บทที่ 34
ครั้งหนึ่งเราได้เชิญมนุษย์เป็นแขกถึงบ้านของเรา ถึงกระนั้นเขาได้วิ่งไปที่นี่ที่นั่นเพราะการเรียกของเรา—ราวกับว่า แทนที่จะเชิญเขาในฐานะแขก เรากลับได้นำพาเขามาสู่ลานประหาร ด้วยเหตุนั้น บ้านของเราจึงได้ถูกทิ้งให้ว่างเปล่า เนื่องจากมนุษย์ได้หลบเลี่ยงเราเสมอ และได้คอยเฝ้าระวังตัวเขาต่อเราเสมอ การนี้ทิ้งให้เราไร้วิถีทางที่จะดำเนินการส่วนหนึ่งของงานของเราจนเสร็จสิ้น กล่าวคือมันถึงระดับที่เราได้เอางานเลี้ยงที่เราได้ตระเตรียมเพื่อเขากลับคืน เนื่องจากมนุษย์ไม่ได้เต็มใจที่จะชื่นชมงานเลี้ยงนี้ และดังนั้นเราจึงไม่ได้บังคับเขาให้ชื่นชม ถึงกระนั้นมนุษย์ก็พบโดยฉับพลันว่าตัวเขาเองถูกความหิวรุมเร้า ดังนั้นเขาจึงมาเคาะที่ประตูของเราเพื่อขอความช่วยเหลือของเรา—เมื่อมองเห็นเขาในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ เราจะสามารถไม่ช่วยเขาได้อย่างไร? ด้วยเหตุนั้น เราจึงได้จัดงานเลี้ยงให้แก่มนุษย์อีกครั้ง เพื่อที่เขาอาจชื่นชมมัน และเมื่อนั้นเท่านั้นที่เขารู้สึกว่าเราน่าเลื่อมใสเพียงใด และด้วยเหตุนั้นเขาจึงมาพึ่งพาเรา เพราะท่าทีของเราที่มีต่อเขา เขาก็ค่อยๆ มารักเรา “โดยไม่อิดเอื้อน” และเขาไม่สงสัยอีกต่อไปว่าเราจะส่งเขาไปยัง “แผ่นดินแห่งการเผาศพ” เนื่องจากนี่ไม่ใช่เจตนารมณ์ของเรา และดังนั้น หลังจากที่มองเห็นหัวใจของเราเท่านั้นที่มนุษย์พึ่งพาเราอย่างแท้จริง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขา “ระมัดระวัง” เพียงใดกันแน่ แม้กระนั้นเราก็ไม่ระแวงมนุษย์เพราะการหลอกลวงของเขา แต่เรากลับขับเคลื่อนหัวใจของผู้คนด้วยอ้อมกอดอันอบอุ่นของเราเสียมากกว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ณ ปัจจุบันหรือ? นี่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกสำแดงในผู้คนในช่วงระยะปัจจุบันหรือ? เหตุใดพวกเขาจึงสามารถทำสิ่งเช่นนี้ได้? เหตุใดพวกเขาจึงถูกครอบงำด้วยความรู้สึกนึกคิดเช่นนี้? เป็นเพราะพวกเขารู้จักเราอย่างแท้จริงหรือ? เป็นเพราะพวกเขามีความรักที่ไร้เขตคั่นต่อเราจริงๆ หรือ? เราไม่บังคับให้ผู้ใดรักเรา แต่เพียงแค่ให้เจตจำนงเสรีแก่พวกเขาที่จะทำการเลือกของพวกเขาเอง ในการนี้ เราจะไม่แทรกแซง อีกทั้งเราไม่ช่วยให้พวกเขาทำการเลือกที่เกี่ยวกับชะตากรรมของพวกเขา ผู้คนได้ทำการตัดสินใจแน่วแน่ของพวกเขาเบื้องหน้าเรา พวกเขาได้นำมันมาเบื้องหน้าเราเพื่อให้เราตรวจสอบ และเมื่อเราได้ดึงถุงที่บรรจุ “การตัดสินใจแน่วแน่ของมนุษย์” เปิดออก เราก็ได้มองเห็นสิ่งทั้งหลายภายใน ซึ่งถึงแม้จะปนกันยุ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ก็ยัง “มากมายก่ายกอง” ผู้คนได้มองดูเราด้วยดวงตาเบิกกว้าง เกรงกลัวอยู่ลึกๆ ว่าเราจะถอนการตัดสินใจแน่วแน่ของพวกเขาออกไป แต่เพราะความอ่อนแอของมนุษย์ เราจึงไม่ได้ทำการพิพากษา ณ ตอนเริ่มต้นจริงๆ และได้ปิดกระเป๋าและได้ทำงานที่เราต้องทำต่อไปแทน อย่างไรก็ตาม มนุษย์ไม่เข้าสู่การนำของเราภายหลังงานของเรา แต่เกี่ยวพันตัวเขาเองต่อไปกับการที่ว่าการตัดสินใจแน่วแน่ของเขาได้รับการสรรเสริญโดยเราหรือไม่ เราได้ทำงานมากมายเหลือเกินและได้พูดคำพูดมากมายเหลือเกิน แต่จนกระทั่งวันนี้ มนุษย์ยังคงไม่สามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของเราได้ และด้วยเหตุนั้น ทุกการกระทำอันน่าพิศวงของเขาทิ้งให้เราหัวหมุน เหตุใดเขาจึงไม่สามารถทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของเราได้อยู่เสมอ และทำสิ่งต่างๆ อย่างหุนหันพลันแล่นตามที่เขาพอใจ? สมองของเขาได้ทนทุกข์กับอาการตกใจสุดขีดหรือ? มันจะสามารถเป็นไปได้ไหมว่าเขาไม่เข้าใจคำพูดที่เราพูด? เหตุใดเขาจึงกระทำการด้วยสายตาของเขามองตรงไปข้างหน้าเสมอ แต่ไม่สามารถบุกเบิกเส้นทางและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้คนแห่งอนาคตได้? มีผู้ใดบ้างที่เป็นแบบอย่างที่ดีก่อนเปโตร? มันไม่ได้เป็นภายใต้การนำของเราหรือที่เปโตรได้อยู่รอด? เหตุใดผู้คนของวันนี้จึงไม่สามารถทำการนี้ได้? เหตุใดหลังจากมีแบบอย่างที่ดีที่จะทำตาม พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถสนองเจตนารมณ์ของเราได้? นี่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ยังคงไม่มีความไว้วางใจในเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้นำไปสู่รูปการณ์แวดล้อมที่น่าเวทนาของวันนี้
เราปีติยินดีในการสังเกตการณ์นกตัวเล็กๆ บินอยู่ในท้องฟ้า แม้ว่าพวกเขาไม่ได้ทำการตัดสินใจแน่วแน่เบื้องหน้าเราและไม่มีคำพูดที่จะ “จัดเตรียม” ให้เรา แต่พวกเขาก็พบความชื่นชมยินดีในพิภพที่เราได้ให้แก่พวกเขา อย่างไรก็ตาม มนุษย์ไม่สามารถต่อการนี้ และใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสลดหดหู่—มันจะสามารถเป็นไปได้ไหมว่าเราเป็นหนี้เขาซึ่งไม่สามารถชำระได้? เหตุใดใบหน้าของเขาจึงมีรอยน้ำตาอยู่เสมอ? เราเลื่อมใสดอกลิลลี่ที่กำลังเบ่งบานบนเนินเขาทั้งหลาย ดอกไม้และต้นหญ้าทอดยาวไปตามลาดเขา แต่ดอกลิลลี่เพิ่มความมันวาวให้กับสง่าราศีของเราบนแผ่นดินโลกก่อนการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิ—มนุษย์สามารถสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ได้หรือ? เขาจะสามารถเป็นพยานให้เราบนแผ่นดินโลกก่อนการกลับมาของเราได้หรือ? เขาจะสามารถทุ่มเทอุทิศตัวเขาเองเพื่อประโยชน์แห่งนามของเราในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดงได้หรือ? มันเป็นราวกับว่าถ้อยคำของเรามีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์แทรกอยู่—เขาเกลียดเราอันเป็นผลของข้อกำหนดเหล่านี้ เขาเกรงกลัวคำพูดของเราเพราะร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป และโดยพื้นฐานแล้ว เขาไม่สามารถที่จะบรรลุสิ่งที่เราขอได้ เมื่อเราเปิดปากของเรา เราก็มองเห็นผู้คนบนแผ่นดินโลกหลบหนีไปทุกทิศทาง ราวกับกำลังพยายามหลีกหนีจากการกันดารอาหาร เมื่อเราปิดบังใบหน้าของเราและเมื่อเราหันร่างกายของเรา ผู้คนก็ถูกความตื่นตระหนกบดขยี้ในทันที พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใด เนื่องจากพวกเขาเกรงกลัวการจากไปของเรา ในมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา วันที่เราจะจากไปจะเป็นวันที่ความวิบัติเคลื่อนลงจากฟ้าสวรรค์ วันที่การลงโทษของพวกเขาเริ่มต้น ถึงกระนั้นสิ่งที่เราทำตรงกันข้ามกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์อย่างแน่นอน เราไม่เคยได้กระทำการโดยสอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ และไม่เคยได้เปิดโอกาสให้มโนคติที่หลงผิดของเขาสอดคล้องกลมกลืนกับเรา เวลาที่เรากระทำการคือเวลาที่มนุษย์ถูกตีแผ่อย่างแม่นยำ กล่าวอีกนัยหนึ่ง การกระทำของเราไม่สามารถประเมินวัดได้โดยมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ จากเวลาแห่งการสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ ไม่มีผู้ใดได้เคยค้นพบ “ทวีปใหม่” ในสิ่งทั้งหลายที่เราทำ ไม่มีผู้ใดได้เคยจับความเข้าใจในธรรมบัญญัติที่เราใช้กระทำการ และไม่มีผู้ใดได้เคยเปิดทางออกใหม่ ด้วยเหตุนั้น ผู้คนในวันนี้ยังคงไม่สามารถที่จะเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องได้—นี่คือสิ่งที่พวกเขาขาดพร่องอย่างแน่นอน และนี่คือสิ่งที่พวกเขาควรจะเข้าสู่ จากเวลาแห่งการสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ เราไม่เคยได้เริ่มดำเนินการวิสาหกิจเช่นนี้มาก่อน เราเพียงแค่ได้เพิ่มชิ้นส่วนใหม่หลายชิ้นให้กับงานของเราในยุคสุดท้าย ถึงกระนั้นแม้ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมที่เด่นชัดเช่นนี้ ผู้คนก็ยังคงไม่สามารถทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของเรา—นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาขาดพร่องอย่างแน่นอนหรือ?
หลังจากเราเข้าสู่งานใหม่ เราก็มีข้อกำหนดใหม่ให้มนุษย์ สำหรับมนุษย์แล้ว มันเป็นราวกับว่าข้อกำหนดของอดีตไม่ได้มีผลอันใด ซึ่งเป็นสาเหตุที่เขาลืมข้อกำหนดเหล่านั้น สิ่งใดคือวิถีทางใหม่ที่เราใช้ทำงาน? เราขอสิ่งใดต่อมนุษย์? ผู้คนเองก็สามารถประเมินวัดได้ว่าสิ่งที่พวกเขาได้ทำในอดีตนั้นสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของเราหรือไม่ และว่าการกระทำของพวกเขาได้อยู่ภายในเขตแดนของสิ่งที่เราได้ขอหรือไม่ เราไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่างเป็นรายชิ้น พวกเขามีการจับความเข้าใจในวุฒิภาวะของตัวพวกเขาเอง และดังนั้นในจิตใจพวกเขา พวกเขาชัดเจนเกี่ยวกับว่าพวกเขาสามารถกระทำการได้มากเพียงใด และเราไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะบอกพวกเขาอย่างแน่ชัด เมื่อเราพูด บางที ผู้คนบางคนจะสะดุด ด้วยเหตุนั้น เราจึงได้หลีกเลี่ยงที่จะพูดคำพูดของเราส่วนนี้เพื่อป้องกันผู้คนจากการกลายเป็นอ่อนแออันเป็นผลของการนั้น นี่ไม่มีประโยชน์มากขึ้นต่อการไล่ตามเสาะหาของมนุษย์หรือ? มันไม่มีประโยชน์มากขึ้นต่อความก้าวหน้าของมนุษย์หรือ? ผู้ใดไม่ปรารถนาที่จะลืมอดีตของพวกเขาและเพียรพยายามไปข้างหน้า? เพราะ “ความไร้ความคิด” ของเรา เราจึงไม่รู้เท่าทันว่าผู้คนเข้าใจหรือไม่ว่าวิถีทางที่เราใช้พูดได้เข้าสู่อาณาจักรใหม่แล้ว นอกจากนี้ เพราะงานของเรา “ยึดครอง” เราเช่นนั้น เราจึงไม่ได้มีเวลาที่จะสืบค้นว่าผู้คนเข้าใจน้ำเสียงที่เราใช้พูดหรือไม่ ด้วยเหตุนั้น เราจึงเพียงแค่ขอให้ผู้คนมีความเข้าใจต่อเรามากขึ้น เพราะงานของเรา “ยึดครอง” เราเช่นนั้น เราจึงไม่สามารถที่จะไปเยี่ยมฐานทั้งหลายของงานของเราด้วยตัวของเราเองเพื่อกำกับผู้คน และดังนั้น เราจึงมี “ความเข้าใจน้อยนิด” เกี่ยวกับพวกเขา โดยสรุปแล้ว บัดนี้เราได้เริ่มนำทางมนุษย์เข้าสู่การเริ่มต้นใหม่และเข้าสู่วิธีการใหม่อย่างเป็นกิจจะลักษณะโดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด ในถ้อยคำทั้งหมดของเรา ผู้คนได้มองเห็นว่ามีความน่าหัวเราะ ความตลกขบขัน และน้ำเสียงแห่งการเย้ยหยันที่แรงเป็นพิเศษในสิ่งที่เราพูด ด้วยเหตุนั้น ความปรองดองระหว่างตัวเราเองกับมนุษย์จึงถูกทำให้ยุ่งเหยิงโดยมิได้เฉลียวรู้เลย ซึ่งก่อเกิดก้อนเมฆปกคลุมหนาทึบบนใบหน้าของผู้คนโดยไม่คาดฝัน อย่างไรก็ตาม เราไม่ถูกการนี้จำกัดควบคุม แต่ทำงานของเราต่อไป เนื่องจากทั้งหมดที่เราพูดและทำเป็นส่วนหนึ่งที่จำเป็นของแผนการของเรา ทั้งหมดที่พูดจากปากของเราช่วยเหลือมนุษย์ และไม่มีสิ่งใดที่เราทำไม่สลักสำคัญ ทั้งหมดที่เราทำเป็นการเสริมสร้างกันสำหรับผู้คนทั้งหมด เป็นเพราะมนุษย์ขาดพร่องนั่นเองที่เราไม่ยั้งปากและพูดต่อไป บางทีผู้คนบางคนอาจกำลังรอคอยอย่างสุดชีวิตให้เรามีข้อกำหนดใหม่กับพวกเขา หากเป็นเช่นนั้นแล้วไซร้ เราย่อมสนองความต้องการของพวกเขา แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราต้องเตือนความจำเจ้า นั่นคือเมื่อเราพูด เราหวังว่าผู้คนได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกมากขึ้น เราหวังว่าพวกเขากลายเป็นหยั่งรู้มากขึ้น เพื่อที่พวกเขาสามารถได้รับมากขึ้นจากคำพูดของเราและด้วยเหตุนั้น จึงทำให้ข้อกำหนดของเราลุล่วง ก่อนหน้านี้ ในคริสตจักรทั้งหลาย ผู้คนสนใจยอมรับการถูกตัดแต่งและถูกปราบพยศ การกินและดื่มคำพูดของเราได้ทำบนพื้นฐานของการเข้าใจจุดมุ่งหมายและแหล่งที่มาของคำพูดเหล่านั้น—แต่วันนี้ไม่เหมือนกับอดีต และผู้คนไม่สามารถอย่างถึงที่สุดที่จะจับความเข้าใจในแหล่งที่มาของถ้อยคำของเรา และด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงไม่มีโอกาสที่จะถูกเราตัดแต่งและปราบพยศ เนื่องจากพวกเขาใด้สละพลังทั้งหมดของพวกเขาเพียงแค่ในการกินและการดื่มคำพูดของเรา ทว่าแม้แต่ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ พวกเขายังคงไม่สามารถที่จะสนองข้อเรียกร้องของเราได้ และดังนั้น เราจึงทำข้อเรียกร้องใหม่ๆ ต่อพวกเขา กล่าวคือ เราขอให้พวกเขาเข้าสู่การทดสอบพร้อมกันกับเรา ให้พวกเขาเข้าสู่การตีสอน แม้กระนั้น ให้เราเตือนความจำเจ้าในสิ่งหนึ่ง นั่นคือนี่ไม่ใช่การประหารชีวิตมนุษย์ แต่นี่เป็นสิ่งซึ่งงานของเราพึงประสงค์เสียมากกว่า เนื่องจากในช่วงระยะปัจจุบัน คำพูดของเราไม่สามารถจับความเข้าใจได้สำหรับมนุษย์ และมนุษย์ไม่สามารถที่จะร่วมมือกับเราได้—ไม่มีสิ่งใดให้ทำ! เราสามารถเพียงแค่ทำให้มนุษย์เข้าสู่วิธีการใหม่พร้อมกันกับเรา มีสิ่งใดอื่นให้ทำอีกหรือ? เพราะความขาดตกบกพร่องของมนุษย์ เราจึงต้องเข้าสู่กระแสที่มนุษย์เข้าสู่ด้วย—เราคือผู้ที่จะทำให้ผู้คนเพียบพร้อมมิใช่หรือ? เราคือผู้ที่คิดค้นแผนการนี้ขึ้นมามิใช่หรือ? แม้ว่าข้อกำหนด อื่นไม่ลำบากยากเย็น แต่มันก็ไม่ได้เป็นรองข้อแรก งานของเราท่ามกลางกลุ่มผู้คนของยุคสุดท้ายเป็นวิสาหกิจที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และด้วยเหตุนั้น ผู้คนทั้งหมดต้องทนทุกข์กับความยากลำบากสุดท้ายเพื่อเรา เพื่อที่สง่าราศีของเราอาจเติมเอกภพจนเต็ม เจ้าเข้าใจเจตนารมณ์ของเราไหม? นี่เป็นความประสงค์สุดท้ายที่เรามีต่อมนุษย์ กล่าวคือเราหวังว่าผู้คนทั้งหมดสามารถกล่าวคำพยานที่กึกก้องแข็งแกร่งต่อเราเบื้องหน้าพญานาคใหญ่สีแดง ว่าพวกเขาสามารถมอบถวายตัวพวกเขาเองเพื่อเราเป็นครั้งสุดท้าย และทำให้ข้อกำหนดของเราลุล่วงเป็นคราวสุดท้าย พวกเจ้าสามารถทำการนี้ได้อย่างแท้จริงหรือ? เจ้าไม่ได้สามารถที่จะทำให้สมดังหัวใจเราในอดีต—เจ้าจะสามารถทำลายแบบแผนนี้ในคราวสุดท้ายได้หรือ? เราให้โอกาสผู้คนที่จะไตร่ตรอง เราปล่อยให้พวกเขาใคร่ครวญอย่างรอบคอบระมัดระวังก่อนที่จะให้คำตอบกับเราในที่สุด—มันผิดหรือที่ทำการนี้? เรารอคอยการขานรับของมนุษย์ เรารอคอย “จดหมายตอบกลับ” ของเขา—พวกเจ้ามีความเชื่อที่จะทำให้ข้อกำหนดของเราลุล่วงหรือไม่?
20 เมษายน ค.ศ. 1992