การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (6)
พวกเจ้าจำได้หรือไม่ว่าพวกเราสามัคคีธรรมเนื้อหาเรื่องอะไรในการชุมนุมครั้งที่แล้ว? (ตอนแรกพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมเรื่องความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ผู้คนมองว่าเป็นพฤติกรรมอันดีงาม เมื่อเทียบกับการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติดังที่พระเจ้ากำหนด แล้วจากนั้นก็ทรงสามัคคีธรรมถึงการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ในวัฒนธรรมดั้งเดิม และทรงสรุปรวบรวมคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ไว้ยี่สิบเอ็ดข้อ) ในการชุมนุมครั้งที่แล้ว เราได้สามัคคีธรรมไว้สองหัวข้อ หัวข้อแรก เราสามัคคีธรรมเพิ่มเติมเรื่องพฤติกรรมอันดีงาม แล้วจากนั้นเราก็สามัคคีธรรมเกริ่นนำอย่างง่ายๆ ถึงลักษณะนิสัย การประพฤติปฏิบัติ และคุณธรรมของมนุษย์โดยไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก พวกเราสามัคคีธรรมหัวข้อเรื่องการไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไรกันไปหลายครั้งแล้ว และเราก็จบการสามัคคีธรรมถึงพฤติกรรมอันดีงามทั้งปวงที่สัมพันธ์กับการไล่ตามเสาะหาความจริงซึ่งจำเป็นต้องถูกเปิดโปงถูกชำแหละไปแล้ว คราวที่แล้วเราสามัคคีธรรมนิดหน่อยถึงหัวข้อสำคัญบางอย่างเรื่องการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ไว้ด้วย แม้จะไม่ได้เปิดเผยหรือชำแหละถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้อย่างละเอียด แต่พวกเราก็ไล่ยกตัวอย่างคำกล่าวอ้างต่างๆ เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเอาไว้ไม่น้อย—ยี่สิบเอ็ดข้อทีเดียว ตัวอย่างยี่สิบเอ็ดข้อนี้ในแก่นแท้แล้วก็คือถ้อยแถลงนานาประการที่วัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนปลูกฝังไว้ในตัวผู้คน ซึ่งมีแนวคิดหลักเป็นเรื่องความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ ตัวอย่างเช่น พวกเราเอ่ยถึงคำกล่าวต่างๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับความจงรักภักดี ความชอบธรรม ความเหมาะควร และความไว้เนื้อเชื่อใจ ตลอดจนสัมพันธ์กับเรื่องชาย หญิง เจ้าหน้าที่ และเด็กพึงทำตัวเช่นไร และอื่นๆ ไม่ว่าคำกล่าวทั้งยี่สิบเอ็ดข้อนี้จะครอบคลุมหรือรวมทุกสิ่งเอาไว้หรือไม่ก็ตาม ถึงอย่างไรโดยพื้นฐานแล้วก็สามารถแสดงให้เห็นแก่นแท้ของข้อกำหนดต่างๆ ที่วัฒนธรรมจีนดั้งเดิมระบุไว้ในด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ ทั้งในแง่อุดมคติและสาระสำคัญ หลังจากที่พวกเราไล่นึกตัวอย่างเหล่านี้แล้ว พวกเจ้าได้ใคร่ครวญและสามัคคีธรรมถึงตัวอย่างเหล่านี้บ้างหรือไม่? (พวกเราสามัคคีธรรมในการชุมนุมบ้าง และพบว่าเป็นเรื่องง่ายที่จะเอาถ้อยแถลงบางข้อนี้ไปสับสนกับความจริง ตัวอย่างเช่น “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” “ฉันจะรับกระสุนแทนเพื่อน” รวมทั้ง “ไม่ว่าผู้อื่นจะวางใจมอบอะไรให้ทำ ก็จงพยายามอย่างที่สุดที่จะทำอย่างสัตย์ซื่อ” และอื่นๆ) คำกล่าวอื่นๆ ยังมี “น้ำใจหนึ่งหยดควรได้รับการตอบแทนด้วยน้ำพุอันพวยพุ่ง” “คำพูดของสัตบุรุษคือสัญญามัดตัวเอง” “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น” “ขณะดื่มน้ำในบ่อ คนเราไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาดว่าผู้ใดขุดบ่อน้ำเอาไว้” เป็นต้น เมื่อดูรายละเอียด เจ้าก็จะเห็นว่าในแก่นแท้แล้ว ผู้คนส่วนใหญ่วางตัวและประเมินการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของตนและผู้อื่นตามถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในหัวใจของทุกคนไม่ระดับใดก็ระดับหนึ่ง สาเหตุหลักอย่างหนึ่งของเรื่องนี้ก็คือสภาพแวดล้อมทางสังคมที่ผู้คนใช้ชีวิตอยู่และการศึกษาที่พวกเขาได้รับจากรัฐบาลของตน สาเหตุอีกประการก็เป็นเพราะการเลี้ยงดูที่พวกเขาได้รับจากครอบครัวและจารีตประเพณีที่บรรพชนของพวกเขาถ่ายทอดต่อๆ กันมา บางครอบครัวสอนลูกหลานของตนว่าอย่าเอาเงินที่เก็บได้มาใส่กระเป๋า ครอบครัวอื่นก็สอนลูกหลานว่าต้องรักชาติและ “ทุกคนมีส่วนแบ่งปันความรับผิดชอบต่อชะตากรรมของประเทศตน” เพราะทุกครอบครัวย่อมพึ่งพาประเทศของตน บางครอบครัวสอนลูกหลานว่า “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะความมั่งคั่ง เปลี่ยนแปลงเพราะความยากจน หรือโน้มงอเพราะกำลังบังคับ” และพวกเขาไม่ควรลืมรากเหง้าของตนอย่างเด็ดขาด พ่อแม่บางคนใช้ถ้อยแถลงที่ชัดเจนมาสอนลูกเรื่องการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม ขณะที่คนอื่นไม่สามารถพูดถึงแนวคิดของตนเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมได้อย่างชัดเจน แต่ก็ทำตัวเป็นแบบอย่างแก่ลูกๆ และสอนด้วยการทำตัวอย่างให้ดู อบรมสั่งสอนและมีอิทธิพลต่อคนรุ่นถัดไปผ่านทางคำพูดและการกระทำของตน คำพูดและการกระทำเหล่านี้อาจรวมถึง “น้ำใจหนึ่งหยดควรได้รับการตอบแทนด้วยน้ำพุอันพวยพุ่ง” “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” รวมทั้งถ้อยแถลงที่ฟังดูสูงส่ง เช่น “โผล่ขึ้นมาโดยไม่เปื้อนโคลน อาบในระลอกน้ำใสแต่ไม่ดูงามสะดุดตา” และอื่นๆ สาระและแก่นแท้ของสิ่งที่พ่อแม่สอนลูกๆ นั้นโดยทั่วไปแล้วอยู่ในขอบข่ายของการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่วัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนกำหนดให้ทั้งสิ้น สิ่งแรกที่ครูอาจารย์บอกนักเรียนเมื่อไปถึงโรงเรียนก็คือพวกเขาควรใจดีมีเมตตากับผู้อื่นและยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น พวกเขาไม่ควรนำเงินที่เก็บได้ใส่กระเป๋าตนเอง และพวกเขาควรให้เกียรติครูอาจารย์และเคารพคำสอนของครู เมื่อนักเรียนทั้งหลายเรียนรู้ข้อเขียนโบราณของจีนหรือชีวประวัติของผู้กล้าในยุคโบราณ พวกเขาก็ถูกสอนเรื่อง “ฉันจะรับกระสุนแทนเพื่อน” “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” “จงก้มหน้าก้มตาทำงานและพากเพียรทำให้ดีที่สุดจนวันตาย” “ทุกคนมีส่วนแบ่งปันความรับผิดชอบต่อชะตากรรมของประเทศตน” “ไม่มีใครควรเอาของที่พบเจอตามถนนมาเป็นของตน” เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากวัฒนธรรมดั้งเดิม ชนชาติต่างๆ ก็ให้การสนับสนุนและเผยแพร่แนวคิดเหล่านี้เช่นกัน อันที่จริงการศึกษาของชาติก็ส่งเสริมเรื่องเดียวกับที่การอบรมสั่งสอนในครอบครัวให้การส่งเสริมไม่มากก็น้อย—ทุกอย่างโคจรอยู่รอบๆ แนวคิดที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้ โดยพื้นฐานแล้วแนวคิดที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมย่อมแทรกซึมอยู่ตามข้อกำหนดที่สัมพันธ์กับลักษณะนิสัย คุณธรรม การวางตัว และอื่นๆ ของมนุษย์ทั้งสิ้น ในด้านหนึ่งแนวคิดเหล่านี้ก็กำหนดให้ผู้คนแสดงธรรมเนียมปฏิบัติและกิริยามารยาทให้เห็นภายนอก ให้ผู้คนกระทำการและทำตัวในแบบที่ผู้อื่นเห็นชอบ และให้ผู้คนแสดงพฤติกรรมและการกระทำอันดีงามให้ผู้อื่นเห็น พลางซ่อนเร้นแง่มุมที่ดำมืดในส่วนลึกของหัวใจของตนเอาไว้ ในอีกด้านหนึ่งแนวคิดเหล่านี้ก็ยกระดับท่าที พฤติกรรม และการกระทำว่าคนเราควรวางตัว รับมือผู้คน และจัดการเรื่องราวต่างๆ อย่างไร ควรปฏิบัติต่อเพื่อนฝูงและครอบครัวของตนอย่างไร ควรรับมือผู้คนและสิ่งต่างๆ นานาชนิดอย่างไรนี้ ให้อยู่ในระดับของการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม ซึ่งทำให้ได้รับการสรรเสริญและความนับถือจากผู้อื่น ข้อกำหนดที่วัฒนธรรมดั้งเดิมบอกให้ผู้คนทำนั้นโดยพื้นฐานแล้วโคจรอยู่รอบๆ สิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดที่ผู้คนสนับสนุนในระดับสังคมที่ใหญ่ขึ้นหรือในระดับที่เล็กลงมา ความคิดเรื่องการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ผู้คนให้การส่งเสริมและค้ำจุนภายในครอบครัว และข้อกำหนดที่นำเสนอแก่ผู้คนเกี่ยวกับการวางตัวของพวกเขา—ในแก่นแท้แล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในขอบข่ายนี้ ดังนั้นท่ามกลางผู้คนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมหรือวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศอื่น รวมทั้งวัฒนธรรมตะวันตกด้วย แนวคิดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ล้วนประกอบด้วยสิ่งที่ผู้คนสามารถทำได้และคิดขึ้นมาได้ เป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถดำเนินการตามมโนธรรมและเหตุผลของตนได้ อย่างน้อยที่สุดก็มีบางคนที่สามารถลุล่วงการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมบางอย่างที่ตนพึงต้องทำได้ ข้อกำหนดเหล่านี้ถูกจำกัดให้อยู่แต่ในเรื่องของการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม พื้นอารมณ์ และสิ่งที่ผู้คนชอบใจเท่านั้น หากพวกเจ้าไม่เชื่อเรา เราก็หนุนใจให้พวกเจ้ามองให้ชัดเจนและดูว่าข้อกำหนดที่สัมพันธ์กับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คนนี้มีข้อใดที่จัดการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาบ้าง มีข้อใดที่จัดการแก้ไขข้อเท็จจริงเรื่องที่ผู้คนรังเกียจความจริง ไม่ชอบความจริง และต้านทานพระเจ้าอยู่ในแก่นแท้จริงๆ ของตนบ้าง? ข้อกำหนดเหล่านี้มีข้อใดที่เกี่ยวข้องกับความจริงบ้าง? มีข้อใดที่สามารถทะยานขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับความจริงบ้าง? (ไม่มี) ไม่ว่าคนเราจะมองข้อกำหนดเหล่านี้อย่างไร ก็ไม่มีข้อไหนที่ทะยานขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับความจริงได้ ไม่มีข้อไหนเกี่ยวข้องกับความจริง ไม่มีข้อไหนสัมพันธ์กับความจริงแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ จนถึงตอนนี้คนที่เชื่อในพระเจ้ามายาวนาน มีประสบการณ์อยู่บ้าง และพอจะเข้าใจความจริงบ้าง ย่อมจะมีความเข้าใจที่แท้จริงในเรื่องนี้เพียงน้อยนิดเท่านั้น แต่ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงเข้าใจแต่คำสอน และเห็นพ้องกับแนวคิดนี้ในทางทฤษฎี ไม่สามารถไปถึงระดับที่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริงได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนี้? นี่เป็นเพราะผู้คนส่วนใหญ่มาเข้าใจว่าแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมไม่ตรงกับความจริงและไม่สัมพันธ์กับความจริงต่อเมื่อนำข้อบังคับของวัฒนธรรมดั้งเดิมมาเปรียบเทียบกับพระวจนะและข้อกำหนดของพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาอาจจะยอมรับรู้ทางวาจาอย่างเต็มปากว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริง แต่ในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขาแล้ว สิ่งที่พวกเขาใฝ่ฝัน เห็นชอบ เลือก และยอมรับโดยง่าย ในแก่นแท้แล้วก็คือแนวคิดเหล่านี้ที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมของมนุษยชาติ แนวคิดบางอย่างก็เป็นสิ่งที่ประเทศของพวกเขาให้การสนับสนุนและส่งเสริม ผู้คนมองแนวคิดเหล่านี้ว่าเป็นสิ่งที่เป็นบวกหรือถือว่าเป็นความจริง เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? (ใช่) ดังที่พวกเจ้ามองเห็นได้ แง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมได้หยั่งรากลึกอยู่ในหัวใจของมนุษย์ไปแล้ว ไม่สามารถกำจัดและถอนรากถอนโคนได้ภายในเวลาอันสั้น
แม้ข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ทั้งยี่สิบเอ็ดข้อที่พวกเรายกมา จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีน แต่ในระดับหนึ่งก็สามารถเป็นตัวแทนข้อกำหนดทั้งหมดของวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ มนุษย์มองคำกล่าวอ้างทุกข้อในยี่สิบเอ็ดข้อนี้ว่าเป็นบวก ประเสริฐ และถูกต้อง และผู้คนก็เชื่อกันว่าคำกล่าวอ้างเหล่านี้สามารถทำให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีได้ เป็นการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมอย่างหนึ่งที่คู่ควรแก่การเลื่อมใสและยกย่อง ตอนนี้พวกเราจะไม่พูดถึงคำกล่าวที่ค่อนข้างตื้นเขินอย่างการไม่นำเงินที่เจ้าเก็บได้มาใส่กระเป๋า หรือการยินดีที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น แต่จะกล่าวถึงการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่มนุษย์ยกย่องกันมากเป็นพิเศษและเชื่อว่าประเสริฐ ตัวอย่างเช่น จงดูคำกล่าวที่ว่า “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะความมั่งคั่ง เปลี่ยนแปลงเพราะความยากจน หรือโน้มงอเพราะกำลังบังคับ”—วิธีง่ายที่สุดที่จะสรุปความหมายของถ้อยแถลงนี้ก็คือคนเราไม่ควรลืมรากของตน ถ้าคนเรามีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมแบบนี้ เช่นนั้นแล้วทุกคนก็จะคิดว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่ประเสริฐยิ่ง และ “โผล่ขึ้นมาโดยไม่เปื้อนโคลน อาบในระลอกน้ำใสแต่ไม่ดูงามสะดุดตา” แล้วอย่างแท้จริง ผู้คนยกย่องเรื่องนี้ไว้สูงมาก การที่ผู้คนยกย่องเรื่องนี้อย่างสูงหมายความว่าพวกเขาเห็นชอบและเห็นพ้องกับถ้อยแถลงประเภทนี้จริงๆ และแน่นอนว่าพวกเขาย่อมเลื่อมใสคนที่มีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมตามนี้อย่างมากอีกด้วย มีผู้คนมากมายที่เชื่อในพระเจ้า แต่แท้จริงแล้วยังคงเห็นชอบในสิ่งเหล่านี้ที่วัฒนธรรมดั้งเดิมให้การส่งเสริม พวกเขาเต็มใจที่จะนำพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ไปปฏิบัติ ผู้คนเหล่านี้ไม่เข้าใจความจริง กล่าวคือ พวกเขานึกว่าการเชื่อในพระเจ้าหมายถึงการเป็นคนดี ช่วยเหลือผู้อื่น มีความยินดีในการช่วยผู้อื่น ไม่หลอกลวงหรือทำร้ายผู้อื่นเป็นอันขาด ไม่ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งต่างๆ ทางโลก และไม่ละโมบอยากมีความมั่งคั่งหรือความรื่นเริง ในหัวใจของพวกเขานั้นทุกคนเห็นพ้องกันว่าถ้อยแถลงที่ว่า “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะความมั่งคั่ง เปลี่ยนแปลงเพราะความยากจน หรือโน้มงอเพราะกำลังบังคับ” นี้ถูกต้อง บางคนก็จะกล่าวว่า “ก่อนที่จะมาเชื่อในพระเจ้า ถ้าบางคนมีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมอย่าง ‘คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะความมั่งคั่ง เปลี่ยนแปลงเพราะความยากจน หรือโน้มงอเพราะกำลังบังคับ’ อยู่แล้ว ถ้าพวกเขาเป็นคนที่ดีเยี่ยม ใจดีมีเมตตา ไม่ลืมรากของตน เช่นนั้นแล้วหลังจากที่มารับเชื่อ พวกเขาก็จะเข้าถึงความเบิกบานของพระเจ้าได้เร็ว ผู้คนเช่นนั้นย่อมเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าโดยง่าย—พวกเขาสามารถได้รับพรจากพระองค์” เวลาผู้คนมากมายประเมินและมองผู้อื่น พวกเขาไม่ได้ดูที่แก่นแท้ของผู้อื่นตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง แต่กลับประเมินและมองคนเหล่านั้นตามข้อกำหนดที่วัฒนธรรมดั้งเดิมมีต่อการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คน เมื่อมองตามนี้ก็ย่อมมีแนวโน้มที่ผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงจะสำคัญผิดมิใช่หรือว่าสิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าดีงามและถูกต้องนั้นคือความจริง? พวกเขาย่อมมีแนวโน้มที่จะมองผู้คนที่มนุษย์เชื่อว่าดีงามนั้นว่าเป็นคนที่พระเจ้าทรงเชื่อว่าดีงามมิใช่หรือ? ผู้คนอยากยัดเยียดแนวคิดของตนเองให้พระเจ้าอยู่เสมอ—เมื่อทำเช่นนั้น พวกเขาก็กำลังทำผิดหลักธรรมอยู่มิใช่หรือ? นี่ย่อมล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าใช่หรือไม่? (ใช่) นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงมาก ถ้าผู้คนมีเหตุผลกันจริงๆ พวกเขาก็ควรแสวงหาความจริงในเรื่องที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้ พวกเขาควรทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และไม่ควรพูดเรื่องไร้สาระมากมายอย่างไม่เอาใจใส่ ในมาตรฐานและหลักธรรมของพระเจ้าในการประเมินมนุษย์นั้นมีประโยคที่ระบุว่า “ผู้ที่ไม่ลืมรากของตนคือคนดีและมีลักษณะของคนดี” กระนั้นหรือ? พระเจ้าเคยตรัสอะไรแบบนั้นหรือไม่? (ไม่เคย) ในข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์อย่างชัดเจนนั้น พระองค์เคยตรัสไว้หรือว่า “ถ้าเจ้ายากจน เจ้าต้องไม่ลักขโมย ถ้าเจ้าร่ำรวย เจ้าต้องไม่สำส่อนทางเพศ เมื่อเจ้าเผชิญการข่มขู่หรือคุกคาม เจ้าต้องไม่ยอมจำนนอย่างเด็ดขาด”? พระวจนะของพระเจ้ามีข้อกำหนดเช่นนี้หรือไม่? (ไม่มี) ไม่มีจริงๆ ชัดเจนทีเดียวว่าถ้อยแถลงที่ว่า “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะความมั่งคั่ง เปลี่ยนแปลงเพราะความยากจน หรือโน้มงอเพราะกำลังบังคับ” นั้นเป็นคำกล่าวของมนุษย์—ไม่ได้ตรงกับข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ เข้ากันไม่ได้กับความจริง และโดยรากฐานแล้วก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกับความจริง พระเจ้าไม่เคยกำหนดให้สิ่งมีชีวิตทรงสร้างไม่ลืมรากเหง้าของตน การไม่ลืมรากเหง้าของตนหมายความว่าอย่างไร? เราจะยกตัวอย่างให้เจ้าฟัง ถ้าบรรพชนของเจ้าเป็นชาวไร่ชาวนา เจ้าต้องระลึกถึงพวกเขาด้วยความชื่นชูอยู่เสมอ ถ้าบรรพชนของเจ้าทำงานฝีมือ เจ้าก็ต้องสืบทอดงานฝีมือนั้นและถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น แม้หลังจากที่เจ้าเริ่มเชื่อในพระเจ้าแล้ว เจ้าก็ไม่อาจลืมเลือนสิ่งเหล่านี้ได้—เจ้าไม่อาจลืมคำสอนหรืองานฝีมือหรืออะไรก็ตามที่บรรพชนของเจ้าถ่ายทอดไว้ให้ได้ ถ้าบรรพชนของเจ้าเป็นขอทาน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องเก็บรักษาไม้เท้าที่พวกเขาเคยใช้ตีสุนัข ถ้าบรรพชนเคยต้องกินแกลบและพืชป่าเพื่ออยู่รอด เช่นนั้นแล้วลูกหลานของพวกเขาก็ต้องลองกินแกลบและพืชป่าด้วย—นั่นคือการหวนนึกถึงความเศร้าในอดีตเพื่อลิ้มรสความเบิกบานในปัจจุบัน นั่นคือการไม่ลืมรากเหง้าของตน ไม่ว่าบรรพชนของเจ้าจะทำอะไรมาก็ตาม เจ้าก็ต้องค้ำชูสิ่งนั้น เจ้าไม่สามารถลืมบรรพชนของตนเพียงเพราะเจ้ามีการศึกษาที่ดีและมีสถานะ คนจีนพิถีพิถันกับเรื่องเหล่านี้อย่างที่สุด ในหัวใจของพวกเขาดูเหมือนว่ามีแต่ผู้ที่ไม่ลืมรากเหง้าของตนเท่านั้นที่มีมโนธรรมและเหตุผล เฉพาะผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถประพฤติตนด้วยความเที่ยงธรรมและใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ทัศนะเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? มีอะไรทำนองนี้ในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่? (ไม่มี) พระเจ้าไม่เคยตรัสอะไรทำนองนี้เลย จากตัวอย่างที่ยกมานี้พวกเราย่อมมองเห็นได้ว่าแม้ความมีคุณธรรมจะได้รับการยกย่องอย่างสูงและเป็นที่ใฝ่ฝันของมนุษย์ และแม้จะดูเหมือนสิ่งที่เป็นบวก เหมือนสิ่งที่สามารถกำกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ได้ ป้องกันผู้คนไม่ให้เดินไปบนเส้นทางอันชั่วและกลายเป็นคนชั่วช้าได้ และแม้ความมีคุณธรรมจะแพร่หลายอยู่ท่ามกลางผู้คนและเป็นที่ยอมรับของทุกคนในฐานะสิ่งที่เป็นบวก แต่ถ้าเจ้าเปรียบเทียบกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง เจ้าก็จะมองเห็นว่าคำกล่าวอ้างและความคิดเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมไร้สาระอย่างสิ้นเชิง เจ้าจะมองเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่คู่ควรแก่การกล่าวถึงเลย ไม่สัมพันธ์กับความจริงแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ และยิ่งห่างไกลจากข้อกำหนดของพระเจ้าและเจตนารมณ์ของพระองค์ออกไปอีก เมื่อให้การสนับสนุนแนวคิดและทัศนะเหล่านี้ และนำเสนอถ้อยแถลงต่างๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ ผู้คนก็เพียงแต่ใช้บางสิ่งบางอย่างที่อยู่เหนือขอบเขตการคิดอ่านของมนุษย์เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนนั้นไม่เหมือนใครและประเสริฐ เพื่อโอ้อวดความยิ่งใหญ่และความถูกต้องของตน และทำให้ผู้คนเคารพบูชาตน ไม่ว่าจะเป็นในโลกตะวันออกหรือโลกตะวันตก โดยพื้นฐานแล้วผู้คนล้วนคิดเหมือนกัน แนวคิดและจุดเริ่มต้นของข้อกำหนดที่ผู้คนให้การสนับสนุนและบอกต่อเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ รวมทั้งเป้าหมายที่พวกเขาอยากจะสัมฤทธิ์ผ่านทางแนวคิดและข้อกำหนดเหล่านี้ มีแก่นแท้เหมือนกันทั้งสิ้น แม้ผู้คนจากโลกตะวันตกจะไม่มีแนวคิดและทัศนะจำเพาะอย่าง “จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี” และ “น้ำใจหนึ่งหยดควรได้รับการตอบแทนด้วยน้ำพุอันพวยพุ่ง” ที่ผู้คนจากโลกตะวันออกเน้นย้ำ และแม้พวกเขาจะไม่มีคำกล่าวที่แน่ชัดเหมือนคำกล่าวจากวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีน แต่วัฒนธรรมดั้งเดิมของพวกเขาเองก็มีแต่แนวคิดเหล่านี้ แม้สิ่งที่พวกเราสามัคคีธรรมและพูดถึงมาตลอดจะเป็นของวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีน แต่ในแก่นแท้และในระดับหนึ่งแล้ว คำกล่าวอ้างและข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ก็เป็นตัวแทนแนวคิดที่เป็นใหญ่ในหมู่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม
เบื้องต้นในวันนี้ พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงประเภทของอิทธิพลเชิงลบที่วัฒนธรรมดั้งเดิมมีต่อผู้คนผ่านทางคำกล่าวอ้างและข้อกำหนดเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ หลังจากที่เข้าใจเรื่องนี้แล้ว เรื่องสำคัญที่สุดที่ผู้คนควรทำความเข้าใจเป็นอันดับต่อไปแท้จริงแล้วก็คือว่าพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง ทรงมีข้อกำหนดอะไรบ้างต่อพฤติกรรมทางศีลธรรมของมวลมนุษย์ พระองค์ตรัสสิ่งใดไว้โดยเฉพาะ และทรงออกข้อกำหนดอะไรไว้บ้าง นี่คือสิ่งที่มวลมนุษย์ต้องทำความเข้าใจ ตอนนี้พวกเราก็มองเห็นชัดเจนแล้วว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมไม่ได้เป็นคำพยานให้กับข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์หรือพระวจนะที่พระองค์ตรัสไว้แม้แต่น้อย และผู้คนก็ไม่ได้แสวงหาความจริงในเรื่องนี้ ดังนั้นวัฒนธรรมดั้งเดิมจึงเป็นสิ่งที่ผู้คนเรียนรู้เป็นอันดับแรกและมีอำนาจครอบงำพวกเขาตลอดมา เข้าสู่หัวใจของผู้คนและชี้แนะแนวทางแห่งการดำเนินชีวิตให้มนุษยชาติมาหลายพันปี นี่คือวิธีการหลักที่ซาตานใช้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม เมื่อตระหนักรู้ข้อเท็จจริงนี้อย่างชัดแจ้งแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้คนควรเข้าใจในตอนนี้ก็คือว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างทรงมีข้อกำหนดเช่นใดต่อมนุษย์ที่ทรงสร้างเกี่ยวกับสภาวะความเป็นมนุษย์และหลักศีลธรรมของพวกเขา—หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ แง่มุมของความจริงนี้มีอะไรเป็นมาตรฐานบ้าง พร้อมกันนั้นผู้คนก็ต้องทำความเข้าใจว่าสิ่งต่อไปนี้สิ่งใดคือความจริง ข้อกำหนดของวัฒนธรรมดั้งเดิม หรือข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ พวกเขาต้องเข้าใจว่าอย่างไหนสามารถชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ ช่วยพวกเขาให้รอด และนำพวกเขาไปสู่เส้นทางชีวิตที่ถูกต้องได้ และอย่างไหนคือเหตุผลวิบัติที่ชักจูงผู้คนให้หลงผิดและทำร้ายพวกเขาได้ พาพวกเขาเดินไปตามเส้นทางที่ผิด และเข้าสู่ชีวิตที่เป็นบาป เมื่อผู้คนมีวิจารณญาณในเรื่องนี้แล้ว พวกเขาย่อมจะสามารถตระหนักรู้ว่าข้อกำหนดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างมีต่อมวลมนุษย์นั้นเป็นธรรมชาติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ และเป็นหลักธรรมความจริงที่ผู้คนควรปฏิบัติ ส่วนคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมและมาตรฐานการชี้วัดของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มีอิทธิพลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้คน ทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตัวและการกระทำของพวกเขานั้น—ถ้าผู้คนสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะได้บ้าง มองทะลุและตระหนักรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มีแก่นแท้ที่ไร้สาระ และตัดสิ่งเหล่านี้ให้ขาดจากหัวใจของตน เช่นนั้นแล้วความสับสนหรือปัญหาบางอย่างที่ผู้คนมีเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมก็ย่อมแก้ไขได้ การแก้ไขสิ่งเหล่านี้ย่อมจะลดอุปสรรคและความยากลำบากที่ผู้คนเผชิญบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงไปมากทีเดียวมิใช่หรือ? (ใช่) เมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาย่อมโน้มเอียงที่จะสำคัญผิดว่าแนวคิดเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปนั้นคือความจริง และโน้มเอียงที่จะไล่ตามไขว่คว้าและยึดปฏิบัติตามแนวคิดเหล่านั้นเหมือนว่าเป็นความจริง นี่ส่งผลต่อความสามารถของผู้คนที่จะเข้าใจและปฏิบัติความจริง รวมทั้งผลสัมฤทธิ์ของพวกเขาระหว่างที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อที่จะบรรลุการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยอย่างใหญ่หลวง นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าไม่ต้องการที่จะเห็นกัน แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่ทรงต้องการที่จะเห็นเช่นเดียวกัน ดังนั้นในส่วนของถ้อยแถลง แนวคิด และมุมมองด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่เชื่อกันว่าเป็นบวกและมนุษย์พากันค้ำจุนเหล่านี้ ก่อนอื่นผู้คนต้องทำความรู้จักและมีวิจารณญาณแยกแยะตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริงให้ชัดเจน มองทะลุแก่นแท้จริงๆ ของสิ่งเหล่านี้ อันเป็นการประเมินและกำหนดที่ทางที่ถูกต้องในส่วนลึกของหัวใจของตนให้กับสิ่งเหล่านี้ หลังจากนั้นพวกเขาจึงจะสามารถขุดสิ่งเหล่านี้ออกมาทีละน้อย ถอนรากถอนโคนและละทิ้งสิ่งเหล่านี้ ในอนาคตทุกครั้งที่ผู้คนมองเห็นว่าถ้อยแถลงทั้งหลายที่เชื่อกันว่าเป็นบวกนั้นขัดแย้งกับความจริง พวกเขาก็ควรเลือกความจริงก่อน ไม่ใช่ถ้อยแถลงที่มองกันว่าเป็นบวกอยู่ในมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ เพราะถ้อยแถลงที่เชื่อกันว่าเป็นบวกนี้เป็นเพียงทัศนะของมนุษย์เท่านั้น และแท้จริงแล้วก็ไม่ได้สอดคล้องกับความจริง ไม่ว่าพวกเราจะพูดกันจากแง่ไหน เป้าหมายหลักของพวกเราในการสามัคคีธรรมหัวข้อเหล่านี้ในวันนี้ก็คือการขจัดอุปสรรคนานาที่เกิดขึ้นระหว่างที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่แน่ใจที่เกิดขึ้นในความรู้สึกนึกคิดของผู้คนเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าและหลักเกณฑ์ของความจริง ความไม่แน่ใจเหล่านี้หมายความว่าเมื่อเจ้ายอมรับและปฏิบัติความจริงอยู่ เจ้ากลับไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งไหนคือคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่มนุษยชาติสนับสนุน และสิ่งไหนคือข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ และสองอย่างนี้สิ่งไหนคือหลักธรรมและหลักเกณฑ์ที่แท้จริง ผู้คนไม่ชัดแจ้งในเรื่องเหล่านี้ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? (เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง) ในด้านหนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขาไม่มีวิจารณญาณในคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่วัฒนธรรมดั้งเดิมของมนุษยชาติประดิษฐ์ขึ้น และพวกเขายังคงไม่สามารถมองเข้าไปถึงแก่นแท้ของคำกล่าวอ้างเหล่านี้ ท้ายที่สุดแล้ว ในสภาวะความรู้สึกนึกคิดที่เลอะเลือน เจ้าก็จะตัดสินไปว่าสิ่งที่เจ้าเคยเรียนรู้เป็นอันดับแรกซึ่งฝังแน่นอยู่ในจิตใจของเจ้านั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าจะพิจารณาว่าสิ่งที่ทุกคนยอมรับรู้กันทั่วว่าถูกต้องนั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง แล้วจากนั้นเจ้าก็จะเลือกสิ่งที่เจ้าชอบนี้ สิ่งที่เจ้าทำได้ และสอดคล้องกับรสนิยมและมโนคติอันหลงผิดของเจ้า และเจ้าก็จะตรงเข้าไปหา ยึดถือ และปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้ราวกับว่าเป็นความจริง นี่ย่อมจะส่งผลให้พฤติกรรมและการประพฤติปฏิบัติของผู้คน รวมทั้งสิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา เลือก และยึดถือนั้นไม่มีอะไรสัมพันธ์กับความจริงเลย—ทั้งหมดนั้นจะกลายเป็นเรื่องพฤติกรรมของมนุษย์และการแสดงออกทางศีลธรรมของมนุษย์ซึ่งอยู่นอกขอบเขตของความจริงทั้งสิ้น ผู้คนพาตัวเข้าไปหาและยึดถือแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมราวกับเป็นความจริง พลางละเลยและเมินความจริงเกี่ยวกับข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของมนุษย์ ไม่ว่าผู้คนจะมีพฤติกรรมที่มนุษย์เข้าใจว่าดีงามสักกี่อย่างก็ตาม พวกเขาก็จะไม่มีวันได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า นี่คือการที่ผู้คนสิ้นเปลืองความพยายามไปมากมายให้กับสิ่งที่อยู่นอกขอบข่ายของความจริง ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อถือว่าสิ่งที่มาจากมนุษย์และไม่ได้ตรงกับความจริงนี้คือความจริง ผู้คนย่อมหลงผิดไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนอื่นผู้คนเรียนรู้แง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิม ดังนั้นจึงถูกแง่มุมเหล่านี้ครอบงำ สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดทัศนะที่คลาดเคลื่อนสารพัดอย่างในตัวพวกเขา สร้างความยากลำบากและความไม่สงบมากมายให้แก่ผู้คนยามที่พวกเขาขวนขวายที่จะเข้าใจและปฏิบัติความจริง ผู้คนล้วนเชื่อว่าถ้าพวกเขาประพฤติตนมีคุณธรรม พระเจ้าก็จะทรงเห็นชอบในตัวพวกเขา และพวกเขาก็จะมีคุณสมบัติที่จะได้รับพรและสัญญาจากพระองค์ แต่พวกเขาจะสามารถน้อมรับการพิพากษาและตีสอนจากพระเจ้าในยามที่พวกเขาเก็บงำทัศนะและวิธีคิดแบบนี้เอาไว้ได้หรือ? วิธีคิดดังกล่าวกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการชำระผู้คนให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอดถึงเพียงไหน? ความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ย่อมจะพาให้ผู้คนเข้าใจพระเจ้าผิด ต้านทานและกบฏต่อพระองค์มิใช่หรือ? ผลที่ตามมาย่อมจะเป็นสิ่งเหล่านี้มิใช่หรือ? (ใช่) เราได้แสดงนัยสำคัญของการสามัคคีธรรมหัวข้อนี้ไปแล้วไม่มากก็น้อย แนวคิดกว้างๆ ก็เป็นเช่นนี้
อันดับต่อไปพวกเราจะชำแหละและวิเคราะห์คำกล่าวต่างๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมไปทีละข้อ แล้วจากนั้นจึงจะสรุปทั้งหมด แบบนั้นทุกคนก็จะมีการยืนยันความถูกต้องและคำตอบพื้นฐานเกี่ยวกับคำกล่าวทั้งหลายนี้ และอย่างน้อยที่สุด ทุกคนก็จะมีความเข้าใจและทัศนะที่ค่อนข้างถูกต้องเกี่ยวกับคำกล่าวเหล่านี้ พวกเรามาเริ่มกันด้วยคำกล่าวข้อแรกที่ว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” คำอธิบายที่ถูกต้องของสุภาษิตข้อนี้ย่อมจะเป็นเช่นไร? (ถ้าคุณเก็บของบางอย่างได้ ก็ต้องไม่เอาของนั้นมากล่าวอ้างว่าเป็นของตนเอง นี่อ้างอิงหลักศีลธรรมและธรรมเนียมอันดีงามอย่างหนึ่งทางสังคม) เรื่องนี้ทำได้ง่ายหรือไม่? (ค่อนข้างง่าย) สำหรับผู้คนส่วนใหญ่แล้ว นี่ทำได้ง่าย—ถ้าเจ้าเก็บของบางอย่างขึ้นมา เช่นนั้นแล้วไม่ว่าของนั้นจะเป็นอะไร เจ้าก็ต้องไม่เก็บไว้เป็นของตน เพราะว่านั่นเป็นของคนอื่น เจ้าไม่สมควรได้ไว้ และควรคืนของนั้นให้แก่เจ้าของที่ถูกต้อง หากเจ้าไม่สามารถหาตัวเจ้าของที่ถูกต้องได้ เจ้าก็ควรมอบให้ทางการไป—ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ไม่ควรเอามาเป็นของตน ทั้งหมดนี้เป็นไปตามคติของการไม่ละโมบสิ่งของของผู้อื่นและไม่เอาเปรียบผู้อื่น นี่เป็นข้อกำหนดที่วางไว้ให้กับพฤติกรรมทางศีลธรรมของมนุษย์ อะไรคือจุดประสงค์ของการวางข้อกำหนดเรื่องพฤติกรรมทางศีลธรรมของผู้คนเช่นนี้? เมื่อผู้คนมีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเช่นนี้ ก็ย่อมส่งผลในทางที่ดีและเป็นบวกต่อบรรยากาศทางสังคม จุดประสงค์ของการทำให้ผู้คนซึมซับแนวคิดดังกล่าวก็เพื่อที่จะหยุดยั้งไม่ให้พวกเขาเอาเปรียบผู้อื่น อันเป็นการธำรงรักษาการประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรมของพวกเขาเอาไว้ ถ้าทุกคนมีการประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรมเช่นนี้ บรรยากาศทางสังคมก็ย่อมจะดีขึ้นถึงระดับที่ไม่มีใครเอาของที่พบเจอตามถนนมาเป็นของตน และไม่มีใครจำเป็นต้องลงกลอนประตูของตนในยามค่ำคืน ด้วยบรรยากาศทางสังคมเช่นนี้ ความสงบเรียบร้อยโดยรวมย่อมจะดีขึ้น และประชาชนก็จะสามารถใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขขึ้น การลักขโมยและปล้นชิงก็จะมีน้อยลง การวิวาทและฆ่าล้างแค้นกันก็จะลดลง ผู้คนที่ดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมเช่นนี้ย่อมจะรู้สึกปลอดภัย และมีความเป็นอยู่โดยรวมดีขึ้น “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” เป็นข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คนในสภาพแวดล้อมทางสังคมและทางด้านการใช้ชีวิต เป้าหมายของข้อกำหนดข้อนี้คือการปกป้องบรรยากาศทางสังคมและสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตของผู้คน ข้อกำหนดนี้ทำได้ง่ายหรือไม่? ไม่ว่าผู้คนจะทำได้หรือไม่ก็ตาม ผู้ที่วางแนวคิดและข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์เช่นนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้สภาพแวดล้อมทางสังคมและทางด้านการดำเนินชีวิตตามอุดมคติที่ผู้คนโหยหานั้นกลายเป็นจริง “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับหลักเกณฑ์ด้านการวางตัวของมนุษย์—เป็นแต่เพียงข้อกำหนดที่ใช้กำกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คนเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเก็บของบางอย่างขึ้นมาเท่านั้น ข้อกำหนดนี้ไม่ค่อยสัมพันธ์กับแก่นแท้ของมนุษย์ มวลมนุษย์สร้างข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ข้อนี้เอาไว้หลายพันปีแล้ว แน่นอนว่าเมื่อผู้คนยึดปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้ ประเทศหรือสังคมก็อาจมียุคสมัยที่อาชญากรรมลดลง และอาจถึงขั้นที่ผู้คนไม่จำเป็นต้องลงกลอนประตูของตนในยามค่ำคืน ไม่มีใครเอาของที่พบเจอตามถนนมาเป็นของตน และผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่นำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า ในยุคสมัยเหล่านี้ บรรยากาศทางสังคม ความสงบเรียบร้อยโดยรวม และสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตย่อมจะค่อนข้างมั่นคงและกลมเกลียวกันทั้งสิ้น แต่บรรยากาศและสภาพแวดล้อมทางสังคมเช่นนี้ย่อมดำรงอยู่ได้เพียงชั่วคราว หรือชั่วยุคหนึ่ง หรือชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น นั่นหมายความว่าผู้คนจะสัมฤทธิ์หรือดำรงการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเช่นนี้ได้ภายในสภาพแวดล้อมทางสังคมบางอย่างเท่านั้น ทันทีที่สภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไป และบรรยากาศเดิมในสังคมพังทลาย ก็มีแนวโน้มที่หลักศีลธรรม เช่น “การไม่นำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” ก็จะเปลี่ยนแปลงควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางสังคม บรรยากาศทางสังคม และกระแสนิยมในสังคมด้วย จงดูเถิดว่าหลังจากที่พญานาคใหญ่สีแดงครองอำนาจแล้ว มันได้ชักพาผู้คนให้หลงผิดด้วยการส่งเสริมคำกล่าวสารพัดชนิดเพื่อรับรองความมั่นคงทางสังคมอย่างไร ในทศวรรษ 1980 นั้นถึงกับมีเพลงยอดนิยมพร้อมเนื้อเพลงดังนี้ว่า “ฉันเก็บเหรียญสลึงขึ้นมาจากพื้นข้างถนน และส่งให้ตำรวจ ตำรวจรับเหรียญนั้นไป และพยักหน้าให้ฉัน ฉันจึงกล่าวอย่างมีความสุขว่า ‘แล้วพบกันใหม่ครับ!’” เห็นได้ชัดว่าแม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่างการส่งมอบเหรียญสลึงยังควรค่าแก่การเอ่ยถึงและร้องเป็นเพลง—ช่างเป็นคติสอนใจและพฤติกรรมทางสังคมที่แสนจะ “ประเสริฐ”! แต่เป็นเช่นนั้นจริงหรือ? ผู้คนสามารถยื่นเหรียญสลึงที่ตนพบเจอให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่พวกเขาจะส่งมอบเงินหนึ่งร้อยหยวนหรือพันหยวนกระนั้นหรือ? ข้อนี้พูดยาก ถ้าคนคนหนึ่งเจอทอง เครื่องเงิน หรือของมีค่า หรืออะไรบางอย่างที่ยิ่งมีค่ากว่านั้น พวกเขาจะไม่สามารถควบคุมความละโมบของตนได้ สัตว์ประหลาดในตัวพวกเขาจะหลุดออกมา และสามารถทำร้ายและทำอันตรายผู้คนได้ สามารถให้ร้ายและล่อให้ผู้อื่นมาติดกับได้—พวกเขาจะสามารถปล้นเงินจากผู้คนได้อย่างแข็งขัน และถึงกับฆ่าใครสักคนได้ ถึงตอนนั้นวัฒนธรรมดั้งเดิมและศีลธรรมแนวจารีตอันประณีตของมนุษย์จะมีอะไรเหลือ? เมื่อนั้นหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมที่ว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” จะเป็นเช่นไร? เรื่องนี้แสดงอะไรให้พวกเราเห็น? ไม่ว่าผู้คนจะมีจิตวิญญาณและการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเช่นนี้หรือไม่ก็ตาม ข้อกำหนดและคำกล่าวนี้ก็เป็นเพียงสิ่งที่ผู้คนจินตนาการ อยาก และปรารถนาให้ตนสามารถทำให้เป็นจริงและสัมฤทธ์ได้เท่านั้น ในบริบทเฉพาะทางสังคมและในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ผู้คนที่มีมโนธรรมและเหตุผลอยู่บ้างย่อมสามารถที่จะไม่นำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า แต่นี่ก็เป็นเพียงพฤติกรรมอันดีงามชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถกลายเป็นหลักเกณฑ์ในการวางตนของพวกเขา หรือชีวิตของพวกเขาได้ ทันทีที่สภาพแวดล้อมและบริบททางสังคมที่ผู้คนเหล่านั้นใช้ชีวิตอยู่มีการเปลี่ยนแปลง หลักความเชื่อข้อนี้และการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมตามอุดมคติซึ่งสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ก็จะไกลตัวผู้คนอย่างยิ่ง ไม่สามารถตอบสนองความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานของพวกเขาได้ และแน่นอนว่าจะยิ่งไม่สามารถจำกัดการทำชั่วของพวกเขาได้ นี่เป็นเพียงพฤติกรรมอันดีงามที่ไม่จีรัง และเป็นคุณสมบัติทางศีลธรรมที่ค่อนข้างประเสริฐตามอุดมคติของมนุษย์เท่านั้น เมื่อปะทะกับความเป็นจริงและผลประโยชน์ส่วนตน เมื่อขัดแย้งกับอุดมคติของผู้คน คติสอนใจแบบนี้ย่อมจะไม่สามารถกวดขันพฤติกรรมของผู้คน หรือชี้นำพฤติกรรมและความคิดอ่านของพวกเขาได้ ท้ายที่สุดแล้วผู้คนก็จะตัดสินใจไม่ทำตามคติสอนใจแบบนี้ พวกเขาจะละเมิดมโนคติดั้งเดิมทางศีลธรรมข้อนี้ และเลือกผลประโยชน์ส่วนตน ดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องของคติสอนใจให้ “ไม่นำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” ผู้คนย่อมสามารถส่งมอบเหรียญหนึ่งสลึงที่ตนเก็บได้ให้แก่ตำรวจ แต่ถ้าพวกเขาเจอเงินหนึ่งพันหยวน หนึ่งหมื่นหยวน หรือเจอเหรียญทอง พวกเขายังจะส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่? พวกเขาย่อมจะทำไม่ได้ เมื่อประโยชน์ของการเก็บเงินนั้นไว้เองมีมากเกินขอบเขตที่ศีลธรรมของมนุษย์จะทำได้ พวกเขาย่อมจะไม่สามารถส่งมอบเงินนั้นแก่ตำรวจ พวกเขาจะไม่สามารถทำให้คติสอนใจที่ว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” กลายเป็นจริงได้ ดังนั้นการ “ไม่นำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” แสดงถึงแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งหรือไม่? นี่ไม่สามารถแสดงถึงแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้แต่อย่างใด เห็นได้ชัดทีเดียวว่าข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ข้อนี้ไม่สามารถใช้เป็นหลักในการประเมินได้ว่าใครบางคนมีความเป็นมนุษย์หรือไม่ และไม่สามารถใช้เป็นหลักเกณฑ์สำหรับการวางตัวของมนุษย์ได้
การดูก่อนว่าผู้คนเอาเงินที่ตนเก็บได้เข้ากระเป๋าตัวเองหรือไม่นี้ใช่วิธีที่ถูกต้องในการประเมินศีลธรรมและลักษณะนิสัยของผู้คนหรือไม่? (ไม่ใช่) ทำไมถึงไม่ใช่? (แท้จริงแล้วผู้คนไม่สามารถทำตามข้อกำหนดนั้นได้ ถ้าพวกเขาเจอเงินจำนวนเล็กน้อยหรือของที่ไม่ค่อยมีค่า พวกเขาย่อมจะสามารถส่งมอบของนั้น แต่ถ้าเป็นสิ่งมีค่า แนวโน้มที่พวกเขาจะทำเช่นนั้นย่อมลดลง ถ้านั่นเป็นของที่มีค่ามาก แนวโน้มที่พวกเขาจะส่งมอบของนั้นก็จะยิ่งน้อยลงไปอีก—พวกเขาอาจจะถึงกับทำทุกอย่างเพื่อที่จะเก็บไว้เอง) เจ้าหมายความว่าคำว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” นี้ไม่สามารถนำมาเป็นหลักเกณฑ์เพื่อประเมินความเป็นมนุษย์ของผู้คนได้เพราะผู้คนไม่สามารถทำตามนี้ได้ ดังนั้นถ้าผู้คนสามารถทำตามข้อกำหนดนี้ได้ นี่จะนับเป็นหลักเกณฑ์สำหรับประเมินความเป็นมนุษย์ของพวกเขาหรือไม่? (ไม่นับ) ทำไมต่อให้ผู้คนทำตามได้ ก็ไม่นับเป็นหลักเกณฑ์ในการประเมินความเป็นมนุษย์ของผู้คน? (การที่ใครบางคนสามารถหรือไม่สามารถทำตามคำกล่าวว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” นี้ไม่ได้สะท้อนคุณภาพแห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขา จึงไม่เกี่ยวอะไรกับการที่ว่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขาดีหรือไม่ดี และไม่ใช่หลักเกณฑ์ที่จะใช้ประเมินความเป็นมนุษย์ของผู้คน) นี่เป็นวิธีหนึ่งในการทำความเข้าใจประเด็นนี้ การที่ผู้คนไม่นำเงินที่ตนเก็บได้เข้ากระเป๋าไม่ค่อยสัมพันธ์กับคุณภาพแห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ดังนั้นถ้าพวกเจ้าพบเจอคนที่สามารถไม่นำเงินที่ตนเก็บได้เข้ากระเป๋าของตัวเองจริงๆ พวกเจ้าจะมองพวกเขาว่าอย่างไร? เจ้าจะมองได้หรือไม่ว่าพวกเขาเป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์ เป็นคนที่ซื่อสัตย์ และเป็นคนที่นบนอบพระเจ้า? เจ้าจะจัดให้การไม่นำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋าเป็นมาตรฐานของการมีความเป็นมนุษย์ได้หรือไม่? พวกเราควรสามัคคีธรรมประเด็นปัญหานี้ ใครจะพูดเรื่องนี้บ้าง? (ความสามารถของใครบางคนที่จะไม่นำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋าไม่เกี่ยวข้องกับการนิยามแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของคนคนนั้น แก่นแท้ของพวกเขาย่อมถูกประเมินตามความจริง) มีอะไรอีก? (บางคนสามารถที่จะไม่นำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋าแม้จะเป็นเงินก้อนโตก็ตาม หรือแม้ในยามที่พวกเขาทำเรื่องดีงามอื่นๆ ในทำนองเดียวกันอีกมาก แต่พวกเขาก็มีเป้าหมายและเจตนาของตนเอง พวกเขาอยากได้รางวัลตอบแทนการกระทำที่สมควรได้รับการยกย่องของตนและอยากได้รับการนับหน้าถือตา ดังนั้นพฤติกรรมอันดีงามภายนอกของพวกเขาจึงไม่อาจใช้กำหนดคุณภาพแห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้) มีอะไรอื่นอีกไหม? (สมมุติว่าใครบางคนสามารถที่จะไม่นำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า แต่พวกเขากลับมีท่าทีที่ต้านทานความจริง ท่าทีที่รังเกียจความจริง ถ้าพวกเราประเมินพวกเขาตามพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาย่อมจะไม่มีความเป็นมนุษย์ ดังนั้นการใช้มาตรฐานนี้มาตัดสินว่าใครบางคนมีความเป็นมนุษย์หรือไม่จึงไม่ถูกต้อง) พวกเจ้าบางคนตระหนักแล้วว่าการใช้คำกล่าวว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” มาประเมินว่าใครบางคนมีความเป็นมนุษย์หรือไม่นั้นผิด—เจ้าไม่เห็นด้วยที่จะเอามาใช้เป็นมาตรฐานวัดว่าใครบางคนมีความเป็นมนุษย์หรือไม่ มุมมองนี้ถูกต้อง ไม่ว่าใครบางคนจะสามารถไม่นำเงินที่ตนเก็บได้เข้ากระเป๋าหรือไม่ก็ตาม นี่แทบไม่มีความเกี่ยวข้องกับหลักธรรมแห่งการวางตัวของพวกเขาและเส้นทางที่พวกเขาเลือก เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? ก่อนอื่นเลยเมื่อคนคนหนึ่งไม่นำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า นี่ย่อมแสดงให้เห็นแต่พฤติกรรมชั่วขณะเท่านั้น ยากที่จะบอกว่าพวกเขาทำเช่นนั้นเพราะของที่พวกเขาเก็บได้ไม่มีค่าอะไร หรือเพราะผู้อื่นกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ และพวกเขาก็อยากได้การสรรเสริญและยกย่องจากคนเหล่านั้น ต่อให้การกระทำของพวกเขาไร้การปลอมปน ก็เป็นเพียงพฤติกรรมอันดีงามอย่างหนึ่งเท่านั้น แทบไม่สัมพันธ์กับการไล่ตามเสาะหาและการวางตัวของพวกเขา อย่างมากก็กล่าวได้แต่เพียงว่าคนคนนี้พอจะมีพฤติกรรมอันดีงามและลักษณะนิสัยอันประเสริฐอยู่บ้างเท่านั้น แม้พฤติกรรมเช่นนี้จะไม่อาจเรียกว่าสิ่งที่เป็นลบได้ แต่ก็ไม่อาจจัดว่าเป็นสิ่งที่เป็นบวกได้เช่นกัน และแน่นอนว่าไม่สามารถให้คำจำกัดความคนคนหนึ่งว่าเป็นบวกเพียงเพราะพวกเขาไม่นำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า นี่เป็นเพราะเรื่องนี้ไม่สัมพันธ์กับความจริง และไม่เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ บางคนบอกว่า “นี่จะไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวกได้อย่างไร? พฤติกรรมอันประเสริฐเช่นนี้จะไม่มองว่าเป็นบวกได้อย่างไร? ถ้าใครบางคนไร้ศีลธรรมและไม่มีความเป็นมนุษย์ พวกเขาจะสามารถไม่นำเงินที่ตนเก็บได้เข้ากระเป๋าของตนกระนั้นหรือ?” นั่นไม่จำเป็นต้องเป็นวิธีกล่าวที่ถูกต้อง มารก็สามารถทำเรื่องดีๆ ได้สักอย่างสองอย่าง—ดังนั้นเจ้าจะพูดหรือไม่ว่านี่ไม่ใช่มาร? พวกกษัตริย์ปีศาจบางตนก็ทำเรื่องดีๆ สักอย่างสองอย่างได้เพื่อสร้างชื่อให้ตนเองและเสริมฐานะของตนในประวัติศาสตร์ให้แข็งแกร่ง—ดังนั้นเจ้าจะเรียกพวกนั้นว่าคนดีหรือไม่? เจ้าไม่สามารถกำหนดได้ว่าใครบางคนมีความเป็นมนุษย์หรือไม่ หรือลักษณะนิสัยของพวกเขาดีหรือไม่ดี ตามสิ่งดีหรือไม่ดีที่พวกเขาทำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น การที่จะประเมินให้ถูกต้อง เจ้าควรประเมินตามการประพฤติปฏิบัติโดยรวมของพวกเขา รวมทั้งดูว่าพวกเขามีแนวคิดและทัศนะที่ถูกต้องหรือไม่ ถ้าใครบางคนสามารถคืนของมีค่ามากๆ ที่ตนพบให้แก่เจ้าของที่ถูกต้องได้ นี่ก็เพียงแต่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ละโมบ และไม่อยากได้สิ่งของของผู้อื่นเท่านั้น พวกเขามีการประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรมในแง่มุมนี้ แต่นี่เกี่ยวอะไรกับการวางตัวและท่าทีที่พวกเขามีต่อสิ่งที่เป็นบวกหรือไม่? (ไม่เกี่ยว) มีแนวโน้มที่บางคนจะไม่เห็นด้วยในข้อนี้ พวกเขาจะคิดไปว่าสิ่งที่กล่าวมานี้ออกจะเป็นความเห็นส่วนตัวและไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ดี เมื่อมองเรื่องนี้ในแง่ที่ต่างออกไป ถ้าใครบางคนทำสิ่งของที่เป็นประโยชน์หล่นหาย พวกเขาย่อมจะวิตกกังวลถึงสิ่งนั้นมากมิใช่หรือ? ดังนั้นสำหรับคนที่พบเจอสิ่งของชิ้นนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะเจออะไร นั่นก็ไม่ใช่ของของพวกเขา เพราะฉะนั้นพวกเขาก็ไม่ควรเก็บของนั้นไว้ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของหรือเงินทอง ไม่ว่าจะมีค่าหรือไม่มีค่า ของนั้นก็ไม่ใช่ของพวกเขา—ด้วยเหตุนี้จึงเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะคืนสิ่งนั้นให้แก่เจ้าของที่ถูกต้องชอบธรรมมิใช่หรือ? นี่คือสิ่งที่ผู้คนพึงทำมิใช่หรือ? แล้วการส่งเสริมเรื่องนี้มีคุณค่าอะไร? นี่คือการทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้ใหญ่โตมิใช่หรือ? การทำเหมือนว่าการไม่นำเงินที่เก็บได้เข้ากระเป๋าตนเองเป็นคุณสมบัติอันประเสริฐทางศีลธรรมและยกชูให้เป็นเรื่องสูงส่งทางจิตวิญญาณนี้ไม่เกินเหตุหรอกหรือ? พฤติกรรมอันดีงามหนึ่งเดียวนี้ควรค่าแก่การเอ่ยถึงในหมู่คนดีหรือไม่? มีพฤติกรรมที่ดีกว่าและสูงส่งกว่าพฤติกรรมนี้มากมายนัก ดังนั้นการไม่เอาเงินที่ตนเก็บได้เข้ากระเป๋าจึงไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าเผยแพร่และส่งเสริมพฤติกรรมอันดีงามข้อนี้ในหมู่ขอทานและหัวขโมยอย่างแข็งขัน ก็ย่อมจะเหมาะสม และอาจมีประโยชน์บ้าง ถ้าประเทศหนึ่งๆ ส่งเสริมอย่างแข็งขันว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่าประชาชนที่นั่นชั่วมากอยู่แล้ว ประเทศเต็มไปด้วยโจรและหัวขโมย และไม่สามารถปกป้องตัวเองจากคนเหล่านั้นได้ ดังนั้นทางแก้เพียงทางเดียวของพวกเขาก็คือการส่งเสริมและเผยแพร่พฤติกรรมประเภทนี้เพื่อแก้ปัญหา อันที่จริงพฤติกรรมแบบนี้เป็นหน้าที่ของผู้คนตลอดมา ตัวอย่างเช่น ถ้าใครบางคนพบเงินห้าสิบหยวนตามถนนและนำไปคืนให้เจ้าของที่ถูกต้องโดยง่าย นั่นย่อมไร้นัยสำคัญเสียจนไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงด้วยซ้ำมิใช่หรือ? แท้จริงแล้วจำเป็นต้องสรรเสริญพฤติกรรมเช่นนี้หรือไม่? จำเป็นต้องทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้ใหญ่โตเช่นนี้ ต้องพากันชื่นชมสรรเสริญคนแบบนี้ ต้องถึงกับชมเชยว่ามีการประพฤติปฏิบัติอันประเสริฐและทรงเกียรติทางศีลธรรมเพียงเพราะพวกเขานำเงินไปคืนให้แก่คนที่ทำหายหรือไม่? การนำเงินที่สูญหายไปคืนให้เจ้าของที่ถูกต้องนี้เป็นเพียงเรื่องปกติธรรมดาที่ควรทำมิใช่หรือ? นี่คือสิ่งที่คนที่มีเหตุผลที่ปกติพึงทำมิใช่หรือ? แม้แต่เด็กน้อยที่ไม่เข้าใจศีลธรรมทางสังคมก็ยังจะสามารถทำเรื่องนี้ได้ ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนั้นจริงหรือ? แท้จริงแล้วพฤติกรรมเช่นนี้ควรค่าแก่การยกระดับให้เป็นหลักศีลธรรมของมนุษย์หรือไม่? ในความเห็นของเรา นี่ไม่อาจยกชูขึ้นมาระดับนี้ได้ และไม่คู่ควรแก่การสรรเสริญ นี่เป็นเพียงพฤติกรรมอันดีงามที่ไม่จีรัง และแท้จริงแล้วก็ไม่ได้สัมพันธ์กับการเป็นคนดีในระดับรากฐาน การไม่นำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋าเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก เป็นสิ่งที่ใครก็ตามที่ปกติและใครก็ตามที่ห่มหนังมนุษย์หรือพูดจาภาษามนุษย์ควรที่จะสามารถทำได้ นี่เป็นเรื่องที่ผู้คนสามารถทำได้หากพวกเขาพยายามให้มาก พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีนักการศึกษาหรือนักคิดมาสอนให้พวกเขาทำเช่นนี้ เด็กสามขวบก็ทำเช่นนี้ได้ กระนั้นนักคิดและนักการศึกษาก็ยังทำเหมือนเรื่องนี้เป็นข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ที่สำคัญยิ่ง แล้วพอทำเช่นนี้ พวกเขาก็พลอยทำให้เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องนั้นใหญ่โตขึ้นมา แม้คำว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” จะเป็นถ้อยแถลงที่ใช้ประเมินการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ แต่โดยรากฐานแล้วก็ไม่ถึงขั้นที่จะวัดว่าใครมีความเป็นมนุษย์หรือมีศีลธรรมอันประเสริฐหรือไม่ เพราะฉะนั้นการใช้วลีที่ว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” มาวัดคุณภาพแห่งความเป็นมนุษย์ของใครคนหนึ่งจึงทั้งไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม
“จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” เป็นข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ตื้นเขินที่สุด แม้สังคมมนุษย์ทุกแห่งจะส่งเสริมและสอนแนวคิดประเภทนี้ แต่เพราะผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และเพราะกระแสนิยมอันชั่วของมวลมนุษย์นั้นแพร่หลาย ต่อให้ผู้คนสามารถปฏิบัติตามวลีที่ว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” หรือมีการประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรมเช่นนี้ได้เป็นบางเวลา ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนมีอำนาจครอบงำความคิดอ่านและพฤติกรรมของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีอำนาจครอบงำและควบคุมการวางตัวและการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาด้วย การประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรมซึ่งเกิดขึ้นอย่างไม่จีรังนี้ไม่ได้เชื่อมโยงกับการไล่ตามเสาะหาของคนคนหนึ่ง และแน่นอนว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการยกย่องเชิดชู ความเลื่อมใส และการทำตามกระแสนิยมอันชั่วของคนคนหนึ่งได้ เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่? (ใช่) ดังนั้นเพลงที่เมื่อก่อนผู้คนเคยร้องกันว่า “ฉันเก็บเหรียญสลึงขึ้นมาจากพื้นข้างถนน” จึงเป็นเพียงเพลงกล่อมเด็กในตอนนี้เท่านั้น กลายเป็นความทรงจำไปแล้ว ผู้คนไม่สามารถแม้แต่จะปฏิบัติตามพฤติกรรมอันดีงามขั้นพื้นฐานที่ไม่เอาเงินที่เก็บได้มาใส่กระเป๋าของตน ผู้คนปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงการไล่ตามไขว่คว้าและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ด้วยการส่งเสริมการประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรม พวกเขาพยายามหยุดยั้งความเสื่อมถอยของมวลมนุษย์ และความเสื่อมเสียทุกวี่วันของสังคม แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถทำให้วัตถุประสงค์เหล่านี้สำเร็จลุล่วงได้ คติสอนใจว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” จะมีอยู่ได้ก็เฉพาะในโลกอุดมคติของมนุษย์เท่านั้น ผู้คนทำเหมือนคติสอนใจข้อนี้เป็นอุดมคติอย่างหนึ่ง เป็นความใฝ่ฝันถึงโลกที่ดีขึ้น คติสอนใจแบบนี้มีอยู่ในโลกทางจิตวิญญาณของมนุษย์ เป็นความหวังอย่างหนึ่งที่มนุษย์มีต่อโลกอนาคต แต่เข้ากันไม่ได้กับความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์และความเป็นมนุษย์ตามจริงของผู้คน คติสอนใจข้อนี้ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมในการวางตัวของมนุษย์และเส้นทางที่ผู้คนใช้เดิน สิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา ตลอดจนสิ่งที่พวกเขาพึงมีและพึงสัมฤทธิ์ คติสอนใจนี้เข้ากันไม่ได้กับการสำแดงและการพรั่งพรูความเป็นมนุษย์ที่ปกติ รวมทั้งหลักธรรมว่าด้วยสัมพันธภาพระหว่างบุคคลและการรับมือเรื่องต่างๆ ด้วยเหตุนี้มาตรฐานที่ใช้ตัดสินการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมวลมนุษย์ข้อนี้จึงใช้ไม่ได้ผลตลอดมาตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงยุคปัจจุบัน แนวคิดและมุมมองในวลี “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” ที่มนุษย์ให้การส่งเสริมนี้ไร้ความหมายอย่างยิ่ง และผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจ เพราะมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางการวางตัวของพวกเขาหรือการไล่ตามไขว่คว้าของพวกเขาได้ และแน่นอนว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความชั่วช้า ความเห็นแก่ตัว ความสนใจแต่ตัวเองของผู้คน หรือแนวโน้มที่พวกเขาจะกรูเข้าหาความชั่วกันมากขึ้น ข้อกำหนดซึ่งตื้นเขินที่สุดว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” นี้กลายเป็นเรื่องตลกเสียดสีที่น่าขัน ตอนนี้แม้แต่เด็กๆ ก็ไม่อยากร้องว่า “ฉันเก็บเหรียญสลึงขึ้นมาจากพื้นข้างถนน” แล้ว—นี่ไม่มีความหมายแม้สักนิดด้วยซ้ำ ในโลกที่เต็มไปด้วยนักการเมืองที่เสื่อมทราม บทเพลงนี้กลายเป็นเพลงที่ประชดประชันยิ่ง ความเป็นจริงที่ผู้คนตระหนักรู้เป็นอย่างดีก็คือคนคนหนึ่งอาจส่งมอบเหรียญสลึงที่มีคนทำหายให้แก่ตำรวจ แต่ถ้าพวกเขาเก็บเงินล้านหยวนขึ้นมา หรือสิบล้านหยวน นั่นย่อมจะเข้ากระเป๋าพวกเขาทันที จากปรากฏการณ์เช่นนี้ พวกเราสามารถมองเห็นว่าความพยายามของผู้คนที่จะส่งเสริมข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในหมู่มวลมนุษย์นั้นล้มเหลวไปแล้ว นี่หมายความว่าผู้คนไม่สามารถประพฤติตัวดีงามในระดับพื้นฐานได้ด้วยซ้ำ การไม่สามารถประพฤติตัวดีงามได้แม้แต่ในระดับพื้นฐานนี้หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าผู้คนไม่สามารถปฏิบัติได้แม้แต่เรื่องพื้นฐานที่พวกเขาพึงทำ—เช่น การไม่เอาสิ่งที่พวกเขาเก็บได้มาเป็นของตนหากว่านั่นเป็นของของคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผู้คนทำสิ่งผิด พวกเขาจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นอย่างซื่อสัตย์สักคำเดียว พวกเขายอมตายเสียดีกว่าที่จะยอมรับว่าตนทำผิด พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะยึดปฏิบัติในเรื่องพื้นฐานอย่างการไม่พูดปด ดังนั้นจึงแน่นอนว่าพวกเขาไม่เหมาะกับการพูดคุยถึงหลักศีลธรรม พวกเขาไม่อยากมีมโนธรรมและเหตุผลด้วยซ้ำ แล้วพวกเขาจะพูดคุยเรื่องหลักศีลธรรมได้อย่างไร? เจ้าหน้าที่และผู้มีอำนาจเค้นสมองคิดหาวิธีรีดและยื้อแย่งผลประโยชน์จากผู้อื่นให้มากขึ้น และช่วงชิงสิ่งต่างๆ ที่ไม่ใช่ของตน แม้กระทั่งกฎหมายก็ไม่สามารถยื้อยุดพวกเขาเอาไว้ได้—ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? มนุษย์มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของผู้คน รวมทั้งการควบคุมและครอบงำที่ธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขามีเหนือพวกเขาเอง ซึ่งก่อให้เกิดพฤติกรรมที่หลอกลวงและเป็นอันตรายทุกรูปแบบ พวกคนหน้าซื่อใจคดเหล่านี้ทำสิ่งที่น่ารังเกียจและไร้ยางอายมากมายภายใต้เปลือกปลอมของการ “รับใช้ประชาชน” พวกเขาสูญสิ้นสำนึกละอายแก่ใจไปหมดแล้วมิใช่หรือ? ทุกวันนี้มีคนหน้าซื่อใจคดอยู่มากเหลือเกิน ในโลกที่คนชั่วออกอาละวาดและคนดีถูกกดขี่ ชัดเจนว่าคำสอนอย่าง “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” ไม่สามารถยับยั้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนได้ และแท้จริงแล้วก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาหรือเส้นทางที่พวกเขาเดินได้
พวกเจ้าเข้าใจสิ่งที่เราเพิ่งกล่าวไปในสามัคคีธรรมนี้เรื่อง “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” หรือไม่? คำกล่าวนี้มีความหมายเช่นไรต่อมนุษย์ที่เสื่อมทราม? คนเราควรทำความเข้าใจคติสอนใจข้อนี้อย่างไรกันแน่? (“จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” ไม่สัมพันธ์กับการวางตัวของผู้คนหรือเส้นทางที่พวกเขาใช้เดิน ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางที่มนุษย์เดินอยู่ได้) ถูกต้อง การที่ผู้คนจะประเมินความเป็นมนุษย์ของใครบางคนตามคำกล่าวที่ว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” นั้นไม่เหมาะสม คำกล่าวนี้ไม่อาจใช้ประเมินความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งได้ แล้วก็ผิดอีกด้วยที่จะใช้วัดศีลธรรมของใครสักคน นี่เป็นเพียงพฤติกรรมที่ไม่จีรังของมนุษย์เท่านั้น เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถใช้ประเมินแก่นแท้ของคนได้ ผู้คนที่เสนอคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า”—คนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักคิดและนักการศึกษาเหล่านี้—เป็นนักอุดมคติ พวกเขาไม่เข้าใจความเป็นมนุษย์หรือแก่นแท้ของมนุษย์ และไม่เข้าใจว่ามนุษย์ชั่วช้าและเสื่อมทรามไปถึงขั้นไหนแล้ว เมื่อเป็นดังนี้ คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้ที่พวกเขานำเสนอจึงว่างเปล่ามาก ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงโดยแท้ และไม่เหมาะกับสภาพการณ์ตามจริงของมนุษย์ คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้ไม่ได้สัมพันธ์แม้แต่น้อยกับแก่นแท้ของมนุษย์ หรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามต่างๆ ที่ผู้คนพรั่งพรูออกมา หรือมโนคติอันหลงผิด ทัศนะ และพฤติกรรมที่ผู้คนอาจมีในยามที่ถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามครอบงำ นี่เป็นเรื่องหนึ่ง อีกประเด็นหนึ่งก็คือการไม่เอาเงินที่เก็บได้เข้ากระเป๋าตนเองเป็นเพียงสิ่งที่คนปกติพึงทำ ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ให้กำเนิดเจ้าและเลี้ยงเจ้าให้เติบใหญ่ แต่ตอนที่เจ้ายังไม่รู้ความและยังไม่เป็นผู้ใหญ่ สิ่งที่เจ้าจะทำได้ก็มีแต่ขออาหารและเสื้อผ้าจากพ่อแม่ของเจ้าเท่านั้น อย่างไรก็ดี เมื่อเจ้าโตเป็นผู้ใหญ่และเข้าใจเรื่องต่างๆ ดีขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่เจ้าจะรู้จักรักพ่อแม่ของตนเป็นอย่างมาก หลีกเลี่ยงการทำให้ทั้งสองวิตกกังวลหรือโกรธ พยายามที่จะไม่เพิ่มงานหรือความทุกข์ให้กับพวกเขา และทำทุกสิ่งที่เจ้าจะสามารถทำได้ด้วยตนเอง โดยปกติแล้วเจ้าย่อมมาเข้าใจเรื่องเหล่านี้และไม่จำเป็นต้องให้ใครสอนเจ้า เจ้าเป็นคน เจ้ามีมโนธรรมและเหตุผล ดังนั้นเจ้าย่อมสามารถทำและพึงทำสิ่งเหล่านี้—นี่ไม่มีอะไรที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงด้วยซ้ำ เมื่อยกระดับคติสอนใจที่ว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” ให้เป็นลักษณะนิสัยอันประเสริฐที่มีศีลธรรม ผู้คนก็กำลังทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เป็นเรื่องขึ้นมาและเกินกว่าเหตุไปมาก พฤติกรรมนี้ไม่ควรถูกนิยามในลักษณะนั้น ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? (ใช่) สามารถเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้ได้บ้าง? การทำสิ่งที่คนเราพึงทำและสามารถทำได้ภายในขอบข่ายของความเป็นมนุษย์ที่ปกติก็คือเครื่องหมายของการเป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นี่หมายความว่าถ้าผู้คนมีเหตุผลที่ปกติ พวกเขาย่อมจะสามารถทำสิ่งที่ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติคิดที่จะทำและตระหนักว่าตนควรที่จะทำ—นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ปกติมากมิใช่หรือ? ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ไม่ว่าใครที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติสามารถทำได้ นี่เรียกว่าการประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรมได้จริงหรือ? จำเป็นต้องสนับสนุนให้ทำกันกระนั้นหรือ? (ไม่จำเป็น) แท้จริงแล้วนี่นับเป็นความเป็นมนุษย์อันประเสริฐหรือไม่? นี่นับเป็นการมีความเป็นมนุษย์หรือไม่? (ไม่) การแสดงพฤติกรรมเช่นนี้ออกมาไม่ได้ยกระดับคนเราให้มีความเป็นมนุษย์ ถ้าเจ้าบอกว่าคนคนหนึ่งมีความเป็นมนุษย์ นี่ย่อมหมายความว่ามุมมองและจุดยืนที่เขาใช้มองปัญหาทั้งหลายค่อนข้างเป็นบวกและอยู่ในเชิงรุก เช่นเดียวกับแนวทางและวิธีการที่พวกเขาใช้รับมือปัญหา อะไรคือเครื่องหมายของด้านที่เป็นบวกและอยู่ในเชิงรุก? คนคนนั้นย่อมจะมีมโนธรรมและสำนึกละอายแก่ใจ เครื่องหมายอีกอย่างของด้านที่เป็นบวกและอยู่ในเชิงรุกก็คือสำนึกแห่งความยุติธรรม อาจเป็นได้ว่าคนคนนี้ติดนิสัยที่ไม่ดีบางอย่าง เช่น นอนดึกตื่นสาย เลือกกิน หรือชอบอาหารรสจัด แต่นอกเหนือจากความเคยชินที่ไม่ดีเหล่านี้แล้ว พวกเขาย่อมจะมีคุณสมบัติที่ดีบางอย่าง พวกเขาย่อมจะมีหลักธรรมและมีขอบเขตเมื่อเป็นเรื่องของการวางตัวและการกระทำของตน พวกเขาจะมีสำนึกแห่งความละอายแก่ใจและความยุติธรรม พวกเขาจะมีลักษณะที่เป็นบวกมากขึ้นและลักษณะที่เป็นลบน้อยลง ถ้าพวกเขาสามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงได้ นั่นก็จะยิ่งดีขึ้นอีกและย่อมจะง่ายต่อการที่พวกเขาจะออกเดินไปบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ในทางกลับกัน ถ้าคนคนหนึ่งรักความชั่ว แสวงหาชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ ชื่นชูเงินทอง ชอบใช้ชีวิตหรูหรา และสุขสำราญกับการปล่อยเวลาให้หมดไปกับการหาความสนุก เช่นนั้นแล้วมุมมองที่พวกเขาใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ระบบค่านิยมและทัศนคติที่พวกเขามีต่อชีวิตย่อมจะเป็นลบและดำมืดทั้งสิ้น พวกเขาจะไร้สำนึกแห่งความละอายและความยุติธรรม คนแบบนี้ย่อมจะไม่มีความเป็นมนุษย์ และแน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับความจริงหรือได้รับความรอดจากพระเจ้าโดยง่าย นี่เป็นหลักธรรมง่ายๆ สำหรับประเมินผู้คน การประเมินการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของคนคนหนึ่งไม่ใช่มาตรฐานที่จะใช้วัดว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์หรือไม่ การที่จะประเมินว่าคนคนหนึ่งดีหรือไม่ดี เจ้าต้องตัดสินจากความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ไม่ใช่การประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของคนเหล่านั้น การประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมมักจะฉาบฉวย และได้รับอิทธิพลจากบรรยากาศ ภูมิหลัง และสภาพแวดล้อมทางสังคมของคนเรา แนวทางบางอย่างและบางสิ่งที่สำแดงออกมาก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นจึงยากที่จะกำหนดคุณภาพแห่งความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งตามการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของคนคนนั้นเพียงอย่างเดียว ตัวอย่างเช่น คนคนหนึ่งอาจเคารพศีลธรรมทางสังคมมาก และไม่ว่าจะไปแห่งใด พวกเขาก็ทำตามกฎเกณฑ์ พวกเขาอาจจะแสดงความยับยั้งชั่งใจในทุกสิ่งที่ตนทำ ทำตามกฎหมายของรัฐ และเว้นจากการก่อเรื่องในที่สาธารณะหรือล่วงล้ำผลประโยชน์ของผู้อื่น พวกเขาอาจเคารพและให้ความช่วยเหลือ ทั้งยังดูแลเอาใจใส่ผู้เยาว์และผู้มีอายุอีกด้วย การที่คนเช่นนี้มีลักษณะนิสัยอันดีงามมากมายนักหมายความว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติและย่อมเป็นคนดีหรือไม่? (ไม่) คนคนหนึ่งอาจปฏิบัติตามคติที่ว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” เป็นอย่างดียิ่ง พวกเขาอาจจะทำตามคติสอนใจที่มวลมนุษย์ให้การส่งเสริมและสนับสนุนนี้อย่างต่อเนื่อง แต่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเป็นเช่นไร? ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาไม่เอาเงินที่เก็บได้เข้ากระเป๋าตนเองไม่ได้บ่งชี้อะไรเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเลย—การประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเช่นนี้ไม่อาจใช้วัดได้ว่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขาดีหรือไม่ดี ทีนี้ควรวัดความเป็นมนุษย์ของพวกเขาอย่างไร? เจ้าต้องถอดสิ่งที่พวกเขาการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้ที่เป็นการสร้างภาพออกมา เอาพฤติกรรมและการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่มนุษย์มองว่าดีงามออกมา นั่นคือขั้นต่ำสุดที่ใครก็ตามที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติย่อมสามารถทำได้ หลังจากนั้นจงดูลักษณะสำคัญที่สุดที่พวกเขาสำแดงให้เห็น เช่น หลักธรรมในการวางตัวของพวกเขา เส้นที่พวกเขาจะไม่ยอมข้ามในการวางตัวของตน รวมทั้งท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงและพระเจ้า นี่เป็นทางเดียวที่จะมองเห็นแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และธรรมชาติภายในตัวพวกเขา การมองผู้คนด้วยวิธีนี้ค่อนข้างอิงข้อเท็จจริงและถูกต้อง ทั้งหมดนั้นคือการเสวนาของพวกเราเกี่ยวกับคติสอนใจเรื่อง “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” พวกเจ้าทุกคนเข้าใจสามัคคีธรรมนี้แล้วใช่หรือไม่? (ใช่) เรามักจะกังวลว่าแท้จริงแล้วพวกเจ้าไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เรากล่าว เข้าใจแต่คำสอนในเรื่องนั้นๆ บ้างเท่านั้น แต่ยังคงไม่เข้าใจส่วนที่สัมพันธ์กับแก่นแท้ของเรื่อง ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้จึงมีแต่ชี้แจงแนวคิดดังกล่าวเพิ่มเติมอีกนิด เราจะรู้สึกสบายใจก็ต่อเมื่อเรารู้สึกว่าพวกเจ้าเข้าใจแล้ว แล้วเราจะบอกได้อย่างไรว่าพวกเจ้าเข้าใจแล้ว? เมื่อเรามองเห็นแววเบิกบานบนใบหน้าของพวกเจ้า ก็เป็นไปได้มากว่าพวกเจ้าเข้าใจสิ่งที่เรากำลังกล่าวแล้ว ถ้าเราสามารถสัมฤทธิ์เรื่องนั้นได้ เช่นนั้นแล้วการพูดหัวข้อนี้ต่ออีกนิดก็ย่อมคุ้มค่า
เราเสร็จสิ้นสามัคคีธรรมเรื่อง “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” ไปแล้วไม่มากก็น้อย แม้เราไม่ได้บอกพวกเจ้าโดยตรงว่าคติสอนใจนี้ขัดแย้งกับความจริงอย่างไร หรือทำไมคติข้อนี้ถึงไม่สามารถยกระดับเป็นความจริงได้ หรือพระเจ้าทรงมีข้อกำหนดเช่นไรต่อพฤติกรรมและการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คน แต่เราก็ได้พูดถึงเรื่องทั้งหมดนี้ไปแล้วมิใช่หรือ? (ใช่) พระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริมหลักศีลธรรมอย่างเรื่อง “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” หรือไม่? (ไม่) เช่นนั้นแล้วพระนิเวศของพระเจ้ามองคำกล่าวนี้ว่าอย่างไร? พวกเจ้าบอกความเข้าใจของตนมาเถิด (“จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” เป็นเพียงสิ่งที่ใครก็ตามที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงยึดปฏิบัติและพึงทำ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีการส่งเสริม นอกจากนี้ “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” ก็เป็นเพียงสิ่งที่สำแดงถึงความมีศีลธรรมของมนุษย์ ไม่ได้สัมพันธ์กับหลักธรรมในการวางตัวของผู้คน ทัศนะที่พวกเขามีต่อการไล่ตามเสาะหาของตน เส้นทางที่พวกเขาเดิน หรือคุณภาพแห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขา) การประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเป็นเครื่องหมายของความเป็นมนุษย์หรือไม่? (ไม่ใช่เครื่องหมายของความเป็นมนุษย์ การประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในบางแง่มุมก็เป็นเพียงสิ่งที่ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงมีเท่านั้น) เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าพูดถึงความเป็นมนุษย์และการใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คน พระนิเวศย่อมทำเช่นนั้นภายในบริบทหลักของการไล่ตามเสาะหาความจริง กล่าวโดยทั่วไปแล้วพระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ประเมินว่าการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของคนคนหนึ่งเป็นเช่นไร—อย่างน้อยที่สุด พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ประเมินว่าคนคนหนึ่งสามารถปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” ได้หรือไม่ พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ตรวจสอบเรื่องนี้ แต่พระนิเวศของพระเจ้าจะตรวจสอบคุณภาพของความเป็นมนุษย์ของคนคนนั้น ดูว่าพวกเขารักสิ่งที่เป็นบวกและความจริงหรือไม่ และพวกเขามีท่าทีเช่นไรต่อความจริงและพระเจ้า คนคนหนึ่งอาจไม่นำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋ายามที่พวกเขาอยู่ในสังคมทางโลก แต่ถ้าพวกเขาไม่ปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเลยหลังจากที่มาเป็นผู้เชื่อ—ถ้าพวกเขาสามารถลักขโมย ใช้ทิ้งใช้ขว้าง หรือถึงกับนำของถวายไปขายเมื่อได้รับโอกาสให้บริหารจัดการของเหล่านั้น—ถ้าพวกเขาสามารถทำเรื่องไม่ดีได้สารพัดรูปแบบ พวกเขาย่อมเป็นอะไร? (คนชั่ว) พวกเขาไม่เคยแสดงจุดยืนที่จะปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเมื่อเกิดเรื่อง มีผู้คนเช่นนี้อยู่มิใช่หรือ? (มี) ดังนั้นการใช้คำกล่าวว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” มาประเมินความเป็นมนุษย์ของพวกเขาจะเหมาะสมหรือไม่? ย่อมจะไม่เหมาะสม บางคนกล่าวว่า “พวกเขาเคยเป็นคนดี พวกเขามีลักษณะนิสัยทางศีลธรรมอันประเสริฐและทุกคนก็เห็นชอบในตัวพวกเขา แล้วทำไมพวกเขาถึงเปลี่ยนไปเมื่อมาที่พระนิเวศของพระเจ้า?” พวกเขาเปลี่ยนไปจริงหรือ? ความจริงก็คือพวกเขาไมได้เปลี่ยน พวกเขามีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมและพฤติกรรมอันดีงามอยู่บ้าง แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว แก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเป็นเช่นนี้เสมอ—นั่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด พวกเขาก็วางตัวเช่นนี้เสมอ เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ผู้คนประเมินพวกเขาโดยใช้หลักเกณฑ์ที่เป็นการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม แทนที่จะใช้ความจริงมาตัดสินความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ผู้คนคิดไปว่าคนเหล่านั้นก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่ในความเป็นจริง พวกเขาไม่ได้เปลี่ยน บางคนบอกว่า “เมื่อก่อนพวกเขาไม่ได้เป็นอย่างนั้น” เมื่อก่อนพวกเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะพวกเขาไม่เคยเผชิญสถานการณ์เหล่านี้มาก่อนและไม่เคยอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนก็ไม่ได้เข้าใจความจริง และไม่สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะคนเหล่านั้นได้ ผลสุดท้ายของการที่ผู้คนมองและตัดสินผู้อื่นตามพฤติกรรมอันดีงามข้อเดียวแทนที่จะตัดสินตามแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขาคืออะไร? ไม่เพียงผู้คนจะไม่สามารถมองเห็นผู้อื่นได้อย่างแจ่มแจ้งเท่านั้น พวกเขายังจะถูกการประพฤติปฏิบัติภายนอกอันดีงามทางศีลธรรมของผู้อื่นทำให้มืดบอดและชักพาให้หลงผิดอีกด้วย เมื่อผู้คนไม่สามารถมองเห็นผู้อื่นได้อย่างชัดเจน พวกเขาก็จะไว้ใจ เลื่อนตำแหน่ง และมอบหมายงานให้ผิดคน แล้วพวกเขาก็จะถูกผู้อื่นโกงและชักจูงไปในทางที่ผิด ผู้นำและคนทำงานบางคนทำผิดพลาดเช่นนี้อยู่เนืองๆ เวลาเลือกและแต่งตั้งคน พวกเขาถูกผู้คนที่ภายนอกดูมีพฤติกรรมอันดีงามและการประพฤติปฏิบัติอันดีงามบางอย่างทางศีลธรรมทำให้มืดบอด และจัดแจงให้คนเหล่านี้รับงานสำคัญไปทำหรือเก็บรักษาสิ่งของบางอย่างที่สำคัญ ผลก็คือมีบางสิ่งผิดพลาด และทำให้พระนิเวศของพระเจ้าเกิดความสูญเสียบางอย่าง เหตุใดจึงมีบางสิ่งผิดพลาด? เกิดเรื่องผิดพลาดเพราะผู้นำและคนทำงานมองแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนเหล่านี้ไม่ออก ทำไมพวกเขาถึงมองแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนเหล่านี้ไม่ออก? เพราะผู้นำและคนทำงานเหล่านี้ไม่เข้าใจความจริง และไม่สามารถประเมินและแยกแยะผู้คนได้ พวกเขาไม่สามารถมองแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และไม่รู้ว่าผู้คนมีท่าทีเช่นไรต่อพระเจ้า ความจริง และผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เพราะผู้นำและคนทำงานเหล่านี้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลายจากมุมมองที่ผิด พวกเขามองผู้คนตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์เท่านั้น พวกเขาไม่ได้มองแก่นแท้ของผู้คนตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง—แต่กลับมองผู้คนตามการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม พฤติกรรมและสิ่งที่ผู้คนสำแดงให้เห็นภายนอก นี่เป็นเพราะทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้คนนั้นไม่มีหลักธรรม พวกเขาจึงไว้ใจคนผิด มอบหมายงานให้ผิดคน และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงถูกผู้คนเหล่านั้นทำให้มืดบอด ฉ้อโกง และหลอกใช้ และท้ายที่สุดผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าก็เสียหาย เหล่านี้คือผลสืบเนื่องจากการไม่สามารถรู้ทันผู้คนหรือมองพวกเขาออก ดังนั้นเมื่อใครสักคนต้องการที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง บทเรียนบทแรกที่พวกเขาต้องเรียนรู้ก็คือการใช้วิจารณญาณแยกแยะและมองผู้คน—บทเรียนนี้ใช้เวลายาวนานในการเรียนรู้ และเป็นหนึ่งในบทเรียนที่สำคัญที่สุดที่ผู้คนต้องเรียน ถ้าเจ้าอยากมองเห็นคนคนหนึ่งอย่างชัดแจ้งและเรียนรู้ที่จะระบุว่าพวกเขาเป็นเช่นใด เจ้าก็ต้องเข้าใจก่อนว่าพระเจ้าทรงใช้อะไรเป็นมาตรฐานในการประเมินผู้คน ความคิดอ่านและทัศนะที่เป็นเหตุผลวิบัติอะไรบ้างที่ควบคุมและมีอำนาจครอบงำวิธีการซึ่งผู้คนใช้มองและประเมินผู้อื่น สิ่งเหล่านั้นขัดแย้งกับมาตรฐานที่พระเจ้าทรงใช้ประเมินผู้คนหรือไม่ และขัดแย้งกันอย่างไร วิธีการและหลักเกณฑ์ที่เจ้าใช้ประเมินผู้คนเป็นไปตามข้อกำหนดของพระเจ้าหรือไม่? เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่? มีพื้นฐานตามความจริงหรือไม่? ถ้าไม่มี และเจ้าพึ่งพาประสบการณ์และความคิดฝันของตนเองทั้งสิ้นเวลาประเมินผู้อื่น หรือถ้าเจ้าไปไกลถึงขนาดประเมินตามศีลธรรมทางสังคมที่ได้รับการส่งเสริมอยู่ในสังคม หรือตามสิ่งที่เจ้าสังเกตพบด้วยสองตาของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วคนที่เจ้ากำลังพยายามที่จะดูให้ออกก็จะยังคงไม่ชัดแจ้งสำหรับเจ้า เจ้าจะไม่สามารถมองพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่งได้ ถ้าเจ้าให้ความไว้วางใจในตัวคนเหล่านั้นและมอบหมายหน้าที่แก่พวกเขา เจ้าก็จะมีความเสี่ยงในระดับหนึ่ง และโดยที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ก็ย่อมจะมีความเป็นไปได้ที่เรื่องนี้จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ของถวายแด่พระเจ้า งานของคริสตจักร และการเข้าสู่ชีวิตของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร การใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คนเป็นบทเรียนบทแรกที่เจ้าต้องเรียนรู้หากเจ้าอยากไล่ตามเสาะหาความจริง แน่นอนว่านี่เป็นหนึ่งในแง่มุมพื้นฐานที่สุดของความจริงที่ผู้คนพึงมีด้วย การเรียนรู้ที่จะแยกแยะผู้คนเป็นเรื่องที่ไม่อาจแยกออกจากหัวข้อสามัคคีธรรมในวันนี้ได้ พวกเจ้าต้องสามารถแยกแยะการประพฤติปฏิบัติและคุณสมบัติอันดีงามทางศีลธรรมของมนุษย์ ออกจากสิ่งที่คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงมี การแยกแยะสองสิ่งนี้ได้เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถตระหนักและรู้ทันแก่นแท้ของคนคนหนึ่งได้อย่างถูกต้อง และท้ายที่สุดก็จะสามารถระบุได้ว่าใครมีความเป็นมนุษย์และใครบ้างที่ไม่มี คนเราต้องมีอะไรไว้กับตัวเสียก่อนจึงจะแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้? คนเราต้องเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และแง่มุมนี้ของความจริง และไปถึงจุดที่พวกเขามองผู้คนตามพระวจนะของพระเจ้า โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน นี่คือหลักธรรมความจริงที่คนเราพึงมีและพึงปฏิบัติยามที่ไล่ตามเสาะหาความจริงมิใช่หรือ? (ใช่) ดังนั้นการที่พวกเราสามัคคีธรรมหัวข้อเหล่านี้กันจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
เราเพิ่งสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวข้อแรกที่ว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” ซึ่งชัดเจนว่าเป็นการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ นี่เป็นลักษณะนิสัยทางศีลธรรมและพฤติกรรมอันไม่จีรังอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้คนเกิดความประทับใจ แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถใช้เป็นมาตรฐานในการประเมินได้ว่าใครบางคนมีความเป็นมนุษย์หรือไม่ คำกล่าวข้อที่สอง “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” ก็เหมือนกัน จากการใช้คำของถ้อยแถลงนี้ เห็นได้ชัดว่านี่คือสิ่งที่ผู้คนชอบและมองว่าเป็นพฤติกรรมอันดีงามอย่างหนึ่งเช่นกัน ผู้ที่แสดงพฤติกรรมอันดีงามข้อนี้ให้เห็นย่อมได้รับการยกย่องอย่างมากว่าเป็นคนที่มีการประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรมและมีลักษณะนิสัยอันประเสริฐ—สรุปแล้ว พวกเขาถูกมองว่าเป็นคนที่ยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่นและมีลักษณะนิสัยที่ดีเยี่ยมทางศีลธรรม “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” มีความคล้ายคลึงกับ “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” อยู่บ้าง ทั้งยังเป็นพฤติกรรมอันดีงามที่เกิดขึ้นในตัวผู้คนภายในบรรยากาศทางสังคมบางอย่าง ความหมายตามตัวอักษรของคำว่า “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” ก็คือการหาความสุขจากการช่วยเหลือผู้อื่น นี่ไม่ได้หมายความว่าการช่วยเหลือผู้คนเป็นหน้าที่ของคนเรา—คำกล่าวนี้ไม่ได้บอกว่า “การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นความรับผิดชอบของคุณ”—นี่คือ “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” พวกเราสามารถมองเห็นตามนี้ว่าอะไรจูงใจผู้คนให้ช่วยเหลือผู้อื่น พวกเขาไม่ได้ทำเช่นนี้เพื่อผู้อื่น แต่ทำเพื่อตนเอง ผู้คนเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและความเจ็บปวด พวกเขาจึงออกหาผู้อื่นที่ต้องการความช่วยเหลือ แล้วให้การช่วยเหลือเผื่อแผ่แก่คนเหล่านั้น พวกเขายื่นมือไปช่วย และทำอะไรก็ตามที่ดีงามและเป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อที่จะทำให้ตนเองรู้สึกเป็นสุข พอใจ มีสันติ และเบิกบาน และเพื่อให้วันเวลาของพวกเขามีความหมาย พวกเขาจะได้ไม่รู้สึกว่างเปล่าและทุกข์ทนเท่าใดนัก—พวกเขาปรับปรุงการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของตนเพื่อจะได้สัมฤทธิ์เป้าหมายที่จะชำระพื้นที่ในหัวใจและความรู้สึกนึกคิดของตนให้บริสุทธิ์และยกชูให้สูงขึ้น นี่คือพฤติกรรมเช่นใด? ถ้าเจ้ามองผู้คนที่ยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่นจากมุมมองของคำอธิบายนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่ใช่คนดี อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ไม่ได้มีศีลธรรม มโนธรรม หรือความเป็นมนุษย์ของตนเป็นแรงจูงใจที่จะทำสิ่งที่ตนพึงทำ หรือเป็นแรงจูงใจที่จะลุล่วงความรับผิดชอบทางสังคมและในครอบครัวของตน แต่พวกเขากลับช่วยเหลือผู้คนเพื่อที่จะเข้าถึงความยินดี การปลอบประโลมทางวิญญาณ ความชูใจทางอารมณ์ และเพื่อที่จะดำรงชีวิตอย่างมีความสุข ควรคิดอย่างไรกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมแบบนี้? ถ้าเจ้าดูที่ธรรมชาติของการนี้ นี่ยิ่งแย่กว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” เสียอีก อย่างน้อย “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” ก็ไม่มีแง่มุมที่เห็นแก่ตัว เมื่อเป็นเช่นนี้ “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” ย่อมเป็นอย่างไร? คำว่า “ยินดี” บ่งชี้ว่าพฤติกรรมนี้มีความเห็นแก่ตัวและเจตนาที่ไม่ซื่ออยู่ด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องของการช่วยผู้คนเพื่อผู้คนเหล่านั้นหรือเป็นการให้ที่ไม่คำนึงถึงตนเอง นี่ทำเพื่อความยินดีส่วนตน เรื่องนี้ไม่ควรค่าแก่การสนับสนุนโดยแท้ ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าเห็นคนมีอายุล้มลงตรงถนนใหญ่ และเจ้าคิดในใจว่า “ช่วงนี้ฉันรู้สึกแย่ การที่ผู้สูงอายุคนนี้หกล้มเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยม—ฉันจะยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น!” เจ้าเข้าไปช่วยพยุงคนสูงอายุขึ้นมา และพอพวกเขาลุกขึ้นมายืน พวกเขาก็สรรเสริญเจ้าว่า “หนูเป็นคนดีจริงๆ ขอให้หนูปลอดภัย มีความสุข มีอายุยืนนาน!” พวกเขาพร่ำพูดถ้อยคำชวนฟังเหล่านี้กับเจ้า และพอได้ฟัง ความวิตกกังวลทั้งหมดของเจ้าก็หายวับไปและเจ้าก็รู้สึกพอใจ เจ้าคิดไปว่าการช่วยผู้คนนี้ดี และตั้งใจแน่วแน่ที่จะเดินเล่นไปตามถนนยามเจ้ามีเวลาว่าง ช่วยพยุงใครก็ได้ที่ล้มให้ลุกขึ้นมา ผู้คนแสดงพฤติกรรมอันดีงามบางอย่างภายใต้อิทธิพลของการนึกคิดแบบนี้ และสังคมมนุษย์ก็จัดให้เรื่องนี้เป็นจารีตอันประณีตว่าด้วยการยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น และเป็นลักษณะนิสัยอันประเสริฐอย่างหนึ่งทางศีลธรรมซึ่งสืบสานจารีตอันยิ่งใหญ่นี้ บริบทย่อยของการยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่นก็คือคนที่ช่วยเหลือมักจะคิดว่าตนนั้นคือสุดยอดทางศีลธรรม พวกเขาเสกสรรให้ตนเองเป็นคนใจบุญผู้ยิ่งใหญ่ และยิ่งผู้คนสรรเสริญพวกเขา พวกเขาก็ยิ่งเต็มใจที่จะช่วยเหลือ บริจาค และทำเพื่อผู้อื่นมากขึ้น นี่ย่อมสนองความอยากเป็นวีรชนและผู้ช่วยมนุษยชาติให้รอดของพวกเขา รวมทั้งอยากได้ความอิ่มอกอิ่มใจอย่างหนึ่งจากการเป็นที่ต้องการของผู้อื่น มนุษย์ทุกคนอยากรู้สึกว่าตนเป็นที่ต้องการมิใช่หรือ? เมื่อผู้คนรู้สึกว่าผู้อื่นต้องการตน พวกเขาก็นึกว่าตนนั้นมีประโยชน์เป็นพิเศษและชีวิตของพวกเขาก็มีความหมาย นี่เป็นเพียงการเรียกร้องความสนใจอย่างหนึ่งมิใช่หรือ? การเรียกร้องความสนใจคือสิ่งเดียวที่นำความยินดีมาให้แก่ผู้คน—นี่คือวิถีชีวิตของพวกเขา อันที่จริงไม่ว่าพวกเราจะมองเรื่องของการยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่นจากมุมไหน นี่ก็ไม่ใช่มาตรฐานสำหรับประเมินศีลธรรมของมนุษย์ บ่อยครั้งการยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่นก็อาศัยความพยายามน้อยมากจริงๆ ถ้าเจ้าเต็มใจที่จะทำตามนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมจะลุล่วงความรับผิดชอบทางสังคมของตนแล้ว ถ้าเจ้าไม่เต็มใจที่จะทำตามนั้น ก็ไม่มีใครโทษเจ้า และเจ้าก็จะไม่ถูกคนส่วนใหญ่กล่าวโทษ เมื่อเป็นเรื่องของพฤติกรรมอันดีงามที่มนุษย์ชมเชย คนเราสามารถเลือกที่จะปฏิบัติตามนั้นหรือไม่ปฏิบัติตามนั้นก็ได้ จะเลือกทางไหนก็ไม่เป็นไร ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบีบคั้นผู้คนด้วยคำกล่าวนี้ หรือทำให้พวกเขาหัดยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น เพราะโดยตัวมันเองก็เป็นเพียงพฤติกรรมอันดีงามที่ไม่จีรังเท่านั้น ไม่ว่าใครคนหนึ่งจะมีแรงจูงใจอันเกิดจากความพึงปรารถนาที่จะลุล่วงความรับผิดชอบที่ตนมีต่อสังคม หรือปฏิบัติพฤติกรรมอันดีงามนี้เพราะมีสำนึกของคุณธรรมพลเมืองก็ตาม ผลสุดท้ายย่อมจะเป็นเช่นไร? พวกเขาก็จะเอาแต่สนองความพึงปรารถนาจะเป็นคนดีและเป็นรูปจำแลงแห่งจิตวิญญาณของเหลยเฟิงด้วยการกระทำครั้งเดียวนี้เท่านั้น พวกเขาจะเกิดความยินดีและความชูใจบางอย่างจากการทำเช่นนี้ ซึ่งเป็นการยกระดับขอบเขตการคิดอ่านของตนให้สูงขึ้นเท่านั้นเอง นี่คือแก่นแท้ของสิ่งที่พวกเขาทำอยู่ ดังนั้นก่อนสามัคคีธรรมครั้งนี้ พวกเจ้าเข้าใจคำกล่าวที่ว่า “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” ว่าอย่างไรบ้าง? (ข้าพระองค์ไม่เคยตระหนักถึงเจตนาที่เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจเบื้องหลังคำกล่าวนี้มาก่อน) จงดูกรณีที่ตัวเจ้ามีหน้าที่ทำบางสิ่ง มีความรับผิดชอบที่เจ้าต้องไม่บ่ายเบี่ยง บางสิ่งที่ค่อนข้างยาก และเจ้าต้องสู้ทนความทุกข์บ้าง ตัดขาดบางอย่าง และจ่ายราคาเพื่อที่จะทำให้สำเร็จลุล่วง แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็สามารถลุล่วงความรับผิดชอบนี้ได้ เวลาทำหน้าที่นี้อยู่ เจ้าย่อมจะไม่รู้สึกพอใจนัก และหลังจากที่จ่ายราคาและลุล่วงความรับผิดชอบนี้แล้ว ผลจากการลงทุนลงแรงของเจ้าย่อมจะไม่นำความยินดีหรือความชูใจมาให้เจ้าแต่อย่างใด แต่เพราะนี่คือความรับผิดชอบและหน้าที่ของเจ้า เจ้าจึงทำแต่โดยดี ถ้าพวกเรานำเรื่องนี้มาเปรียบเทียบกับการยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น อย่างไหนแสดงให้เห็นความเป็นมนุษย์มากกว่ากัน? (ผู้คนที่ลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ของตนมีความเป็นมนุษย์มากกว่า) การเกิดความยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่นไม่ใช่เรื่องของการลุล่วงความรับผิดชอบ—เป็นเพียงข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมและความรับผิดชอบทางสังคมของผู้คน ซึ่งมีอยู่ในบริบททางสังคมบางอย่างเท่านั้น นี่เกิดจากความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ ศีลธรรมทางสังคม หรือกฎหมายของประเทศด้วยซ้ำ และทำหน้าที่ประเมินว่าคนคนหนึ่งมีศีลธรรมหรือไม่ รวมทั้งประเมินคุณภาพแห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” เป็นเพียงคำกล่าวที่ใช้ตีกรอบพฤติกรรมของผู้คน ซึ่งสังคมมนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อยกระดับขอบเขตการคิดอ่านของมนุษย์ คำกล่าวเช่นนี้ใช้กันเพียงเพื่อทำให้ผู้คนปฏิบัติพฤติกรรมอันดีงามบ้างเท่านั้น และมาตรฐานที่ใช้ประเมินพฤติกรรมอันดีงามเหล่านั้นก็คือศีลธรรมทางสังคม ความเห็นส่วนรวม หรือแม้กระทั่งตัวบทกฎหมาย ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้ามองเห็นใครบางคนที่ต้องการความช่วยเหลือในที่สาธารณะและเจ้าเป็นคนแรกที่ควรเข้าไปช่วยพวกเขา แต่เจ้าก็ไม่ไปช่วย คนอื่นจะคิดอย่างไรกับเจ้า? พวกเขาจะว่ากล่าวที่เจ้าไม่รู้จักความควรไม่ควร—นั่นคือความหมายเวลาพวกเราพูดถึงความเห็นส่วนใหญ่มิใช่หรือ? (ใช่) เช่นนั้นแล้วอะไรคือศีลธรรมทางสังคม? ศีลธรรมทางสังคมคือนิสัยและสิ่งที่เป็นบวกและใฝ่ดีซึ่งสังคมให้การส่งเสริมและสนับสนุน แน่นอนว่ารวมถึงข้อกำหนดจำเพาะมากมายด้วย เช่น การเกื้อหนุนผู้คนที่เปราะบาง การยื่นมือเข้าช่วยเหลือเมื่อผู้อื่นเผชิญความทุกข์ยาก และการไม่เอาแต่ยืนเป็นทองไม่รู้ร้อน เชื่อกันว่าผู้คนต้องมีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมแบบนี้ นั่นคือความหมายของการมีศีลธรรมทางสังคม ถ้าเจ้ามองเห็นใครบางคนทนทุกข์ แล้วเจ้าทำเป็นไม่เห็น เพิกเฉย และไม่ทำอะไร เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่มีศีลธรรมทางสังคม ดังนั้นกฎหมายมีข้อกำหนดต่อการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ว่าอย่างไรบ้าง? จีนเป็นกรณีพิเศษในเรื่องนี้ กล่าวคือ กฎหมายของจีนไม่มีข้อบังคับใดๆ ที่ชัดแจ้งในเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมและศีลธรรมทางสังคม ผู้คนจึงเรียนรู้บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ผ่านทางการอบรมเลี้ยงดูภายในครอบครัวของตน การศึกษาในโรงเรียน และสิ่งที่พวกเขาได้ยินได้ฟังและสังเกตเห็นในสังคมเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม กฎหมายในประเทศตะวันตกกลับปกป้องสิ่งเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้ามองเห็นใครล้มบนถนน อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ควรเข้าไปหาพวกเขาและถามว่า “เป็นอะไรไหม? ต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า?” ถ้าคนคนนั้นตอบว่า “ฉันไม่เป็นไร ขอบคุณ” เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องช่วยพวกเขา เจ้าไม่ต้องลุล่วงความรับผิดชอบนั้น ถ้าพวกเขาบอกว่า “ฉันต้องการความช่วยเหลือ ช่วยหน่อย” เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องช่วยพวกเขา ถ้าเจ้าไม่ช่วย เจ้าก็จะมีความผิดตามกฎหมาย นี่จึงเป็นข้อกำหนดพิเศษที่บางประเทศมีในเรื่องของการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คน พวกเขากำหนดให้ผู้คนทำเช่นนี้ผ่านทางข้อบังคับที่ชัดแจ้งในกฎหมายของพวกเขา ข้อกำหนดทั้งหลายที่ความเห็นส่วนใหญ่ ศีลธรรมทางสังคม และแม้กระทั่งกฎหมายมีต่อการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คนนี้จำกัดอยู่แต่เรื่องพฤติกรรมของผู้คนเท่านั้น และหลักเกณฑ์พื้นฐานทางพฤติกรรมเหล่านี้ก็เป็นมาตรฐานที่ใช้ประเมินการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของแต่ละคน ดูภายนอกแล้วเหมือนมาตรฐานทางศีลธรรมเหล่านี้ประเมินพฤติกรรมของผู้คนอยู่—กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ว่าผู้คนจะลุล่วงความรับผิดชอบทางสังคมของตนหรือไม่ก็ตาม—แต่โดยแก่นแท้แล้ว มาตรฐานเหล่านี้กำลังประเมินคุณสมบัติภายในตัวผู้คน ไม่ว่าจะเป็นความคิดเห็นของผู้คนส่วนใหญ่ ศีลธรรมทางสังคม หรือกฎหมายก็ตาม สิ่งเหล่านี้เพียงแต่วัดหรือสร้างข้อกำหนดเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้คนทำเท่านั้น แล้วเครื่องวัดและข้อกำหนดเหล่านี้ก็จำกัดอยู่แต่เรื่องพฤติกรรมของผู้คน ตัดสินคุณสมบัติและการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของคนคนหนึ่งตามพฤติกรรมของคนคนนั้น—นั่นคือขอบข่ายการประเมินของสิ่งเหล่านี้ นั่นคือธรรมชาติของถ้อยแถลงที่ว่า “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” เมื่อเป็นเรื่องของการยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น ประเทศตะวันตกออกข้อกำหนดกับผู้คนผ่านทางข้อบังคับทางกฎหมาย ส่วนในจีนมีการใช้วัฒนธรรมดั้งเดิมมาอบรมสั่งสอนและฝึกผู้คนให้มีแนวคิดเหล่านี้ แม้จะมีความแตกต่างนี้ระหว่างโลกตะวันออกและโลกตะวันตก แต่ทั้งสองฝ่ายก็มีธรรมชาติที่เหมือนกัน—ทั้งสองใช้คำกล่าวมากวดขันและกำกับพฤติกรรมและศีลธรรมของผู้คน อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายของประเทศตะวันตกหรือวัฒนธรรมดั้งเดิมในโลกตะวันออก สิ่งเหล่านี้ต่างก็เป็นเพียงข้อกำหนดและข้อบังคับที่มีต่อพฤติกรรมและการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์เท่านั้น และหลักเกณฑ์เหล่านี้ก็เพียงแต่กำกับพฤติกรรมและการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คนเท่านั้น—แต่มีอย่างไหนบ้างที่เล็งไปที่ความเป็นมนุษย์ของผู้คน? ข้อบังคับที่เอาแต่กำหนดว่าคนคนหนึ่งพึงมีพฤติกรรมเช่นใดจะใช้เป็นมาตรฐานในการประเมินความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้หรือไม่? (ไม่ได้) ถ้าพวกเราดูคำกล่าวที่ว่า “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” คนชั่วบางคนก็สามารถยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่นได้ แต่พวกเขาย่อมมีเจตนาและเป้าหมายของตนเองเป็นแรงจูงใจ เมื่อพวกมารทำเรื่องดีงามเล็กน้อยบางอย่าง ก็ยิ่งมีแนวโน้มมากขึ้นที่พวกเขาจะมีเจตนาและเป้าหมายของตนเองในการทำเช่นนั้น พวกเจ้าคิดหรือว่าทุกคนที่ยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่นคือคนที่รักความจริงซึ่งมีสำนึกแห่งความยุติธรรม? จงดูผู้ที่เชื่อกันว่ายินดีในการช่วยเหลือผู้อื่นในประเทศจีนเถิด เช่น บุคคลที่ห้าวหาญเหล่านั้น หรือผู้คนที่ปล้นคนรวยมาให้คนจน หรือผู้ที่ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและผู้พิการอยู่เนืองๆ และอื่นๆ—พวกเขามีความเป็นมนุษย์กันทุกคนหรือไม่? พวกเขารักสิ่งที่เป็นบวกและมีสำนึกแห่งความชอบธรรมกันทุกคนหรือไม่? (ไม่) อย่างมากพวกเขาก็เป็นเพียงผู้คนที่มีลักษณะนิสัยค่อนข้างดีกว่าเท่านั้น เนื่องจากพวกเขาถูกจิตวิญญาณแห่งการยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่นนี้กำกับเอาไว้ พวกเขาจึงทำสิ่งดีๆ มากมายที่นำความยินดี ความชูใจมาให้ตน และเปิดโอกาสให้พวกเขาพลอยรู้สึกเป็นสุขอย่างเต็มที่ แต่การมีพฤติกรรมดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์ เพราะทั้งความเชื่อของพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาในระดับจิตวิญญาณนั้นไม่ชัดแจ้ง เป็นตัวแปรที่ไม่มีใครรู้ ดังนั้นสามารถมองตามการประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรมนี้ว่าพวกเขาคือผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์และมโนธรรมได้หรือไม่? (ไม่ได้) สถาบันบางแห่ง เช่น มูลนิธิและหน่วยงานสังคมสงเคราะห์ต่างๆ ที่เชื่อกันว่ายินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น คอยช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและผู้พิการ อย่างมากที่สุดก็ลุล่วงความรับผิดชอบทางสังคมของตนบ้าง พวกเขาทำสิ่งเหล่านี้เพื่อปรับปรุงภาพลักษณ์ของตนในสายตาสาธารณชน ทำให้มีคนมองเห็นตนเองมากขึ้น และเพื่อตอบสนองวิธีคิดที่ให้ยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น—แน่นอนว่านี่ย่อมจะไปไม่ถึงระดับที่จะบ่งชี้ว่าพวกเขา “มีความเป็นมนุษย์” ยิ่งไปกว่านั้นผู้คนที่พวกเขายินดีในการช่วยเหลือนั้นต้องการความช่วยเหลือจริงหรือไม่? การยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่นนั้นโดยตัวมันเองมีความเที่ยงธรรมหรือไม่? ไม่จำเป็น ถ้าเจ้าสำรวจเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งใหญ่และเล็กที่เกิดขึ้นในสังคมมานานพอ เจ้าก็จะมองเห็นว่าเหตุการณ์บางอย่างเป็นเรื่องของผู้คนที่ยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่นเท่านั้น ส่วนกรณีอื่นๆ อีกมากมายนั้นมีการใช้เหตุการณ์ต่างๆ ที่ผู้คนยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่นมาปกปิดความลับและมุมมืดของสังคมซึ่งไม่เป็นที่ล่วงรู้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็มีเจตนาและเป้าหมายอยู่เบื้องหลังการยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ว่าเจตนาและเป้าหมายเหล่านี้จะเป็นการมีชื่อเสียงและผงาดขึ้นมาเหนือผู้คน หรือการยึดปฏิบัติตามศีลธรรมทางสังคมและไม่ทำผิดกฎหมาย หรือการได้รับการประเมินในทางที่ดีขึ้นจากสังคมโดยรวมก็ตาม ไม่ว่าคนเราจะมองว่าอย่างไร การยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่นก็เป็นเพียงหนึ่งในพฤติกรรมภายนอกของมนุษย์เท่านั้น และอย่างมากที่สุดก็นับเป็นการประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรมอย่างหนึ่ง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ที่ปกติซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดไว้เลย ผู้ที่สามารถยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่นอาจเป็นผู้คนทั่วไปที่ไม่มีความทะเยอทะยานที่แท้จริงก็เป็นได้ หรือพวกเขาอาจจะเป็นบุคคลสำคัญในสังคม อาจเป็นคนที่ค่อนข้างใจดี แต่ก็อาจจะมีหัวใจที่มุ่งร้ายเช่นกัน พวกเขาอาจเป็นคนแบบไหนก็ได้ และทุกคนก็มีพฤติกรรมเช่นนี้ได้ชั่วขณะ ดังนั้นจึงแน่นอนว่าถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมว่า “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” ไม่เหมาะที่จะเป็นมาตรฐานสำหรับประเมินความเป็นมนุษย์ของผู้คน
“จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น”—อันที่จริง คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้ไม่ได้แสดงถึงแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของผู้คน และแทบไม่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คน เพราะฉะนั้นจึงไม่เหมาะสมที่จะใช้ประเมินคุณภาพแห่งความเป็นมนุษย์ของใครๆ ดังนั้นวิธีที่เหมาะสมในการประเมินความเป็นมนุษย์ของใครสักคนคืออะไร? อย่างน้อยที่สุด คนที่มีความเป็นมนุษย์ก็ไม่ควรตัดสินใจว่าจะช่วยใครสักคนหรือลุล่วงความรับผิดชอบของตนหรือไม่ โดยดูว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้พวกเขามีความสุขหรือไม่ แต่การตัดสินใจของพวกเขาควรเป็นไปตามมโนธรรมและเหตุผลของพวกเขาเอง และพวกเขาก็ไม่ควรคำนึงว่าตนต้องได้อะไร หรือการช่วยคนคนนั้นจะมีผลอย่างไรกับตนบ้าง หรืออาจจะมีผลเช่นไรกับตนในอนาคตบ้าง พวกเขาไม่ควรคำนึงถึงสิ่งใดๆ เหล่านี้ และควรลุล่วงความรับผิดชอบของตน ช่วยเหลือผู้อื่น และป้องกันไม่ให้ผู้อื่นประสบความทุกข์ พวกเขาควรช่วยผู้คนอย่างบริสุทธิ์ใจ ปราศจากจุดมุ่งหมายอันเห็นแก่ตัว—นั่นคือสิ่งที่คนที่มีความเป็นมนุษย์โดยแท้ย่อมจะทำ ถ้าเป้าหมายของคนในการช่วยผู้อื่นคือการทำให้ตนเองพอใจหรือได้รับการนับหน้าถือตา เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมมีลักษณะที่เห็นแก่ตัวและต่ำช้า—ผู้ที่มีมโนธรรมและเหตุผลอย่างแท้จริงจะไม่กระทำการในลักษณะนี้ ผู้คนที่มีความรักอันแท้จริงให้กับผู้อื่นย่อมไม่กระทำการเพียงเพื่อที่จะลุล่วงความพึงปรารถนาที่จะรู้สึกอะไรบางอย่างของตน แต่กลับทำเช่นนั้นเพื่อที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของตนเอง และทำทุกสิ่งตามกำลังเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น พวกเขาไม่ช่วยผู้คนเพื่อให้ได้รางวัล และไม่มีเจตนาหรือแรงจูงใจอื่นใด แม้การทำเช่นนี้อาจจะเป็นเรื่องยากก็ได้ และแม้พวกเขาอาจจะถูกผู้อื่นตัดสินหรือถึงกับเผชิญอันตรายบ้าง พวกเขาก็ตระหนักว่านี่คือหน้าที่ที่ผู้คนพึงทำ นี่คือความรับผิดชอบของผู้คน และหากพวกเขาไม่ทำเช่นนี้ พวกเขาก็ย่อมจะชดใช้สิ่งที่ตนเองติดค้างผู้อื่นและติดค้างพระเจ้าไม่สำเร็จ และจะนึกเสียใจไปชั่วชีวิต เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาจึงเดินหน้าอย่างไม่ลังเล ทำอย่างสุดความสามารถ เชื่อฟังเจตจำนงของสวรรค์ และลุล่วงความรับผิดชอบของตน ไม่ว่าผู้อื่นจะตัดสินพวกเขาอย่างไร หรือผู้อื่นจะแสดงความรู้คุณและยกย่องพวกเขาหรือไม่ ตราบใดที่พวกเขาสามารถช่วยคนคนนั้นให้ทำสิ่งใดก็ตามที่คนผู้นั้นจำเป็นต้องทำ และสามารถทำเช่นนั้นได้ด้วยหัวใจทั้งดวงของตน พวกเขาย่อมจะรู้สึกพอใจ ผู้ที่สามารถกระทำเช่นนี้ได้ย่อมมีมโนธรรมและเหตุผล พวกเขามีลักษณะที่สำแดงถึงความเป็นมนุษย์ ไม่ได้มีแต่พฤติกรรมอย่างหนึ่งที่จำกัดอยู่ในขอบข่ายของลักษณะนิสัยและการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเท่านั้น การยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่นเป็นเพียงพฤติกรรมอย่างหนึ่ง และบางครั้งก็เป็นเพียงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในบริบทจำเพาะบางอย่าง การที่คนคนหนึ่งตัดสินใจที่จะมีพฤติกรรมอันไม่จีรังแบบนี้ย่อมเป็นไปตามความรู้สึก ภาวะอารมณ์ สภาพแวดล้อมทางสังคม บริบทในขณะนั้น ตลอดจนข้อดีหรือข้อเสียที่อาจเกิดจากการทำเช่นนั้น ผู้ที่มีความเป็นมนุษย์ย่อมไม่คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้เวลาพวกเขาช่วยเหลือผู้คน—พวกเขาตัดสินใจตามมาตรฐานการตัดสินที่เป็นบวกกว่า และสอดคล้องมากกว่ากับมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ บางครั้งพวกเขาก็สามารถตั้งหน้าตั้งตาช่วยผู้คนทั้งที่การทำเช่นนั้นสวนทางและขัดแย้งกับมาตรฐานทางศีลธรรมด้วยซ้ำ หลักเกณฑ์ แนวคิด และทัศนะทางศีลธรรมสามารถกวดขันได้แต่พฤติกรรมอันไม่ยั่งยืนของผู้คนเท่านั้น และไม่ว่าพฤติกรรมเหล่านี้จะดีหรือไม่ดีก็ย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปตามความรู้สึก ภาวะอารมณ์ ความดีความชั่วในตัวคน และเจตนาชั่วขณะของพวกเขาว่าดีหรือไม่ดี แน่นอนว่าบรรยากาศและสภาพแวดล้อมทางสังคมย่อมจะมีผลต่อเรื่องนี้ด้วย มีสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์อยู่มากมายในพฤติกรรมเหล่านี้ ทั้งหมดคือพฤติกรรมที่ฉาบฉวย และผู้คนก็ไม่สามารถใช้พฤติกรรมเหล่านี้มาตัดสินได้ว่าใครบางคนมีความเป็นมนุษย์หรือไม่ ในทางกลับกัน การตัดสินว่าใครบางคนมีความเป็นมนุษย์หรือไม่ตามแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา ทัศนคติที่พวกเขามีต่อชีวิต ระบบค่านิยมของพวกเขา เส้นทางที่พวกเขาเดิน ตลอดจนหลักการพื้นฐานของการวางตนและการกระทำของพวกเขา ย่อมถูกต้องและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากกว่ามาก จงบอกเราเถิดว่าอย่างไหนสอดคล้องกับความจริง รากฐานที่ใช้ประเมินความเป็นมนุษย์หรือรากฐานที่ใช้ประเมินการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม? สิ่งที่สอดคล้องกับความจริงนั้นคือมาตรฐานสำหรับประเมินการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม หรือมาตรฐานสำหรับประเมินว่าใครบางคนมีความเป็นมนุษย์หรือไม่? มาตรฐานเหล่านี้อย่างไหนสอดคล้องกับความจริง? ที่จริงแล้วย่อมเป็นมาตรฐานสำหรับประเมินว่าใครบางคนมีความเป็นมนุษย์หรือไม่ ที่สอดคล้องกับความจริง นี่คือเรื่องที่แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย สาเหตุที่สิ่งที่ใช้ประเมินการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คนไม่อาจทำหน้าที่เป็นหลักเกณฑ์ได้ก็เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่เสมอต้นเสมอปลาย เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์มากมาย เช่น ธุรกรรมแลกเปลี่ยน ผลประโยชน์ ความชอบส่วนตน การไล่ตามไขว่คว้า ภาวะอารมณ์ ความคิดชั่ว อุปนิสัยอันเสื่อมทราม และอื่นๆ ของผู้คน มีความผิดพลาดและสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์อยู่ภายในสิ่งเหล่านี้มากเกินไปนั่นเอง—พวกเขาไม่ตรงไปตรงมา เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จึงไม่สามารถทำหน้าที่เป็นหลักเกณฑ์ในการตัดสินผู้คนได้ ทั้งหมดนี้เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ สารพัดรูปแบบที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวมนุษย์ รวมทั้งภาวะอื่นๆ ที่เกิดจากอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันเสื่อมทรามของมนุษย์ และเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งเหล่านี้จึงไม่ใช่ความจริง สรุปแล้ว ไม่ว่าผู้คนจะคิดว่าหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ทำได้ง่ายหรือยาก หรือจะประเมินว่าหลักเกณฑ์เหล่านี้มีคุณค่าสูงส่ง ต่ำต้อย หรือปานกลาง ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม หลักเกณฑ์ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงคำกล่าวที่กวดขันและกำกับพฤติกรรมของผู้คนเท่านั้น ไต่ระดับขึ้นมาเป็นเพียงคุณลักษณะทางศีลธรรมของมนุษย์เท่านั้น ไม่ได้สัมพันธ์กับข้อกำหนดของพระเจ้าที่ให้ใช้ความจริงตัดสินความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งแม้แต่น้อย หลักเกณฑ์เหล่านี้ไม่ได้รวมมาตรฐานขั้นพื้นฐานที่สุดซึ่งผู้ที่มีความเป็นมนุษย์พึงมีและพึงทำให้ลุล่วงเอาไว้ด้วยซ้ำ ไม่มีทั้งหมดนี้แต่อย่างใด เวลามองผู้คน มนุษย์ก็มุ่งประเมินแต่การประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่พวกเขาแสดงให้เห็นเท่านั้น พวกเขามองและประเมินผู้คนตามข้อกำหนดของวัฒนธรรมดั้งเดิมทั้งสิ้น พระเจ้าไม่ได้เอาแต่ทรงมองผู้คนตามการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่พวกเขาแสดงออกมา—พระองค์ทรงมุ่งเน้นแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขา แก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง? สิ่งที่ถูกใจพวกเขา ทัศนะที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆ ระบบค่านิยมและทัศนคติที่พวกเขามีต่อชีวิต สิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา พวกเขามีสำนึกแห่งความยุติธรรมหรือไม่ พวกเขารักความจริงและสิ่งที่เป็นบวกหรือไม่ ความสามารถของพวกเขาในการยอมรับและนบนอบความจริง เส้นทางที่พวกเขาเลือก เป็นต้น การตัดสินแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งตามสิ่งเหล่านี้ย่อมถูกต้อง นี่คือการสรุปจบสามัคคีธรรมของเราไม่มากก็น้อยในเรื่องการยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยสามัคคีธรรมเรื่องข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมสองข้อนี้ ตอนนี้พวกเจ้าย่อมเข้าใจหลักธรรมพื้นฐานของการใช้วิจารณญาณแยกแยะทั้งในเรื่องวิธีประเมินการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม และในเรื่องความแตกต่างระหว่างมาตรฐานในการประเมินผู้คนของพระเจ้ากับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่มนุษย์พูดถึงแล้วใช่หรือไม่? (ใช่)
เราเพิ่งสามัคคีธรรมเรื่องข้อกำหนดที่วัฒนธรรมดั้งเดิมมีต่อการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ไปสองข้อคือ “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” และ “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” พวกเจ้าได้เรียนรู้อะไรจากสามัคคีธรรมของเราเรื่องคำกล่าวสองข้อนี้บ้าง? (ข้าพระองค์เรียนรู้ว่าการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คนไม่ได้สัมพันธ์กับแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขา อย่างมากผู้คนที่แสดงการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมแบบนี้ให้เห็นก็มีพฤติกรรมและการสำแดงออกอันดีงามบางอย่างในแง่คุณสมบัติทางศีลธรรมของพวกเขา อย่างไรก็ดี นี่ไมได้หมายความว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์หรือใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ ข้าพระองค์ได้รับความเข้าใจที่ค่อนข้างชัดเจนขึ้นในประเด็นนี้) ผู้คนที่แสดงให้เห็นการประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรมไม่จำเป็นต้องมีความเป็นมนุษย์—ทุกคนสามารถตระหนักรู้เรื่องนี้ และที่จริงแล้วนี่คือวิถีที่สิ่งทั้งหลายเป็น ผู้คนทั้งปวงพากันทำตามกระแสนิยมอันชั่วของสังคมและพวกเขาก็ล้วนสูญเสียมโนธรรมและเหตุผลของตนไปเรื่อยๆ—น้อยคนที่สามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ คนที่เคยส่งมอบเหรียญสลึงที่ตนพบอยู่บนทางเท้าให้แก่ตำรวจกลายเป็นคนดีกันหมดทุกคนหรือไม่? ไม่จำเป็น ผู้ที่เคยได้รับการสรรเสริญว่าเป็นผู้กล้าพบจุดจบเช่นใดในภายหลัง? ในหัวใจของพวกเขา ผู้คนรู้คำตอบของเรื่องเหล่านี้กันทุกคน ผู้ที่เป็นแบบอย่างของศีลธรรมทางสังคมและคนใจบุญที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ คนที่มักจะยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น มีดอกไม้แดงประดับตัว และเป็นที่ยกย่องของมนุษย์ กลายเป็นเช่นไร? กลับกลายเป็นว่าพวกเขาส่วนใหญ่ไม่ใช่คนดี พวกเขาเพียงจงใจทำสิ่งดีๆ บางอย่างเพื่อให้ตนมีชื่อเสียงเท่านั้น อันที่จริงพฤติกรรม ชีวิต และลักษณะนิสัยที่แท้จริงของพวกเขา โดยมากแล้วไม่ได้ดีงามเช่นนั้นเลย สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ดีจริงๆ ก็คือการยกยอปอปั้นและประจบประแจงเท่านั้น เมื่อพวกเขาปลดดอกไม้แดงและเปลือกนอกของการเป็นแบบอย่างแห่งศีลธรรมทางสังคมนั้นออกจากตัว พวกเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะวางตัวอย่างไรหรือควรทำเช่นไรกับชีวิตของตน ปัญหาในที่นี้คืออะไร? พวกเขาตกหลุมพรางของมงกุฎแห่งการเป็น “แบบอย่างทางศีลธรรม” ที่สังคมสวมให้มิใช่หรือ? พวกเขาไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองเป็นเช่นไร—พวกเขาถูกยกยอปอปั้นอย่างมากจนเริ่มคิดไปว่าตนเองนั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน และพวกเขาก็ไม่สามารถเป็นคนปกติได้อีกต่อไป ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรใช้ชีวิตอย่างไร การดำรงอยู่ในแต่ละวันของพวกเขากลายเป็นเรื่องยุ่งเหยิงอย่างสิ้นเชิง และบ้างก็ถึงกับลงเอยด้วยการติดสุรา ซึมเศร้า และฆ่าตัวตาย แน่นอนว่ามีผู้คนที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ พวกเขาไล่ตามความรู้สึกอยู่เสมอ อยากเป็นวีรชน เป็นแบบอย่าง อยากมีชื่อเสียง หรืออยากเป็นสุดยอดแห่งความดีเลิศทางศีลธรรม พวกเขาไม่เคยสามารถกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้ สำหรับพวกเขาแล้วสิ่งจำเป็นในชีวิตจริงแต่ละวันคือบ่อเกิดของความเดือดเนื้อร้อนใจและความทุกข์อย่างต่อเนื่อง พวกเขาไม่รู้ว่าจะขจัดความเจ็บปวดนี้อย่างไร หรือจะเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องอย่างไร ในการค้นหาความตื่นเต้นเร้าใจ บ้างก็หันไปหายาเสพติด ส่วนคนอื่นก็เลือกที่จะจบชีวิตของตนเพื่อหนีความรู้สึกที่ว่างเปล่า บางคนที่ไม่ฆ่าตัวตายสุดท้ายก็มักจะตายเพราะซึมเศร้า มีตัวอย่างเช่นนี้อยู่มากมายมิใช่หรือ? (ใช่) นี่คือความเสียหายชนิดที่วัฒนธรรมดั้งเดิมก่อให้เกิดแก่ผู้คน ไม่เพียงวัฒนธรรมดั้งเดิมไม่ยอมให้ผู้คนเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในความเป็นมนุษย์หรือนำพวกเขาเข้าสู่เส้นทางที่ควรเดินเท่านั้น—นั่นไม่ใช่ทั้งหมด—แท้จริงแล้ววัฒนธรรมดั้งเดิมนำพวกเขาพลัดหลง พาพวกเขาไปยังดินแดนของความหลงผิดและเพ้อฝัน นี่ก่อให้เกิดผลร้ายต่อผู้คน และเป็นผลร้ายที่ลึกมาก บางคนอาจจะกล่าวว่า “นั่นไม่จริงเสมอไป! พวกเราเองก็สบายดีอยู่ไม่ใช่หรือ?” การที่พวกเจ้าสบายดีในตอนนี้เป็นเพียงผลจากการคุ้มครองของพระเจ้ามิใช่หรือ? นี่เป็นเพียงเพราะพระเจ้าทรงเลือกพวกเจ้าเอาไว้และพวกเจ้าก็มีการคุ้มครองของพระองค์ พวกเจ้าถึงได้โชคดีพอที่จะยอมรับพระราชกิจของพระองค์ สามารถอ่านพระวจนะของพระองค์ เข้าร่วมการชุมนุม แลกเปลี่ยนสามัคคีธรรม และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าที่นี่ได้ เป็นเพียงเพราะการคุ้มครองของพระองค์ พวกเจ้าถึงสามารถดำเนินชีวิตอย่างมนุษย์ที่ปกติ และมีเหตุผลที่ปกติไว้รับมือชีวิตประจำวันของเจ้าในทุกแง่มุม อย่างไรก็ดี ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในส่วนลึกของความรู้สึกนึกคิดของพวกเจ้ายังคงมีแนวคิดและทัศนะ เช่น “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” และ “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” อยู่ และพร้อมกันนั้นพวกเจ้าก็ยังคงถูกหลักเกณฑ์ทางอุดมคติและศีลธรรมที่มาจากมวลมนุษย์จองจำเอาไว้ เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเจ้าถูกสิ่งเหล่านี้จองจำเอาไว้? เพราะเส้นทางที่พวกเจ้าเลือกเดินในชีวิต หลักธรรมและทิศทางของการกระทำและการวางตัวของเจ้า หลักธรรม วิธีการ และหลักเกณฑ์ที่พวกเจ้าใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย เป็นต้น ยังคงถูกหลักเกณฑ์ทางอุดมคติและศีลธรรมเหล่านี้ครอบงำ หรือถึงกับถูกตีตรวนและควบคุมเอาไว้ในระดับต่างๆ กันทั้งสิ้น ขณะที่พระวจนะของพระเจ้าและความจริงยังไม่กลายเป็นหลักการและหลักเกณฑ์ของทัศนะที่พวกเจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ของการวางตนและการกระทำของเจ้า ในตอนนี้พวกเจ้าเพียงแต่เลือกทิศทางชีวิตที่ถูกต้องเท่านั้น และมีเจตจำนง ความใฝ่ฝัน และความหวังที่จะออกเดินไปบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริง กระนั้นในความเป็นจริงแล้ว พวกเจ้าส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้เดินไปบนเส้นทางนี้เลย—กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเจ้ายังไม่ได้ก้าวเท้าไปบนเส้นทางที่ถูกต้องที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้มนุษย์เลยด้วยซ้ำ บางคนก็จะกล่าวว่า “ถ้าพวกเรายังไม่ก้าวเท้าไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง เช่นนั้นแล้วทำไมพวกเราถึงยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนได้?” นี่เป็นผลจากการเลือก การร่วมมือ มโนธรรม และความมุ่งมั่นของมนุษย์ ในตอนนี้เจ้ากำลังปฏิบัติตามข้อกำหนดของพระเจ้าและพยายามอย่างที่สุดที่จะพัฒนาให้ดีขึ้น แต่เพียงเพราะเจ้าพยายามที่จะปรับปรุงตัว ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว สาเหตุหนึ่งที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพวกเจ้ายังคงได้รับอิทธิพลจากแนวคิดที่วัฒนธรรมดั้งเดิมปลูกฝังเอาไว้ในตัวพวกเจ้า ตัวอย่างเช่น พวกเจ้าอาจจะเข้าใจแก่นแท้ของถ้อยแถลงที่ว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” และ “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” เป็นอย่างดีหลังจากที่ฟังเราสามัคคีธรรมและเปิดโปงคติเหล่านี้ แต่อีกไม่กี่วันพวกเจ้าก็อาจเปลี่ยนใจ เจ้าอาจจะคิดไปว่า “คำกล่าวที่ว่า ‘จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า’ มีอะไรไม่ดีนักหนา? ฉันออกจะชอบคนที่ไม่เอาเงินที่ตนเก็บได้เข้ากระเป๋าตัวเอง อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ละโมบ แล้วคำกล่าวที่ว่า ‘จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น’ มีอะไรผิด? อย่างน้อยที่สุดเวลาต้องการความช่วยเหลือ คุณก็สามารถคาดหวังให้ใครสักคนยื่นมือเข้ามาช่วยคุณได้ นี่เป็นเรื่องดีและเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ! นอกจากนี้ไม่ว่าจะมองเรื่องนี้อย่างไร การที่ผู้คนยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่นก็เป็นสิ่งที่ดีงามและเป็นบวก นี่เป็นหน้าที่ที่พวกเราต้องรับผิดชอบและไม่ควรถูกวิพากษ์วิจารณ์!” เจ้าดูเถิด หลังจากตื่นรู้เพียงไม่กี่วัน นอนหลับไปคืนเดียวก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงเจ้าแล้ว นี่ย่อมจะส่งเจ้ากลับไปที่เดิม และพาเจ้ากลับไปให้วัฒนธรรมดั้งเดิมกักขังอีกครั้ง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สิ่งที่ฝังอยู่ในส่วนลึกของความรู้สึกนึกคิดของเจ้านี้มีอิทธิพลต่อความคิดและทัศนะของเจ้าเป็นครั้งคราว รวมทั้งเส้นทางที่เจ้าเลือกด้วย และระหว่างที่สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อเจ้า ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะดึงรั้งเจ้าเอาไว้ตลอดเวลา คอยหยุดยั้งเจ้าไม่ให้ลุล่วงความปรารถนาที่จะก้าวเท้าไปบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง ออกเดินไปบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เลือกเส้นทางชีวิตที่มีพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักการของเจ้า และมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า ต่อให้เจ้าเต็มใจอย่างยิ่งที่จะเดินไปบนเส้นทางนี้ ต่อให้เจ้าถวิลหาที่จะทำเช่นนี้ และกระวนกระวายใจในเรื่องนี้ หมดวันเวลาไปกับการคิดและวางแผน การตั้งปณิธาน และอธิษฐานในเรื่องนี้ สิ่งต่างๆ ก็จะไม่เป็นไปดังที่เจ้าปรารถนาอยู่ดี สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมหยั่งรากลึกเกินไปในส่วนลึกของหัวใจของเจ้า บางคนอาจกล่าวว่า “นั่นไม่ถูกต้อง! คุณบอกว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมหยั่งรากอยู่ในหัวใจของผู้คนลึกเกินไป แต่ฉันไม่คิดว่านั่นเป็นเรื่องจริง ฉันอยู่ในช่วงอายุยี่สิบกว่าๆ เท่านั้น ไม่ได้มีอายุเจ็ดสิบกว่าหรือแปดสิบกว่าปี ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จะหยั่งรากลึกอยู่ในหัวใจของฉันเรียบร้อยแล้วได้อย่างไร?” เหตุใดเราจึงกล่าวว่าแนวคิดเหล่านี้หยั่งรากลึกอยู่ในหัวใจของเจ้าเรียบร้อยแล้ว? จงตรองดูเถิดว่าตั้งแต่แรกที่เจ้าจำความได้ เจ้าไม่ได้ใฝ่ฝันอยู่เสมอที่จะเป็นคนที่ประเสริฐหรอกหรือ ต่อให้พ่อแม่ของเจ้าไม่ได้ปลูกฝังแนวคิดดังกล่าวในตัวเจ้าก็ตาม? ตัวอย่างเช่น ผู้คนส่วนใหญ่ชอบดูภาพยนตร์และอ่านนวนิยายเกี่ยวกับวีรชน พวกเขาเห็นใจเหยื่อในเรื่องราวเหล่านี้อย่างมาก พลางนึกรังเกียจวายร้าย และตัวละครโหดเหี้ยมที่ทำร้ายผู้อื่น เมื่อเจ้าเติบโตขึ้นมาท่ามกลางพื้นเพเช่นนี้ เจ้าย่อมยอมรับสิ่งที่สังคมทั่วไปเห็นพ้องต้องกันโดยที่เจ้าเองไม่ทันรู้ตัว แล้วเหตุใดเจ้าจึงยอมรับสิ่งเหล่านั้น? เพราะผู้คนไม่ได้เกิดมาพร้อมความจริงและพวกเขาก็ไม่มีความสามารถที่จะแยกแยะสิ่งต่างๆ ได้แต่กำเนิด เจ้าไม่มีสัญชาตญาณนี้—สัญชาตญาณที่มนุษย์มีคือแนวโน้มตามธรรมชาติที่จะชื่นชอบเรื่องบางเรื่องที่ดีงาม เป็นบวก และอยู่ในเชิงรุก เรื่องเชิงรุกที่เป็นบวกทำให้เจ้าใฝ่ฝันที่จะทำให้ดีขึ้น กลายเป็นคนดี กล้าหาญ และยิ่งใหญ่ สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ เริ่มก่อรูปก่อร่างในหัวใจของเจ้ายามที่เจ้ามาสัมผัสคำกล่าวที่เกิดจากความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่และศีลธรรมทางสังคม เมื่อถ้อยแถลงที่มาจากหลักศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิมแทรกซึมเข้าไปในตัวเจ้า และเข้าสู่โลกภายในตัวเจ้า ถ้อยแถลงเหล่านี้ย่อมหยั่งรากในหัวใจของเจ้า และเริ่มมีอำนาจครอบงำชีวิตของเจ้า เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้น เจ้าย่อมไม่แยกแยะ ต้านทาน หรือปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ แต่กลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าเจ้าจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้ สิ่งแรกที่เจ้าทำก็คือยอมทำตามคำกล่าวเหล่านี้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? เพราะคำกล่าวเหล่านี้เข้ากับรสนิยมและมโนคติอันหลงผิดของผู้คนอย่างยิ่ง สอดคล้องกับความต้องการของโลกในจิตวิญญาณของผู้คน ผลก็คือเจ้ายอมรับถ้อยแถลงเหล่านี้ว่าเป็นเรื่องที่ปกติ และไม่ได้นึกระแวดระวังสิ่งเหล่านี้เลย ด้วยการอบรมเลี้ยงดูในครอบครัวของเจ้า การศึกษาในโรงเรียน การฝึกฝนและล้างสมองของสังคม ตลอดจนความคิดฝันของเจ้าเอง เจ้าจึงค่อยๆ ลงเอยด้วยการปักใจเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าคำกล่าวเหล่านี้คือสิ่งที่เป็นบวก เมื่อผ่านการขัดเกลาของกาลเวลา และเมื่อเจ้าค่อยๆ เจริญวัยขึ้น เจ้าก็พากเพียรที่จะทำตามคำกล่าวเหล่านี้ในบริบทและสถานการณ์ทุกรูปแบบ และทำตามสิ่งที่มนุษย์ชอบและเชื่อกันมาแต่เกิดว่าดีงามนี้ แล้วคำกล่าวเหล่านี้ก็ก่อรูปก่อร่างภายในตัวเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ฝังแน่นอยู่ในตัวเจ้ามากขึ้นทุกที พร้อมกันนั้นคำกล่าวเหล่านี้ก็มีอำนาจครอบงำทัศนคติที่เจ้ามีต่อชีวิตและเป้าหมายที่เจ้าไล่ตามเสาะหา กลายเป็นมาตรฐานที่เจ้าใช้ตัดสินผู้คนและสิ่งทั้งหลาย เมื่อคำกล่าวของวัฒนธรรมดั้งเดิมนี้กลายเป็นรูปเป็นร่างในตัวผู้คน ภาวะพื้นฐานที่พาพวกเขาต้านทานพระเจ้าและความจริงก็ย่อมล้วนเข้าที่เข้าทาง ราวกับว่าผู้คนค้นพบเหตุผลและหลักการของตนที่จะทำเช่นนั้น และดังนั้นเมื่อพระเจ้าทรงเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้ของผู้คน กระหน่ำตีสอนและพิพากษาพวกเขา ผู้คนจึงก่อเกิดมโนคติอันหลงผิดสารพัดรูปแบบเกี่ยวกับพระองค์ พวกเขาคิดไปว่า “ผู้คนมักจะพูดว่า ‘เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา’ และ ‘การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้’ เพราะฉะนั้นพระเจ้าจะตรัสเช่นนั้นได้อย่างไร? นั่นใช่พระเจ้าจริงหรือ? พระเจ้าจะไม่ตรัสแบบนั้น—พระองค์ควรจะอยู่บนจุดสูงสุด และตรัสกับผู้คนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน น้ำเสียงของพระพุทธที่ช่วยมวลมนุษย์ให้พ้นทุกข์ น้ำเสียงของพระโพธิสัตว์ พระเจ้าย่อมเป็นเช่นนั้น—เป็นบุคคลที่อ่อนโยนและยิ่งใหญ่อย่างเหลือเชื่อ” แนวคิด ทัศนะ และมโนคติอันหลงผิดชุดนี้ยังคงหลั่งไหลออกมาจากหัวใจของเจ้าในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อยๆ และท้ายที่สุดเจ้าก็ไม่สามารถฝืนทนมันได้อีกต่อไป เจ้าจึงทำบางสิ่งที่ต้านทานและกบฏต่อพระเจ้าทั้งที่เจ้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเป็นดังนี้ เจ้าจึงย่อยยับเพราะมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้าเอง จากเรื่องนี้พวกเราย่อมมองเห็นได้ว่าไม่ว่าเจ้าจะมีอายุเท่าใด ตราบใดที่เจ้าได้รับการอบรมสั่งสอนจากวัฒนธรรมดั้งเดิม และมีความสามารถที่จะรู้สึกนึกคิดอย่างผู้ใหญ่ หัวใจของเจ้าย่อมจะเต็มไปด้วยศีลธรรมแนววัฒนธรรมดั้งเดิมในแง่มุมเหล่านี้ และแง่มุมเหล่านี้ก็จะค่อยๆ ฝังแน่นอยู่ในตัวเจ้า แง่มุมเหล่านี้มีอำนาจครอบงำเจ้าไปแล้ว และเจ้าก็ใช้ชีวิตตามสิ่งเหล่านี้มาหลายปีแล้ว ชีวิตของเจ้าและธรรมชาติที่แท้จริงของเจ้าถูกศีลธรรมแนววัฒนธรรมดั้งเดิมในแง่มุมเหล่านี้ยึดครองไปนานแล้ว ตัวอย่างเช่น ตั้งแต่อายุได้ห้าหกขวบ เจ้าก็เรียนรู้ที่จะยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น และไม่เอาเงินที่เก็บได้ใส่กระเป๋าตัวเอง สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อเจ้าและบงการวิธีประพฤติตนของเจ้าโดยสมบูรณ์ บัดนี้ในฐานะคนที่อยู่ในวัยกลางคน เจ้าย่อมใช้ชีวิตตามสิ่งเหล่านี้มานานหลายปีแล้ว นี่หมายความว่าเจ้าออกห่างจากมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่มนุษย์ไปมาก นับแต่เจ้ายอมรับคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่วัฒนธรรมดั้งเดิมให้การส่งเสริมนี้ เจ้าก็ไถลห่างจากข้อกำหนดของพระเจ้าออกไปทุกที ช่องว่างระหว่างมาตรฐานแห่งความเป็นมนุษย์ของเจ้าเอง กับมาตรฐานแห่งความเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ ย่อมกว้างขึ้นเรื่อยๆ ผลก็คือเจ้าออกห่างจากพระเจ้ามากขึ้นทุกที เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่? พวกเจ้าจงค่อยๆ ใคร่ครวญวจนะเหล่านี้ไปเถิด
คราวนี้พวกเรามาสามัคคีธรรมคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อต่อไปกันเถิด—“จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น”—คำกล่าวนี้หมายความว่าอย่างไร? นี่หมายความว่าเจ้าควรเข้มงวดกับตนเองและโอนอ่อนกับผู้อื่น เพื่อที่พวกเขาจะสามารถมองเห็นว่าเจ้าใจกว้างและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพียงใด แล้วเหตุใดผู้คนจึงควรทำเช่นนี้? การทำเช่นนี้หมายที่จะสัมฤทธิ์สิ่งใด? นี่ทำได้หรือไม่? นี่เป็นการแสดงออกตามธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ของผู้คนจริงๆ หรือ? เจ้าต้องยอมเสียความเป็นตัวของตัวเองมากนักเพื่อที่จะทำเช่นนี้! เจ้าต้องปราศจากความอยากได้อยากมีและข้อเรียกร้องต่างๆ พึงต้องให้ตนเองรู้สึกยินดีน้อยลง ทนทุกข์เพิ่มขึ้นสักหน่อย ยอมลำบากมากขึ้นและทำงานมากขึ้นเพื่อที่ผู้อื่นจะได้ไม่ต้องเหนื่อยล้า และหากผู้อื่นพูดพล่าม พร่ำบ่น หรือทำงานได้ไม่ดี เจ้าก็ต้องไม่ขอจากพวกเขามากเกินไป—ได้พอประมาณก็ดีพอแล้ว ผู้คนเชื่อว่านี่คือเครื่องหมายของศีลธรรมอันประเสริฐ—แต่เหตุใดเราฟังดูแล้วรู้สึกว่าเทียมเท็จ? นี่ไม่เทียมเท็จหรอกหรือ? (นี่เทียมเท็จ) ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมที่ปกติ การแสดงออกตามธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ของบุคคลธรรมดาสามัญคือการยอมผ่อนปรนให้ตนเองและเข้มงวดกับผู้อื่น นั่นคือข้อเท็จจริง ผู้คนสามารถรับรู้ปัญหาของผู้อื่นได้—“คนนี้โอหัง! คนนั้นไม่ดี! คนนี้เห็นแก่ตัว! คนนั้นสุกเอาเผากินในการทำหน้าที่ของตน! คนนี้เกียจคร้านเหลือเกิน!”—แต่ภายในใจ พวกเขากลับคิดว่า “ถ้าฉันเกียจคร้านสักหน่อยย่อมไม่เป็นไร ฉันมีขีดความสามารถที่ดี ถึงแม้ฉันจะเกียจคร้าน ฉันก็ทำงานดีกว่าคนอื่น!” พวกเขาจับผิดผู้อื่นและชอบวิจารณ์จุกจิก แต่กับตนเอง พวกเขากลับยอมผ่อนปรนและพร้อมจะตามใจทุกครั้งที่ทำได้ นี่คือการแสดงออกตามธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ของพวกเขามิใช่หรือ? (ใช่) หากผู้คนถูกคาดหวังให้ทำได้ตามแนวคิดที่ว่า “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น” พวกเขาจะต้องให้ตนเองประสบพบพานความทุกข์อันใดบ้าง? พวกเขาจะสามารถทานทนได้จริงๆ หรือ? มีกี่คนที่จะทำเช่นนั้นได้? (ไม่มีเลย) และเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? (ผู้คนเห็นแก่ตัวโดยธรรมชาติ พวกเขาปฏิบัติตนตามหลักการที่ว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไป”) อันที่จริง มนุษย์เกิดมาเห็นแก่ตัว มนุษย์เป็นสิ่งทรงสร้างที่เห็นแก่ตัวและยึดติดอย่างลึกล้ำกับปรัชญาของซาตานที่ว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไป” ผู้คนคิดว่าการไม่เห็นแก่ตัวและไม่คิดเอาตัวเองให้รอดก่อนเมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับตนย่อมจะเป็นมหันตภัยสำหรับพวกเขาและผิดธรรมชาติ นี่คือสิ่งที่ผู้คนเชื่อและวิธีที่พวกเขาปฏิบัติตน หากผู้คนถูกคาดหวังให้ไม่เห็นแก่ตัวและให้เข้มงวดกับตนเอง และเต็มใจที่จะพลาดท่าเสียทีมากกว่าที่จะเอาเปรียบผู้อื่น นั่นคือความคาดหวังที่ตรงกับความเป็นจริงหรือไม่? หากผู้คนถูกคาดหวังให้พูดจาอย่างมีความสุขเมื่อมีคนเอาเปรียบพวกเขาว่า “คุณกำลังเอาเปรียบ แต่ฉันจะไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ฉันเป็นคนที่ยอมผ่อนปรน ฉันจะไม่เอาคุณไปพูดในทางไม่ดีหรือเอาคืนจากคุณ และถ้าคุณยังเอาเปรียบไม่พอ ก็ทำต่อไปตามสบาย”—นั่นคือความคาดหวังที่ตรงตามความเป็นจริงหรือไม่? มีกี่คนที่สามารถทำเช่นนี้ได้? นี่คือหนทางที่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามประพฤติกันตามปกติกระนั้นหรือ? เห็นได้ชัดว่าการเกิดเรื่องแบบนี้ไม่ปกติ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เพราะผู้คนที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม โดยเฉพาะผู้คนที่เห็นแก่ตัวและใจแคบ ย่อมดิ้นรนต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และแน่นอนว่าการคำนึงถึงผู้อื่นย่อมจะไม่ทำให้พวกเขาพอใจ ดังนั้น เมื่อปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นย่อมเป็นสิ่งที่ผิดปกติ “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น”—ชัดเจนว่าคำกล่าวอ้างด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้เป็นเพียงข้อกำหนดที่ไม่สอดคล้องกับทั้งข้อเท็จจริงและความเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งที่นักศีลธรรมทางสังคมซึ่งไม่เข้าใจความเป็นมนุษย์กำหนดให้มนุษย์ทำ นี่เหมือนกับการบอกหนูว่าห้ามเจาะรูหรือบอกแมวว่าไม่ให้จับหนู การกำหนดอะไรเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง และฝืนกฎของความเป็นมนุษย์) ข้อกำหนดนี้ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงอย่างชัดแจ้ง และกลวงเปล่ามาก ผู้ที่กะเกณฑ์ข้อกำหนดนี้ขึ้นมาสามารถทำตามได้เองหรือไม่? (ไม่ได้) พวกเขาคาดหวังให้คนอื่นทำตามข้อกำหนดที่ตัวพวกเขาเองก็ไม่สามารถทำได้—อะไรคือปัญหาในที่นี้? นี่ไม่มีความรับผิดชอบไปหน่อยมิใช่หรือ? อย่างน้อยที่สุดก็สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขาไม่มีความรับผิดชอบและพูดจาไร้สาระ คราวนี้เมื่อคิดไปอีกขั้นหนึ่ง ธรรมชาติของปัญหานี้คืออะไร? (ความหน้าซื่อใจคด) ถูกต้อง นี่คือตัวอย่างของความหน้าซื่อใจคด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สามารถทำตามข้อกำหนดนี้ได้เอง แต่ก็ยังคงอ้างตัวว่ายอมผ่อนปรนนักหนา ใจกว้างมาก และเป็นพวกที่มีศีลธรรมสูงส่งดังกล่าว—นี่เป็นเพียงความหน้าซื่อใจคิดมิใช่หรือ? ไม่ว่าเจ้าจะวางกรอบอย่างไร นี่ก็เป็นคำกล่าวอันว่างเปล่าที่มีความเทียมเท็จบางอย่างอยู่ในตัว ดังนั้นพวกเราก็จะจัดให้เป็นคำกล่าวที่หน้าซื่อใจคด นี่คล้ายกับคำกล่าวประเภทที่พวกฟาริสีส่งเสริม มีแรงจูงใจแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง ซึ่งก็ชัดแจ้งว่าเป็นไปเพื่ออวดอ้าง เพื่อบรรยายตัวเองว่าเป็นคนที่มีการประพฤติปฏิบัติอันประเสริฐทางศีลธรรม และเพื่อให้ผู้อื่นสรรเสริญว่าเป็นแบบอย่างและเป็นต้นแบบของการประพฤติปฏิบัติอันประเสริฐทางศีลธรรม แล้วผู้คนแบบใดที่สามารถเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนให้ผู้อื่นได้? บรรดาครูและหมอสามารถทำตามคำกล่าวนี้ได้หรือไม่? ผู้คนที่ได้ชื่อว่ามีชื่อเสียง เป็นผู้ยิ่งใหญ่ และปราชญ์อย่างขงจื่อ เมิ่งจื่อ และเหลาจื่อสามารถทำตามคำกล่าวนี้ได้หรือไม่? (ไม่ได้) สรุปแล้ว ไม่ว่าคำกล่าวที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นนี้จะไร้สาระขนาดไหน หรือไม่ว่าข้อกำหนดนี้จะสามารถปฏิบัติได้หรือไม่ ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพียงข้อกำหนดที่ใช้กำกับลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทางศีลธรรมของผู้คนเท่านั้น อย่างน้อยที่สุดผู้คนก็ไม่เต็มใจที่จะทำตามข้อกำหนดนี้และไม่ง่ายที่พวกเขาจะปฏิบัติตามนี้ เพราะสวนทางกับมาตรฐานที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติของมนุษย์สามารถทำได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็ยังคงเป็นมาตรฐานและข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ซึ่งวัฒนธรรมดั้งเดิมให้การส่งเสริม แม้ว่า “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น” จะเป็นวลีอันว่างเปล่าที่น้อยคนจะปฏิบัติตามได้ แต่ก็เป็นเหมือนคำกล่าวที่ว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” และ “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” คือ ไม่ว่าผู้คนที่ทำตามนี้จะเก็บงำแรงจูงใจหรือเจตนาใดเอาไว้ หรือไม่ว่าใครจะถึงกับสามารถปฏิบัติตามนี้ได้หรือไม่ก็ตามที—ไม่ว่ากรณีใด เมื่อดูแต่ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนที่ส่งเสริมข้อกำหนดนี้ถือตนว่าเป็นสุดยอดทางด้านศีลธรรม นี่ย่อมทำให้พวกเขาโอหัง คิดว่าตนชอบธรรมเสมอ และมีเหตุผลที่ค่อนข้างผิดปกติมิใช่หรือ? ถ้าเจ้าถามพวกเขาว่าพวกเขาสามารถทำตามคำกล่าวที่ว่า “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น” ได้หรือไม่ พวกเขาย่อมจะตอบว่า “แน่นอน!” แต่พอพวกเขาจำต้องทำตามนี้เข้าจริงๆ พวกเขาก็ย่อมจะทำไม่ได้ ทำไมพวกเขาถึงจะปฏิบัติตามนี้ไม่ได้? เพราะพวกเขามีอุปนิสัยที่โอหังเยี่ยงซาตาน จงขอให้พวกเขาปฏิบัติตามคติสอนใจข้อนี้ตอนที่คนอื่นกำลังแข่งขันกับพวกเขาเพื่อช่วงชิงสถานะ อำนาจ เกียรติยศ และผลประโยชน์เถิด แล้วดูว่าพวกเขาจะทำได้หรือไม่ พวกเขามีแต่จะทำไม่ได้ และจะถึงกับหันมาเป็นปรปักษ์กับเจ้า ถ้าเจ้าถามพวกเขาว่า “ทำไมคุณยังคงส่งเสริมคำกล่าวนี้ทั้งที่ตัวคุณเองก็ทำตามไม่ได้ด้วยซ้ำ? ทำไมคุณถึงยังคงกำหนดให้คนอื่นปฏิบัติตาม? นี่คุณหน้าซื่อใจคดไม่ใช่หรือ?” พวกเขาจะยอมรับหรือไม่? ถ้าเจ้าเปิดโปงพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ยอมรับ—ไม่ว่าเจ้าจะเปิดโปงพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็จะไม่ยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นหรือยอมรับผิด—นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่คนดี การที่พวกเขาแสร้งทำน้ำเสียงว่ามีศีลธรรมอันสูงส่งทั้งที่ไม่สามารถทำตามข้อกำหนดของตนเองได้นี้แสดงให้เห็นโดยแท้ว่าสมควรแล้วที่จะเรียกพวกเขาว่าพวกฉ้อฉลเก่งและนักหลอกต้มที่หน้าซื่อใจคด
“จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น” เป็นหนึ่งในข้อกำหนดที่วัฒนธรรมดั้งเดิมมีต่อการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คน เช่นเดียวกับคำกล่าวที่ว่า “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” และ “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” ในทำนองเดียวกัน ไม่ว่าใครบางคนจะสามารถทำตามหรือฝึกฝนการประพฤติปฏิบัติตามศีลธรรมข้อนี้ได้หรือไม่ นี่ก็ยังไม่ใช่มาตรฐานหรือบรรทัดฐานในการประเมินวัดความเป็นมนุษย์ของพวกเขา อาจเป็นไปได้ว่าเจ้าสามารถเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนให้ผู้อื่นได้จริง และเจ้าทำตามมาตรฐานที่สูงเป็นพิเศษได้ เจ้าอาจจะสะอาดหมดจด เจ้าอาจคำนึงถึงผู้อื่นและเห็นแก่พวกเขาอยู่เสมอ ไม่เห็นแก่ตัวและไม่แสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง เจ้าอาจดูเหมือนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และไม่นึกถึงตนเองเป็นพิเศษ มีสำนึกอันแรงกล้าด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและศีลธรรมทางสังคม บุคลิกภาพและคุณสมบัติอันสูงส่งของเจ้าอาจเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้ที่ใกล้ชิดเจ้าและผู้ที่เจ้าพบพานและมีปฏิสัมพันธ์ด้วย พฤติกรรมของเจ้าอาจไม่มีวันเป็นเหตุให้ผู้อื่นติเตียนหรือวิจารณ์เจ้า แต่กลับก่อให้เกิดการสรรเสริญมากมายและแม้กระทั่งความเลื่อมใส ผู้คนอาจมองว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่เข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนให้ผู้อื่นอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงพฤติกรรมภายนอกเท่านั้น ความคิดและความปรารถนาที่อยู่ลึกลงไปในหัวใจของเจ้าสอดคล้องกับพฤติกรรมภายนอกเหล่านี้ กับการกระทำเหล่านี้ที่เจ้าใช้ชีวิตให้เห็นที่ภายนอกหรือไม่? คำตอบคือไม่ สิ่งเหล่านั้นไม่สอดคล้อง เหตุผลที่เจ้าสามารถกระทำการในหนทางนี้ได้เป็นเพราะมีเหตุจูงใจอยู่เบื้องหลัง เหตุจูงใจนั้นคืออะไรกันแน่? เจ้าสามารถทนให้เหตุจูงใจนั้นถูกเปิดเผยออกมาได้หรือไม่? แน่นอนว่าไม่ได้ นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าเหตุจูงใจนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ เป็นสิ่งที่ดำมืดและชั่ว ทีนี้ทำไมเหตุจูงใจนี้ถึงชั่วและไม่อาจพูดออกมาได้? เพราะความเป็นมนุษย์ของผู้คนถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขากำกับและขับเคลื่อนอยู่ ความคิดอ่านทั้งปวงของมนุษยชาตินั้น ไม่ว่าผู้คนจะกล่าวเป็นคำพูดหรือพรั่งพรูออกมาให้เห็นก็ตาม ย่อมจะถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาครอบงำ ควบคุม และบงการอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะฉะนั้น เหตุจูงใจและเจตนาของผู้คนจึงร้ายกาจและชั่วทั้งสิ้น ไม่ว่าผู้คนจะสามารถเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนให้ผู้อื่นได้หรือไม่ หรือแสดงออกซึ่งคติสอนใจข้อนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ที่คติสอนใจข้อนี้ย่อมจะไม่ได้ควบคุมหรือมีอิทธิพลต่อความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ดังนั้นสิ่งที่ควบคุมความเป็นมนุษย์ของผู้คนอยู่คืออะไร? คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา เป็นแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขานั่นเองที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้คติสอนใจข้อ “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น”—นั่นคือธรรมชาติที่แท้จริงของพวกเขา ธรรมชาติที่แท้จริงของคนก็คือแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขา แล้วแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขาประกอบด้วยอะไรบ้าง? ส่วนใหญ่แล้วประกอบด้วยความชอบส่วนตนของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา ทัศนคติที่พวกเขามีต่อชีวิต ระบบค่านิยมของพวกเขา ตลอดจนท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงและพระเจ้า เป็นต้น มีแต่สิ่งเหล่านี้เท่านั้นที่แสดงถึงแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของผู้คนอย่างแท้จริง อาจกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่กำหนดให้ตนเองทำตามคติสอนใจที่ให้ “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น” นั้นหมกมุ่นอยู่กับสถานะ เมื่อถูกขับเคลื่อนด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะไล่ตามไขว่คว้าเกียรติยศในหมู่มนุษย์ ความโดดเด่นทางสังคม และสถานะในสายตาของผู้อื่น สิ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับความอยากได้อยากมีสถานะของพวกเขา และพวกเขาก็ไล่ตามไขว่คว้าภายใต้เปลือกของการประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรมของตน แล้วการไล่ตามไขว่คว้าเหล่านี้ของพวกเขาเกิดขึ้นมาอย่างไร? สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาและถูกขับเคลื่อนด้วยอุปนิสัยดังกล่าว ดังนั้น ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ว่าใครบางคนจะทำตามคติสอนใจที่ให้ “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น” หรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาจะทำเช่นนั้นได้สมบูรณ์แบบหรือไม่ นี่ย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้เลย นี่จึงมีความหมายโดยปริยายว่าเรื่องนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่พวกเขามีต่อชีวิตหรือระบบค่านิยมของพวกเขาได้แต่ประการใด ไม่สามารถชี้นำท่าทีและมุมมองที่พวกเขามีต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทุกรูปแบบ เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? (ใช่) ยิ่งใครบางคนสามารถเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนให้ผู้อื่นได้มาก พวกเขาก็จะยิ่งเสแสร้งเก่งขึ้น อำพรางตนเอง และชักพาผู้อื่นให้หลงผิดด้วยพฤติกรรมอันดีงามและคำพูดที่น่าฟังเก่งขึ้น แล้วพวกเขาก็จะยิ่งมีธรรมชาติที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและเลวมากขึ้นด้วย ยิ่งพวกเขาเป็นคนแบบนี้ พวกเขาก็จะยิ่งรักและไล่ตามไขว่คว้าสถานะและอำนาจมากขึ้น ไม่ว่าการประพฤติปฏิบัติภายนอกทางด้านศีลธรรมของพวกเขาจะดูยิ่งใหญ่ มีเกียรติ ถูกต้อง และน่ามองเพียงใดในสายตาของผู้คน การไล่ตามไขว่คว้าที่เก็บเงียบอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขา แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา และแม้กระทั่งความทะเยอทะยานของพวกเขา ก็อาจปะทุออกมาจากตัวพวกเขาได้ทุกเมื่อ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของพวกเขาจะดีงามเพียงใด ก็ไม่อาจปกปิดแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ที่พวกเขามีอยู่โดยธรรมชาติ หรือความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของพวกเขาได้ ไม่สามารถปกปิดแก่นแท้ธรรมชาติอันน่าเกลียดน่ากลัวของพวกเขา ซึ่งไม่รักสิ่งที่เป็นบวก รังเกียจและเกลียดชังความจริง ดังที่ข้อเท็จจริงเหล่านี้แสดงให้เห็น คำกล่าวที่ว่า “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น” ไม่ได้เป็นเพียงความไร้สาระเท่านั้น—คำกล่าวนี้เปิดโปงพวกคนทะเยอทะยานที่พยายามใช้คำกล่าวและพฤติกรรมดังกล่าวมาปกปิดความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีที่พวกเขาไม่อาจกล่าวออกมาได้ พวกเจ้าสามารถนำเรื่องนี้ไปเปรียบกับพวกศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วบางคนในคริสตจักรได้ พวกเขาสามารถก้าวผ่านความทุกข์และจ่ายราคาเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตนเพื่อที่จะเสริมสร้างสถานะและอำนาจของตนภายในคริสตจักรให้แข็งแกร่ง และได้รับความนับหน้าถือตาในหมู่สมาชิกคนอื่นมากขึ้น พวกเขาอาจถึงกับประกาศตัดขาดจากการงานและครอบครัวของตน ขายทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเพื่อที่จะสละตนเพื่อพระเจ้า ในบางกรณี ราคาที่พวกเขาจ่ายและความทุกข์ที่พวกเขาก้าวผ่านในการสละตนเพื่อพระเจ้านั้นก็เกินสิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถทานทนได้ พวกเขาสามารถปฏิเสธตนเองอย่างสุดโต่งเพื่อที่จะดำรงรักษาสถานะของตนเอาไว้ กระนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะทนทุกข์มากเท่าใดหรือจ่ายราคาเป็นอะไร ก็ไม่มีพวกเขาคนใดพิทักษ์รักษาคำพยานให้พระเจ้าหรือผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า เป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าคือการมีสถานะ อำนาจ และการได้รางวัลจากพระเจ้าเท่านั้น สิ่งที่พวกเขาทำไม่มีอะไรสัมพันธ์กับความจริงแม้แต่น้อย ไม่ว่าพวกเขาจะเข้มงวดกับตนเองเพียงใดและยอมผ่อนปรนให้ผู้อื่นเพียงใด สุดท้ายแล้วจุดจบของพวกเขาย่อมจะเป็นเช่นใด? พระเจ้าจะทรงดำริเช่นไรกับพวกเขา? พระองค์จะทรงกำหนดจุดจบของพวกเขาตามพฤติกรรมอันดีงามภายนอกที่พวกเขาใช้ดำเนินชีวิตหรือไม่? แน่นอนว่าพระองค์จะไม่ทำเช่นนั้น ผู้คนมองและตัดสินผู้อื่นตามพฤติกรรมและสิ่งที่สำแดงออกมาเหล่านี้ และเนื่องจากพวกเขาไม่สามารถมองทะลุแก่นแท้ของผู้อื่นได้ พวกเขาจึงลงเอยด้วยการถูกคนเหล่านั้นหลอกลวง อย่างไรก็ดี พระเจ้าไม่เคยถูกมนุษย์หลอกลวง แน่นอนว่าพระองค์จะไม่ทรงชมเชยและจดจำการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คนเพราะพวกเขาสามารถเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนให้ผู้อื่นได้ แต่พระองค์จะทรงกล่าวโทษพวกเขาที่ทะเยอทะยานและเลือกใช้เส้นทางที่ไล่ตามไขว่คว้าสถานะ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงจึงควรมีวิจารณญาณตามหลักเกณฑ์แห่งการประเมินผู้คนข้อนี้ พวกเขาควรปฏิเสธและละทิ้งมาตรฐานที่ไร้สาระนี้อย่างสิ้นเชิง และแยกแยะผู้คนตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง พวกเขาควรมองว่าคนคนหนึ่งรักสิ่งที่เป็นบวกหรือไม่ สามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่ และนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้หรือไม่เป็นหลัก รวมทั้งดูเส้นทางที่คนคนหนึ่งเลือกและใช้เดิน จำแนกว่าคนเหล่านี้เป็นคนเช่นไร และเมื่อดูตามสิ่งเหล่านี้แล้ว คนเหล่านี้มีความเป็นมนุษย์เช่นใด เวลาที่ผู้คนตัดสินผู้อื่นตามมาตรฐานที่ว่า “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น” ย่อมเกิดความคลาดเคลื่อนและผิดพลาดได้ง่ายเหลือเกินนั่นเอง หากเจ้าแยกแยะและมองผู้คนอย่างผิดๆ ตามหลักธรรมและคำกล่าวที่มาจากมนุษย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะละเมิดความจริงและต้านทานพระเจ้าในเรื่องนั้น เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เหตุผลก็คือพื้นฐานของทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนย่อมจะผิด และเข้ากันไม่ได้กับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง—อาจถึงขั้นต่อต้านและคัดค้านพระวจนะและความจริง พระเจ้าไม่ทรงประเมินความเป็นมนุษย์ของผู้คนตามถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น” ดังนั้น หากเจ้ายังคงยืนกรานที่จะตัดสินความมีศีลธรรมของผู้คนและกำหนดว่าพวกเขาเป็นคนเช่นใดตามหลักเกณฑ์ข้อนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมละเมิดหลักธรรมความจริงไปเรียบร้อยแล้ว และเจ้าก็ไม่แคล้วที่จะผิดพลาด และก่อให้เกิดความผิดพลาดและความเบี่ยงเบนบางอย่าง ย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? (ใช่) ทันทีที่ผู้คนเข้าใจเรื่องเหล่านี้ อย่างน้อยพวกเขาก็จะเกิดความเข้าใจระดับหนึ่งในหลักการ หลักธรรม และหลักเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย—อย่างน้อยเจ้าก็จะเข้าใจและรู้ซึ้งถึงแนวทางที่พระเจ้าทรงใช้ในเรื่องเหล่านี้ แล้วถ้ามองตามมุมมองของเจ้าจะเป็นเช่นไร? อย่างน้อยเจ้าก็ควรรู้ว่าอะไรคือหลักการที่ถูกต้องในการมองคน และหลักเกณฑ์ในการมองผู้คนข้อใดบ้างที่สอดคล้องกับความจริงและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และจะไม่นำไปสู่ข้อผิดพลาดหรือความเบี่ยงเบนใดๆ เป็นแน่ หากเจ้าชัดเจนในเรื่องเหล่านี้จริง เจ้าก็จะมีวิจารณญาณในแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิม รวมทั้งถ้อยแถลง ทฤษฎี และวิธีต่างๆ ที่มนุษย์ใช้มองผู้คน และเจ้าจะสามารถละทิ้งแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิม รวมทั้งคำกล่าวและทัศนะต่างๆ ทั้งหมดที่เกิดจากมนุษย์ได้อย่างสิ้นเชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็จะมองและแยกแยะผู้คนตามหลักธรรมความจริง และเจ้าจะเข้ากันได้กับพระเจ้าในระดับหนึ่ง เจ้าจะไม่กบฏ ต้านทาน หรือวิ่งสวนทางกับพระองค์ ระหว่างที่เจ้าค่อยๆ สัมฤทธิ์ความเข้ากันได้กับพระเจ้าอยู่นั้น เจ้าจะพัฒนาความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่ชัดแจ้งยิ่งขึ้นทุกทีในเรื่องแก่นแท้ของผู้คนและสิ่งทั้งหลาย และเจ้าจะค้นพบการยืนยันความถูกต้องของเรื่องนี้ในพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะมองเห็นว่าถ้อยแถลงต่างๆ ของพระเจ้าที่เปิดโปงมวลมนุษย์ การบรรยายลักษณะและคำนิยามที่พระองค์ทรงมีเกี่ยวกับมวลมนุษย์นั้นถูกต้องทั้งสิ้น และล้วนเป็นความจริง แน่นอนว่าระหว่างที่เจ้าค้นพบการยืนยันความถูกต้องในเรื่องนี้ เจ้าก็จะรู้จักและมีความเชื่อในพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าจะมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงและความเป็นจริงที่มนุษย์พึงใช้ดำเนินชีวิต นี่คือสิ่งที่กอปรกันขึ้นเป็นขั้นตอนของการยอมรับและเข้าถึงความจริงมิใช่หรือ? (ใช่) นี่คือขั้นตอนของการยอมรับและเข้าถึงความจริง
จุดหมายของการไล่ตามเสาะหาความจริงก็คือการยอมรับความจริงมาเป็นชีวิตของตน เมื่อผู้คนสามารถยอมรับความจริง ความเป็นมนุษย์และชีวิตภายในตัวพวกเขาย่อมเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และสุดท้ายแล้วการเปลี่ยนแปลงนี้ก็คือรางวัลของพวกเขาเอง ที่ผ่านมาเจ้ามองผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่ตอนนี้เจ้าตระหนักแล้วว่านี่ผิด และเจ้าย่อมจะไม่มองสิ่งทั้งหลายตามมุมมองนั้นอีกต่อไป หรือมองใครๆ ตามที่วัฒนธรรมดั้งเดิมบงการ ดังนั้น คราวนี้เจ้าจะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายโดยใช้หลักการอะไร? ถ้าเจ้าไม่รู้ นี่ย่อมพิสูจน์ว่าเจ้ายังไม่ได้ยอมรับความจริง ถ้าเจ้ารู้แล้วว่าตนเองควรมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมความจริงข้อใดบ้าง ถ้าเจ้าสามารถระบุหลักการ เส้นทาง หลักเกณฑ์ และหลักธรรมของตนเองได้อย่างถูกต้องและชัดแจ้ง และถ้าเจ้าสามารถแยกแยะและรับมือผู้คนได้ตามหลักธรรมความจริงเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วความจริงก็เริ่มให้ผลในตัวเจ้าแล้ว ความจริงกำลังชี้นำความคิดอ่านของเจ้าและมีอำนาจกำกับมุมมองที่เจ้าใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าความจริงได้หยั่งรากในตัวเจ้าและกลายเป็นชีวิตของเจ้าแล้ว ดังนั้นผลที่ความจริงมีต่อเจ้าจะช่วยเจ้าอย่างไรในท้ายที่สุด? ผลดังกล่าวย่อมจะมีอิทธิพลต่อการวางตัวของเจ้า เส้นทางที่เจ้าเลือก และทิศทางชีวิตของเจ้ามิใช่หรือ? (ใช่) ถ้าผลของความจริงสามารถมีอิทธิพลต่อการวางตัวของเจ้าและเส้นทางที่เจ้าเดิน เช่นนั้นแล้วเมื่อถึงเวลานั้นก็ย่อมจะมีอิทธิพลต่อสัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระเจ้ามิใช่หรือ? (ใช่) การที่ความจริงมีอิทธิพลต่อสัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระเจ้าย่อมจะก่อให้เกิดผลเช่นใด? เจ้าจะยิ่งใกล้ชิดหรือยิ่งห่างไกล? (ข้าพระองค์จะยิ่งใกล้ชิดพระเจ้า) แน่นอนว่าเจ้าจะยิ่งใกล้ชิดพระองค์ เมื่อเจ้าใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น เจ้าย่อมเต็มใจที่จะติดตามพระองค์และก้มหัวให้พระองค์ หรือเจ้าจะเชื่อในการมีอยู่ของพระองค์อย่างเสียมิได้ ถูกความสงสัยและความเข้าใจผิดเหนี่ยวรั้งเอาไว้? (ข้าพระองค์ย่อมเต็มใจที่จะติดตามพระเจ้าและก้มหัวให้พระองค์) แน่นอนว่าย่อมเป็นเช่นนั้น คราวนี้เจ้าจะสัมฤทธิ์ความเต็มใจนี้ได้อย่างไร? เจ้าจะพบการยืนยันความถูกต้องแห่งพระวจนะของพระเจ้าในชีวิตจริงของเจ้า ความจริงจะเริ่มให้ผลในตัวเจ้า และเจ้าจะพบการยืนยันความถูกต้องของความจริงนั้น ระหว่างที่เรื่องทั้งปวงคลี่คลาย ย่อมจะมีการยืนยันความถูกต้องแห่งต้นกำเนิดที่ซ่อนเร้นอยู่ของเรื่องทั้งปวงนี้ภายในตัวเจ้า และเจ้าจะพบว่าการยืนยันนั้นสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ เจ้าจะพิสูจน์รู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงทั้งสิ้น และนี่ย่อมจะทำให้เจ้าเชื่อในพระเจ้ามากขึ้น ยิ่งเจ้าเชื่อในพระเจ้า สัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระเจ้าก็จะยิ่งปกติ เจ้าจะยิ่งเต็มใจที่จะปฏิบัติตนอย่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และยิ่งเต็มใจที่จะน้อมรับพระเจ้าเป็นองค์อธิปัตย์ของเจ้า และส่วนต่างๆ ในตัวเจ้าที่นบนอบพระเจ้าก็จะยิ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้น เจ้าคิดอย่างไรกับการที่สัมพันธภาพของเจ้าพัฒนาดีขึ้นเช่นนี้? ยอดเยี่ยมใช่หรือไม่? นี่คือผลจากการพัฒนาไปในทางที่ดีงามและเป็นบวก แล้วผลที่ตามมาของการพัฒนาไปในทางที่ไม่ดีและชั่วร้ายจะเป็นอย่างไร? (ความเชื่อที่ข้าพระองค์มีต่อการมีอยู่ของพระเจ้าย่อมจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ ข้าพระองค์จะเกิดความเข้าใจผิดและสงสัยในพระเจ้า) อย่างน้อยที่สุด ผลที่ตามมาย่อมจะเป็นเช่นนี้ เจ้าจะไม่ได้รับการยืนยันความถูกต้องในเรื่องใด ไม่เพียงเจ้าจะล้มเหลวในการเข้าถึงความจริงในความเชื่อของเจ้าเท่านั้น เจ้าจะก่อเกิดมโนคติอันหลงผิดสารพัดรูปแบบขึ้นมาอีกด้วย—เจ้าจะเข้าใจพระเจ้าผิด ตำหนิและระวังตัวกับพระเจ้า และท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็จะปฏิเสธพระองค์ ถ้าหัวใจของเจ้าปฏิเสธพระเจ้า เจ้าจะยังคงติดตามพระองค์ได้หรือ? (ไม่ได้) เจ้าจะไม่อยากติดตามพระองค์อีกต่อไป ต่อจากนั้นย่อมจะเกิดอะไรขึ้น? เจ้าจะหมดความสนใจในสิ่งที่พระเจ้าทำและตรัส เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “ปลายทางของมนุษย์ใกล้เข้ามาแล้ว” เจ้าก็จะตอบว่า “ข้าพระองค์มองไม่เห็นอะไรเลย!” เจ้าจะไม่เชื่อพระองค์ เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “หลังจากไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าจะได้รับบั้นปลายอันดีงาม” เจ้าก็จะตอบว่า “บั้นปลายอันดีงามที่พระองค์ตรัสถึงอยู่ที่ไหน? ข้าพระองค์มองไม่เห็น!” เจ้าจะหมดความสนใจ เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “เจ้าต้องทำตัวให้เหมือนสิ่งที่มีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง” เจ้าก็จะตอบว่า “การทำตัวให้เหมือนสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงมีประโยชน์อะไร? ข้าพระองค์จะได้รับพรกี่ข้อจากการทำเช่นนั้น? ข้าพระองค์จะสามารถได้รับพรจากการทำอย่างนั้นจริงหรือ? นี่เกี่ยวข้องกับการได้รับพรหรือไม่?” เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “เจ้าต้องยอมรับและนบนอบอธิปไตยของพระเจ้า!” เจ้าก็จะตอบว่า “อธิปไตยอะไร? ทำไมข้าพระองค์ถึงไม่สามารถรู้สึกถึงอธิปไตยของพระเจ้า? ถ้าพระเจ้าครองอธิปไตยจริง ทำไมพระองค์ถึงปล่อยให้ข้าพระองค์ใช้ชีวิตอย่างยากไร้? ทำไมพระองค์ถึงปล่อยให้ข้าพระองค์ล้มป่วย? ถ้าพระเจ้าครองอธิปไตย ทำไมสิ่งต่างๆ ถึงยากเย็นสำหรับข้าพระองค์อยู่เสมอ?” หัวใจของเจ้าจะเต็มไปด้วยคำพร่ำบ่น และเจ้าจะไม่เชื่อสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าตรัส นี่ย่อมจะแสดงให้เห็นว่าเจ้าไร้ความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า และนั่นคือสาเหตุที่เจ้าเอาแต่บ่นเวลาเผชิญปัญหาต่างๆ ไม่มีความเชื่อฟังแม้แต่น้อย นั่นคือลักษณะของการที่เจ้าจะได้รับผลอันชั่วร้ายนี้ บางคนกล่าวว่า “ในเมื่อพระเจ้าทรงครองอธิปไตย พระองค์ก็ควรช่วยให้ฉันหายป่วยทันที พระองค์ควรช่วยให้ฉันสัมฤทธิ์ทุกสิ่งที่ฉันปรารถนา ทำไมชีวิตของฉันตอนนี้ถึงเต็มไปด้วยความลำบากและความทุกข์?” พวกเขาสูญสิ้นความเชื่อในพระเจ้า และไม่เหลือร่องรอยของความเชื่ออันคลุมเครือที่พวกเขาเคยมีแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ—อันตรธานไปหมด นี่คือผลร้ายและผลชั่วของทั้งหมดนี้ พวกเจ้าอยากไปถึงจุดนี้กันหรือไม่? (ไม่) เจ้าจะหลีกเลี่ยงการตกต่ำถึงระดับนี้ได้อย่างไร? เมื่อเป็นเรื่องของความจริง เจ้าต้องพยายาม—กุญแจและเส้นทางของทั้งหมดนี้อยู่ในความจริงและในพระวจนะของพระเจ้า ถ้าเจ้าใช้ความพยายามในเรื่องของพระวจนะของพระเจ้าและความจริง เจ้าก็จะเริ่มมองเห็นเส้นทางที่พระเจ้าทรงสอนเจ้าและทรงนำเจ้าเอาไว้อย่างชัดเจนขึ้นโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว และเจ้าก็จะมองเห็นแก่นแท้ของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียง เมื่อผ่านแต่ละขั้นตอนของประสบการณ์นี้ เจ้าจะค่อยๆ ค้นพบหลักธรรมและหลักการที่จะใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ใช้วางตนและกระทำการภายในพระวจนะของพระเจ้า ด้วยการยอมรับและมาเข้าใจความจริง เจ้าย่อมจะค้นพบหลักธรรมและเส้นทางปฏิบัติในตัวผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าพบเจอ ถ้าเจ้าปฏิบัติตามเส้นทางเหล่านี้ พระวจนะของพระเจ้าก็จะเข้าสู่ตัวเจ้าและกลายเป็นชีวิตของเจ้า และเจ้าก็จะเริ่มดำรงชีวิตภายใต้อธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าโดยไม่รู้ตัว เมื่อเจ้าใช้ชีวิตภายใต้อธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า เจ้าจะเรียนรู้วิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้าโดยที่เจ้าไม่รู้ตัว และเจ้าจะมองสิ่งต่างๆ จากจุดยืน มุมมอง และทัศนคติที่ถูกต้องเหมาะสม ผลของทัศนะที่เจ้ามีต่อสิ่งทั้งหลายย่อมจะสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง และจะเปิดโอกาสให้เจ้ายิ่งใกล้ชิดพระเจ้าและยิ่งกระหายความจริง อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง หรือใช้ความพยายามในเรื่องของความจริง และถ้าเจ้าไม่สนใจความจริง เช่นนั้นแล้วก็ยากที่จะบอกว่าเจ้าจะลงเอยที่จุดใด ท้ายที่สุดแล้วผลอันเลวร้ายที่สุดที่เป็นไปได้ก็คือตอนที่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นการกระทำของพระเจ้าหรือรู้สึกถึงอธิปไตยของพระองค์ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามเชื่อในพระองค์เช่นไรก็ตาม ตอนที่พวกเขาไม่สามารถรับรู้มหิทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้าไม่ว่าจะมีประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ กี่อย่างแล้วก็ตาม ในกรณีเช่นนั้น ผู้คนมีแต่จะยอมรับรู้ว่าพระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดงคือความจริง แต่พวกเขาจะมองไม่เห็นความหวังที่ตนจะได้รับการช่วยให้รอด และยิ่งจะมองไม่เห็นว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรมและบริสุทธิ์ พวกเขาจะรู้สึกอยู่เสมอว่าความเชื่อที่ตนมีในพระเจ้าพร่ามัว นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้เข้าถึงความจริงหรือบรรลุความรอดจากพระเจ้า และไม่ได้รับอะไรไว้เลยหลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี นี่สรุปจบสามัคคีธรรมของเราถึงคำกล่าวข้อที่สามว่า “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น”
ถ้อยแถลงข้อที่สี่ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมคืออะไร? (จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี) เวลาผู้คนตอบแทนความชั่วด้วยความดีนั้น พวกเขาเก็บงำเจตนาบางอย่างเอาไว้หรือไม่? พวกเขายอมถอยก้าวหนึ่งเพื่อทำให้สิ่งต่างๆ ง่ายขึ้นสำหรับตนเองมิใช่หรือ? นี่เป็นวิธีจัดการสิ่งต่างๆ ด้วยการประนีประนอมมิใช่หรือ? ผู้คนไม่อยากติดอยู่ในวงจรของการล้างแค้นที่ไม่รู้จบ พวกเขาอยากทำให้เรื่องราวราบรื่นเพื่อให้ตนใช้ชีวิตได้อย่างมีสันติสุขขึ้นอีกหน่อย ชีวิตของคนคนหนึ่งไม่ได้ยืนนานเท่าใดนัก และไม่ว่าพวกเขาจะมีชีวิตจนอายุได้หนึ่งร้อยปีหรือหลายร้อยปี พวกเขาก็ย่อมคิดว่าชีวิตของตนนั้นสั้น วันทั้งวันพวกเขาหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่จะแก้แค้นและเข่นฆ่า โลกภายในของพวกเขาเต็มไปด้วยความปั่นป่วน และพวกเขาก็มีชีวิตอย่างไร้สุข ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามค้นหาหนทางที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้น เบิกบานขึ้น และดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง—ซึ่งก็คือการตอบแทนความชั่วด้วยความดี เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้คนจะล่วงเกินกันและเป็นเหยื่อกลอุบายของกันและกันในช่วงชีวิตของพวกเขา พวกเขาถูกภาวะอารมณ์ที่ขมขื่นและคุมแค้นคอยรังควานอยู่ตลอดเวลา และมีชีวิตที่ค่อนข้างแร้นแค้น ดังนั้นด้วยแรงจูงใจที่จะทำเพื่อบรรยากาศทางสังคม ความมั่นคงและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางสังคม ผู้มีศีลธรรมจึงส่งเสริมหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมข้อนี้แก่โลก พวกเขาเตือนผู้คนว่าอย่าตอบสนองความชั่วด้วยความชั่ว และให้เว้นจากการเกลียดชังและเข่นฆ่า บอกให้ผู้คนเรียนรู้ที่จะตอบแทนความชั่วด้วยความดีแทน พวกเขาบอกว่าต่อให้ใครบางคนเคยทำร้ายเจ้ามาก่อน เจ้าก็ไม่ควรแก้แค้น แต่ควรช่วยเหลือพวกเขา ลืมการกระทำที่ผิดๆ ในอดีตของพวกเขา มีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาตามปกติ และค่อยๆ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพวกเขา คลายความเป็นอริระหว่างกัน และสัมฤทธิ์สัมพันธภาพอันกลมเกลียว นี่ย่อมจะนำไปสู่ความสมัครสมานกันในสังคมโดยรวมมิใช่หรือ? พวกเขากล่าวว่าไม่ว่าใครจะเคยล่วงเกินเจ้าก็ตาม จะเป็นคนในครอบครัว มิตร เพื่อนบ้าน หรือผู้ร่วมงาน เจ้าก็ต้องตอบสนองความชั่วของพวกเขาด้วยความดี และเว้นจากการผูกใจเจ็บ พวกเขาอ้างว่าถ้าทุกคนทำเช่นนี้ได้ ก็จะเป็นเหมือนที่ผู้คนกล่าวไว้ไม่มีผิดว่า “ถ้าทุกคนมอบความรักกันคนละนิด โลกก็จะกลายเป็นสถานที่อันวิเศษ” คำกล่าวอ้างเหล่านี้อิงตามความคิดฝันมิใช่หรือ? สถานที่อันวิเศษหรือ? ใช่เสียที่ไหน! จงดูเถิดว่าใครคุมโลกนี้อยู่และเป็นใครที่ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม แท้จริงแล้วถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมว่า “จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี” นี้สัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง? เปลี่ยนอะไรไม่ได้สักอย่าง ถ้อยแถลงนี้ก็เหมือนถ้อยแถลงที่เหลือ วางข้อกำหนดบางอย่างด้านคุณสมบัติทางศีลธรรมของผู้คน หรือออกข้อบังคับบางอย่างมาใช้กับพวกเขา ถ้อยแถลงนี้กำหนดให้พวกเขาเว้นจากการเกลียดชังและเข่นฆ่าเวลาเผชิญหน้าความเกลียดชังและการเข่นฆ่าจากผู้อื่น ให้พวกเขาปฏิบัติต่อผู้คนที่ทำร้ายตนด้วยใจที่สงบ แม้กระทั่งด้วยอารมณ์ที่ราบเรียบ และใช้การประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของตนมาสลายความเป็นอริและการเข่นฆ่านั้น รวมทั้งลดการนองเลือด แน่นอนว่าคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้ใช้ได้ผลกับผู้คนในระดับหนึ่ง สามารถคลายความเป็นอริและความขุ่นเคือง ลดการฆ่าล้างแค้นได้ระดับหนึ่ง และสามารถมีผลเชิงบวกในระดับหนึ่งต่อบรรยากาศทางสังคม ความเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยรวม และความกลมเกลียวกันในสังคม แต่การที่คำกล่าวนี้จะมีผลเช่นนั้นย่อมมีเงื่อนไขอะไรอยู่ก่อนแล้วบ้าง? ย่อมมีเงื่อนไขเบื้องต้นที่สำคัญในแง่ของสภาพแวดล้อมทางสังคม หนึ่งคือเหตุผลและการตัดสินที่ผู้คนมีตามปกติ ผู้คนคิดว่า “คนที่ฉันอยากแก้แค้นนี้มีอำนาจมากกว่าหรือน้อยกว่าฉัน? ถ้าฉันแก้แค้นพวกเขา ฉันจะสัมฤทธิ์เป้าหมายได้หรือไม่? ถ้าฉันแก้แค้นและฆ่าพวกเขา ฉันกำลังสั่งประหารชีวิตตัวเองอยู่หรือไม่?” พวกเขาชั่งผลที่จะตามมาเสียก่อน หลังจากทบทวนสิ่งต่างๆ แล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมตระหนักว่า “พวกเขามีเส้นสายดี มีอิทธิพลมากในสังคม ทั้งยังโหดร้ายและอำมหิต ดังนั้นแม้พวกเขาจะเคยทำร้ายฉัน ฉันก็หาทางแก้แค้นพวกเขาไม่ได้ ฉันต้องกล้ำกลืนการสบประมาทเอาไว้เงียบๆ แต่ถ้าฉันมีโอกาสแก้แค้นพวกเขาเมื่อใดก็ตามในชีวิตนี้ ฉันจะฉวยเอาไว้” นี่ก็เป็นดังที่คำกล่าวยอดนิยมว่าไว้ “คนที่ไม่หาทางแก้แค้นไม่ใช่ลูกผู้ชาย” และ “ไม่เคยสายเกินไปสำหรับสุภาพบุรุษที่จะแก้แค้น” ผู้คนยังคงเก็บงำปรัชญาสำหรับการจัดการทางโลกแบบนี้เอาไว้ ผู้คนยังคงยึดถือปรัชญาสำหรับการจัดการทางโลกที่ให้ตอบแทนความชั่วด้วยความดี เพราะว่าในแง่หนึ่งนี่เชื่อมโยงโดยตรงกับสภาพแวดล้อมทางสังคมและความเสื่อมทรามอย่างหนักในตัวมนุษย์—ปรัชญาข้อนี้เกิดจากมโนคติอันหลงผิดของผู้คนและการตัดสินโดยใช้เหตุผลของตนเอง เมื่อผู้คนส่วนใหญ่เผชิญสถานการณ์เช่นที่กล่าวมานี้ พวกเขาจึงได้แต่กลืนคำปรามาสลงไปเงียบๆ และตอบแทนความชั่วด้วยความดีให้เห็นภายนอก วางความเกลียดชังและการแก้แค้นต่างๆ เสีย อีกสาเหตุหนึ่งที่ผู้คนยึดถือปรัชญาสำหรับการดำรงชีวิตข้อนี้ก็คือในบางกรณี มีความไม่สมดุลทางอำนาจอย่างมากระหว่างคนสองกลุ่มที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นกลุ่มที่ถูกกระทำจึงไม่กล้าหาทางแก้แค้น และถูกบีบให้ต้องตอบแทนความชั่วด้วยความดี เพราะพวกเขาไม่สามารถทำสิ่งอื่นได้ ถ้าพวกเขาจะแก้แค้น พวกเขาก็อาจจะทำให้ชีวิตของทุกคนในครอบครัวของตนมีอันตราย และผลที่ตามมาหลังจากนั้นย่อมเกินที่จะคาดคิดได้ ในกรณีเช่นนั้น ผู้คนพบว่าเป็นการดีกว่าที่จะเอาแต่ใช้ชีวิตต่อไปด้วยการกล้ำกลืนการดูถูกดูแคลนลงไป อย่างไรก็ดี ในการทำเช่นนั้น พวกเขาก้าวข้ามความขุ่นเคืองของตนหรือยัง? มีใครสามารถลืมเลือนการผูกใจเจ็บได้หรือไม่? (ไม่มี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่การผูกใจเจ็บนั้นร้ายแรงมากๆ เช่น ตอนที่ใครบางคนฆ่าญาติสนิทของเจ้า นำความย่อยยับมาสู่ครอบครัวของเจ้า และทำให้เจ้าเสื่อมเสียชื่อเสียง ให้เจ้าเกิดความรู้สึกที่เป็นอริกับพวกเขาอย่างมาก—ไม่มีใครปล่อยผ่านการผูกใจเจ็บเช่นนั้นได้ นี่เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์และเป็นสิ่งที่มนุษยชาติไม่สามารถก้าวข้ามได้ ผู้คนเกิดความรู้สึกเกลียดชังขึ้นมาในสถานการณ์เช่นนั้นโดยสัญชาตญาณ—นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างปกติ ไม่ว่าความรู้สึกนั้นจะเกิดจากความหัวร้อน สัญชาตญาณ หรือมโนธรรมก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด นี่ก็เป็นการตอบสนองที่ปกติ แม้แต่สุนัขก็ยังผูกพันใกล้ชิดกับผู้คนที่ทำดีกับพวกมัน ให้อาหารหรือช่วยเหลือพวกมันเป็นประจำ แล้วก็เริ่มไว้ใจคนเหล่านั้น พลางไม่ชอบคนที่ทารุณและรังแกตน—ไม่ใช่แต่เท่านั้น พวกมันยังถึงกับชิงชังผู้คนที่มีกลิ่นหรือเสียงคล้ายคนที่ทารุณตน เจ้าดูเอาเถิด แม้แต่สุนัขยังมีสัญชาตญาณเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนเลย! ในเมื่อผู้คนมีความรู้สึกนึกคิดที่ซับซ้อนกว่าสัตว์มากนัก จึงเป็นปกติอย่างยิ่งที่ผู้คนจะรู้สึกเป็นอริเมื่อเผชิญหน้าการฆ่าล้างแค้นหรือการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรม อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุผลหลายอย่างและเนื่องจากรูปการณ์แวดล้อมบางประการ ผู้คนจึงมักจะถูกบีบให้ยอมอ่อนข้อและกล้ำกลืนคำสบประมาทลงไป อดทนต่อสิ่งต่างๆ เป็นการชั่วคราว—แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาอยากหรือสามารถตอบแทนความชั่วด้วยความดีได้ สิ่งที่เราเพิ่งกล่าวไปนี้สอดคล้องกับแง่มุมที่เป็นความเป็นมนุษย์และปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณของมนุษย์ ทีนี้ถ้าพวกเรามองดูเรื่องนี้จากแง่มุมที่เป็นข้อเท็จจริงเชิงรูปธรรมเกี่ยวกับสังคม—ถ้าใครบางคนไม่ตอบแทนความชั่วด้วยความดี แต่กลับแก้แค้นและฆ่าคน ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร? พวกเขาก็จะมีความผิดตามกฎหมาย อาจจะถูกควบคุมตัว ต้องโทษจำคุก และเป็นไปได้ว่าจะถึงขั้นถูกตัดสินประหารชีวิต เมื่อดูตามนี้ พวกเราก็สามารถสรุปได้ว่าไม่ว่าจะมองจากแง่มุมของความเป็นมนุษย์หรืออำนาจในการเข้มงวดกวดขันของสังคมและกฎหมาย เมื่อผู้คนพบเจอการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรมและการฆ่าล้างแค้น ไม่มีสักคนเดียวที่สามารถลบความเกลียดชังออกจากความรู้สึกนึกคิดหรือส่วนลึกของหัวใจของตนได้ แม้ในยามที่ตกเป็นเหยื่อถูกทำร้ายเล็กน้อย เช่น ถูกเล่นงานด้วยวาจา ถูกเยาะ หรือเย้ยหยัน ผู้คนก็ไม่สามารถตอบแทนความชั่วด้วยความดีได้อยู่ดี ความสามารถที่จะตอบแทนความชั่วด้วยความดีนี้ใช่สิ่งที่สำแดงถึงความเป็นมนุษย์อย่างเป็นปกติหรือไม่? (ไม่ใช่) ดังนั้นเมื่อคนคนหนึ่งถูกรังแกหรือทำร้าย อย่างน้อยที่สุดความเป็นมนุษย์ของพวกเขาต้องการและเรียกร้องอะไร? จะมีใครพูดอย่างร่าเริงและเป็นสุขหรือไม่ว่า “เอาเลย รังแกฉันสิ! คุณมีอำนาจและคุณก็ชั่ว คุณรังแกฉันอย่างไรก็ได้ตามต้องการ ฉันจะตอบแทนความชั่วของคุณด้วยความดี คุณจะรู้สึกอย่างแรงกล้าถึงลักษณะนิสัยอันประเสริฐและความมีศีลธรรมของฉัน และแน่นอนว่าฉันจะไม่แก้แค้นคุณหรือมีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับคุณ ฉันจะไม่โกรธคุณ—ฉันจะมองว่าทุกอย่างคือเรื่องตลกเท่านั้น ไม่ว่าสิ่งที่คุณพูดจะสบประมาทตัวตนของฉัน ทำลายความภาคภูมิใจของฉัน หรือทำให้ผลประโยชน์ของฉันเสียหายขนาดไหน นั่นก็ไม่เป็นไรเลย และคุณก็ควรพูดจาตามใจชอบไปตามสบาย” ผู้คนแบบนี้มีอยู่หรือไม่? (ไม่มี) แน่นอนที่สุดว่าไม่มีใครสามารถปล่อยมือจากการผูกใจเจ็บของตนได้จริง—ถ้าสามารถที่จะไม่ฆ่าศัตรูของตนเพื่อแก้แค้นได้สักระยะหนึ่ง พวกเขาก็ทำดีแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถตอบแทนความชั่วด้วยความดีได้จริง และต่อให้ผู้คนมีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเช่นนี้ ก็ย่อมจะเป็นเพราะพวกเขาถูกบีบให้ทำเช่นนี้ตามข้อจำกัดของรูปการณ์จำเพาะในเวลานั้น หรือเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นแท้จริงแล้วเป็นเรื่องแต่งและไม่ได้เกิดขึ้นจริง ภายใต้รูปการณ์ที่ปกติเมื่อผู้คนตกเป็นเหยื่อของการข่มเหงหรือทารุณอันร้ายแรง พวกเขาจะเกิดการผูกใจเจ็บและคิดแก้แค้น รูปการณ์เดียวที่ใครสักคนอาจจะไม่ตระหนักรู้หรือตอบสนองความเกลียดชังของตนเองย่อมจะเป็นเมื่อความเกลียดชังนั้นมีมากเหลือเกิน และพวกเขาก็ตกใจกลัวนักหนาจนลงเอยด้วยการสูญเสียความทรงจำหรือเสียสติ แต่ใครก็ตามที่มีเหตุผลและความเป็นมนุษย์ที่ปกติย่อมจะไม่อยากถูกสบประมาท ถูกเลือกปฏิบัติ ถูกดูเบา หัวเราะเยาะ เหน็บแนม เย้ยหยัน ทำร้าย เป็นต้น หรือบางคนก็ไปไกลถึงขั้นเหยียบย่ำและละเมิดตัวตนและศักดิ์ศรีของพวกเขา ไม่มีใครเป็นสุขที่จะตอบแทนคนที่เคยล่วงเกินหรือทำร้ายตนมาก่อนด้วยความไม่จริงใจและด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม—ไม่มีใครสามารถทำเช่นนั้นได้ ดังนั้นคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ให้ตอบแทนความชั่วด้วยความดีนี้จึงดูอ่อนแอมาก ปวกเปียก ว่างเปล่า และไร้ความหมายสำหรับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม
ถ้าพวกเรามองเรื่องนี้ตามมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะเสื่อมทรามเพียงใด และไม่ว่าจะเป็นคนชั่วหรือคนที่มีความเป็นมนุษย์ค่อนข้างดี ทุกคนก็ล้วนหวังให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตนด้วยดีและด้วยความนับถือขั้นพื้นฐาน ถ้าใครบางคนเริ่มป้อยอและประจบประแจงเจ้าอย่างไม่มีเหตุผล นั่นจะทำให้เจ้ามีความสุขหรือไม่? เจ้าจะชอบเรื่องนั้นหรือไม่? (ไม่ชอบ) ทำไมเจ้าถึงจะไม่ชอบให้เป็นเช่นนั้น? เจ้าจะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกหลอกหรือไม่? เจ้าย่อมจะคิดว่า “ในสายตาของเธอ ฉันดูเหมือนเด็กสามขวบกระนั้นหรือ? ฉันจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าทำไมเธอถึงอยากจะพูดเรื่องพวกนี้กับฉัน? ฉันดีอย่างที่เธอพูดกระนั้นหรือ? ฉันเคยทำเรื่องพวกนั้นหรือ? คำยกยอปอปั้นโง่ๆ ทั้งหมดนี้พูดมาเพื่ออะไร? เธอไม่นึกรังเกียจตัวเองหรือไร?” ผู้คนไม่ชอบฟังคำยกยอปอปั้น และถือว่านั่นเป็นการสบประมาทอย่างหนึ่ง นอกจากมีพื้นฐานที่นับถือกันแล้ว ผู้คนยังอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตนเช่นไรอีก? (ด้วยความจริงใจ) การขอให้ผู้คนปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยใจจริงย่อมจะเป็นไปไมได้—ถ้าพวกเขาละเว้นจากการรังแกผู้อื่น นั่นก็ค่อนข้างดีแล้ว การขอให้ผู้คนไม่รังแกกันเป็นคำขอที่ค่อนข้างเป็นรูปธรรม ผู้คนหวังให้ผู้อื่นนับถือตน ไม่รังแกตน และที่สำคัญที่สุดคือปฏิบัติต่อตนอย่างเป็นธรรม พวกเขาหวังว่าผู้อื่นจะไม่รังควานตนเวลาที่พวกเขาอยู่ในสภาวะที่เปราะบาง หรือเลิกคบหาตนเวลาที่ความผิดของพวกเขาถูกเปิดโปง หรือป้อยอและประจบเอาใจพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ผู้คนเห็นว่าพฤติกรรมแบบนี้น่ารังเกียจและเพียงแต่อยากได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างเป็นธรรม—ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? การปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเป็นธรรมคืออุดมคติที่ค่อนข้างเป็นบวกในโลกของมนุษย์และในขอบเขตการคิดอ่านของมนุษย์ เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? จงคิดดูเถิดว่าเหตุใดผู้คนทั้งปวงจึงชื่นชอบเปาเจิ่ง? ผู้คนชอบดูการแสดงฉากที่เปาเจิ่งตัดสินคดีความแม้ว่าคดีเหล่านี้จะไม่ใช่เรื่องจริงและแต่งขึ้นมาทั้งสิ้น ทำไมผู้คนถึงชอบเรื่องราวเหล่านี้อยู่ดี? ทำไมพวกเขาถึงยังเต็มใจดูการแสดงเหล่านี้? เพราะในโลกอุดมคติของพวกเขา ในขอบเขตการคิดอ่านของพวกเขา และในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขา พวกเขาล้วนปรารถนาโลกที่เป็นบวกและดีขึ้นบ้าง พวกเขาปรารถนาให้มนุษย์สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมทางสังคมที่ค่อนข้างเป็นธรรมและยุติธรรม ในโลกที่มีการรับรองว่าทุกคนจะได้รับสิ่งนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยที่สุดเมื่อเจ้าถูกกองกำลังอันชั่วรังควาน ก็จะมีสถานที่ที่ค้ำจุนความยุติธรรมเอาไว้ ที่ที่เจ้าสามารถยื่นคำร้องในเรื่องที่เจ้าคับข้องใจได้ ที่ที่เจ้าจะมีสิทธิ์ร้องทุกข์ และที่ที่จะมีการเผยความอยุติธรรมที่เจ้าได้รับบ้างในท้ายที่สุด ในสังคมนี้และในหมู่มวลมนุษย์นี้ย่อมจะมีสถานที่ที่เจ้าสามารถล้างมลทินให้ตัวเองได้ ปกป้องตัวเองจากการถูกเหยียดหยามหรือจากการแบกรับความคับข้องใจเรื่อยไป นี่คือสังคมในอุดมคติของมนุษย์มิใช่หรือ? นี่คือสิ่งที่ทุกคนถวิลหามิใช่หรือ? (ใช่) นี่คือความฝันของทุกคน ผู้คนหวังว่าตนจะได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม—พวกเขาไม่อยากตกอยู่ภายใต้การปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือไม่มีที่ไหนให้ร้องทุกข์ถ้าพวกเขาถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม และพวกเขาก็พบว่านั่นชวนให้ทุกข์ใจมาก อาจกล่าวได้ว่ามาตรฐานและข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ที่ว่า “จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี” ห่างไกลจากความเป็นจริงที่เป็นความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ในชีวิตจริงมาก ดังนั้นข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์นี้จึงไม่ได้คำนึงถึงมนุษย์ และห่างไกลจากข้อเท็จจริงที่เป็นรูปธรรมและชีวิตจริงมากนัก นี่เป็นถ้อยแถลงที่เสนอโดยนักอุดมคติที่ไม่เข้าใจโลกภายในตัวผู้คนที่ด้อยโอกาสซึ่งถูกกระทำและถูกดูหมิ่นเหยียดหยามมาตลอด—นักอุดมคติเหล่านี้ไม่ได้สำนึกเลยว่าผู้คนเหล่านี้ถูกกระทำขนาดไหน ศักดิ์ศรีและตัวตนของพวกเขาถูกดูแคลนขนาดไหน หรือแม้กระทั่งว่าความปลอดภัยส่วนบุคคลของพวกเขาถูกคุกคามขนาดไหน พวกนักอุดมคติไม่เข้าใจความเป็นจริงเหล่านี้ แต่ก็ยังคงกำหนดให้เหยื่อเหล่านี้ยอมทำดีกับคนที่เล่นงานตนและเว้นจากการแก้แค้นพวกเขา โดยกล่าวทำนองว่า “คุณเกิดมาเพื่อที่จะถูกรังแก และคุณต้องยอมรับชะตากรรมของตน คุณเกิดมาในชนชั้นที่ต่ำต้อยที่สุดของสังคมและเป็นได้แค่ทาส คุณเกิดมาเพื่อให้คนอื่นปกครอง—คุณไม่ควรแก้แค้นคนที่ทำร้ายคุณ และคุณก็ควรตอบแทนความชั่วด้วยความดีแทน คุณควรทำส่วนของคุณเพื่อจรรโลงบรรยากาศทางสังคมและความปรองดองในสังคม ทำคุณงามความดีให้แก่สังคมด้วยการแสดงพลังด้านบวกและการประพฤติปฏิบัติอันดีงามที่สุดทางศีลธรรม” เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดนี้กล่าวออกมาเพื่อเป็นข้ออ้างให้กับการเบียดเบียนชนชั้นที่ต่ำกว่าโดยชนชั้นที่สูงกว่าในสังคมและชนชั้นปกครอง เพื่อมอบความสะดวกสบายนี้ให้แก่พวกเขา และเพื่อสงบใจและอารมณ์ของผู้ด้อยโอกาสแทนชนชั้นเหล่านั้น นี่คือวัตถุประสงค์ของการกล่าวถ้อยคำเช่นนั้นออกมามิใช่หรือ? (ใช่) ถ้าระบบกฎหมายและสังคมของทุกประเทศ รวมทั้งระบบและข้อบังคับของทุกเผ่าพันธุ์และวงศ์ตระกูลมีความเป็นธรรมและบังคับใช้กันอย่างเข้มงวด การส่งเสริมคำกล่าวที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงและสวนทางกับกฎหมายของมนุษยชาตินี้จะยังคงมีความจำเป็นหรือไม่? ย่อมจะไม่จำเป็น ชัดเจนว่าคำกล่าวที่ว่า “จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี” ได้รับการส่งเสริมก็เพื่อเปิดทางสะดวกให้ชนชั้นปกครองและพวกคนชั่วที่มีอำนาจและมีสิทธิ์ตัดสินใจใช้เหยียบย่ำและหาประโยชน์จากผู้ที่ด้อยโอกาสเท่านั้น ในเวลาเดียวกัน เพื่อที่จะทำให้ชนชั้นที่ด้อยโอกาสอยู่ในความสงบและป้องกันไม่ให้พวกเขาหาทางแก้แค้นหรือเป็นปฏิปักษ์กับคนรวย อภิสิทธิ์ชน และชนชั้นปกครอง พวกที่ได้ชื่อว่าเป็นนักคิดและนักการศึกษาเหล่านี้จึงวางตัวไว้ที่จุดสูงสุดแห่งความเป็นยอดทางศีลธรรม ส่งเสริมคำกล่าวนี้โดยอ้างว่าทุกคนต้องมีการประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรม นี่ไม่ยิ่งสร้างความขัดแย้งในสังคมมากขึ้นอีกหรอกหรือ? ยิ่งเจ้ากดผู้คนเอาไว้ สังคมก็ยิ่งไม่เป็นธรรม ถ้าสังคมมีความเป็นธรรมและยุติธรรมอย่างแท้จริง จะยังจำเป็นต้องใช้คำกล่าวนี้มาตัดสินและวางข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คนอีกหรือ? เห็นได้ชัดว่านี่เกิดจากข้อเท็จจริงที่ไม่มีความยุติธรรมในสังคมหรือในหมู่มวลมนุษย์ ถ้าพวกคนทำชั่วสามารถถูกกฎหมายลงโทษ หรือถ้าคนมีเงินและอำนาจก็อยู่ใต้กฎหมายเช่นกัน เช่นนั้นแล้วคำกล่าวที่ว่า “จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี” ก็จะฟังไม่ขึ้นและไม่มีอีกต่อไป ผู้คนทั่วไปที่สามารถทำร้ายเจ้าหน้าที่ได้จะมีสักกี่คน? คนยากไร้ที่สามารถทำร้ายคนรวยได้จะมีสักกี่คน? ย่อมเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะทำเช่นนั้นได้ ดังนั้นจึงชัดเจนว่าคำกล่าวที่ว่า “จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี” มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ผู้คนทั่วไป คนจน และชนชั้นที่ต่ำกว่า—นี่เป็นคำกล่าวที่ไร้ศีลธรรมและไม่ยุติธรรม ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐตอบแทนความชั่วด้วยความดี พวกเขาก็จะบอกเจ้าว่า “ฉันต้องตอบแทนความชั่วอะไร? ใครจะกล้ายุ่งกับฉัน? ใครจะกล้าล่วงเกินฉัน? ใครจะกล้าพูดคำว่า ‘ไม่’ กับฉัน? ฉันจะฆ่าใครก็ตามที่ปฏิเสธฉัน—ฉันจะฆ่าล้างครอบครัวของคนพวกนั้นและญาติทุกคนของมัน!” จงดูเถิด ไม่มีความชั่วให้เจ้าหน้าที่ต้องตอบแทน ดังนั้นสำหรับพวกเขาแล้ว คำกล่าวที่ว่า “จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี” จึงไม่มีอยู่ด้วยซ้ำ ถ้าเจ้าบอกพวกเขาว่า “คุณต้องมีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ให้ตอบแทนความชั่วด้วยความดี คุณต้องมีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้” พวกเขาก็จะตอบว่า “ได้ ฉันทำตามนั้นได้” นี่คือการโกหกหลอกลวงอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะอย่างไร ในแก่นแท้แล้วคำกล่าวที่ว่า “จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี” ก็เป็นเพียงคำกล่าวที่ผู้มีศีลธรรมในสังคมให้การส่งเสริมในฐานะวิธีทำให้ชนชั้นที่ต่ำกว่าอยู่ในความสงบ และที่ยิ่งกว่านั้นก็คือเป็นคำกล่าวที่ส่งเสริมกันเพื่อทำให้ชนชั้นที่ต่ำกว่าตกเป็นทาส คำกล่าวนี้ได้รับการส่งเสริมเพื่อทำให้อำนาจของชนชั้นปกครองมีความมั่นคง เพื่อประจบเอาใจชนชั้นปกครอง และเพื่อยืดเวลาของการกดขี่ชนชั้นที่ต่ำกว่าให้เป็นทาสไปเรื่อยๆ เพื่อให้คนเหล่านี้ไม่พร่ำบ่น ต่อให้พวกเขาเป็นทาสอยู่หลายรุ่นคนก็ตาม จากเรื่องนี้พวกเราย่อมมองเห็นได้ว่าในสังคมแบบนี้ กฎหมายและระบบไม่มีความยุติธรรมอย่างชัดเจน สังคมแบบนี้ไม่ได้ถูกกำกับดูแลด้วยความจริง และไม่ได้ถูกปกครองด้วยความจริง ความยุติธรรม หรือความชอบธรรม แต่กลับถูกความชั่วและอำนาจของมนุษย์กำกับดูแล ไม่ว่าใครจะมาเป็นเจ้าหน้าที่ก็ตาม ถ้าผู้คนทั่วไปมาเป็นเจ้าหน้าที่ สถานการณ์ก็จะออกมาเช่นเดิมอยู่นั่นเอง นี่คือแก่นแท้ของระบบสังคมนี้ คำกล่าวที่ว่า “จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี” จึงเปิดโปงข้อเท็จจริงนี้ ชัดเจนว่าวลีนี้มีลักษณะทางการเมืองในตัวอยู่บ้าง—เป็นข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์เพื่อที่จะเสริมสร้างอำนาจนำและการกดขี่ชนชั้นที่ต่ำกว่าให้เป็นทาสของชนชั้นปกครอง
ข้อกำหนดให้ผู้คนตอบแทนความชั่วด้วยความดีนี้ไม่เพียงไม่สอดคล้องกับความต้องการหรือข้อเรียกร้องที่ปกติของของมนุษยชาติ หรือลักษณะนิสัยและศักดิ์ศรีของมนุษยชาติเท่านั้น แต่แน่นอนว่านี่ยิ่งไม่ใช่มาตรฐานที่เหมาะสมสำหรับประเมินคุณภาพแห่งความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งอีกด้วย ข้อกำหนดนี้ห่างไกลจากความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงมากนัก ไม่เพียงเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้เท่านั้น แต่ไม่ควรมีการส่งเสริมเลยตั้งแต่แรกอีกด้วย นี่เป็นเพียงคำกล่าวและกลยุทธ์ที่ชนชั้นปกครองใช้เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการปกครองและการควบคุมที่ตนมีเหนือมวลชนเท่านั้น แน่นอนว่าพระเจ้าไม่เคยส่งเสริมคำกล่าวประเภทนี้ ไม่ว่าจะเป็นในยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ หรือยุคราชอาณาจักรในปัจจุบัน และพระเจ้าก็ไม่เคยใช้วิธีการ คำกล่าว หรือข้อกำหนดเช่นนี้เป็นหลักการประเมินคุณภาพแห่งความเป็นมนุษย์ของผู้คน นี่เป็นเพราะไม่ว่าใครจะมีศีลธรรมหรือไม่มีศีลธรรม และไม่ว่าการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของพวกเขาจะดีหรือไม่ดีเพียงใด พระเจ้าก็ทรงคำนึงถึงแก่นแท้ของพวกเขาเท่านั้น—คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในความสนใจของพระเจ้า ดังนั้นคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี” จึงใช้กับพระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ และไม่ควรค่าที่จะวิเคราะห์ ไม่ว่าเจ้าจะตอบแทนความชั่วด้วยความดี หรือตอบแทนความชั่วด้วยการแก้แค้นก็ตาม ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าควรมองเรื่องของการ “ตอบแทนความชั่ว” ว่าอย่างไร? พวกเขาควรมองและจัดการเรื่องนี้ด้วยท่าทีและมุมมองเช่นใด? ถ้าใครสักคนทำเรื่องชั่วในคริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้าก็มีกฤษฎีกาบริหารและหลักธรรมของตนเองในการรับมือคนคนนั้น—ไม่จำเป็นที่ใครจะต้องแก้แค้นให้เหยื่อหรือปกป้องพวกเขาจากความอยุติธรรม ไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้นในพระนิเวศของพระเจ้า และคริสตจักรก็จะจัดการปัญหาตามหลักธรรมไปเอง นี่คือข้อเท็จจริงที่ผู้คนทั้งสามารถสังเกตเห็นและพบเจอได้ กล่าวให้แจ่มแจ้งและแน่ชัดยิ่งก็คือคริสตจักรมีหลักธรรมในการรับมือผู้คนและพระนิเวศของพระเจ้าก็มีกฤษฎีกาบริหาร แล้วพระเจ้าทรงเป็นเช่นไร? ในส่วนของพระเจ้า ใครก็ตามที่ทำชั่วย่อมจะถูกลงโทษตามนั้น และพระเจ้าก็จะทรงชี้ว่าควรลงโทษพวกเขาเมื่อใดและอย่างไร แน่นอนว่าหลักธรรมในการลงโทษของพระเจ้าไม่อาจแยกออกจากพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์ได้ พระเจ้ามีพระอุปนิสัยอันชอบธรรมที่ไม่อาจล่วงเกินได้ พระองค์มีพระบารมีและพระพิโรธ ทุกคนที่ทำชั่วย่อมจะถูกพระองค์ลงโทษตามความชั่วของตน นี่ยิ่งใหญ่กว่ากฎหมายของมนุษย์มากนัก เหนือความเป็นมนุษย์และกฎหมายทุกอย่างของทางโลก นี่ไม่เพียงเป็นธรรม สมเหตุสมผล และสอดคล้องกับความต้องการของมนุษยชาติเท่านั้น ทั้งยังไม่ต้องการคำสรรเสริญและยืนยันจากทุกคนอีกด้วย ไม่ต้องให้เจ้ามาตัดสินเรื่องราวจากจุดสูงสุดแห่งความเป็นยอดทางศีลธรรม เมื่อพระเจ้าทรงทำสิ่งเหล่านี้ พระองค์มีหลักธรรมและช่วงเวลาของพระองค์เอง ควรให้เป็นเรื่องของพระเจ้าที่จะทรงทำตามที่พระองค์ต้องการ และผู้คนก็ควรเว้นจากการก้าวก่าย เพราะนี่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา พระเจ้าทรงขออะไรจากผู้คนในเรื่องการ “ตอบแทนความชั่ว”? ทรงขอให้พวกเขาไม่กระทำการหรือแก้แค้นผู้อื่นด้วยความหัวร้อน เจ้าควรทำเช่นไรหากใครบางคนล่วงเกินเจ้า รังควานเจ้า หรือถึงกับอยากทำร้ายเจ้า? มีหลักธรรมในการรับมือเรื่องดังกล่าวหรือไม่? (มี) มีทางออกและหลักธรรมสำหรับเรื่องเหล่านี้ และมีหลักการพื้นฐานอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าและความจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดอีกก็ตาม คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี” ก็ไม่ใช่มาตรฐานที่จะใช้ตัดสินคุณภาพแห่งความเป็นมนุษย์ของผู้คนเช่นกัน อย่างมากถ้าใครบางคนสามารถตอบแทนความชั่วด้วยความดีได้ ก็อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาค่อนข้างยอมผ่อนปรน เรียบง่าย มีพื้นฐานเป็นคนดี และเอื้ออารี ไม่คิดหยุมหยิม และมีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ดีพอ อย่างไรก็ตาม สามารถประเมินและตัดสินคุณภาพแห่งความเป็นมนุษย์ของคนคนนี้ตามคำกล่าวข้อนี้ข้อเดียวได้หรือไม่? แน่นอนว่าไม่ได้ คนเราต้องพิจารณาสิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา เส้นทางที่พวกเขาเดิน และท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงและสิ่งที่เป็นบวก และอื่นๆ อีกด้วย นั่นเป็นทางเดียวที่จะตัดสินได้อย่างถูกต้องว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์หรือไม่
สรุปจบสามัคคีธรรมของพวกเราในวันนี้ไว้เท่านี้
26 มีนาคม ค.ศ. 2022