บทที่ 45

ครั้งหนึ่งเราได้เลือกสินค้าที่ดีเพื่อเก็บไว้ในบ้านของเรา เพื่อให้ภายในนั้นจะมีความมั่งคั่งที่ไม่มีเสมอเหมือน และด้วยเหตุนี้บ้านของเราจะได้รับการตกแต่ง และเราได้รับความชื่นชมยินดีจากการนี้  แต่เป็นเพราะท่าทีที่มนุษย์มีต่อเรา และเพราะแรงจูงใจของผู้คน เราจึงไม่มีทางเลือกนอกจากการละวางงานนี้ลงและทำงานอื่น  เราจะใช้แรงจูงใจของมนุษย์เพื่อทำงานของเราให้สำเร็จลุล่วง เราจะวางแผนทุกสรรพสิ่งให้รับใช้เรา และเพราะเหตุนั้นจึงทำให้บ้านของเราไม่หม่นหมองและเหงาหงอยอีกต่อไป  ครั้งหนึ่งเราได้มองดูท่ามกลางมนุษย์ กล่าวคือ ทั้งหมดที่มีเลือดเนื้อล้วนตกอยู่อยู่ในความมึนงง และไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้รับประสบการณ์กับพรของการดำรงอยู่ของเรา  ผู้คนใช้ชีวิตท่ามกลางพร แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาได้รับพรมากเพียงใด  หากพรของเราต่อมวลมนุษย์ไม่ได้ปรากฏอยู่จนกระทั่งถึงวันนี้ ผู้ใดในท่ามกลางมวลมนุษย์จะมีความสามารถที่จะยืนกรานจนกระทั่งถึงปัจจุบันและไม่ได้พินาศไปบ้าง?  ที่มนุษย์ใช้ชีวิตคือพรของเรา และนั่นหมายความว่าเขาใช้ชีวิตท่ามกลางพรของเรา เพราะแต่ดั้งเดิมแล้วเขาไม่มีสิ่งใด และเพราะแต่ดั้งเดิมเขาปราศจากทุนที่จะใช้ชีวิตบนแผ่นดินโลกและใต้สวรรค์ วันนี้เรายังช่วยมนุษย์ให้รอดต่อไป และมนุษย์ยืนต่อหน้าเรา โชคดีพอที่จะหลีกหนีความตายได้เพียงเพราะการนี้เท่านั้น  ผู้คนได้สรุปความลี้ลับของการดำรงอยู่ของมนุษย์ แต่ไม่มีผู้ใดเคยได้ล่วงรู้ว่านี่คือพรของเรา  ผลก็คือผู้คนทั้งหมดสาปแช่งความอยุติธรรมภายในโลก และพวกเขาทั้งหมดร้องทุกข์เกี่ยวกับเราเพราะความไร้ความสุขในชีวิตของพวกเขา  หากไม่ใช่เพราะพรของเราแล้ว ใครจะได้มองเห็นวันนี้บ้าง?  ผู้คนทั้งหมดร้องทุกข์เกี่ยวกับเราเพราะพวกเขาไร้ความสามารถที่จะใช้ชีวิตท่ามกลางการชูใจ  หากชีวิตของมนุษย์สว่างสดใสและสดชื่น หากมีการส่ง “ลมพัดในฤดูใบไม้ผลิ” ที่อบอุ่นเข้าในหัวใจมนุษย์ ซึ่งก่อให้เกิดความน่ายินดีที่เหนือกว่าความน่ายินดีอื่นใดในทั้งกายของเขา และเหลือเขาไว้ให้ไม่มีความเจ็บปวดแม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้วผู้ใดท่ามกลางมนุษย์จะตายไปในขณะที่ร้องทุกข์บ้าง?  เรามีความลำบากยากเย็นอย่างมากมายในการได้รับความจริงใจที่สมบูรณ์ของมนุษย์ เพราะผู้คนมีกลอุบายอันเจ้าเล่ห์มากมายเกินไป—กล่าวตรงๆ คือ มากพอที่จะทำให้คนเราหัวหมุน  แต่เมื่อเรายกข้อคัดค้านกับพวกเขา พวกเขาเย็นชากับเรา และพวกเขาไม่ให้ความสนใจเรา เพราะข้อคัดค้านของเราได้สัมผัสดวงจิตของพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่สามารถที่จะได้รับการเสริมสร้างได้โดยครบบริบูรณ์ และด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงเกลียดการดำรงอยู่ของเรา เพราะเราชอบที่จะ “ทรมาน” พวกเขาเสมอ  เพราะวจนะของเรา ผู้คนจึงร้องเพลงและเต้นรำ เพราะวจนะของเรา พวกเขาจึงก้มหัวลงอย่างเงียบๆ และเพราะวจนะของเรา พวกเขาจึงระเบิดการร่ำไห้ออกมา  ในวจนะของเรา ผู้คนสิ้นหวัง ในวจะของเรา พวกเขาได้รับความสว่างเพื่อการอยู่รอด  เพราะวจนะของเรา พวกเขาจึงพลิกตัวกระสับกระส่าย นอนไม่หลับทั้งวันทั้งคืน และเพราะวจนะของเรา พวกเขาจึงรีบเร่งไปทั่วทุกหนแห่ง  วจนะของเราผลักผู้คนลงสู่แดนคนตาย และจากนั้นก็ผลักพวกเขาสู่การตีสอน—แต่ผู้คนก็ยังชื่นชมกับพรของเราโดยไม่ตระหนักถึงการนี้  มนุษย์ทำให้การนี้สัมฤทธิ์ผลได้หรือไม่?  เป็นไปได้ไหมว่าการนี้สามารถตอบแทนความพยายามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของผู้คน?  ผู้ใดสามารถหลีกหนีจากการจัดวางเรียบเรียงของวจนะของเราได้บ้าง?  ด้วยเหตุนี้ เพราะการล้มเหลวของมนุษย์ เราจึงมอบวจนะของเราให้กับมวลมนุษย์ ซึ่งทำให้ความขาดตกบกพร่องของมนุษย์ได้รับการบำรุงเลี้ยงเพราะวจนะของเรา นำความมั่งคั่งที่ไม่มีเสมอเหมือนมาสู่ชีวิตของมวลมนุษย์

เรามักพินิจพิเคราะห์คำพูดและการกระทำของผู้คนอยู่บ่อยครั้ง  เราได้ค้นพบ “ความล้ำลึก” มากมายในพฤติกรรมและการแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขา  ในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นของผู้คน “สูตรลับ” ได้รับการวางแสดงให้ด้วยความภาคภูมิอย่างแท้จริง—และด้วยเหตุนี้ เมื่อเรามีส่วนร่วมกับมนุษย์ สิ่งที่เราได้รับคือ “สูตรลับของการมีปฏิสัมพันธ์แบบมนุษย์” ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ไม่ได้รักเรา  เรามักตำหนิมนุษย์เพราะการล้มเหลวนี้ กระนั้นเราก็ไม่สามารถได้รับความไว้วางใจของเขา  มนุษย์ไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้เราเข่นฆ่าเขา เพราะใน “สูตรลับของการมีปฏิสัมพันธ์แบบมนุษย์” ของมนุษย์นั้น ไม่เคยมีการค้นพบว่ามนุษย์ได้ทนทุกข์กับความวิบัติถึงตาย—เขาแค่ได้ทนทุกข์กับความเสื่อมถอยเล็กน้อยในช่วงระหว่างเวลาแห่งโชคร้าย  ผู้คนร้องตะโกนเพราะวจนะของเรา และคำออดอ้อนของพวกเขาประกอบด้วยความคับข้องใจเกี่ยวกับความไร้หัวใจของเรา  เสมือนว่าพวกเขาทั้งหมดต่างกำลังค้นหา “ความรัก” มนุษย์ที่แท้จริงของเรา—แต่พวกเขาจะสามารถพบเจอความรักของเราในวจนะที่เข้มขรึมของเราได้อย่างไร?  ผลก็คือ พวกเขาสูญสิ้นความหวังเพราะวจนะของเรา  เสมือนว่าทันทีที่พวกเขาอ่านวจนะของเรา พวกเขาก็มองเห็น “มัจจุราช” และด้วยเหตุนั้นจึงสั่นเทาด้วยความกลัว  การนี้ทำให้เราไม่มีความสุข: เหตุใดผู้คนที่มีเนื้อหนังผู้ใช้ชีวิตท่ามกลางความตายจึงกลัวความตายเสมอ?  มนุษย์และความตายเป็นศัตรูที่ขมขื่นหรือไม่?  เหตุใดความกลัวตายจึงก่อให้เกิดความทุกข์ใจในผู้คนเสมอ?  ตลอดทั้งประสบการณ์อัน “ยอดเยี่ยม” ในชีวิตของพวกเขา พวกเขาได้รับประสบการณ์กับความตายเพียงเล็กน้อยเท่านั้นหรือ?  เหตุใดผู้คนจึงร้องทุกข์เกี่ยวกับเราเสมอในสิ่งที่พวกเขาพูด?  ด้วยเหตุนี้ เราจึงสรุปคติพจน์ที่สี่สำหรับชีวิตมนุษย์ กล่าวคือ ผู้คนเชื่อฟังเราเพียงเสี้ยวเล็กน้อยที่สุดเท่านั้น และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเกลียดชังเราอยู่เสมอ  เพราะความเกลียดชังของมนุษย์ เราจึงมักผละจากมา  เหตุใดเราจึงต้องทำให้ตัวเราเองอยู่ภายใต้สิ่งนี้?  เหตุใดเราจึงยั่วยุความเกลียดในผู้คนเสมอ?  เนื่องจากผู้คนไม่ยอมรับการดำรงอยู่ของเรา แล้วเหตุใดเราจึงต้องใช้ชีวิตอย่างอย่างไม่ละอายใจภายในบ้านของมนุษย์?  เราไม่มีทางเลือกนอกจากจะนำ “สัมภาระ” ของเราออกมาและผละจากมนุษย์  แต่ผู้คนไม่สามารถทนปล่อยให้เราไปได้ และพวกเขาไม่เคยต้องการปล่อยให้เราไป  พวกเขาคร่ำครวญและสะอึกสะอื้น กลัวอยู่ลึกๆ ว่าเราจะจากไปและว่าเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาจะสูญเสียสิ่งที่พวกเขาพึ่งพาในการใช้ชีวิต  เมื่อเห็นสายตาที่เว้าวอนของพวกเขา หัวใจของเราก็อ่อนลง  ท่ามกลางมหาสมุทรทั้งหมดของโลก ผู้ใดเล่าที่จะสามารถรักเราได้บ้าง?  มนุษย์ถูกปกคลุมด้วยน้ำที่สกปรกโสมม ถูกดูดกลืนด้วยแรงของทะเล  เราเกลียดการไม่เชื่อฟังของมนุษย์ กระนั้นเราก็ยังรู้สึกถึงความสงสารกับโชคร้ายของมวลมนุษย์ทั้งปวง—ในท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ยังคงเป็นเหยื่อ  เราจะสามารถขับไล่มนุษย์ลงสู่ห้วงน้ำได้อย่างไรในเมื่อเขาอ่อนแอและไร้กำลัง?  เราโหดร้ายขนาดที่จะเตะเขาเมื่อเขาล้มลงกับพื้นหรือ?  หัวใจของเราโหดเหี้ยมเช่นนั้นหรือ?  ที่มนุษย์เข้าสู่ยุคนี้เคียงข้างเรานั้นเป็นเพราะท่าทีที่เรามีต่อมวลมนุษย์ และเขาได้ผ่านวันและคืนอันยอดเยี่ยมเหล่านี้ร่วมกันกับเราก็เป็นเพราะการนี้  วันนี้ ผู้คนอยู่ในความเจ็บปวดรวดร้าวของความชื่นบานยินดี พวกเขามีสำนึกรับรู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าถึงความรักใคร่ของเรา และพวกเขารักเราด้วยเรี่ยวแรงอันมากมาย เพราะมีพลังชีวิตอยู่ในชีวิตของพวกเขา และพวกเขาหยุดที่จะเป็นบุตรหายไปที่พเนจรไปถึงสุดปลายแผ่นดินโลก

ในช่วงวันที่เราใช้ชีวิตกับมนุษย์ ผู้คนพึ่งพาเรา และเพราะเราคำนึงถึงมนุษย์ในทุกสรรพสิ่งและพิถีพิถันในการที่เราดูแลเอาใจใส่เขา ผู้คนจึงใช้ชีวิตในอ้อมกอดอันอบอุ่นของเราเสมอ และไม่ต้องสู้ทนลมพัด ฝนกระหน่ำ หรือดวงอาทิตย์ที่แผดเผา ผู้คนใช้ชีวิตท่ามกลางความสุขและปฏิบัติต่อเราในดุจมารดาที่รักใคร่  ผู้คนเหมือนกับดอกไม้ในเรือนกระจกที่ไม่สามารถทนทานต่อการโจมตีของ “ภัยธรรมชาติ” ไม่สามารถตั้งมั่นได้เลย  ดังนั้น เราจึงวางพวกเขาลงท่ามกลางการทดลองของทะเลที่โหยหวน และพวกเขาทำอะไรไม่ได้นอกจาก “หวั่นไหว” อย่างไม่มีที่สิ้นสุด  พวกเขาแทบจะไม่มีพลังอำนาจใดๆ ที่จะต้านทานเลย—และเพราะวุฒิภาวะของพวกเขาขาดพร่องจนเกินไปและร่างกายของพวกเขาอ่อนแอจนเกินไป เราจึงรู้สึกสำนึกรับรู้ของภาระ  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงอยู่ภายใต้การทดลองของเราโดยไม่ตระหนักถึงมัน เพราะพวกเขาเปราะบางจนเกินไป และไร้ความสามารถที่จะยืนฝ่าลมที่โหยหวนและดวงอาทิตย์ที่แผดเผาได้  นี่ไม่ใช่งานในปัจจุบันนี้ของเราหรือ?  เมื่อเผชิญกับการทดลองของเรา เหตุใดผู้คนจึงร้องไห้ออกมาเสมอ?  เรากำลังทำความอยุติธรรมกับพวกเขาหรือ?  เรากำลังจงใจเข่นฆ่าพวกเขาหรือ?  เหตุใดสภาวะของมนุษย์ที่ควรค่าที่จะรักถึงตายไป ไม่เคยได้รับการคืนชีพ?  ผู้คนคว้าเราและไม่ปล่อยไปอยู่เสมอ เพราะพวกเขาไม่เคยมีความสามารถที่จะใช้ชีวิตด้วยตัวพวกเขาเอง พวกเขายอมให้ตัวเองได้รับการนำทางด้วยมือของเราเสมอ และกลัวอยู่ลึกๆ ว่าจะถูกผู้อื่นพรากไป  ชีวิตทั้งหมดของพวกเขาไม่ได้รับการนำโดยเราหรือ?  ในช่วงระหว่างชีวิตที่ว้าวุ่นของพวกเขา ในขณะที่พวกเขาข้ามยอดเขาและหุบเขา พวกเขาได้รับประสบการณ์กับความว้าวุ่นอย่างมาก—นี่ไม่ได้มาจากมือของเราหรือ?  เหตุใดผู้คนจึงไม่เคยมีความสามารถที่จะเข้าใจหัวใจของเรา?  เหตุใดพวกเขาจึงเข้าใจเจตนารมณ์ที่ดีของเราผิดเสมอ?  เหตุใดงานของเราจึงไม่ดำเนินไปอย่างราบรื่นบนแผ่นดินโลก?  เพราะความอ่อนแอของมนุษย์ เราจึงหลบเลี่ยงมนุษย์เสมอ ซึ่งทำให้เราเกิดความโทมนัส: เหตุใดขั้นตอนการทำงานต่อไปของเราจึงไม่สามารถได้รับการดำเนินการในมนุษย์ได้?  ดังนั้น เราจึงเงียบกริบ และชั่งประเมินเขาอย่างพิถีพิถัน: เหตุใดเราจึงถูกจำกัดจากข้อบกพร่องของมนุษย์เสมอ?  เหตุใดจึงมีสิ่งขัดขวางงานของเราเสมอ?  วันนี้ เรายังไม่พบคำตอบทั้งหมดในมนุษย์ เพราะมนุษย์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเสมอ เขาไม่เคยปกติ ถ้าไม่เกลียดเราเข้ากระดูกดำ เขาก็มีความรักให้เราจนถึงที่สุด  เรา พระเจ้าผู้ปกติพระองค์เอง ไม่สามารถยืนฝ่าการทรมานเช่นนั้นจากมนุษย์ได้  เพราะผู้คนมีจิตไม่ปกติอยู่เสมอ จึงประหนึ่งเหมือนว่าเรายำเกรงมนุษย์เล็กน้อย และดังนั้นการมองดูทุกๆ การเคลื่อนไหวของเขาจึงทำให้เราคิดถึงความไม่ปกติของเขา  เราได้ค้นพบความล้ำลึกในมนุษย์โดยไม่ได้เจตนา: กลับกลายเป็นว่ามีคนชักใยอยู่เบื้องหลังเขา ผลก็คือ ผู้คนจึงกล้าและมั่นใจอยู่เสมอ เสมือนว่าพวกเขาได้ทำบางสิ่งบางอย่างที่สมควรแล้ว  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงเสแสร้งว่าเป็นผู้ใหญ่อยู่เสมอ และพวกเขาพูดเยินยอ “เด็กตัวเล็กๆ”  เมื่อดูการเล่นปริศนาของมนุษย์แล้ว เราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากโกรธเคืองยิ่งขึ้น: เหตุใดผู้คนช่างไม่รักและไม่เคารพตัวพวกเขาเอง?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่รู้จักตัวพวกเขาเอง?  วจนะของเราได้หายไปเสียแล้วหรือ?  วจนะของเราเป็นศัตรูของมนุษย์หรือ?  เหตุใดผู้คนจึงไม่พอใจเรามากขึ้นเมื่อพวกเขาอ่านวจนะของเรา?  เหตุใดผู้คนจึงใส่ความคิดของพวกเขาเองลงในวจนะของเราอยู่เสมอ?  เราไม่มีเหตุผลกับมนุษย์มากเกินไปหรือ?  ผู้คนทั้งหมดควรคิดให้หนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ภายในวจนะของเรา

24 พฤษภาคม ค.ศ. 1992

ก่อนหน้า: บทที่ 44

ถัดไป: บทที่ 46

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger