บทที่ 40

ผู้คนเกาะติดอยู่กับทุกการเคลื่อนไหวของเรา ราวกับว่าเรากำลังจะนำพาฟ้าสวรรค์ลงมา และพวกเขางุนงงโดยการกระทำของเราเสมอ ราวกับว่ากิจการทั้งหลายของเราเป็นที่ไม่อาจหยั่งลึกได้โดยสิ้นเชิงสำหรับพวกเขา  ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงคอยดูสัญญาณจากเราในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ กลัวอยู่ลึกๆ ว่าพวกเขาจะทำให้สวรรค์ขุ่นเคืองและถูกโยนเข้าไปสู่ “โลกปุถุชน”  เราไม่พยายามที่จะหาสิ่งใดที่เราสามารถใช้ต้านมนุษย์ได้ หรือทำให้ข้อบกพร่องของพวกเขาเป็นเป้าแห่งงานของเรา  ในชั่วขณะนี้ พวกเขามีความสุขอย่างมาก และมาพึ่งพาเรา  เมื่อเรามอบให้แก่มนุษย์ ผู้คนก็รักเราเสมือนที่พวกเขารักชีวิตของพวกเขาเอง แต่เมื่อเราขอสิ่งทั้งหลายจากพวกเขา พวกเขาก็จะหลบเลี่ยงเรา  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  พวกเขาไม่สามารถนำ “ความเป็นธรรมและความเป็นเหตุเป็นผล” ของโลกมนุษย์มาปฏิบัติหรือ?  เหตุใดเราจึงทำข้อเรียกร้องเช่นนั้นต่อมนุษย์ครั้งแล้วครั้งเล่า?  มันเป็นเรื่องที่ว่าเราไม่มีสิ่งใดจริงๆ ละหรือ?  ผู้คนปฏิบัติต่อเราเหมือนขอทาน  เมื่อเราขอสิ่งทั้งหลายจากพวกเขา พวกเขาก็ยกชู “ของเหลือ” ของพวกเขาต่อหน้าเราเพื่อให้เรา “ชื่นชม” และแม้กระทั่งกล่าวว่าพวกเขากำลังให้การดูแลเอาใส่ใจเราเป็นพิเศษ  เราดูที่ใบหน้าอันอัปลักษณ์และสภาวะแปลกพิกลของพวกเขา และออกเดินทางไปจากมนุษย์อีกครั้ง  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเช่นนั้น ผู้คนยังคงไม่มีการจับใจความใดๆ และเอาสิ่งทั้งหลายที่เราได้ปฏิเสธนั้นกลับไปอีกครั้ง รอคอยการหวนคืนของเรา  เราได้เสียสละเวลาและได้จ่ายราคาอันยิ่งใหญ่เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ไปมากแล้ว แต่ในเวลานี้ ด้วยเหตุผลกลใดไม่รู้ มโนธรรมของผู้คนยังคงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ดั้งเดิมของมันได้อยู่เรื่อยไป  ผลก็คือ เราลงรายการ “ความสงสัยไม่หยุดหย่อน” นี้ไว้ท่ามกลาง “พระวจนะแห่งความล้ำลึก” เพื่อทำหน้าที่เป็น “เอกสารอ้างอิง” สำหรับชนรุ่นหลังในอนาคต เพราะเหล่านี้คือ “ผลการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์” ที่เกิดจาก “การตรากตรำ” ของผู้คน เราจะสามารถลบสิ่งเหล่านั้นไปง่ายๆ ได้อย่างไร?  นี่จะไม่ใช่ “การไม่ทำตาม” เจตนาดีของผู้คนหรอกหรือ?  อย่างไรก็ดี เรามีมโนธรรมอยู่ ดังนั้น เราจึงไม่มีส่วนร่วมในการกระทำที่ฉลาดแกมโกง รู้เห็นเป็นใจกับมนุษย์—กิจการทั้งหลายของเราไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?  นี่มิใช่ “ความเป็นธรรมและความเป็นเหตุเป็นผล” ที่มนุษย์พูดถึงหรอกหรือ?  เราได้ทำงานท่ามกลางผู้คนโดยไม่หยุดหย่อนจนถึงปัจจุบัน  ด้วยการมาถึงของวันเวลาเหมือนอย่างวันนี้ ผู้คนยังคงไม่รู้จักเรา พวกเขายังคงปฏิบัติต่อเราเหมือนคนแปลกหน้า และแม้กระทั่งเกิดความเกลียดชังต่อเรามากยิ่งขึ้น เพราะเราได้นำพวกเขาไปสู่ “ทางตัน”  ในเวลานี้ ความรักในหัวใจของพวกเขาได้อันตรธานไปโดยไม่มีร่องรอยมานานแล้ว  เรามิใช่กำลังอวดตัว นับประสาอะไรที่เราจะดูแคลนมนุษย์  เราสามารถรักมนุษย์ไปจนชั่วกัลปาวสานได้ และเรายังสามารถเกลียดชังเขาไปจนชั่วกัลปาวสานได้ด้วยเช่นกัน และการนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะเรามีความเพียร  แต่ทว่ามนุษย์ไม่ได้ครองความเพียรนี้ เขามักจะเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายกับเราอยู่เสมอ เขาเพียงแค่ให้ความสนใจกับเราน้อยนิดเท่านั้นอยู่เรื่อยไปเมื่อเราเปิดปากพูด และเมื่อเราหุบปากและไม่พูดสิ่งใด เขาก็กลายเป็นหายไปท่ามกลางคลื่นแห่งโลกใหญ่นี้ในไม่ช้า  ด้วยเหตุนี้ เราจึงย่อการนี้เป็นภาษิตอีกคำหนึ่ง กล่าวคือ ผู้คนขาดความเพียร และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่สามารถทำให้ลุล่วงตามหัวใจเราได้

ในขณะที่ผู้คนกำลังฝันอยู่นั้น เราเดินทางไปยังประเทศทั้งหลายในโลกโดยแผ่ “กลิ่นอายแห่งความตาย” ในมือของเราท่ามกลางมนุษย์  ผู้คนทั้งปวงทิ้งความมีชีวิตชีวาไว้เบื้องหลังทันที และเข้าสู่ลำดับชั้นถัดไปแห่งชีวิตมนุษย์  ท่ามกลางมวลมนุษย์นั้น ไม่อาจพบเห็นสิ่งมีชีวิตใดๆ ได้อีกต่อไป ซากศพกระจัดกระจายไปทุกหนแห่ง สิ่งทั้งหลายที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาก็อันตรธานหายไปโดยไร้ร่องรอยในทันที และกลิ่นคละคลุ้งของซากศพขจรขจายไปทั่วแผ่นดิน  เราปิดบังหน้าของเราทันทีและไปจากมนุษย์ เพราะเรากำลังเริ่มงานขั้นตอนถัดไป โดยให้สถานที่ในการดำรงชีวิตแก่บรรดาผู้ที่กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมา และทำให้ผู้คนทั้งปวงดำรงชีวิตอยู่ในแผ่นดินในอุดมคติ  นี่คือแผ่นดินที่ได้รับพร——แผ่นดินที่ปราศจากความเศร้าหรือการทอดถอนใจ——ที่เราได้ตระเตรียมไว้สำหรับมนุษย์  น้ำที่ไหลพุ่งมาจากน้ำพุในหุบเขาใสกระจ่างถึงก้นบึ้ง มันไหลไม่มีหยุดและไม่เคยเหือดแห้ง ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในความปรองดองกับพระเจ้า นกทั้งหลายขับร้อง และท่ามกลางสายลมอ่อนโยนและดวงอาทิตย์ที่อบอุ่นนั้น ทั้งสวรรค์และแผ่นดินโลกก็ได้หยุดพัก  วันนี้ ในที่นี้ ซากศพของผู้คนทั้งหมดนอนกลาดเกลื่อน  เราปลดปล่อยโรคระบาดในมือของเราไปโดยที่ผู้คนไม่รู้ตัว และร่างของมนุษย์ก็เน่าเปื่อย ไม่เหลือร่องรอยของเนื้อหนังตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า และเราก็ไปห่างไกลจากมนุษย์  เราจะไม่มีวันจับกลุ่มชุมนุมกับมนุษย์อีกเลย เราจะไม่มีวันมาท่ามกลางมนุษย์อีกเลย เพราะช่วงระยะสุดท้ายแห่งการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลของเราได้มาถึงบทอวสานแล้ว และเราจะไม่สร้างมวลมนุษย์ขึ้นมาอีก จะไม่ให้ความใส่ใจใดๆ กับมนุษย์อีก  หลังจากได้อ่านวจนะจากปากของเราแล้ว ผู้คนล้วนสูญสิ้นความหวัง เพราะพวกเขาไม่ต้องการที่จะตาย—แต่ผู้ใดเล่าที่ไม่ “ตาย” เพื่อประโยชน์แห่ง “การมามีชีวิต”?  เมื่อเราบอกผู้คนว่าเราขาดเวทมนตร์ที่จะทำให้พวกเขากลับมามีชีวิต พวกเขาก็ระเบิดเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แท้จริงแล้ว ถึงแม้ว่าเราเป็นพระผู้สร้าง แต่เราก็มีเพียงพลังอำนาจที่จะทำให้ผู้คนตาย และขาดความสามารถที่จะทำให้พวกเขากลับมามีชีวิต  ในการนี้ เราขออภัยต่อมนุษย์  ด้วยเหตุนี้ เราได้บอกมนุษย์ไว้ล่วงหน้าว่า “เราติดค้างหนี้ที่ไม่อาจชำระได้ต่อเขา”—แต่ทว่าเขาก็คิดว่าเรากำลังสุภาพ  วันนี้ ด้วยการมาถึงของข้อเท็จจริง เรายังคงกล่าวการนี้  เราจะไม่ขัดกับข้อเท็จจริงเมื่อเราพูด  ในมโนคติที่หลงผิดของพวกเขานั้น ผู้คนเชื่อว่าหนทางที่เราพูดมีมากเกินไป และดังนั้น พวกเขาจึงคว้าวจนะที่เรามอบให้พวกเขาในขณะที่หวังอะไรอย่างอื่นอยู่เสมอ  เหล่านี้มิใช่แรงจูงใจที่ผิดพลาดของมนุษย์หรอกหรือ?  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้นี่เองที่เรากล้ากล่าว “อย่างอาจหาญ” ว่ามนุษย์มิได้รักเราอย่างแท้จริง  เราจะไม่หันหลังให้กับมโนธรรมและบิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะเราจะไม่นำผู้คนเข้าไปสู่ดินแดนในอุดมคติของพวกเขา ในท้ายที่สุด เมื่องานของเราเสร็จสิ้น เราจะนำพวกเขาไปยังดินแดนแห่งความตาย  ดังนั้น ผู้คนอย่าได้ร้องทุกข์ถึงเราเป็นดีที่สุด  นั่นไม่ใช่เพราะผู้คน “รัก” เราหรอกหรือ?  นั่นไม่ใช่เพราะความอยากได้พรของพวกเขานั้นแรงกล้าเกินไปหรอกหรือ?  หากผู้คนไม่ต้องการที่จะแสวงหาพร แล้วจะสามารถมี “โชคร้าย” นี้ได้อย่างไร?  เนื่องจาก “ความจงรักภักดี” ของผู้คนที่มีต่อเรา เพราะพวกเขาได้ติดตามเรามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว โดยทำงานหนักถึงแม้จะไม่เคยมีส่วนร่วมแบ่งปันใดๆ เราจึงเผยให้พวกเขาเห็นเล็กน้อยเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นใน “ห้องลับ” กล่าวคือ  เมื่อคำนึงถึงว่า วันนี้งานของเรายังไม่ไปถึงจุดหนึ่ง และผู้คนยังไม่ได้ถูกโยนลงหลุมที่ลุกเป็นไฟ เราแนะนำพวกเขาให้ออกไปโดยเร็วเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้—ทุกคนที่ยังเหลืออยู่มีแนวโน้มที่จะทนทุกข์กับโชคร้าย และมีโชคดีแค่น้อยนิด และพวกเขาจะยังคงไร้ความสามารถที่จะหลีกเลี่ยงความตายในท้ายที่สุด  เราเปิด “ประตูสู่ความมั่งคั่ง” ให้กว้างไว้สำหรับพวกเขา ผู้ใดก็ตามที่เต็มใจที่จะจากไปก็ควรเริ่มออกเดินไปบนถนนโดยเร็วที่สุดเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้—หากพวกเขารอคอยจนกระทั่งการตีสอนมาถึง มันจะสายเกินไป  วจนะเหล่านี้มิใช่การเย้ยหยัน—มันคือข้อเท็จจริงเที่ยงแท้  วจนะของเราถูกเปล่งออกไปต่อมนุษย์ด้วยมโนธรรมที่ดี และหากเจ้าไม่ไปเสียเดี๋ยวนี้ เจ้าจะไปเมื่อใด?  ผู้คนสามารถที่จะไว้วางใจในวจนะของเราได้อย่างแท้จริงหรือไม่?

เราไม่เคยใช้ความคิดมากมายถึงโชคชะตาของมนุษย์ เราเพียงแต่ทำตามเจตจำนงของเราเอง โดยไม่ถูกจำกัดโดยมนุษย์  เราจะวางมือเนื่องจากความเกรงกลัวของพวกเขาได้อย่างไร?  ตลอดทั้งแผนการบริหารจัดการของเรานั้น เราไม่เคยทำการจัดการเตรียมการพิเศษอันใดเพื่อประสบการณ์ของมนุษย์  เราแค่กระทำไปตามแผนดั้งเดิมของเรา  ในอดีต ผู้คน “ได้มอบถวาย” ตัวพวกเขาเองให้เรา และเราไม่ร้อนและไม่เย็นต่อพวกเขา  วันนี้ พวกเขาได้ “พลีอุทิศ” ตัวพวกเขาเองเพื่อเรา และเราก็ยังคงไม่ร้อนและไม่เย็นต่อพวกเขา เรามิได้ลำพองใจเพราะผู้คนพลีอุทิศชีวิตของพวกเขาเพื่อเรา และเรามิได้ท่วมท้นด้วยความชื่นชมยินดีอันใหญ่หลวง แต่ยังคงส่งพวกเขาไปสู่ลานประหารตามแผนของเราต่อไป  เราไม่ให้ความใส่ใจต่อท่าทีของพวกเขาในช่วงระหว่างการสารภาพ—หัวใจที่เย็นชาเป็นน้ำแข็งของเราจะสามารถสะเทือนใจโดยหัวใจของมนุษย์ได้อย่างไร?  เราเป็นหนึ่งในบรรดาสัตว์ที่มีอารมณ์ความรู้สึกท่ามกลางมวลมนุษย์หรือ?  เราได้เตือนความจำผู้คนหลายครั้งแล้วว่าเราปราศจากอารมณ์ความรู้สึก แต่พวกเขาก็แค่ยิ้ม โดยเชื่อว่าเราเพียงแค่ทำตัวสุภาพเท่านั้น  เราได้กล่าวไปว่า “เราไม่รู้เท่าทันปรัชญาแห่งการดำรงชีวิตของมวลมนุษย์” แต่ผู้คนก็ไม่เคยคิดเช่นนั้น และกล่าวว่าวิธีการที่เราพูดนั้นมีมากมายยิ่งนัก  เนื่องจากข้อจำกัดแห่งมโนคติที่หลงผิดนี้ของมนุษย์ เราไม่รู้ว่าจะพูดกับผู้คนด้วยกระแสเสียงใด และโดยวิธีการใด—และดังนั้น เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เราจึงทำได้แค่พูดอย่างเถรตรง  เราจะสามารถทำการอื่นใดได้?  วิธีการที่ผู้คนใช้พูดมีมากมายยิ่งนัก—พวกเขากล่าวว่า “พวกเราไม่ควรพึ่งพาอารมณ์ความรู้สึก แต่ควรปฏิบัติความชอบธรรม” ซึ่งเป็นคำขวัญประเภทที่พวกเขาได้กู่ร้องมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่พวกเขาก็ไร้ความสามารถที่จะกระทำตามคำพูดของพวกเขา คำพูดของพวกเขานั้นว่างเปล่า—ดังนั้น เราจึงกล่าวว่าผู้คนขาดความสามารถที่จะทำให้ “คำพูดและการสำเร็จลุล่วงของพวกเขาเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน”  ในหัวใจของพวกเขานั้น ผู้คนเชื่อว่าการกระทำดังนั้นเป็นการเลียนแบบเรา—แต่ทว่าเราไม่มีความสนใจในการเลียนแบบของพวกเขา เราเอียนและเบื่อมัน  เหตุใดผู้คนจึงหันมาต่อต้านองค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งให้อาหารพวกเขา?  เราได้ให้มนุษย์น้อยเกินไปหรือ?  เหตุใดผู้คนจึงแอบนมัสการซาตานลับหลังเรา?  มันเป็นราวกับว่าพวกเขาทำงานให้เรา และเงินเดือนที่เราให้พวกเขานั้นไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตของพวกเขา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมองหาอีกงานหนึ่งนอกเวลาทำงาน เพื่อที่จะเพิ่มค่าจ้างของพวกเขาเป็นเท่าตัว—เพราะค่าใช้จ่ายของผู้คนนั้นมากเหลือเกิน และดูเหมือนพวกเขาไม่รู้ว่าจะได้มาอย่างไร  หากมันเป็นดังนั้นจริงๆ เราก็จะขอให้พวกเขาออกไปจาก “โรงงาน” ของเราเสีย  นานมาแล้ว เราได้อธิบายต่อมนุษย์ว่าการทำงานให้เราไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติเป็นพิเศษใดๆ กล่าวคือ  เราปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นธรรมและอย่างมีเหตุมีผล โดยไม่มีการยกเว้น โดยนำระบบ “ทำงานหนัก ได้มาก ทำงานน้อย ได้น้อย และไม่ทำงาน ก็ไม่ได้สิ่งใด” มาใช้  เมื่อเราพูด เราไม่สะกดกลั้นสิ่งใดไว้ หากผู้ใดเชื่อว่า “กฎเกณฑ์โรงงาน” ของเราเข้มงวดเกินไป พวกเขาก็ควรจะออกไปทันที เราจะจ่าย “ค่าโดยสาร” ออกจากเมืองของพวกเขา  เรา “กรุณา” ในการที่เรารับมือกับผู้คนเช่นนี้ เราไม่บังคับให้พวกเขาอยู่ต่อ  ท่ามกลางผู้คนนับจำนวนไม่ถ้วนเหล่านี้ เราไม่สามารถค้นหา “คนงาน” ที่สมดั่งใจเราได้เชียวหรือ?  ผู้คนไม่ควรปรามาสเรา!  หากผู้คนยังคงไม่เชื่อฟังเราและต้องการที่จะแสวงหา “การจ้างงาน” ที่อื่น เราจะไม่บังคับพวกเขา—เราคงจะยินดีกับการนั้น เราไม่มีทางเลือก!  นั่นมิใช่เป็นเพราะเรามี “กฎเกณฑ์และกฎข้อบังคับ” มากเกินไปหรอกหรือ?

8 พฤษภาคม ค.ศ. 1992

ก่อนหน้า: บทที่ 39

ถัดไป: บทที่ 41

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger