บทที่ 30
ท่ามกลางมนุษย์ ครั้งหนึ่งเราได้สรุปการไม่เชื่อฟังและความอ่อนแอของมนุษย์ และด้วยเหตุนั้น เราจึงได้เข้าใจความอ่อนแอของมนุษย์และรู้จักการไม่เชื่อฟังของเขา ก่อนที่จะมาถึงท่ามกลางมนุษย์ เราได้มาเข้าใจความชื่นบานและความโศกเศร้าของมนุษย์มานานตั้งแต่นั้นแล้ว—และเพราะเหตุนี้ เราจึงสามารถทำสิ่งซึ่งมนุษย์ไม่สามารถทำได้ และพูดสิ่งซึ่งมนุษย์ไม่สามารถพูดได้ และเราทำเช่นนั้นอย่างง่ายดาย นี่ไม่ใช่ความแตกต่างระหว่างเรากับมนุษย์หรือ? และนี่ไม่ใช่ความแตกต่างที่ชัดเจนหรือ? มันสามารถเป็นไปได้ไหมว่างานของเราสามารถสัมฤทธิ์ได้โดยผู้คนที่มีเนื้อหนังและโลหิต? มันสามารถเป็นไปได้ไหมว่าเราอยู่ในประเภทเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้าง? ผู้คนได้จัดอันดับเราให้เป็น “พจน์ที่คล้ายกัน”—และนี่ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รู้จักเราหรือ? เหตุใดเราต้องถ่อมใจตัวเราเองแทนที่จะขึ้นสูงท่ามกลางมนุษย์? เหตุใดมวลมนุษย์จึงละทิ้งเราต่อไป เหตุใดมวลมนุษย์จึงไม่สามารถกล่าวประกาศชื่อของเราได้? มีความโศกเศร้าใหญ่หลวงในหัวใจของเรา แต่ผู้คนจะสามารถรู้ได้อย่างไร? พวกเขาจะสามารถมองเห็นได้อย่างไร? การที่ไม่เคยปฏิบัติต่อสิ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับเราในฐานะสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขาทั้งหมดนั้น ได้ทิ้งให้ผู้คนงุนงงและสับสน ราวกับว่าพวกเขาเพิ่งได้กินยานอนหลับ เมื่อเราร้องเรียกพวกเขา พวกเขาก็เพียงแค่ฝันต่อไป และดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดได้เคยตระหนักรู้ถึงกิจการของเรา วันนี้ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงหลับสนิทอยู่ เมื่อเพลงเฉลิมราชอาณาจักรดังขึ้นเท่านั้น พวกเขาก็ลืมตาสะลึมสะลือของพวกเขาและรู้สึกถึงความหดหู่เล็กน้อยในหัวใจของพวกเขา เมื่อคทาของเราซัดกระหน่ำท่ามกลางมวลมนุษย์ พวกเขายังคงให้ความสนใจที่น้อยนิด ราวกับว่าชะตากรรมของพวกเขาไร้ค่าพอๆ กับทรายในทะเล แม้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่มีความตระหนักรู้อยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ยังคงไม่รู้ว่าย่างก้าวของเราได้มาไกลเพียงใดแล้ว—เพราะผู้คนไม่ใส่ใจที่จะเข้าใจหัวใจของเรา และดังนั้นจึงไม่เคยได้สามารถปลดปล่อยตัวพวกเขาเองให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของซาตานได้ เราเคลื่อนไหวเหนือทุกสรรพสิ่ง และดำรงชีวิตท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และในเวลาเดียวกัน เราก็อยู่กลางเวทีในหัวใจของผู้คนทั้งหมด ด้วยเหตุผลนี้ ผู้คนพิจารณาว่าเราแตกต่าง โดยเชื่อว่าเราพิเศษเหนือธรรมดา หรือมิฉะนั้นก็เชื่อว่าเรามิอาจหยั่งลึกได้—และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ความไว้วางใจของพวกเขาในตัวเรากลายเป็นแข็งแกร่งขึ้นในแต่ละวัน ครั้งหนึ่งเราได้เอนกายในสวรรค์ชั้นที่สาม สังเกตการณ์ผู้คนทั้งหมดและทุกสรรพสิ่งในจักรวาล เมื่อเรานอนหลับ ผู้คนก็เงียบลง เกรงกลัวอยู่ลึกๆ ที่จะรบกวนการพักผ่อนของเรา เมื่อเราตื่นขึ้น พวกเขาก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที ราวกับว่าพวกเขากำลังทำงานแห่งการนำความชื่นบานมาให้เราอย่างแจ่มแจ้ง นี่ไม่ใช่ท่าทีของผู้คนบนแผ่นดินโลกที่มีต่อเราหรือ? ผู้ใดท่ามกลางผู้คนของวันนี้มองเห็นว่าเราในฟ้าสวรรค์กับเราบนแผ่นดินโลกเป็นหนึ่งเดียวกัน? ผู้ใดไม่เคารพเราในสวรรค์? และผู้ใดไม่ดูแคลนเราบนแผ่นดินโลก? เหตุใดมนุษย์ฉีกเราออกจากกันเสมอ? เหตุใดมนุษย์จึงมีสองท่าทีที่แตกต่างกันต่อเรา? พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์บนแผ่นดินโลกไม่ใช่พระเจ้าผู้ซึ่งทรงบัญชาทั้งหมดในฟ้าสวรรค์หรือ? เราในฟ้าสวรรค์ไม่ได้อยู่บนแผ่นดินโลกตอนนี้หรือ? เหตุใดผู้คนจึงมองเห็นเราแต่ไม่รู้จักเรา? เหตุใดจึงมีระยะห่างมากเช่นนี้ระหว่างฟ้าสวรรค์กับแผ่นดินโลก? สิ่งเหล่านี้ไม่ควรค่าต่อการตรวจดูที่ลึกยิ่งขึ้นโดยมนุษย์หรือ?
เมื่อเราทำงานของเรา และในระหว่างช่วงเวลาที่เราเปล่งถ้อยคำ ผู้คนปรารถนาที่จะเพิ่ม “สิ่งปรุงรส” ให้กับมัน ราวกับว่าสำนึกรับรู้กลิ่นของพวกเขาเฉียบแหลมกว่าของเรา ราวกับว่าพวกเขาชอบรสชาติที่เข้มข้นมากกว่า และราวกับว่าเราไม่ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องมี และด้วยเหตุนั้น จึงต้อง “รบกวน” มนุษย์ให้ “เสริม” งานของเรา เราไม่จงใจทำให้ความเป็นบวกของผู้คนเบาบางลง แต่ขอให้พวกเขาชำระตัวพวกเขาเองให้สะอาดโดยตั้งอยู่บนรากฐานแห่งการรู้จักเรา เพราะพวกเขาขาดพร่องมากเกินไป เราจึงแนะนำให้พวกเขาใช้ความพยายามมากขึ้น และดังนั้นจึงชดเชยความขาดตกบกพร่องของพวกเขาเพื่อที่จะทำให้สมดังหัวใจของเรา ครั้งหนึ่งผู้คนได้รู้จักเราในโนคติที่หลงผิดของพวกเขา แม้กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ตระหนักรู้ถึงการนี้อย่างสิ้นเชิง และด้วยเหตุนั้น การทะนุถนอมของพวกเขาจึงได้เหมือนกับการทำกับทรายราวกับเป็นทองคำ เมื่อเราเตือนความจำพวกเขา พวกเขาก็เพียงกำจัดส่วนหนึ่งของการรู้จักเราเช่นนั้นทิ้งไปเท่านั้น แต่แทนที่จะทดแทนส่วนที่ได้ทิ้งไปแล้วด้วยสิ่งต่างๆ ที่ทำจากเงินและทองคำ พวกเขากลับชื่นชมส่วนที่ยังคงเหลืออยู่ในมือของพวกเขาต่อไป—และผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาถ่อมใจและอดทนเบื้องหน้าเราเสมอ พวกเขาไม่สามารถเข้ากันได้กับเรา เพราะพวกเขามีมโนคติที่หลงผิดมากเกินไป ด้วยเหตุนั้น เราจึงตัดสินใจที่จะยึดทั้งหมดที่มนุษย์มีและเป็นและขว้างมันไปไกลๆ เพื่อที่ทั้งหมดสามารถดำรงชีวิตกับเราและไม่อยู่ห่างจากเราอีกต่อไป การที่มนุษย์ไม่เข้าใจเจตจำนงของเราเป็นเพราะงานของเรา บางคนเชื่อว่าเราจะสรุปปิดงานของเราเป็นครั้งที่สองและโยนพวกเขาลงสู่นรก บางคนเชื่อว่าเราจะนำวิธีพูดแบบใหม่มาใช้ และพวกเขาส่วนใหญ่สั่นเทาด้วยความเกรงกลัว กล่าวคือ พวกเขาเกรงกลัวลึกๆ ว่าเราจะทำงานของเราให้เสร็จสิ้นและทิ้งให้พวกเขาไม่มีที่ไป และกลัวอย่างล้ำลึกว่าเราจะทอดทิ้งพวกเขาอีกครั้ง ผู้คนใช้มโนคติที่หลงผิดเก่าๆ เพื่อประเมินวัดงานใหม่ของเราเสมอ เราได้พูดว่าผู้คนไม่เคยได้จับความเข้าใจในวิธีการที่เราใช้ทำงาน—ครั้งนี้พวกเขาจะสามารถเล่าเรื่องราวที่ดีเกี่ยวกับตัวพวกเขาเองได้หรือ? มโนคติที่หลงผิดเก่าๆ ของผู้คนไม่ใช่อาวุธที่ทำให้งานของเรายุ่งเหยิงหรือ? เมื่อเราพูดกับผู้คน พวกเขาหลีกเลี่ยงสายตาจับจ้องของเรา เกรงกลัวลึกๆ ว่าดวงตาของเราจะมาลงที่พวกเขา ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงลดศีรษะของพวกเขาลง ราวกับว่ากำลังยอมรับการตรวจสอบจากเรา—และนี่ไม่ได้เกิดจากมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาหรือ? เหตุใดจึงเป็นว่าเราได้ถ่อมใจตัวเราเองจนกระทั่งวันนี้ แต่ไม่มีผู้ใดได้เคยสังเกตเลย? เราต้องกราบไหว้มนุษย์หรือ? เราได้มาจากฟ้าสวรรค์สู่แผ่นดินโลก เราได้ลงมาจากที่สูงสู่สถานที่ลับแห่งหนึ่ง และได้มาท่ามกลางมนุษย์และได้เปิดเผยทั้งหมดที่เรามีและเป็นต่อเขา วจนะของเราจริงใจและจริงจังตั้งใจ อดทนและใจดี—แต่ผู้ใดได้เคยเห็นสิ่งที่เราเป็นและมีไหม? เรายังคงลี้ลับต่อมนุษย์หรือไม่? เหตุใดมันจึงลำบากยากเย็นที่เราจะพบกับมนุษย์? มันเป็นเพราะผู้คนยุ่งเกินไปในงานของพวกเขาหรือ? มันเป็นเพราะเรากำลังละเลยหน้าที่ของเราและผู้คนทั้งหมดเจตนาไล่ตามเสาะหาความสำเร็จหรือ?
ในจิตใจของผู้คน พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า และมนุษย์ไม่อาจมีส่วนร่วมด้วยอย่างง่ายดาย ขณะที่มนุษย์เป็นมนุษย์ และไม่ควรกลายเป็นเกเรอย่างง่ายดาย—ถึงกระนั้น ความประพฤติของผู้คนยังคงไม่สามารถถูกนำพามาที่เบื้องหน้าเราได้ มันสามารถเป็นไปได้ไหมว่าข้อพึงประสงค์ของเราสูงเกินไป? มันสามารถเป็นไปได้ไหมว่ามนุษย์อ่อนแอเกินไป? เหตุใดผู้คนจึงมองดูมาตรฐานที่เราพึงประสงค์จากระยะไกลเสมอ? จริงๆ แล้วมาตรฐานเหล่านั้นไม่สามารถบรรลุได้โดยมนุษย์หรือ? ข้อพึงประสงค์ของเราถูกคำนวณบนพื้นฐานของ “รัฐธรรมนูญ” แห่งประชาชน และดังนั้น จึงไม่เคยไปเกินวุฒิภาวะของมนุษย์—แต่แม้กระนั้น ผู้คนยังคงไม่สามารถสัมฤทธิ์มาตรฐานที่เราพึงประสงค์ได้ หลายครั้งมากเหลือคณานับที่เราได้ถูกละทิ้งท่ามกลางมนุษย์ หลายครั้งมากเหลือคณานับที่ผู้คนได้มองดูเราด้วยสายตาเย้ยหยัน ราวกับว่าร่างกายของเราถูกปกคลุมไปด้วยหนามและน่าเกลียดสำหรับพวกเขา และด้วยเหตุนั้น ผู้คนจึงชิงชังเรา และเชื่อว่าเราปราศจากค่าคู่ควร ในหนทางนี้ เราถูกผลักไปมาโดยมนุษย์ หลายครั้งมากเหลือคณานับที่ผู้คนได้นำพาเรากลับบ้านด้วยราคาที่ต่ำ และหลายครั้งมากเหลือคณานับที่พวกเขาได้ขายเราด้วยราคาที่สูง และมันเป็นเพราะเหตุนี้ที่เราพบตัวเราเองในสถานการณ์ที่เราอยู่ในวันนี้ มันเป็นราวกับว่าผู้คนยังคงกำลังคิดหาอุบายทั้งหลายสำหรับเรา พวกเขาส่วนใหญ่ยังคงต้องการที่จะขายเราเพื่อกำไรหลายร้อยล้านดอลลาร์ เพราะมนุษย์ไม่เคยได้ทะนุถนอมเราเลย มันเป็นราวกับว่าเราได้กลายเป็นสื่อกลางระหว่างผู้คน หรืออาวุธนิวเคลียร์ที่พวกเขาใช้ต่อสู้ท่ามกลางพวกกันเอง หรือข้อตกลงที่ลงนามแล้วระหว่างพวกเขา—และผลลัพธ์ก็คือ โดยสรุปแล้วเราไม่มีคุณค่าอย่างถึงที่สุดในหัวใจของมนุษย์ เราเป็นของใช้ในครัวเรือนที่ไม่จำเป็นต้องมีชิ้นหนึ่ง ถึงกระนั้นเราก็ไม่กล่าวโทษมนุษย์เพราะเหตุนี้ เราไม่ทำสิ่งใดเลยนอกจากช่วยผู้คนให้รอด และได้เปี่ยมเมตตาสงสารต่อมนุษย์เสมอ
ผู้คนเชื่อว่าเราจะรู้สึกสบายใจเมื่อเราโยนผู้คนลงสู่นรก ราวกับว่าเรากำลังทำข้อตกลงกับนรกเป็นพิเศษ และราวกับว่าเราเป็นแผนกบางจำพวกที่ชำนาญเป็นพิเศษในการขายผู้คน ราวกับว่าเราเป็นผู้เชี่ยวชาญในการต้มตุ๋นผู้คนและจะขายพวกเขาในราคาที่สูงทันทีที่เรามีพวกเขาในมือของเรา ปากของผู้คนไม่พูดเรื่องนี้ แต่ในหัวใจพวกเขา นี่คือสิ่งที่พวกเขาเชื่อ แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะรักเรา แต่พวกเขาก็เชื่อเช่นนั้นอย่างลับๆ เราได้จ่ายราคาที่สูงมากเช่นนี้และได้สละมากมายเหลือเกินเพื่อแลกกับความรักปริมาณน้อยนิดนี้จากพวกเขาหรอกหรือ? ผู้คนคือนักหลอกลวง และเราเล่นบทบาทของผู้ที่ถูกหลอกลวงเสมอ มันเป็นราวกับว่าเราไร้เล่ห์เหลี่ยมเกินไป กล่าวคือ ทันทีที่พวกเขาได้มองเห็นจุดอ่อนนี้ พวกเขาก็หลอกลวงเราต่อไป วจนะจากปากของเราไม่ได้หมายที่จะทำให้ผู้คนถึงแก่ความตายหรือติดป้ายสุ่มๆ ไปบนพวกเขา—วจนะเหล่านั้นคือความเป็นจริงของมนุษย์ บางทีวจนะของเราบางคำ “ไปไกลเกินไป” ซึ่งในกรณีนั้น เราสามารถเพียงแค่ “ขอ” การให้อภัยของผู้คนได้เท่านั้น เพราะเราไม่ได้ “มีทักษะ” ในภาษาของมนุษย์ สิ่งที่เราพูดส่วนมากจึงไม่สามารถสนองข้อเรียกร้องต่างๆ ของผู้คนได้ บางทีวจนะของเราบางคำอาจเจาะหัวใจของผู้คน ดังนั้นเราจึงสามารถเพียงแค่ “ขอ” ให้พวกเขายอมผ่อนปรนได้เท่านั้น เพราะเราไม่ช่ำชองในปรัชญาสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์และไม่พิถีพิถันเกี่ยวกับวิธีที่เราพูด วจนะของเราหลายคำจึงอาจทำให้ความขวยเขินปรากฏขึ้นในผู้คน บางทีวจนะของเราบางคำอาจพูดกับรากเหง้าของโรคภัยไข้เจ็บของผู้คนและเปิดโปงอาการป่วยของพวกเขา และดังนั้น เราจึงชี้แนะให้กินยาที่เราได้ตระเตรียมไว้ให้เจ้าบ้างบางส่วน เพราะเราไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายเจ้าและยานี้ไม่มีผลข้างเคียงเลย บางทีวจนะของเราบางคำอาจฟังดูไม่ “เหมือนจริง” แต่เรา “ขอ” ให้ผู้คนไม่ตื่นตระหนก—เราไม่ “ว่องไว” ทั้งมือและเท้า ดังนั้นวจนะของเราจึงยังไม่ได้ถูกดำเนินการจนเสร็จสิ้น เราขอให้ผู้คน “อดกลั้น” ต่อเรา วจนะเหล่านี้มีการช่วยเหลือให้มนุษย์ไหม? เราหวังว่าผู้คนสามารถได้รับบางสิ่งจากวจนะเหล่านี้ เพื่อที่วจนะของเราจะไม่สูญเปล่าเสมอไป!
9 เมษายน ค.ศ. 1992