุคคลได้  เพราะฉะนั้นคำกล่าวนี้จึงเป็นกฎเกณฑ์ที่ตื้นเขินที่สุด เป็นปรัชญาที่ตื้นเขินที่สุดสำหรับการดำเนินชีวิต  ปรัชญานี้ห่างไกลนักจากมาตรฐานของหลักธรรมของความจริง และการยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ผิวเผินเช่นนี้ไม่สามารถสัมฤทธิ์สิ่งใดได้ และก็ไร้ความหมายอย่างยิ่ง  นั่นเป็นวิธีพูดถึงปรัชญานี้ที่ยุติธรรมหรือ?  (ใช่ นั่นเป็น)  เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างพี่น้องชายหญิง ควรใช้หลักธรรมใดในการคำนึงถึงและสะสางเรื่องนี้?  หลักธรรมนั้นคือการยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของวัฒนธรรมดั้งเดิม หรือใช้พระวจนะของพระเจ้าและความจริงเป็นหลักธรรมใช่หรือไม่?  จงบอกมุมมองของเจ้ากับเราเถิด  (ก่อนอื่น พวกเราควรวิเคราะห์และมารู้จักธรรมชาติของความขัดแย้งของพวกเขา และข้อกล่าวหาที่หุนหันพลันแล่นของพวกเขาต่อกันตามพระวจนะของพระเจ้า โดยตระหนักรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการการพรั่งพรูออกมาของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  จากนั้นพวกเราควรสามัคคีธรรมกับพวกเขาถึงเส้นทางที่เข้าประเด็นของการปฏิบัติ  พวกเขาควรปฏิบัติต่อกันด้วยความรัก พวกเขาควรมีมโนธรรมและเหตุผล และสิ่งที่พวกเขาพูดและทำต้องเสริมสร้างอีกฝ่ายแทนที่จะทำร้าย  หากอีกฝ่ายมีความขาดตกบกพร่องหรือได้ทำผิดพลาดพวกเขาก็ควรจัดการอย่างถูกต้องโดยช่วยเหลือหากทำได้ แทนที่จะโจมตี ตัดสิน หรือกล่าวโทษพวกเขา)  นี่เป็นการช่วยเหลือผู้คนรูปแบบหนึ่ง  ดังนั้นจะพูดสิ่งใดได้บ้างเพื่อช่วยพวกเขาและแก้ไขความขัดเถียงของพวกเขา?  (พวกเขากำลังโต้เถียงกันในคริสตจักร และนี่ในตัวเองไม่ควรค่ากับธรรมิกชนและไม่ลงรอยกับข้อกำหนดของพระเจ้า  ดังนั้นพวกเราจึงสามารถสามัคคีธรรมกับพวกเขาได้โดยพูดว่า “เมื่อพวกคุณค้นพบว่าใครบางคนมีประเด็นปัญหา จงช่วยเหลือถ้าคุณทำได้  ถ้าคุณช่วยเหลือไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องโต้เถียง มิฉะนั้นแล้วก็จะรบกวนชีวิตของคริสตจักร และถ้าคุณยืนกรานทั้งที่มีการตักเตือนซ้ำๆ คริสตจักรก็จะจัดการตามกฤษฎีกาบริหาร”)  ดูเหมือนว่าพวกเจ้าทั้งหมดรู้จักที่จะจัดการผู้คนที่รบกวนชีวิตของคริสตจักรตามหลักธรรม แต่พวกเจ้ายังคงไม่รู้ซึ้งถึงวิธีจัดการความขัดแย้งระหว่างผู้คน หรือพระวจนะของพระเจ้าข้อใดที่ควรใช้จัดการพวกเขา—พวกเจ้ายังคงไม่รู้วิธีใช้พระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมของความจริงแก้ไขปัญหา  ในเรื่องนี้แต่ละฝ่ายเองมีประเด็นปัญหาอะไรบ้าง?  พวกเขาทั้งคู่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใช่หรือไม่?  (ใช่)  ด้วยเหตุว่าพวกเขาทั้งคู่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม จงดูว่าแต่ละคนพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดออกมาเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น และสิ่งใดเป็นต้นเหตุ  จงหาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พรั่งพรูออกมาให้พบ และจากนั้นใช้พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงและวิเคราะห์สิ่งเหล่านั้น เพื่อที่พวกเขาทั้งคู่จะกลับมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและได้รับความตระหนักรู้ในตนเองตามพระวจนะของพระเจ้า  ดังนั้นแล้วสิ่งใดคือสิ่งหลักที่เจ้าควรสามัคคีธรรมกับพวกเขา? เจ้าอาจจะพูดบางสิ่งอย่างเช่น “ถ้าพวกคุณสองคนยอมรับรู้ว่าพวกคุณเป็นผู้ติดตามพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็จงอย่าโต้เถียง เพราะการโต้เถียงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้  จงอย่าปฏิบัติต่อผู้คนที่เชื่อและติดตามพระเจ้าในลักษณะนั้น และอย่าปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงในลักษณะเดียวกับที่ผู้ไม่เชื่อปฏิบัติต่อผู้คน  การทำเช่นนั้นไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร?  พระวจนะของพระเจ้าชัดเจนมาก นั่นคือจงให้อภัย ยอมผ่อนปรน และอดทน และรักกันและกัน  หากคุณเห็นว่าอีกฝ่ายมีประเด็นปัญหาร้ายแรง และคุณไม่พอใจกับสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไป คุณควรสามัคคีธรรมถึงเรื่องนี้ในลักษณะที่สมเหตุสมผลและมีประสิทธิผล ด้วยท่าทีที่ให้อภัย ยอมผ่อนปรน และอดทน  เป็นการดีกว่าหากบุคคลนั้นสามารถยอมรับและรับสิ่งนี้จากพระเจ้าได้  หากพวกเขารับไม่ได้ เช่นนั้นแล้วคุณจะยังคงได้ทำให้ความรับผิดชอบของคุณลุล่วง และไม่จำเป็นต้องโจมตีพวกเขาอย่างหุนหันพลันแล่น  เมื่อพี่น้องชายหญิงโต้เถียงกันและเปิดเผยข้อบกพร่องของกันและกัน นั่นเป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรค่ากับธรรมิกชน และไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  นั่นไม่ใช่วิธีที่ผู้เชื่อควรประพฤติตัว  และในส่วนของผู้ที่ถูกกล่าวหา ต่อให้คุณคิดว่าคุณได้กระทำการอย่างสมเหตุสมผลแล้วและไม่ควรถูกอีกฝ่ายวิจารณ์ เช่นนั้นแล้วคุณก็ควรปล่อยมือจากอคติส่วนตัวของคุณ และเผชิญหน้ากับประเด็นปัญหาและข้อกล่าวหาของอีกฝ่ายอย่างสงบและเปิดกว้างอยู่ดี  คุณไม่ควรสู้กลับในลักษณะที่หุนหันพลันแล่นโดยเด็ดขาด  หากพวกคุณทั้งคู่ถูกกระตุ้นจนตกอยู่ในสภาวะหุนหันพลันแล่นและไม่สามารถควบคุมตนเองได้ คุณก็ควรเริ่มต้นด้วยการนำตนเองออกจากสถานการณ์นั้น  จงสงบสติอารมณ์และจงอย่าไล่ตามประเด็นนั้นต่อไปอีก เพื่อไม่ให้ติดกับดักของซาตานและตกลงสู่การทดลองของซาตาน  คุณสามารถอธิษฐานเป็นการส่วนตัว มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาความช่วยเหลือจากพระองค์ และพยายามใช้พระวจนะของพระเจ้าแก้ไขประเด็นปัญหาของคุณ  เมื่อคุณทั้งคู่สามารถสงบสติอารมณ์และปฏิบัติต่อกันอย่างสงบและมีเหตุผล โดยไม่กระทำการหรือพูดอย่างหุนหันพลันแล่น เช่นนั้นแล้วคุณก็สามารถมารวมตัวกันเพื่อสามัคคีธรรมถึงประเด็นปัญหาที่ขัดแย้งได้ จนกระทั่งพวกคุณบรรลุฉันทามติ อยู่ร่วมกันในพระวจนะของพระเจ้า และสัมฤทธิ์ทางแก้ไขปัญหานั้น”  นั่นเป็นสิ่งที่สมควรพูดมิใช่หรือ?  (ใช่)  ข้อเท็จจริงคือเมื่อคนสองคนโต้เถียงกัน พวกเขาทั้งคู่พรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมา และพวกเขาทั้งคู่พรั่งพรูความหุนหันพลันแล่นของตนออกมา  นี่เป็นพฤติกรรมเยี่ยงซาตานทั้งสิ้น  ไม่มีผู้ใดถูกหรือผิด และพฤติกรรมของทั้งคู่ก็ไม่สอดคล้องกับความจริง  หากเจ้าสามารถคำนึงถึงและจัดการประเด็นปัญหาตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริงได้ ความขัดแย้งของเจ้าก็คงจะไม่เกิดขึ้น  หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียวสามารถมองดูผู้คนและสิ่งต่างๆ วางตัวและปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้าได้ ความขัดแย้งก็คงจะไม่เกิดขึ้น  เพราะฉะนั้นหากคนสองคนเปิดเผยข้อบกพร่องของกันและกัน และโบยตีกันที่ใบหน้า เช่นนั้นแล้วคนเหล่านี้ก็เป็นคนร้ายที่หุนหันพลันแล่นทั้งคู่  พวกเขาไม่มีอะไรดีเลย ทั้งคู่ไม่มีฝ่ายใดถูกและไม่มีฝ่ายใดผิด  สิ่งใดเป็นพื้นฐานในการประเมินวัดความถูกและความผิด?  นี่ขึ้นอยู่กับมุมมองและจุดยืนที่เจ้าเลือกใช้ในเรื่องนี้ เหตุจูงใจของเจ้าคือสิ่งใด เจ้ามีพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ และสิ่งที่เจ้าทำสอดคล้องกับความจริงหรือไม่  เห็นได้ชัดว่าเหตุจูงใจเบื้องหลังความขัดแย้งของพวกเจ้าคือการสยบและชนะอีกฝ่ายอย่างท่วมท้น  พวกเจ้าเปิดโปงและทำร้ายกันและกันด้วยคำพูดที่ร้ายกาจ  ไม่สำคัญว่าสิ่งที่เจ้าเปิดโปงถูกต้องหรือไม่ หรือประเด็นของความขัดแย้งของพวกเจ้าถูกต้องหรือไม่—เพราะพวกเจ้าไม่จัดการเรื่องนี้ตามพระวจนะของพระเจ้า โดยมีความจริงเป็นเกณฑ์กำหนดของเจ้า และสิ่งที่พวกเจ้าพรั่งพรูออกมาคือความหุนหันพลันแล่น และวิธีการและหลักการในการกระทำของพวกเจ้าล้วนเป็นไปตามความหุนหันพลันแล่น โดยถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่เสื่อมทรามบีบบังคับให้ทำเช่นนั้น เพราะฉะนั้น ไม่ว่าผู้ใดเป็นฝ่ายถูก หรือผู้ใดได้เปรียบและผู้ใดเสียเปรียบ ข้อเท็จจริงก็คือพวกเจ้าทั้งคู่ผิดและต้องรับผิดชอบ  วิธีที่พวกเจ้าจัดการเรื่องนี้ไม่เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า  พวกเจ้าทั้งคู่ควรสงบสติอารมณ์และพิจารณาประเด็นปัญหาของตนเองอย่างรอบคอบระมัดระวัง  เฉพาะเมื่อพวกเจ้าทั้งคู่สามารถสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและจัดการแก้ไขปัญหาด้วยความสุขุมเยือกเย็นเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถนั่งลงและสามัคคีธรรมถึงสิ่งนั้นในลักษณะที่สงบและสำรวม  ตราบใดที่ทัศนะของคนทั้งคู่ต่อผู้คนและสิ่งต่างๆ และการวางตัวและการปฏิบัติตนของพวกเขา เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมของความจริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าแนวคิดและมุมมองของพวกเขาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะแตกต่างกันเพียงใด ก็ไม่มีความแตกต่างที่แท้จริงให้พูดถึงเลยจริงๆ และไม่มีปัญหาใดๆ  ตราบใดที่พวกเขาจัดการความแตกต่างของตนโดยมีพระวจนะของพระเจ้าและความจริงเป็นหลักธรรม เมื่อนั้นแล้วในที่สุด พวกเขาก็จะสามารถเข้ากันได้และแก้ไขความแตกต่างของพวกเขาได้อย่างแน่นอน  นี่เป็นวิธีที่พวกเจ้าจัดการปัญหาใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  พวกเจ้าเพียงแต่ไม่รู้วิธีใช้ความจริงแก้ไขปัญหา ยกเว้นวิธีการของเจ้าในการหันไปใช้มาตรการบังคับทางปกครอง  ดังนั้นแล้วสิ่งใดคือข้อสรุปหลักสำหรับจัดการเรื่องนี้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์?  นี่ไม่เกี่ยวกับการพึงต้องให้ผู้คนปล่อยมือจากความแตกต่างของตน แต่เกี่ยวกับการแก้ไขความแตกต่างเหล่านั้นด้วยวิธีที่ถูกต้องและสัมฤทธิ์ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  สิ่งใดคือพื้นฐานสำหรับการแก้ไขความแตกต่าง?  (พระวจนะของพระเจ้า)  นั่นถูกต้องแล้ว นั่นคือการมองหาพื้นฐานในพระวจนะของพระเจ้า  นี่ไม่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ว่าผู้ใดถูกและผู้ใดผิด ผู้ใดเหนือกว่าและผู้ใดด้อยกว่า หรือผู้ใดชอบธรรมและผู้ใดไม่ชอบธรรม  แต่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาด้านแนวคิดและมุมมองของผู้คนเสียมากกว่า ซึ่งหมายถึงการแก้ไขแนวคิดและมุมมองผิดๆ และวิธีผิดๆ ในการจัดการเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยผู้คน  โดยการค้นหาพื้นฐานในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น และโดยการเข้าใจหลักธรรมของความจริงเท่านั้น ปัญหาต่างๆ จึงได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริง และผู้คนมีชีวิตในความปรองดองซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง บรรลุความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้  มิฉะนั้นแล้ว หากเจ้าใช้ถ้อยแถลงด้านวัฒนธรรมดั้งเดิมและวิธีการ เช่น “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” เพื่อจัดการสิ่งต่าง ๆ ปัญหาก็จะไม่มีวันได้รับการแก้ไข หรืออย่างน้อยความแตกต่างระหว่างแนวคิดและมุมมองของผู้คนจะไม่ได้รับการแก้ไข  เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะค้นหาพื้นฐานในพระวจนะของพระเจ้า  พระวจนะของพระเจ้าล้วนเป็นความจริง และไม่มีสิ่งใดที่ขัดแย้งกันในพระวจนะ  พระวจนะเป็นเกณฑ์กำหนดเดียวสำหรับประเมินวัดผู้คน เรื่อง และสิ่งต่างๆ  หากทุกคนพบพื้นฐานในพระวจนะของพระเจ้า และทัศนคติของพวกเขาต่อสิ่งต่างๆ สัมฤทธิ์ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ไม่ง่ายเลยที่ผู้คนจะบรรลุฉันทามติใช่หรือไม่?  หากทุกคนยอมรับความจริงได้ จะยังคงมีความแตกต่างระหว่างผู้คนอยู่หรือไม่?  จะยังมีความขัดแย้งอยู่หรือไม่?  จะยังคงจำเป็นต้องใช้แนวคิด มุมมอง และถ้อยแถลง เช่น “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” เป็นข้อจำกัดควบคุมในหมู่ผู้คนหรือไม่?  จะไม่จำเป็น เพราะพระวจนะของพระเจ้าสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้  ไม่ว่าผู้คนจะมีความขัดแย้งใด หรือมุมมองที่แตกต่างกันมากเพียงใด ทั้งหมดนี้ควรถูกนำอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และวินิจฉัยและชำแหละตามพระวจนะของพระเจ้า  เช่นนั้นแล้วก็จะเป็นไปได้ที่จะตัดสินว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นไปตามความจริงหรือไม่  เมื่อผู้คนเข้าใจความจริงแล้ว พวกเขาก็สามารถมองเห็นว่าแนวคิดและมุมมองส่วนใหญ่ของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามมาจากวัฒนธรรมดั้งเดิม จากผู้ทรงคุณวุฒิและบุคคลสำคัญที่ผู้คนเคารพบูชา—แต่ทว่าที่รากเหง้า สิ่งเหล่านี้มาจากปรัชญาของซาตาน  เพราะฉะนั้นแนวคิดและมุมมองที่ผิดที่ผิดทางเหล่านี้จึงแก้ไขได้ง่ายในความเป็นจริง  เหตุใดเราจึงพูดว่าสิ่งเหล่านี้แก้ไขง่าย?  เพราะหากเจ้าประเมินวัดแนวคิดและมุมมองของมนุษย์เหล่านี้ด้วยพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะพบว่าสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไร้สาระ ฟังไม่ขึ้น และใช้การไม่ได้  หากผู้คนยอมรับความจริงได้ก็จะปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้ง่าย และปัญหาทั้งหมดก็สามารถแก้ไขได้ตามนั้น  สิ่งใดได้รับการสัมฤทธิ์หลังจากแก้ไขปัญหาแล้ว?  ทุกคนสามารถปล่อยมือจากข้อคิดเห็น และแนวคิดและมุมมองเชิงอัตวิสัยส่วนตัวได้  ไม่ว่าเจ้าจะคิดว่าสิ่งเหล่านั้นสูงส่งและถูกต้องเพียงใด ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะได้หมุนเวียนในหมู่ผู้คนมานานเพียงใด ตราบใดที่สิ่งเหล่านั้นไม่สอดคล้องกับความจริง เจ้าก็ควรปฏิเสธและเลิกล้มสิ่งเหล่านั้นเสีย  ในท้ายที่สุด เมื่อผู้คนทั้งหมดรับเอาพระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานของตนและปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากผู้คน แนวคิดและมุมมองของพวกเขาจะไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือ?  (เป็น)  เมื่อแนวคิดและมุมมองที่กำหนดทัศนะของผู้คนต่อผู้คนและสิ่งต่างๆ รวมทั้งการวางตัวและการปฏิบัติตนของพวกเขาทั้งหมดถูกนำมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นแล้วจะมีความแตกต่างอันใดระหว่างผู้คน?  อย่างมากที่สุดจะมีความแตกต่างอยู่บ้างในเรื่องอาหารการกินและนิสัยการใช้ชีวิต  แต่เมื่อเป็นเรื่องของประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนอย่างแท้จริง เส้นทางที่พวกเขาเดิน และแก่นแท้ของมวลมนุษย์ หากผู้คนทั้งหมดใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานและความจริงเป็นเกณฑ์กำหนดของตน พวกเขาจะกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่สำคัญว่าเจ้าเป็นชาวตะวันออกหรือชาวตะวันตก สูงวัยหรือเยาว์วัย ชายหรือหญิง หรือไม่ว่าเจ้าจะเป็นปัญญาชน คนทำงาน หรือชาวนา ตราบใดที่เจ้าสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ ตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง จะยังคงมีการต่อสู้และความขัดแย้งระหว่างผู้คนอยู่หรือไม่?  จะไม่มี  ดังนั้นแล้วข้อกำหนดเด็กๆ เช่น “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” ยังคงถูกนำออกมาเป็นทางแก้ความขัดแย้งของผู้คนได้หรือ?  เหล่านี้ยังคงเป็นคติพจน์ที่ผู้คนยึดปฏิบัติตามในปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันได้หรือ?  กฎเกณฑ์ผิวเผินเช่นนี้ไม่มีคุณค่าต่อมวลมนุษย์ และไม่สามารถส่งผลกระทบต่อทัศนะของผู้คนต่อผู้คนและสิ่งต่างๆ รวมทั้งการวางตัวและการปฏิบัติตนของพวกเขาในชีวิตประจำวัน  ลองคิดดูว่าไม่เป็นเช่นนั้นหรือ?  (ใช่ มันเป็นเช่นนั้น)  เนื่องจากสิ่งเหล่านี้อยู่ห่างไกลจากความจริงมากเกินไป และไม่มีผลกระทบแต่อย่างใดต่อทัศนะที่ผู้คนมีต่อผู้คนและสิ่งต่างๆ หรือต่อการวางตัวและการปฏิบัติตนของพวกเขา จึงควรถูกสลัดทิ้งอย่างถาวร

เมื่อพิจารณาสิ่งที่พวกเราสามัคคีธรรมไปข้างต้นแล้ว สามารถพูดได้อย่างแน่นอนหรือไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าและความจริงเป็นเกณฑ์กำหนดที่ใช้ประเมินวัดผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทั้งหมด และวัฒนธรรมดั้งเดิมและบทคัมภีร์ทางศีลธรรมของสภาวะความเป็นมนุษย์เชื่อถือไม่ได้ และไม่ควรค่าที่จะเอ่ยถึงต่อหน้าพระวจนะของพระเจ้าและความจริง?  (ได้)  สำหรับข้อกำหนดทางศีลธรรมที่ “สูงส่ง” ที่ว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” ซึ่งมวลมนุษย์เคารพ ผู้คนควรคำนึงถึงด้วยมุมมองและทัศนะประเภทใด?  ผู้คนควรเคารพบูชาและเชื่อฟังคำพูดเช่นนี้ต่อไปหรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้วคำพูดเช่นนี้ต้องถูกสลัดทิ้งอย่างไร?  จงเริ่มต้นด้วยการไม่หุนหันพลันแล่นหรืออารมณ์วู่วามเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับเจ้า  จงปฏิบัติต่อทุกคนและทุกสิ่งอย่างถูกต้อง สงบสติอารมณ์ มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แสวงหาหลักธรรมของความจริงในพระวจนะของพระเจ้า และค้นหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติ เพื่อให้เจ้าสามารถปฏิบัติต่อผู้คนและเหตุการณ์ต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างแม่นยำ แทนที่จะถูกพันธนาการหรือเหนี่ยวรั้งโดยคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา”  การใช้ชีวิตแบบนั้นจะไม่ง่ายกว่าและน่าชื่นบานกว่าหรือ?  หากผู้คนไม่ยอมรับความจริง พวกเขาก็ไม่มีทางหลุดพ้นจากการเหนี่ยวรั้งโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในกลุ่มที่พวกเขาร่วมอาศัยอยู่  อาจมีใครบางคนที่เจ้าไม่รังแก แต่พวกเขาต้องการรังแกเจ้า  เจ้าต้องการเข้ากันได้ดีกับใครบางคน แต่พวกเขาสร้างความเดือดร้อนให้เจ้าอยู่เสมอ  เจ้าเฝ้าระวังตัวต่อผู้คนบางคนและหลีกเลี่ยงพวกเขา แต่พวกเขาไล่ล่าเจ้าและรังควานเจ้าต่อไปอยู่ดี  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริงและไม่มีพื้นฐานในพระวจนะของพระเจ้า ทั้งหมดที่เจ้าทำได้คือดิ้นรนต่อสู้พวกเขาต่อไปจนกว่าจะถึงที่สุด  หากปรากฏว่าเจ้าเผชิญคนพาลที่น่าเกรงขาม เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำกล่าวที่ว่า “ไม่เคยสายเกินไปสำหรับสุภาพบุรุษที่จะแก้แค้น”  เจ้าจะรอโอกาสที่เหมาะสมในการแก้แค้นเขา โดยใช้วิธีการที่เฉลียวฉลาดล้มเขา  เจ้าไม่เพียงแต่จะสามารถระบายความคับข้องใจของเจ้าได้ แต่เจ้ายังจะทำให้ทุกคนปรบมือให้เจ้าสำหรับสำนึกแห่งความชอบธรรมของเจ้า และทำให้พวกเขาคิดว่าเจ้าเป็นสุภาพบุรุษและเขาเป็นคนร้ายอีกด้วย  เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับวิธีการนี้?  นี่เป็นวิธีที่ถูกต้องในการวางท่าตัวเจ้าเองในโลกนี้หรือไม่?  (ไม่)  ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจ  ดังนั้นแล้วผู้ใดคือคนดี สุภาพบุรุษหรือคนร้าย?  (ไม่ดีทั้งคู่)  สุภาพบุรุษเหล่านั้นที่ผู้ไม่เชื่อเคารพเทิดทูนขาดคำบ่งชี้ไปหนึ่งคำ นั่นคือ “เทียมเท็จ”  พวกเขาเป็น “สุภาพบุรุษเทียมเท็จ”  ดังนั้นแล้วไม่ว่าพวกเจ้าจะทำสิ่งใด จงอย่าเป็นสุภาพบุรุษ เพราะสุภาพบุรุษทุกคนกำลังแสร้งทำ  ดังนั้นแล้วคนเราต้องประพฤติปฏิบัติตนอย่างไรให้คงอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง?  เป็นการดีหรือไม่ที่จะทำตัวเป็น “สุภาพบุรุษที่แท้จริง” ซึ่ง “หากเขาโบยตีผู้อื่นจะไม่โบยตีพวกเขาที่ใบหน้า และหากเขาร้องเรียกผู้อื่นจะไม่เปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา”?  (ไม่ดี)  สุภาพบุรุษและผู้คนที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นล้วนเทียมเท็จและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และพวกเขาเป็นสุภาพบุรุษเทียมเท็จ  พวกเขาทั้งหมดสามารถไปนรกได้!  เช่นนั้นแล้วคนเราควรวางตัวอย่างไร?  โดยเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง มองดูผู้คนและสิ่งต่างๆ และวางตัวและปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดพร้อมกับมีความเป็นเกณฑ์กำหนดของพวกเขา  โดยมีการวางตัวเช่นนี้เท่านั้นคนเราจึงจะเป็นบุคคลที่แท้จริงได้  นี่เป็นวิธีที่ถูกต้องหรือไม่?  (เป็น)  เจ้าควรทำอย่างไรหากมีใครบางคนคอยเปิดผยข้อบกพร่องของเจ้าอยู่เรื่อย?  เจ้าอาจพูดว่า “ถ้าคุณร้องเรียกฉัน ฉันก็จะร้องเรียกคุณด้วย!”  เป็นการดีหรือที่จะมุ่งเป้ากันแบบนี้?  นั่นใช่วิธีที่ผู้คนควรวางตัว ปฏิบัติตน และปฏิบัติต่อผู้อื่นหรือ?  (ไม่ใช่)  ผู้คนอาจรู้ว่าพวกเขาไม่ควรทำสิ่งนี้อันเป็นเรื่องของคำสอน แต่ทว่าผู้คนมากมายยังคงไม่สามารถเอาชนะการทดลองและกับดักเช่นนี้ได้  อาจเป็นไปได้ว่าเจ้าไม่เคยได้ยินผู้ใดเปิดเผยข้อบกพร่องของเจ้า หรือมุ่งเป้าไปที่เจ้า หรือตัดสินเจ้าลับหลัง—แต่เมื่อเจ้าได้ยินใครบางคนพูดสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็จะทนไม่ได้  หัวใจของเจ้าจะเต้นเร็วขึ้น และความใจร้อนของเจ้าจะออกมา เจ้าจะพูดว่า “คุณกล้าดีอย่างไรมาร้องเรียกฉัน?  ถ้าคุณไม่ปรานีปราศรัยกับฉัน ฉันจะเล่นงานคุณ!  ถ้าคุณเปิดเผยข้อบกพร่องของฉัน อย่าคิดว่าฉันจะไม่เปิดเผยจุดเจ็บปวดของคุณ!”  คนอื่นพูดว่า “มีคำกล่าวอยู่ว่า ‘หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา’ ดังนั้นฉันจะไม่เปิดเผยข้อบกพร่องของคุณ แต่ฉันจะหาวิธีอื่นจัดการคุณและลดความโอหังของคุณ  พวกเรามาดูกันว่าใครแข็งแกร่ง!”  วิธีการเหล่านี้ดีหรือไม่?  (ไม่)  สำหรับแทบทุกคน หากพวกเขาพบว่ามีใครบางคนร้องเรียกพวกเขา ตัดสินพวกเขา หรือพูดบางสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับพวกเขาลับหลัง ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาจะเป็นความโกรธ  พวกเขาจะขนพองด้วยความเดือดดาล กินไม่ได้นอนไม่หลับ—และหากพวกเขานอนหลับสำเร็จ พวกเขาก็จะถึงกับสบถในความฝัน!  ความหุนหันพลันแล่นของพวกเขาไม่มีขอบเขต!  นี่เป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะได้  นี่คือผลกระทบที่ความหุนหันพลันแล่นมีต่อผู้คน ผลลัพธ์ชั่วที่มาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  เมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามกลายเป็นชีวิตของใครบางคน สิ่งนี้แสดงให้เห็นที่ใดเป็นหลัก?  สิ่งนี้แสดงให้เห็นตรงที่ว่าเมื่อบุคคลนั้นเผชิญบางสิ่งที่พวกเขาพบว่าไม่น่าพอใจ สิ่งนั้นส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของเขาก่อน และจากนั้นความหุนหันพลันแล่นของบุคคลนั้นจะระเบิดออกมา  และเมื่อเป็นเช่นนั้น บุคคลนั้นจะดำเนินชีวิตอย่างหุนหันพลันแล่น และคำนึงถึงเรื่องนี้ว่าเป็นผลของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  ทัศนะทางปรัชญาของซาตานจะเกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาจะเริ่มพิจารณาว่าพวกเขาจะใช้วิธีและวิถีทางใดเพื่อแก้แค้น ส่งผลให้เป็นการตีแผ่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา  แนวคิดและมุมมองของผู้คนในการจัดการปัญหาเช่นนี้ และวิธีและวิถีทางที่พวกเขาคิดขึ้น และแม้กระทั่งความรู้สึกและความหุนหันพลันแล่นของพวกเขาล้วนมาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ดังนั้นแล้วอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดเกิดขึ้นในกรณีนี้?  อย่างแรกคือการปองร้ายอย่างแน่นอน ตามมาด้วยความโอหัง เล่ห์ลวง ความชั่ว ความไม่ยอมอ่อนข้อ ความรังเกียจความจริง และความเกลียดชังความจริง  ในบรรดาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ ความโอหังอาจมีอิทธิพลน้อยที่สุด  เช่นนั้นแล้วอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดสามารถที่สุดในการมีอำนาจครอบงำความรู้สึกและความคิดของบุคคล และกำหนดว่าในที่สุดแล้วพวกเขาจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?  คือการปองร้าย ความไม่ยอมอ่อนข้อ ความรังเกียจความจริง และความเกลียดชังความจริง  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ผูกมัดบุคคลไว้ในพันธนาการอันแน่นหนา และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในตาข่ายของซาตาน  ตาข่ายของซาตานเกิดขึ้นได้อย่างไร?  เกิดขึ้นจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมิใช่หรือ?  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าได้ถักทอตาข่ายของซาตานทุกประเภทไว้ให้เจ้า  ตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้าได้ยินว่าใครบางคนกำลังทำบางสิ่ง เช่น ตัดสินเจ้า สาปแช่งเจ้า หรือเปิดเผยข้อบกพร่องของเจ้าลับหลัง เจ้าก็ปล่อยให้ปรัชญาของซาตานและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเป็นชีวิตของเจ้าและมีอำนาจครอบงำความคิด ทัศนะ และความรู้สึกของเจ้า ส่งผลให้เกิดการกระทำหลายอย่างต่อเนื่องกัน  การกระทำอันเสื่อมทรามเหล่านี้โดยหลักแล้วเป็นผลมาจากการที่เจ้ามีธรรมชาติและอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมของเจ้าจะเป็นอย่างไร ตราบใดที่เจ้าถูกผูกมัด ควบคุม และครอบงำโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ใช้ชีวิตตาม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าเปิดเผย และทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าแสดงให้เห็น—หรือความรู้สึกของเจ้า ความคิดและทัศนะของเจ้า และวิธีและวิถีทางที่เจ้าทำสิ่งต่างๆ—ล้วนเป็นของซาตาน  สิ่งเหล่านี้ล้วนล่วงละเมิดความจริงและเป็นปรปักษ์กับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง  ยิ่งเจ้าออกห่างจากพระวจนะของพระเจ้าและความจริงมากเพียงใด เจ้าก็ยิ่งถูกตาข่ายของซาตานควบคุมและดักจับมากขึ้นเพียงนั้น  แต่หากว่าแทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้ากลับสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการและการควบคุมของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า และละทิ้งอุปนิสัยเหล่านี้ มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และลงมือแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการและหลักธรรมที่พระวจนะของพระเจ้าบอกเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะค่อยๆ หลุดพ้นจากตาข่ายของซาตาน  หลังจากที่หลุดพ้นแล้ว สิ่งที่เจ้าใช้ชีวิตตามจะไม่ใช่สภาพเหมือนเก่าดังเดิมของบุคคลเยี่ยงซาตานที่ถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาควบคุมอีกต่อไป แต่เป็นของบุคคลใหม่ที่รับเอาพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นชีวิตของตน  หนทางการใช้ชีวิตของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด  แต่หากเจ้ายอมจำนนให้แก่ความรู้สึก ความคิด ทัศนะ และการปฏิบัติที่อุปนิสัยเยี่ยงซาตานทำให้เกิดขึ้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะยึดติดในเพลงสวดของปรัชญาของซาตานและเทคนิคต่างๆ เช่น “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” “ไม่เคยสายเกินไปสำหรับสุภาพบุรุษที่จะแก้แค้น” “เป็นคนเลวจริงๆ ดีกว่าเป็นสุภาพบุรุษเทียมเท็จ” “ผู้ที่ไม่แสวงหาการแก้แค้นไม่ใช่บุรุษ”  สิ่งเหล่านี้จะอยู่ในหัวใจของเจ้า บงการการกระทำของเจ้า  หากเจ้าใช้ปรัชญาของซาตานเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำหรับการกระทำของเจ้า ลักษณะของการกระทำของเจ้าจะเปลี่ยนไป และเจ้าจะกำลังทำชั่ว และต้านทานพระเจ้า  หากเจ้าใช้ความคิดแลทัศนะที่เป็นลบเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำหรับการกระทำของเจ้า เห็นได้ชัดว่าเจ้าได้ไถลห่างไปมากจากหลักคำสอนและพระวจนะของพระเจ้า และเจ้าได้ตกลงไปในตาข่ายของซาตานและไม่สามารถปลดปล่อยตนเองได้  เจ้าใช้ชีวิตแทบจะทุกวันอยู่ท่ามกลางอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน—เจ้าอาศัยอยู่ในตาข่ายของซาตาน  รากเหง้าของความทรมานของผู้คนคือพวกเขาถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตนควบคุม ถึงขั้นที่ไม่สามารถปลดปล่อยตนเองได้  พวกเขาดำเนินชีวิตอยู่ในบาป และทนทุกข์ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใด  เจ้ารู้สึกทรมานแม้ในยามที่เจ้าได้ชนะคู่ต่อสู้แล้ว เพราะเจ้าไม่รู้ว่าศัตรูคนต่อไปที่เจ้าเผชิญคือใคร และเจ้าจะสามารถเอาชนะพวกเขาด้วยวิธีเดียวกันได้หรือไม่  เจ้ากลัวและทรมาน  แล้วคนที่พ่ายแพ้นั่นล่ะ?  แน่นอนว่าพวกเขาก็ทรมานเช่นเดียวกัน  เมื่อถูกรังแกพวกเขารู้สึกว่าตนไม่มีศักดิ์ศรีหรือความซื่อตรงในชีวิต  การถูกรังแกนั้นยากที่รับได้ ดังนั้นพวกเขาจึงรอจังหวะที่เหมาะสมอยู่เสมอเพื่อโจมตีและแสวงหาโอกาสแก้แค้น—ตาต่อตา ฟันต่อฟัน—เพื่อแสดงให้คู่ต่อสู้เห็นว่าเพื่อสิ่งใด  กรอบความคิดเช่นนี้ก็เป็นความทรมานเช่นกัน  กล่าวสั้นๆ ก็คือทั้งผู้ที่แก้แค้นและผู้ที่ถูกแก้แค้นเช่นกันต่างก็อาศัยอยู่ในตาข่ายของซาตาน ทำชั่วอยู่เสมอ มองหาหนทางที่จะออกไปจากสถานการณ์ล่อแหลมของตนอยู่เสมอ และปรารถนาที่จะพบความสงบสุข ความสุข และความปลอดภัย  ในด้านหนึ่ง ผู้คนถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามควบคุม และใช้ชีวิตอยู่ในตาข่ายของซาตาน เลือกใช้วิธีการ ความคิด และมุมมองต่างๆ ที่ซาตานให้พวกเขาแก้ไขประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นรอบตัวพวกเขา  ในอีกด้านหนึ่ง ผู้คนยังคงหวังที่จะได้บรรลุสันติสุขและความสุขจากพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม เพราะพวกเขาถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานผูกมัด และติดกับอยู่ในตาข่ายของซาตานตลอดเวลา ไม่สามารถละทิ้งและออกจากสิ่งนั้นอย่างรู้สึกตัวได้ และเพราะพวกเขายิ่งห่างจากพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมของความจริง ผู้คนจึงไม่มีวันสามารถบรรลุความชูใจ ความยินดี สันติสุข และความสุขที่มาจากพระเจ้าได้  ในที่สุดแล้วผู้คนอาศัยอยู่ในสภาวะใด?  พวกเขาไม่สามารถลุกขึ้นมาทำกิจไล่ตามเสาะหาความจริงได้ แม้ว่าพวกเขาต้องการเช่นนั้น และพวกเขาไม่สามารถทำตามข้อกำหนดของพระเจ้าได้ แม้ว่าพวกเขาปรารถนาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม  พวกเขาติดอยู่ตรงที่ที่ตนอยู่นั่นเอง  นี่เป็นความทรมานที่เจ็บปวดรวดร้าว  ผู้คนมีชีวิตอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน โดยไม่คำนึงถึงตนเอง  พวกเขาเป็นเหมือนปีศาจมากกว่าผู้คน อาศัยอยู่ในมุมมืดบ่อยครั้ง มองหาวิธีการที่ชั่วร้ายและน่าละอายเพื่อใช้แก้ไขความลำบากยากเย็นมากมายที่พวกเขาเผชิญ  ข้อเท็จจริงคือลึกลงไปในดวงจิตของพวกขา ผู้คนเต็มใจเป็นคนดีและปรารถนาเข้าหาความสว่าง  พวกเขาหวังที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรี  พวกเขายังหวังอีกด้วยว่าพวกเขาสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงและพึ่งพาพระวจนะของพระเจ้าในการดำเนินชีวิต และทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตและความเป็นจริงของตน แต่พวกเขาไม่มีวันสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ และแม้พวกเขาเข้าใจคำสอนมากมาย แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของตนได้  ผู้คนถูกกระเทกไปมาในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ ไม่สามารถไปข้างหน้าได้และไม่เต็มใจถอยกลับ  พวกเขาติดอยู่ตรงที่ที่พวกเขาอยู่  และความรู้สึก “ติด” เป็นความรู้สึกของความทุกข์—ความทุกข์ใหญ่หลวง  ผู้คนมีเจตจำนงที่จะปรารถนาเข้าหาความสว่าง และพวกเขาไม่เต็มใจที่จะจากพระวจนะของพระเจ้าและเส้นทางที่ถูกต้องไป  อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ยอมรับความจริง และไม่สามารถนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติได้ และยังคงไม่สามารถปลดทิ้งพันธนาการและการควบคุมของอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันเสื่อมทรามของตนได้  ในที่สุดแล้วพวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ในความทุกข์เท่านั้น โดยไม่มีความสุขที่แท้จริงอันใด  นี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นอยู่หรือ?  (ใช่)  ไม่ว่าจะอย่างไรหากผู้คนต้องการปฏิบัติความจริงและได้รับความจริง พวกเขาต้องผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าทีละเล็กทีละน้อย เริ่มจากสิ่งเล็กๆ เพื่อกำจัดอิทธิพลที่คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้มีต่อแนวคิดและมุมมองของพวกเขา และการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเขา  นี่คือกุญแจสำคัญ ประเด็นปัญหาเหล่านี้ต้องได้รับการแก้ไข

หากผู้คนต้องการเปลี่ยนอุปนิสัยของตนและบรรลุความรอด พวกเขาไม่เพียงต้องมีความมุ่งมั่นเท่านั้น แต่ยังต้องมีกรอบความคิดที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอีกด้วย  พวกเขาต้องดึงเอาประสบการณ์จากความล้มเหลวของตน และได้รับเส้นทางแห่งการปฏิบัติจากประสบการณ์ของตน จงอย่าคิดลบและหมดกำลังใจเมื่อเจ้าล้มเหลว และอย่ายอมแพ้เป็นอันขาด  แต่เจ้าก็ไม่ควรชะล่าใจเมื่อเจ้าได้กำไรพอประมาณ  ไม่ว่าเจ้าจะล้มเหลวหรืออ่อนแอลงในการทำ นี่ไม่บงการว่าเจ้าจะไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ในอนาคต  เจ้าต้องเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า กลับลุกขึ้นยืน ยึดปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และสู้รบกับอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันเสื่อมทรามของเจ้าต่อไป  คนเราต้องเริ่มต้นด้วยการเห็นอย่างชัดเจนถึงอันตรายและอุปสรรคที่ข้อกำหนดและคำกล่าวต่างๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่มาจากซาตานก่อให้แก่การไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้คน  เป็นคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ที่ผูกมัดและหน่วงเหนี่ยวจิตใจของผู้คนอยู่เนืองนิตย์ ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนอีกด้วย  แน่นอนว่าคำกล่าวเหล่านั้นยังลดคุณค่าการยอมรับความจริงและพระวจนะของพระเจ้าของผู้คนในระดับต่างๆ อีกด้วย ทำให้ผู้คนกังขาและต้านทานความจริง  คำกล่าวเช่นนี้คำกล่าวหนึ่งคือ “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา”  ปรัชญาในการดำเนินชีวิตข้อนี้หยั่งรากลงไปในดวงจิตอันเยาว์วัยของผู้คน และผู้คนได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและทัศนะประเภทนี้โดยไม่รู้ตัวในการที่พวกเขาคำนึงถึงผู้อื่นและกิริยามารยาทของพวกเขาในการจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวพวกเขา  แนวคิดและทัศนะเหล่านี้ฟอกขาวและปกปิดอุปนิสัยแห่งความชั่ว เล่ห์ลวง และการปองร้ายอย่างมีประสิทธิผลท่ามกลางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน  แนวคิดและทัศนะเหล่านี้ไม่เพียงล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนฉลาดแกมโกงและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมากขึ้น ซึ่งทำให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนรุนแรงขึ้นอีกด้วย  กล่าวสั้นๆ คือคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมและปรัชญาในการดำเนินชีวิตในวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้ไม่เพียงมีอิทธิพลต่อความคิดและทัศนะของผู้คนเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบที่ลุ่มลึกต่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนอีกด้วย  เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องเข้าใจอิทธิพลที่แนวคิดและทัศนะด้านวัฒนธรรมดั้งเดิมเช่น “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” มีต่อผู้คน นี่ต้องไม่ถูกเพิกเฉย

เมื่อสักครู่นี้ พวกเราสามัคคีธรรมโดยส่วนใหญ่ว่าเมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างผู้คน จะเข้าหาความขัดแย้งเหล่านี้ผ่านทางคำกล่าวและทัศนะด้านวัฒนธรรมดั้งเดิม หรือจะเข้าหาความขัดแย้งเหล่านี้ตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมของความจริง และเป็นทัศนะด้านวัฒนธรรมดั้งเดิมที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ หรือเป็นพระวจนะของพระเจ้าและความจริงที่สามารถแก้ไขปัญหาของมนุษย์ได้  เมื่อผู้คนเห็นสิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจน พวกเขาก็จะเลือกได้อย่างถูกต้อง และจะง่ายกว่าที่จะแก้ไขความขัดแย้งกับผู้อื่นตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง  เมื่อปัญหาเช่นนั้นได้รับการแก้ไข ประเด็นปัญหาเรื่องความคิดของผู้คนถูกครอบงำและผูกมัดด้วยคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” โดยพื้นฐานแล้วจะได้รับการแก้ไขเช่นกัน  พฤติกรรมของผู้คนจะไม่ได้รับผลกระทบจากแนวคิดและทัศนะประเภทนี้ อย่างน้อยที่สุด พวกเขาจะสามารถหลุดพ้นจากตาข่ายหลอกลวงของซาตาน ได้รับความจริงจากพระวจนะของพระเจ้า ค้นพบหลักธรรมของความจริงสำหรับปฏิสัมพันธ์กับผู้คน และทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของพวกเขา  เพียงชำแหละและวินิจฉัยตามพระวจนะของพระเจ้า ทัศนะที่ผิดพลาดด้านวัฒนธรรมดั้งเดิม และการผูกมัดและพันธนาการของปรัชญาของซาตานก็สามารถทำให้คนเราเข้าใจความจริงและพัฒนาวิจารณญาณได้  นี่ช่วยให้คนเราสามารถปลดเปลื้องอิทธิพลของซาตานและได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการของบาป  ด้วยวิธีนี้ พระวจนะของพระเจ้าและความจริงกลายเป็นชีวิตของเจ้า แทนที่ชีวิตเก่าของเจ้าที่มีปรัชญาและอุปนิสัยของซาตานเป็นแก่นแท้  เช่นนั้นแล้วเจ้าจะกลายเป็นคนละคน  แม้ว่าบุคคลผู้นี้จะยังคงเป็นเจ้า แต่ก็เป็นบุคคลใหม่ที่อุบัติขึ้นมา เป็นผู้ที่รับเอาพระวจนะของพระเจ้าและความจริงมาเป็นชีวิตของตน  พวกเจ้าเต็มใจเป็นบุคคลเช่นนี้หรือไม่?  (เต็มใจ)  เป็นบุคคลเช่นนี้ดีกว่า—อย่างน้อยเจ้าจะเป็นสุข  เมื่อเจ้าเริ่มปฏิบัติความจริงเป็นครั้งแรก จะมีความลำบากยากเย็น อุปสรรค และความเจ็บปวด แต่หากเจ้าสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความลำบากยากเย็นของเจ้าจนกระทั่งเจ้าได้วางรากฐานในพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วความเจ็บปวดจะสิ้นสุด และขณะที่ชีวิตของเจ้าดำเนินไป เจ้าจะเป็นสุขมากขึ้นและสบายใจมากขึ้น  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนั้น?  เพราะอิทธิพลและการควบคุมของสิ่งที่เป็นลบเหล่านั้นในตัวเจ้าจะค่อยๆ เบาบางลง และเมื่อเป็นเช่นนั้น พระวจนะของพระเจ้าและความจริงก็จะเข้าสู่ตัวเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และภาพจำของพระวจนะและความจริงของพระเจ้าในหัวใจของเจ้าจะกลายเป็นลุ่มลึกมากขึ้นเรื่อยๆ  การตระหนักรู้ของเจ้าในการแสวงหาความจริงจะเข้มแข็งขึ้นและเฉียบคมขึ้น และเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับเจ้า เส้นทางภายใน ทิศทาง และจุดหมายแห่งการปฏิบัติของเจ้าจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเจ้าสู้รบภายใน สิ่งที่เป็นบวกจะได้เปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ  เช่นนั้นแล้วความสุขในชีวิตของเจ้าจะไม่เพิ่มขึ้นหรือ?  แล้วสันติสุขและความยินดีที่เจ้าได้รับจากพระเจ้าจะไม่เพิ่มขึ้นหรือ?  (จะเพิ่มขึ้น)  จะมีสิ่งต่างๆ น้อยลงในชีวิตของเจ้าที่ทำให้เจ้าเป็นทุกข์ ปวดร้าว ซึมเศร้า และขุ่นข้องหมองใจ ในหมู่ความรู้สึกที่เป็นลบทั้งหลาย  แทนที่สิ่งเหล่านี้ พระวจนะของพระเจ้าจะกลายเป็นชีวิตของเจ้า นำความหวัง ความสุข ความยินดี อิสรภาพ การปลดปล่อย และเกียรติยศมาให้เจ้า  เมื่อสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้เพิ่มขึ้น ผู้คนจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง  เมื่อถึงเวลานั้น จงตรวจดูว่าเจ้ารู้สึกอย่างไรและเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ กับเมื่อก่อน นั่นคือสิ่งเหล่านี้ไม่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากหนทางชีวิตก่อนหน้าของเจ้าเลยหรือ?  เฉพาะเมื่อเจ้าปลดเปลื้องตาข่ายของซาตานและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมัน ความคิดและมุมมองของมัน รวมทั้งวิธีการ มุมมอง และหลักปรัชญาต่างๆ ของมันในการมองดูผู้คนและสิ่งต่างๆ และเพื่อการวางตัวและการปฏิบัติตน—เฉพาะเมื่อเจ้าได้ปลดเปลื้องสิ่งเหล่านี้ออกไปอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ และสามารถปฏิบัติความจริงและมองดูผู้คนและสิ่งต่างๆ ปฏิบัติต่อผู้อื่น และมีปฏิสัมพันธ์กับพวกนั้นตามพระวจนะของพระเจ้า และผ่านประสบการณ์ในพระวจนะของพระองค์ว่าการปฏิบัติต่อผู้คนตามหลักธรรมของความจริงและดำเนินชีวิตด้วยความสบายใจและความยินดีนั้นดีอย่างแท้จริงอย่างไร—เมื่อนั้นนั่นเองที่เจ้าจะได้บรรลุความสุขที่แท้จริง

วันนี้ พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงและชำแหละคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา”  พวกเจ้าเข้าใจปัญหาของสำนวนนี้ในตัวเองหรือไม่?  (เข้าใจ)  เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าเข้าใจอีกด้วยหรือไม่ว่าข้อกำหนดของพระเจ้าสำหรับมนุษย์คืออะไร?  (เข้าใจ)  เมื่อเข้าใจสิ่งนั้นแล้ว ในที่สุดเจ้าจะทำให้สิ่งนั้นเป็นจริงในตัวเจ้าอย่างไร?  โดยไม่หุนหันพลันแล่นเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า หรือมองหาพื้นฐานในวัฒนธรรมดั้งเดิม หรือมองหาพื้นฐานในกระแสนิยมทางสังคม หรือมองหาพื้นฐานในความคิดเห็นสาธารณะ หรือแน่นอน มองหาพื้นฐานในข้อกำหนดทางกฎหมาย  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น จงมองหาพื้นฐานในพระวจนะของพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าความเข้าใจความจริงของเจ้าลุ่มลึกหรือผิวเผินเพียงใด การที่นั่นสามารถแก้ไขปัญหาได้ก็เพียงพอแล้ว  เจ้าต้องเห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเจ้าอาศัยอยู่ในโลกที่ชั่วและอันตราย  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าก็เพียงสามารถติดตามกระแสนิยมของสังคมและถูกพัดพาเข้าสู่วังวนแห่งความชั่ว  ดังนั้นแล้วเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าควรทำสิ่งใดก่อน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม?  ก่อนอื่นเจ้าต้องสงบสติอารมณ์ นิ่งเงียบตนเองเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และอ่านพระวจนะของพระองค์บ่อยๆ  นี่จะทำให้เจ้าสามารถมีความชัดเจนในการมองเห็นและความคิด และมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าซาตานกำลังหลอกลวงและทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์เสื่อมทราม และพระเจ้าได้เสด็จมาเพื่อช่วยกู้เผ่าพันธุ์มนุษย์นี้จากอิทธิพลของซาตาน  แน่นอนว่านี่เป็นบทเรียนพื้นฐานที่สุดที่เจ้าควรเรียนรู้  เจ้าต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าและแสวงหาความจริงจากพระองค์ และขอให้พระองค์ทรงนำเจ้า—เพื่อนำเจ้าสู่การอ่านพระวจนะที่ตรงประเด็นของพระองค์ เพื่อนำเจ้าสู่การได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างที่ตรงประเด็น เพื่อให้เจ้าเข้าใจแก่นแท้ของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าเจ้า และวิธีที่เจ้าควรพิจารณาและจัดการสิ่งนี้  เช่นนั้นแล้วจงใช้วิธีการที่พระเจ้าทรงสอนและตรัสบอกให้เจ้าเผชิญหน้าและจัดการเรื่องนี้  เจ้าควรพึ่งพาพระเจ้าทั้งหมดและอย่างครบถ้วนบริบูรณ์  จงให้พระเจ้าเป็นใหญ่ จงให้พระเจ้าเป็นองค์เจ้านาย  เมื่อเจ้าสงบปากสงบคำแล้ว คำถามก็จะไม่เกี่ยวกับการใช้ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าเองพิจารณาว่าจะใช้กลวิธีหรือวิธีการใด และก็จะไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติตนตามประสบการณ์ของเจ้าเอง หรือตามปรัชญาและเล่ห์หลี่ยมของซาตาน  แต่เกี่ยวกับการคอยความรู้แจ้งของพระเจ้าและการนำจากพระวจนะของพระองค์เสียมากกว่า  สิ่งที่เจ้าต้องทำคือปล่อยมือจากเจตจำนงของเจ้า ละวางความคิดและทัศนะของเจ้า มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยความเคารพ ฟังพระวจนะที่พระองค์ตรัสบอกเจ้า และความจริงที่พระองค์ตรัสบอกเจ้า และหลักคำสอนที่พระองค์ทรงแสดงให้เจ้าเห็น  เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องนิ่งเงียบตนเองและใคร่ครวญอย่างละเอียด และอธิษฐานพลางอ่านพระวจนะที่พระเจ้าทรงสอนเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้เข้าใจอย่างแน่ชัดว่าพระเจ้าทรงต้องการให้เจ้าทำสิ่งและเจ้าควรทำสิ่งใด  หากเจ้าสามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าหมายถึงสิ่งใดจริงๆ และหลักคำสอนของพระองค์คือสิ่งใด เช่นนั้นแล้วเจ้าควรขอบคุณพระเจ้าเสียก่อนสำหรับการจัดแจงเตรียมการสภาพแวดล้อม และให้โอกาสเจ้าตรวจสอบยืนยันพระวจนะของพระองค์ ทำให้พระวจนะเป็นจริง และ ใช้ชีวิตตามพระวจนะเหล่านี้ เพื่อให้พระวจนะกลายเป็นชีวิตในหัวใจของคุณ และเพื่อให้สิ่งที่เจ้าใช้ชีวิตตามสามารถเป็นพยานยืนยันได้ว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง  โดยปกติแล้ว เมื่อเจ้าจัดการปัญหาเหล่านี้ อาจมีทั้งสุขและทุกข์ ความลำบากยากเย็นและความยากลำบากมากมาย รวมถึงการสู้รบบ้าง และการกล่าวอ้างและข้อคิดเห็นบ้างจากผู้คนที่หลากหลาย  แต่ตราบใดที่เจ้าแน่ใจว่าพระวจนะของพระเจ้าชัดเจนมากเกี่ยวกับปัญหาเช่นนี้ และสิ่งที่เจ้าเข้าใจและเชื่อฟังคือหลักคำสอนของพระเจ้า ตราบนั้นเจ้าก็ควรนำไปปฏิบัติโดยไม่ลังเล  เจ้าไม่ควรถูกสภาพแวดล้อมของเจ้า หรือบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งใดทำให้ชะงัก  เจ้าควรหนักแน่นต่อไปในจุดยืนของเจ้า  การยึดติดในหลักธรรมของความจริงไม่ใช่ความโอหังหรือความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ  เมื่อเจ้าเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าแล้ว และมองดูผู้คนและสิ่งต่างๆ และวางตัวและปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระองค์ และสามารถยึดมั่นในหลักธรรมโดยไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เจ้าก็กำลังปฏิบัติความจริง  นี่คือท่าทีและความมุ่งมั่นประเภทที่ผู้ที่ปฏิบัติและไล่ตามเสาะหาความจริงควรมี

พวกเราได้สามัคคีธรรมมามากพอแล้วถึงปัญหาที่เกี่ยวกับสำนวนที่ว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา”  พวกเจ้ายังคงมีความลำบากยากเย็นในการเข้าใจปัญหาเช่นนั้นหรือไม่?  พวกเจ้าได้รับความเข้าใจใหม่ทั้งหมดเกี่ยวกับคำกล่าวนี้ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมผ่านทางการสามัคคีธรรมและการวิเคราะห์ในวันนี้หรือไม่?  (ได้รับ)  ตามความเข้าใจใหม่ทั้งหมดที่เจ้ามีนี้ เจ้าจะยังคงถือว่าคำกล่าวนี้เป็นความจริงและสิ่งที่เป็นบวกหรือไม่?  (ไม่)  อาจเป็นไปได้ว่าอิทธิพลที่คำกล่าวนี้มีต่อผู้คนยังคงดำรงอยู่ในส่วนลึกของจิตใจของพวกเขา และในจิตใต้สำนึกของพวกเขา แต่โดยผ่านทางการสามัคคีธรรมในวันนี้ ผู้คนได้ละทิ้งคำกล่าวนี้ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมจากความคิดและจิตสำนึกของตน  ดังนั้นแล้วเจ้าจะยังคงยึดปฏิบัติตามคำกล่าวนี้ในปฏิสัมพันธ์ของเจ้ากับผู้อื่นหรือไม่?  เมื่อเจ้าเผชิญความขัดแย้ง เจ้าควรทำสิ่งใด?  (ก่อนอื่นพวกเราควรละทิ้งปรัชญาของซาตานที่ว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา”  พวกเราควรมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างนิ่งสงบ เพื่ออธิษฐานและแสวงหาความจริง และค้นหาหลักธรรมของความจริงในพระวจนะของพระเจ้าที่ควรนำไปปฏิบัติ)  หากพวกเราไม่สามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้ พวกเจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าไม่เคยมองดูผู้คนและสิ่งต่างๆ หรือวางตัวหรือปฏิบัติตนตามเกณฑ์กำหนดทางศีลธรรมที่ว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา”  ในเมื่อบัดนี้ปัญหานี้ถูกเปิดโปงแล้ว จงดูด้วยตัวเจ้าเองว่าเจ้าได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและทัศนะเช่นนี้หรือไม่ เมื่อบางสิ่งที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นกับคุณครั้งต่อไป กล่าวคือสิ่งเหล่านี้ดำรงอยู่ในแนวคิดและทัศนะของเจ้าหรือไม่  ในเวลานั้นเจ้าจะค้นพบโดยปกติว่ามีหลายเรื่องที่เจ้าได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและทัศนะเช่นนี้ ซึ่งหมายความว่าในหลายสภาพแวดล้อมและเมื่อมีหลายสิ่งเกิดขึ้น เจ้ายังคงได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและทัศนะเช่นนี้ และแนวคิดและทัศนะเช่นนี้ได้หยั่งรากลงไปในดวงจิตของเจ้า และบงการคำพูดและการกระทำของเจ้า และบงการความคิดของเจ้าต่อไป  หากเจ้าไม่มีการตระหนักรู้เช่นนี้ และเจ้าไม่เอาใจใส่หรือไล่ตามประเด็นปัญหานี้ เจ้าจะไม่รู้ว่ามีประเด็นปัญหานี้อยู่อย่างแน่นอน และเจ้าจะไม่รู้ว่าเจ้าได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและทัศนะเช่นนี้หรือไม่  เมื่อเจ้าไล่ตามและละเอียดลออกับประเด็นปัญหานี้อย่างแท้จริง เจ้าจะพบว่าพิษของวัฒนธรรมดั้งเดิมพรั่งพรูออกมาในจิตใจของเจ้าบ่อยครั้ง  ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่มีสิ่งเหล่านั้น เพียงแต่ว่าเจ้าไม่เคยถือจริงจังกับสิ่งเหล่านั้นมาก่อน หรือเจ้าล้มเหลวอย่างยิ่งที่จะตระหนักอย่างแน่ชัดว่าแก่นแท้ของคำกล่าวเหล่านี้ทางวัฒนธรรมดั้งเดิมคือสิ่งใด  ดังนั้นแล้วเจ้าต้องทำสิ่งใดเพื่อที่จะตระหนักรู้ปัญหาเช่นนี้ในส่วนลึกของจิตใจของเจ้า?  พวกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะใคร่ครวญและพิจารณา  คนเราควรใคร่ครวญและพิจารณาอย่างไร?  คำสองคำนี้ฟังดูเรียบง่ายมาก ดังนั้นแล้วคนเราควรเข้าใจคำสองคำนี้อย่างไร?  ตัวอย่างเช่น สมมติว่าเจ้ากำลังเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับพระเจ้ากับผู้คนบางคนที่กำลังสำรวจหนทางที่แท้จริง  ในขั้นต้นพวกเขาอาจเต็มใจฟัง แต่หลังจากที่เจ้าได้สามัคคีธรรมมาระยะหนึ่ง พวกเขาบางคนไม่ต้องการฟังอีกต่อไป  ที่จุดนั้น เจ้าต้องคิดว่า “เกิดอะไรขึ้นที่นี่?  การสามัคคีธรรมของฉันไม่ได้ปรับแต่งให้เข้ากับมโนคติอันหลงผิดและปัญหาของพวกเขามากนักหรือ?  หรือว่าฉันไม่ได้สามัคคีธรรมถึงความจริงอย่างชัดเจนและสามารถเข้าใจได้?  หรือพวกเขาได้ถูกข่าวลือหรือเหตุผลวิบัติที่พวกเขาเคยได้ยินมารบกวน?  เหตุใดพวกเขาบางคนจึงจะไม่สำรวจต่อไป?  ปัญหาคืออะไรกันแน่?”  นี่คือการใคร่ครวญมิใช่หรือ?  การขบคิดเรื่องนี้โดยนำทุกด้านมาร่วมพิจารณา ไม่ทิ้งรายละเอียดแม้แต่อย่างเดียว  จุดหมายของเจ้าในการพิจารณาสิ่งเหล่านี้คือสิ่งใด?  คือการค้นหารากเหง้าและแก่นแท้ของปัญหา แล้วจึงแก้ไขปัญหานั้น  หากเจ้าไม่สามารถหาคำตอบของปัญหาเหล่านี้ได้ไม่ว่าเจ้าจะขบคิดเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้มากเพียงใด เจ้าก็ควรหาใครบางคนที่เข้าใจความจริงและแสวงหาจากพวกเขา  จงมองดูว่าพวกเขาเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างไร และพวกเขาได้รับความรู้สึกที่ถูกต้องแม่นยำอย่างไรต่อมโนคติอันหลงผิดหลักของผู้คนที่กำลังสำรวจอย่างไร และพวกเขาแก้ไขปัญหาเหล่านี้โดยการสามัคคีธรรมถึงความจริงตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร  นั่นไม่ทำให้การกระทำเริ่มต้นหรือ?  การพิจารณาเป็นขั้นตอนแรก การกระทำคือขั้นตอนที่สอง  เหตุผลในการกระทำคือเพื่อตรวจสอบยืนยันว่าปัญหาที่เจ้ากำลังพิจารณาถูกปัญหาหรือไม่ เจ้าไปนอกลู่นอกทางแล้วหรือไม่  เมื่อเจ้าพบว่าปัญหาเกิดจากที่ใด เจ้าจะเริ่มตรวจสอบยืนยันว่าปัญหาที่เจ้ากำลังพิจารณาถูกปัญหาหรือผิด  เช่นนั้นแล้วจงลงมือแก้ไขปัญหาที่เจ้าได้ตรวจสอบยืนยันแล้วว่าถูกปัญหา  ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้คนที่กำลังสำรวจหนทางที่แท้จริงได้ยินข่าวลือและเหตุผลวิบัติ และพัฒนามโนคติอันหลงผิด เช่นนั้นแล้วจงอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟังในลักษณะที่มุ่งเป้าไปที่มโนคติอันหลงผิดของพวกเขา  จงสามัคคีธรรมถึงความจริงอย่างชัดเจน ชำแหละและแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาอย่างถ้วนทั่ว และกำจัดอุปสรรคในหัวใจของพวกเขาทิ้งไป  จากนั้นพวกเขาจะเต็มใจสำรวจต่อไป  นี่คือการเริ่มแก้ไขปัญหามิใช่หรือ?  ขั้นตอนแรกในการแก้ไขปัญหาคือการพิจารณา ใคร่ครวญ และเข้าใจอย่างถ้วนทั่วถึงแก่นแท้และสาเหตุรากของปัญหาในจิตใจของเจ้า  เมื่อเจ้าตรวจสอบยืนยันแล้วว่าสิ่งใดคือปัญหา ก็จงเริ่มแก้ไขปัญหาตามพระวจนะของพระเจ้า  ในท้ายที่สุดเมื่อปัญหาได้รับการแก้ไขจุดหมายก็สัมฤทธิ์  ดังนั้นแล้วถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเช่น “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” ยังคงดำรงอยู่ในความคิดและทัศนะของเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่ ยังดำรงอยู่)  ปัญหาเช่นนี้ควรแก้ไขอย่างไร?  เจ้าต้องพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเจ้าตามปกติ  นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญยิ่งยวด  ประการแรก จงนึกย้อนกลับไปดูว่าเจ้าประพฤติตัวอย่างไรเมื่อสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นกับเจ้าก่อนหน้านี้  เจ้าถูกครอบงำด้วยคำกล่าวเช่น “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” หรือไม่?  และหากเจ้าถูกครอบงำ เจ้ามีเจตนาอะไร?  เจ้าพูดอะไร?  เจ้าทำอะไรลงไป?  เจ้าปฏิบัติตนอย่างไร?  เจ้าประพฤติตัวอย่างไร?  เมื่อเจ้าสงบสติอารมณ์และพิจารณาสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะค้นพบปัญหาบางอย่างโดยไม่ตระหนักรู้เสียด้วยซ้ำ  เมื่อถึงจุดนั้น เจ้าควรแสวงหาความจริงและสามัคคีธรรมกับผู้อื่น และแก้ไขปัญหาเหล่านี้ตามพระวจนะที่ตรงประเด็นของพระเจ้า  ในชีวิตจริงของเจ้าจงเพียรพยายามละทิ้งทัศนะผิดๆ เหล่านั้นที่วัฒนธรรมดั้งเดิมสนับสนุนอย่างสิ้นเชิง แล้วจึงเลือกใช้พระวจนะของพระเจ้าและความจริงเป็นหลักธรรมสำหรับปฏิสัมพันธ์กับผู้คน และปฏิบัติต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมของความจริง  นี่เป็นวิธีแก้ไขปัญหา โดยการชำแหละแนวคิด ทัศนะ และคำกล่าวต่างๆ ด้านวัฒนธรรมดั้งเดิมตามพระวจนะของพระเจ้า แล้วจึงมองดูให้กระจ่างชัดว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นบวกและถูกต้องจริงๆ หรือไม่ ตามผลสืบเนื่องจากการที่มนุษยชาติยึดติดทัศนะผิดๆ เหล่านี้  แล้วเจ้าจะมองเห็นอย่างชัดเจนว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าร้องเรียกผู้อื่นจงอย่าเปิดเผยข้อบกพร่องของพวกเขา” เป็นเพียงกลวิธีทางพฤติกรรมแบบหลบหลีกที่ผู้คนเลือกใช้เพื่อธำรงรักษาสัมพันธภาพระหว่างบุคคล  แต่หากธรรมชาติและแก่นแท้ของผู้คนไม่เปลี่ยนแปลง ผู้คนจะสามารถเข้ากันได้ในระยะยาวหรือไม่?  ไม่ช้าก็เร็วสิ่งต่างๆ จะพังทลาย  เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเพื่อนแท้ในโลกมนุษย์—เพียงสามารถธำรงรักษาสัมพันธภาพทางกายภาพไว้ได้ก็ค่อนข้างดีในตัวเองแล้วก็เท่านั้น  หากผู้คนมีมโนธรรมและสำนึกสักเล็กน้อย และมีเมตตาจิต พวกเขาก็สามารถธำรงรักษาสัมพันธภาพแบบผิวเผินกับผู้อื่นได้โดยที่สัมพันธภาพนี้ไม่พังทลาย หากพวกเขาชั่ว ร้ายกาจ และเหี้ยมโหดในสภาวะความเป็นมนุษย์ของตน เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะไม่มีหนทางคบหากับผู้อื่น และทำได้เพียงเอาเปรียบกันและกันเท่านั้น  เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจนแล้ว—กล่าวคือได้เห็นธรรมชาติและแก่นแท้ของผู้คนอย่างชัดเจน—วิธีการที่ผู้คนควรเลือกใช้ในปฏิสัมพันธ์ของพวกเขากับผู้อื่น ก็สามารถกำหนดได้ในขั้นพื้นฐาน และวิธีการนี้ถูกต้อง ไร้ข้อผิดพลาด และสอดคล้องกับความจริง  ด้วยประสบการณ์ที่พวกเขามีในการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า ตอนนี้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถมองเห็นแก่นแท้ของสภาวะความเป็นมนุษย์ได้เล็กน้อย  ดังนั้นแล้วในปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คน—นั่นคือในสัมพันธภาพระหว่างบุคคลตามปกติ—พวกเขาสามารถมองเห็นความสำคัญของการเป็นคนซื่อสัตย์ และการปฏิบัติต่อผู้คนตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริงเป็นหลักธรรมสูงสุดและวิธีการที่เฉลียวฉลาดที่สุด  นี่จะไม่มีวันสร้างความเศร้าหมองหรือความปวดร้าวแก่ผู้คน  อย่างไรก็ตาม ผู้คนจะมีการวิวาทในดวงจิตของตนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อพวกเขาผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าและปฏิบัติความจริง ในแง่ที่ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามจะอุบัติขึ้นบ่อยครั้งเพื่อรบกวนพวกเขาและขัดขวางไม่ให้พวกเขาปฏิบัติความจริง  แนวคิด ความรู้สึก และทัศนะที่มีหลายแง่มุมเหล่านั้นที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์สร้างขึ้นจะขัดขวางเจ้าเสมอๆ ไม่ให้นำความจริงและพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติในระดับที่แตกต่างกัน และเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจะเผชิญหน้าหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นการแทรกแซงและอุปสรรคที่มีประสิทธิผลต่อการปฏิบัติความจริง  เมื่ออุปสรรคเหล่านี้ปรากฏขึ้น เจ้าจะไม่พูดเหมือนที่เจ้าพูดในตอนนี้อีกต่อไป ว่าการปฏิบัติความจริงเป็นเรื่องง่าย  เจ้าจะไม่พูดเช่นนั้นโดยไม่ลังเลขนาดนั้น  เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าจะกำลังทนทุกข์และโศกเศร้า กินไม่ลง และนอนไม่ค่อยหลับ  ผู้คนบางคนอาจถึงกับพบว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นยากเกินไปและต้องการยอมแพ้  เราเชื่อว่าผู้คนมากมายทนทุกข์อย่างมากเพื่อปฏิบัติความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง และถูกตัดแต่งและจัดการมานับครั้งไม่ถ้วน และต่อสู้ในการสู้รบนับครั้งไม่ถ้วนในหัวใจของตน และหลั่งน้ำตานับครั้งไม่ถ้วน  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  การก้าวผ่านการทรมานเหล่านี้เป็นกระบวนการที่จำเป็น และทุกคนโดยไม่ยกเว้นต้องผ่านสิ่งนี้ไป  ในยุคธรรมบัญญัติ ดาวิดทำผิด และต่อมาได้กลับใจและสารภาพต่อพระเจ้า  เขาร้องไห้มากเพียงใด?  เรื่องนี้มีการบรรยายไว้อย่างไรในข้อความต้นฉบับ?  (“และหลั่งน้ำตาท่วมที่นอนทุกคืน ที่เอนกายก็ชุ่มโชกไปด้วยน้ำตา” (สดุดี 6:6)}  เขาต้องหลั่งน้ำตาสักกี่ครั้งจึงจะท่วมที่นอนของเขา!  นี่สาธิตแสดงความใหญ่โตและความลุ่มลึกของความสำนึกผิดและความทรมานที่เขารู้สึกในตอนนั้น  พวกเจ้าได้หลั่งน้ำตามากครั้งขนาดนั้นหรือ?  จำนวนครั้งที่พวกเจ้าหลั่งน้ำตายังไม่ถึงหนึ่งในร้อยของการหลั่งน้ำตาของเขาเสียด้วยซ้ำ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าระดับที่พวกเจ้าเกลียดชังอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เนื้อหนัง และการฝ่าฝืนของตนไม่เพียงพออย่างมาก และความมุ่งมั่น และความมานะบากบั่นของพวกเจ้าในการปฏิบัติความจริงไม่เพียงพออย่างมาก  เจ้ายังทำได้ไม่ถึงมาตรฐาน เจ้ายังห่างไกลเกินเอื้อมถึงระดับของเปโตรและดาวิด  ดีละ เรามาจบการสามัคคีธรรมในวันนี้ที่ตรงนี้เถิด

16 เมษายน ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (2)

ถัดไป: สิ่งใดคือการไล่ตามเสาะหาความจริง (9)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ว่าด้วยเรื่องชื่อและอัตลักษณ์

หากเจ้าปรารถนาที่จะเหมาะต่อการให้พระเจ้าทรงใช้ เจ้าต้องรู้จักพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าต้องรู้จักพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำก่อนหน้านี้...

ผู้คนที่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้วคือบรรดาผู้ที่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว

ขั้นตอนแรกแห่งเส้นทางของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในตัวมนุษย์ก่อนสิ่งอื่นใดก็คือ การดึงดูดหัวใจมนุษย์ให้หันจากผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย...

ในความเชื่อ คนเราต้องมุ่งความสนใจไปที่ความเป็นจริง—การมีส่วนในพิธีกรรมทางศาสนาหาใช่ความเชื่อไม่

เจ้าถือพิธีปฏิบัติทางศาสนาอยู่กี่อย่าง?  เจ้าได้กบฏต่อพระวจนะของพระเจ้าและไปตามหนทางของเจ้าเองกี่ครั้งแล้ว?...

พวกที่ไม่เรียนรู้และยังคงไม่รู้เท่าทัน: พวกเขาไม่ใช่สัตว์เดียรัจฉานหรอกหรือ?

เมื่อเจ้าเดินบนเส้นทางของวันนี้ อะไรคือประเภทของการไล่ตามเสาะหาที่เหมาะสมที่สุด?  ในการไล่ตามเสาะหาของเจ้า...

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger