การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า

หลังจากหลายพันปีแห่งความเสื่อมทราม มนุษย์ด้านชาและปัญญาทึบ เขาได้กลายเป็นปีศาจตนหนึ่งซึ่งต่อต้านพระเจ้า จนถึงขนาดที่ความเป็นกบฏของมนุษย์ต่อพระเจ้านั้นได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ทั้งหลาย และกระทั่งมนุษย์เองก็ไม่สามารถที่จะพรรณนาพฤติกรรมอันเป็นกบฏของเขาได้อย่างครบถ้วน—ด้วยเหตุที่มนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก และได้ถูกซาตานพาออกนอกลู่นอกทางไปถึงขนาดที่ว่าเขาไม่รู้ว่าจะหันไปทางใด  แม้กระทั่งวันนี้ มนุษย์ยังคงทรยศพระเจ้า กล่าวคือ เมื่อมนุษย์เห็นพระเจ้า เขาทรยศพระองค์ และเมื่อเขาไม่สามารถเห็นพระเจ้า เขาก็ทรยศพระองค์ด้วยเช่นกัน  มีแม้กระทั่งพวกที่เมื่อได้เป็นประจักษ์พยานในคำสาปแช่งของพระเจ้าและพระพิโรธของพระเจ้าแล้ว ก็ยังคงทรยศพระองค์  และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าสำนึกรับรู้ของมนุษย์ได้สูญเสียหน้าที่ดั้งเดิมของมันไปแล้ว และมโนธรรมของมนุษย์ก็ได้สูญเสียหน้าที่ดั้งเดิมของมันไปแล้วด้วยเช่นกัน  มนุษย์ที่เราเฝ้ามองคือสัตว์เดียรัจฉานตัวหนึ่งในเครื่องแต่งกายของมนุษย์ เขาเป็นอสรพิษตัวหนึ่ง และไม่สำคัญว่าเขาพยายามทำตัวให้ดูเหมือนน่าเวทนาต่อหน้าต่อตาของเราเพียงใด เราจะไม่มีวันเมตตาเขา ด้วยเหตุที่มนุษย์ไม่มีการจับความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างขาวกับดำ ในความแตกต่างระหว่างความจริงกับสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง  สำนึกรับรู้ของมนุษย์ด้านชายิ่งนัก กระนั้นเขาก็ยังคงปรารถนาที่จะได้รับพร สภาวะความเป็นมนุษย์ของเขาต่ำศักดิ์ยิ่งนัก กระนั้นเขาก็ยังคงปรารถนาที่จะมีอธิปไตยของกษัตริย์  เขาจะสามารถเป็นกษัตริย์ของใครได้ ด้วยสำนึกรับรู้เช่นนั้น?  เขาที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์เช่นนั้นจะสามารถนั่งบนบัลลังก์ได้อย่างไร?  มนุษย์ไม่มีความละอายใจจริงๆ!  เขาคือผู้เคราะห์ร้ายที่ทะนงตนคนหนึ่ง!  สำหรับพวกเจ้าที่ปรารถนาจะได้รับพร เราขอแนะนำให้เจ้าหากระจกเงาบานหนึ่งแล้วมองดูภาพสะท้อนอันน่าเกลียดของเจ้าเองเสียก่อน—เจ้ามีสิ่งจำเป็นในการเป็นกษัตริย์หรือไม่?  เจ้ามีหน้าตาเหมือนผู้หนึ่งซึ่งสามารถได้รับพรหรือไม่?  ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าเลยแม้แต่น้อยและเจ้ายังไม่ได้นำความจริงใดๆ มาปฏิบัติเลย กระนั้นเจ้ายังคงปรารถนาที่จะมีวันพรุ่งนี้ที่น่าอัศจรรย์อยู่อีก  เจ้ากำลังหลอกตัวเอง!  มนุษย์ซึ่งเกิดมาในดินแดนอันโสมมเช่นนั้น ได้ถูกสังคมทำให้มัวหมองอย่างรุนแรง  เขาได้รับอิทธิพลจากจริยธรรมแบบศักดินา และได้รับการสอนใน “สถาบันอุดมศึกษา” การคิดอ่านที่ล้าหลัง ศีลธรรมอันเสื่อมทราม มุมมองชีวิตแบบคับแคบ ปรัชญาในการดำรงชีวิตที่น่าดูหมิ่น การดำรงอยู่อันไร้ค่าอย่างที่สุด และรูปแบบการใช้ชีวิตและขนบธรรมเนียมทั้งหลายอันต่ำทราม—ทั้งหมดนี้ได้รุกล้ำเข้าไปในหัวใจของมนุษย์อย่างรุนแรง และได้บ่อนทำลายและโจมตีมโนธรรมของเขาอย่างรุนแรง  ผลก็คือ มนุษย์ออกห่างจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และต่อต้านพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีสักคนที่จะเต็มใจยอมสละสิ่งใดๆ เพื่อพระเจ้า ไม่มีสักคนที่จะเต็มใจเชื่อฟังพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีสักคนที่จะเต็มใจแสวงหาการทรงปรากฏของพระเจ้า  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ภายใต้อำนาจของซาตาน มนุษย์ไม่ทำอะไรเลยนอกจากไล่ตามเสาะหาความยินดี โดยยอมให้ตัวเขาเองจมอยู่กับความเสื่อมทรามของเนื้อหนังในดินแดนแห่งโคลน  แม้คราที่พวกเขาได้ยินความจริง พวกที่ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมิดก็ไม่ได้ครุ่นคิดเรื่องการนำความจริงไปปฏิบัติ และพวกเขาก็ไม่มีแนวโน้มที่จะแสวงหาพระเจ้าแม้เมื่อพวกเขาได้เห็นการทรงปรากฏของพระองค์แล้วก็ตาม  มนุษย์ที่ต่ำทรามเช่นนั้นจะสามารถมีโอกาสแห่งความรอดได้อย่างไร?  มนุษย์ที่เสื่อมศีลธรรมเช่นนั้นจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่างได้อย่างไร?

การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์เริ่มต้นด้วยความรู้เกี่ยวกับเนื้อแท้ของเขาและโดยผ่านทางการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในการคิด ธรรมชาติ และทัศนะทางจิตใจของเขา—โดยผ่านทางการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานทั้งหลาย  ในหนทางนี้เท่านั้นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงทั้งหลายจะได้สำเร็จลุล่วงในอุปนิสัยของมนุษย์  รากเหง้าของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เกิดขึ้นในตัวมนุษย์ก็คือการหลอกลวง การทำให้เสื่อมทราม และพิษของซาตาน  มนุษย์ถูกซาตานพันธนาการและควบคุมเอาไว้ และเขาทุกข์ทนกับอันตรายใหญ่หลวงที่ซาตานก่อให้เกิดขึ้นกับการคิด ศีลธรรม ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และสำนึกรับรู้ของเขา  นั่นเป็นเพราะสิ่งพื้นฐานทั้งหลายของมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้วอย่างแน่นอน และไม่เหมือนอย่างที่สุดกับวิธีการที่พระเจ้าได้ทรงสร้างพวกเขาขึ้นมาแต่ดั้งเดิมนั่นเอง มนุษย์จึงต่อต้านพระเจ้าและไม่สามารถยอมรับความจริง  ด้วยเหตุนี้ การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของมนุษย์จึงควรเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในการคิด ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และสำนึกรับรู้ของเขา ซึ่งจะเปลี่ยนความรู้ของเขาเกี่ยวกับพระเจ้าและความรู้ของเขาเกี่ยวกับความจริง  พวกที่เกิดมาในดินแดนที่เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกที่สุดในบรรดาดินแดนทั้งหมดนั้นไม่รู้เท่าทันในสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น หรือความหมายของการเชื่อในพระเจ้ายิ่งขึ้นไปอีก  ยิ่งผู้คนเสื่อมทรามมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งรู้จักการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าน้อยลงเท่านั้น และสำนึกรับรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของพวกเขาก็ยิ่งแย่ลงเท่านั้น  แหล่งที่มาของการต่อต้านและการเป็นกบฏต่อพระเจ้าของมนุษย์ก็คือการที่เขาถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม  เพราะถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มโนธรรมของมนุษย์จึงยิ่งด้านชา เขาไม่มีศีลธรรม ความคิดของเขาเสื่อมลง และเขามีทัศนคติทางจิตใจที่ล้าหลัง  ก่อนที่เขาจะถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ปกติแล้วหลังจากที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า มนุษย์ก็นบนอบต่อพระเจ้าและเชื่อฟังพระวจนะเขามีสำนึกรับรู้และมโนธรรมที่ถูกต้องโดยธรรมชาติ และมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  หลังจากที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม สำนึกรับรู้ มโนธรรม และสภาวะความเป็นมนุษย์ดั้งเดิมของมนุษย์ก็ทึบเขลาและถูกซาตานทำให้เสื่อมลง  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสูญเสียความเชื่อฟังและความรักที่เขามีต่อพระเจ้า  สำนึกรับรู้ของมนุษย์ได้กลายเป็นผิดปกติวิสัย อุปนิสัยของเขาได้กลายเป็นเช่นเดียวกับอุปนิสัยของสัตว์ตัวหนึ่ง และความเป็นกบฏที่เขามีต่อพระเจ้าก็เกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้นทุกที กระนั้นก็ตามมนุษย์ยังคงไม่รู้และไม่ตระหนักถึงการนี้ เอาแต่ต่อต้านและเป็นกบฏอย่างมืดบอด  อุปนิสัยของมนุษย์ถูกเผยในการแสดงออกทั้งหลายของสำนึกรับรู้ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และมโนธรรมของเขา เพราะสำนึกรับรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของเขานั้นไม่น่าไว้ใจ และมโนธรรมของเขาได้มึนชายิ่งนัก ด้วยเหตุนี้อุปนิสัยของเขาจึงเป็นกบฏต่อพระเจ้า  หากสำนึกรับรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของมนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่นนั้นแล้ว การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของเขาก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับการสอดคล้องกันกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  หากสำนึกรับรู้ของมนุษย์ไม่น่าไว้ใจ เขาก็ย่อมไม่สามารถรับใช้พระเจ้าได้และไม่เหมาะสำหรับการใช้งานโดยพระเจ้า “สำนึกรับรู้ที่ปกติ” หมายถึงการเชื่อฟังและการสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า หมายถึงการโหยหาในพระเจ้า หมายถึงการมีความสมบูรณ์ต่อพระเจ้า และหมายถึงการมีมโนธรรมต่อพระเจ้า  นั่นหมายถึงการเป็นหัวใจและจิตใจหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และการไม่ต่อต้านพระเจ้าโดยจงใจ  การมีสำนึกรับรู้ที่ผิดปกติวิสัยไม่ได้เป็นเช่นนี้  เนื่องจากมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เขาจึงได้คิดมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าขึ้นมา และเขาไม่เคยมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าหรือการโหยหาในพระองค์เลย ยิ่งไม่พักต้องพูดถึงมโนธรรมที่มีต่อพระเจ้า มนุษย์ต่อต้านพระเจ้าและตัดสินพระองค์โดยจงใจ และยิ่งไปกว่านั้น ยังกล่าวคำผรุสวาทใส่พระองค์ลับหลังพระองค์  มนุษย์ตัดสินพระเจ้าลับหลังพระองค์ ด้วยความรู้อันชัดเจนว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า มนุษย์ไม่มีเจตนาที่จะเชื่อฟังพระเจ้า และเพียงสร้างข้อเรียกร้องและคำร้องขอแบบไม่ลืมหูลืมตาจากพระองค์  ผู้คนเช่นนั้น—ผู้คนผู้ซึ่งมีสำนึกรับรู้อันผิดปกติวิสัย—ไม่สามารถที่จะรู้จักพฤติกรรมอันน่าดูหมิ่นของพวกเขาเองหรือเสียใจในความเป็นกบฏของพวกเขา  หากผู้คนสามารถรู้จักตัวเองได้ พวกเขาก็ย่อมได้รับเอาสำนึกรับรู้ของพวกเขากลับมาแล้วเล็กน้อย ยิ่งผู้คนที่ไม่สามารถรู้จักตัวเองมีความเป็นกบฏต่อพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีสำนึกรับรู้ที่ถูกต้องน้อยลงเท่านั้น

การที่มนุษย์เปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมาเกิดจากมโนธรรมที่ทึบเขลาของมนุษย์ ธรรมชาติอันมุ่งร้ายของเขา และสำนึกรับรู้ที่บกพร่องของเขาเท่านั้น หากมโนธรรมและสำนึกรับรู้ของมนุษย์กลายเป็นปกติได้อีกครั้ง เขาก็ย่อมจะกลายเป็นใครบางคนซึ่งเหมาะสมสำหรับการใช้งานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เป็นเพียงเพราะมโนธรรมของมนุษย์นั้นด้านชามาตลอด และเพราะสำนึกรับรู้ของมนุษย์ ซึ่งไม่เคยถูกต้อง กำลังทึบเขลายิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนมนุษย์กำลังเป็นกบฏต่อพระเจ้ายิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่ว่าเขากระทั่งได้ตรึงพระเยซูบนกางเขนและไม่ยอมให้การจุติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายของพระเจ้าเข้าสู่พระนิเวศของพระองค์ และกล่าวโทษเนื้อหนังของพระเจ้า และมองเนื้อหนังของพระเจ้าว่าต่ำต้อย  หากมนุษย์เพียงมีสภาวะความเป็นมนุษย์เล็กน้อย เขาคงจะไม่โหดร้ายถึงเพียงนั้นในการปฏิบัติของเขาต่อเนื้อหนังซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ของพระเจ้า หากเขาเพียงมีสำนึกรับรู้เล็กน้อย เขาคงจะไม่ชั่วช้าถึงเพียงนั้นในการปฏิบัติของเขาต่อเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ หากเขาเพียงมีมโนธรรมเล็กน้อย เขาคงจะไม่ “ขอบคุณ” พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในหนทางนี้  มนุษย์ใช้ชีวิตในยุคสมัยของพระเจ้าที่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ กระนั้นเขายังไม่สามารถที่จะขอบคุณพระเจ้าสำหรับการทรงมอบโอกาสที่ดีเช่นนี้ให้เขา และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับสาปแช่งการเสด็จมาของพระเจ้า หรือเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง และดูเหมือนว่าจะต่อต้านข้อเท็จจริงนั้นและเบื่อหน่ายข้อเท็จจริงนั้น  ไม่ว่ามนุษย์จะปฏิบัติต่อการเสด็จมาของพระเจ้าอย่างไร สรุปสั้นๆ คือ พระเจ้าได้ทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์อย่างอดทนเสมอมา—แม้ว่ามนุษย์ไม่เคยต้อนรับพระองค์เลยแม้แต่น้อย และทำการร้องขอจากพระองค์อย่างหูหนวกตาบอด  อุปนิสัยของมนุษย์ได้กลายเป็นชั่วช้ายิ่งนัก สำนึกรับรู้ของเขาทึบเขลายิ่งนัก และมโนธรรมของเขาได้ถูกมารร้ายเหยียบย่ำอย่างสิ้นเชิงและไม่ได้เป็นมโนธรรมดั้งเดิมของมนุษย์มานานแล้ว  มนุษย์ไม่เพียงอกตัญญูต่อพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ที่ประทานชีวิตและพระคุณมากมายเพียงนั้นให้แก่มวลมนุษย์เท่านั้น แต่กระทั่งยังได้กลายเป็นไม่พอใจต่อพระเจ้าที่ทรงมอบความจริงแก่เขา นั่นเป็นเพราะมนุษย์ไม่มีความสนใจในความจริงแม้แต่น้อย เขาจึงได้ไม่พอใจพระเจ้า  ไม่เพียงแค่มนุษย์ไม่สามารถที่จะวางชีวิตของเขาลงเพื่อพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เท่านั้น แต่เขายังพยายามที่จะเค้นเอาความโปรดปรานทั้งหลายจากพระองค์ และอ้างเอาผลประโยชน์ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งซึ่งมนุษย์ได้ถวายแด่พระเจ้านับเป็นหลายสิบเท่าด้วยเช่นกัน  ผู้คนที่มีมโนธรรมและสำนึกรับรู้เช่นนั้นคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญยิ่งใหญ่ และยังคงเชื่อว่าพวกเขาได้สละตัวพวกเขาเพื่อพระเจ้ามากมายยิ่งนักแล้ว และว่าพระเจ้าได้ทรงมอบให้พวกเขาน้อยเกินไป  มีผู้คนที่เมื่อได้ให้น้ำหนึ่งถ้วยแก่เราแล้ว ก็ยื่นมือของพวกเขาออกมาและเรียกร้องให้เราจ่ายเป็นนมสองถ้วยให้พวกเขา หรือเมื่อได้มอบห้องให้เราเป็นเวลาหนึ่งคืนแล้ว ก็เรียกร้องให้เราจ่ายค่าเช่าเป็นเวลาหลายคืน  ด้วยสภาวะความเป็นมนุษย์เช่นนั้นและมโนธรรมเช่นนั้น เจ้ายังคงสามารถปรารถนาที่จะได้รับชีวิตได้อย่างไร?  เจ้าช่างเป็นเหล่าผู้เคราะห์ร้ายที่น่าเหยียดหยามเสียจริง!  สภาวะความเป็นมนุษย์ประเภทนี้ในมนุษย์และมโนธรรมประเภทนี้ในมนุษย์คือสิ่งที่ทำให้พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ต้องทรงระหกระเหินไปทั่วดินแดน โดยไม่พบสถานที่พำนักพักพิงเลย  บรรดาผู้ที่มีมโนธรรมและสภาวะความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงควรนมัสการและรับใช้พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์โดยสุดหัวใจไม่ใช่เพราะพระองค์ได้ทรงพระราชกิจไปมากเพียงใดแล้ว แต่ต่อให้พระองค์จะไม่ได้ต้องทรงพระราชกิจเลยก็ตาม  นี่คือสิ่งที่บรรดาผู้มีสำนึกรับรู้อันถูกต้องควรถูกกระทำ และนี่เป็นหน้าที่ของมนุษย์  ผู้คนส่วนใหญ่กระทั่งพูดถึงสภาพเงื่อนไขทั้งหลายในการปรนนิบัติพระเจ้าของพวกเขา กล่าวคือ  พวกเขาไม่สนใจว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าหรือมนุษย์ และพวกเขาแค่พูดถึงสภาพเงื่อนไขทั้งหลายของพวกเขาเองเท่านั้น และเพียงพยายามที่จะสนองความอยากได้อยากมีของพวกเขาเองเท่านั้น  เมื่อพวกเจ้าทำอาหารให้เรา เจ้าเรียกร้องค่าบริการ เมื่อเจ้าดำเนินการให้เรา เจ้าถามหาค่าธรรมเนียมในการดำเนินการ เมื่อเจ้าทำงานให้เราเจ้าเรียกร้องค่าธรรมเนียมของงาน เมื่อเจ้าซักเสื้อผ้าของเราเจ้าเรียกร้องค่าธรรมเนียมในการซักผ้า เมื่อเจ้าจัดเตรียมให้กับคริสตจักรเจ้าเรียกร้องค่าใช้จ่ายทั้งหลายในการฟื้นคืนสู่สภาพปกติ เมื่อเจ้าพูดเจ้าเรียกร้องค่าธรรมเนียมของนักพูด เมื่อเจ้าแจกหนังสือเจ้าเรียกร้องค่าธรรมเนียมในการแจกจ่าย และเมื่อเจ้าเขียนเจ้าเรียกร้องค่าธรรมเนียมในการเขียน  พวกที่เราได้ติดต่อด้วยนั้นกระทั่งเรียกร้องค่าชดใช้จากเรา ในขณะที่พวกที่ได้ถูกส่งกลับบ้านเรียกร้องเงินชดเชยสำหรับความเสียหายซึ่งเกิดขึ้นกับชื่อของพวกเขา พวกที่ไม่ได้แต่งงานเรียกร้องสินสมรส หรือค่าชดเชยสำหรับวัยเยาว์ที่สูญเสียไปของพวกเขา พวกที่ฆ่าไก่เรียกร้องค่าธรรมเนียมของคนฆ่าสัตว์ พวกที่ทอดอาหารเรียกร้องค่าธรรมเนียมในการทอด และพวกที่ทำซุปเรียกร้องให้ชำระเงินเป็นค่าซุปนั้นเช่นกัน… นี่คือสภาวะความเป็นมนุษย์อันสูงส่งและมีอานุภาพของพวกเจ้า และเหล่านี้คือการกระทำทั้งหลายที่มโนธรรมอันอบอุ่นของพวกเจ้าสั่งการ  สำนึกรับรู้ของพวกเจ้าอยู่ที่ใด?  สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเจ้าอยู่ที่ใด?  เราจะขอบอกพวกเจ้า!  หากพวกเจ้าดำเนินต่อไปเยี่ยงนี้ เราจะหยุดทำงานท่ามกลางพวกเจ้า  เราจะไม่ทำงานท่ามกลางฝูงสัตว์เดียรัจฉานในเครื่องแต่งกายของมนุษย์ เราจะไม่ทนทุกข์ทรมานด้วยเหตุนี้เพื่อกลุ่มผู้คนเช่นนี้ที่ใบหน้าอันสวยงามของพวกเขาซ่อนเร้นหัวใจอันป่าเถื่อนเอาไว้ เราจะไม่สู้ทนเพื่อฝูงสัตว์เช่นนี้ที่ไม่มีความเป็นไปได้แห่งความรอดแม้แต่น้อย  วันที่เราหันหลังให้พวกเจ้าเป็นวันที่พวกเจ้าตาย มันเป็นวันที่ความมืดมิดจะมาถึงพวกเจ้า และวันที่พวกเจ้าจะถูกความสว่างละทิ้งไป  เราจะขอบอกพวกเจ้า!  เราจะไม่มีวันเมตตากรุณาต่อกลุ่มเช่นกลุ่มของพวกเจ้า กลุ่มซึ่งอยู่ต่ำกว่ากระทั่งบรรดาสัตว์ทั้งหลาย!  ถ้อยคำและการกระทำทั้งหลายของเรามีขีดจำกัด และเราจะไม่ทำงานอีกต่อไปกับสภาวะความเป็นมนุษย์และมโนธรรมของพวกเจ้าอย่างที่สิ่งเหล่านี้เป็นอยู่ เพราะพวกเจ้าขาดมโนธรรมมากเกินไป พวกเจ้าได้ทำให้เราเจ็บปวดมามากเกินไปแล้ว และพฤติกรรมอันน่ารังเกียจของพวกเจ้าทำให้เรารู้สึกรังเกียจมากเกินไป  ผู้คนที่ขาดพร่องสภาวะความเป็นมนุษย์และมโนธรรมถึงเพียงนั้น จะไม่มีวันมีโอกาสได้รับความรอด เราจะไม่มีวันช่วยผู้คนซึ่งไร้หัวใจและอกตัญญูเช่นนั้นให้รอด  เมื่อวันของเรามาถึง เราจะกระหน่ำเปลวเพลิงที่เผาไหม้มาตลอดชั่วกัลปาวสานลงบนลูกหลานที่ไม่เชื่อฟังซึ่งครั้งหนึ่งได้เคยยั่วยุความโกรธเคืองอันเกรี้ยวกราดของเรา เราจะกำหนดการลงโทษชั่วนิรันดร์กาลของเราแก่บรรดาสัตว์เหล่านั้นซึ่งครั้งหนึ่งได้กล่าวคำผรุสวาทใส่เราและได้ละทิ้งเรา เราจะเผาบุตรทั้งหลายที่ไม่เชื่อฟัง ซึ่งครั้งหนึ่งได้เคยกินและใช้ชีวิตร่วมกับเราแต่ไม่ได้เชื่อในเรา ผู้ซึ่งได้ดูหมิ่นและได้ทรยศเรา ด้วยไฟแห่งความโกรธเคืองของเราตลอดเวลา  เราจะทำให้ทุกคนที่ได้ยั่วยุความโกรธเคืองของเราต้องได้รับการลงโทษจากเรา เราจะกระหน่ำความโกรธเคืองของเราทั้งหมดทั้งมวลลงมายังบรรดาสัตว์เดียรัจฉานเหล่านั้นที่ครั้งหนึ่งได้ปรารถนาที่จะยืนเคียงข้างเราในฐานะผู้เทียบเท่าเรา กระนั้นกลับไม่ได้นมัสการหรือเชื่อฟังเรา ไม้เรียวซึ่งเราใช้ตีมนุษย์จะฟาดลงบนบรรดาสัตว์เหล่านั้น ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งได้เคยชื่นชมการดูแลเอาใจใส่ของเราและครั้งหนึ่งได้ชื่นชมความล้ำลึกทั้งหลายที่เราได้พูด และผู้ซึ่งครั้งหนึ่งได้เคยพยายามที่จะรับเอาความชื่นชมทางวัตถุทั้งหลายจากเรา  เราจะไม่ให้อภัยบุคคลคนใดซึ่งพยายามแทนที่เรา เราจะไม่ละเว้นผู้ใดสักคนในบรรดาผู้ที่พยายามแย่งชิงอาหารและเสื้อผ้าจากเรา  สำหรับตอนนี้ พวกเจ้ายังคงเป็นอิสระจากอันตรายและยังคงทำเกินเลยต่อไปในข้อเรียกร้องทั้งหลายที่พวกเจ้าขอจากเรา  เมื่อวันแห่งความโกรธเคืองมาถึง พวกเจ้าจะไม่เรียกร้องใดๆ จากเราอีก ณ เวลานั้น เราจะยอมให้พวกเจ้าได้ “ชื่นชม” ตัวพวกเจ้าเองจนพอใจ เราจะบังคับให้หน้าของพวกเจ้าคว่ำลงดิน และพวกเจ้าจะไม่มีวันสามารถที่จะลุกขึ้นได้อีกครั้ง!  ไม่ช้าก็เร็ว เรากำลังจะ “ชดใช้” หนี้ก้อนนี้แก่พวกเจ้า—และเราหวังว่าพวกเจ้าจะรอการมาถึงของวันนั้นอย่างอดทน

หากผู้คนที่น่าเหยียดหยามเหล่านี้สามารถวางความอยากได้อยากมีทั้งหลายอันฟุ้งเฟ้อของพวกเขาลงไว้ก่อนได้อย่างแท้จริงและกลับไปหาพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ยังคงมีโอกาสแห่งความรอด หากมนุษย์มีหัวใจซึ่งโหยหาในพระเจ้าอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเขาก็ย่อมจะไม่ถูกพระเจ้าทรงทอดทิ้ง  มนุษย์พลาดที่จะได้รับพระเจ้าไม่ใช่เพราะพระเจ้าทรงมีอารมณ์ หรือเพราะพระเจ้าไม่เต็มพระทัยที่จะได้รับการรับไว้โดยมนุษย์ แต่เพราะมนุษย์ไม่ต้องการที่จะได้รับพระเจ้า และเพราะมนุษย์ไม่ได้แสวงหาพระเจ้าโดยเร่งด่วน  ใครคนหนึ่งในบรรดาผู้ซึ่งแสวงหาพระเจ้าอย่างแท้จริงจะสามารถได้รับการสาปแช่งโดยพระเจ้าได้อย่างไร?  ใครคนหนึ่งที่มีสำนึกรับรู้ที่ถูกต้องและมโนธรรมอันอ่อนไหวจะสามารถได้รับการสาปแช่งโดยพระเจ้าได้อย่างไร?  ใครคนหนึ่งที่นมัสการและรับใช้พระเจ้าอย่างแท้จริงจะสามารถถูกเผาผลาญด้วยไฟแห่งพระพิโรธของพระองค์ได้อย่างไร?  ใครคนหนึ่งซึ่งยินดีที่จะเชื่อฟังพระเจ้าจะสามารถถูกเสือกไสไล่ส่งออกจากพระนิเวศของพระเจ้าได้อย่างไร?  ใครคนหนึ่งที่ไม่สามารถรักพระเจ้าได้เพียงพอจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในการลงโทษของพระเจ้าได้อย่างไร?  ใครคนหนึ่งซึ่งยินดีที่จะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระเจ้าจะสามารถถูกทิ้งไว้โดยไม่เหลืออะไรเลยได้อย่างไร?  มนุษย์ไม่เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาพระเจ้า ไม่เต็มใจที่จะสละสิ่งครอบครองทั้งหลายของเขาเพื่อพระเจ้า และไม่เต็มใจที่จะอุทิศความพยายามชั่วชีวิตแด่พระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับกล่าวว่าพระเจ้าได้ทรงไปไกลเกินไป ว่าเรื่องมากมายเกินไปเกี่ยวกับพระเจ้านั้นมีความขัดแย้งกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์  ด้วยสภาวะความเป็นมนุษย์เยี่ยงนี้ ต่อให้พวกเจ้าเหนียวแน่นในความพยายามของพวกเจ้า พวกเจ้าก็ยังคงจะไม่สามารถที่จะได้รับการยอมรับจากพระเจ้าได้ นี่ยังไม่ได้พูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าไม่ได้แสวงหาพระเจ้าเลย  พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเจ้าคือสินค้าชำรุดของมวลมนุษย์?  พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ใดที่ต่ำต้อยกว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเจ้าแล้ว?  พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าผู้อื่นเรียกพวกเจ้าเพื่อให้เกียรติพวกเจ้าว่าอย่างไร?  บรรดาผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงเรียกพวกเจ้าว่าพ่อของหมาป่า แม่ของหมาป่า และบุตรของหมาป่า และหลานของหมาป่า พวกเจ้าคือพงศ์พันธุ์ของหมาป่า ผู้คนของหมาป่า และพวกเจ้าควรรู้จักอัตลักษณ์ของพวกเจ้าเองและไม่ลืมมันเป็นอันขาด  จงอย่าคิดว่าเจ้าเป็นบุคคลที่มีบางอย่างเหนือกว่า กล่าวคือ พวกเจ้าเป็นกลุ่มอมนุษย์ที่ชั่วช้าที่สุดท่ามกลางมวลมนุษย์  พวกเจ้าไม่รู้การนี้เลยหรือ?  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเราได้เสี่ยงมากเพียงใดโดยการทำงานท่ามกลางพวกเจ้า?  หากสำนึกรับรู้ของพวกเจ้าไม่สามารถกลายมาเป็นปกติได้อีกครั้ง และมโนธรรมของพวกเจ้าจะไม่สามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ พวกเจ้าก็ย่อมจะไม่มีวันปลดชื่อ “หมาป่า” ทิ้งไปได้ เจ้าจะไม่มีวันหลบหนีวันแห่งการสาปแช่งไปได้และจะไม่มีวันหลบหนีวันแห่งการลงโทษของพวกเจ้าไปได้  พวกเจ้าเกิดมาต่ำต้อย เป็นสิ่งที่ไม่มีค่าใดๆ  โดยธรรมชาติแล้วเจ้าคือหมาป่าหิวโซฝูงหนึ่ง เป็นเศษซากและขยะกองหนึ่ง และไม่เหมือนกับพวกเจ้า เราไม่ทำงานกับพวกเจ้าเพื่อที่จะได้รับความโปรดปรานทั้งหลาย แต่เพราะความจำเป็นของงาน  หากพวกเจ้ายังเป็นกบฏต่อไปในหนทางนี้ เช่นนั้นแล้ว เราก็จะหยุดงานของเรา และจะไม่มีวันทำงานในตัวพวกเจ้าอีก ในทางตรงกันข้าม เราจะโอนย้ายงานของเราไปยังอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งทำให้เราพอใจ และจะทิ้งพวกเจ้าในหนทางนี้ไปตลอดกาล เพราะเราไม่เต็มใจที่จะเฝ้ามองพวกที่เป็นศัตรูกับเรา  ดังนั้นแล้ว พวกเจ้าปรารถนาที่จะเข้ากันได้กับเรา หรือเป็นศัตรูกับเรา?

ก่อนหน้า: เจ้าคือใครบางคนที่ได้กลับมีชีวิตขึ้นอีกหรือไม่?

ถัดไป: ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger