ก) เหตุที่พระเจ้าทรงมีพระนามที่แตกต่างกันในยุคต่างๆ และนัยสำคัญของพระนามของพระองค์
ถ้อยคำจากพระคัมภีร์
“พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสอีกว่า ‘เจ้าจงกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า “พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพวกท่าน คือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาพวกท่าน” นี่เป็นนามของเราตลอดไปเป็นนิตย์ เป็นอนุสรณ์ของเราตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์’” (อพยพ 3:15)
“ก็มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า ‘โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของท่านเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ เธอจะให้พระกำเนิดบุตรชาย แล้วจงเรียกนามท่านว่า เยซู เพราะว่าท่านจะทรงช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากบาปของพวกเขา’” (มัทธิว 1:20-21)
“พระเจ้าผู้ทรงเป็นอยู่ ผู้ทรงเคยเป็นอยู่ ผู้ที่จะเสด็จมา และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ตรัสว่า ‘เราเป็นอัลฟาและโอเมกา’” (วิวรณ์ 1:8)
“‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ที่ทรงเป็นอยู่และผู้ที่ทรงเคยเป็นอยู่ พวกข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ เพราะพระองค์ทรงถือครองฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์แล้ว และทรงเริ่มครอบครอง’” (วิวรณ์ 11:17)
พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย
พระราชกิจของพระเจ้าตลอดระยะเวลาแห่งการบริหารจัดการทั้งหมดของพระองค์มีความชัดเจนอย่างที่สุด กล่าวคือ ยุคพระคุณก็คือยุคพระคุณ และยุคสุดท้ายก็คือยุคสุดท้าย มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างแต่ละยุค เพราะในแต่ละยุค พระเจ้าทรงพระราชกิจที่เป็นตัวแทนของยุคนั้นๆ สำหรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายที่จะทรงทำนั้น ต้องมีการเผาไหม้ การพิพากษา การตีสอน พระพิโรธ และการทำลายล้าง เพื่อสิ้นสุดยุค ยุคสุดท้ายหมายถึงยุคอันดับสุดท้าย ในระหว่างยุคอันดับสุดท้าย พระเจ้าจะไม่ทรงนำยุคให้ไปถึงปลายทางหรอกหรือ? เพื่อสิ้นสุดยุค พระเจ้าต้องทรงนำการตีสอนและการพิพากษามาพร้อมกับพระองค์ มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่พระองค์จะสามารถนำยุคไปถึงปลายทางได้ จุดประสงค์ของพระเยซูคือเพื่อที่มนุษย์อาจจะรอดชีวิตต่อไป มีชีวิตอยู่ต่อไป และเพื่อที่เขาอาจจะดำรงอยู่ในหนทางที่ดีขึ้น พระองค์ทรงช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปเพื่อที่เขาอาจจะยุติการถลำตัวลงสู่ความต่ำทราม และไม่ใช้ชีวิตอยู่ในแดนคนตายและในนรกอีกต่อไป และโดยการช่วยมนุษย์ให้รอดจากแดนคนตายและนรก พระเยซูก็ได้ทรงเปิดโอกาสให้เขาดำรงชีวิตต่อไป บัดนี้ยุคสุดท้ายได้มาถึงแล้ว พระเจ้าจะทรงทำลายล้างมนุษย์และทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สิ้น นั่นก็คือ พระองค์จะทรงแปลงสภาพการกบฏของมวลมนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะทรงสิ้นสุดยุคนี้หรือทำให้แผนการบริหารจัดการที่ยาวนานหกพันปีของพระองค์บังเกิดผลด้วยพระอุปนิสัยในอดีตที่สงสารเห็นใจและเปี่ยมรัก ทุกยุคแสดงลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งแห่งพระอุปนิสัยของพระเจ้า และทุกยุคบรรจุพระราชกิจที่พระเจ้าควรต้องทำ ดังนั้นพระราชกิจที่กระทำโดยพระเจ้าพระองค์เองในแต่ละยุคจึงมีการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระองค์ และทั้งพระนามของพระองค์และพระราชกิจที่พระองค์ทำจึงเปลี่ยนไปพร้อมกับยุค—ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งใหม่ ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติ พระราชกิจแห่งการนำมวลมนุษย์กระทำภายใต้พระนามของพระยาห์เวห์ และพระราชกิจช่วงระยะแรกได้เริ่มขึ้นบนแผ่นดินโลก ในช่วงระยะแรกเริ่มนี้ พระราชกิจประกอบด้วยการสร้างพระวิหารและแท่นบูชา และการใช้ธรรมบัญญัติมานำประชากรแห่งอิสราเอลและเพื่อทรงพระราชกิจในท่ามกลางพวกเขา โดยการทรงนำประชากรแห่งอิสราเอลนี้ พระองค์ได้ทรงเปิดตัวฐานรากแห่งพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก จากฐานรากนี้ พระองค์ได้แผ่ขยายพระราชกิจของพระองค์ออกไปนอกอิสราเอล ซึ่งหมายความว่าพระองค์ได้ขยายพระราชกิจของพระองค์ออกไปโดยตั้งต้นจากอิสราเอล เพื่อให้คนรุ่นหลังค่อยๆ มารู้ว่าพระยาห์เวห์คือพระเจ้า และรู้ว่าพระยาห์เวห์นั่นเองคือผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่ง และรู้ว่าพระยาห์เวห์นั่นเองคือผู้สร้างสิ่งมีชีวิตทั้งปวง พระองค์เผยแพร่พระราชกิจของพระองค์ผ่านทางประชากรแห่งอิสราเอล พ้นตัวพวกเขาออกไป แผ่นดินอิสราเอลคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งแรกในพระราชกิจของพระยาห์เวห์บนแผ่นดินโลก และเป็นแผ่นดินอิสราเอลนี่เองที่พระเจ้าได้เสด็จมาทรงพระราชกิจบนแผ่นดินโลกเป็นครั้งแรก นั่นคือพระราชกิจแห่งยุคธรรมบัญญัติ ในระหว่างยุคพระคุณนั้น พระเยซูคือพระเจ้าผู้ทรงช่วยมนุษย์ให้รอด สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นคือพระคุณ ความรัก ความสงสาร ความอดกลั้น ความอดทน ความถ่อมพระองค์ ความใส่พระทัย และความยอมผ่อนปรน และพระราชกิจมากมายเหลือเกินที่พระองค์ทำนั้นเป็นไปเพื่อการไถ่มนุษย์ พระอุปนิสัยของพระองค์คืออุปนิสัยแห่งความสงสารและความรัก และเพราะพระองค์ทรงมีความสงสารเห็นใจและเปี่ยมรัก พระองค์จึงต้องถูกตอกตรึงกับกางเขนเพื่อมนุษย์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์เหมือนที่รักพระองค์เอง รักมากจนถึงขนาดที่พระองค์มอบพระองค์เองให้ทั้งหมด ในระหว่างยุคพระคุณ พระนามของพระเจ้าคือเยซู กล่าวคือ พระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงช่วยมนุษย์ให้รอด และพระองค์เป็นพระเจ้าที่สงสารเห็นใจและเปี่ยมรัก พระเจ้าทรงอยู่กับมนุษย์ ความรักของพระองค์ ความสงสารของพระองค์ และความรอดของพระองค์อยู่เคียงข้างบุคคลทุกคน มีเพียงโดยการยอมรับพระนามของพระเยซูและการสถิตของพระองค์เท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถได้รับสันติสุขและความชื่นบานยินดี ได้รับพรจากพระองค์ ได้รับพระคุณอันมากมายและกว้างใหญ่ไพศาลของพระองค์ และความรอดของพระองค์ บรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ล้วนได้รับความรอดและได้รับการอภัยบาปของพวกเขาผ่านทางการตรึงกางเขนพระเยซู ในระหว่างยุคพระคุณ เยซูคือพระนามของพระเจ้า กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระราชกิจในยุคพระคุณนั้นดำเนินการภายใต้พระนามของพระเยซูเป็นหลัก ในระหว่างยุคพระคุณ พระเจ้ามีพระนามว่าเยซู พระองค์ทรงทำช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจใหม่ที่อยู่นอกเหนือพันธสัญญาเดิม และพระราชกิจของพระองค์ก็สิ้นสุดลงด้วยการตรึงกางเขน นี่คือพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ ดังนั้น ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติ ยาห์เวห์คือพระนามของพระเจ้า และในยุคพระคุณนั้น พระนามของพระเยซูคือตัวแทนของพระเจ้า ในระหว่างยุคสุดท้าย พระนามของพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์—องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผู้ทรงใช้ฤทธานุภาพของพระองค์เพื่อนำมนุษย์ พิชิตมนุษย์ และรับมนุษย์เอาไว้ และเพื่อสิ้นสุดยุคในท้ายที่สุด ในทุกยุค ณ ทุกช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเจ้านั้น พระอุปนิสัยของพระองค์เป็นที่ประจักษ์ชัด
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)
“พระยาห์เวห์” คือชื่อที่เราใช้ในช่วงระหว่างงานของเราในอิสราเอล และหมายถึงพระเจ้าของคนอิสราเอล (ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร) ที่สามารถเวทนามนุษย์ สาปแช่งมนุษย์ และนำทางชีวิตของมนุษย์ พระเจ้าผู้ทรงครองมหาฤทธานุภาพและเปี่ยมไปด้วยพระปรีชาญาณ “พระเยซู” คือ อิมมานูเอล ซึ่งหมายถึงเครื่องบูชาลบล้างบาปอันเปี่ยมไปด้วยความรัก เปี่ยมไปด้วยความสงสาร และไถ่บาปให้มนุษย์ พระองค์ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจของยุคพระคุณ และพระองค์ทรงเป็นตัวแทนยุคพระคุณ และสามารถเป็นตัวแทนได้เพียงหนึ่งส่วนของพระราชกิจของแผนการบริหารจัดการเท่านั้น กล่าวคือ พระยาห์เวห์เท่านั้นที่ทรงเป็นพระเจ้าของประชากรแห่งอิสราเอลผู้ได้รับการเลือกสรร พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค พระเจ้าของยาโคบ พระเจ้าของโมเสส และพระเจ้าของประชาชนทั้งหมดของประเทศอิสราเอล และดังนั้น ในยุคปัจจุบัน คนอิสราเอลทุกคน นอกเหนือจากผู้คนชาวยิว จึงนมัสการพระยาห์เวห์ พวกเขาทำเครื่องถวายแด่พระองค์บนแท่นบูชาและรับใช้พระองค์ในวิหารโดยสวมเสื้อคลุมของพวกปุโรหิตทั้งหลาย สิ่งที่พวกเขาหวังก็คือการทรงปรากฏใหม่ของพระยาห์เวห์ พระเยซูเท่านั้นคือพระผู้ไถ่ของมวลมนุษย์ และพระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปที่ได้ไถ่มวลมนุษย์ให้พ้นจากบาป กล่าวคือ พระนามของพระเยซูมาจากยุคพระคุณและได้มาดำรงอยู่เพราะพระราชกิจแห่งการไถ่ในยุคพระคุณ พระนามของพระเยซูได้มาดำรงอยู่เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนของยุคพระคุณได้เกิดใหม่และได้รับการช่วยให้รอด และเป็นพระนามเฉพาะสำหรับการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง ด้วยเหตุนี้ พระนามของพระเยซูจึงเป็นตัวแทนพระราชกิจแห่งการไถ่ และบ่งบอกถึงยุคพระคุณ พระนามพระยาห์เวห์เป็นชื่อเฉพาะสำหรับประชาชนอิสราเอลที่ได้ใช้ชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติ ในแต่ละยุคและแต่ละช่วงระยะในงานของเรา ชื่อของเรานั้นใช่ว่าไม่มีพื้นฐานที่มา แต่ถือครองนัยสำคัญเชิงตัวแทน กล่าวคือ แต่ละชื่อเป็นตัวแทนหนึ่งยุค
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน “เมฆขาว” แล้ว
ยุคพระคุณเริ่มต้นด้วยพระนามของพระเยซู เมื่อพระเยซูทรงเริ่มปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงเริ่มเป็นพยานยืนยันให้แก่พระนามของพระเยซู และไม่มีการกล่าวถึงพระนามของพระยาห์เวห์อีกต่อไป พระวิญญาณบริสุทธิ์ดำเนินพระราชกิจใหม่นี้ภายใต้พระนามของพระเยซูเป็นสำคัญแทน บรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์ก็เป็นคำพยานให้พระเยซูคริสต์ และงานที่พวกเขาทำก็เป็นไปเพื่อพระเยซูคริสต์เช่นกัน การสรุปปิดตัวยุคธรรมบัญญัติภาคพันธสัญญาเดิมหมายความว่าพระราชกิจที่ดำเนินการภายใต้พระนามของพระยาห์เวห์เป็นสำคัญได้ถึงกาลสิ้นสุดแล้ว นับแต่นี้ไป พระนามของพระเจ้าไม่ใช่พระยาห์เวห์อีกต่อไป แต่พระองค์ทรงพระนามว่าเยซูแทน และจากจุดนี้ไป พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เริ่มต้นพระราชกิจภายใต้พระนามของพระเยซูเป็นสำคัญ ดังนั้นผู้คนที่ยังคงกินและดื่มพระวจนะของพระยาห์เวห์อยู่ในวันนี้ และยังคงทำทุกสิ่งทุกอย่างตามพระราชกิจของยุคธรรมบัญญัติ—เจ้าไม่ได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อยู่อย่างมืดบอดหรอกหรือ? เจ้ามิได้ติดอยู่ในอดีตหรอกหรือ? บัดนี้พวกเจ้ารู้ว่ายุคสุดท้ายได้มาถึงแล้ว เป็นไปได้หรือที่เมื่อพระเยซูเสด็จมาในวันนี้ พระองค์จะยังคงมีพระนามว่าเยซู? พระยาห์เวห์ตรัสบอกประชากรแห่งอิสราเอลว่า พระเมสสิยาห์กำลังจะเสด็จมา แต่ทว่าเมื่อพระเมสสิยาห์เสด็จมา พระองค์ก็มิได้ทรงพระนามว่าเมสสิยาห์ แต่เป็นเยซู พระเยซูตรัสว่าพระองค์จะเสด็จมาอีกครั้ง และว่าพระองค์กำลังเสด็จมาเพราะพระองค์ได้ทรงออกเดินทางแล้ว เหล่านี้คือพระวจนะของพระเยซู แต่เจ้าเห็นวิธีออกเดินทางของพระเยซูหรือ? พระเยซูประทับบนเมฆขาวจากไป แต่เป็นไปได้หรือที่พระองค์จะทรงเมฆขาวกลับมาในท่ามกลางมนุษย์ด้วยพระองค์เอง? หากเป็นเช่นนั้น พระองค์จะไม่ทรงพระนามว่าเยซูอยู่อีกหรอกหรือ? เมื่อพระเยซูเสด็จมาอีกครั้ง ยุคย่อมจะเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นพระองค์จะยังคงมีพระนามว่าเยซูอยู่ได้หรือ? หรือว่าพระเจ้าสามารถเป็นที่รู้จักได้ในพระนามของพระเยซูเท่านั้น? พระองค์มิอาจมีพระนามใหม่ในยุคใหม่หรอกหรือ? รูปลักษณ์ของบุคคลหนึ่งและชื่อเฉพาะชื่อหนึ่งสามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์กระนั้นหรือ? ในแต่ละยุค พระเจ้าทรงพระราชกิจใหม่และมีพระนามใหม่ พระองค์จะทำพระราชกิจเดียวกันในยุคที่แตกต่างกันได้อย่างไร? พระองค์จะทรงยึดติดอยู่กับสิ่งเดิมได้อย่างไร? พระนามของพระเยซูนั้นใช้ทำพระราชกิจแห่งการไถ่ ดังนั้นพระองค์จะยังคงใช้พระนามเดียวกันเมื่อพระองค์เสด็จกลับมาในยุคสุดท้ายหรือ? พระองค์จะยังทรงพระราชกิจแห่งการไถ่อยู่อีกหรือ? เหตุใดจึงเป็นว่าพระยาห์เวห์กับพระเยซูคือหนึ่งเดียวกัน ทว่าทั้งสององค์กลับมีพระนามที่ต่างกันในยุคที่ต่างกัน? มิใช่เพราะว่ายุคแห่งพระราชกิจของทั้งสององค์นั้นแตกต่างกันหรอกหรือ? ชื่อเพียงชื่อเดียวสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์หรือ? เมื่อเป็นเช่นนี้ พระเจ้าจึงต้องมีพระนามที่ต่างกันในยุคที่ต่างออกไป และพระองค์ต้องใช้พระนามนั้นๆ มาเปลี่ยนแปลงยุคและเป็นตัวแทนยุคนั้น เพราะชื่อเพียงชื่อเดียวไม่สามารถแทนพระเจ้าพระองค์เองได้อย่างเต็มเปี่ยม และแต่ละชื่อสามารถเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าในยุคหนึ่งๆ ได้เฉพาะในแง่มุมที่เกี่ยวกับยุคเท่านั้น ทั้งหมดที่ชื่อหนึ่งต้องทำก็คือเป็นตัวแทนพระราชกิจของพระองค์ ดังนั้นพระเจ้าจึงสามารถเลือกพระนามใดก็ได้ที่เหมาะสมกับพระอุปนิสัยของพระองค์เพื่อเป็นตัวแทนยุคนั้นทั้งยุค
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)
เมื่อพระเยซูเสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ การนั้นอยู่ภายใต้การชี้นำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงทำตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงต้องประสงค์ และมิได้เป็นไปตามยุคธรรมบัญญัติภาคพันธสัญญาเดิม หรือตามพระราชกิจของพระยาห์เวห์ ถึงแม้ว่าพระราชกิจที่พระเยซูเสด็จมาทำนั้นมิใช่เพื่อปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์หรือพระบัญญัติของพระยาห์เวห์ แต่ต้นกำเนิดของทั้งสองพระองค์ก็คือหนึ่งเดียวกัน พระราชกิจที่พระเยซูทำเป็นตัวแทนพระนามของพระเยซู และเป็นตัวแทนยุคพระคุณ ส่วนพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทำก็เป็นตัวแทนของพระยาห์เวห์ และเป็นตัวแทนยุคธรรมบัญญัติ พระราชกิจของทั้งสองพระองค์คือพระราชกิจของพระวิญญาณหนึ่งเดียวในสองยุคที่แตกต่างกัน… ถึงแม้ว่าทั้งสองพระองค์มีสองพระนามที่แตกต่างกัน แต่ก็เป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวกันที่ทำให้พระราชกิจทั้งสองช่วงระยะสำเร็จลุล่วงไป และพระราชกิจที่ทำไปนั้นก็ดำเนินต่อเนื่องกัน เมื่อพระนามแตกต่างกัน และเนื้อหาของพระราชกิจแตกต่างกัน ยุคจึงแตกต่างกัน เมื่อพระยาห์เวห์เสด็จมา นั่นคือยุคของพระยาห์เวห์ และเมื่อพระเยซูเสด็จมา นั่นก็คือยุคของพระเยซู และดังนั้น ด้วยการเสด็จมาแต่ละครั้ง พระเจ้าจึงใช้พระนามหนึ่ง พระองค์ทรงแทนยุคหนึ่ง และพระองค์ทรงเปิดตัวเส้นทางใหม่ และในเส้นทางใหม่แต่ละเส้นทางนั้น พระองค์ก็ใช้พระนามใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า และแสดงให้เห็นว่าพระราชกิจของพระองค์ไม่มีวันหยุดเคลื่อนไปในทิศทางข้างหน้า ประวัติศาสตร์เคลื่อนไปข้างหน้าอยู่เสมอ และพระราชกิจของพระเจ้าก็เคลื่อนไปข้างหน้าเสมอ แผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์ต้องก้าวหน้าต่อไปในทิศทางข้างหน้าเพื่อให้บรรลุถึงปลายทาง แต่ละวันพระองค์ต้องทรงพระราชกิจใหม่ แต่ละปีพระองค์ต้องทรงพระราชกิจใหม่ พระองค์ต้องทรงเปิดตัวเส้นทางใหม่ เปิดตัวยุคใหม่ เริ่มต้นพระราชกิจใหม่ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น และนำพระนามใหม่และพระราชกิจใหม่มาพร้อมกับสิ่งเหล่านี้
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)
สมมุติว่าพระราชกิจของพระเจ้าในทุกยุคเป็นแบบเดียวกันเสมอ และพระองค์ใช้พระนามเดียวกันอยู่เสมอ มนุษย์จะรู้จักพระองค์ได้อย่างไร? พระเจ้าต้องมีพระนามว่ายาห์เวห์ และนอกเหนือจากพระเจ้าที่เรียกว่าพระยาห์เวห์แล้ว ผู้ที่ถูกเรียกด้วยชื่ออื่นย่อมไม่ใช่พระเจ้า หรือมิฉะนั้นพระเจ้าก็จะเป็นได้แต่พระเยซูเท่านั้น และนอกเหนือจากพระนามว่าเยซูแล้ว พระองค์ไม่อาจมีพระนามอื่นได้ นอกเหนือจากพระเยซูแล้ว พระยาห์เวห์ก็ไม่ใช่พระเจ้า และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็ไม่ใช่พระเจ้าเช่นกัน มนุษย์เชื่อว่า พระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์จริง แต่พระเจ้าคือพระเจ้าที่อยู่กับมนุษย์ และพระองค์ต้องมีพระนามว่าเยซู เพราะพระเจ้าทรงอยู่กับมนุษย์ การทำแบบนี้คือการคล้อยตามคำสอน และการจำกัดพระเจ้าไว้ในวงเขตหนึ่งๆ ดังนั้นพระราชกิจที่พระเจ้าทำ พระนามที่พระเจ้ามี และพระฉายาที่พระองค์ใช้ในทุกยุค—พระราชกิจที่พระองค์ทำในทุกช่วงระยะเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้—ทั้งหมดนี้มิได้เป็นไปตามกฎระเบียบอันใด และมิได้อยู่ภายใต้ขีดจำกัดใดๆ พระองค์คือพระยาห์เวห์ แต่พระองค์ก็คือพระเยซู รวมถึงพระเมสสิยาห์ และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ด้วย พระราชกิจของพระองค์สามารถก้าวผ่านการแปลงสภาพทีละน้อย ด้วยการเปลี่ยนพระนามของพระองค์ให้สอดคล้องกัน ชื่อเดียวไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระองค์ได้อย่างครบถ้วน แต่พระนามทั้งหมดที่ใช้เรียกขานพระองค์นั้นสามารถเป็นตัวแทนของพระองค์ได้ และพระราชกิจที่พระองค์ทำในทุกยุคคือตัวแทนพระอุปนิสัยของพระองค์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)
พระนามของพระเยซู—ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าทรงอยู่กับเรา”—สามารถเป็นตัวแทนแห่งพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์หรือไม่? พระนามนี้สามารถแสดงออกถึงพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนหรือไม่? หากมนุษย์กล่าวว่าพระเจ้าสามารถทรงพระนามว่าเยซูเท่านั้น และมิอาจมีพระนามอื่นเพราะพระเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนพระอุปนิสัยของพระองค์ได้ ถ้อยคำเหล่านี้ย่อมเป็นการหมิ่นประมาทอย่างแท้จริง! เจ้าเชื่อหรือว่าพระนามเยซู ซึ่งแปลว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา เพียงพระนามเดียวนั้นสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์? พระเจ้าอาจได้รับการเรียกขานด้วยพระนามมากมาย แต่ท่ามกลางพระนามอันมากมายนี้ ไม่มีสักพระนามหนึ่งที่สามารถครอบคลุมทั้งหมดของพระเจ้าได้ ไม่มีสักพระนามหนึ่งที่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน และดังนั้นพระเจ้าจึงมีพระนามมากมาย แต่พระนามอันมากมายนี้ไม่สามารถแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน เพราะพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นอุดมมากเสียจนเกินความสามารถของมนุษย์ที่จะรู้จักพระองค์ได้ ไม่มีทางเลยที่มนุษย์จะใช้ภาษาของมวลมนุษย์มาบรรยายสรุปพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน มวลมนุษย์มีคำศัพท์ไว้ใช้สรุปใจความของทุกสิ่งที่พวกเขารู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างจำกัดเท่านั้น ได้แก่ ยิ่งใหญ่ ทรงเกียรติ มหัศจรรย์ มิอาจหยั่งถึง สูงสุด บริสุทธิ์ ชอบธรรม ทรงปัญญา และอื่นๆ ช่างมากมายหลายคำนัก! แต่คำศัพท์ที่มีอยู่อย่างจำกัดนี้ไม่สามารถที่จะพรรณนาส่วนน้อยนิดที่มนุษย์ได้รู้เห็นเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้ เมื่อเวลาผ่านไป คนอื่นอีกมากได้เพิ่มคำศัพท์ที่พวกเขาคิดว่าสามารถพรรณนาความรู้สึกอันแรงกล้าในหัวใจของพวกเขาได้ดีขึ้น ได้แก่ พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เหลือเกิน! พระเจ้าทรงบริสุทธิ์เหลือเกิน! พระเจ้าทรงดีงามเหลือเกิน! วันนี้คำกล่าวของมนุษย์เช่นที่ยกมานี้ได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว กระนั้นมนุษย์ก็ยังคงไม่สามารถแสดงความรู้สึกนึกคิดของตนเองออกมาได้อย่างชัดเจน และดังนั้น สำหรับมนุษย์แล้ว พระเจ้าจึงมีพระนามมากมาย กระนั้นพระองค์ก็มิได้มีพระนามเดียว และนี่เป็นเพราะสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นนั้นช่างอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก และภาษาของมนุษย์ก็ขัดสนเหลือเกิน คำเฉพาะหรือชื่อเฉพาะเพียงหนึ่งเดียวไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ดังนี้แล้วเจ้าคิดหรือว่าพระนามของพระองค์จะสามารถคงที่ดังเดิมได้? พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ยิ่งนักและบริสุทธิ์ยิ่งนัก แต่ทว่าเจ้าจะไม่ยินยอมให้พระองค์เปลี่ยนพระนามของพระองค์ในยุคใหม่แต่ละยุคกระนั้นหรือ? ดังนั้น ในทุกยุคที่พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์เองด้วยพระองค์เองนั้น พระองค์จึงใช้พระนามที่เหมาะกับยุคเพื่อสรุปใจความของพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ พระองค์ใช้พระนามเฉพาะนี้ ซึ่งเป็นพระนามที่มีนัยสำคัญเกี่ยวกับยุค เพื่อเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระองค์ในยุคนั้น นี่คือการที่พระเจ้าทรงใช้ภาษาของมวลมนุษย์เพื่อแสดงพระอุปนิสัยของพระองค์เอง กระนั้นก็ตาม ผู้คนมากมายที่มีประสบการณ์ทางวิญญาณและได้เห็นพระเจ้าด้วยตนเองมาแล้วก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่าพระนามเฉพาะพระนามหนึ่งนี้ไม่สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ได้—อนิจจา เช่นนี้ก็ช่วยไม่ได้—ดังนั้นมนุษย์จึงไม่เรียกพระเจ้าด้วยพระนามใดอีกต่อไป เพียงเรียกพระองค์อย่างง่ายๆ ว่า “พระเจ้า” เท่านั้น เป็นราวกับว่าหัวใจของมนุษย์เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก แต่ก็ถูกความขัดแย้งรุมเร้าด้วย เพราะมนุษย์ไม่รู้ว่าจะอธิบายถึงพระเจ้าอย่างไร สิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นนั้นอุดมสมบูรณ์ยิ่งนักจนกระทั่งไม่มีหนทางที่จะพรรณนาถึงได้โดยง่าย ไม่มีชื่อใดที่สามารถสรุปพระอุปนิสัยของพระเจ้าไว้ในชื่อเดียวได้ และไม่มีชื่อใดที่สามารถพรรณนาทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นไว้ในชื่อเดียวได้ หากมีใครถามเราว่า “พระองค์ใช้พระนามว่ากระไรกันแน่?” เราจะบอกพวกเขาว่า “พระเจ้าก็คือพระเจ้า!” นั่นมิใช่พระนามที่ดีที่สุดสำหรับพระเจ้าหรอกหรือ? นั่นมิใช่การสรุปความถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ดีที่สุดหรอกหรือ? เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดพวกเจ้าจึงใช้ความพยายามมากมายเช่นนั้นเพื่อแสวงหาพระนามของพระเจ้า? เหตุใดพวกเจ้าจึงพยายามใช้สมอง ไม่กินไม่นอน เพียงเพื่อชื่อชื่อหนึ่ง? วันนั้นจะมาถึง เมื่อพระเจ้าจะไม่ได้ทรงพระนามว่ายาห์เวห์ เยซู หรือเมสสิยาห์—แต่พระองค์จะเป็นเพียงพระผู้สร้าง เมื่อนั้นพระนามทั้งหมดที่พระองค์มีบนแผ่นดินโลกย่อมจะถึงกาลสิ้นสุด เพราะพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกย่อมจะถึงกาลสิ้นสุดแล้ว และหลังจากนั้นจะไม่มีพระนามทั้งหลายของพระองค์อีกแล้ว เมื่อสรรพสิ่งมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง พระองค์จะต้องประสงค์พระนามที่เหมาะสมยิ่ง แต่ไม่ครบบริบูรณ์ ไปเพื่อสิ่งใด? ขณะนี้เจ้ายังคงแสวงหาพระนามของพระเจ้าอยู่หรือไม่? เจ้ายังกล้าที่จะพูดว่าพระเจ้าทรงพระนามว่ายาห์เวห์เท่านั้นหรือไม่? เจ้ายังคงกล้าที่จะพูดว่าพระเจ้าทรงพระนามได้ว่าเยซูเท่านั้นหรือไม่? เจ้าสามารถแบกรับบาปแห่งการหมิ่นประมาทพระเจ้าได้หรือ? เจ้าควรรู้ว่าเดิมทีนั้นพระเจ้าไม่มีพระนาม พระองค์เพียงใช้พระนามหนึ่ง หรือสอง หรือหลายพระนามก็เพราะพระองค์มีพระราชกิจต้องทำและต้องทรงบริหารจัดการมวลมนุษย์เท่านั้น ไม่ว่าพระนามใดที่พระองค์ใช้—พระองค์มิได้ทรงเลือกเด้วยพระองค์เองโดยเสรีหรอกหรือ? พระองค์จำเป็นจะต้องให้เจ้า—ซึ่งเป็นหนึ่งในสรรพสิ่งทรงสร้างของพระองค์—มาตัดสินใจให้กระนั้นหรือ? พระนามที่พระเจ้าใช้ก็คือพระนามที่สอดคล้องกับสิ่งที่มนุษย์สามารถทำความเข้าใจได้ สอดคล้องกับภาษาของมวลมนุษย์ แต่พระนามนี้ไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์สามารถสรุปความได้ เจ้าสามารถพูดได้เพียงว่ามีพระเจ้าในสวรรค์ ว่าพระองค์ทรงได้รับการเรียกขานว่าพระเจ้า ว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ ทรงพระปัญญายิ่งนัก เป็นที่ยกย่องยิ่งนัก มหัศจรรย์ยิ่งนัก ล้ำลึกยิ่งนัก และทรงมหิทธิฤทธิ์ยิ่งนักเท่านั้น แล้วจากนั้นเจ้าก็ไม่สามารถพูดมากไปกว่านี้ได้อีก สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นี้คือทั้งหมดที่เจ้าสามารถรู้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เพียงแค่พระนามของพระเยซูจะสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าพระองค์เองได้หรือ? เมื่อยุคสุดท้ายมาถึง แม้ว่าพระเจ้าจะยังคงทรงพระราชกิจของพระองค์ แต่พระนามของพระองค์ต้องเปลี่ยนไป เพราะเป็นยุคที่แตกต่างออกไป
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)
“พระยาห์เวห์” ทรงเป็นตัวแทนยุคธรรมบัญญัติ และเป็นพระนามซึ่งแสดงการถวายพระเกียรติซึ่งประชาชนอิสราเอลใช้เรียกพระเจ้าผู้ที่พวกเขานมัสการ “พระเยซู” ทรงเป็นตัวแทนยุคพระคุณ และเป็นพระนามของพระเจ้าของทุกคนที่ได้รับการไถ่ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ หากมนุษย์ยังคงถวิลหาการเสด็จมาถึงของพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย และยังคงคาดหวังว่าพระองค์จะเสด็จมาถึงในพระฉายาที่พระองค์ทรงใช้ในแคว้นยูเดีย เช่นนั้นแล้วแผนการบริหารจัดการสำหรับหกพันปีทั้งหมดทั้งสิ้นก็คงจะหยุดลงไปแล้วในยุคแห่งการไถ่ และคงไม่อาจคืบหน้าไปได้มากกว่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยุคสุดท้ายจะไม่มีวันมาถึง และยุคนั้นจะไม่มีวันถูกนำพาไปถึงบทอวสาน นี่เป็นเพราะพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดทรงดำรงอยู่เพื่อการไถ่และความรอดของมวลมนุษย์เท่านั้น เราได้ใช้ชื่อพระเยซูเพียงเพื่อประโยชน์ของคนบาปทั้งหมดในยุคพระคุณเท่านั้น แต่ไม่ใช่ชื่อที่เราจะใช้เพื่อนำพามวลมนุษย์ทั้งปวงไปสู่บทอวสาน แม้ว่าพระยาห์เวห์ พระเยซู และพระเมสสิยาห์ล้วนแล้วแต่เป็นตัวแทนวิญญาณของเราทั้งสิ้น แต่ชื่อเหล่านี้ก็แค่แสดงถึงยุคที่แตกต่างกันของแผนการบริหารจัดการของเราเท่านั้น และไม่ได้เป็นตัวแทนเราในความครบถ้วนทั้งมวลของเรา ชื่อต่างๆ ซึ่งผู้คนบนแผ่นดินโลกใช้เรียกขานเราไม่สามารถแสดงชัดถึงอุปนิสัยครบถ้วนทั้งมวลของเราและทุกอย่างที่เราเป็นได้ ชื่อเหล่านั้นเป็นเพียงชื่อต่างๆ ซึ่งผู้คนใช้เรียกขานเราระหว่างยุคที่ต่างกันเท่านั้น และดังนั้น เมื่อยุคสุดท้าย—ยุคแห่งวันสุดท้าย—มาถึง ชื่อของเราก็จะเปลี่ยนอีกครั้ง เราจะไม่ถูกเรียกว่าพระยาห์เวห์ หรือพระเยซู นับประสาอะไรที่จะเรียกว่าพระเมสสิยาห์—เราจะถูกเรียกว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงฤทธานุภาพพระองค์เอง และภายใต้ชื่อนี้เราจะนำยุคทั้งยุคไปสู่บทอวสาน ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นที่รู้จักในนามพระยาห์เวห์ เรายังเคยถูกเรียกว่าพระเมสสิยาห์เช่นกัน และครั้งหนึ่งผู้คนเรียกเราว่าพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดด้วยความรักและความเคารพยกย่อง อย่างไรก็ดี ณ วันนี้ เราไม่ใช่พระยาห์เวห์หรือพระเยซูซึ่งผู้คนได้รู้จักในช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกต่อไป เราคือพระเจ้าผู้ที่ได้กลับมาในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ที่จะนำพายุคนี้ไปสู่บทอวสาน เราคือพระเจ้าพระองค์เองซึ่งลุกขึ้นมาจากสุดปลายแผ่นดินโลก สมบูรณ์พร้อมด้วยอุปนิสัยอันครบถ้วนทั้งมวลของเรา และเต็มเปี่ยมไปด้วยสิทธิอำนาจ เกียรติ และสง่าราศี ผู้คนไม่เคยเข้ามาร่วมสัมพันธ์กับเรา ไม่เคยได้รู้จักเรา และไม่รู้เท่าทันในอุปนิสัยของเราตลอดเวลา ตั้งแต่การสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ ไม่มีบุคคลสักคนเดียวที่เคยเห็นเรา นี่คือพระเจ้าผู้ที่ทรงปรากฏต่อมนุษย์ในยุคสุดท้ายแต่ได้ทรงถูกซ่อนไว้ท่ามกลางมนุษย์ พระองค์ทรงอาศัยอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ทรงเที่ยงแท้และเป็นจริง ดุจดวงสุรีย์ที่แผดเผาและเปลวเพลิงที่ลุกโชน ทรงเปี่ยมด้วยฤทธานุภาพและปริ่มล้นด้วยสิทธิอำนาจ ไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกพิพากษาโดยวจนะของเรา และไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกชำระให้บริสุทธิ์ผ่านทางการแผดเผาของไฟ ในท้ายที่สุด ชนชาติทั้งมวลจะได้รับการอวยพรเพราะวจนะของเรา และจะถูกทุบจนแหลกเป็นชิ้นๆ เพราะวจนะของเราเช่นกัน ด้วยวิธีนี้ ผู้คนทั้งหมดในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายจะเห็นว่าเราคือพระผู้ช่วยให้รอดที่ได้กลับมา และเห็นว่าเราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซึ่งพิชิตมวลมนุษย์ทั้งปวง และทุกคนจะเห็นว่าครั้งหนึ่งเราคือเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมนุษย์ แต่เห็นว่าในยุคสุดท้ายเรายังได้กลายเป็นเปลวเพลิงแห่งสุริยันซึ่งเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้เป็นจุณเช่นเดียวกับองค์ตะวันแห่งความชอบธรรมซึ่งเปิดเผยทุกสรรพสิ่งด้วย นี่คืองานของเราในยุคสุดท้าย เราใช้ชื่อนี้และครองอุปนิสัยนี้เพื่อที่ผู้คนทั้งหมดจะได้เห็นว่าเราคือพระเจ้าที่ชอบธรรม ดวงสุรีย์ที่แผดเผา เปลวเพลิงที่ลุกโชน และเพื่อที่ทุกคนจะได้นมัสการเรา พระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว และเพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเรา เราไม่ใช่เพียงแค่พระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น และเราไม่ใช่เพียงพระผู้ไถ่ เราคือพระเจ้าของสิ่งทรงสร้างทั้งมวลทั่วทั้งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและห้วงทะเล
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน “เมฆขาว” แล้ว
วิดีโอที่เกี่ยวข้อง
พระนามใหม่ของพระเจ้า
คำเทศนาที่เกี่ยวข้อง
เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงกลับมาพระองค์จะยังทรงถูกเรียกว่าพระเยซูไหม?
เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง
พระเจ้าทรงใช้พระนามต่างกันเพื่อเป็นตัวแทนยุคที่ต่างกัน
พระอุปนิสัยของพระเจ้ามองเห็นได้ในแต่ละช่วงระยะของพระราชกิจของพระองค์
นัยสำคัญของพระนามของพระเจ้า