84. ความเชื่อที่ไม่อาจถูกทำลาย
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2012 ผมกับพี่น้องชายหญิงหลายคนขับรถไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และจบเห่ด้วยการถูกรายงานโดยพวกผู้คนที่เลว ไม่นานนักหลังจากนั้น ฝ่ายปกครองของเทศมณฑลก็ได้เคลื่อนกำลังเจ้าหน้าที่จากหน่วยตำรวจอาชญากรรม กองกำลังความมั่นคงแห่งชาติ หน่วยต่อต้านยาเสพติด กองกำลังตำรวจติดอาวุธ และสถานีตำรวจท้องถิ่นในรถตำรวจกว่า 10 คันรถให้มาจับกุมพวกเรา ตอนที่ผมกับพี่น้องชายคนหนึ่งกำลังจะเคลื่อนรถออกไปพอดี ตำรวจสี่นายก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วและขวางรถของพวกเราไว้ หนึ่งในบรรดาตำรวจเหล่านั้นดึงกุญแจรถออกโดยไม่ปล่อยให้พวกเราพูดสักคำ และสั่งให้พวกเราอยู่ในรถและห้ามขยับตัว ถึงตอนนั้น ผมได้เห็นว่า ตำรวจเจ็ดหรือแปดคนกำลังกวัดแกว่งกระบองกำลังทุบตีพี่น้องชายอีกคนอย่างเกรี้ยวกราด และพี่น้องชายคนนั้นก็ได้ถูกทุบตีไปจนถึงจุดที่เขาไร้ความสามารถที่จะขยับเขยื้อนได้แล้ว ผมเต็มไปด้วยความคับแค้นใจในความชอบธรรมจนทนไม่ไหว จึงพุ่งตัวออกจากรถ เพื่อพยายามหยุดความรุนแรงของพวกเขา แต่พวกตำรวจเหนี่ยวตัวผมไว้ ในเวลาต่อมา พวกเขาก็นำตัวพวกเราไปยังสถานีตำรวจ และรถของพวกเราก็ถูกอายัดไว้
หลังสามทุ่มคืนนั้น ตำรวจอาชญากรรมสองนายมาสอบปากคำผม เมื่อพวกเขาเห็นว่าพวกเขาไม่สามารถได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อันใดจากผมได้เลย พวกเขาก็รู้สึกพลุ่งพล่านและหงุดหงิดโมโห ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธขณะที่พวกเขาสบถว่า “บ้าจริง ฝากไว้ก่อนเถอะ พวกเราจะมาจัดการกับแกทีหลัง!” จากนั้นพวกเขาก็ขังผมไว้ในห้องรอสอบปากคำ พอห้าทุ่มครึ่ง พวกเขาก็นำตัวผมเข้าไปในห้องๆ หนึ่งซึ่งไม่มีกล้องเฝ้าระวัง ผมมีความรู้สึกว่าพวกเขากำลังจะใช้ความรุนแรงกับผม ดังนั้น ผมจึงเริ่มอธิษฐานต่อพระเจ้าซ้ำไปซ้ำมาในหัวใจของผม ขอร้องให้พระเจ้าทรงอารักขาผม ในตอนนี้เอง เจ้าหน้าที่ตำรวจแซ่เจี่ยนายหนึ่งก็ได้เข้ามาสอบปากคำผมว่า “แกอยู่ในรถโฟล์คสวาเกนเจ็ตตาในช่วงสองสามวันมานี้หรือเปล่า?” ผมตอบว่าเปล่า และเขาก็ตะโกนขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดว่า “คนอื่นๆ เขาเห็นแกกันหมด แต่แกยังจะปฏิเสธอยู่อีกหรือไง?” พอพูดจบ เขาก็ตบหน้าผมฉาดใหญ่อย่างสารเลว ทั้งหมดที่ผมรู้สึกก็คืออาการปวดแสบปวดร้อนที่แก้มผม จากนั้นเขาก็คำรามลั่นว่า “ลองมาดูกันว่าแกจะอึดสักแค่ไหน!” ขณะที่พูด เขาก็หยิบเข็มขัดหน้ากว้างเส้นหนึ่งขึ้นมา และสะบัดฟาดไปทั่วใบหน้าของผมไม่หยุด ผมไม่รู้ว่าผมโดนฟาดไปกี่ครั้ง แต่ผมทนไม่ไหวจนต้องแผดเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อได้เห็นแบบนี้ พวกเขาก็ดึงเข็มขัดรัดรอบปากของผม แล้วตำรวจสองสามนายก็เอาผ้าห่มนวมมาคลุมตัวผม ก่อนที่จะใช้กระบองของพวกเขาทุบตีผมอย่างเกรี้ยวกราด โดยจะหยุดก็เฉพาะตอนที่พวกเขาเหนื่อยเกินไปจนหายใจไม่ทันเท่านั้น ผมถูกทุบตีอย่างหนักจนศีรษะของผมหมุนติ้ว และร่างกายของผมก็เจ็บปวดเหมือนกระดูกทุกชิ้นได้กระจัดกระจายออกจากกัน ในเวลานั้นผมไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงซ้อมผมโดยวิธีนี้ แต่ต่อมาผมจึงได้มารู้ว่า พวกเขาเอาผ้านวมมาคลุมตัวผมไว้ก็เพื่อกันไม่ให้การทุบตีนั้นทิ้งรอยไว้บนเนื้อตัวของผม การนำผมไปไว้ในห้องซึ่งไม่มีการเฝ้าระวัง การอุดปากผม และการคลุมตัวผมด้วยผ้านวม—ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพราะพวกเขากลัวว่าความประพฤติเลวของพวกเขาจะถูกเปิดโปง พวกตำรวจพรรคคอมมิวนิสต์จีนช่างคิดคดทรยศและสารเลวเหลือเกิน! เมื่อพวกเขาทั้งสี่คนเหนื่อยจากการทุบตีผม พวกเขาก็เปลี่ยนไปใช้อีกวิธีการในการทรมานผม นั่นก็คือ ตำรวจสองนายบิดแขนของผมข้างหนึ่งไปข้างหลังและกระตุกมันขึ้นด้านบนอย่างแรง ในขณะที่ตำรวจอีกสองนายยกแขนอีกข้างของผมอ้อมข้ามไหล่ไปทางด้านหลังและดึงมันลงมาอย่างแรง (พวกเขาเรียกวิธีการทรมานชนิดนี้ว่า “การสะพายดาบไว้บนหลัง” ซึ่งบุคคลทั่วไปคนหนึ่งย่อมจะไม่มีความสามารถที่จะสู้ทนได้เลย) แต่มือทั้งสองข้างของผมไม่สามารถถูกดึงเข้าหากันได้ไม่ว่าจะทำอย่างไร ดังนั้น พวกเขาก็เลยไสหัวเข่าสารเลวเข้ามาในแขนของผม ทั้งหมดที่ผมได้ยินคือเสียงดัง “คลิก” และแขนทั้งสองข้างของผมก็รู้สึกเหมือนถูกฉีกออกจากกัน มันเจ็บปวดมากจนกระทั่งผมแทบจะสิ้นใจ นั่นใช้เวลาไม่นานเลยก่อนที่ผมจะสูญเสียความรู้สึกสัมผัสในมือทั้งสองข้างของผมไป นี่ยังคงไม่มากพอที่พวกเขาจะเลิกเสียที ดังนั้น พวกเขาจึงสั่งให้ผมคุกเข่าลงเพื่อเพิ่มความทุกข์ทนให้กับผมอีก ผมเจ็บปวดมากจนกระทั่งทั้งร่างของผมเหงื่อผุดพรูออกมา ศีรษะของผมอื้ออึง และสติสัมปชัญญะของผมก็เริ่มที่จะพร่ามัวเล็กน้อย ผมคิดว่า “ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ในชีวิตของผม ผมไม่เคยเลยที่จะมีความรู้สึกว่าไร้ความสามารถในการควบคุมสติสัมปชัญญะของตัวเองเลย ผมกำลังจะตายแล้วหรือนี่?” ในเวลาต่อมา ผมไม่สามารถรับมันได้อีกต่อไปจริงๆ ดังนั้น ผมจึงคิดถึงการแสวงหาการผ่อนบรรเทาโดยผ่านทางความตาย ในชั่วขณะนั้นเอง พระวจนะของพระเจ้าได้ให้ความรู้แจ้งแก่ผมมาจากภายในว่า “วันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้นั้น พวกเขาเชื่อว่าความทุกข์นั้นปราศจากคุณค่า…ความทุกข์ของผู้คนบางคนไปถึงจุดขีดสุด และความคิดของพวกเขาหันเข้าหาความตาย นี่มิใช่ความรักที่แท้จริงต่อพระเจ้า ผู้คนเช่นนั้นเป็นคนขลาด พวกเขาไม่มีความเพียรพยายาม พวกเขาอ่อนแอและไร้กำลัง!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความดีงามของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับการทดสอบอันแสนเจ็บปวดเท่านั้น) พระวจนะของพระเจ้าได้ทำให้ผมตื่นขึ้นในทันใดและตระหนักว่า หนทางการคิดของผมนั้นไม่อยู่ในแนวเดียวกันกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และมีแต่จะทำให้พระเจ้าทรงโทมนัสและทรงผิดหวังเท่านั้น เพราะท่ามกลางความเจ็บปวดและความทุกข์ลำบากนี้ สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทอดพระเนตร ไม่ใช่การที่ผมแสวงหาความตาย แต่เป็นการที่ผมสามารถพึ่งพาการทรงนำของพระเจ้าในการสู้รบกับซาตาน ในการเป็นพยานให้พระเจ้า และทำให้ซาตานอับอายและปราชัยได้ การแสวงหาความตายคงจะเป็นการร่วงลงไปสู่กลอุบายของซาตาน และนั่นจะไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นการเป็นพยานต่อพระเจ้า แต่จะกลายเป็นเครื่องหมายแห่งความอัปยศแทน หลังจากที่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ผมก็อธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ว่า “โอ้ พระเจ้า! ความเป็นจริงได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ธรรมชาติของข้าพระองค์อ่อนแอเกินไป ข้าพระองค์ไม่มีเจตจำนงและความกล้าที่จะทนทุกข์เพื่อพระองค์ และต้องการที่จะตายแค่เพราะความเจ็บปวดทางกายเล็กน้อย ตอนนี้ข้าพระองค์ไม่ต้องการที่จะหลีกหนีมันแล้ว และข้าพระองค์ต้องยืนหยัดเป็นพยานและทำให้พระองค์พึงพอพระทัย โดยไม่สำคัญว่าข้าพระองค์จำเป็นที่จะต้องสู้ทนความทุกข์มากเพียงใด แต่ในเวลานี้ ร่างกายของข้าพระองค์อ่อนแอและอยู่ในความเจ็บปวดถึงขีดสุด และข้าพระองค์รู้ว่า เป็นการลำบากยากเย็นยิ่งนักที่จะเอาชนะการทุบตีของปีศาจเหล่านี้ด้วยตัวข้าพระองค์เอง ขอได้โปรดมอบความมั่นใจและความเข้มแข็งแก่ข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์สามารถพึ่งพาพระองค์ได้ในการที่จะทำให้ซาตานปราชัย ข้าพระองค์สาบานด้วยชีวิตของข้าพระองค์ว่า ข้าพระองค์จะไม่ทรยศพระองค์หรือขายบรรดาพี่น้องชายหญิงของข้าพระองค์” ขณะที่ผมอธิษฐานกับพระเจ้าซ้ำไปซ้ำมา หัวใจของผมก็กลับสงบลงอย่างช้าๆ พวกตำรวจเลวเห็นว่าผมแทบจะไม่หายใจ และกลัวว่าพวกเขาจะจำเป็นที่จะต้องแบกรับความรับผิดชอบหากผมเกิดตายไป ดังนั้นพวกเขาจึงมาปลดกุญแจมือผม แต่มือของผมแข็งทื่อไปแล้ว และกุญแจข้อมือนั้นก็แน่นมากจนกระทั่งยากลำบากอย่างมากที่จะปลดออก ตำรวจเลวสี่นายนั้นใช้เวลาหลายนาทีในการปลดกุญแจมือก่อนที่จะลากผมกลับไปยังห้องรอสอบปากคำ
บ่ายวันต่อมา ตำรวจก็ปักหมุดข้อหา “ความผิดอาญา” ให้กับผมไปตามอำเภอใจ และนำตัวผมกลับไปที่บ้านของผมเพื่อตรวจค้นบ้าน แล้วจากนั้นก็ส่งผมไปยังสถานกักกัน ทันทีที่ผมเข้าสู่สถานกักกัน เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์สี่นายก็ยึดเสื้อแจ็คเก็ตบุนวม กางเกงขายาว รองเท้าบูท และนาฬิกาข้อมือของผมไป รวมไปถึงเงินสด 1,300 หยวนที่ผมมีติดตัว พวกเขาให้ผมเปลี่ยนไปสวมเครื่องแบบมาตรฐานของเรือนจำ และบังคับให้ผมใช้เงิน 200 หยวนซื้อผ้าห่มนวมจากพวกเขา หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็ขังผมไว้รวมกับพวกโจรปล้นจี้ ฆาตกร ผู้ข่มขืนกระทำชำเรา และผู้ลักลอบขนยาเสพติด พอผมเข้าสู่ห้องขังของผม ผมเห็นนักโทษหัวล้านกำลังจับตาผมด้วยความไม่เป็นมิตร บรรยากาศในนั้นมืดสลัวและน่าหวาดกลัว และผมก็รู้สึกว่าจู่ๆ หัวใจของผมก็ขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอยของผม ขาใหญ่ของห้องขังสองคนเดินเข้ามาหาผมและถามว่า “แกเข้ามาอยู่ในนี้ด้วยข้อหาอะไร?” ผมพูดว่า “การเผยแผ่ข่าวประเสริฐ” โดยที่ยังไม่พูดอะไรอีกสักคำพูด หนึ่งในสองคนนั้นก็ตบหน้าผมสองครั้ง และพูดว่า “แกเป็นหัวหน้าศาสนาใช่ไหม?” นักโทษคนอื่นๆ ทั้งหมดเริ่มหัวเราะอย่างอำมหิตและเย้ยหยันผมโดยการถามว่า “ทำไมแกไม่ปล่อยให้พระเจ้าของแกช่วยแกให้พ้นไปจากที่นี่ล่ะ?” ท่ามกลางการเสียดสีและการประชดประชัน ขาใหญ่ของห้องขังก็ตบหน้าผมไปอีกสองสามครั้ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็ตั้งชื่อเล่นให้ผมว่า “หัวหน้าศาสนา” และคอยเหยียดหยามเย้ยหยันผมอยู่บ่อยๆ ขาใหญ่ของห้องขังอีกคนเห็นรองเท้าแตะที่ผมสวมอยู่ก็ตะเบ็งเสียงอย่างโอหังว่า “แกนี่ช่างไม่รู้จักที่ทางของแกเอาเสียเลย แกควรค่าที่จะสวมรองเท้าพวกนี้หรือไง? ถอดมันออก!” ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เขาก็บังคับให้ผมถอดรองเท้าออกและเปลี่ยนไปสวมรองเท้าแตะที่ขาดแล้วของพวกเขา พวกเขายังเอาผ้าห่มนวมของผมให้นักโทษคนอื่นๆ ไปด้วยเช่นกัน นักโทษเหล่านั้นต่อสู้กันไปมาเพื่อผ้าห่มนวมของผม และในที่สุดแล้วก็ทิ้งผ้าห่มนวมเก่าๆ ผืนหนึ่งซึ่งบาง ขาดวิ่น สกปรก และเหม็นไว้ให้ผม เมื่อถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ยุยง นักโทษเหล่านี้ก็ทำให้ผมต้องตกอยู่ภายใต้ความยากลำบากและการทรมานทุกชนิด ในห้องขังต้องเปิดไฟให้สว่างไว้เสมอในตอนกลางคืน แต่ขาใหญ่ของห้องขังคนหนึ่งพูดกับผมพร้อมแสยะยิ้มแบบชั่วๆ ว่า “ปิดไฟดวงนั้นให้ฉันหน่อย” เนื่องจากผมไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ (แม้แต่สวิตช์เปิดปิดก็ไม่มี) พวกเขาจึงเริ่มหัวเราะผมและเย้ยหยันผมอีก วันถัดมา เด็กหนุ่มนักโทษสองสามคนบังคับให้ผมยืนเข้ามุมและท่องจำกฎเกณฑ์ของเรือนจำ โดยข่มขู่ว่า “แกจะได้เจอกับมันแน่ ถ้าแกไม่จดจำมันให้ได้ภายในสองวัน!” ผมอดไม่ได้ที่จะหวาดผวา และยิ่งผมคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ผมได้ผ่านมาในช่วงสองสามวันให้หลังมานี้มากขึ้นเท่าใด ผมก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ผมจึงร้องเรียกพระเจ้าและขอร้องเรื่อยไปให้พระองค์ทรงอารักขาผม เพื่อที่ผมจะสามารถเอาชนะมันได้ ณ ชั่วขณะนี้เอง ผมได้คิดถึงบทเพลงสรรเสริญเพลงหนึ่งแห่งพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เมื่อบททดสอบมาถึง เจ้ายังคงสามารถรักพระเจ้าได้ ไม่ว่าเจ้าเผชิญหน้ากับการจำคุก ความเจ็บป่วย การประชดประชันหรือการใส่ร้ายจากผู้อื่น หรือดูเหมือนว่าไม่มีทางออกเลย เจ้ายังคงสามารถรักพระเจ้าได้ นี่ย่อมหมายความว่า หัวใจของเจ้าได้หันมาหาพระเจ้าแล้ว” (“หัวใจของเจ้าได้หันหาพระเจ้าแล้วหรือยัง?” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) พระวจนะของพระเจ้าได้มอบพลังให้ผมและได้ชี้ชัดถึงเส้นทางเพื่อให้ผมปฏิบัติ—การเสาะแสวงที่จะรักพระเจ้า และการหันหัวใจของผมหาพระเจ้านั่นเอง! ในบัดดลนั้น หัวใจผมก็พลันกลับกลายเป็นแจ่มแจ้งชัดเจนว่า การที่พระเจ้าทรงยินยอมให้ความทุกข์นี้มาตกแก่ผม ไม่ใช่เป็นการทรมานผมหรือทรงมีเจตนารมณ์ที่จะทำให้ผมทนทุกข์ แต่เป็นการฝึกให้ผมหันหัวใจของผมเข้าหาพระเจ้าในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น เพื่อให้ผมสามารถต้านทานการควบคุมของอิทธิพลมืดของซาตานได้ และเพื่อให้หัวใจของผมยังคงสามารถอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าและรักพระเจ้าได้ อย่างไม่มีวันร้องทุกข์คร่ำครวญ โดยยอมรับและเชื่อฟังการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าเสมอ ด้วยการที่ในจิตใจของผมเป็นแบบนี้ ผมจึงไม่กลัวอีกต่อไป ไม่สำคัญว่าพวกตำรวจและนักโทษข่มขู่ผมอย่างไร ทั้งหมดที่ผมจะใส่ใจก็คือ การมอบตัวผมเองแด่พระเจ้า ผมจะไม่มีวันยอมอ่อนข้อให้ซาตานเป็นอันขาด
ในทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแล้ว ชีวิตในเรือนจำก็คือนรกบนดิน ผู้คุมเรือนจำคอยหาหนทางที่จะทรมานผมอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ เมื่อผมกำลังนอนหลับตอนกลางคืน นักโทษคนอื่นๆ จะเบียดเสียดผมจนผมแทบจะไม่สามารถพลิกตัวได้ และพวกเขาก็ทำให้ผมต้องหลับไปในสภาพที่พิงโถส้วมอยู่ หลังจากถูกจับขัง ผมไม่ได้นอนหลับเป็นเวลาหลายวัน และเกิดง่วงมากเสียจนผมทนไม่ไหว และจะผล็อยหลับไป นักโทษซึ่งอยู่เวรที่กำลังยืนยามอยู่ก็จะมาคุกคามรังควานผม เจตนาเคาะศีรษะผมจนกระทั่งผมตื่นขึ้นก่อนที่พวกเขาจะผละไป มีนักโทษคนหนึ่งจงใจปลุกผมให้ตื่น และพยายามที่จะเอาชุดซับในรัดรูปกันหนาวของผมไป หลังอาหารเช้าของวันถัดมา ขาใหญ่ของห้องขังเรียกร้องให้ผมขัดพื้นทุกวัน วันเวลาเหล่านี้เป็นวันที่หนาวเย็นที่สุดของปี และไม่มีน้ำร้อนเลย ดังนั้น ผมจึงสามารถใช้ได้เพียงน้ำเย็นเท่านั้นสำหรับผ้าที่ใช้ทำความสะอาด ขาใหญ่ของห้องขังยังสั่งให้ผมขัดไปอย่างนี้ทุกวันอีกด้วย จากนั้น พวกโจรปล้นจี้ซึ่งถูกตัดสินโทษแล้วหลายคนก็ได้บังคับให้ผมจดจำกฎเกณฑ์ของเรือนจำ หากผมไม่สามารถจดจำกฎเกณฑ์เหล่านี้ได้ พวกเขาจะต่อยและเตะผม โดยที่การถูกตบหน้านั้นเกิดขึ้นบ่อยจนเป็นปกติกว่าเสียด้วยซ้ำ เมื่อเผชิญหน้ากับสภาพแวดล้อมเช่นนั้น ผมรู้สึกทุกข์ระทมเป็นอย่างมาก ตกกลางคืน ผมดึงผ้าห่มนวมขึ้นมาคลุมโปง และอธิษฐานอย่างเงียบๆ ว่า “โอ้ พระเจ้า พระองค์ได้ทรงยินยอมให้สภาพแวดล้อมนี้ตกแก่ข้าพระองค์ ดังนั้นแล้ว เจตนารมณ์อันดีงามของพระองค์ต้องอยู่ในที่นั้น ขอได้โปรดเปิดเผยเจตนารมณ์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด” อึดใจนั้นเอง พระวจนะของพระเจ้าก็ให้ความรู้แจ้งแก่ผมว่า “เราเลื่อมใสดอกลิลลี่ที่กำลังเบ่งบานบนเนินเขาทั้งหลาย ดอกไม้และต้นหญ้าทอดยาวไปตามลาดเขา แต่ดอกลิลลี่เพิ่มความมันวาวให้กับสง่าราศีของเราบนแผ่นดินโลกก่อนการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิ—มนุษย์สามารถสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ได้หรือ? เขาจะสามารถเป็นพยานให้เราบนแผ่นดินโลกก่อนการกลับมาของเราได้หรือ? เขาจะสามารถทุ่มเทอุทิศตัวเขาเองเพื่อประโยชน์แห่งนามของเราในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดงได้หรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 34) ใช่เลย ดอกไม้และต้นหญ้าและตัวผมล้วนแต่เป็นสิ่งซึ่งอยู่ในการทรงสร้างของพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงสร้างพวกเราขึ้นมาเพื่อสำแดงพระองค์ เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค์ ดอกลิลลี่มีความสามารถที่จะเพิ่มความเจิดจรัสให้กับพระสิริของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกก่อนที่ฤดูใบไม้ผลิจะมาถึง ซึ่งหมายความว่า พวกมันได้ลุล่วงความรับผิดชอบของพวกมันในฐานะสิ่งซึ่งอยู่ในการทรงสร้างของพระเจ้าแล้ว หน้าที่ของผมวันนี้คือการเชื่อฟังการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และการเป็นพยานให้กับพระเจ้าต่อหน้าซาตาน การสู้ทนความทุกข์และการดูหมิ่นเหยียดหยามทั้งหมดนี้ในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะผมได้กระทำการล่วงเกิน แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งพระนามของพระเจ้า การสู้ทนความทุกข์นี้คือสง่าราศี ยิ่งซาตานเหยียดหยามผมมากขึ้นเท่าไร ผมก็ยิ่งจำเป็นที่จะต้องยืนอยู่ทางฝั่งพระเจ้าและรักพระเจ้าให้มากขึ้นเท่านั้น ในหนทางนั้น พระเจ้าสามารถทรงได้รับพระสิริได้ และผมก็คงจะได้ลุล่วงหน้าที่ซึ่งผมควรได้ลุล่วงไปแล้ว ตราบเท่าที่พระเจ้าทรงเกษมสำราญและทรงยินดี หัวใจของผมก็จะพลอยรับความชูใจไปด้วยเช่นกัน ผมเต็มใจที่จะสู้ทนความทุกข์สุดท้ายเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง เมื่อผมเริ่มที่จะคิดในหนทางนี้ ผมรู้สึกได้รับการดลใจเป็นพิเศษในหัวใจของผม และเป็นอีกครั้งที่ผมไร้ความสามารถที่จะควบคุมน้ำตาของผม ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ว่า “โอ้ พระเจ้า พระองค์ทรงควรค่าแก่ความรักอย่างแท้จริง! ข้าพระองค์ได้ติดตามพระองค์มาเป็นเวลาหลายปีเหลือเกิน แต่ข้าพระองค์ไม่เคยมีความรู้สึกถึงเสน่หาอันอ่อนโยนของพระองค์ดังเช่นที่ข้าพระองค์มีในวันนี้ หรือได้รู้สึกใกล้ชิดพระองค์อย่างที่ข้าพระองค์รู้สึกในวันนี้เลย” ผมลืมความทุกข์ของผมเองไปอย่างครบบริบูรณ์ และกลายเป็นดื่มด่ำอยู่ในความรู้สึกดลใจนี้เป็นเวลายาวนาน…
อุณหภูมิต่ำมากเหลือเกินในวันที่หกในสถานกักกัน เนื่องจากพวกตำรวจเลวได้ยึดเสื้อคลุมบุนวมของผมไป ผมจึงได้สวมแค่ชุดซับในรัดรูปกันหนาวชุดหนึ่งเท่านั้น และลงเอยด้วยการเป็นหวัด ผมอาการแย่ลงด้วยไข้สูง ซ้ำยังไม่สามารถหยุดไอได้ ตกกลางคืน ผมห่อตัวเองอยู่ในผ้าห่มนวมขาดวิ่น สู้ทนความทรมานจากความเจ็บป่วย พลางคิดเกี่ยวกับการปฏิบัติที่ไม่ดีและการทารุณกรรมอันไม่รู้จบของบรรดานักโทษที่ทำกับผมไปด้วยเช่นกัน ผมรู้สึกอ้างว้างและอับจนหนทางจริงๆ ตอนที่ความระทมทุกข์ของผมไปถึงขอบข่ายเฉพาะหนึ่งนั่นเอง ผมก็คิดถึงการอธิษฐานอันจริงแท้และจริงใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าของเปโตรที่ว่า “หากพระองค์ทรงมอบความเจ็บป่วยให้ข้าพระองค์และทรงนำอิสรภาพของข้าพระองค์ไป ข้าพระองค์สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่หากการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์กำลังจะจากข้าพระองค์ไปตลอดกาล ข้าพระองค์คงจะสิ้นหนทางที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป หากข้าพระองค์ได้อยู่มาโดยปราศจากการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ ข้าพระองค์คงจะได้สูญเสียความรักของพระองค์ไปแล้ว ความรักซึ่งลึกซึ้งสำหรับข้าพระองค์เกินกว่าที่จะกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้ เมื่อปราศจากความรักของพระองค์ ข้าพระองค์คงจะมีชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน และคงจะไม่สามารถมองเห็นพระพักตร์อันรุ่งโรจน์ของพระองค์ได้ ข้าพระองค์จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไรเล่า?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) พระวจนะเหล่านี้มอบความเชื่อและความเข้มแข็งแก่ผม เปโตรไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับความทุกข์ทางกายเลย สิ่งที่เขาหวงแหนราวสมบัติล้ำค่า สิ่งที่เขาใส่ใจจริงๆ ก็คือ การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า สิ่งที่เขาไล่ตามเสาะหาก็คือ การได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า เพื่อที่เขาจะสามารถได้รับการชำระให้สะอาด และในท้ายที่สุดแล้วก็สัมฤทธิ์ความรักสูงสุดแด่พระเจ้าได้ และสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังได้แม้ถึงแก่ความตาย ผมได้รู้ว่าผมจำเป็นที่จะต้องรับเอาการไล่ตามเสาะหาอย่างเดียวกันกับเปโตรมาใช้ ได้รู้ว่าพระเจ้าได้ทรงยินยอมให้ผมถูกวางไว้ในสถานการณ์นั้น ถึงแม้ว่าผมกำลังได้รับประสบการณ์กับความทุกข์ทางกายอยู่ นั่นก็คือการที่ความรักของพระเจ้ากำลังมาสู่ผม พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำให้ความเชื่อของผมและความแน่วแน่ของผมมีความเพียบพร้อมในการเผชิญหน้ากับความทุกข์ ผมได้รับการดลใจจริงๆ ในทันทีที่ผมได้เข้าใจเจตนารมณ์อันจริงจังตั้งใจของพระเจ้า และผมเกลียดชังการที่ผมช่างไม่มีความเด็ดเดี่ยว การที่ผมช่างเห็นแก่ตัว ผมรู้สึกว่าผมติดค้างหนี้พระเจ้าจำนวนมหาศาล สำหรับการที่ไม่คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระองค์ ผมจึงได้สาบานว่า ไม่สำคัญว่าความทุกข์ของผมนั้นใหญ่หลวงเพียงใด ผมจะยืนหยัดเป็นพยานและทำให้พระองค์พึงพอพระทัย วันถัดมา ไข้ที่สูงของผมก็ลดลงอย่างน่าอัศจรรย์ ผมกล่าวคำขอบคุณแด่พระเจ้าในหัวใจของผม
คืนหนึ่ง พ่อค้ารายหนึ่งมาที่หน้าต่าง และขาใหญ่ของห้องขังก็ซื้อแฮม เนื้อสุนัข น่องไก่จำนวนมาก และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายแล้ว เขาก็สั่งให้ผมจ่าย ผมพูดว่าผมไม่มีเงิน เขาก็เลยพูดอย่างสารเลวว่า “ถ้าแกไม่มีเงิน ฉันจะทรมานแกอย่างช้าๆ!” วันถัดมา เขาให้ผมซักผ้าปูที่นอน เสื้อผ้า และถุงเท้า เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ในสถานกักกันก็ให้ผมซักถุงเท้าของพวกเขาด้วยเหมือนกัน ในสถานที่กักกันนั้น ผมจำเป็นที่จะต้องสู้ทนการทุบตีของพวกเขาเกือบจะทุกวัน เมื่อใดก็ตามที่ผมไม่สามารถทนได้อีกแล้ว ผมก็จะคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ในระหว่างเวลาของเจ้าบนแผ่นดินโลก เจ้าต้องทำหน้าที่สุดท้ายของเจ้าเพื่อพระเจ้า ในอดีต เปโตรได้ถูกตรึงกางเขนโดยห้อยหัวลงเพื่อประโยชน์แห่งพระเจ้า แต่เจ้าควรทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในบทอวสาน และใช้พลังงานทั้งหมดของเจ้าให้หมดไปเพื่อประโยชน์ของพระองค์ สิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างสามารถทำสิ่งใดในพระนามของพระเจ้าได้? เพราะฉะนั้น เจ้าควรยอมถวายตัวเจ้าเองต่อพระเจ้าโดยเร็วแทนที่จะเป็นภายหลัง เพื่อให้พระองค์ทรงจัดการกับเจ้าตามที่พระองค์ทรงปรารถนา ตราบเท่าที่มันทำให้พระเจ้าทรงมีความสุขและพอพระทัย ตราบนั้นก็ปล่อยให้พระองค์ทรงทำตามที่พระองค์ทรงประสงค์กับเจ้า พวกมนุษย์มีสิทธิอันใดที่จะกล่าวคำร้องทุกข์เล่า?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่งพระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 41) พระวจนะของพระเจ้าได้มอบพลังให้กับผม ถึงแม้ว่าบางครั้งผมจะยังคงตกอยู่ภายใต้การโจมตี การทารุณกรรม การกล่าวโทษ และการทุบตีจากบรรดานักโทษ แต่ด้วยการทรงนำของพระวจนะของพระเจ้า ผมได้รับการชูใจอยู่ภายในและไม่ได้รู้สึกเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว
ครั้งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นายหนึ่งนำตัวผมไปยังสำนักงานของพวกเขา ผมเห็นผู้คนมากกว่าสิบสองคนจ้องผมด้วยท่าทางประหลาด หนึ่งในบรรดาผู้คนเหล่านี้ถือกล้องวิดีโอตรงหน้าผมค่อนไปทางซ้ายมือของผม ในขณะที่อีกคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผมพร้อมด้วยไมโครโฟน และถามว่า “เหตุใดคุณจึงเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์?” นั่นเป็นเวลาที่ผมตระหนักว่านี่เป็นการสัมภาษณ์ของสื่อ ดังนั้น ผมจึงตอบไปด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนแบบภาคภูมิใจว่า “ตั้งแต่ตอนที่ผมยังเล็กอยู่ ผมได้ตกอยู่ภายใต้การรังแกและความเย็นชาของผู้คนบ่อยครั้ง และผมก็ได้เห็นผู้คนหลอกลวงกันและกันและเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ผมรู้สึกว่าสังคมนี้มืดมนเกินไป เต็มไปด้วยความเสี่ยงอันตรายเกินไป ผู้คนดำรงชีวิตที่ว่างเปล่าและอับจนหนทาง โดยไม่มีสิ่งใดให้มองไปข้างหน้าและไม่มีเป้าหมายในชีวิตเลย ต่อมา เมื่อใครคนหนึ่งประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับผม ผมจึงเริ่มเชื่อในข่าวประเสริฐนั้น หลังจากที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมได้รู้สึกว่าผู้เชื่อคนอื่นๆ ปฏิบัติต่อผมดังเช่นครอบครัว ไม่มีใครในคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์วางแผนร้ายใส่ผม ทุกคนเปี่ยมความเข้าใจและใส่ใจต่อกัน พวกเขาดูแลเอาใจใส่กันและกัน และไม่กลัวที่จะพูดสิ่งซึ่งอยู่ในจิตใจของพวกเขา ในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมได้พบจุดประสงค์และค่านิยมของชีวิต ผมคิดว่าการที่เชื่อในพระเจ้านั้นช่างดีงามเลยทีเดียว” แล้วผู้สื่อข่าวคนนั้นก็ถามว่า “คุณรู้ไหมว่าทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่?” ผมตอบไปว่า “ตั้งแต่ที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมก็ใส่ใจเกี่ยวกับชื่อเสียงและผลประโยชน์ทางโลกน้อยลง และผมก็รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ว่างเปล่าและไร้ความหมาย ต่อเมื่อผมสามารถเป็นบุคคลที่ดีและใช้เส้นทางที่ถูกต้องได้เท่านั้น ผมจึงสามารถดำรงชีวิตในหนทางที่ชอบธรรมได้ หัวใจของผมกำลังหันเข้าหาความใจดีมีเมตตายิ่งขึ้นทุกที และผมก็เต็มใจยิ่งขึ้นทุกทีที่จะเป็นบุคคลที่ดี เมื่อได้เห็นว่า พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สามารถเปลี่ยนผู้คนได้โดยแท้จริงอย่างไรและนำทางผู้คนให้ใช้เส้นทางที่ถูกต้องได้อย่างไร ผมจึงคิดว่า หากมวลมนุษย์ทั้งปวงสามารถเชื่อในพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้ว ประเทศของพวกเราก็คงจะเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่านี้มาก และอัตราอาชญากรรมก็คงจะลดลง ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะบอกข่าวดีนี้แก่ผู้คนอื่นๆ แต่ผมไม่เคยได้รู้ว่า ความประพฤติดีเช่นนั้นจะถูกสั่งห้ามในประเทศจีน และเมื่อเป็นเช่นนั้น ผมจึงถูกจับกุมและถูกนำตัวมาที่นี่” ผู้สื่อข่าวคนนั้นเห็นว่าคำตอบของผมไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา เขาก็เลยหยุดการสัมภาษณ์ทันทีแล้วก็จากไป ณ ชั่วขณะนั้น รองหัวหน้ากองกำลังความมั่นคงแห่งชาติโกรธมากเสียจนเขากระทืบเท้าของเขาไม่หยุด เขาจ้องผมอย่างสารเลว พลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของเขาและกระซิบว่า “แกคอยดูก็แล้วกัน!” แต่ผมไม่ได้กลัวคำขู่หรือการข่มขู่ของเขาเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างลึกซึ้งที่ได้มีความสามารถที่จะเป็นพยานให้พระเจ้าในวาระโอกาสเช่นนั้น และที่มากกว่านั้นคือ ผมได้มอบพระสิริแด่พระเจ้าสำหรับการยกย่องพระนามของพระเจ้าและการทำให้ซาตานปราชัย
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งดูแลรับผิดชอบคดีของผมก็สอบปากคำผมอีก ครั้งนี้ เขาไม่ได้ใช้การทรมานเพื่อพยายามรีดเอาคำสารภาพ และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเปลี่ยนไปเป็นการใช้โฉมหน้า “ใจดีมีเมตตา” ในการถามผมว่า “ใครคือผู้นำของนาย? ฉันจะให้โอกาสนายอีกครั้ง ถ้านายบอกพวกเรา นายก็จะไม่เป็นอะไร ฉันจะแสดงให้นายเห็นความปรานีอันยิ่งใหญ่ อันที่จริงแล้วนายก็ไม่มีความผิดอะไรนะ แต่คนอื่นๆ ดันหักหลังนาย แล้วแบบนี้ จะแก้ตัวแทนพวกเขาไปทำไมกัน? ดูเหมือนนายเป็นคนดีจริงๆ แล้วจะเอาชีวิตนายไปให้พวกเขาทำไม? ถ้านายบอกพวกเรา นายก็สามารถกลับบ้านได้ จะอยู่ทนทุกข์ที่นี่ไปทำไม?” คนหน้าซื่อใจคดสองหน้าเหล่านี้เห็นว่าไม้แข็งนั้นไม่ได้ผล ดังนั้น พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะลองใช้ไม้นวม พวกเขาช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยเล่ห์กลแบบฉลาดแกมโกงและช่างเป็นปรมาจารย์ด้านการวางเพทุบายและการหลอกใช้! โฉมหน้าแบบหน้าซื่อใจคดนั้นของเขา ทำให้หัวใจของผมเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีให้กับปีศาจฝูงนี้ ผมพูดกับเขาว่า “ผมได้บอกทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมรู้ไปกับคุณหมดแล้ว ผมไม่รู้อะไรอื่นอีก” เขาเห็นจุดยืนอันเด็ดเดี่ยวของผม และเห็นว่าเขาไม่สามารถได้อะไรจากผมเลย เขาจึงเดินจากไปอย่างห่อเหี่ยว
หลังจากถูกกักตัวไว้ที่สถานกักกันเป็นเวลาครึ่งเดือน ผมมาได้รับการปล่อยตัวก็ภายหลังจากที่ตำรวจขอให้ครอบครัวของผมจ่ายค่าประกันตัวเป็นเงิน 8,000 หยวนแล้วเท่านั้นเอง แต่พวกเขาเตือนผมไม่ให้ไปไหน และเตือนว่าผมต้องอยู่บ้านและรับประกันว่าต้องพร้อมเมื่อเรียกหา ต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ตัดสินลงโทษผมให้ได้รับโทษจำคุกเป็นกำหนดเวลาตายตัวหนึ่งปี โดยให้รอลงอาญาไว้สองปี ด้วยข้อกล่าวหาซึ่งปราศจากเหตุผลรองรับที่ว่า “ทำการรบกวนความสงบเรียบร้อยของสังคม”
หลังจากได้รับประสบการณ์กับการข่มเหงและความทุกข์ลำบากนี้ ผมมีความเข้าใจและสามารถหยั่งรู้ถึงใบหน้าเยี่ยงปีศาจและแก่นแท้ชั่วของพรรคคอมมิวนิสต์อเทวนิยมแห่งประเทศจีน และได้พัฒนาความเกลียดชังอันฝังลึกที่มีต่อพรรคนี้ พรรคนี้ใช้ความรุนแรงและคำโกหกเพื่อปกป้องสถานภาพของความมีอำนาจครอบงำของพรรคเอง พรรคนี้บ้าคลั่งในการปราบปรามและข่มเหงผู้คนซึ่งเชื่อในพระเจ้า พรรคนี้ใช้เล่ห์กลทุกอย่างในตำราเพื่อขัดขวางและทำให้พระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกหยุดชะงัก และเกลียดชังความจริงอย่างถึงขีดสุด พรรคนี้เป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดของพระเจ้า และยังเป็นศัตรูของคนเหล่านั้นในพวกเราซึ่งเป็นผู้เชื่อด้วยเช่นกัน หลังจากก้าวผ่านความทุกข์ลำบากนี้ ผมสามารถเห็นได้ว่า พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถนำพาชีวิตมาสู่ผู้คนได้ ในยามที่ผมท้อแท้สิ้นหวังที่สุดหรือหรืออยู่ตรงจุดที่หมิ่นเหม่ต่อความตาย เป็นพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่ได้มอบความเชื่อและความกล้าให้กับผม และได้เปิดโอกาสให้ผมยึดมั่นต่อชีวิตอย่างมุ่งมั่นไม่ท้อถอย ขอขอบคุณพระเจ้าที่ได้ทรงอารักขาผมให้ผ่านพ้นวันอันมืดมนที่สุดและลำบากยากเย็นที่สุด ความรักของพระองค์ที่ทรงมีให้ผมนั้น ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน!