บทที่ 15

มนุษย์ทั้งปวงเป็นสิ่งสร้างที่ขาดพร่องการรู้จักตนเอง และพวกเขาไม่สามารถรู้จักตัวพวกเขาเอง  แม้กระนั้นก็ตาม พวกเขากลับรู้จักผู้อื่นทุกคนเหมือนรู้จักหลังมือของพวกเขา ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้อื่นกล่าวและทำลงไปนั้นถูกพวกเขา “ตรวจสอบ” ก่อนแล้ว ตรงหน้าพวกเขานั่นเอง และได้รับการเห็นชอบจากพวกเขาก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นจะถูกลงมือทำ  ผลที่ตามมานั้นเป็นราวกับว่าพวกเขาได้ประเมินวัดผู้อื่นทุกคนอย่างเต็มที่ ลึกลงไปจนถึงสภาวะจิตใจเลยทีเดียว  มนุษย์ทั้งปวงก็เป็นเช่นนี้  ถึงแม้ว่าพวกเขาเข้าสู่ยุคแห่งราชอาณาจักรในวันนี้แล้ว แต่ธรรมชาติของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง  ต่อหน้าเรา พวกเขายังคงทำสิ่งที่เราทำ แต่ลับหลังเรา พวกเขาก็เริ่มทำ “ธุระ” พิเศษของพวกเขาเอง  อย่างไรก็ตาม ในภายหลัง เมื่อพวกเขามาตรงหน้าเรา พวกเขาก็เป็นเหมือนผู้คนที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง สงบและไม่หวั่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด พร้อมใบหน้าอันสำรวมและจังหวะชีพจรที่สม่ำเสมอ  นี่มิใช่สิ่งที่ทำให้มนุษย์น่าดูหมิ่นยิ่งนักโดยแท้หรอกหรือ?  ผู้คนมากมายเหลือเกินแสดงหน้าตาสองแบบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง—หน้าตาแบบหนึ่งขณะอยู่ตรงหน้าเรา และหน้าตาอีกแบบหนึ่งเมื่ออยู่ลับหลังเรา  พวกเขามากมายเหลือเกินกระทำการเหมือนลูกแกะแรกเกิดเมื่ออยู่ต่อหน้าเรา แต่พอลับหลังเรา พวกเขาก็กลับกลายเป็นเสือดุดัน และต่อมาก็กระทำการเหมือนนกน้อยโผบินอย่างสนุกสนานไปรอบๆ เนินเขา  หลายคนเหลือเกินแสดงจุดประสงค์และการตกลงใจแน่วแน่ต่อหน้าเรา  หลายคนเหลือเกินมาแสวงหาวจนะของเราด้วยความกระหายและความถวิลหาเบื้องหน้าเรา แต่พอลับหลังเรา พวกเขากลับรำคาญวจนะเหล่านั้นมากขึ้นทุกทีและประกาศตัดขาดจากวจนะเหล่านั้น ราวกับว่าถ้อยคำของเราเป็นเครื่องถ่วงอย่างหนึ่ง  หลายครั้งเหลือเกิน เมื่อเห็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกศัตรูของเราทำให้เสื่อมทราม เราก็เลิกตั้งความหวังทั้งหลายของเรากับมนุษย์  หลายครั้งเหลือเกินที่เมื่อเห็นมนุษย์มาฟูมฟายแสวงหาการให้อภัยเบื้องหน้าเรา เราก็ได้แต่ปิดตาของเราจากการกระทำของพวกเขาด้วยความโกรธ แม้แต่ในยามที่หัวใจของพวกเขาจริงแท้และเจตนาของพวกเขาจริงใจก็ตาม เนื่องเพราะการขาดพร่องความนับถือตนเองและความไม่สามารถแก้ไขได้อันดื้อดึงของพวกเขา  หลายครั้งเหลือเกิน เราได้เห็นผู้คนมั่นใจพอที่จะร่วมมือกับเรา ผู้ที่เมื่ออยู่เบื้องหน้าเรา ดูเหมือนอยู่ในอ้อมกอดของเรา ลิ้มรสความอบอุ่นของอ้อมกอดนั้น  หลายครั้งเหลือเกินที่พอได้เห็นความบริสุทธิ์ใจ ความมีชีวิตชีวา และความน่ารักของประชากรที่ได้รับการเลือกสรรของเราแล้ว  เราจะไม่รู้สึกยินดีอย่างใหญ่หลวงเพราะสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร?  มนุษย์ไม่รู้วิธีชื่นชมพรที่ลิขิตไว้ล่วงหน้าของพวกเขาในมือของเรา เพราะพวกเขาไม่เข้าใจว่าอันที่จริงแล้ว ทั้ง “พร” และ “ความทุกข์” มีความหมายเช่นไร  ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงหาได้จริงใจในการแสวงหาเราของพวกเขาไม่  หากไม่มีวันพรุ่ง เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าคนใดที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเรา จักบริสุทธิ์ดุจดังหิมะที่ถูกพัดพา และไร้มลทินดุจดังหยก?  เป็นไปได้หรือไม่ว่าความรักที่เจ้ามีต่อเราเป็นเพียงบางสิ่งที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นมื้ออาหารอันโอชะสักมื้อ ชุดสูทมีระดับสักชุด หรือตำแหน่งสูงพร้อมรายได้งามๆ สักตำแหน่ง?  ความรักที่เจ้ามีต่อเราสามารถแลกเปลี่ยนเป็นความรักที่ผู้อื่นมีต่อพวกเจ้าได้หรือไม่?  แท้จริงแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าการก้าวผ่านบททดสอบทั้งหลายจะกระตุ้นให้ผู้คนทอดทิ้งความรักที่พวกเขามีต่อเรา?  ความทุกข์และความลำบากทั้งหลายจะทำให้พวกเขาพร่ำบ่นเกี่ยวกับการจัดการเตรียมการของเราหรือไม่?  ไม่เคยมีผู้ใดซึ้งคุณค่าในดาบคมที่อยู่ในปากของเราอย่างแท้จริงเลย กล่าวคือ พวกเขารู้จักเพียงความหมายที่ผิวเผินของดาบนั้นโดยไม่จับความเข้าใจถึงความนัยที่มันนำมาด้วย  หากมนุษย์สามารถมองเห็นความคมแห่งดาบของเราอย่างแท้จริง พวกเขาก็คงจะวิ่งลนลานเหมือนหนูเข้ารูของพวกมัน  เป็นเพราะความด้านชาของมนุษย์ พวกเขาจึงไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงแห่งวจนะของเรา และดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้เลยว่าถ้อยคำของเราน่ายำเกรงเพียงใด หรือว่าถ้อยคำของเราเปิดเผยธรรมชาติของมนุษย์มากมายเพียงใด และความเสื่อมทรามของมนุษย์เองถูกวจนะเหล่านั้นพิพากษาไปมากเพียงใดแล้ว  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนส่วนใหญ่จึงนำเอาท่าทีที่ไม่กระตือรือร้นมาใช้อันเป็นผลลัพธ์ของแนวคิดครึ่งๆ กลางๆ ของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เรากล่าว

ภายในราชอาณาจักร ไม่เพียงถ้อยคำเท่านั้นที่ออกจากปากของเรา แต่เท้าของเราก็ก้าวย่างไปอย่างมีพิธีการในทุกหนแห่งทั่วแผ่นดินทั้งปวงด้วย  ในหนทางนี้ เราจึงมีชัยชนะเหนือสถานที่ที่มีมลทินและโสมมทั้งปวง เพื่อที่ไม่เพียงสวรรค์เท่านั้นที่กำลังเปลี่ยนแปลง แต่แผ่นดินโลกเองก็อยู่ในกระบวนการแปลงสภาพและย่อมได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ในลำดับถัดไปเช่นกัน  ภายในจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่างส่องประกายเหมือนใหม่อยู่ในรัศมีแห่งสง่าราศีของเรา นำเสนอแง่มุมที่อบอุ่นหัวใจซึ่งยังความปลาบปลื้มยินดีแก่สำนึกรับรู้ และยกจิตวิญญาณของผู้คนให้สูงขึ้น ประหนึ่งว่าบัดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างดำรงอยู่ในสวรรค์แห่งหนึ่งพ้นฟ้าสวรรค์ทั้งหลายขึ้นไป ดุจดังที่คิดฝันกันในจินตนาการของมนุษย์ ไม่ถูกซาตานรังควาน และเป็นอิสระจากการโจมตีของศัตรูภายนอกทั้งหลาย  ณ ขอบเขตตอนบนสุดของจักรวาล ดวงดาวมากมายเหลือคณานับจับจองตำแหน่งแห่งที่ที่ได้รับการกำหนดไว้ตามบัญชาของเรา เปล่งความสว่างของพวกมันโดยตลอดแดนดาวในโมงยามแห่งความมืด  ไม่มีสักชีวิตเดียวที่กล้าเก็บงำความคิดพยศทั้งหลาย และดังนั้น ในความสอดคล้องกับเนื้อหาสาระแห่งประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา ทั่วทั้งจักรวาลจึงได้รับการกำกับดูแลเป็นอย่างดีและอยู่ในระเบียบที่เพียบพร้อม กล่าวคือ ไม่เคยมีการรบกวนเกิดขึ้น และจักรวาลก็ไม่เคยถูกแบ่งแยก  เราโผนทะยานเหนือดวงดาวทั้งหลาย และเมื่อดวงอาทิตย์แผ่รังสีออกมา เราก็คลายไออุ่นของรังสีเหล่านั้นโดยส่งลมยักษ์พัดเกล็ดหิมะที่ใหญ่เท่าขนห่านปลิวลงไปจากมือของเรา  แต่เมื่อเราเปลี่ยนใจของเรา หิมะทั้งหมดนั้นก็ละลายลงสู่แม่น้ำ และในทันใด ฤดูใบไม้ผลิก็อุบัติไปทั่วทุกหนแห่งภายใต้ท้องฟ้า และสีเขียวมรกตก็แปลงสภาพภูมิทัศน์ทั้งมวลบนแผ่นดินโลก  เราท่องไปเหนือพื้นฟ้า และทันใดนั้นแผ่นดินโลกก็ถูกความมืดมิดห่อหุ้มอันเป็นเพราะรูปสัณฐานของเรา กล่าวคือ โดยปราศจากคำเตือน “รัตติกาล” ได้มาถึง และทั่วทั้งโลกก็มืดลงจนถึงขนาดที่คนเราไม่สามารถมองเห็นมือของตนตรงหน้าของตนได้  ทันทีที่ความสว่างดับสิ้น มนุษย์ก็ฉวยชั่วขณะนี้มาอาละวาดทำลายล้างกันและกัน โดยฉกชิงและจี้ปล้นกันและกัน  และแล้วประชาชาติทั้งหลายของแผ่นดินโลกก็ตกอยู่ในความแตกแยกที่สับสนอลหม่าน และเข้าสู่สภาวะปั่นป่วนวุ่นวายอันฟอนเฟะ จนกระทั่งพวกเขานั้นอยู่พ้นวิสัยของการไถ่ทั้งปวง  ผู้คนดิ้นรนต่อสู้อยู่ท่ามกลางความทุกข์ ร้องครวญครางและโอดโอยในท่ามกลางความเจ็บปวดของพวกเขา และคร่ำครวญอย่างน่าสังเวชในความทุกข์ระทมของพวกเขา โหยหาให้ความสว่างมายังโลกมนุษย์อีกครั้งโดยพลัน และดังนั้นจึงอวสานยุคแห่งความมืดและฟื้นคืนความมีชีวิตชีวาที่ครั้งหนึ่งเคยมีอยู่  อย่างไรก็ตาม เราผละจากมนุษยชาติมานานแล้วด้วยการสะบัดชายแขนเสื้อของเรา ไม่มีวันจะสงสารพวกเขาในเรื่องของความไม่เป็นธรรมทั้งหลายของโลกอีก กล่าวคือ เรารังเกียจและบอกปัดผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินโลก ปิดตาของเราจากภาวะทั้งหลายที่นั่น เบือนหน้าของเราไปจากทุกการเคลื่อนไหวและทุกอากัปกิริยาของมนุษยชาติ และเลิกยินดีกับความเป็นเด็กและความบริสุทธิ์ใจของมนุษย์มานานแล้ว  เราเริ่มดำเนินแผนการอีกอย่างหนึ่งแล้วเพื่อสร้างโลกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เพื่อที่โลกใหม่นี้อาจพบกับการเกิดใหม่เร็วขึ้น ไม่มีวันจมดิ่งลงไปอีก  ในท่ามกลางมนุษยชาติ สภาวะผิดประหลาดมากมายเหลือเกินกำลังรอให้เราแก้ไขให้เป็นปกติ มีความผิดพลาดมากมายเหลือเกินกำลังรอให้เราลงมือป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นด้วยตัวเราเอง มีฝุ่นผงมากมายเหลือเกินกำลังรอให้เรากวาดทิ้ง และมีความล้ำลึกมากมายเหลือเกินกำลังรอให้เราเผย  มนุษยชาติทั้งปวงตั้งตารอเราอยู่ และถวิลหาการมาของเรา

บนแผ่นดินโลก เราคือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง ผู้สถิตในหัวใจของมนุษย์  บนสวรรค์ เราคือองค์เจ้านายแห่งสิ่งสร้างทั้งปวง  เราเดินไต่ภูเขาทั้งหลาย และลุยข้ามแม่น้ำ และเราเคลื่อนผ่านเข้าออกในท่ามกลางมนุษย์  ใครเล่ากล้าต่อต้านพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงพระองค์เองอย่างเปิดเผย?  ใครเล่ากล้าแยกตัวออกจากอำนาจอธิปไตยแห่งองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์?  ใครเล่ากล้ายืนยันว่าเรานั้นอยู่บนสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย?  ที่มากกว่านั้นคือ ใครเล่ากล้ายืนยันว่าเรานั้นอยู่บนแผ่นดินโลกอย่างมิอาจโต้แย้งได้?  ไม่มีผู้ใดท่ามกลางมนุษยชาติทั้งปวงสามารถบรรยายให้เห็นภาพทุกรายละเอียดของสถานที่ทั้งหลายที่เราพักอาศัย  เป็นไปได้หรือไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่เราอยู่บนสวรรค์ เราก็คือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงอยู่เหนือธรรมชาติ และเมื่อใดก็ตามที่เราอยู่บนแผ่นดินโลก เราก็คือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง?  แน่นอนว่าการที่เราเป็นพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่นั้น ไม่สามารถกำหนดจากการเป็นองค์ปกครองสิ่งสร้างทั้งปวงของเราหรือจากข้อเท็จจริงที่ว่าเราผ่านประสบการณ์กับความทุกข์ของโลกมนุษย์ มิใช่หรือ?  หากเป็นเช่นนั้นแล้วไซร้ มนุษย์ก็คงจะไม่ใช่ไม่รู้เท่าทันจนไม่มีหวังที่จะดีขึ้นได้มิใช่หรือ?  เราอยู่บนสวรรค์ แต่เราก็อยู่บนแผ่นดินโลกด้วย  เราอยู่ท่ามกลางวัตถุแห่งการสร้างมากมายนับไม่ถ้วน และอยู่ท่ามกลางหมู่ชนทั้งหลายด้วย  มนุษย์สามารถสัมผัสเราได้ทุกวัน ที่มากไปกว่านั้นคือ พวกเขาสามารถมองเห็นเราได้ทุกวัน  ในความคิดเห็นของมนุษยชาติ เรานั้นบางครั้งดูเหมือนซ่อนเร้น และบางครั้งก็ดูเหมือนมองเห็นได้ เราดูเหมือนดำรงอยู่จริง กระนั้นเราก็ดูเหมือนไม่มีอยู่ด้วยเช่นกัน  ภายในเรา มีความล้ำลึกทั้งหลายซึ่งมนุษยชาติมิอาจหยั่งถึงได้อยู่  เป็นประหนึ่งว่ามนุษย์ทั้งปวงถึงกับเพ่งดูเราผ่านทางกล้องจุลทรรศน์ เพื่อที่จะค้นพบความล้ำลึกต่างๆ ในตัวเราให้มากขึ้นอีก โดยหวังที่จะปัดเป่าความรู้สึกไม่สบายใจในหัวใจของพวกเขาออกไปด้วยผลแห่งการนั้น  อย่างไรก็ตาม แม้มนุษยชาติจะถึงขนาดใช้รังสีเอกซ์ แต่พวกเขาจะสามารถเปิดเผยความลับใดๆ ที่เราครองอยู่ออกมาได้อย่างไร?

ในชั่วขณะที่ประชากรของเราได้รับสง่าราศีเคียงข้างเราอันเป็นผลมาจากงานของเรานั่นเอง รังของพญานาคใหญ่สีแดงจะถูกขุดพบ โคลนและดินทั้งหมดจะถูกกวาดทิ้งจนสะอาด และน้ำเน่าเสียทั้งมวลที่สะสมมาตลอดเวลามากมายหลายปีสุดที่จะนับได้ จะเหือดแห้งไปในเปลวไฟที่เผาไหม้ของเราเพื่อที่จะไม่มีอยู่อีกต่อไป  ครั้นแล้ว พญานาคใหญ่สีแดงก็จะพินาศไปในบึงไฟและกำมะถัน  พวกเจ้าเต็มใจอย่างแท้จริงที่จะคงอยู่ภายใต้การดูแลอันเปี่ยมรักของเราเพื่อไม่ให้พญานาคคว้าเอาตัวไปหรือไม่?  พวกเจ้าเกลียดชังเล่ห์กระเท่ห์อันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของมันอย่างแท้จริงหรือไม่?  ผู้ใดสามารถเป็นพยานที่แข็งแกร่งและทรงพลังเพื่อเรา?  ผู้ใดสามารถยกความแข็งแกร่งทั้งหมดของพวกเขาให้แก่เรา เพื่อประโยชน์แห่งนามของเรา เพื่อประโยชน์แห่งวิญญาณของเรา และเพื่อประโยชน์แห่งแผนการบริหารจัดการทั้งมวลของเรา?  ในวันนี้ เมื่อราชอาณาจักรอยู่ในโลกมนุษย์ก็คือเวลาที่เราได้มาอยู่ในท่ามกลางมนุษยชาติในสภาวะบุคคล  หากการนี้ไม่เป็นดังนั้นแล้ว มีผู้ใดบ้างที่จะสามารถมุ่งหน้าเข้าสู่สนามรบในนามของเราโดยปราศจากความประหวั่นพรั่นใจ?  มนุษย์ทั้งปวงกำลังเพียรพยายามด้วยกำลังทั้งหมดของพวกเขา ทุ่มเทจนสุดความพยายามในการพลีอุทิศตัวพวกเขาเองเพื่อเรา เพื่อที่ราชอาณาจักรอาจเป็นรูปเป็นร่างขึ้น เพื่อที่หัวใจของเราอาจพอใจ และยิ่งไปกว่านั้นคือ เพื่อที่วันของเราอาจมาถึง เพื่อที่วัตถุแห่งการสร้างมากมายนับไม่ถ้วนอาจถึงเวลาเกิดใหม่และมีจำนวนอันอุดม เพื่อที่มนุษย์อาจได้รับการช่วยกู้จากทะเลแห่งความทุกข์ของพวกเขา เพื่อที่วันพรุ่งอาจมาถึง และเพื่อที่วันพรุ่งอาจมหัศจรรย์ และผลิบานและฟูเฟื่อง และที่มากกว่านั้นคือ เพื่อที่ความชื่นชมยินดีแห่งอนาคตอาจเกิดขึ้น  นี่ไม่ใช่หมายสำคัญอย่างหนึ่งว่าชัยชนะเป็นของเราเรียบร้อยแล้วหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่เครื่องหมายว่าแผนการของเราเสร็จสมบูรณ์แล้วหรอกหรือ?

ยิ่งผู้คนดำรงอยู่ในยุคสุดท้ายมากเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งรู้สึกถึงความว่างเปล่าของโลกมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาจะยิ่งมีความกล้าในการใช้ชีวิตน้อยลงเท่านั้นด้วย  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนนับไม่ถ้วนจึงสิ้นชีวิตในความผิดหวัง ส่วนคนอื่นอีกนับไม่ถ้วนก็ผิดหวังในการสืบเสาะแสวงหาของพวกเขา และคนอื่นอีกเหลือคณานับทนทุกข์กับการถูกมือของซาตานบงการ  เราช่วยกู้ผู้คนไว้มากมายเหลือเกินและได้สนับสนุนพวกเขามากมายเหลือเกิน และบ่อยครั้งเหลือเกินเมื่อมนุษย์สูญเสียความสว่าง เราก็ย้ายพวกเขากลับไปในที่แห่งความสว่าง เพื่อที่พวกเขาอาจรู้จักเราภายในความสว่างนั้นและชื่นชมเราท่ามกลางความสุข  เป็นเพราะการมาแห่งความสว่างของเรา ความรักใคร่บูชาจึงยิ่งเติบโตในหัวใจของประชากรที่อยู่อาศัยในราชอาณาจักรของเรา เพราะเราคือพระเจ้าองค์หนึ่งสำหรับให้มนุษย์รัก—พระเจ้าองค์หนึ่งที่มนุษยชาติเกาะติดอย่างผูกพันรักใคร่—และพวกเขาก็เต็มไปด้วยความประทับใจอันยืนยงในรูปสัณฐานของเรา  แม้กระนั้นก็ตาม เมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้ว ไม่มีผู้ใดเข้าใจว่านี่เป็นการทรงพระราชกิจของพระวิญญาณหรือเป็นหน้าที่การงานอย่างหนึ่งของเนื้อหนังกันแน่  ผู้คนคงจะใช้เวลาทั้งชีวิตเพียงเพื่อจะมีประสบการณ์อย่างละเอียดกับสิ่งนี้สิ่งเดียว  ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจมนุษย์ พวกเขาไม่เคยดูหมิ่นเรา ตรงกันข้าม พวกเขากลับเกาะติดอยู่กับเราในส่วนลึกของจิตวิญญาณของพวกเขา  ปัญญาของเราเพิ่มพูนความเลื่อมใสของพวกเขา การอัศจรรย์ที่เราทำคือสิ่งที่น่าชื่นชมในสายตาของพวกเขา และวจนะของเราก็ทำให้จิตใจของพวกเขางงงวย กระนั้นพวกเขาก็ยังทะนุถนอมวจนะเหล่านั้นอย่างสุดซึ้ง  ความเป็นจริงของเราทำให้มนุษย์พูดไม่ออก ตะลึงงัน และฉงนสงสัย แต่ทว่าพวกเขาก็ยังเต็มใจที่จะยอมรับมัน  แท้จริงแล้ว นี่ไม่ใช่การประเมินวัดมนุษย์ตามที่พวกเขาเป็นโดยแท้หรอกหรือ?

13 มีนาคม ค.ศ. 1992

ก่อนหน้า: บทที่ 14

ถัดไป: บทที่ 16

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger