การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (3)

ทุกวันนี้บรรดาผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่กำลังมีงานยุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ  พวกเขารู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน และมีเวลาไม่พอ  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?  ข้อเท็จจริงก็คือเพราะตอนนี้พวกเขาเข้าใจความจริงและมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในหลายๆ เรื่อง  สำนึกรับผิดชอบของพวกเขาจึงหนักอึ้งขึ้นทุกที  และพวกเขาก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างตั้งอกตั้งใจมากขึ้น ทำงานที่มีรายละเอียดมากขึ้น  ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่าตนมีหน้าที่ที่ควรปฏิบัติมากขึ้นทุกที  นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาสาละวนอยู่กับหน้าที่ของตนมากขึ้นเรื่อยๆ  และนอกเหนือจากนั้นแล้ว ทุกๆ วัน ผู้คนส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติหน้าที่ยังต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริงด้วยเช่นกัน  พวกเขาต้องทบทวนตนเอง และเมื่อมีปัญหาบังเกิดแก่พวกเขา พวกเขาก็ต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหานั้น  พวกเขาต้องเรียนรู้ทักษะเชิงวิชาชีพบางอย่างด้วย  พวกเขารู้สึกเสมอว่ามีเวลาไม่พอ ว่าแต่ละวันล่วงเลยไปเร็วเหลือเกิน  ตกกลางคืนพวกเขาก็คิดทบทวนว่าตนทำอะไรไปบ้างในวันนั้นๆ และสำหรับพวกเขาแล้ว ดูเหมือนสิ่งที่ตนทำไปนั้นไม่มีคุณค่านัก ดูเหมือนไม่เกิดผลดีอะไรขึ้นมาเลย  พวกเขาจึงรู้สึกว่าตนมีวุฒิภาวะน้อยมากและไม่ดีพอ และพวกเขาก็กระตือรือร้นที่จะทำให้วุฒิภาวะของตนเติบโตโดยเร็ว  พวกเขาบางคนบอกว่า “เมื่อไรงานนี้ถึงจะหายยุ่ง?  เมื่อไรฉันจึงจะสามารถสงบใจและอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และทำให้ตัวเองได้รับความจริงอย่างถูกต้องเหมาะสม?  สิ่งที่ฉันได้รับจากการชุมนุมสัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้งนั้นมีขีดจำกัดอยู่ระดับหนึ่ง  พวกเราควรชุมนุมกันให้มากขึ้นและฟังคำเทศนาให้มากขึ้น—นั่นเป็นทางเดียวที่จะเข้าใจความจริง”  ดังนั้นพวกเขาจึงรอคอยและโหยหา แล้วพริบตาเดียวเวลาสาม สี่ ห้าปีก็ผ่านเลยไป และพวกเขารู้สึกว่าเวลาล่วงเลยไปเร็วเหลือเกิน  บางคนไม่สามารถให้คำพยานจากประสบการณ์ได้เท่าใดนักแม้จะเชื่อมานานนับสิบปีแล้วก็ตาม  พวกเขากระสับกระส่าย กลัวว่าตนจะถูกทอดทิ้ง และปรารถนาที่จะเร่งเตรียมตนให้พร้อมไปด้วยความจริงมากขึ้น  นั่นคือสาเหตุที่พวกเขารู้สึกว่าเวลาเร่งกระชั้นเข้ามา  มีหลายคนที่คิดเช่นนี้  ทุกคนที่แบกรับภาระของการปฏิบัติหน้าที่และไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมรู้สึกว่าเวลาผ่านพ้นไปเร็วมาก  คนที่ไม่รักความจริง ใฝ่หาความสุขสบายและความสำราญต่างๆ ย่อมไม่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาบางคนถึงกับบ่นว่า “เมื่อไรวันของพระเจ้าถึงจะมา?  พวกเขาพูดอยู่เสมอว่าพระราชกิจของพระองค์กำลังจะถึงจุดสิ้นสุด—แล้วทำไมถึงยังไม่สิ้นสุดเล่า?  เมื่อไรพระราชกิจของพระเจ้าถึงจะแผ่ไปทั่วจักรวาลเสียที?”  ผู้คนที่กล่าวเช่นนั้นย่อมรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามาก  พวกเขาไม่ได้สนใจความจริงจากหัวใจ พวกเขาอยากกลับออกไปสู่โลกและใช้ชีวิตเล็กๆ ของตนต่อไปอยู่ตลอดเวลา  สภาวะเช่นนี้ของพวกเขาแตกต่างจากสภาวะของผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างเห็นได้ชัด  ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นไม่ว่าจะยุ่งกับหน้าที่ของตนเพียงใด พวกเขาก็ยังคงสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาที่บังเกิดขึ้นแก่ตน และสามารถแสวงหาสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขายังไม่เข้าใจชัดเจนในคำเทศนาที่ตนได้ฟังมา รวมทั้งสงบใจของตนทุกวันเพื่อคิดทบทวนว่าตนปฏิบัติหน้าที่อย่างไร จากนั้นก็พิจารณาพระวจนะของพระเจ้า และดูวิดีโอคำพยานจากประสบการณ์  พวกเขาได้รับสิ่งต่างๆ จากการทำเช่นนี้  ไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งกับหน้าที่ของตนเพียงใด ก็ไม่ได้ขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาเลย และไม่ได้ถ่วงเวลาของการเข้าสู่ชีวิตด้วย  เป็นเรื่องปกติที่ผู้คนที่รักความจริงจะปฏิบัติเช่นนี้  ผู้คนที่ไม่รักความจริงย่อมไม่แสวงหาความจริงและไม่เต็มใจที่จะสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อทบทวนตนเองและทำความรู้จักตนเอง ทั้งนี้ไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตนหรือไม่ และไม่ว่าปัญหาอะไรจะบังเกิดแก่พวกเขาก็ตาม  ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งหรือไม่เร่งรีบในหน้าที่ของตน พวกเขาก็ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ข้อเท็จจริงก็คือถ้าใครมีหัวใจที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ถ้าพวกเขาถวิลหาความจริง และแบกรับภาระของการเข้าสู่ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย เช่นนั้นแล้วหัวใจของพวกเขาก็จะมาใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นและพวกเขาจะอธิษฐานถึงพระองค์ไม่ว่าจะยุ่งกับหน้าที่ของตนเพียงใดก็ตาม  แน่นอนว่าพวกเขาย่อมได้รับความรู้แจ้งและความสว่างไสวบางอย่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และชีวิตของพวกเขาก็จะเติบโตไม่หยุด  ถ้าใครไม่รักความจริงและไม่แบกรับภาระของการเข้าสู่ชีวิตหรือการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยใดๆ หรือถ้าพวกเขาไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่สามารถได้รับอะไรเลย  การคิดทบทวนว่าคนเรามีการพรั่งพรูความเสื่อมทรามอะไรออกมาบ้างเป็นสิ่งที่ต้องทำไม่ว่าจะอยู่ในที่แห่งใด เวลาใด  ตัวอย่างเช่น ถ้าคนเราพรั่งพรูความเสื่อมทรามออกมาระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของตน เช่นนั้นแล้วในหัวใจของพวกเขา พวกเขาก็ต้องอธิษฐานถึงพระเจ้า ทบทวนตนเอง ทำความรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยนั้น  นี่เป็นเรื่องของหัวใจ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับงานที่ทำอยู่  เรื่องนี้ทำง่ายหรือไม่?  นั่นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเป็นคนที่แสวงหาความจริงหรือไม่  ผู้คนที่ไม่รักความจริงย่อมไม่สนใจเรื่องของการเติบโตในชีวิต  พวกเขาไม่คำนึงถึงเรื่องดังกล่าว  มีแต่ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่พยายามเติบโตในชีวิตด้วยความเต็มใจ มีแต่พวกเขาที่ไคร่ครวญปัญหาที่มีอยู่จริงรวมทั้งวิธีแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอยู่เนืองๆ  อันที่จริงกระบวนการแก้ไขปัญหาและกระบวนการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นกระบวนการเดียวกัน  ถ้าคนเรามุ่งแสวงหาความจริงอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน และได้แก้ปัญหาไปไม่น้อยตลอดระยะเวลาหลายปีที่ปฏิบัติแบบนั้น เช่นนั้นแล้วการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาย่อมได้มาตรฐานอย่างแน่นอน  ผู้คนเช่นนี้มีการพรั่งพรูความเสื่อมทรามออกมาน้อยลงมาก และได้รับประสบการณ์จริงมากมายในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้  ผู้คนดังกล่าวก้าวผ่านประสบการณ์ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อพวกเขาเข้ามาทำหน้าที่เป็นครั้งแรกจนสามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาทำเช่นนั้นด้วยการพึ่งพาการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา  นั่นคือสาเหตุที่ไม่ว่าผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงจะยุ่งกับหน้าที่ของตนขนาดไหน พวกเขาก็จะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหาและปฏิบัติหน้าที่ของตนตามหลักธรรมให้สำเร็จ และพวกเขาย่อมจะสามารถปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้าได้  นี่คือกระบวนการของการเข้าสู่ชีวิต และเป็นกระบวนการของการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงด้วย  บางคนพูดอยู่เสมอว่าพวกเขายุ่งอยู่กับหน้าที่ของตนจนไม่มีเวลาไล่ตามเสาะหาความจริง  เช่นนี้ฟังไม่ขึ้น  สำหรับคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานอะไรอยู่ก็ตาม ทันทีที่พวกเขาสังเกตเห็นปัญหา พวกเขาจะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหานั้น ทำความเข้าใจ และได้รับความจริง  นั่นคือความแน่นอน  มีหลายคนที่คิดว่าจะสามารถเข้าใจความจริงได้ก็ด้วยการชุมนุมทุกวันเท่านั้น  นี่ย่อมผิดพลาดอย่างที่สุด  ความจริงไม่ใช่สิ่งที่เข้าใจกันได้ด้วยการชุมนุมและฟังคำเทศนาเท่านั้น คนเราจำเป็นต้องปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจำเป็นต้องมีกระบวนการของการค้นพบและการแก้ไขปัญหาด้วยเช่นกัน  สิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือพวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริง  คนที่ไม่รักความจริงย่อมไม่แสวงหาความจริงไม่ว่าปัญหาอะไรจะบังเกิดแก่พวกเขาก็ตาม คนที่รักความจริงย่อมแสวงหาความจริงไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตนเพียงใดก็ตาม  ดังนั้นพวกเราจึงกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าผู้คนที่พร่ำบ่นอยู่เสมอว่าตนยุ่งอยู่กับหน้าที่จนไม่มีเวลาชุมนุม จึงต้องเลื่อนการไล่ตามเสาะหาความจริงของตนออกไปด้วยเหตุนี้ ไม่ใช่ผู้ที่รักความจริง  พวกเขาเป็นคนที่มีความเข้าใจอันเหลวไหลและไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  เมื่อพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือฟังคำเทศนา ทำไมพวกเขาถึงปฏิบัติตามหรือนำไปใช้ในการทำหน้าที่ของตนไม่ได้?  ทำไมพวกเขาถึงนำพระวจนะของพระเจ้าไปใช้ในชีวิตจริงของตนไม่ได้?  นี่ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่รักความจริง ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาอาจจะเผชิญความยากลำบากอะไรในการปฏิบัติหน้าที่ของตนก็ตาม พวกเขาก็ไม่แสวงหาหรือปฏิบัติความจริง  ชัดเจนว่าผู้คนเหล่านี้คือพวกคนปรนนิบัติ  บางคนอาจปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ขีดความสามารถของพวกเขาอ่อนด้อยเกินไป  พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะจัดแจงชีวิตของตนเองให้ดี เมื่อพวกเขามีสิ่งที่ต้องทำสักสองหรือสามอย่าง พวกเขาก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไหนก่อนอย่างไหนทีหลัง  ถ้ามีปัญหาสักสองหรือสามอย่างบังเกิดแก่พวกเขา พวกเขาก็ไม่รู้ว่าควรแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างไร  พวกเขาหัวหมุน  ผู้คนเช่นนั้นจะมีหนทางเข้าถึงความจริงได้หรือไม่?  พวกเขาจะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาได้สำเร็จหรือไม่?  ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำได้ เพราะขีดความสามารถของพวกเขาอ่อนด้อยเกินไป  ผู้คนมากมายเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง แต่แม้จะเชื่อในพระเจ้ามาสิบหรือยี่สิบปีแล้วก็ตาม พวกเขาก็ยังลงเอยด้วยการไม่สามารถให้คำพยานจากประสบการณ์ของตน และไม่ได้รับความจริงแต่อย่างใด  สาเหตุหลักที่เป็นเช่นนี้ก็คือขีดความสามารถของพวกเขาอ่อนด้อยเกินไป  การที่ใครบางคนไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องว่าพวกเขายุ่งกับหน้าที่ของตนขนาดไหนหรือพวกเขามีเวลามากเพียงใด แต่ขึ้นอยู่กับว่าหัวใจของพวกเขารักความจริงหรือไม่  แท้จริงแล้วทุกคนมีเวลามากมายเท่ากัน สิ่งที่ต่างออกไปก็คือแต่ละคนใช้เวลาไปกับอะไรต่างหาก  เป็นไปได้ว่าใครก็ตามที่บอกว่าตนไม่มีเวลาไล่ตามเสาะหาความจริง กำลังใช้เวลาของตนไปกับความสุขสำราญทางเนื้อหนัง หรือยุ่งอยู่กับการมุมานะทำอะไรเรื่องภายนอกบางอย่าง  พวกเขาไม่เอาเวลานั้นๆ ไปแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหา  ผู้คนที่ละเลยการไล่ตามเสาะหาของตนย่อมเป็นเช่นนี้  นี่ถ่วงให้การเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมีอันล่าช้าออกไป

ในการชุมนุมสองครั้งที่ผ่านมา พวกเราสามัคคีธรรมกันในหัวข้อเรื่อง “การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร” รวมทั้งรายละเอียดบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนั้นด้วย  พวกเรามาเริ่มกันด้วยการทบทวนสิ่งที่พวกเราสามัคคีธรรมกันในการชุมนุมครั้งที่แล้วเถิด  พวกเราได้ให้คำจำกัดความที่ถูกต้องแม่นยำเอาไว้ว่า “การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร” จากนั้นก็สามัคคีธรรมถึงปัญหาจำเพาะและลักษณะเฉพาะบางอย่างในการประพฤติตนของผู้คน ซึ่งเกี่ยวข้องกับความหมายของการไล่ตามเสาะหาความจริง  เรื่องสุดท้ายที่พวกเราสามัคคีธรรมกันในการชุมนุมครั้งที่แล้วคืออะไร?  (พระเจ้าทรงตั้งคำถามว่าในเมื่อสิ่งที่มนุษย์ยึดถือว่าดีงามและถูกต้องไม่ใช่ความจริง ทำไมมนุษย์ถึงยังไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นราวกับเป็นความจริง?)  ในเมื่อสิ่งที่มนุษย์ยึดถือว่าดีงามและถูกต้องไม่ใช่ความจริง ทำไมเขาถึงยังคงค้ำจุนสิ่งเหล่านั้นเหมือนเป็นความจริง พลางคิดว่าตนเองกำลังไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่?  ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมกันสามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำถามนี้  เรื่องแรกคือสิ่งที่มนุษย์ไล่ตามเสาะหานั้นไม่ใช่ความจริง แล้วทำไมเขาถึงยังคงปฏิบัติสิ่งเหล่านั้นราวกับเป็นความจริง?  เพราะสำหรับมนุษย์แล้ว สิ่งที่เขามองว่าถูกต้องและดีงามย่อมดูราวกับเป็นความจริง มนุษย์จึงไล่ตามเสาะหาสิ่งที่เขาคิดว่าดีงามและถูกต้องเสมือนว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริง  การกล่าวเช่นนี้ชัดเจนหรือไม่?  (ชัดเจน)  ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องของคำถามนี้คืออะไร?  ผู้คนค้ำจุนสิ่งที่พวกเขาคิดว่าถูกต้องและดีงามราวกับสิ่งเหล่านั้นคือความจริง และระหว่างที่ทำเช่นนั้น พวกเขาก็นึกว่าตนกำลังไล่ตามเสาะหาความจริง  นั่นไม่ใช่คำตอบที่ครบถ้วนแล้วหรอกหรือ?  (ครบถ้วนแล้ว)  เรื่องที่สองก็คือ เวลาค้ำจุนสิ่งต่างๆ ที่เขาคิดว่าดีงามและถูกต้องราวกับสิ่งเหล่านั้นคือความจริง ทำไมมนุษย์ถึงคิดว่าเขากำลังไล่ตามเสาะหาความจริง?  นี่อาจตอบได้ดังนี้ว่าเพราะมนุษย์มีความอยากได้พร  มนุษย์ลงมือไล่ตามเสาะหาสิ่งที่เขายึดถือว่าถูกต้องและดีงามด้วยความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยาน และด้วยเหตุนั้นเขาจึงคิดว่าตนกำลังปฏิบัติและไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่  โดยแก่นแท้แล้ว นี่คือการพยายามต่อรองกับพระเจ้า  เรื่องที่สามก็คือ ถ้าคนคนหนึ่งมีมโนธรรมและเหตุผลที่ปกติ เช่นนั้นแล้วในกรณีที่พวกเขาไม่เข้าใจความจริง โดยสัญชาตญาณแล้วพวกเขาย่อมจะเลือกกระทำการตามมโนธรรมและเหตุผลของตน ปฏิบัติตามข้อบังคับ กฎหมาย กฎเกณฑ์ และอื่นๆ  พวกเราอาจกล่าวว่าโดยสัญชาตญาณแล้ว มนุษย์ค้ำจุนสิ่งที่เขาคิดคำนึงตามมโนธรรมของตนว่าเป็นบวก เป็นประโยชน์ และสอดคล้องกับความเป็นมนุษย์ ราวกับสิ่งเหล่านั้นคือความจริง  นี่สามารถทำได้ในกรอบของมโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์  มีหลายคนที่สามารถมอบน้ำพักน้ำแรงของตนได้ตามปกติในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเต็มใจที่จะทำงานรับใช้และนบนอบการจัดแจงเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้า เพราะพวกเขามีมโนธรรมและเหตุผลที่ปกติ  พวกเขายอมกระทั่งก้าวผ่านความทุกข์และจ่ายราคาใดๆ ก็ตามเพื่อที่จะได้รับพร  ดังนั้นมนุษย์จึงถือเช่นกันว่าสิ่งที่เขาสามารถทำได้ภายในกรอบของมโนธรรมและเหตุผลของตนคือการปฏิบัติและไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่คือสามเรื่องหลักที่ตอบคำถามข้อนั้น  คราวที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมกันถึงสามเรื่องนี้แบบกว้างๆ วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมกันอย่างละเอียดและเจาะจงถึงปัญหาต่างๆ ที่สามประเด็นนี้ทิ้งไว้ให้ และชำแหละปัญหาที่เกี่ยวข้องกับแต่ละประเด็น รวมทั้งแต่ละองค์ประกอบแตกต่างหรือขัดแย้งกับการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร เพื่อให้เจ้ารู้ชัดขึ้นว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร และที่จริงแล้วการไล่ตามเสาะหานั้นต้องปฏิบัติอย่างไร  การทำเช่นนี้ย่อมจะเป็นแรงจูงใจที่ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้คนปฏิบัติและไล่ตามเสาะหาความจริงในชีวิตประจำวันของตนอย่างถูกต้องแม่นยำ

พวกเราจะเริ่มด้วยการสามัคคีธรรมเรื่องแรก  พูดง่ายๆ ก็คือสามัคคีธรรมเรื่องแรกของพวกเราจะเน้นสิ่งที่มนุษย์ยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงาม  เหตุใดสามัคคีธรรมของพวกเราจึงควรมุ่งเน้นในเรื่องนี้?  เนื้อหานี้เกี่ยวข้องกับปัญหาใดบ้าง?  ก่อนอื่นจงคิดเรื่องนี้โดยละเอียด  ถ้าพวกเราไม่สามัคคีธรรมเรื่องนี้อย่างถูกต้องเหมาะสมในการชุมนุม พวกเจ้าจะมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับปัญหาที่ตามมาได้หรือไม่?  ถ้าพวกเราไม่เจาะจงสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเนื้อหานี้ แล้วพวกเจ้ามัวแต่ไปใคร่ครวญกันเอาเอง หรือถ้าพวกเจ้าใช้เวลาทำความรู้จักและผ่านประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าว?  เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจะรู้หรือไม่ว่าเนื้อหานี้เกี่ยวพันถึงความจริงข้อไหนบ้าง?  เมื่อใช้การใคร่ครวญ พวกเจ้าจะคิดออกหรือไม่ว่าความจริงเหล่านั้นมีอะไรบ้าง?  (ไม่)  พวกเราจะเริ่มด้วยการพิจารณาถ้อยคำของวลีที่ว่า “สิ่งที่มนุษย์ยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงาม” ไปตามตัวอักษร และดูว่าพวกเจ้ามีความรู้ในเรื่องนี้มากเพียงใด  ก่อนอื่น ส่วนสำคัญของวลีที่พวกเรากำลังจะสามัคคีธรรมนี้พูดถึงอะไร?  พวกเจ้าบอกได้มิใช่หรือ?  นี่เป็นวลีที่เข้าใจยากหรือไม่?  มีความล้ำลึกอยู่ในวลีนี้หรือไม่?  (พูดถึงมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันในตัวมนุษย์)  นั่นเป็นการพูดอย่างกว้างๆ จงยกตัวอย่างสักตัวอย่างหนึ่งเถิด  (มนุษย์เชื่อตามมโนคติอันหลงผิดของตนว่าตราบใดที่เขาสามารถตัดขาด สละตน ทนทุกข์ และจ่ายราคาได้ เขาย่อมจะสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  ยังมีวัฒนธรรมดั้งเดิมบางอย่างอีกด้วย—อย่างเรื่องของความกตัญญูต่อบุพการีและการที่ผู้หญิงดูแลสามีและเลี้ยงลูกของตนให้เติบใหญ่  ผู้คนถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องดีเช่นกัน)  พวกเจ้ามีความเข้าใจอยู่บ้าง  พวกเจ้าจับประเด็นได้แล้วหรือยัง?  มีส่วนไหนที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อของพวกเรา?  (การตัดขาด การสละ การทนทุกข์ และการจ่ายราคา)  (ความกตัญญูต่อบุพการีและการที่ผู้หญิงดูแลสามีและเลี้ยงลูกของตนให้เติบใหญ่)  ใช่แล้ว  มีอีกหรือไม่?  (การแสดงถึงการอุทิศตน ความอดทน และการยอมผ่อนปรนเหมือนพวกฟาริสี)  ความถ่อมใจ ความอดทน การยอมผ่อนปรน—นี่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกและคำพูดจำเพาะในเชิงพฤติกรรมบางอย่าง  ในเมื่อพวกเรากำลังจะสามัคคีธรรมถึงเนื้อหาดังกล่าว พวกเราก็ควรสามัคคีธรรมเป็นการเฉพาะโดยใช้คำกล่าวที่เจาะจงลงไป  ผู้คนย่อมสามารถได้รับความเข้าใจที่ถูกต้องและแม่นยำขึ้นถ้าพวกเรามุ่งเน้นไปที่คำถามในลักษณะเช่นนั้น  ตอนนี้พวกเจ้าไม่สามารถเสนอแนะแนวทางใดๆ ได้ ดังนั้นเราจะสามัคคีธรรมไปเลย ดีไหม?  (ดี)  วัฒนธรรมยาวนานห้าพันปีของจีนนั้น “กว้างใหญ่ไพศาลและลุ่มลึก” เต็มไปด้วยคำกล่าวและสำนวนซึ่งเป็นที่นิยมทุกรูปแบบ  นอกจากนี้ยังมี “ปราชญ์โบราณ” ซึ่งเป็นที่ยกย่องอีกจำนวนมาก เช่น ขงจื๊อ เม่งจื๊อ เป็นต้น  พวกเขาสร้างสรรค์คำสอนในลัทธิขงจื๊อของจีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม  มีสำนวนภาษา คำศัพท์ และคำกล่าวมากมายในวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนที่ผู้คนหลายรุ่นรังสรรค์ขึ้นมาใช้  บางส่วนอ้างอิงยุคสมัยโบราณ บ้างก็ไม่ใช่ บ้างมาจากชาวบ้านทั่วไป ขณะที่ส่วนอื่นมาจาผู้คนที่มีชื่อเสียง  อาจเป็นได้ว่าพวกเจ้าไม่ค่อยชอบวัฒนธรรมดั้งเดิมนัก หรือพวกเจ้าได้ออกห่างจากวัฒนธรรมพื้นฐานดั้งเดิม หรือพวกเจ้ายังเยาว์เกินกว่าที่จะได้ศึกษาหรือค้นคว้าเรื่องของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ “กว้างใหญ่ไพศาลและลุ่มลึก” ของจีนอย่างลึกซึ้ง และนั่นคือสาเหตุที่พวกเจ้ายังไม่รู้เรื่องวัฒนธรรมดั้งเดิมหรือเข้าใจเรื่องทำนองนั้น  ที่จริงแล้วนั่นเป็นเรื่องดี  แม้คนเราจะไม่เข้าใจวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่สิ่งต่างๆ ที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมก็คอยพร่ำสอนและส่งผลต่อการคิดอ่านและมโนคติอันหลงผิดของผู้คนไปด้วย  สุดท้ายพวกเขาก็ใช้ชีวิตไปตามสิ่งเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว  สิ่งที่ตกทอดมาจากบรรพชนทั้งหลายซึ่งหมายถึงวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ส่งต่อมาจากบรรพบุรุษของมนุษย์ ทำให้มีคำกล่าวอ้างมากมายสารพัดรูปแบบว่ามนุษย์ควรพูด ทำ และวางตัวอย่างไร  และแม้ผู้คนอาจจะมีความเข้าใจและทัศนะเกี่ยวกับถ้อยแถลงนานัปการของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ต่างกัน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วพวกเขามั่นใจในถ้อยแถลงดังกล่าวของวัฒนธรรมดั้งเดิม  จากข้อสังเกตนี้ พวกเราสามารถมองเห็นได้ว่าต้นกำเนิดของอิทธิพลที่ครอบงำชีวิตและการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์ ครอบงำทัศนะที่มีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ครอบงำการวางตัวและการกระทำของมวลมนุษย์ ล้วนเป็นสิ่งที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมกันทั้งสิ้น  แม้ชาติพันธุ์ต่างๆ ในหมู่มวลมนุษย์มีการค้ำจุนถ้อยแถลงด้านมาตรฐานทางศีลธรรมและหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมที่แตกต่างกัน แต่แนวคิดโดยทั่วไปเบื้องหลังถ้อยแถลงเหล่านั้นเหมือนกัน  วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมและชำแหละถ้อยแถลงบางอย่างในรายละเอียด  แม้พวกเราจะไม่สามารถเอ่ยถึงและชำแหละทุกสิ่งที่มนุษย์ยึดถือว่าถูกต้องและดีงามได้ แต่เนื้อหาโดยทั่วไปของสิ่งเหล่านั้นก็มีองค์ประกอบอยู่เพียงสองอย่างซึ่งกล่าวถึงไปแล้วในคำนิยามของการไล่ตามเสาะหาความจริงซึ่งได้แก่ ทัศนะที่คนเรามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย และวิธีการวางตัวและกระทำการของคนเรา  หนึ่งคือทัศนะ อีกหนึ่งคือพฤติกรรม  นี่หมายความว่ามนุษย์มองผู้คนและเหตุการณ์ของโลกผ่านทางสิ่งที่เขายึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงาม และเขาก็ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นรากฐาน เป็นหลัก และหลักเกณฑ์ในการวางตัวและกระทำการ  ดังนั้น แท้จริงแล้วสิ่งที่ดีงามและถูกต้องเหล่านี้คืออะไรกันแน่?  กล่าวอย่างกว้างๆ ก็คือ สิ่งที่มนุษย์ยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงามนั้นเป็นแต่เพียงข้อกำหนดให้มนุษย์ประพฤติตัวดีและให้เขามีศีลธรรมและลักษณะนิสัยอันดีงามของมนุษย์เท่านั้น  ซึ่งก็คือองค์ประกอบสองข้อนั้น  จงคิดดูเถิดว่าโดยพื้นฐานแล้วใช่สองข้อนั้นหรือไม่?  (ใช่)  ข้อหนึ่งคือพฤติกรรมอันดีงาม อีกข้อหนึ่งคือลักษณะนิสัยและศีลธรรมของมนุษย์  โดยพื้นฐานแล้วมวลมนุษย์ได้กำหนดมาตรฐานไว้สองข้อเพื่อประเมินวัดความเป็นมนุษย์ที่บางคนใช้ดำเนินชีวิตและใช้ประเมินวิธีการวางตนของพวกเขา หนึ่งนั้นคือข้อกำหนดให้มนุษย์ประพฤติตนให้เห็นภายนอกว่าดี อีกหนึ่งก็คือให้เขาประพฤติปฏิบัติตนอย่างมีศีลธรรม  พวกเขาใช้ปัจจัยสองข้อนี้วัดความดีงามของคนคนหนึ่ง  เนื่องจากพวกเขาใช้ปัจจัยสองข้อนี้วัดความดีงามของคนคนหนึ่ง มาตรฐานที่จะตัดสินพฤติกรรมและศีลธรรมของผู้คนจึงเกิดขึ้นเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว และระหว่างที่พวกเขาทำเช่นนั้น ก็เป็นธรรมดาที่ผู้คนจะเริ่มได้ยินได้ฟังถ้อยแถลงสารพัดอย่างเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมหรือพฤติกรรมของมนุษย์  มีคำกล่าวเฉพาะว่าอะไรบ้าง?  พวกเจ้ารู้หรือไม่?  สิ่งที่ง่ายๆ อย่างเช่นว่า มีมาตรฐานและคำกล่าวอะไรที่ใช้ประเมินพฤติกรรมของผู้คนบ้าง?  ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท—สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมภายนอก  ความสุภาพอ่อนน้อมเล่าใช่ด้วยหรือไม่?  (ใช่)  ที่เหลือก็คล้ายคลึงกันไม่มากก็น้อย และเมื่อเทียบกันแล้ว พวกเจ้าย่อมจะรู้ว่าคำพูดไหนและถ้อยแถลงไหนเป็นมาตรฐานในการประเมินพฤติกรรมของมนุษย์ และถ้อยแถลงไหนเป็นมาตรฐานในการประเมินศีลธรรมของเขา  ส่วน “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม”—เป็นมาตรฐานสำหรับพฤติกรรมภายนอกหรือศีลธรรม?  (เป็นเรื่องของศีลธรรมและจริยธรรม)  แล้วความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เล่า?  (นั่นก็เป็นเรื่องของศีลธรรมเช่นกัน)  ถูกต้อง  สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับศีลธรรม เกี่ยวข้องกับลักษณะนิสัยทางศีลธรรมของมนุษย์  ถ้อยแถลงหลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์คือถ้อยแถลงอย่างเช่น ความสุภาพอ่อนน้อม อ่อนโยนและมีมารยาท รวมทั้ง ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่มนุษย์ยึดถือในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงาม นี่คือสิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นบวกตามคำกล่าวอ้างของวัฒนธรรมดั้งเดิม หรืออย่างน้อยก็สอดคล้องกับมโนธรรมและเหตุผล ไม่ใช่สิ่งที่เป็นลบ  สิ่งที่พวกเรากำลังพูดถึงอยู่นี้คือสิ่งที่ผู้คนรับรู้กันโดยทั่วไปว่าถูกต้องและดีงาม  ดังนั้นนอกจากถ้อยแถลงที่เราเพิ่งกล่าวไปสามข้อแล้ว มีถ้อยแถลงอื่นใดเกี่ยวกับพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์อีก?  (เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์)  เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ มีไมตรีจิต คุยด้วยง่าย—ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผู้คนค่อนข้างคุ้นเคยและเข้าใจกันดี  ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท สุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ มีไมตรีจิต คุยด้วยง่าย—ในความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ ต่างเชื่อกันว่าทุกคนที่มีพฤติกรรมเหล่านี้คือคนดี เป็นคนมีเมตตา เป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์  ทุกคนประเมินคนอื่นตามพฤติกรรมของคนเหล่านั้น พวกเขาตัดสินความดีงามของคนบางคนตามพฤติกรรมภายนอกของคนเหล่านั้น  ผู้คนตัดสิน ลงความเห็น และประเมินว่าคนคนหนึ่งผ่านการอบรมบ่มเพาะและมีความเป็นมนุษย์หรือไม่ คู่ควรแก่การมีปฏิสัมพันธ์ด้วยและคู่ควรแก่ความไว้วางใจหรือไม่ ตามความคิดอ่านและมโนคติของวัฒนธรรมดั้งเดิม และตามพฤติกรรมของคนคนนั้นที่พวกเขามองเห็นได้  ผู้คนมีความสามารถที่จะเข้าใจโลกวัตถุหรือไม่?  ไม่มีแม้แต่น้อย  ผู้คนทำได้เพียงตัดสินและแยกแยะตามพฤติกรรมของคนคนหนึ่งว่าพวกเขาดีหรือไม่ดี หรือเป็นคนเช่นใด ผู้คนสามารถจับสังเกตและตัดสินสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์ พูดคุย และทำงานร่วมกับใครสักคนเท่านั้น  ไม่ว่าเจ้าจะใช้ถ้อยแถลงอย่าง “ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล” “มีไมตรีจิต” และ “เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์” ในการประเมินของเจ้าอย่างชัดแจ้งหรือไม่ก็ตาม มาตรฐานที่เจ้าใช้ชี้วัดก็อยู่ในกรอบของถ้อยแถลงเหล่านี้  เมื่อใครบางคนไม่สามารถมองเห็นโลกภายในตัวคนอีกคนหนึ่ง พวกเขาย่อมประเมินว่าคนเหล่านั้นดีหรือไม่ดี สูงส่งหรือต่ำช้า ด้วยการสังเกตดูพฤติกรรมและการกระทำของคนเหล่านั้น และใช้หลักเกณฑ์เชิงพฤติกรรมเหล่านี้  โดยพื้นฐานแล้วทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พวกเขาใช้  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ตามถ้อยแถลงที่เพิ่งสรุปไป มวลมนุษย์มีอะไรเป็นมาตรฐานในการชี้วัดบ้าง?  สิ่งที่มวลมนุษย์ยึดถือว่าดีงามและถูกต้องในมโนคติอันหลงผิดของพวกเขานั้นมีอะไรบ้าง?  แทนที่จะเริ่มด้วยเรื่องของการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม พวกเรามาเริ่มสามัคคีธรรมและการชำแหละด้วยเรื่องของสิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง และเป็นบวกที่มนุษย์แสดงออกและสำแดงในพฤติกรรมของเขา  มาดูกันเถิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นบวกจริงหรือไม่  เพราะฉะนั้นมีอะไรในถ้อยแถลงที่พวกเราเพิ่งไล่เรียงไปที่กล่าวถึงความจริงบ้างหรือไม่?  มีเนื้อหาอะไรที่สอดคล้องกับความจริงบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  ถ้าการไล่ตามเสาะหาของใครบางคนคือการเป็นคนเช่นนี้ คนที่มีพฤติกรรมดังกล่าวและมีลักษณะภายนอกดังกล่าว คนคนนั้นกำลังไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่หรือไม่?  สิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาเกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  คนที่มีพฤติกรรมเหล่านี้กำลังปฏิบัติและไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่หรือไม่?  เมื่อดูตามความหมายที่แท้จริงของคำว่าคนดี คนที่มีพฤติกรรมและมีการแสดงออกเหล่านี้เป็นคนดีหรือไม่?  คำตอบก็คือไม่—พวกเขาไม่ใช่คนดี  นี่ย่อมเห็นได้ชัด

ก่อนอื่นพวกเรามาดูถ้อยแถลงที่ว่าคนเราต้องผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล  จงพูดมาเถิดว่าถ้อยแถลงว่า “ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล” โดยตัวมันเองหมายความว่าอย่างไร  (ถ้อยแถลงนี้บรรยายถึงคนที่ทำตัวค่อนข้างเหมาะสมและมีกิริยามารยาทดี)  การ “ทำตัวเหมาะสม” หมายความว่าอย่างไร?  (หมายความว่าค่อนข้างทำตัวตามกฎ)  ถูกต้อง  คนแบบนี้ทำตามกฎระเบียบอะไร?  ยิ่งเจ้าให้คำตอบที่เจาะจงลงไปมากเท่าใด ความเข้าใจที่เจ้ามีต่อเรื่องนี้และแก่นแท้ของเรื่องนี้ก็จะมากขึ้นเท่านั้น  เพราะฉะนั้น การทำตัวตามกฎหมายถึงอะไร?  นี่คือตัวอย่าง  เวลากินอาหาร คนรุ่นเด็กกว่าต้องไม่นั่งก่อนผู้อาวุโสของตน และเวลาผู้อาวุโสของตนไม่พูดคุยกัน พวกเขาก็ต้องอยู่เงียบๆ  อาหารที่เตรียมไว้ให้ผู้อาวุโส ไม่ว่าใครก็กินไม่ได้จนกว่าผู้อาวุโสจะออกปากให้กิน  นอกจากนั้น ระหว่างกินอาหารก็ห้ามพูดคุย หรือยิงฟัน หรือหัวเราะเสียงดัง หรือเปาะปาก หรือคุ้ยหาอาหารไปทั่วจาน  พอรุ่นอาวุโสกินเสร็จแล้ว รุ่นเด็กกว่าต้องหยุดกินทันทีแล้วลุกยืน  ต่อเมื่อพวกเขายืนส่งผู้อาวุโสของตนเรียบร้อยแล้วจึงจะกินต่อได้  นี่คือการทำตามกฎระเบียบมิใช่หรือ?  (ใช่)  กฎระเบียบเหล่านี้มีอยู่ทุกบ้านและทุกครัวเรือน ในครอบครัวของทุกสกุลและทุกเชื้อสายไม่มากก็น้อย  ผู้คนล้วนปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้มากบ้างน้อยบ้าง และเวลาพวกเขาทำเช่นนี้ พวกเขาก็ถูกกฎระเบียบเหล่านั้นจำกัดเอาไว้  ในแต่ละครอบครัวก็มีกฎระเบียบที่ต่างกันไป—แล้วใครเป็นคนวางกฎเหล่านี้?  บรรพชนและผู้อาวุโสซึ่งเป็นที่เคารพนับถือในยุคต่างๆ ที่ผ่านมาของครอบครัวนั้นกำหนดเอาไว้  เวลาเฉลิมฉลองวันหยุดที่สำคัญและวันรำลึกต่างๆ กฎระเบียบเหล่านี้ก็มีความสำคัญเป็นพิเศษ ในวันเหล่านั้นทุกคนต้องทำตามกฎระเบียบโดยไม่มีใครได้รับการยกเว้น  ถ้าใครบางคนทำผิดหรือละเมิดกฎ พวกเขาก็จะถูกทำโทษตามกฎข้อบังคับในครอบครัวอย่างรุนแรง  บางคนถึงกับต้องคุกเข่าขออภัยหน้าแท่นบูชาของครอบครัว  นั่นคือสิ่งที่เป็นกฎระเบียบ  สิ่งที่พวกเราเพิ่งพูดถึงไปนี้เป็นเพียงกฎระเบียบบางส่วนที่อาจนำไปใช้ในบ้านหรือครอบครัวใดๆ ก็ได้  กฎระเบียบทำนองนี้เป็นส่วนหนึ่งของความหมายของการ “ทำตัวเหมาะสม” ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เพียงดูคนคนหนึ่งกิน คนเราก็สามารถบอกได้ว่าพวกเขาทำตัวเหมาะสมหรือไม่  ถ้าพวกเขาเปาะปากเวลากินอาหาร หรือเขี่ยอาหารเลือกสิ่งที่ชอบ หรือมัวตักอาหารให้คนอื่นอยู่ตลอดเวลา พูดไปกินไป หัวเราะเสียงดัง และบางรายก็ถึงกับยกตะเกียบชี้คนที่ตนกำลังคุยด้วย เช่นนั้นในกรณีทั้งหมดนี้ พวกเขาก็กำลังแสดงให้เห็นการทำตัวไม่เหมาะสม  การบอกว่าคนคนหนึ่งทำตัวไม่เหมาะสมนั้นแสดงนัยว่าคนอื่นติติง ตั้งคำถาม และดูหมิ่นพวกเขาในเชิงพฤติกรรม  ส่วนคนที่ทำตัวเหมาะสมย่อมไม่พูดเวลากิน หรือหัวเราะคิกคัก หรือเขี่ยเพื่อเลือกอาหาร หรือตักอาหารให้คนอื่น  พวกเขาค่อนข้างทำตัวตามกฎ  คนอื่นย่อมมองเห็นพฤติกรรมและการปฏิบัติตนของพวกเขา แล้วกล่าวไปตามที่เห็นว่านี่คือคนที่ทำตัวเหมาะสม  และเพราะการทำตัวเหมาะสมเช่นนี้ พวกเขาจึงได้รับความเคารพและนับถือจากผู้อื่น รวมทั้งได้รับความชื่นชอบด้วย  นี่คือส่วนหนึ่งของสิ่งที่เป็นพื้นฐานของการทำตัวเหมาะสม  ดังนั้นแท้จริงแล้วการทำตัวเหมาะสมคืออะไร?  พวกเราเพิ่งพูดไปว่า “การทำตัวเหมาะสม” เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของผู้คนเท่านั้น  ในตัวอย่างทั้งหลายที่เพิ่งยกมานี้ เช่น มีลำดับความสำคัญของคนแต่ละรุ่นเวลากินอาหาร  ทุกคนก็ต้องหาที่นั่งของตนให้ตรงตามกฎระเบียบ พวกเขาต้องไม่นั่งผิดที่  ผู้อาวุโสและรุ่นเยาว์ลงมาล้วนทำตามกฎระเบียบของครอบครัวเหมือนกันหมด ไม่มีใครละเมิดได้ และพวกเขาก็ดูเหมือนจะทำตามกฎ ดูสุภาพ ดูสูงส่ง มีศักดิ์มีศรีอย่างยิ่ง—แต่ไม่ว่าพวกเขาจะดูเป็นเช่นนั้นกันมากเพียงใด ทั้งหมดกลับเป็นแค่พฤติกรรมอันดีงามแต่เพียงภายนอกเท่านั้น  นี่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือไม่?  ไม่ นี่เป็นเพียงมาตรฐานที่ใช้ประเมินพฤติกรรมภายนอกของผู้คนเท่านั้น  พฤติกรรมอะไร?  หลักๆ แล้วก็คือวาจาและการกระทำของพวกเขา  ตัวอย่างเช่น คนเราไม่ควรพูดคุยเวลากินหรือมีเสียงเวลาเคี้ยว  เวลานั่งกินอาหารย่อมมีลำดับว่าใครนั่งก่อน  โดยทั่วไปย่อมมีวิธีการยืนและนั่งที่ถูกต้องเหมาะสม  ทั้งหมดนี้เป็นเพียงพฤติกรรมเท่านั้น เป็นพฤติกรรมภายนอกทั้งสิ้น  ดังนั้น แท้จริงแล้วผู้คนเต็มใจทำตามกฎระเบียบเหล่านี้หรือไม่?  ผู้คนคิดในใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าอย่างไร?  พวกเขารู้สึกอย่างไรในเรื่องนี้?  การปฏิบัติตามกฎระเบียบที่น่าสมเพชเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อผู้คนหรือไม่?  กฎเหล่านี้มอบความก้าวหน้าในชีวิตให้กับพวกเขาได้หรือไม่?  การทำตามกฎระเบียบที่น่าสมเพชเหล่านี้มีปัญหาอะไร?  เกี่ยวข้องกับเรื่องของการมีความเปลี่ยนแปลงในทัศนคติที่ใครบางคนมีต่อสิ่งต่างๆ และอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาหรือไม่?  ไม่เลย  นี่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของผู้คนเท่านั้น  นี่เพียงแต่ให้ข้อกำหนดสองสามข้อในเรื่องพฤติกรรมของผู้คนเท่านั้น ข้อกำหนดเกี่ยวกับกฎระเบียบที่ผู้คนต้องสัมฤทธิ์และปฏิบัติตาม  ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไรกับกฎระเบียบเหล่านี้ และต่อให้พวกเขาเกลียดชังและรังเกียจกฎระเบียบเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากใช้ชีวิตที่ถูกกฎระเบียบเหล่านี้พันธนาการเอาไว้เพราะครอบครัวและบรรพชนของตน และเพราะกฎเกณฑ์ภายในบ้านของตน  ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครริเริ่มสืบเสาะว่าผู้คนมีความคิดจำเพาะกับกฎระเบียบเหล่านี้อย่างไร หรือมองและพิจารณากฎระเบียบเหล่านี้ในการคิดอ่านของพวกเขาอย่างไร หรือพวกเขามีทัศนคติและท่าทีต่อกฎระเบียบเหล่านี้อย่างไร  เจ้าเพียงแสดงให้เห็นพฤติกรรมอันดีงามและทำตามกฎเกณฑ์เหล่านี้ในขอบเขตที่ระบุไว้นี้เป็นพอ  คนที่ทำเช่นนี้คือผู้คนที่ทำตัวเหมาะสม  คำกล่าวที่ว่า “ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล” นั้นวางข้อเรียกร้องต่างๆ เฉพาะกับพฤติกรรมของผู้คนเท่านั้น นั่นถูกใช้ตีกรอบพฤติกรรมของผู้คนเท่านั้น พฤติกรรมที่รวมถึงท่วงท่าของผู้คนเวลานั่งและยืน การเคลื่อนไหวร่างกาย ท่าทางของอวัยวะที่ใช้รับ ความรู้สึก ดวงตาของพวกเขาดูเป็นอย่างไร ปากของพวกเขาขยับอย่างไร หัวของพวกเขาหันอย่างไร และอื่นๆ  เป็นการวางมาตรฐานให้แก่พฤติกรรมภายนอกของผู้คน โดยไม่ใส่ใจว่าความรู้สึกนึกคิด อุปนิสัย และแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเป็นเช่นไร  มาตรฐานที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลก็เป็นเช่นนี้  ถ้าเจ้าทำได้ตามมาตรฐานนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล และถ้าเจ้ามีพฤติกรรมอันดีงามซึ่งก็คือผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล เช่นนั้นแล้วในสายตาของผู้อื่น เจ้าย่อมเป็นคนที่ควรแก่การเคารพและนับถือ  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้นถ้อยแถลงนี้มุ่งเน้นที่พฤติกรรมของมนุษย์ใช่หรือไม่?  (ใช่)  แท้จริงแล้วมาตรฐานทางด้านพฤติกรรมนี้มีประโยชน์อะไร?  โดยมากแล้วประโยชน์ก็คือใช้ประเมินว่าคนคนหนึ่งทำตัวเหมาะสมและทำตามกฎเป็นอย่างดีหรือไม่ พวกเขาควรได้รับความเคารพและนับถือจากผู้อื่นเวลาคบค้าสมาคมกันหรือไม่ และพวกเขาคู่ควรที่จะได้รับความเลื่อมใสหรือไม่  การประเมินผู้คนในลักษณะนี้ไม่ตรงกับหลักธรรมความจริงโดยสิ้นเชิง ไร้ซึ่งนัยสำคัญ

สามัคคีธรรมของพวกเราเมื่อครู่นี้เกี่ยวข้องกับการอบรมบ่มเพาะของคนคนหนึ่งเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อกำหนดที่ถูกกำหนดให้มีขึ้นโดยถ้อยแถลงที่ว่า “ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล”  แล้ว “การมีเหตุผล” หมายถึงอะไร?  (เป็นการแสดงถึงความเข้าใจในเรื่องกิริยามารยาทและธรรมเนียมปฏิบัติ)  นั่นตื้นเขินไปสักนิด แต่ก็เป็นส่วนหนึ่ง  “การมีเหตุผล” หมายถึงมีความสุภาพที่จะยอมเข้าใจเหตุผล ยอมรับฟังเหตุผลไม่ใช่หรือ?  พวกเราจะพูดเช่นนี้ได้หรือไม่?  (ได้)  เพื่อเป็นการแสดงถึงความเข้าใจในเรื่องกิริยามารยาทและธรรมเนียมปฏิบัติในสังคม และมีความสุภาพที่จะเข้าใจเหตุผล  ดังนั้นเมื่อกล่าวรวมกันแล้ว หากใครบางคนมีพฤติกรรมตามที่ระบุไว้ว่า “การผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล” โดยรวมแล้วพวกเขาแสดงออกมาอย่างไรกันแน่?  พวกเจ้าเคยพบคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลหรือไม่?  มีคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลในหมู่ผู้อาวุโสและญาติพี่น้องของพวกเจ้าหรือเพื่อนฝูงของพวกเจ้าหรือไม่?  ลักษณะเด่นของพวกเขาคืออะไร?  พวกเขาทำตามกฎระเบียบที่มีมากมายเป็นพิเศษ  พวกเขาค่อนข้างพิถีพิถันกับวาจาของตน โดยไม่หยาบคาย ไม่กระด้าง ไม่ทำร้ายความรู้สึกของผู้อื่น  เวลานั่ง พวกเขาก็นั่งอย่างถูกต้องเหมาะสม เวลายืน พวกเขาก็ยืนอย่างมีท่วงท่า  พฤติกรรมในทุกแง่มุมของพวกเขาดูมีการขัดเกลาและสุขุมในสายตาของผู้อื่นที่รู้สึกชื่นชอบและอิจฉาที่ได้พบเห็นพวกเขา  เวลาพบปะผู้คน พวกเขาก็ก้มหัวและโน้มตัว พวกเขาโค้งคำนับและคุกเข่าลงข้างหนึ่ง  พวกเขาพูดจาสุภาพ ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เรื่องความเหมาะสมและความสงบเรียบร้อยในที่สาธารณะอย่างเคร่งครัด โดยไม่มีความเคยชินหรือนิสัยอันธพาลของชนชั้นล่างในสังคม  โดยรวมแล้วพฤติกรรมภายนอกของพวกเขาก่อให้เกิดความสบายใจและเรียกเสียงชมเชยจากผู้พบเห็น  แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ชวนให้ไม่สบายใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ดี นั่นคือ สำหรับพวกเขาแล้วทุกสิ่งทุกอย่างมีกฎระเบียบ  การกินก็มีกฎระเบียบของการกิน การนอนก็มีกฎระเบียบของการนอน การเดินก็มีกฎระเบียบของการเดิน แม้กระทั่งการออกจากบ้านและกลับเข้าบ้านก็มีกฎระเบียบ  เวลาอยู่กับคนแบบนี้ คนเราจึงรู้สึกค่อนข้างอึดอัดและไม่สบายใจ  เจ้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะพูดถึงกฎระเบียบขึ้นมาเมื่อใด และถ้าเจ้าละเมิดกฎนั้นๆ เข้าโดยไม่ทันระวัง เจ้าก็จะดูไม่มีความยั้งคิดและไม่รู้ความ ในขณะที่พวกเขาดูมีมารยาทมาก  พวกเขามีมารยาทจริงๆ แม้แต่รอยยิ้มก็เป็นการยิ้มแบบไม่เห็นฟัน และในการร้องไห้ พวกเขาก็ไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าผู้อื่น แต่ร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มกลางดึกในขณะที่คนอื่นต่างนอนหลับกันหมด  ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรก็เป็นไปตามกฎระเบียบ  นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “การอบรมเลี้ยงดู”  ผู้คนเช่นนี้มีชีวิตอยู่ในดินแดนแห่งธรรมเนียมปฏิบัติ ในครอบครัวที่ยิ่งใหญ่ พวกเขามีกฎระเบียบมากมายและมีการอบรมเป็นอันมาก  ไม่ว่าเจ้าจะบรรยายว่าอย่างไร พฤติกรรมอันดีงามที่ระบุไว้ในคำว่า ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล ก็คือพฤติกรรม—เป็นพฤติกรรมอันดีงามภายนอกที่ถูกปลูกฝังไว้ในตัวคนคนหนึ่งโดยสภาพแวดล้อมที่พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ และพฤติกรรมดังกล่าวก็ค่อยๆ หล่อหลอมเข้าไปในตัวคนคนหนึ่งโดยมาตรฐานอันสูงส่งและข้อกำหนดอันเข้มงวดที่พวกเขาใช้กำกับพฤติกรรมของตนเอง  ไม่ว่าพฤติกรรมเช่นนี้จะมีอิทธิพลครอบงำผู้คนอย่างไร พฤติกรรมเหล่านี้ก็เป็นเรื่องของพฤติกรรมภายนอกของมนุษย์เท่านั้น และแม้มนุษย์จะยึดถือว่าพฤติกรรมภายนอกดังกล่าวเป็นพฤติกรรมอันดีงาม เป็นพฤติกรรมที่ผู้คนเห็นชอบและพากเพียรที่จะทำให้ได้ แต่กลับเป็นคนละเรื่องกับอุปนิสัยของมนุษย์  ไม่ว่าพฤติกรรมภายนอกของคนเราจะดีงามอย่างไรก็ไม่สามารถปกปิดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้ ไม่ว่าพฤติกรรมภายนอกของคนเราจะดีงามอย่างไรก็ไม่อาจแทนที่ความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้  แม้พฤติกรรมของคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลจะมีระเบียบวินัยมาก ทำให้ผู้อื่นเกิดความเคารพและนับถือไม่น้อยทีเดียว แต่พออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาพรั่งพรูออกมา พฤติกรรมอันดีงามของพวกเขาก็ไร้ประโยชน์  ไม่ว่าพฤติกรรมของพวกเขาจะสูงส่งและเป็นผู้ใหญ่เพียงใด เมื่อสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริงบังเกิดขึ้นกับพวกเขา พฤติกรรมอันดีงามของพวกเขาย่อมไร้ประโยชน์ และไม่ได้กระตุ้นให้พวกเขาเข้าใจความจริง—ในทางกลับกัน เพราะพวกเขาเชื่อในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลคือสิ่งที่เป็นบวก พวกเขาจึงยังยึดถือสิ่งนั้นว่าเป็นความจริง ทั้งยังใช้สิ่งนั้นประเมินและตั้งคำถามกับพระวจนะที่พระเจ้าตรัส  พวกเขาประเมินคำพูดและการกระทำของตนเองตามถ้อยแถลงนั้น แล้วนั่นก็เป็นมาตรฐานที่พวกเขาใช้ประเมินผู้อื่นด้วย  ตอนนี้จงดูคำนิยามที่ว่า “การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร”—คือการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน  ทีนี้ มาตรฐานของพฤติกรรมภายนอกที่กำหนดให้ต้องผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  ไม่เพียงไม่เกี่ยวข้องเท่านั้น—ยังขัดแย้งกันอีกด้วย  ขัดแย้งกันตรงไหน?  (คำกล่าวแบบนี้มีแต่จะทำให้ผู้คนมุ่งเน้นพฤติกรรมอันดีงามภายนอกเท่านั้น แต่กลับเมินเจตนาและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามในตัวเอง  คำกล่าวแบบนี้ทำให้ผู้คนถูกพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ชักพาให้หลงผิด และไม่คิดทบทวนสิ่งที่อยู่ในความคิดอ่านและมโนคติของตน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และถึงกับอิจฉาและบูชาคนอื่นตามพฤติกรรมของผู้คนเหล่านั้นอย่างมืดบอด)  นั่นคือผลที่ตามมาของการยอมรับถ้อยแถลงจากวัฒนธรรมดั้งเดิม  ดังนั้นเมื่อมนุษย์มองเห็นผลงานของพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ เขาย่อมจะให้ค่ากับพฤติกรรมเหล่านั้น  เขาเริ่มด้วยการเชื่อว่าพฤติกรรมเหล่านี้คือสิ่งที่ดีงามและเป็นบวก และเมื่อมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นบวก เขาจึงปฏิบัติต่อพฤติกรรมเหล่านี้ราวกับว่าสิ่งเหล่านี้คือความจริง  จากนั้นเขาก็ใช้เรื่องนี้เป็นหลักเกณฑ์ในการห้ามปรามตนเองและประเมินผู้อื่น เขาใช้เป็นหลักการพื้นฐานของทัศนะที่เขามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย และเมื่อทำเช่นนี้ เขาย่อมใช้เรื่องนี้เป็นหลักการพื้นฐานในการวางตนและการกระทำของเขาด้วย  เมื่อเป็นเช่นนี้ นี่ย่อมขัดแย้งกับความจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  ตอนนี้พวกเราจะวางถ้อยแถลงที่ว่าคนเราต้องผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลนั้นชักพาผู้คนให้หลงผิดเอาไว้ก่อน และจะพูดถึงตัวถ้อยแถลงเอง  “ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล”—เป็นวลีที่มีอารยธรรมและสูงส่ง  ทุกคนชอบถ้อยแถลงนี้ แล้วมนุษย์ก็ใช้ถ้อยแถลงนี้ประเมินคนอื่น และใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าถ้อยแถลงนี้ถูกต้อง ดีงาม และเป็นหลักเกณฑ์อย่างหนึ่ง  แล้วเมื่อคิดเช่นนี้ เขาจึงใช้ถ้อยแถลงนี้เป็นหลักการพื้นฐานในการวางตัวและกระทำการของตนด้วย  ตัวอย่างเช่น มนุษย์ไม่ได้ประเมินความดีงามของใครคนหนึ่งตามพระวจนะของพระเจ้า  เขาประเมินตามอะไร?  “คนคนนี้ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลหรือไม่?  พฤติกรรมภายนอกของพวกเขาผ่านการอบรมบ่มเพาะมาหรือไม่?  พวกเขาทำตามกฎระเบียบดีหรือเปล่า?  พวกเขาเคารพผู้อื่นหรือไม่?  พวกเขามีมารยาทหรือไม่?  พวกเขาใช้ท่าทีที่ถ่อมใจเวลาพูดคุยกับคนอื่นหรือไม่?  พวกเขามีพฤติกรรมอันดีงามเหมือนที่ครั้งหนึ่งข่งหรงยอมสละลูกแพร์ลูกใหญ่กว่าหรือไม่?[ก]  พวกเขาเป็นคนแบบนั้นหรือไม่?”  พวกเขาใช้อะไรเป็นหลักในการตั้งคำถามและมีทัศนะเหล่านี้?  ก่อนอื่น นี่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล  การที่พวกเขาใช้ถ้อยแถลงนี้เป็นหลักเกณฑ์ของตนนั้นถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  ทำไมถึงไม่ถูกต้อง?  เป็นคำตอบที่ง่ายมาก แต่พวกเจ้าก็ตอบไม่ได้  เพราะนั่นไม่ใช่วิธีประเมินของพระเจ้า และพระองค์จะไม่ทรงยอมให้มนุษย์ทำเช่นนี้  ถ้ามนุษย์ทำเช่นนี้ เขาก็ผิด  ถ้าใครบางคนจะประเมินคนหรือเหตุการณ์ในหนทางนี้ ถ้าพวกเขาใช้วิธีนี้เป็นมาตรฐานในการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย พวกเขาก็กำลังละเมิดความจริงและพระวจนะของพระเจ้า  นั่นคือความขัดแย้งระหว่างความจริงกับมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิม  เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วพระเจ้าทรงให้มนุษย์ใช้อะไรเป็นหลักในการประเมินคนอื่น?  พระองค์ประสงค์ให้มนุษย์มองผู้คนและสิ่งต่างๆ ตามสิ่งใด?  (พระวจนะของพระองค์)  พระองค์ทรงให้มนุษย์มองผู้คนตามพระวจนะของพระองค์  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่หมายถึงการประเมินว่าคนคนหนึ่งมีความเป็นมนุษย์ตามพระวจนะของพระองค์หรือไม่  นั่นเป็นส่วนหนึ่ง  นอกเหนือจากนี้ก็เป็นไปตามการที่ว่าคนคนนั้นรักความจริงหรือไม่ พวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่ และพวกเขาสามารถนบนอบความจริงได้หรือไม่  เหล่านี้คือรายละเอียดที่ชัดเจนของเรื่องมิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้นมนุษย์ใช้อะไรประเมินความดีงามของคนอีกคนหนึ่ง?  ด้วยการดูว่าพวกเขาได้รับการอบรมบ่มเพาะและมีระเบียบวินัยอย่างดีหรือไม่ พวกเขาเปาะปากหรือมักจะเขี่ยเลือกชิ้นอาหารเวลากินหรือไม่ เมื่อถึงมื้ออาหาร พวกเขารอให้ผู้อาวุโสของตนนั่งก่อนแล้วตนเองค่อยนั่งหรือไม่  พวกเขาใช้อะไรทำนองนี้มาประเมินคนอื่น  การใช้สิ่งเหล่านี้ก็คือการใช้มาตรฐานทางด้านพฤติกรรมที่ว่าผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลมิใช่หรือ?  (ใช่)  การประเมินแบบนี้ถูกต้องแม่นยำหรือไม่?  ตรงตามความจริงหรือไม่?  (ไม่)  ชัดเจนทีเดียวว่าไม่ตรงตามความจริง  ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วการประเมินแบบนี้ให้ผลเช่นไร?  คนที่ประเมินเชื่อว่าใครก็ตามที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลคือคนดี และถ้าเจ้าให้คนที่ประเมินเช่นนี้สามัคคีธรรมความจริง พวกเขาก็จะปลูกฝังกฎเกณฑ์และหลักคำสอนต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องภายในครอบครัว รวมทั้งพฤติกรรมอันดีงามให้แก่ผู้คนอยู่เสมอ  แล้วในท้ายที่สุด ผลจากการที่พวกเขาปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ในตัวผู้คนก็คือพวกเขาย่อมจะพาให้ผู้คนมีพฤติกรรมอันดีงาม แต่แก่นแท้ที่เสื่อมทรามของผู้คนเหล่านั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย  การทำสิ่งต่างๆ ในลักษณะนี้คือการออกห่างจากความจริงและพระวจนะของพระเจ้าไปมาก  ผู้คนเช่นนี้มีแต่พฤติกรรมอันดีงามไม่กี่อย่างเท่านั้น  ดังนั้นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามในตัวพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงเพราะพฤติกรรมอันดีงามได้หรือไม่?  พวกเขาจะสัมฤทธิ์การนบนอบและการจงรักภักดีต่อพระเจ้าได้หรือไม่?  ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย  ผู้คนเหล่านี้กลายเป็นใครไปแล้ว?  พวกฟาริสีที่มีพฤติกรรมอันดีงามเพียงภายนอกเท่านั้น แต่โดยพื้นฐานแล้วไม่เข้าใจความจริง และไม่สามารถนบนอบพระเจ้า  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  จงดูพวกฟาริสีเถิด—ตามลักษณะภายนอก พวกเขาดูไร้ที่ติไม่ใช่หรือ?  พวกเขารักษาวันสะบาโต และไม่ทำอะไรในวันสะบาโต  พวกเขาพูดจาสุภาพนอบน้อม ยึดถือกฎเกณฑ์และทำตามกฎดีทีเดียว มีการอบรมบ่มเพาะเป็นอย่างดี มีอารยธรรมและมีความรู้มาก  เนื่องจากพวกเขาอำพรางตนเก่งและไม่ยำเกรงพระเจ้าเลย แต่กลับตัดสินพระองค์และกล่าวโทษพระองค์ พวกเขาจึงถูกพระองค์สาปแช่งในท้ายที่สุด  พระเจ้าทรงนิยามพวกเขาเป็นพวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคด เป็นคนทำชั่วทั้งสิ้น  ในทำนองเดียวกันก็เป็นที่แจ้งชัดว่าผู้คนจำพวกที่ใช้พฤติกรรมอันดีงามที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลเป็นหลักเกณฑ์ในการวางตัวและการกระทำของตน ย่อมไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เมื่อพวกเขาใช้กฎเกณฑ์นี้ประเมินผู้อื่น รวมทั้งใช้วางตัวและกระทำการ ก็แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง และเมื่อพวกเขาทำการตัดสินใครบางคนหรืออะไรบางอย่าง มาตรฐานและหลักการพื้นฐานที่ใช้ในการตัดสินนั้นย่อมไม่ตรงตามความจริง แต่ละเมิดความจริง  สิ่งเดียวที่พวกเขามุ่งเน้นก็คือพฤติกรรมของคน วิถีทางของพวกเขา ไม่ใช่อุปนิสัยและแก่นแท้ของคนเหล่านั้น  หลักการพื้นฐานของพวกเขาไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่ความจริง แต่การประเมินของพวกเขากลับเป็นไปตามมาตรฐานสำหรับพฤติกรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ว่าผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลนี้  ผลสรุปของการประเมินเช่นนี้ก็คือสำหรับพวกเขาแล้ว ตราบใดที่คนคนหนึ่งมีพฤติกรรมภายนอกที่ดีงามดังกล่าวโดยผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล คนคนนั้นย่อมเป็นคนดีและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เมื่อผู้คนนำการจัดหมวดหมู่แบบนั้นมาใช้ ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีจุดยืนที่ตรงข้ามกับความจริงและพระวจนะของพระเจ้า  และยิ่งพวกเขานำหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมนี้มาใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ตลอดจนใช้วางตนและปฏิบัติตนมากเท่าใด ผลที่เกิดขึ้นก็ยิ่งพาให้พวกเขาทุกคนออกห่างจากพระวจนะของพระเจ้าและความจริงมากขึ้นเท่านั้น  แม้จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็สุขสำราญกับสิ่งที่ตนทำอยู่และเชื่อว่าตนเองกำลังไล่ตามเสาะหาความจริง  ในการค้ำชูถ้อยแถลงอันดีงามบางอย่างของวัฒนธรรมดั้งเดิม พวกเขาย่อมเชื่อว่าตนกำลังค้ำชูความจริงและหนทางที่แท้จริง  แต่ไม่ว่าพวกเขาจะยึดปฏิบัติตามสิ่งเหล่านั้นเพียงใด ไม่ว่าพวกเขาจะยืนกรานในเรื่องเหล่านั้นเพียงใด ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะไม่ได้สัมผัสหรือมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงเลย และพวกเขาจะไม่นบนอบพระเจ้าแม้แต่น้อย  แล้วนี่ก็ยิ่งไม่สามารถก่อให้เกิดความยำเกรงที่แท้จริงต่อพระเจ้าได้เลย  นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผู้คนค้ำจุนพฤติกรรมอันดีงามทุกอย่างที่เข้าทำนองผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล  ยิ่งมนุษย์มุ่งเน้นพฤติกรรมอันดีงาม เน้นการมีชีวิตตามนั้น เน้นการไล่ตามเสาะหาพฤติกรรมเช่นนั้นมากเท่าใด เขาก็ยิ่งออกห่างจากพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น—และยิ่งมนุษย์ออกห่างจากพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งเข้าใจความจริงได้น้อยลงเท่านั้น  นี่เกิดขึ้นเป็นปกติ  ถ้าพฤติกรรมของบางคนดีขึ้น นั่นหมายความว่าอุปนิสัยของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปใช่ไหม?  พวกเจ้ามีประสบการณ์แบบนี้หรือไม่?  พวกเจ้าเคยเสาะแสวงที่จะเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลโดยไม่รู้ตัวหรือไม่?  (เคย)  นั่นเป็นเพราะทุกคนเข้าใจว่าเมื่อเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล คนเราย่อมดูน่านับถือและสูงส่งทีเดียวในสายตาของผู้อื่น  ผู้อื่นย่อมยกย่องพวกเขา  เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดังนั้นการมีพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ก็ไม่ควรเป็นเรื่องไม่ดี  แต่การมีพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ การแสดงออกอันดีงามเหล่านี้ สามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ได้หรือไม่?  สามารถป้องกันผู้คนไม่ให้ทำเรื่องไม่ดีได้หรือไม่?  ถ้าไม่ได้ พฤติกรรมอันดีงามเช่นนี้มีประโยชน์อะไร?  นี่ก็เพียงให้ดูดีเท่านั้น ไม่มีประโยชน์  ผู้คนที่มีพฤติกรรมอันดีงามดังกล่าวนบนอบพระเจ้าได้หรือไม่?  พวกเขายอมรับและปฏิบัติความจริงได้หรือไม่?  ชัดเจนว่าไม่ได้  พฤติกรรมอันดีงามไม่อาจแทนที่การปฏิบัติความจริงของมนุษย์ได้  นี่เป็นอย่างที่เคยเป็นไปกับพวกฟาริสี  พฤติกรรมของพวกฟาริสีนั้นดีเยี่ยม และพวกเขาเคร่งศรัทธามาก แต่พวกเขาปฏิบัติต่อองค์พระเยซูเจ้าอย่างไร?  คงจะไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะสามารถตรึงกางเขนพระผู้ไถ่มวลมนุษย์ได้ลงคอ  ดังนั้นคนที่มีเพียงพฤติกรรมภายนอกอันดีงาม แต่ยังไม่ได้รับความจริงย่อมตกอยู่ในอันตราย  พวกเขาอาจทำอย่างที่เคยทำมาตลอด โดยต้านทานและทรยศพระเจ้า  ถ้าเจ้ามองเรื่องนี้ไม่ออก เจ้าอาจจะยังคงถูกพฤติกรรมอันดีงามของผู้คนชักพาให้หลงผิดเหมือนเช่นเคย

คำว่าผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลเป็นมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิมของมนุษย์  ไม่ตรงกับความจริงอย่างสิ้นเชิง  ในเมื่อขัดแย้งกับความจริง มนุษย์ควรมีสิ่งใดกันแน่ถ้าจะนำความจริงไปปฏิบัติ?  ความเป็นจริงแบบใดที่เมื่อใช้ชีวิตตามนั้นแล้วจะสอดคล้องกับความจริงและข้อกำหนดของพระเจ้า?  พวกเจ้ารู้หรือไม่?  ด้วยสามัคคีธรรมเช่นนี้ บางคนอาจบอกว่า “พระองค์ตรัสว่าการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลไม่ตรงกับความจริง เป็นเพียงพฤติกรรมอันดีงามภายนอกเท่านั้น  อย่างนั้นพวกเราก็จะไม่เป็นเพียงคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลอีกต่อไป  ชีวิตก็จะยิ่งไร้กังวล ไม่มีข้อจำกัด ไม่ถูกกฎเกณฑ์บังคับ  พวกเราจะสามารถทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ใช้ชีวิตอย่างที่พวกเราต้องการ  แล้วพวกเราจะไร้กังวลกันขนาดไหน!  ในเมื่อพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์ไม่เกี่ยวข้องกับจุดจบของเขา ตอนนี้พวกเราก็มีอิสระมากขึ้น  พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการอบรมบ่มเพาะ กฎเกณฑ์ หรืออะไรแบบนั้น”  นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่จะได้จากเรื่องนี้หรือ?  (ไม่ใช่)  นั่นเป็นความเข้าใจที่บิดเบี้ยว พวกเขาผิดพลาดที่ทำอะไรสุดโต่ง  แล้วจะมีใครทำผิดพลาดเช่นนั้นหรือไม่?  อาจมีบางคนที่บอกว่า “ในเมื่อผู้คนที่ได้รับการอบรมบ่มเพาะอาจจะยังคงต้านทานและทรยศพระเจ้าอยู่ดี ฉันก็จะไม่เป็นคนที่ได้รับการอบรมบ่มเพาะแล้วกัน  ฉันเริ่มรู้สึกดูแคลนผู้คนที่ได้รับการอบรมบ่มเพาะแล้ว  ฉันนึกดูหมิ่นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท สุภาพอ่อนน้อม คนที่เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ คนที่มีไมตรีจิต  ฉันดูแคลนทุกคนที่ฉันเห็นว่าแสดงสิ่งเหล่านี้ออกมา และว่ากล่าวพวกเขาต่อหน้าผู้คนว่า ‘พฤติกรรมของคุณเป็นพฤติกรรมของพวกฟาริสี  นั่นหมายที่จะชักพาคนอื่นให้หลงผิด  นี่ไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริง และยิ่งไม่ใช่การปฏิบัติความจริง  เลิกพยายามที่จะหลอกให้พวกเราหลงกลได้แล้ว—พวกเราจะไม่ถูกคุณหลอกหรือหลงกลของคุณ!’”  พวกเจ้าจะกระทำตัวอย่างนั้นหรือไม่?  (ไม่)  ถูกต้องแล้วที่พวกเจ้าจะไม่ทำเช่นนั้น  ถ้าเจ้าจะทำอะไรที่ไร้สำนึกอย่างนั้น นั่นย่อมหมายความว่าเจ้าเป็นคนที่มีแนวโน้มที่จะบิดเบือนความจริง  คนที่มีความเข้าใจบิดเบี้ยวบางคนขาดความเข้าใจอันถ่องแท้ในความจริง—พวกเขาไม่มีความสามารถที่ในการความเข้าใจ  สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ พวกเขาถึงได้กระทำการอย่างนั้น  ดังนั้นเหตุใดพวกเราจึงสามัคคีธรรมและชำแหละปัญหานี้กัน?  โดยหลักแล้วก็เพื่อให้ผู้คนเข้าใจว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาพฤติกรรมอันดีงามภายนอก และไม่ได้หมายจะทำให้เจ้าเป็นคนประพฤติดี มีระเบียบวินัย และมีการอบรมบ่มเพาะ  แต่หมายจะทำให้เจ้าเข้าใจความจริง ปฏิบัติความจริง และสามารถกระทำการบนพื้นฐานของความจริง ซึ่งหมายความว่าทุกสิ่งที่เจ้าทำนั้นมีหลักการพื้นฐานอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า และทั้งหมดสอดคล้องกับความจริง  พฤติกรรมที่สอดคล้องกับความจริงและมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักการพื้นฐานย่อมไม่เหมือนกับการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล และไม่เหมือนกับมาตรฐานที่วัฒนธรรมดั้งเดิมและหลักศีลธรรมดั้งเดิมกำหนดให้กับมนุษย์  สองอย่างนี้ต่างกัน  พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และพระวจนะก็เป็นหลักเกณฑ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ใช้ประเมินวัดความดีความชั่วของมนุษย์ และความถูกผิดของเขา  ส่วนมาตรฐานของการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลตามวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้นห่างไกลจากมาตรฐานของหลักธรรมความจริงมากนัก  พระเจ้าตรัสบอกเจ้าเมื่อใดและในระหว่างพระราชกิจระยะใดว่าเจ้าต้องเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล เป็นคนที่มีการอบรมบ่มเพาะและสูงส่ง โดยไม่สนใจความใฝ่ต่ำในตัวเจ้า?  พระเจ้าเคยตรัสเรื่องดังกล่าวหรือไม่?  (ไม่เคย)  พระองค์ไม่เคยตรัส  ดังนั้นพระเจ้าทรงมีถ้อยแถลงและพระประสงค์เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ว่าอย่างไร?  จงวางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า  เช่นนั้นแล้วหลักการพื้นฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้าคืออะไร?  หมายถึงความจริงข้อใดที่เจ้าควรใช้เป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า และเจ้าต้องใช้ชีวิตแบบใด เจ้าจึงจะไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริงอยู่?  นี่คือสิ่งที่พึงทำความเข้าใจไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้นมาตรฐานของข้อกำหนดทางด้านพฤติกรรมของมนุษย์ตามพระวจนะของพระเจ้าคืออะไร?  พวกเจ้าหาพระวจนะของพระองค์ที่อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนได้หรือไม่?  (พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เรามีความหวังมากมาย  เราหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถปฏิบัติตนในลักษณะที่ถูกต้องเหมาะสมและประพฤติดี ลุล่วงหน้าที่ของเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ มีความจริงและความเป็นมนุษย์ เป็นผู้คนที่สามารถยอมล้มเลิกทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขามีและแม้แต่ชีวิตของพวกเขาเพื่อพระเจ้า และอื่นๆ อีกมาก  ความหวังทั้งหมดนี้มีต้นตอมาจากความขาดตกบกพร่องของพวกเจ้าและจากความเสื่อมทรามและความไม่เชื่อฟังของพวกเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฝ่าฝืนจะนำทางมนุษย์ไปสู่นรก))  พระวจนะทั้งหมดนั้นคือหลักธรรมและข้อกำหนดสำหรับการวางตัวของมนุษย์  แล้วมีพระวจนะอื่นใดอีกที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจงลงไป?  (มีอีกบทตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “หัวใจของเจ้าต้องอยู่ในสภาวะของความเงียบสงบที่สม่ำเสมอ และเวลาที่สิ่งต่างๆ บังเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องไม่ผลีผลาม มีอคติ ดื้อดึง แตกต่างทางความคิด ไม่จริงใจ หรือจอมปลอม เพื่อที่เจ้าจะสามารถปฏิบัติตนด้วยเหตุผลได้  นี่เป็นการสำแดงถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างถูกต้องเหมาะสม” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เส้นทางของการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทราม))  นั่นก็พอจะเป็นการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจงอยู่บ้าง  เหล่านั้นคือบทบัญญัติและข้อกำหนดสำหรับพฤติกรรมและวิถีภายนอกของมนุษย์ที่เฉพาะเจาะจงลงไป  สามารถมองสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นหลักการพื้นฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้หรือไม่?  เฉพาะเจาะลงพอหรือไม่?  (พอ)  จงอ่านข้อความอีกครั้งเถิด  (“หัวใจของเจ้าต้องอยู่ในสภาวะของความเงียบสงบที่สม่ำเสมอ และเวลาที่สิ่งต่างๆ บังเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องไม่ผลีผลาม มีอคติ ดื้อดึง แตกต่างทางความคิด ไม่จริงใจ หรือจอมปลอม เพื่อที่เจ้าจะสามารถปฏิบัติตนด้วยเหตุผลได้  นี่เป็นการสำแดงถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างถูกต้องเหมาะสม”)  จงจดบันทึกทั้งหมดนั้นเอาไว้ เป็นหลักธรรมที่พวกเจ้าควรค้ำชูเวลากระทำการในภายภาคหน้า  หลักธรรมเหล่านั้นบอกผู้คนว่าในการวางตัวและปฏิบัติตน พวกเขาควรเรียนรู้ที่จะเผชิญสิ่งต่างๆ ด้วยเหตุผล และนอกจากนั้นพวกเขาต้องสามารถแสวงหาหลักธรรมความจริงจากฐานรากของการกระทำตามมโนธรรมและเหตุผล  จงวางตัวและปฏิบัติตนเช่นนี้ แล้วจะมีทั้งหลักธรรมและเส้นทางในการปฏิบัติ

เรื่องที่พวกเราเพิ่งพูดถึงว่า “เวลาที่สิ่งต่างๆ บังเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องไม่ผลีผลาม มีอคติ ดื้อดึง แตกต่างทางความคิด ไม่จริงใจ หรือจอมปลอม เพื่อที่เจ้าจะสามารถปฏิบัติตนด้วยเหตุผลได้”—เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายหรือไม่?  แท้จริงแล้วทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่สัมฤทธิ์ได้ด้วยการฝึกฝนสักระยะหนึ่ง  ถ้ามีบางคนที่ทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้จริงๆ แล้วจะทำเช่นไร?  ตราบใดที่เจ้าทำสิ่งหนึ่งอยู่เพียงอย่างเดียวย่อมจะไม่เป็นอะไร หมายความว่าเมื่อเจ้าเผชิญปัญหาหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น อย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งให้ค้ำชู กล่าวคือ เจ้าต้องวางตัวและกระทำการในลักษณะที่ทำให้ผู้อื่นเจริญใจ  นี่คือประเด็นที่สำคัญที่สุด  หากเจ้าปฏิบัติและยึดถือตามนี้เป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า โดยรวมแล้วเจ้าจะไม่สร้างความเสียหายร้ายแรงแก่ผู้อื่น และจะไม่ทำให้ตนเองเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่  จงวางตัวและกระทำการในลักษณะที่ทำให้ผู้อื่นเจริญใจ—มีรายละเอียดในเรื่องนี้หรือไม่?  (มี)  จงอย่าอิ่มเอมใจเมื่อเห็นผลประโยชน์ของผู้อื่นเสียหาย จงอย่าสร้างความสุขและความชื่นบานของตนบนความทุกข์ของผู้อื่น  นั่นคือความหมายของการทำให้เจริญใจ  วิธีการพื้นฐานที่สุดที่จะเข้าใจการทำให้เจริญใจแบบนี้คืออะไร?  หมายความว่าเมื่อประเมินตามมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์แล้ว ผู้อื่นต้องยอมรับพฤติกรรมของเจ้าได้ พฤติกรรมของเจ้าต้องสอดคล้องกับมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์  นี่ก็เพื่อให้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติสามารถใช้ชีวิตตามนี้ได้ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  สมมุติว่าใครบางคนกำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง แล้วเจ้าก็เข้าไปโดยไม่สนใจมองสภาพแวดล้อมรอบตัว แล้วเริ่มร้องเพลงและเล่นดนตรี  นั่นจะเหมาะสมหรือไม่?  (ไม่)  นั่นย่อมจะเป็นการสร้างความสุขและสนุกสนานบนความทุกข์ของผู้อื่นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าใครบางคนกำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือกำลังสามัคคีธรรมความจริง แล้วเจ้าก็ต้องพูดคุยกับพวกเขาถึงปัญหาของตัวเองให้ได้ นั่นเป็นการเคารพพวกเขาหรือไม่?  นั่นย่อมไม่เป็นที่เจริญใจของพวกเขาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ที่ว่าไม่เป็นที่เจริญใจหมายความว่าอย่างไร?  อย่างน้อยที่สุดนั่นก็หมายความว่าเจ้าไม่เคารพผู้อื่น  เจ้าต้องไม่ขัดจังหวะการพูดหรือการกระทำของผู้อื่น  นั่นคือสิ่งที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติสามารถสัมฤทธิ์ได้ไม่ใช่หรือ?  ถ้าเจ้าไม่อาจสัมฤทธิ์ได้แม้แต่เรื่องนั้น เจ้าก็ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลเลยจริงๆ  คนที่ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลจะมีทางเข้าถึงความจริงได้หรือไม่?  พวกเขาไม่มีทางเข้าถึงได้  การปฏิบัติความจริงเป็นสิ่งที่มีแต่คนที่อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีมโนธรรมและเหตุผลเท่านั้นจึงจะสามารถสัมฤทธิ์ได้ และถ้าเจ้าจะไล่ตามเสาะหาความจริง อย่างน้อยที่สุดการพูดและการกระทำของเจ้าก็ต้องเป็นไปตามมาตรฐานทางมโนธรรมและเหตุผล เจ้าต้องทำให้คนรอบตัวเจ้าเห็นว่าเจ้าเป็นที่ยอมรับ และผ่านเกณฑ์มาตรฐานของทุกคน  นี่คือสิ่งที่พวกเราเพิ่งพูดกันไปว่า อย่างน้อยที่สุดก็ให้การกระทำของเจ้าดูดีพอในสายตาของผู้อื่นและเป็นที่เจริญใจของพวกเขา  การเป็นที่เจริญใจเหมือนกับการเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นหรือไม่?  ไม่เหมือนกันเลย—การเป็นที่เจริญใจคือการที่ต่างฝ่ายต่างเคารพพื้นที่ของผู้อื่น ไม่ก่อให้เกิดการขัดขวาง ขัดจังหวะ หรือรุกล้ำกัน นี่คือการไม่ทำให้พวกเขาเสียหายหรือรู้สึกเป็นทุกข์เพราะพฤติกรรมของเจ้า  นั่นคือความหมายของการเป็นที่เจริญใจ  พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ว่าอย่างไร?  การเป็นที่เจริญใจไม่ใช่เรื่องว่าเจ้าเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นมากเพียงใด นี่เป็นเรื่องของการที่พวกเขาสามารถใช้ผลประโยชน์และสิทธิ์ที่เป็นของพวกเขาอย่างถูกต้อง โดยไม่ถูกความเอาแต่ใจและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเจ้าขัดจังหวะเวลาใช้สิ่งเหล่านั้น และพรากสิ่งเหล่านั้นไปจากพวกเขา  เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ตอนนี้พวกเจ้าก็รู้พระวจนะของพระเจ้าบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระประสงค์ที่ทรงมีต่อการวางตัวและการกระทำของมนุษย์บ้างแล้ว แต่เราก็ยังจะกล่าวแก่พวกเจ้าอยู่ดีว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การวางตัวและการกระทำของเจ้าต้องเป็นที่เจริญใจของผู้อื่น  นั่นคือหลักธรรมของการกระทำ  เจ้าเข้าใจหรือยังว่าการเป็นที่เจริญใจหมายความว่าอย่างไร?  (เข้าใจแล้ว)  มีบางคนที่ไม่คำนึงเลยว่าคำพูดและการกระทำของตนทำให้ผู้อื่นเจริญใจหรือไม่ แต่ก็ยังคงกล่าวอ้างว่าตนนั้นเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล  นั่นเป็นการหลอกลวงไม่ใช่หรือ?  การวางตัวและการกระทำอันเป็นที่เจริญใจของผู้อื่น—มีบทเรียนให้เรียนรู้จากการทำเช่นนั้นมิใช่หรือ?  นี่อาจเป็นการแสดงออกทางพฤติกรรม แต่ลุล่วงได้ง่ายหรือไม่?  ถ้าบางคนเข้าใจความจริงสักหน่อย พวกเขาจะรู้วิธีปฏิบัติตนตามหลักธรรม วิธีปฏิบัติตนในลักษณะที่พาให้ผู้อื่นเจริญใจ และวิธีปฏิบัติตนในลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น  ถ้าบางคนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาก็จะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร พวกเขาทำได้เพียงปฏิบัติตนโดยพึ่งพามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเท่านั้น  บางคนไม่เคยแสวงหาความจริงในชีวิตประจำวันของตนไม่ว่าอะไรจะบังเกิดแก่พวกเขาก็ตาม  พวกเขาเพียงแต่ปฏิบัติตนตามความชอบส่วนตน โดยไม่สนใจว่านั่นทำให้ผู้อื่นรู้สึกอย่างไร  การกระทำดังกล่าวมีหลักธรรมหรือไม่?  พวกเจ้าควรมองเห็นได้ว่ามีหรือไม่มีมิใช่หรือ?  พวกเจ้าทุกคนมักจะเข้าชุมนุมและอ่านพระวจนะของพระเจ้า ถ้าพวกเจ้าเข้าใจความจริงได้บ้าง พวกเจ้าก็จะสามารถปฏิบัติและจัดการเรื่องบางอย่างตามหลักธรรมความจริงได้  การปฏิบัติเช่นนั้นทำให้เจ้ารู้สึกอย่างไร?  แล้วทำให้ผู้อื่นรู้สึกอย่างไร?  ถ้าเจ้าพยายามอย่างหนักที่จะจับความรู้สึกนั้นให้ได้ เจ้าก็จะรู้ว่าการปฏิบัติแบบไหนที่ทำให้ผู้อื่นเจริญใจ  ปกติแล้วเมื่อบางสิ่งบังเกิดแก่พวกเจ้า ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม พวกเจ้าจะไม่ใช้ความคิดพิจารณาประเด็นปัญหาที่แท้จริงว่าควรกระทำการอย่างไรจึงจะเข้าข่ายความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือเข้าข่ายของการปฏิบัติความจริง  ดังนั้นเมื่อบางสิ่งบังเกิดแก่เจ้า ถ้ามีคนถามพวกเจ้าว่าการปฏิบัติหรือการกระทำแบบไหนที่จะทำให้ผู้อื่นเจริญใจได้ พวกเจ้าย่อมจะรู้สึกว่าตอบยาก ราวกับไม่มีเส้นทางที่ชัดเจน  ทุกสิ่งที่เรานำมาสามัคคีธรรมในการชุมนุมทั้งหลายล้วนเป็นปัญหาในชีวิตจริงเหล่านี้ทั้งสิ้น แต่พอพวกเจ้าเผชิญปัญหาเหล่านี้ พวกเจ้ากลับไม่เคยตามทันได้เลยและความรู้สึกนึกคิดของพวกเจ้าก็ว่างเปล่าเสมอ  นั่นไม่สอดคล้องกันไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าได้อะไรจากการเชื่อในพระเจ้าเล่า?  คำสอนบางอย่าง คำขวัญบางอย่าง  พวกเจ้าช่างอ่อนด้อยและน่าสมเพชนัก!

เรื่องหนึ่งที่พวกเราได้เสวนากันว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงาม—ซึ่งก็คือการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล—มีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเฉพาะของมนุษย์บางอย่าง รวมถึงวิถีความเข้าใจดั้งเดิมบางอย่างที่มนุษย์มีต่อพฤติกรรมนี้  สรุปว่าเมื่อมองดูพฤติการณ์นี้ในปัจจุบัน พวกเราย่อมมองเห็นว่านั่นไม่เกี่ยวข้องกับความจริงหรือความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงเลย  นี่เป็นเพราะพฤติการณ์ดังกล่าวห่างไกลจากความจริงมากและไม่อาจนำมากล่าวร่วมกันได้ นอกเหนือจากนั้น โดยพื้นฐานแล้วพฤติกรรมดังกล่าวไม่สอดคล้องกับมาตรฐานที่พระเจ้ากำหนดไว้เกี่ยวกับทัศนะที่มนุษย์ควรมีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตัวและการกระทำของมนุษย์ ซึ่งไม่เข้ากับมาตรฐานทั้งหลายและไม่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างสิ้นเชิง  นี่เป็นเพียงพฤติกรรมของมนุษย์เท่านั้น  ไม่ว่ามนุษย์จะแสดงพฤติกรรมดังกล่าวออกมาได้ดีเพียงใด และไม่ว่าเขาจะฝึกฝนพฤติกรรมดังกล่าวได้ดีหรือไม่ นั่นก็เป็นเพียงพฤติกรรมในรูปแบบหนึ่งเท่านั้น  ไม่ใช่คุณสมบัติของความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างแท้จริงเลยด้วยซ้ำ  ถ้อยแถลงที่ว่าคนเราต้องผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล เป็นเพียงหนทางที่จะทำให้พฤติกรรมภายนอกของมนุษย์ดูสมบูรณ์แบบเท่านั้น  มนุษย์เพียรพยายามอย่างหนักเพื่อเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลก็เพื่อห่อหุ้มให้ตัวเองน่ามองและทำตัวเองให้ดูดี เพียรพยายามอย่างหนักที่จะเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลเพื่อให้คนอื่นเคารพและนับถือ ยกฐานะและคุณค่าของตนในกลุ่มที่ตนอยู่  แต่ข้อเท็จจริงก็คือพฤติกรรมเช่นนี้เทียบไม่ได้กับระดับศีลธรรม ความซื่อตรง และศักดิ์ศรีที่บุคคลที่แท้จริงคนหนึ่งควรมี  การผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลเป็นถ้อยแถลงที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิม และเป็นชุดของพฤติการณ์ซึ่งมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามกำหนดให้กับตนเองในฐานะสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าควรค้ำชู  พฤติการณ์เหล่านี้หมายที่จะเสริมสร้างสถานะของคนคนหนึ่งในกลุ่มของตนและเพิ่มคุณค่าให้ตนเอง เพื่อที่พวกเขาจะได้รับความนับถือผู้อื่นและจะได้เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่มีแนวโน้มที่จะถูกคนในกลุ่มดูหมิ่นหรือรังแก  พฤติกรรมภายนอกเช่นนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับหลักศีลธรรมหรือคุณสมบัติของความเป็นมนุษย์ แต่กลับเป็นสิ่งที่มนุษย์ยกย่องเสียสูงส่งและให้น้ำหนักมากเหลือเกิน  เจ้าจงดูเอาเองเถิดว่าต้องมีความตลบตะแลงในนั้นมากเพียงใด!  เพราะฉะนั้น ถ้าการไล่ตามเสาะหาของเจ้าตอนนี้คือการเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล และเจ้ากำลังควบคุมประพฤติกรรมของตน เพียรพยายามอย่างหนักที่จะไล่ตามไขว่คว้าและปฏิบัติให้ถึงจุดหมายที่ได้ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล เราก็ขอให้เจ้าหยุดทำเช่นนั้นทันที  พฤติกรรมและวิธีการเช่นนั้นได้แต่ทำให้เจ้าอำพรางตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นคนหน้าซื่อใจคดยิ่งขึ้นทุกทีเท่านั้น แล้วเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จะออกห่างจากการเป็นคนซื่อสัตย์ การเป็นคนเปิดเผยและเรียบง่ายมากยิ่งขึ้น  ยิ่งเจ้าเพียรพยายามที่จะเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล เจ้าก็จะยิ่งอำพรางตัวเอง และยิ่งเจ้าอำพรางตัวเอง—การอำพรางของเจ้าก็ยิ่งหนักข้อขึ้น คนอื่นก็จะยิ่งประเมินหรือเข้าใจเจ้าได้ยากขึ้น แล้วเจ้าก็จะยิ่งปิดบังอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้ลึกขึ้นด้วย  การทำเช่นนั้นจะพาให้สัมฤทธิ์การยอมรับความจริงและความรอดยากมาก  ดังนั้น เมื่อพิจารณาประเด็นเหล่านี้ ทางแห่งการไล่ตามไขว่คว้าการเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลเหมือนกับทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  เป็นการไล่ตามเสาะหาที่ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เบื้องหลังพฤติกรรมที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล นอกเหนือจากเนื้อแท้ที่เป็นลบและผลที่เป็นลบของมันแล้ว ยังมีการตลบตะแลงกับผู้อื่นและตัวเองมากขึ้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  คนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลกลับปิดบังความลับที่บอกใครไม่ได้เอาไว้เบื้องหลังมากมาย และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังปิดบังความคิดอ่านที่ผิดพลาด มโนคติอันหลงผิด ทัศนะ ท่าที และแนวคิดสารพัดรูปแบบที่คนอื่นไม่รู้เอาไว้ ซึ่งล้วนเลวทราม ร้ายกาจ ชั่ว และน่ารังเกียจในสายตาของผู้อื่น  เบื้องหลังพฤติกรรมอันดีงามของคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลนี้มีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามยิ่งกว่านั้นของพวกเขาซ่อนอยู่  คนที่อยู่ภายใต้พฤติการณ์เช่นนั้นย่อมไม่มีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และไม่มีความมั่นใจที่จะยอมรับว่าตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  พวกเขายิ่งไม่มีความกล้าและความมั่นใจที่จะเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน เปิดเผยความรู้อันไร้สาระของตน ความคิด เจตนา และเป้าหมายชั่วของตน—หรือเป็นไปได้ว่า แม้แต่ความคิดอ่านที่มีพิษสงและมุ่งร้ายของตน  เบื้องหลังพวกเขามีสิ่งต่างๆ ซุกซ่อนอยู่มากมาย และไม่มีใครสามารถมองเห็นสิ่งเหล่านั้นได้ สิ่งที่ผู้คนมองเห็นอยู่เบื้องหน้าตนมีเพียงผู้ที่เรียกกันว่า “คนดี” ซึ่งมีพฤติกรรมอันดีงามที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล  นี่คือความตลบตะแลงอย่างหนึ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  พฤติกรรม การกระทำ การไล่ตามเสาะหา และแก่นแท้ทั้งปวงของคนคนนั้นคือการหลอกลวงทั้งสิ้น  พวกเขากำลังหลอกลวงคนอื่น และพวกเขาก็กำลังหลอกลวงตัวเอง  จุดจบของคนแบบนี้จะเป็นเช่นไร?  เพื่อที่จะเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล พวกเขาจึงละทิ้งพระเจ้า หันหลังให้หนทางที่แท้จริง และถูกพระเจ้ารังเกียจเดียดฉันท์  มนุษย์ซุกซ่อนกลวิธีและพฤติกรรมของการอำพรางและหลอกลวงเอาไว้ทุกซอกมุมที่แฝงเร้นอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมอันดีงามที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลนั้น และเมื่อเขาทำเช่นนั้น เขาย่อมปกปิดอุปนิสัยอันโอหัง เลวร้าย รังเกียจความจริง โหดร้าย และดื้อแพ่งเอาไว้ด้วย  ดังนั้น ยิ่งคนเราผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล พวกเขาก็ยิ่งตลบตะแลง และยิ่งคนเราเพียรพยายามที่จะเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งรักความจริงน้อยลงเท่านั้น และยิ่งเป็นคนที่รังเกียจความจริงและพระวจนะของพระเจ้า  จงบอกเราเถิดว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่?  (เป็น)  ในตอนนี้พวกเราจะสรุปสามัคคีธรรมเรื่องพฤติกรรมอันดีงามที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลเอาไว้ตรงนี้

เมื่อครู่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมถึงถ้อยแถลงทางด้านพฤติกรรมอันดีงามในวัฒนธรรมดั้งเดิมคือการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล  พวกเราจะไม่สามัคคีธรรมถ้อยแถลงที่เหลือทีละข้อ  โดยรวมแล้ว ถ้อยแถลงทั้งหมดที่เกี่ยวกับพฤติกรรมอันดีงามเป็นเพียงวิธีการตกแต่งให้พฤติกรรมและภาพลักษณ์ภายนอกของมนุษย์ดูสมบูรณ์แบบ  “ตกแต่งให้ดูสมบูรณ์แบบ” เป็นการใช้ถ้อยคำที่น่าฟัง กล่าวให้ชัดเจนขึ้นก็คือ แท้จริงแล้วนี่เป็นการอำพรางรูปแบบหนึ่ง เป็นวิธีใช้ฉากหน้าเทียมเท็จหลอกให้คนอื่นรู้สึกดีกับตนเอง หลอกให้พวกเขาประเมินตนเองในทางที่เป็นบวก หลอกให้พวกเขาเคารพตนเอง ในขณะที่ด้านมืดในหัวใจของตน อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และใบหน้าที่แท้จริงของตนล้วนถูกซ่อนเร้นและห่อหุ้มไว้อย่างงดงาม  พวกเราอาจกล่าวถึงเรื่องนี้ได้อีกอย่างว่า สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้รัศมีของพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้คือโฉมหน้าที่แท้จริงอันเสื่อมทรามของสมาชิกแต่ละคนของความเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม  สิ่งที่ซ่อนอยู่ก็คือสมาชิกแต่ละคนของความเป็นมนุษย์ที่ชั่ว มีอุปนิสัยอันโอหัง อุปนิสัยที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง อุปนิสัยที่โหดร้าย และอุปนิสัยที่รังเกียจความจริง  ไม่ว่าพฤติกรรมภายนอกของคนคนหนึ่งจะผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล หรืออ่อนโยนและมีมารยาท และไม่ว่าพวกเขามีไมตรีจิต คุยด้วยง่าย เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ หรืออะไรทำนองนั้น—ไม่ว่าพวกเขาแสดงให้เห็นพฤติกรรมแบบใด ก็เป็นเพียงพฤติกรรมภายนอกที่คนอื่นมองเห็นได้เท่านั้น  นั่นไม่สามารถนำพวกเขาให้รู้จักแก่นแท้ธรรมชาติของตนเองผ่านทางพฤติกรรมอันดีงามได้  แม้มนุษย์จะมองพฤติกรรมภายนอกที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท คุยด้วยง่าย และมีไมตรีจิตว่าดี ถึงขั้นที่โลกมนุษย์ทั้งโลกรู้สึกดีกับสิ่งเหล่านี้ แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์มีอยู่จริงภายใต้เปลือกนอกที่เป็นพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้  การที่มนุษย์รังเกียจความจริง การที่เขาต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า การที่แก่นแท้ธรรมชาติของเขารังเกียจพระวจนะที่พระผู้สร้างตรัสและต้านทานพระผู้สร้าง—สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง  ไม่มีอะไรเทียมเท็จในนั้นเลย  ไม่ว่าใครบางคนเสแสร้งเก่งเพียงใด ไม่ว่าพฤติกรรมของพวกเขาจะดูดีหรือดูเหมาะควรเพียงใด พวกเขาจะนำเสนอตัวเองให้ดูดีหรืองดงามขนาดไหน หรือพวกเขาจะหลอกลวงอย่างไร สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือคนที่เสื่อมทรามทุกคนเต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานทั้งสิ้น  ภายใต้หน้ากากที่เป็นพฤติกรรมภายนอกเหล่านี้ พวกเขายังคงต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า ต้านทานและกบฏต่อพระผู้สร้าง  แน่นอนว่าเมื่อมีพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้เป็นสิ่งปกคลุมและเปลือกนอก มวลมนุษย์ย่อมพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาทุกวัน ทุกชั่วโมงและทุกขณะ ทุกนาทีและทุกวินาที และในทุกเรื่องราว แล้วในระหว่างนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและบาป  นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ไร้ข้อโต้แย้ง  แม้มนุษย์จะมีพฤติกรรมที่ดูดี มีวาจาชวนฟัง และเปลือกนอกอันเทียมเท็จ แต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาก็ไม่ได้ลดน้อยลงแม้แต่น้อย และไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะพฤติกรรมภายนอกเหล่านั้นของตนเลย  ตรงกันข้าม เพราะเขามีพฤติกรรมภายนอกอันดีงามเหล่านี้เป็นเปลือก อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาจึงพรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่อง และเขาก็ไม่เคยหยุดก้าวเข้าไปหาการทำชั่วและต้านทานพระเจ้า—และแน่นอนว่าเมื่อถูกอุปนิสัยอันโหดร้ายและเลวร้ายของตนกำกับเอาไว้ ความทะเยอทะยาน ความอยากได้อยากมี และข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อของเขาจึงขยายตัวและเติบโตตลอดเวลา  จงบอกเราเถิดว่าคนที่สุภาพอ่อนน้อม มีไมตรีจิต คุยด้วยง่าย มีภาพลักษณ์ในการใช้ชีวิตและมีหลักในการวางตัวและกระทำการที่เป็นบวก สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงนั้นอยู่ที่ไหน?  คนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดี มีเหตุผล อ่อนโยน มีมารยาท คนที่รักความจริง คนที่เต็มใจที่จะค้นหาทิศทางและจุดหมายในชีวิตของตนในพระวจนะของพระเจ้า คนที่ทำคุณูปการต่อการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนั้นอยู่ที่ไหน?  เจ้าสามารถหาคนแบบนั้นให้พบสักคนหรือไม่?  (ไม่)  ข้อเท็จจริงก็คือในหมู่มวลมนุษย์ คนที่ยิ่งมีความรู้ ยิ่งมีการศึกษา และยิ่งมีแนวคิด มีสถานะ และมีหน้ามีตามากเท่าใด—แม้พวกเขาอาจได้ชื่อว่าเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดี มีเหตุผล มีไมตรีจิต และคุยด้วยง่ายก็ตาม—คำกล่าวอ้างที่พวกเขาเขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรก็จะยิ่งชักพาผู้คนให้หลงผิดมากขึ้นเท่านั้น พวกเขาจะยิ่งทำชั่ว และการต้านทานพระเจ้าของพวกเขาก็จะยิ่งร้ายแรง  คนที่ยิ่งมีหน้ามีตาและมีสถานะใหญ่โตก็จะยิ่งชักพาผู้อื่นให้หลงผิดมากขึ้น และยิ่งต้านทานพระเจ้าอย่างรุนแรงขึ้นด้วย  ท่ามกลางความเป็นมนุษย์ จงมองดูผู้คนที่มีชื่อเสียง ผู้ยิ่งใหญ่ นักคิด นักการศึกษา นักเขียน นักปฏิวัติ รัฐบุรุษ หรือผู้ทรงคุณวุฒิที่โดดเด่นในสาขาหนึ่งๆ—ในหมู่พวกเขามีใครบ้างที่ไม่ได้ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล คุยด้วยง่าย และมีไมตรีจิต?  พวกเขาคนไหนบ้างที่ไม่มีพฤติกรรมภายนอกในลักษณะที่ทำให้ได้รับการสรรเสริญจากผู้อื่นและควรค่าที่ผู้อื่นจะให้ความเคารพ?  แต่ตามข้อเท็จจริงแล้ว พวกเขาได้สร้างคุณูปการอะไรไว้ให้แก่มวลมนุษย์?  พวกเขาได้นำมวลมนุษย์ไปบนเส้นทางที่ถูกต้องหรือชักนำมวลมนุษย์ให้หลงทาง?  (หลงทาง)  พวกเขาได้นำมวลมนุษย์ไปอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง หรือนำมวลมนุษย์ไปอยู่ใต้ฝ่าเท้าของซาตาน?  (ใต้ฝ่าเท้าของซาตาน)  พวกเขายอมให้มวลมนุษย์มีส่วนร่วมในอธิปไตย การจัดเตรียม และการชี้นำของพระผู้สร้าง หรือพวกเขาปล่อยให้มวลมนุษย์เผชิญหน้าการเหยียบย่ำ ความอำมหิต และการทารุณของซาตาน?  ในบรรดาวีรบุรุษที่สำคัญทั้งหลาย ผู้คนที่มีชื่อเสียง ยิ่งใหญ่ ได้รับการเชิดชู โดดเด่น และมีอำนาจในประวัติศาสตร์ อำนาจและสถานะของใครบ้างที่ไม่ได้มาจากการสังหารผู้คนเป็นล้านๆ คน?  ความมีหน้ามีตาของใครบ้างที่ไม่ได้มาจากการฉ้อฉล การชักพาให้หลงผิด และการล่อใจมวลมนุษย์?  ดูภายนอก พวกเขาเหมือนคุยด้วยง่ายเวลาพบปะผู้อื่นในแต่ละวัน ทำตัวค่อนข้างตามสบาย วางตัวเท่าเทียมกับผู้อื่น และพูดจาอย่างมีไมตรีจิต—แต่สิ่งที่พวกเขาทำอยู่หลังฉากนั้นต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง  บางคนวางแผนดักจับผู้อื่น บ้างก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมคอยรังควานและทำร้ายผู้อื่น ส่วนคนอื่นๆ ก็มองหาโอกาสแก้แค้น  รัฐบุรุษส่วนมากโหดร้ายและเป็นภัยต่อผู้คนจนนับไม่ถ้วน  พวกเขาได้สถานะและอิทธิพลของตนมาโดยที่เท้าของพวกเขายืนอย่างมั่นคงบนหัวของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนและบนกองเลือดของคนเหล่านั้น แต่ในสถานที่สาธารณะ สิ่งที่ผู้คนเห็นคือท่าทางที่เข้าถึงได้ง่ายและพฤติกรรมที่มีไมตรีจิตของพวกเขา  สิ่งที่ผู้คนมองเห็นคือการทำตัวเป็นคนที่อ่อนโยนและมีมารยาท ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดี มีเหตุผล และถ่อมตน  มองภายนอก พวกเขาสุภาพอ่อนน้อม อ่อนโยน และมีมารยาท แต่เบื้องหลังนั้น พวกเขาสังหารผู้คนนับไม่ถ้วน ฉกฉวยสินทรัพย์ของผู้คนนับไม่ถ้วน ครอบงำและปั่นหัวผู้คนนับไม่ถ้วนเหมือนเป็นของเล่น  พวกเขาพูดจาเพราะพริ้งทุกคำ ทำเรื่องชั่วทุกอย่าง และเทศนาอยู่บนเวทีอย่างไร้ยางอายและไม่รู้จักอดสู สอนผู้อื่นว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นคนที่คุยด้วยง่าย ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล ทำอย่างไรจึงจะเป็นคนที่สร้างคุณูปการให้แก่ประเทศและมวลมนุษย์ ทำอย่างไรจึงจะรับใช้ประชาชนและเป็นผู้รับใช้สังคม ทำอย่างไรจึงจะอุทิศตนให้ชาติได้  นั่นไม่ใช่ความไร้ยางอายหรอกหรือ?  พวกเขาล้วนเป็นเศษมนุษย์ที่เห่อเหิมไม่รู้จักพอ!  สรุปแล้วการเป็นคนที่มีพฤติกรรมที่ดีงามและปฏิบัติตามมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิมในเรื่องศีลธรรมนั้นไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง  ตรงกันข้าม มีความลับอันดำมืดและพูดไม่ได้มากมายซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังการไล่ตามไขว่คว้าพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้  ไม่ว่ามนุษย์จะไล่ตามไขว่คว้าพฤติกรรมอันดีงามแบบใด เป้าหมายเบื้องหลังการทำเช่นนั้นก็เพียงเพื่อให้ได้รับความชื่นชอบและความเคารพจากผู้คนให้มากขึ้น เพิ่มสถานะให้ตนเอง และทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขาน่าเคารพ ควรค่าแก่การไว้เนื้อเชื่อใจและหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย  ถ้าเจ้าไล่ตามไขว่คว้าการเป็นคนที่ประพฤติตัวดีเช่นนั้น ในแง่คุณสมบัติแล้ว นี่ก็เหมือนกับคนที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ทั้งหลายไม่ใช่หรือ?  ถ้าเจ้าเป็นเพียงคนที่ประพฤติตัวดีเท่านั้น แต่ไม่รักพระวจนะของพระเจ้าและไม่ยอมรับความจริง เช่นนั้นแล้วในด้านคุณสมบัติ เจ้าก็เหมือนกับพวกเขา  แล้วผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร?  สิ่งที่เจ้าปล่อยให้หลุดมือไปก็คือความจริง สิ่งที่เจ้าสูญเสียไปคือโอกาสที่จะได้รับความรอด  นี่คือพฤติกรรมที่โง่เขลาเป็นที่สุด—เป็นตัวเลือกและการไล่ตามไขว่คว้าของคนโง่  พวกเจ้าปรารถนาที่จะเป็นคนยิ่งใหญ่ มีชื่อเสียง โดดเด่นกว่าคนทั่วไปเหมือนคนบนเวทีที่เจ้าเลื่อมใสมานานเหลือเกินบ้างหรือไม่?  เป็นคนที่มีไมตรีจิตและคุยด้วยง่ายหรือไม่?  เป็นคนที่สุภาพอ่อนน้อม อ่อนโยนและมีมารยาท ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลหรือไม่?  เป็นคนที่ดูภายนอกแล้วเป็นกันเองและน่ารักหรือไม่?  พวกเจ้าเคยติดตามและบูชาคนแบบนี้มาก่อนหรือไม่?  (เคย)  ถ้าตอนนี้เจ้ายังคงติดตามผู้คนแบบนี้ ยังคงหลงใหลได้ปลื้มคนแบบนี้ เราขอบอกเจ้าว่าเจ้าอยู่ไม่ไกลจากความตายแล้ว เพราะผู้คนที่เจ้าหลงใหลได้ปลื้มนั้นเป็นคนชั่วที่แสร้งเป็นคนดี  พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยคนชั่วให้รอด  หากเจ้าหลงใหลได้ปลื้มคนชั่วและไม่ยอมรับความจริง สุดท้ายเจ้าก็จะถูกทำลายล้างไปด้วย

แก่นแท้เบื้องหลังพฤติกรรมอันดีงาม เช่น การคุยด้วยง่ายและมีไมตรีจิต สามารถอธิบายได้ด้วยคำคำเดียวคือเสแสร้ง  พฤติกรรมอันดีงามเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากพระวจนะของพระเจ้า และไม่ได้เป็นผลจากการปฏิบัติความจริงหรือกระทำการตามหลักธรรม  นี่คือผลผลิตของสิ่งใด?  นี่มาจากเหตุจูงใจและอุบายของผู้คน มาจากการที่พวกเขาเสแสร้ง เล่นละครตบตาและหลอกลวง  เมื่อผู้คนยึดติดพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ จุดมุ่งหมายย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้สิ่งที่พวกเขาต้องการ หากไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาก็จะไม่มีวันทำกับตัวเองอย่างไม่เป็นธรรมในหนทางนี้ และจะไม่มีวันใช้ชีวิตตรงข้ามกับความอยากได้อยากมีของตนเอง  การใช้ชีวิตตรงกันข้ามกับความอยากได้อยากมีของตนเองหมายความว่ากระไร?  หมายความว่าธรรมชาติที่แท้จริงของพวกเขาไม่ได้ประพฤติดี ไร้เล่ห์เหลี่ยม อ่อนโยน ใจดี และมีคุณธรรมตามที่ผู้คนจินตนาการ  พวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตตามมโนธรรมและสำนึก แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับมีชีวิตอยู่เพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายหรือข้อเรียกร้องบางอย่าง  ธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์เป็นเช่นไร?  เลอะเลือนและไม่รู้ความ  หากไม่มีธรรมบัญญัติและพระบัญญัติที่พระเจ้าประทานมา ผู้คนจะไม่รู้เลยว่าบาปคือสิ่งใด  มวลมนุษย์เคยเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  ต่อเมื่อพระเจ้าทรงกำหนดธรรมบัญญัติและพระบัญญัติเท่านั้น ผู้คนจึงมีแนวคิดเกี่ยวกับบาปอยู่บ้าง  แต่พวกเขาก็ไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับความถูกต้องและความผิด หรือเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นบวกและเป็นลบอยู่ดี  และในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะสามารถตระหนักรู้หลักธรรมที่ถูกต้องของการพูดและการกระทำได้อย่างไร?  พวกเขาจะรู้ได้หรือไม่ว่าการกระทำในหนทางใด พฤติกรรมดีแบบใด ควรมีอยู่ในความเป็นมนุษย์ที่ปกติ?  พวกเขาจะรู้ได้หรือไม่ว่าสิ่งใดก่อกำเนิดพฤติกรรมที่ดีงามอย่างแท้จริง พวกเขาควรทำตามหนทางใดเพื่อใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์?  พวกเขาไม่สามารถรู้ได้  เพราะธรรมชาติเยี่ยงซาตานของผู้คน เพราะสัญชาตญาณของพวกเขา พวกเขาจึงทำได้เพียงเสแสร้งและเล่นละครเพื่อให้มีชีวิตที่ดีและมีศักดิ์ศรี—ซึ่งก่อให้เกิดการหลอกลวงต่างๆ อาทิ เป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท สุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ มีไมตรีจิตและคุยด้วยง่าย เล่ห์เหลี่ยมและกลวิธีหลอกลวงเหล่านี้จึงอุบัติขึ้นด้วยประการฉะนี้  และทันทีที่สิ่งเหล่านี้อุบัติขึ้น ผู้คนก็เลือกที่จะยึดติดกับการหลอกลวงเหล่านี้สักอย่างหรือหลายอย่าง  บางคนเลือกที่จะเป็นผู้มีไมตรีจิตและคุยด้วยง่าย บางคนเลือกที่จะเป็นผู้ที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท บางคนเลือกที่จะสุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ บางคนเลือกที่จะเป็นสิ่งทั้งหมดนี้  และถึงกระนั้นเราก็นิยามผู้คนที่มีพฤติกรรมอันดีงามเช่นนี้ด้วยคำคำเดียว  คำนั้นคืออะไร?  “กรวดมน”  กรวดมนคืออะไร?  คือกรวดที่เกลี้ยงเกลาในแม่น้ำซึ่งถูกสายน้ำกัดเซาะและขัดเกลาขอบที่แหลมคมมาเป็นเวลานานหลายปี  และแม้การเหยียบกรวดเหล่านั้นอาจไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ แต่หากไม่ระวัง ผู้คนก็สามารถลื่นล้มได้  กรวดเหล่านี้สวยงามมากทั้งรูปลักษณ์และรูปทรง แต่ครั้นเจ้านำกลับบ้าน กรวดหินเหล่านี้กลับไร้ประโยชน์ยิ่ง  เจ้าไม่อาจโยนทิ้งได้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บเอาไว้เช่นกัน—ซึ่งก็คือสิ่งที่ “กรวดมน” เป็น  สำหรับเราแล้ว ผู้คนที่มีพฤติกรรมดีงามอย่างเห็นได้ชัดเหล่านี้ล้วนเฉื่อยชา  พวกเขาเสแสร้งให้เห็นภายนอกว่าดี แต่กลับไม่ยอมรับความจริงเลย พวกเขาพูดสิ่งที่เสนาะหู แต่ไม่ทำสิ่งใดที่เป็นจริง  พวกเขาเป็นได้เพียงกรวดมนเท่านั้น  ถ้าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงและหลักธรรมกับพวกเขา พวกเขาก็จะคุยเรื่องการทำตัวอ่อนโยน มีมารยาท และสุภาพอ่อนน้อมกับเจ้า  ถ้าเจ้าพูดกับพวกเขาเรื่องการใช้วิจารณญาณแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาก็จะพูดถึงการเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ และการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลกับเจ้า  ถ้าเจ้าบอกพวกเขาว่าการวางตัวของคนเราต้องมีหลักธรรม คนเราต้องแสวงหาหลักธรรมในหน้าที่ของตนและไม่กระทำการตามใจชอบ ท่าทีของพวกเขาจะเป็นเช่นไร?  พวกเขาก็จะกล่าวว่า “การปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริงนั้นเป็นคนละเรื่อง  ฉันแค่อยากเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล และอยากให้คนอื่นเห็นชอบกับการกระทำของฉัน  ตราบใดที่ฉันเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ และได้รับความเห็นชอบจากคนอื่น นั่นก็พอแล้ว”  พวกเขาใส่ใจแต่พฤติกรรมอันดีงาม ไม่เน้นความจริง  โดยทั่วไปแล้วพวกเขาสามารถให้ความเคารพผู้เฒ่า ผู้อาวุโสของตน ผู้ที่มีคุณวุฒิ ผู้ที่มีจุดยืนทางด้านศีลธรรมอันดีและมีหน้ามีตาในกลุ่มของตน ขณะเดียวกันก็เอาใจใส่ดูแลชุมชนที่เป็นผู้เยาว์และเปราะบางอย่างดีเยี่ยมและเปี่ยมรักอีกด้วย  พวกเขาค้ำชูกฎเกณฑ์ของสังคมที่ให้เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์อย่างเคร่งครัดเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนนั้นสูงส่ง  แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือเมื่อผลประโยชน์ของพวกเขาขัดแย้งกับกฎเกณฑ์นั้น พวกเขาก็จะวางกฎเกณฑ์นั้นลงและมุ่งไปข้างหน้าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนโดยไม่ “ทนทุกข์” กับการห้ามปรามของใคร  แม้พฤติกรรมอันดีงามของพวกเขาจะได้รับความเห็นชอบจากทุกคนที่พวกเขาพบเจอ รู้จัก หรือคุ้นเคยด้วย แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือแม้ในยามที่พวกเขามีพฤติกรรมอันดีงามที่ได้รับการสรรเสริญจากผู้อื่น พวกเขาก็ไม่ได้สูญเสียผลประโยชน์ของตนเองเลยแม้แต่น้อย และพวกเขาก็ใช้ทุกวิถีทางที่จำเป็นมาต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนโดยไม่ “ทนทุกข์” กับการห้ามปรามของใคร  การเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ของพวกเขาเป็นเพียงพฤติกรรมชั่วครู่ชั่วยามซึ่งเกิดขึ้นบนรากฐานของการไม่รบกวนผลประโยชน์ของตนเอง และถูกจำกัดขอบเขตอยู่ในรูปแบบของความประพฤติเท่านั้น  พวกเขาสามารถทำตามนั้นได้เมื่อพฤติกรรมดังกล่าวไม่ได้กระทบหรือล่วงล้ำผลประโยชน์ของพวกเขาเลย แต่เมื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด พวกเขาย่อมจะต่อสู้เพื่อผลประโยชน์เหล่านั้นในท้ายที่สุด  ดังนั้น แท้จริงแล้วการเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์จึงไม่ได้รบกวนการไล่ตามไขว่คว้าผลประโยชน์ของพวกเขา และไม่สามารถยับยั้งการไล่ตามไขว่คว้านั้น  พฤติกรรมของการเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์คือพฤติกรรมอันดีงามที่ผู้คนสามารถทำได้ในบางรูปการณ์เท่านั้น โดยมีเงื่อนไขว่าต้องไม่รบกวนผลประโยชน์ของพวกเขา  นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากภายในชีวิตของคนคนหนึ่งหรือจากกระดูกของพวกเขา  ไม่ว่าใครบางคนจะสามารถปฏิบัติพฤติกรรมเช่นนั้นได้มากเพียงใด จะยืนหยัดได้นานแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถปรับเปลี่ยนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่มนุษย์พึ่งพาในการดำเนินชีวิตได้  นี่หมายความว่าแม้บางคนอาจมีพฤติกรรมที่ดีงามนี้ แต่พวกเขาก็พรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาเหมือนกันหมด—กระนั้นทันทีที่พวกเขาได้มาซึ่งพฤติกรรมอันดีงามนี้แล้ว อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขากลับไม่ได้มีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย  ตรงกันข้าม พวกเขากลับซุกซ่อนอุปนิสัยเหล่านั้นไว้ลึกลงไปเรื่อยๆ  ทั้งหมดนี้คือสิ่งสำคัญที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมอันดีงามดังกล่าว

ทั้งหมดนั้นคือสามัคคีธรรมและการชำแหละพฤติกรรมอันดีงามที่อ่อนโยนและมีมารยาท สุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ มีไมตรีจิต และคุยด้วยง่ายในวัฒนธรรมดั้งเดิมของพวกเรา  พฤติกรรมเหล่านี้ก็เหมือนกับการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล ทั้งยังมีแก่นแท้ที่เหมือนกันไม่มากก็น้อย  พฤติกรรมเหล่านี้ไม่มีสาระสำคัญอันใด  ผู้คนควรปล่อยมือจากพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้  สิ่งที่ผู้คนควรเพียรพยายามที่จะสัมฤทธิ์ที่สุดคือการทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานของพวกเขา และทำให้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ในความสว่างและใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ที่ปกติ  หากเจ้าปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ในความสว่าง เจ้าก็ควรกระทำการตามความจริง เจ้าควรเป็นคนซื่อสัตย์ที่กล่าวคำพูดที่ซื่อสัตย์ และทำสิ่งที่ซื่อสัตย์  สิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือการมีหลักธรรมความจริงในการวางตัวของคนเรา ทันทีที่ผู้คนสูญเสียหลักธรรมความจริงและมุ่งเน้นที่พฤติกรรมอันดีงามเท่านั้น นี่ย่อมก่อให้เกิดความเทียมเท็จและการเสแสร้งอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้  หากไม่มีหลักธรรมในการวางตัวของผู้คน เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพฤติกรรมของพวกเขาจะดีงามเพียงใด พวกเขาก็คือคนหน้าซื่อใจคด พวกเขาอาจสามารถชักพาผู้อื่นให้หลงผิดได้ชั่วระยะหนึ่ง แต่จะไม่มีวันไว้วางใจพวกเขาได้  ต่อเมื่อผู้คนกระทำการและวางตนตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีรากฐานที่แท้จริง  หากพวกเขาไม่วางตนตามพระวจนะของพระเจ้า และมุ่งเน้นเพียงการเสแสร้งว่าประพฤติดีเท่านั้น นี่จะส่งผลให้พวกเขาสามารถกลายเป็นคนดีได้กระนั้นหรือ?  แน่นอนที่สุดว่าไม่ได้  คำสอนและพฤติกรรมอันดีงามไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของเขาได้  มีเพียงความจริงและพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ความคิด และข้อคิดเห็นอันเสื่อมทรามของผู้คน และกลายเป็นชีวิตของพวกเขาได้  พฤติกรรมอันดีงามนานัปการที่มนุษย์ยึดถือตามวัฒนธรรมดั้งเดิมและมโนคติอันหลงผิดของตนว่าเป็นสิ่งดีงาม อาทิ การผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท สุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ มีไมตรีจิต และคุยด้วยง่าย เป็นเพียงพฤติกรรมเท่านั้น  พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ใช่ชีวิต และยิ่งไม่ใช่ความจริง  วัฒนธรรมดั้งเดิมไม่ใช่ความจริง และพฤติกรรมอันดีงามใดๆ ที่วัฒนธรรมดั้งเดิมส่งเสริมก็ไม่ใช่ความจริงเช่นกัน  ไม่ว่ามนุษย์จะรู้ซึ้งในเรื่องวัฒนธรรมดั้งเดิมมากมายเพียงใด และไม่ว่ามนุษย์จะใช้ชีวิตตามพฤติกรรมอันดีงามมากมายขนาดไหนในชีวิตของตน ก็ไม่อาจปรับเปลี่ยนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาได้  ดังนั้นหลายพันปีแล้วที่มวลมนุษย์ได้รับการพร่ำสอนเรื่องวัฒนธรรมดั้งเดิม และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ในทางกลับกัน ความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์กลับหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ และโลกก็มืดลงและชั่วยิ่งขึ้นทุกที  นี่เกี่ยวข้องกับการอบรมสั่งสอนของวัฒนธรรมดั้งเดิมโดยตรง  มนุษย์สามารถดำเนินชีวิตของตนในฐานะผู้คนที่แท้จริงได้ก็ด้วยการนำพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นชีวิตของตนเท่านั้น  เรื่องนี้ไม่อาจโต้แย้งได้  ดังนั้นพระวจนะของพระเจ้าวางกรอบและข้อกำหนดแบบใดให้กับพฤติกรรมของมนุษย์?  นอกเหนือจากสิ่งที่กำหนดไว้ในธรรมบัญญัติและพระบัญญัติแล้ว ยังมีข้อกำหนดที่องค์พระเยซูเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของมนุษย์อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อกำหนดและกฎเกณฑ์สำหรับมนุษย์ในการพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า  นี่คือพระวจนะที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับมวลมนุษย์ และเป็นหลักธรรมขั้นพื้นฐานที่สุดสำหรับการวางตัวของมวลมนุษย์  พวกเจ้าต้องค้นหาหลักเกณฑ์ขั้นพื้นฐานที่สุดทางด้านพฤติกรรมสำหรับการวางตัวและการกระทำของเจ้าในพระวจนะของพระเจ้าให้พบ  เมื่อหาพบแล้ว เจ้าก็จะสามารถขจัดแนวทางที่ผิดและการชักพาให้หลงผิดโดยพฤติกรรมอันดีงามในวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนออกไปได้  เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะได้พบเส้นทางและหลักธรรมในการวางตัวและกระทำการแล้ว ซึ่งหมายความว่าเจ้าย่อมจะได้พบเส้นทางและหลักธรรมของความรอดแล้ว  หากพวกเจ้าใช้พระวจนะในปัจจุบันของพระเจ้าเป็นหลักพื้นฐานของพวกเจ้า ใช้ความจริงที่สามัคคีธรรมกันอยู่ในตอนนี้เป็นหลักเกณฑ์ และนำพระวจนะและความจริงมาแทนที่มาตรฐานแห่งพฤติกรรมอันดีงามที่มวลมนุษย์ยึดถือในมโนคติอันหลงผิดของตน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือคนที่กำลังไล่ตามเสาะหาความจริง  ในทุกกรณี พระประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ล้วนเป็นเรื่องที่ว่ามนุษย์ควรเป็นคนแบบใดและควรเดินบนทางสายใด  พระองค์ไม่เคยทรงกำหนดว่ามนุษย์ควรมีพฤติกรรมบางอย่างเพียงอย่างเดียว  พระองค์ประสงค์ให้ผู้คนเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ไม่ใช่คนหลอกลวง พระองค์ประสงค์ให้มนุษย์ยอมรับและไล่ตามเสาะหาความจริง สัตย์ซื่อต่อพระองค์ นบนอบ และเป็นพยานให้พระองค์  พระองค์ไม่เคยประสงค์ให้มนุษย์มีพฤติกรรมอันดีงามไม่กี่อย่างและไม่เคยทรงกำหนดว่านั่นเพียงพอแล้ว  แต่วัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนก็ให้มนุษย์มุ่งเน้นแต่พฤติกรรมอันดีงาม เน้นแต่การแสดงออกภายนอกอันดีงามเท่านั้น  วัฒนธรรมดังกล่าวไม่เคยให้ความกระจ่างเลยว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์เป็นอย่างไร หรือความเสื่อมทรามของเขาก่อกำเนิดจากตรงไหน และยิ่งไม่สามารถชี้ให้เห็นเส้นทางที่จะละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา  เพราะฉะนั้นไม่ว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมจะสนับสนุนพฤติกรรมอันดีงามใดที่มนุษย์ควรมีก็ตาม เมื่อเป็นเรื่องของการละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมวลมนุษย์และการดำรงชีวิตอย่างผู้คนที่แท้จริง วัฒนธรรมดั้งเดิมกลับไม่ช่วยอะไรเลย  ไม่ว่าถ้อยแถลงทางด้านศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิมจะสูงส่งหรือดึงดูดใจเพียงใด ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก่นแท้อันเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ได้  ภายใต้การพร่ำสอนและการครอบงำของวัฒนธรรมดั้งเดิม หลายสิ่งหลายอย่างในระดับจิตใต้สำนึกได้เกิดขึ้นในมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม  คำว่า “จิตใต้สำนึก” ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเมื่อมนุษย์ถูกวัฒนธรรมดั้งเดิมพร่ำสอนและแพร่เชื้อให้โดยไม่ทันรู้สึกตัว และไม่มีถ้อยคำ ถ้อยแถลง กฎเกณฑ์ หรือการตระหนักรู้ที่ชัดเจนว่าควรปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะเหมาะสม โดยสัญชาตญาณแล้วเขาย่อมปฏิบัติและยึดถือแนวคิดและวิธีการตามแบบแผนดั้งเดิมของผู้คนทั่วไป  เมื่อดำเนินชีวิตอยู่ในรูปการณ์ดังกล่าว ในภาวะเช่นนั้น พวกเขาจึงคิดอยู่ในจิตใต้สำนึกของตนโดยไม่รู้ตัวเช่นเดียวกับทุกคนว่า “การผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลนั้นยอดเยี่ยม—เป็นบวกและสอดคล้องกับความจริง การอ่อนโยนและมีมารยาทเป็นเรื่องดีมาก—ผู้คนควรเป็นเช่นนี้ พระเจ้าโปรดเช่นนี้ และนี่ก็สอดคล้องกับความจริง การสุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ มีไมตรีจิต และคุยด้วยง่าย ล้วนเป็นการแสดงออกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ—สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง”  แม้จะหาหลักการพื้นฐานที่ชัดเจนในพระวจนะของพระเจ้าไม่พบ แต่พวกเขาก็รู้สึกในหัวใจของตนว่าพระวจนะและพระประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์นั้นเหมือนกับมาตรฐานต่างๆ ที่วัฒนธรรมดั้งเดิมกำหนดเอาไว้ โดยไม่มีความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกัน  นี่ไม่ใช่การบิดเบือนและตีความพระวจนะของพระเจ้าไปในทางที่ผิดหรอกหรือ?  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวเรื่องเช่นนั้นเอาไว้หรือไม่?  ไม่ได้กล่าวไว้ และเรื่องเช่นนั้นก็ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระองค์ เรื่องเหล่านั้นคือการที่มนุษย์บิดเบือนและตีความพระวจนะของพระเจ้าผิดๆ  พระวจนะของพระเจ้าไม่เคยพูดเรื่องเหล่านั้น ดังนั้นสิ่งที่พวกเจ้าควรทำไม่ว่าจะในรูปการณ์ใดๆ คือการไม่คิดในแง่เหล่านั้น  เจ้าควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างละเอียดและหาข้อกำหนดทางด้านพฤติกรรมที่พระวจนะของพระองค์มีต่อมนุษย์ให้พบอย่างแท้จริง จากนั้นก็หาบทตอนในพระวจนะของพระองค์อีกสองหรือสามบท รวบรวมไว้ แล้วอ่านอธิษฐานและสามัคคีธรรมสิ่งเหล่านั้นร่วมกัน  เมื่อเจ้ามีความรู้ในเรื่องเหล่านั้นแล้ว ก็เป็นเวลาที่เจ้าต้องปฏิบัติและมีประสบการณ์ในเรื่องเหล่านั้น  การทำเช่นนี้ย่อมนำพระวจนะของพระเจ้าเข้ามาในชีวิตจริงของเจ้า พระวจนะของพระเจ้าจะกลายเป็นหลักพื้นฐานสำหรับทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตัวและการกระทำของเจ้า  สิ่งใดควรเป็นหลักการพื้นฐานสำหรับการพูดและการกระทำของผู้คน?  พระวจนะของพระเจ้า  ดังนั้นข้อกำหนดและมาตรฐานที่พระเจ้าทรงมีต่อการพูดและการกระทำของผู้คนมีว่าอย่างไร?  (การพูดและการกระทำของผู้คนควรเป็นประโยชน์ต่อคนด้วยกัน)  ถูกต้อง  ที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าต้องพูดความจริง พูดจาซื่อตรง และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น  อย่างน้อยที่สุด คำพูดของเจ้าต้องทำให้ผู้คนเจริญใจ ไม่ลวงให้หลงกล ชักนำให้หลงผิด ล้อเล่นสนุกๆ เสียดสี เย้ย เยาะหยัน บีบบังคับพวกเขา เปิดเผยจุดอ่อนของพวกเขา หรือทำร้ายพวกเขา  นี่คือการแสดงความเป็นมนุษย์ที่ปกติออกมา  นี่เป็นคุณธรรมของความเป็นมนุษย์  พระเจ้าเคยตรัสบอกเจ้าหรือไม่ว่าควรพูดเสียงดังแค่ไหน?  พระองค์ทรงเคยกำหนดให้เจ้าใช้ภาษามาตรฐานหรือไม่?  พระองค์ทรงเคยกำหนดให้เจ้าใช้วาทกรรมที่สละสลวยหรือลีลาภาษาที่สูงส่งและประณีตบ้างหรือไม่?  (ไม่เคย)  ไม่มีสิ่งที่ตื้นเขิน หน้าซื่อใจคด เทียมเท็จ และไร้ค่าเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย  ข้อกำหนดทั้งปวงของพระเจ้าคือสิ่งที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี เป็นมาตรฐานและหลักธรรมสำหรับภาษาและพฤติกรรมของมนุษย์  ใครจะเกิดที่ไหนหรือพูดภาษาอะไรก็ไม่สำคัญ  กระนั้นก็ตามวาจาที่เจ้ากล่าว—คำพูดและเนื้อหาเหล่านั้น—ต้องเป็นที่เจริญใจต่อผู้อื่น  วาจาอันเป็นที่เจริญใจหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเมื่อผู้อื่นได้ฟังแล้ว รู้สึกว่าเป็นความจริง ได้รับการสร้างเสริมและการช่วยเหลือ ทำให้สามารถเข้าใจความจริงและไม่สับสนอีกต่อไป และไม่ถูกคนอื่นชักพาให้หลงผิดได้โดยง่าย  ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงกำหนดให้ผู้คนพูดความจริง พูดในสิ่งที่พวกเขาคิด และไม่ลวงให้หลงกล ชักนำให้หลงผิด ล้อเล่นสนุกๆ เสียดสี เย้ย เยาะหยัน หรือบีบบังคับผู้อื่น หรือเปิดเผยจุดอ่อนของพวกเขา หรือทำร้ายพวกเขา  นี่คือหลักธรรมของการพูดไม่ใช่หรือ?  ที่กล่าวว่าคนเราไม่ควรเปิดเผยจุดอ่อนของผู้คนหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าอย่าขุดคุ้ยเรื่องไม่ดีของผู้อื่น  อย่าเอาความผิดพลาดหรือข้อบกพร่องที่ผ่านมาของพวกเขามาตัดสินหรือกล่าวโทษพวกเขา  อย่างน้อยที่สุดนี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ  คำพูดที่สร้างสรรค์ในเชิงรุกควรแสดงออกมาอย่างไร?  โดยส่วนใหญ่จะเป็นคำพูดที่หนุนใจ แนะนำ ชี้นำแนวทาง เตือนสติ เข้าอกเข้าใจ และชูใจ  นอกเหนือจากนี้ ในกรณีพิเศษบางกรณีก็จำเป็นต้องเปิดโปงข้อผิดพลาดของผู้อื่นโดยตรงและตัดแต่งพวกเขา เพื่อให้พวกเขารู้จักความจริงและอยากกลับใจ  เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะสัมฤทธิ์ผลอย่างที่ควรจะเป็น  การปฏิบัติเช่นนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้คนอย่างใหญ่หลวง  เป็นการช่วยเหลือพวกเขาอย่างแท้จริงและเป็นเรื่องสร้างสรรค์สำหรับพวกเขามิใช่หรือ?  ยกตัวอย่าง สมมุติว่าเจ้าดื้อรั้นและโอหังเป็นพิเศษ  เจ้าไม่เคยตระหนักรู้เรื่องนี้ แต่ใครบางคนที่รู้จักเจ้าดีย่อมจะบอกปัญหาแก่เจ้าตามตรง  เจ้าคิดกับตนเองว่า “ฉันดื้อรั้นหรือ?  ฉันโอหังหรือ?  ไม่มีใครกล้าบอกฉัน แต่เขาเข้าใจฉัน  การที่เขาพูดแบบนั้นได้ก็แสดงว่านั่นเป็นเรื่องจริงโดยแท้  ฉันต้องใช้เวลาคิดทบทวนเรื่องนี้บ้างแล้ว”  หลังจากนั้นเจ้าก็พูดกับบุคคลนั้นว่า “คนอื่นพูดแต่สิ่งดีๆ ให้ฉันฟัง พวกเขาสรรเสริญฉัน ไม่มีใครเคยเปิดอกพูดกับฉัน ไม่มีใครเคยชี้ให้เห็นข้อบกพร่องและประเด็นปัญหาเหล่านี้ในตัวฉัน  มีคุณเท่านั้นที่บอกฉันได้ เปิดอกพูดกับฉัน  เยี่ยมมาก ช่วยฉันได้มากเหลือเกิน”  นี่คือการเปิดอกพูดไม่ใช่หรือ?  อีกฝ่ายสื่อสารให้เจ้ารู้ทีละเล็กทีละน้อยถึงสิ่งที่อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเขา สิ่งที่เขาคิดเกี่ยวกับตัวเจ้า และประสบการณ์ของเขาว่าเขามีมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน ความคิดลบ และความอ่อนแอในเรื่องนี้ และสามารถหลีกหนีด้วยการแสวงหาความจริงอย่างไร  นี่คือการเปิดอกพูด คือการเข้าสนิทของดวงจิตทั้งหลาย  และสรุปแล้วหลักธรรมเบื้องหลังการพูดคืออะไร?  คือดังนี้ จงพูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้า และจงพูดถึงประสบการณ์จริงของเจ้าและสิ่งที่เจ้าคิดจริงๆ  คำพูดเหล่านี้เป็นประโยชน์แก่ผู้คนมากที่สุด ให้สิ่งที่ผู้คนต้องการ ช่วยเหลือพวกเขาและเป็นบวก  จงอย่ายอมกล่าวคำพูดเทียมเท็จเหล่านั้น คำพูดเหล่านั้นที่ไม่เป็นประโยชน์หรือไม่ได้ทำให้ผู้คนเจริญใจ นี่ย่อมจะหลีกเลี่ยงการทำร้ายพวกเขาหรือทำให้พวกเขาสะดุดล้ม การผลักพวกเขาให้คิดลบ รวมทั้งการก่อให้เกิดผลลบ  เจ้าต้องพูดสิ่งที่เป็นบวก  เจ้าต้องเพียรพยายามช่วยเหลือผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้ เพียรพยายามที่จะเป็นประโยชน์แก่พวกเขา จัดหาให้แก่พวกเขา สร้างความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าในตัวพวกเขา และเจ้าต้องเปิดโอกาสให้ผู้คนได้รับความช่วยเหลือและได้รับให้มากจากประสบการณ์ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าและหนทางที่เจ้าใช้แก้ปัญหา และเปิดโอกาสให้พวกเขาสามารถเข้าใจเส้นทางของการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง เปิดโอกาสให้พวกเขามีการเข้าสู่ชีวิตและทำให้ชีวิตของพวกเขาเติบโต—ซึ่งล้วนเป็นผลจากการที่คำพูดของเจ้ามีหลักธรรมและเป็นที่เจริญใจของผู้คน  นอกจากเรื่องนี้แล้ว เมื่อผู้คนรวมตัวกันเพื่อนินทาและหัวเราะคิกคักกันอย่างไร้แก่นสาร นั่นก็ไม่เป็นไปตามหลักธรรม  สิ่งที่พวกเขาพรั่งพรูออกมามีแต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเท่านั้น  นี่ไม่เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่ได้ค้ำชูหลักธรรมความจริง  ทั้งหมดนั้นคือปรัชญาในการดำรงชีวิตทางโลกของมนุษย์—พวกเขาใช้ชีวิตไปตามที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนบงการให้ทำ

พระเจ้าทรงกำหนดให้มนุษย์มีหลักธรรมในคำพูดและเป็นที่เจริญใจต่อผู้อื่น  นี่เกี่ยวข้องอะไรกับพฤติกรรมภายนอกอันดีงามของมนุษย์หรือไม่?  (ไม่)  ไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเหล่านั้นเลย  สมมุติว่าเจ้าไม่ชอบบงการคนอื่นหรือกล่าวคำเท็จและหลอกให้คนอื่นหลงกล ในขณะเดียวกันเจ้าก็สามารถหนุนใจ ชี้แนะ และชูใจผู้อื่นได้ด้วย  ถ้าเจ้าทำได้ทั้งสองอย่างนี้ แล้วมีความจำเป็นอันใดหรือไม่ที่เจ้าต้องทำสิ่งเหล่านั้นด้วยท่าทีที่คุยด้วยง่าย?  เจ้าต้องสัมฤทธิ์การเป็นคนเข้าถึงง่ายหรือไม่?  เจ้าทำสิ่งเหล่านั้นได้แค่ในกรอบของพฤติกรรมภายนอกดังกล่าว เช่น การเป็นคนสุภาพอ่อนน้อม อ่อนโยนและมีมารยาท เท่านั้นหรือ?  ไม่มีความจำเป็นเลย  เงื่อนไขเบื้องต้นที่คำพูดของเจ้าจะเป็นที่เจริญใจของผู้อื่นก็คือการเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าและข้อกำหนดของพระองค์—ซึ่งตั้งอยู่บนความจริง แทนที่จะเป็นไปตามพฤติกรรมอันดีงามที่เกิดขึ้นท่ามกลางวัฒนธรรมดั้งเดิม  เมื่อคำพูดของเจ้าเป็นไปตามหลักธรรมและเป็นที่เจริญใจของผู้อื่น เจ้าก็อาจพูดเวลานั่งหรือพูดเวลายืนก็ได้ เจ้าอาจพูดเสียงดังหรือพูดเบาๆ อาจกล่าวคำที่นุ่มนวลหรือรุนแรงก็ได้  ตราบใดที่ผลลัพธ์สุดท้ายเป็นบวก แล้วเจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตน และอีกฝ่ายก็ได้ประโยชน์ ตราบนั้นย่อมสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง  หากสิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาคือความจริง สิ่งที่เจ้าปฏิบัติคือความจริง และพื้นฐานการพูดและการกระทำของเจ้าคือพระวจนะของพระเจ้า คือหลักธรรมความจริง และหากผู้อื่นสามารถได้ประโยชน์และได้รับจากเจ้า นั่นย่อมจะเป็นผลดีต่อพวกเจ้าทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือ?  ถ้าการใช้ชีวิตถูกวิธีคิดของวัฒนธรรมดั้งเดิมตีกรอบ เจ้าแสดงละครในขณะที่คนอื่นก็แสดงเหมือนกัน เจ้าแสดงกิริยามารยาทงดงาม ขณะที่พวกเขาก็พินอบพิเทา ต่างฝ่ายต่างแสดงละครกัน เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ดีงามอะไร  ทั้งเจ้าและพวกเขาต่างพินอบพิเทาและแสดงมารยาทงามต่อกันตลอดทั้งวันโดยไม่มีถ้อยคำที่เป็นความจริงเลยสักคำ ต่างก็แสดงให้เห็นแต่พฤติกรรมอันดีงามในชีวิตตามที่วัฒนธรรมดั้งเดิมส่งเสริม  แม้พฤติกรรมดังกล่าวจะเป็นไปตามแบบแผนทั่วไปเมื่อมองจากภายนอก แต่ล้วนเป็นความหน้าซื่อใจคด เป็นพฤติกรรมที่หลอกให้ผู้อื่นหลงกลและชักพาให้หลงผิด เป็นพฤติกรรมที่ล่อลวงผู้อื่นและใช้เล่ห์เหลี่ยมกับพวกเขา โดยที่ไม่มีคำพูดคำจาที่จริงใจให้ได้ยินสักคำ  ถ้าเจ้าเป็นเพื่อนกับคนแบบนั้น เจ้าก็ไม่แคล้วถูกล่อลวงและหลอกให้หลงกลในท้ายที่สุด  พฤติกรรมอันดีงามของพวกเขาไม่มีอะไรที่จะทำให้เจ้าเจริญใจเลย  มีแต่สอนความเทียมเท็จและเล่ห์เพทุบายให้กับเจ้า กล่าวคือ เจ้าลวงพวกเขาให้หลงกล พวกเขาก็หลอกเจ้าให้หลงกล  ท้ายที่สุดแล้วเจ้าจะรู้สึกว่าความซื่อตรงและศักดิ์ศรีของเจ้านั้นเสื่อมอย่างถึงที่สุด ซึ่งเจ้ามีแต่จะต้องทนกล้ำกลืนเอาไว้เท่านั้น  เจ้ายังจะต้องทำตัวสุภาพอ่อนน้อม ในแบบที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับผู้อื่นหรือเรียกร้องเอากับพวกเขามากเกินไป  เจ้ายังจะต้องอดทนและยอมผ่อนปรน แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจและใจกว้างโอบอ้อมอารีพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง  ต้องใช้ความพยายามนานกี่ปีกว่าจะสัมฤทธิ์ภาวะเช่นนี้ได้!  หากเจ้าบังคับให้ตัวเองต้องใช้ชีวิตแบบนี้ต่อหน้าผู้อื่น ชีวิตของเจ้าจะไม่ทำให้เจ้าอ่อนล้าหรือ?  การเสแสร้งว่ามีความรักมากมายขนาดนี้ ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าตนไม่ได้มีความรักนั้น—ความหน้าซื่อใจคดแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย!  ในฐานะคนคนหนึ่ง เจ้าย่อมจะรู้สึกอ่อนล้ากับการวางตัวเช่นนี้มากขึ้นทุกที เจ้าอาจจะอยากเกิดเป็นวัวหรือม้า เป็นหมูหรือเป็นหมาในชีวิตหน้ามากกว่าเกิดเป็นมนุษย์  เจ้าจะเห็นว่าแท้จริงแล้วพวกเขาเทียมเท็จและชั่วเกินไป  เหตุใดมนุษย์จึงใช้ชีวิตในแบบที่ทำให้ตัวเองอ่อนล้าอย่างนั้น?  เพราะเขาดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิม ซึ่งตีกรอบและตีตรวนเขาเอาไว้  เมื่อพึ่งพาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน เขาจึงมีชีวิตอยู่ในบาปที่เขาไม่สามารถถอนตัวออกมาได้  เขาไม่มีทางออก  สิ่งที่เขาดำรงชีวิตอยู่นั้นไม่ใช่สภาพเสมือนคนที่แท้จริง  คนเราไม่สามารถได้ยินหรือได้รับคำพูดที่มีความจริงใจขั้นพื้นฐานระหว่างผู้คนเลยสักคำเดียว แม้กระทั่งระหว่างสามีกับภรรยา แม่กับลูกสาว พ่อกับลูกชาย ผู้คนที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด—ไม่มีถ้อยคำที่สนิทสนมให้ได้ยิน ไม่มีคำพูดที่อบอุ่นหรือคำพูดที่ผู้อื่นอาจได้รับความชูใจ  แล้วพฤติกรรมภายนอกอันดีงามเหล่านี้มีไว้เพื่ออะไร?  มีไว้เพื่อคงระยะห่างตามปกติและความสัมพันธ์ที่เป็นปกติระหว่างผู้คนเป็นการชั่วคราว  แต่เบื้องหลังพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ ไม่มีใครกล้ามีปฏิสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับใครอื่น ซึ่งสุดท้ายมวลมนุษย์ก็สรุปเป็นวลีที่ว่า “ระยะห่างก่อเกิดความงาม”  นี่เผยให้เห็นธรรมชาติที่แท้จริงของมวลมนุษย์ไม่ใช่หรือ?  ระยะทางจะก่อเกิดความงามได้อย่างไร?  ในความเป็นจริงที่เทียมเท็จและชั่วของชีวิตแบบนั้น มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในความโดดเดี่ยว การถอยห่างออกมา ความหดหู่ ความขุ่นเคือง และความไม่พอใจที่เพิ่มพูนยิ่งขึ้นทุกที ไร้เส้นทางที่จะเดินไปข้างหน้า  นี่คือภาวะที่แท้จริงของผู้ไม่เชื่อ  อย่างไรก็ดี วันนี้เจ้าเชื่อในพระเจ้า  เจ้าได้มาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าและยอมรับการจัดเตรียมแห่งพระวจนะของพระองค์แล้ว และเจ้าก็ฟังคำเทศนาอยู่บ่อยๆ  แต่ในหัวใจของเจ้า เจ้ายังคงชอบพฤติกรรมอันดีงามที่วัฒนธรรมดั้งเดิมให้การส่งเสริม  นี่พิสูจน์บางสิ่งบางอย่างให้เห็นก็คือ เจ้าไม่เข้าใจความจริงและไม่มีความเป็นจริง  เหตุใดในชีวิตของเจ้าตอนนี้ เจ้าถึงยังคงหดหู่เช่นนั้น โดดเดี่ยวเช่นนั้น น่าเวทนาเช่นนั้น ด้อยค่าตัวเองอย่างนั้น?  สาเหตุของเรื่องนี้มีข้อเดียวคือเจ้าไม่ยอมรับความจริงและไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เจ้าไม่ได้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า และไม่ได้ใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า  เจ้ายังคงดำเนินชีวิตด้วยการพึ่งพาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิม  เพราะเหตุนั้นชีวิตของเจ้าจึงยังคงโดดเดี่ยวอย่างนั้น  เจ้าไม่มีเพื่อน ไม่มีใครให้บอกเล่าความในใจ  เจ้าไม่สามารถได้รับการหนุนใจ การชี้แนะ การช่วยเหลือ หรือความเจริญใจที่เจ้าควรมีจากผู้อื่น และเจ้าก็ไม่สามารถให้การหนุนใจ การชี้แนะ หรือความช่วยเหลือแก่ผู้อื่น  แม้แต่ในพฤติกรรมเล็กน้อยที่สุดเหล่านี้ เจ้าก็ไม่ใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักการพื้นฐานของเจ้า และไม่ใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า เพราะฉะนั้นก็ยิ่งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดถึงทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย หรือการวางตัวและการกระทำของเจ้า—สิ่งเหล่านั้นห่างไกลอย่างสุดกู่จากความจริงและพระวจนะของพระเจ้า!

พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันถึงข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของมนุษย์ว่า พระองค์มีพระประสงค์ให้วาจาและการกระทำของมนุษย์เป็นไปตามหลักธรรมและเป็นที่เจริญใจของผู้อื่น  ด้วยเหตุนี้ เมื่อดูตามนั้นแล้ว ตอนนี้ทุกคนรู้ไหมว่าพฤติกรรมอันดีงามที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมานั้นมีคุณค่าบ้างหรือไม่—ควรค่าที่จะเชิดชูว่าล้ำค่าหรือไม่?  (ไม่)  ดังนั้น ในเมื่อพวกเจ้าไม่เชื่อว่าพฤติกรรมเหล่านั้นสมควรได้รับการเชิดชูว่าล้ำค่า พวกเจ้าควรทำอย่างไร?  (ตัดขาดจากพฤติกรรมเหล่านั้นเสีย)  คนเราจะตัดขาดจากพฤติกรรมเหล่านั้นอย่างไร?  การที่จะตัดขาดจากสิ่งเหล่านั้น คนเราต้องมีเส้นทางและขั้นตอนที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการปฏิบัติของตน  ก่อนอื่น คนเราต้องตรวจสอบตนเองว่ามีการแสดงออกเชิงพฤติกรรมที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท ตามที่วัฒนธรรมดั้งเดิมส่งเสริมหรือไม่  การตรวจสอบดังกล่าวมีรูปแบบเช่นไร และมีเนื้อหาอะไรบ้าง?  รูปแบบและเนื้อหาเหล่านั้นก็คือการมองตัวเองเพื่อดูว่าทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตนและกระทำการของเจ้านั้นมีสิ่งใดเป็นพื้นฐาน และดูว่าสิ่งที่เป็นของซาตานนั้นมีอะไรบ้างที่หยั่งรากลึกอยู่ในหัวใจของเจ้าและซึมเข้าไปอยู่ในเลือดและกระดูกของเจ้า  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่ามีบางคนที่ได้รับการประคบประหงมมาตั้งแต่เด็ก ไม่รู้จักการควบคุมตนเองเท่าไรนัก แต่ความเป็นมนุษย์ไม่แย่  พวกเขาเป็นผู้เชื่อที่แท้จริง เชื่อในพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างจริงใจ สามารถทนทุกข์และจ่ายราคาได้  พวกเขามีเพียงสิ่งเดียวที่ผิดพลาดก็คือ เวลากิน พวกเขามักจะเขี่ยเลือกชิ้นอาหารไปทั่วจานและเปาะปาก  เสียงเปาะปากนั้นกวนใจเจ้าเสียจนกลืนอาหารไม่ลงเมื่อได้ยิน  เมื่อก่อนเจ้าเคยรู้สึกชิงชังผู้คนแบบนี้เป็นพิเศษ  เจ้าจะคิดว่าพวกเขาไม่มีมารยาทและไม่รู้จักควบคุมตัวเอง พวกเขาไม่ได้ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีหรือมีเหตุผล  ในหัวใจของเจ้า เจ้าดูหมิ่นพวกเขา เชื่อว่าคนแบบนี้ต่ำต้อยและไร้ศักดิ์ศรี ไม่มีทางที่พวกเขาจะเป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และยิ่งไม่ใช่ผู้ที่พระองค์ทรงรัก  อะไรคือเหตุผลของเจ้าในการเชื่อเช่นนั้น?  เจ้าเคยมองทะลุเข้าไปถึงแก่นแท้ของพวกเขาหรือไม่?  เจ้าประเมินพวกเขาตามแก่นแท้ของพวกเขาหรือไม่?  อะไรคือหลักเกณฑ์ที่เจ้าใช้ประเมิน?  เห็นได้ชัดว่าเจ้ากำลังประเมินผู้คนตามถ้อยแถลงนานาของวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม  ดังนั้นเมื่อเจ้าเรียนรู้ปัญหานี้แล้ว เจ้าควรคิดอย่างไรบนพื้นฐานของความจริงที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปในวันนี้?  “แย่แล้ว ฉันเคยดูถูกพวกเขา  ฉันไม่เคยเต็มใจฟังสามัคคีธรรมของพวกเขาเลย  ไม่ว่าพวกเขาจะพูดหรือทำอะไรตอนไหน ไม่ว่าพวกเขาทำถูกต้องขนาดไหน หรือคำพูดที่พวกเขาสามัคคีธรรมสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างไร ทันทีที่ฉันนึกถึงเรื่องที่พวกเขาเปาะปากและคุ้ยหาชิ้นอาหารในมื้อ ฉันก็จะไม่อยากฟังพวกเขาพูด  ฉันมองพวกเขาเสมอว่าเป็นคนไม่มีมารยาทที่ไม่มีขีดความสามารถ  ตอนนี้ด้วยการสามัคคีธรรมของพระเจ้า ฉันกำลังมองเห็นว่าทัศนะที่ฉันมีต่อผู้คนไม่ได้เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า แต่ฉันกลับมองนิสัยและพฤติกรรมไม่ดีที่ผู้คนมีในชีวิตของพวกเขา—โดยเฉพาะในส่วนที่พวกเขาไร้มารยาทหรือทำตัวไม่ดี—ราวกับพวกเขากำลังพรั่งพรูแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขาออกมา  ตอนนี้เมื่อประเมินตามพระวจนะของพระเจ้า เรื่องทั้งหมดนั้นกลับเป็นข้อเสียเล็กๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  นั่นไม่ใกล้เคียงกับปัญหาทางด้านหลักธรรมเลย”  นี่เป็นการตรวจสอบตนเองหรือไม่?  (เป็น)  ผู้ที่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและเข้าใจความจริงได้ย่อมมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน  ดังนั้น ควรทำอย่างไรต่อไป?  มีเส้นทางหรือไม่?  จะได้ผลหรือไม่ หากเจ้าเรียกร้องให้พวกเขาเลิกนิสัยที่ไม่ดีเหล่านี้ในทันที?  (ไม่ได้ผล)  ข้อเสียเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ฝังแน่นอยู่ภายในและยากที่จะเปลี่ยนแปลง  นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในวันหรือสองวัน  ปัญหาด้านพฤติกรรมทั้งหลายนั้นแก้ไม่ยากนัก แต่ข้อเสียในนิสัยการใช้ชีวิตของคนนั้น คนเราต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการกำจัดออกไป  แต่ข้อเสียเหล่านี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของความเป็นมนุษย์หรือแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ของใครบางคน ดังนั้นจงอย่าให้น้ำหนักกับมันมากเกินไปนักหรือปฏิเสธที่จะปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้น  ทุกคนมีนิสัยและหนทางในชีวิตของตน  ไม่มีใครเกิดมาจากสุญญากาศ  ทุกคนจึงมีข้อเสียบางประการ และไม่ว่าข้อเสียเหล่านั้นคืออะไร ถ้าส่งผลกระทบต่อผู้อื่น ก็ต้องแก้ไขให้ถูกต้อง  นั่นเป็นวิธีที่จะสัมฤทธิ์การปฏิสัมพันธ์ที่เป็นมิตร  อย่างไรก็ดี เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นไปตามอุดมคติในทุกด้าน  ผู้คนมาจากสถานที่ที่แตกต่างกันมาก นิสัยที่พวกเขามีในชีวิตจึงแตกต่างกันทั้งสิ้น ดังนั้นพวกเขาต้องยอมผ่อนปรนให้กันและกัน  นี่คือสิ่งที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงมี  จงอย่าเอาปัญหาเล็กๆ น้อยๆ มาใส่ใจ  จงฝึกผ่อนปรน  นั่นคือวิธีปฏิบัติต่อผู้อื่นที่เหมาะสมที่สุด  นี่คือหลักธรรมเรื่องการยอมผ่อนปรน เป็นหลักธรรมและวิธีการที่ใช้รับมือเรื่องแบบนั้น  จงอย่าพยายามกำหนดแก่นแท้และความเป็นมนุษย์ของผู้คนตามข้อเสียเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขา  หลักการพื้นฐานเช่นนั้นไม่สอดคล้องกับหลักธรรมเลย เพราะไม่ว่าใครจะมีข้อเสียหรือข้อบกพร่องอะไร สิ่งเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ของคนคนนั้น ไม่ได้หมายความว่าคนคนนั้นไม่ใช่ผู้เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง และยิ่งไม่ได้หมายความว่าคนคนนั้นไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเราต้องดูจุดแข็งของผู้คน ทัศนะที่พวกเรามีต่อผู้คนก็ต้องเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าและข้อกำหนดที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์  นั่นคือวิธีปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นธรรม  คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงควรมองผู้คนอย่างไร?  ทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตนและกระทำการของพวกเขา ต้องเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน  ดังนั้นเจ้าควรมองคนแต่ละคนตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร?  จงมองดูว่าพวกเขามีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่ พวกเขาเป็นคนดีหรือคนชั่ว  เวลาเจ้าพบปะพวกเขา เจ้าอาจมองเห็นว่าแม้พวกเขาจะมีข้อเสียและข้อบกพร่องของตัวเองอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็มีความเป็นมนุษย์ที่ดีทีเดียว  พวกเขายอมผ่อนปรนและอดทนเวลามีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน และเมื่อมีบางคนคิดลบและอ่อนแอ พวกเขาก็ให้ความรักแก่คนเหล่านั้น สามารถดูแลและช่วยเหลือพวกเขาได้  นั่นคือท่าทีที่พวกเขามีต่อผู้อื่น  แล้วท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าเป็นเช่นไร?  ในส่วนของท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าก็ยิ่งวัดได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์หรือไม่  อาจเป็นได้ว่าในทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้น พวกเขานบนอบ แสวงหา และถวิลหา ในยามที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น—ในยามที่พวกเขาลงมือกระทำการ—พวกเขาก็มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  ไม่ใช่ว่าพวกเขาบ้าดีเดือด กระทำการอย่างอุกอาจ และไม่ใช่ว่าพวกเขาคิดจะทำอะไรก็ทำ นึกจะพูดอะไรก็พูด  เวลามีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าหรือพระราชกิจของพระองค์เกิดขึ้น พวกเขาก็จะระมัดระวังเป็นอย่างมาก  เมื่อเจ้าดูจนแน่ใจแล้วว่าพวกเขามีพฤติกรรมเหล่านี้ แล้วเจ้าจะประเมินตามสิ่งที่พรั่งพรูออกมาจากความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้อย่างไรว่าคนคนนั้นดีหรือไม่ดี?  จงประเมินตามพระวจนะของพระเจ้า และจงประเมินโดยดูว่าพวกเขามีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่ ท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงและต่อพระเจ้าเป็นเช่นไร  ด้วยการประเมินพวกเขาในสองด้านนี้ เจ้าก็จะมองเห็นว่าแม้พฤติกรรมของพวกเขาจะมีปัญหาและมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็อาจจะเป็นคนที่มีมโนธรรมและเหตุผล มีหัวใจที่นบนอบและยำเกรงพระเจ้า มีท่าทีที่รักและยอมรับความจริง  หากเป็นดังนั้น เช่นนั้นแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาก็เป็นคนที่อาจได้รับการช่วยให้รอด คนที่พระองค์ทรงรัก  และเมื่อคำนึงว่าในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาคือคนที่อาจได้รับการช่วยให้รอดและเป็นคนที่พระองค์ทรงรัก แล้วเจ้าควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร?  เจ้าต้องมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้าและทำการประเมินทั้งหมดนั้นตามพระวจนะของพระองค์  พวกเขาคือพี่น้องชายหญิงที่แท้จริง และเจ้าก็ควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างถูกต้องโดยไม่มีอคติ  จงอย่ามองพวกเขาผ่านกระจกสีหรือประเมินพวกเขาตามถ้อยแถลงของวัฒนธรรมดั้งเดิม—แต่จงประเมินพวกเขาด้วยพระวจนะของพระเจ้า  ส่วนข้อเสียในพฤติกรรมของพวกเขานั้น หากเจ้ามีหัวใจที่เมตตา เจ้าก็ควรช่วยพวกเขา  จงบอกให้พวกเขารู้ว่าควรกระทำตัวอย่างไรจึงจะเหมาะสม  แล้วเจ้าจะทำอย่างไรถ้าพวกเขายอมรับได้ แต่ไม่สามารถละทิ้งข้อเสียในพฤติกรรมของตนได้เดี๋ยวนั้น?  เจ้าควรหันกลับไปใช้การยอมผ่อนปรน  หากเจ้าไม่ยอมผ่อนปรน นั่นก็หมายความว่าหัวใจของเจ้าไม่มีความเมตตา และเจ้าควรแสวงหาความจริงในท่าทีที่เจ้ามีต่อพวกเขา คิดทบทวนและรู้จักข้อบกพร่องของตัวเจ้าเอง  เช่นนั้นเจ้าจึงสามารถปฏิบัติต่อผู้คนได้อย่างถูกต้อง  ในทางกลับกัน ถ้าเจ้ากล่าวว่า “คนคนนั้นมีข้อเสียมากเหลือเกิน  พวกเขาไร้การอบรม และไม่รู้จักวิธีบังคับตัวเอง พวกเขาไม่รู้จักการเคารพคนอื่น และไม่รู้จักมารยาท  เช่นนั้นพวกเขาก็คือผู้ไม่มีความเชื่อ  ฉันไม่อยากคบค้าสมาคมกับพวกเขา ฉันไม่อยากเห็นหน้าพวกเขา และไม่ต้องการฟังสิ่งที่พวกเขาอยากจะพูด ไม่ว่านั่นจะถูกต้องเพียงใดก็ตาม  ใครจะเชื่อว่าพวกเขายำเกรงพระเจ้าและนบนอบพระองค์?  พวกเขาทำได้ขนาดนั้นเลยหรือ?  พวกเขามีขีดความสามารถหรือไม่?” เช่นนั้นแล้ว นั่นคือท่าทีแบบใด?  การปฏิบัติต่อผู้อื่นแบบนั้นเป็นการช่วยเหลืออย่างมีเมตตาหรือไม่?  สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือไม่?  การที่เจ้าปฏิบัติต่อผู้อื่นแบบนั้นเป็นการเข้าใจและเป็นการปฏิบัติความจริงหรือไม่?  นั่นเปี่ยมรักหรือไม่?  เจ้ายำเกรงพระเจ้าด้วยหัวใจหรือไม่?  ถ้าการเชื่อในพระเจ้าของใครบางคนไม่มีแม้แต่ความเมตตาขั้นพื้นฐาน คนแบบนั้นมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่?  ถ้าเจ้ายึดถือมโนคติอันหลงผิดของเจ้าต่อไป และทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลายยังคงเป็นไปตามความรู้สึก ความประทับใจ ความชอบส่วนตัว และมโนคติอันหลงผิดของเจ้าเอง นั่นย่อมเป็นข้อพิสูจน์ที่เพียงพอว่าเจ้าไม่เข้าใจความจริงแม้แต่นิดเดียวและยังคงใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาปรัชญาเยี่ยงซาตาน  นั่นย่อมเป็นข้อพิสูจน์ที่เพียงพอว่าเจ้าไม่ใช่คนที่รักความจริงหรือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  บางคนคิดว่าตนชอบธรรมเหลือเกิน  ไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ยังคงยึดมั่นในทัศนะของตนว่า “ฉันเป็นคนที่สุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์—แล้วจะทำไม?  อย่างน้อยฉันก็เป็นคนดี  การวางตนของฉันมีอะไรไม่ดี?  อย่างน้อยทุกคนก็นับถือฉัน”  เราไม่ค้านเรื่องที่เจ้าเป็นคนดี แต่ถ้าเจ้ายังเสแสร้งอย่างที่เจ้าทำอยู่ต่อไป เจ้าจะสามารถได้รับชีวิตและความจริงหรือ?  การเป็นคนดีในหนทางที่เจ้าเป็นนั้นอาจจะไม่ทำลายความซื่อตรงของเจ้าหรือขัดแย้งกับเป้าหมายและทิศทางในการวางตนของเจ้า แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าต้องเข้าใจคือ หากยังเป็นเช่นนั้นต่อไป เจ้าจะไม่สามารถเข้าใจความจริงหรือเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ และในท้ายที่สุดเจ้าก็จะไม่สามารถได้รับชีวิตหรือความจริง หรือความรอดจากพระเจ้าได้เลย  นั่นคือจุดจบเพียงอย่างเดียวที่จะเป็นไปได้

เราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปว่าควรมองพฤติกรรมอันดีงามในมโนคติอันหลงผิดของผู้คนอย่างไร และจะระบุพฤติกรรมอันดีงามเหล่านั้นอย่างไรเพื่อให้คนเราไล่ตามเสาะหาความจริง  ตอนนี้พวกเจ้ามีเส้นทางแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเจ้าควรทำอย่างไร?  (ก่อนอื่นให้คิดทบทวนว่าตนเองมีพฤติกรรมเหล่านั้นหรือไม่  จากนั้นก็คิดทบทวนว่าโดยปกติแล้วอะไรคือพื้นฐานและหลักเกณฑ์ที่คนเราใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย)  ถูกต้อง  เจ้าควรเริ่มด้วยการมองให้ชัดเจนว่ามีสิ่งใดในทัศนะเดิมที่เจ้าเคยมีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย หรือในการวางตนและกระทำการของเจ้าที่ขัดแย้งกับสิ่งที่เราสามัคคีธรรมกันไปในวันนี้ หรือตรงข้ามกับสิ่งที่เราสามัคคีธรรมกันไปหรือไม่  จงคิดทบทวนว่าอะไรคือพื้นฐานของมุมมองและทัศนะที่เจ้านำมาใช้เวลาเจ้ามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย พื้นฐานที่เจ้าใช้นั้นคือมาตรฐานของวัฒนธรรมดั้งเดิมหรือเป็นคำกล่าวของผู้ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงบางคน หรือเป็นพระวจนะของพระเจ้าและเป็นความจริง  จากจุดนั้นจงคิดทบทวนต่อไปว่าความคิดและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมและของผู้คนที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงนั้นสอดคล้องกับความจริงหรือไม่ ขัดแย้งกับความจริงตรงไหน และผิดพลาดตรงไหนกันแน่  เหล่านี้คือรายละเอียดในขั้นตอนที่สองของการทบทวนตัวเอง  คราวนี้สำหรับขั้นตอนที่สาม  เมื่อเจ้าพบว่าทัศนะ วิธีการ พื้นฐาน และหลักเกณฑ์ของทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตนและกระทำการของเจ้า ก่อกำเนิดจากเจตจำนงของมนุษย์ จากกระแสนิยมชั่วของสังคมและของวัฒนธรรมดั้งเดิม และสิ่งเหล่านั้นตรงข้ามกับความจริง เมื่อนั้นเจ้าควรทำอย่างไร?  เจ้าควรแสวงหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องให้พบและนำมาใช้เป็นหลักการพื้นฐานของเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  จงแสวงหาหลักธรรมความจริงในพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวถึงการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตนและกระทำการ  เจ้าควรทำตามสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้เป็นหลัก หรือกล่าวให้ถูกต้องแม่นยำก็คือ ควรทำตามหลักธรรมความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  หลักธรรมความจริงเหล่านั้นควรกลายมาเป็นพื้นฐานและหลักเกณฑ์ของทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตนและกระทำการของเจ้า  นี่คือสิ่งที่สำเร็จลุล่วงยากที่สุด  ก่อนอื่นคนเราต้องปฏิเสธทัศนะ มโนคติอันหลงผิด ความคิดเห็น และท่าทีของตนเอง  นี่รวมถึงทัศนะบางอย่างที่ไม่ถูกต้องและบิดเบี้ยวของมนุษย์  คนเราต้องขุดทัศนะเหล่านั้นขึ้นมา ทำความรู้จัก และชำแหละทัศนะเหล่านั้นให้ละเอียดถี่ถ้วน  อีกส่วนหนึ่งก็คือเมื่อผู้คนค้นพบถ้อยแถลงที่ถูกต้องเหมาะสมในพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกันแล้ว พวกเขาควรนำไปขบคิดและสามัคคีธรรม และเมื่อพวกเขากระจ่างชัดแล้วว่าคือหลักธรรมความจริงใด ก็จะกลายเป็นคำถามว่าพวกเขาควรยอมรับและปฏิบัติความจริงอย่างไรไปในทันที  จงบอกเราทีเถิดว่าเมื่อคนเราเข้าใจหลักธรรมความจริงแล้ว พวกเขาจะสามารถยอมรับและนบนอบความจริงได้ในไม่ช้าหรือไม่?  (ไม่ได้)  ความเป็นกบฏและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ไม่สามารถแก้ไขได้ในทันที  มนุษย์มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และแม้เขาอาจจะรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร แต่เขาก็ไม่สามารถนำไปปฏิบัติเดี๋ยวนั้นได้  การนำความจริงไปปฏิบัติในแต่ละครั้งคือการต่อสู้สำหรับเขา  มนุษย์มีอุปนิสัยที่เป็นกบฏ  เขาไม่สามารถปล่อยมือจากอคติ ความไม่คงเส้นคงวา ความดื้อแพ่ง ความหยิ่งยโส ความคิดว่าตนเองถูก หรือความคิดว่าตนสำคัญ รวมทั้งเหตุผลที่ใช้ในการสร้างความชอบธรรมและข้ออ้างต่างๆ มากมาย หรือการนับถือตนเอง สถานะ ความมีหน้ามีตา หรือความทะนงตน  ดังนั้นเมื่อเจ้าปล่อยมือจากบางสิ่งที่เจ้ายึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของเจ้าว่าดีงาม สิ่งที่เจ้าต้องตัดขาดก็คือผลประโยชน์เหล่านี้ของเจ้าและสิ่งที่เจ้ามองว่าล้ำค่า  เมื่อเจ้าตัดขาดและปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้ นั่นคือยามที่เจ้าจะมีความหวังหรือมีโอกาสที่จะปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง  การปล่อยมือจากตัวเจ้าเองและปฏิเสธตนเอง—นี่คือทางแยกที่ข้ามผ่านยากที่สุด  แต่ทันทีที่เจ้าผ่านมาได้ ก็จะไม่มีความยากลำบากที่ใหญ่หลวงใดหลงเหลืออยู่ในหัวใจของเจ้า  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงและสามารถมองทะลุแก่นแท้ของพฤติกรรมอันดีงามได้แล้ว ทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งต่างๆ ก็จะเปลี่ยนไป แล้วเจ้าก็จะค่อยๆ ปล่อยมือจากสิ่งดังกล่าวที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมได้  ดังนั้นการที่จะเปลี่ยนทัศนะที่ผิดพลาดของมนุษย์ที่มีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย เปลี่ยนหนทางและลักษณะการกระทำของเขา ตลอดจนต้นกำเนิดและแรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำของเขา—นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันโดยง่าย  สิ่งที่เปลี่ยนยากที่สุดก็คือการที่มนุษย์มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ทัศนะที่มนุษย์มีต่อสิ่งทั้งหลายและรูปแบบการใช้ชีวิตของเขาเกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาเอง  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามทำให้เจ้าโอหัง คิดว่าตนเองถูก และดื้อรั้นเอาแต่ใจ อุปนิสัยเหล่านั้นทำให้เจ้าดูหมิ่นผู้อื่น มุ่งเน้นไปที่การรักษาชื่อและสถานะของตนตลอดเวลา มุ่งเน้นว่าตนสามารถได้รับการยอมรับนับถือและความสนใจท่ามกลางผู้อื่นหรือไม่ คำนึงถึงโอกาสในอนาคตและชะตากรรมของตนอยู่เสมอ เป็นต้น  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าและเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของเจ้า  เมื่อเจ้านำสิ่งเหล่านี้มาพิจารณาแยกย่อยไปทีละอย่าง มองอย่างทะลุปรุโปร่ง และไม่ยอมรับมันไว้ เจ้าก็จะสามารถตัดขาดจากสิ่งเหล่านี้ได้  และจนกว่าเจ้าจะสามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้ทีละน้อย แน่นอนว่าเจ้าย่อมจะสามารถใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานและใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้าในทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ในการวางตนและกระทำการของเจ้าได้อย่างเด็ดขาดและไม่มีการรอมชอม

จงใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานในทัศนะของเจ้าที่มีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย และในการวางตนและกระทำการของเจ้า—ทุกคนเข้าใจวจนะเหล่านี้  สิ่งเหล่านี้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ  ในความมีเหตุผลและในความคิดของมนุษย์ ในเจตจำนงและอุดมคติของเขา มนุษย์สามารถเข้าใจวจนะเหล่านี้และเต็มใจที่จะปฏิบัติตาม  ไม่ควรมีความยากลำบากใดๆ ในเรื่องนั้น  แต่ในความเป็นจริงแล้ว เวลาที่มนุษย์ปฏิบัติความจริง เขากลับดำเนินชีวิตตามวจนะเหล่านี้ได้ยาก อุปสรรคและปัญหาในการทำตามวจนะเหล่านี้ไม่ใช่เพียงความยากลำบากที่เกิดจากสภาพแวดล้อมภายนอกของเขาเท่านั้น  สาเหตุหลักเกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาเอง  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์คือต้นเหตุของความเดือดร้อนนานัปการของเขา  เมื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้ ความเดือดร้อนและความยากลำบากของมนุษย์ก็ไม่นับเป็นปัญหาใหญ่อีกต่อไป  เมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องจึงกลายเป็นว่าความยากลำบากของมนุษย์ในการปฏิบัติความจริงล้วนมีสาเหตุมาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาทั้งสิ้น  เพราะฉะนั้น ขณะที่เจ้าปฏิบัติตามพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า และเข้าสู่ความเป็นจริงของการปฏิบัติความจริงนี้ เจ้าย่อมจะตระหนักรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่า “ฉันมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม  ฉันคือ ‘มวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม’ ที่พระเจ้าตรัสถึง ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามจนถึงแก่น เป็นคนที่ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน”  เรื่องราวเป็นดังนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะฉะนั้น ถ้ามนุษย์จะไล่ตามเสาะหาความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง การรู้จักและเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เป็นลบก็เป็นเพียงขั้นแรกของการเข้าสู่ชีวิต เป็นขั้นตอนในช่วงแรกเริ่มเท่านั้น  ดังนั้น เหตุใดผู้คนมากมายที่เข้าใจความจริงบางอย่าง กลับไม่สามารถนำความจริงเหล่านั้นไปปฏิบัติได้?  เหตุใดพวกเขาล้วนสามารถประกาศคำพูดและคำสอนมากมาย แต่กลับไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้?  หรือว่าพวกเขาไม่เข้าใจความจริงเอาเสียเลย?  ไม่ใช่—ตรงข้ามกันเลย  ความเข้าใจเชิงทฤษฎีที่พวกเขามีเกี่ยวกับความจริงในระดับคำพูดและวลีนั้นเป็นอย่างที่ควรเป็นมากทีเดียว  พวกเขาถึงกับพูดได้อย่างคล่องปากเวลาท่องคำพูดและคำสอนเหล่านั้น  แน่นอนว่าพวกเขามีเจตจำนง มีกรอบความคิดที่ดี และมีความมุ่งมาดปรารถนา พวกเขาล้วนเต็มใจพากเพียรไปสู่ความจริง  แต่แล้วเหตุใดพวกเขาถึงนำความจริงไปปฏิบัติไม่ได้ และยังไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้?  เพราะคำพูด ตัวอักษร และทฤษฎีที่พวกเขาหยิบยกมานั้นยังไม่สามารถสำแดงให้เห็นในชีวิตจริงของพวกเขา  แล้วปัญหานี้เกิดจากอะไร?  ต้นเหตุของปัญหาก็คือการมีอยู่ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาตรงใจกลางซึ่งคอยขัดขวางสิ่งต่างๆ  นั่นคือสาเหตุที่คนบางคนไม่มีความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณและไม่เข้าใจว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร พวกเขาคอยให้คำมั่นสัญญาและประกาศเจตจำนงของตนทุกครั้งที่พวกเขาล้มเหลวหรือล้มลงหรือไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้  พวกเขาให้คำมั่นและป่าวประกาศเช่นนั้นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่นั่นก็ไม่ได้แก้ปัญหา  พวกเขายังคงหยุดอยู่ที่ขั้นตอนของการตั้งใจแน่วแน่ในเจตจำนงของตนและให้คำมั่นสัญญา  พวกเขายังคงติดอยู่ตรงนั้น  เวลาปฏิบัติความจริง หลายคนตั้งเจตจำนงของตนและให้คำปฏิญาณ โดยบอกว่าพวกเขาจะพยายาม  พวกเขาให้กำลังใจตัวเองทุกวัน  สาม สี่ ห้าปีแห่งความพยายาม—ท้ายที่สุดแล้วเป็นเช่นไร?  ไม่มีสิ่งใดสำเร็จลุล่วง และทุกอย่างจบลงด้วยความล้มเหลว  คำสอนเล็กน้อยที่พวกเขาเข้าใจนั้นนำไปใช้กับเรื่องใดไม่ได้เลย  เมื่อบางสิ่งบังเกิดแก่พวกเขา พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะมองเรื่องนั้นอย่างไรและไม่สามารถเข้าใจได้  พวกเขาไม่สามารถค้นพบพระวจนะของพระเจ้าที่จะใช้เป็นพื้นฐานของตน พวกเขาจึงไม่รู้วิธีมองสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้า และไม่รู้ว่าส่วนใดของความจริงในพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่บังเกิดแก่ตนเอง  แล้วพวกเขาก็กระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก พวกเขาเกลียดชังตัวเอง จากนั้นพวกเขาก็อธิษฐาน ขอให้พระเจ้าประทานความเข้มแข็งและความเชื่อแก่พวกเขาให้มากขึ้น ยังคงให้กำลังใจตนเองในท้ายที่สุด  นั่นคือคนกล้าที่ไม่รู้จักคิดไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาเหมือนเด็กไม่มีผิด  ที่จริงแล้วมนุษย์ก็ปฏิบัติต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงในชีวิตประจำวันเหมือนเด็กกันอย่างนี้ไม่ใช่หรือ?  มนุษย์อยากจะหนุนใจตนเองอยู่ตลอดเวลาให้ไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยการแน่วแน่ในเจตจำนงของตนและให้คำมั่นสัญญา ด้วยการบังคับตนเองและให้กำลังใจตัวเอง แต่การปฏิบัติความจริงและการเข้าสู่ความจริงไม่ได้เกิดจากการที่มนุษย์หนุนใจตัวเอง  ตรงกันข้าม แท้จริงแล้วเจ้าต้องเข้าสู่และปฏิบัติตามหนทางและขั้นตอนที่เราบอกเจ้า ก้าวไปอย่างหนักแน่นและมั่นคงทีละก้าว  เช่นนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเห็นผลลัพธ์ เช่นนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  ไม่มีทางลัดให้หลบเลี่ยงเรื่องนี้  นี่ไม่ได้หมายความว่า ด้วยส่วนเสี้ยวเล็กน้อยของหัวใจ ด้วยส่วนเสี้ยวของความปรารถนาที่จะสละตนเอง ด้วยเจตจำนงอันยิ่งใหญ่ และเป้าหมายอันสูงส่ง ความจริงจะกลายมาเป็นความเป็นจริงของเจ้า แต่หมายความว่ามนุษย์ต้องเรียนรู้บทเรียนขั้นพื้นฐานของการแสวงหา การเข้าสู่ การปฏิบัติ และการนบนอบในชีวิตจริงของเขา ท่ามกลางผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ  ต่อเมื่อเรียนรู้บทเรียนเหล่านี้แล้วเท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถสัมผัสความจริงและพระวจนะของพระเจ้า หรือมีประสบการณ์กับความจริงและพระวจนะ หรือรู้จักความจริงและพระวจนะ  หากไม่มีการเรียนรู้เช่นนี้ สิ่งที่มนุษย์จะได้รับก็ย่อมมีแต่ส่วนเสี้ยวของคำสอนไว้ใช้เติมเต็มช่องว่างในหัวใจของเขาเท่านั้น ไม่ว่ามนุษย์จะใช้เวลาจูงใจตนเอง หนุนใจตนเอง และให้กำลังใจตัวเองสักกี่ปีก็ตาม  เขาจะรู้สึกถึงความพอใจทางฝ่ายวิญญาณเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แต่จะไม่ได้รับสิ่งอันเป็นสาระที่แท้จริง  ที่ว่าไม่ได้รับสิ่งอันเป็นสาระที่แท้จริงนั้นหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพื้นฐานของทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตนและกระทำการของเจ้านั้น ไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้า  ไม่มีพระวจนะใดของพระเจ้าที่ทำหน้าที่เป็นหลักการพื้นฐานในทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย หรือในทัศนคติเกี่ยวกับการวางตนและกระทำการของเจ้า  เจ้าใช้ชีวิตอย่างสับสน ชีวิตที่ไร้ความช่วยเหลือ และยิ่งเจ้าเผชิญปัญหาที่ต้องให้เจ้าแสดงทัศนะของเจ้า หลักธรรมและจุดยืนของเจ้าบ่อยครั้งเพียงใด ความไม่รู้ ความเขลา ความกลวงเปล่า และความอับจนหนทางของเจ้าก็จะยิ่งชัดแจ้งมากเพียงนั้น  ภายใต้รูปการณ์ปกติ เจ้าสามารถกล่าวคำสอนและวลีติดปากที่ถูกต้องจำนวนหนึ่งได้ ราวกับเจ้าเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง  แต่พอเกิดปัญหาขึ้นมา และมีบางคนมาหาเจ้าด้วยท่าทีจริงจังเพื่อให้เจ้าชี้แจงจุดยืนและระบุว่าเจ้ายืนอยู่ตรงไหน เจ้ากลับไม่มีคำพูด  บางคนก็จะกล่าวว่า “ไม่มีอะไรจะพูดหรือ?  ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก—ฉันไม่กล้าพูดต่างหาก”  ถ้าอย่างนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่กล้าพูดเล่า?  นั่นแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่  เหตุใดเจ้าจึงไม่แน่ใจเล่า?  เพราะตอนที่เจ้ากำลังทำสิ่งนั้นๆ อยู่ เจ้าไม่เคยยืนยันว่าอะไรคือหลักการพื้นฐานของสิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่ และอะไรคือหลักธรรมของเจ้าในการทำเช่นนั้น แน่นอนว่าเจ้ายิ่งไม่เคยยืนยันว่าเจ้ามองและทำเรื่องนั้นตามพระวจนะของพระเจ้าโดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้าหรือไม่  ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาขึ้น เจ้าจึงถูกทิ้งให้ดูกระอักกระอ่วนและหมดหนทาง  บางคนไม่ยอมเชื่อ  พวกเขากล่าวว่า “ฉันไม่ได้เป็นอย่างนั้น  ฉันจบมหาวิทยาลัย  ฉันสำเร็จปริญญาโท” หรือ “ฉันเป็นนักปรัชญา เป็นศาสตราจารย์ เป็นปัญญาชนชั้นแนวหน้า” หรือ “ฉันเป็นคนที่มีการศึกษาดี  คุณเอาสิ่งที่ฉันพูดไปตีพิมพ์ได้” หรือ “ฉันเป็นนักวิชาการคนสำคัญ” หรือ “ฉันมีความสามารถพิเศษ”  การพูดถึงเรื่องเหล่านี้มีประโยชน์อะไรต่อเจ้าบ้าง?  เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่คุณสมบัติที่น่ายกย่องของเจ้า  ที่สุดแล้วเรื่องพวกนี้ก็หมายความว่าเจ้าพอมีความรู้อยู่บ้างเล็กน้อย  ส่วนจะเป็นประโยชน์ในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่นั้นเป็นเรื่องยากที่จะบอก แต่อย่างน้อยก็แน่นอนว่าความรู้นั้นๆ ของเจ้าไม่ใช่ความจริงและไม่สะท้อนให้เห็นวุฒิภาวะของเจ้า  การกล่าวว่าความรู้ของเจ้าไม่สะท้อนให้เห็นวุฒิภาวะของเจ้านั้นหมายถึงอะไร?  เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ชีวิตของเจ้า เป็นสิ่งที่อยู่นอกตัวเจ้า  ถ้าเช่นนั้นชีวิตของเจ้าเป็นเช่นไร?  เป็นชีวิตที่มีตรรกะและปรัชญาของซาตานเป็นพื้นฐานและหลักเกณฑ์ และแม้เจ้าจะมีความรู้ มีวัฒนธรรม มีสมอง แต่เจ้าก็ไม่สามารถกำราบหรือควบคุมสิ่งเหล่านั้นได้  ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหา แหล่งความสามารถและสติปัญญาของเจ้า รวมทั้งความรู้มากมายของเจ้า จึงไม่ช่วยอะไรเลย—หรือเป็นไปได้ว่าเมื่อแง่มุมหนึ่งของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าพรั่งพรูออกมา ความอดทน การอบรมเลี้ยงดู ความรู้ และอื่นๆ ทั้งหมดของเจ้าจะไม่ช่วยเจ้าเลยแม้แต่น้อย  ถึงตอนนั้นเจ้าจะรู้สึกอับจนหนทาง  ทั้งหมดนี้คือหนทางอันน่ากระอักกระอ่วนที่การไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและการขาดการเข้าสู่ความจริงสำแดงในตัวมนุษย์  การเข้าสู่ความจริงนั้นง่ายหรือไม่?  มีความท้าทายในการเข้าสู่ความจริงหรือไม่?  ตรงไหน?  ไม่มีความท้าทายเลยหากเจ้าถามเรา  จงอย่ามุ่งเน้นไปที่การตั้งใจแน่วแน่ในเจตจำนงของตนหรือการให้คำมั่นสัญญา  สิ่งเหล่านั้นไร้ประโยชน์  เมื่อเจ้ามีเวลาที่จะตั้งเจตจำนงของตนและให้คำมั่นสัญญา จงเอาเวลานั้นไปทุ่มเทพยายามกับพระวจนะของพระเจ้าแทนเถิด  จงพิจารณาว่าพระวจนะกล่าวอะไรไว้ และพระวจนะส่วนไหนพูดถึงสภาวะในปัจจุบันของเจ้า  ไม่มีประโยชน์ที่เจ้าจะตั้งเจตจำนง  เจ้าอาจทุบหัวตัวเองให้แตกและปล่อยให้เลือดไหลอาบเพื่อแสดงเจตจำนงของเจ้า แต่นั่นก็จะไร้ประโยชน์อยู่ดี  การทำเช่นนั้นไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้  เจ้าสามารถทำเช่นนั้นเพื่อหลอกมนุษย์และปีศาจให้หลงกลได้ แต่เจ้าหลอกพระเจ้าให้หลงกลไม่ได้  พระเจ้าไม่ทรงปีติยินดีไปกับเจตจำนงนั้นๆ ของเจ้า  เจ้าตั้งเจตจำนงของตนไปกี่ครั้งแล้ว?  เจ้าให้คำมั่น แล้วเจ้าก็กลับคำ และพอกลับคำแล้ว เจ้าก็ให้คำมั่นอีก แล้วก็กลับคำอีก  นั่นทำให้เจ้าเป็นคนแบบใด?  เมื่อใดเจ้าจะรักษาคำพูด?  ไม่ว่าเจ้าจะรักษาคำพูดหรือไม่ หรือเจ้าตั้งเจตจำนงของตนหรือไม่ ก็ไม่สำคัญ  เจ้าจะให้คำมั่นสัญญาหรือไม่ก็ไม่สำคัญเช่นกัน  แล้วอะไรที่สำคัญ?  สิ่งสำคัญคือการที่เจ้านำความจริงที่เจ้าเข้าใจไปปฏิบัติทันที ในทันใดนั้นเลย  ต่อให้เป็นความจริงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ความจริงที่สะดุดตาคนอื่นน้อยที่สุด ความจริงที่ตัวเจ้าเองให้ความสำคัญน้อยที่สุด ก็จงลงมือปฏิบัติทันที—เข้าสู่ความจริงนั้นในทันใด  หากเจ้าทำเช่นนั้น เจ้าจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงในทันที และในทันใดนั้นเอง เจ้าก็จะเริ่มเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง  เจ้าย่อมใกล้ที่จะกลายเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  บนพื้นฐานนั้น เจ้าจะสามารถกลายเป็นคนที่มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าได้ในไม่ช้า โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน  นั่นจะเป็นความสมบูรณ์พูนผลอย่างยิ่ง—ช่างเป็นคุณค่าที่จับต้องได้จริงๆ!

หลังสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวเกี่ยวกับพฤติกรรมอันดีงามในวัฒนธรรมดั้งเดิมแล้ว พวกเจ้าได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับคำกล่าวเหล่านั้นบ้างหรือไม่?  พวกเจ้าควรจัดการกับพฤติกรรมอันดีงามจำพวกนี้อย่างไร?  บางคนอาจกล่าวว่า “เริ่มจากวันนี้ไป ฉันจะไม่เป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท หรือสุภาพอ่อนน้อม  ฉันจะไม่เป็นคนที่เรียกกันว่า ‘ดีงาม’ ฉันจะไม่เป็นคนที่เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ ฉันจะไม่เป็นคนที่มีไมตรีจิตและคุยด้วยง่าย  ทั้งหมดนั้นไม่ใช่การพรั่งพรูอย่างเป็นธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นั่นเป็นพฤติกรรมหลอกลวงที่จอมปลอมและเทียมเท็จ และเทียบไม่ได้กับการไล่ตามเสาะหาความจริง  แล้วฉันจะเป็นคนประเภทไหน?  ฉันจะเป็นคนซื่อสัตย์ ฉันจะเริ่มด้วยการเป็นคนซื่อสัตย์  ในแง่ของวาจา ฉันสามารถจะไร้การศึกษา ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ ไม่มีความรู้ และถูกคนอื่นดูหมิ่นได้ แต่ฉันจะพูดจาอย่างตรงไปตรงมา ด้วยความจริงใจ และปราศจากความเทียมเท็จ  ในฐานะคนคนหนึ่งและในการกระทำของฉัน ฉันจะไม่เสแสร้งและไม่เล่นละคร  ทุกครั้งที่ฉันพูด นั่นย่อมจะมาจากหัวใจ—ฉันจะพูดสิ่งที่ฉันคิดอยู่ข้างใน  ถ้าฉันเกลียดชังใคร ฉันจะตรวจสอบตัวเองและไม่ทำสิ่งที่ทำร้ายพวกเขา ฉันจะทำแต่สิ่งที่สร้างสรรค์  เวลาพูด ฉันจะไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตน และจะไม่ถูกจำกัดด้วยชื่อเสียงหรือหน้าตาของตัวเอง  ยิ่งไปกว่านั้นฉันจะไม่เจตนาทำให้ผู้คนยกย่องฉัน  ฉันจะให้ความสำคัญกับเรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงมีความสุขหรือไม่เท่านั้น  บรรทัดฐานของฉันคือการไม่ทำร้ายผู้คน  สิ่งที่ฉันทำย่อมจะเป็นไปตามข้อกำหนดของพระเจ้า ฉันจะไม่ทำสิ่งที่ทำร้ายผู้คน และจะไม่ทำสิ่งที่ทำให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้รับความเสียหาย  ฉันจะทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์เท่านั้น และจะเป็นคนที่ทำให้พระเจ้ามีความสุข”  นี่คือความเปลี่ยนแปลงในตัวคนคนหนึ่งมิใช่หรือ?  ถ้าพวกเขาปฏิบัติตามคำพูดเหล่านี้จริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะเปลี่ยนไปแล้วอย่างแท้จริง  อนาคตและชะตากรรมของพวกเขาย่อมจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว  ในไม่ช้าพวกเขาจะเริ่มก้าวไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง เข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงในไม่ช้า และอีกไม่นานพวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่มีหวังในความรอด  นี่คือสิ่งที่ดีงาม และสิ่งที่เป็นบวก  นี่ต้องให้เจ้าตั้งเจตจำนงหรือให้คำมั่นหรือไม่?  ไม่ต้องทำอะไรเลย กล่าวคือ เจ้าไม่ต้องตั้งเจตจำนงต่อพระเจ้า เจ้าไม่ต้องตรวจสอบการกระทำผิด ความผิดพลาด และความเป็นกบฏก่อนหน้านี้ของเจ้า จงรีบสารภาพต่อพระเจ้าและขอให้พระองค์ประทานอภัย  ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีพิธีรีตองเช่นนั้น  เพียงกล่าวสิ่งที่เป็นจริงและออกมาจากหัวใจเดี๋ยวนี้และในทันที รวมทั้งทำสิ่งที่เชื่อถือได้โดยไม่โกหกหรือใช้เล่ห์เพทุบาย  เช่นนั้นเจ้าย่อมจะสัมฤทธิ์บางสิ่งบางอย่างแล้ว และย่อมมีหวังที่เจ้าจะกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์  เมื่อใครบางคนกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์ พวกเขาย่อมได้มาซึ่งความเป็นจริงความจริง และเริ่มดำรงชีวิตอย่างมนุษย์  คนเช่นนั้นคือผู้ที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ  เรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดให้กังขาเลย

วันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022

เชิงอรรถ:

ก. ข่งหรงปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าของจีนซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีและมักใช้อบรมสั่งสอนเด็กๆ เกี่ยวกับคุณค่าของความมีมารยาทและความรักกันฉันพี่น้องสืบเนื่องกันมา  เรื่องดังกล่าวเล่าถึงการที่ข่งหรงในวัยสี่ขวบยกลูกแพร์ที่ใหญ่กว่าให้พี่ชายทั้งหลายของตนและเก็บลูกแพร์ที่เล็กที่สุดไว้เองตอนที่ครอบครัวของเขาได้รับลูกแพร์มาหนึ่งตะกร้า

ก่อนหน้า: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (2)

ถัดไป: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (4)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger