83. ผลสืบเนื่องของการทำงานอย่างเอาแต่ใจ
ผมได้รับเลือกตั้งเป็นผู้นำคริสตจักรใน ค.ศ. 2016 ตอนแรกที่ผมเข้ารับหน้าที่นั้น ผมรู้สึกกดดันอย่างมาก เพราะไม่เข้าใจความจริง และไม่มีความรู้เชิงลึกในสิ่งต่างๆ ดังนั้นเมื่อบรรดาพี่น้องชายหญิงเจอปัญหา ผมจึงไม่แน่ใจว่าจะสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างไร ผมไม่รู้วิธีพิจารณาหลักธรรมความจริงเมื่อผมกำลังแต่งตั้งหรือเลือกคนมาทำหน้าที่บางอย่างเช่นกัน ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ในขณะที่ผมแสวงหาหลักธรรมเหล่านั้น เวลาไม่เข้าใจบางอย่างดี ผมก็ไปหาเพื่อนร่วมงานด้วย เมื่อเวลาผ่านไป ความสามารถของผมในการประเมินผู้คนและสถานการณ์ก็ก้าวหน้าขึ้นบ้าง และผมสามารถมอบหมายหน้าที่ที่เหมาะสมให้พี่น้องชายหญิง ตามจุดแข็งของพวกเขาได้ ครั้งหนึ่ง พี่น้องชายที่ผมทำงานด้วย พยายามคุยกับผมเรื่องพี่น้องหญิงเซี่ยจิ้ง ผู้นำทีมที่ทำหน้าที่อย่างมั่วๆ และเฉื่อยชาจริงๆ เขาพูดว่าเธอถ่วงงานของทีม และเสนอให้หาคนมาแทนที่เธอ ผมคิดในใจว่า “เซี่ยจิ้งมีขีดความสามารถที่ยอดเยี่ยม และมีฝีมือในงานของเธอจริงๆ ดังนั้นถึงแม้ว่าเธอจะมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ถ้าหากเธอได้รับความช่วยเหลืออีกนิด อีกทั้งสามารถกลับตัวและเปลี่ยนแปลงได้บ้าง เช่นนั้นเธอก็จะไม่มีปัญหาในหน้าที่” ผมจึงเปิดโปงและชำแหละสภาวะของเซี่ยจิ้ง และผมตัดแต่งเธอ หลังจากสามัคคีธรรมไม่กี่ครั้ง ผมเห็นว่าท่าทีต่อหน้าที่ของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอมีการริเริ่มมากขึ้น และมีมโนธรรมมากขึ้น ผ่านไปสักพัก เธอก็ได้เลื่อนขั้นสู่หน้าที่ที่สำคัญมากขึ้น หลังจากนั้นผมก็รู้สึกยินดีกับตัวเองจริงๆ โดยคิดว่า “ฉันเป็นฝ่ายคิดถูก เป็นเรื่องดีที่พวกเราไม่ได้ปลดเธอ พวกเราได้ประสบความสำเร็จในการฝึกฝนคนมีความสามารถในคริสตจักร ดูเหมือนผมจะมีปัญญาแยกแยะอยู่บ้าง” จากนั้นมา ผมก็หยุดหารือ เรื่องการแต่งตั้งและการปลดคนออกกับพี่น้องชายคนนั้น โดยคิดว่าผมมีประสบการณ์มากกว่า ผมจึงสามารถรับมือปัญหาใดๆ ด้วยตัวเองได้ สองปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว และผมก็จัดแจงงานของคริสตจักรได้ชำนาญมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคิดว่าตัวเองมีปัญญาแยกแยะและความเข้าใจถ่องแท้บ้างในตัวผู้คนและสิ่งต่างๆ ผมก็เกิดความโอหังมากขึ้นเรื่อยๆ
วันหนึ่งก็มีจดหมายจากผู้นำคนหนึ่ง บอกว่าพี่น้องหญิงจางเจียอี้จากคริสตจักรของพวกเรากลับมาแล้วหลังจากถูกปลดจากหน้าที่ของเธอที่อีกคริสตจักรหนึ่ง ผมจำเป็นต้องจัดแจงให้เธอเข้าร่วมชุมนุม ผมคิดว่า “จากการปฏิสัมพันธ์ครั้งก่อนของฉันกับเจียอี้ ฉันเห็นว่าเธอโอหัง ชอบดุด่าคนอื่นอย่างดูหมิ่น และเป็นคนที่อยู่ด้วยยาก ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงจริงๆ” จากนั้นผ่านไปสักพัก ผู้มาใหม่หลายคนมากมาเข้าร่วมคริสตจักรของพวกเราจนจำเป็นต้องหาคนทำงานให้น้ำโดยด่วน พี่น้องชายหลิวเจิ้งที่ทำงานใกล้ชิดกับผมพูดว่าเขาเคยชุมนุมกับเจียอี้และพบว่าตั้งแต่เธอถูกปลด พี่น้องจางก็ได้รับการรู้จักตนเองตามจริงอยู่บ้างและการกลับใจเล็กน้อยด้วย อีกอย่างคือเธอเคยให้น้ำสมาชิกใหม่มาก่อน และได้ผลดีทีเดียว เขาเสนอแนะว่า เพื่อไม่ให้งานของพวกเราล่าช้า พวกเราควรให้เธอให้น้ำบ้างในขณะที่กำลังทบทวนตัวเองต่อไป ตอนที่ผมได้ยินเขาเสนอชื่อเจียอี้ ผมคิดว่า “นั่นจะประสบผลสำเร็จได้อย่างไร? คุณไม่รู้จักเธอจริงๆ เธอไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง คุณแค่ได้ยินเธอพูดถึงความเข้าใจบางอย่าง และคิดว่าเธอกลับใจแล้ว ความสามารถในการประเมินคนและสถานการณ์ของคุณไม่ดีและคุณไม่มีปัญญาแลกแยะเลยแม้แต่น้อย” ผมพูดกับเขาอย่างหนักแน่นว่า “ผมรู้จักเจียอี้ เธอมีอุปนิสัยโอหังและชอบวางท่าดูหมิ่นคนอื่น แถมเธอยังเป็นคนที่ทำงานด้วยยาก เธอเป็นแบบนี้มาตลอด และไม่มีทางที่เธอได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถูกปลด ผมคิดว่าเธอไม่เหมาะสม พวกเราไม่อาจให้เธอทำหน้าที่นั้นได้” หลิวเจิ้งพูดต่อไปว่า “เราไม่สามารถเรียกร้องมากเกินไป เธออาจจะโอหังไปบ้าง แต่เธอก็ได้เรียนรู้ตัวเองจริงๆ ผ่านประสบการณ์ที่เธอถูกปลดนี้ และเธอสามารถกลับใจในสิ่งที่เคยทำ ตอนนี้การพูดการจาของเธอก็เพลาลง และเข้ากับคนอื่นได้ดี อุปนิสัยอันโอหังของเธอได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว พวกเราเราจำเป็นต้องปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเหมาะสม” ตอนที่ผมได้ยินเขาพูดแบบนี้ ผมรู้สึกค่อนข้างรำคาญ ผมคิดว่าเขายังใหม่ต่อหน้าที่นั้น จะไปรู้อะไร? เขาควรจะคล้อยตามผมมากกว่า ผมจึงตอบเขาอย่างเน้นย้ำมากขึ้นว่า “ผมไม่ตัดสินคนอื่นตามใจชอบ แต่ผมเห็นได้ว่าเธอไม่เหมาะกับหน้าที่นั้น และพวกเราไม่ควรให้เธอทำการให้น้ำ” เมื่อเห็นว่าผมตั้งมั่นในความเห็นของตัวเอง หลิวเจิ้งก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เวลาผ่านไปอีกสักพัก และเนื่องจากขาดคนให้น้ำ ผู้มาใหม่บางส่วนจึงอ่อนแอและคิดลบเพราะพวกเขาไม่ได้รับการให้น้ำทันเวลา และพวกเขาก็ไม่มาการชุมนุม เมื่อผู้นำรู้เข้าถึงสิ่งที่เป็นอยู่ เธอกับหลิวเจิ้งจึงไปคุยกับเจียอี้ เมื่อพวกเขากลับมา หลิวเจิ้งก็พูดกับผมว่า “ถึงแม้ว่าเจียอี้จะถูกปลดแล้ว เธอก็แค่โอหัง และไม่ได้ทำความชั่วมากมายอะไร ตอนนี้เธอรู้จักตัวเองขึ้นมาบ้าง และเต็มใจจะกลับใจและเปลี่ยนแปลง เธอยังสามารถได้รับการบ่มเพาะ พวกเราไม่อาจนิยามคนคนหนึ่งไปตลอดกาลจากสิ่งที่พวกเขาทำในเวลาหนึ่ง แต่ให้โอกาสพวกเขาได้กลับใจ พวกเราได้หารือกันแล้ว และเจียอี้ควรรับงานให้น้ำ” เมื่อได้ยินพวกเขาเสนอให้เจียอี้ได้รับเลื่อนตำแหน่งในครั้งนี้อีก ผมก็คิดว่า “ครั้งก่อนผมได้พูดถึงเรื่องนี้ชัดเจนแล้ว และเธอจะเปลี่ยนแปลงไปในเวลาสั้นๆ แค่นี้ได้อย่างไร? ผมรับใช้ในฐานะผู้นำมานาน และผมรู้วิธีประเมินผู้คน ดังนั้นทำไมคุณถึงไม่เชื่อผมในเรื่องนี้? ถ้าเชื่อผมมันก็ไม่ผิดอยู่แล้ว!” ดังนั้นผมจึงอธิบายจุดยืนของผมอย่างเน้นย้ำมากอีกครั้ง เมื่อเห็นผมยึดติดในความคิดของตนเองอย่างหัวชนฝาขนาดไหน ผู้นำก็พูดกับผมอย่างเด็ดขาดว่า “เราเข้าใจเจียอี้แล้ว เราได้ฟังสามัคคีธรรมของเธอ ได้ติดต่อกับเธอจริงๆ และพวกเราได้เห็นว่า เธอมีการทบทวนตนเองและรู้จักตนเองอยู่บ้าง พวกเราควร ให้โอกาสผู้คนกลับใจ พวกเราจะนิยามใครโดยดูจากพฤติกรรมในอดีตไม่ได้ คุณพูดว่าเธอโอหัง แต่ตั้งแต่เมื่อไรที่คนโอหังไม่ได้รับอนุญาตให้ได้รับการบำรุงเลี้ยงในพระนิเวศของพระเจ้า? เจียอี้เหมาะกับงานให้น้ำ และเรื่องนี้ก็มีความจำเป็นเร่งด่วนในตอนนี้ คุณยึดมุมมองของตัวเองและยืนกรานว่าเธอใช้ไม่ได้ แบบนี้ไม่ใช่เอาแต่ใจและเผด็จการหรือ? คริสตจักรจำเป็นต้องมอบหมายงานให้ผู้คนผ่านคุณ หากคุณไม่เห็นชอบ พวกเขาก็ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ คุณโอหังและมั่นใจว่าตนเองถูกต้องมากเกินไป ด้วยการที่คุณทำตามใจตัวเอง คุณไม่เห็นหรือว่าคุณกำลังหน่วงเหนี่ยวงานของคริสตจักรและการบ่มเพาะผู้มีพรสวรรค์ของพระนิเวศโดยตรง?” เมื่อได้ยินผู้นำตัดแต่งผมแบบนี้ก็ทำให้ผมรำคาญใจ แต่ผมก็ยังค่อนข้างต่อต้านเรื่องนี้ ผมคิดว่า “ผมมองคนออก จึงไม่มีทางที่ผมจะมองเจียอี้ผิด” ในตอนนั้น ผมไม่อาจไม่เห็นด้วยต่อไปได้ ผมจึงฝืนใจพูดไปว่า “ในเมื่อคุณทั้งสองเห็นว่าเธอมีการเปลี่ยนแปลง ก็ให้โอกาสเธอทำการให้น้ำเถอะ หากไม่ได้ผลเราค่อยเปลี่ยนตัวเธอ”
พอกลับมาบ้าน ผมคิดถึงการที่ผู้นำตัดแต่งผมและรู้สึกว้าวุ่นจริงๆ ตามที่เธอพูด ผมไม่ได้กำลังทำชั่วและต่อต้านพระเจ้าอยู่หรอกหรือ? โดยแก่นแท้แล้วนี่ร้ายแรงมาก! แต่แล้วผมก็คิดว่าผมได้พิจารณาการตัดสินใจของผมแล้วที่จะไม่แต่งตั้งเจียอี้ให้รับตำแหน่งนั้น แล้วทำไมพวกเขาพูดถึงผมแบบนั้น? ผมทำผิดไปตั้งแต่ตรงไหน? ผมจึงอธิษฐานในการแสวงหาว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ทำใจลำบากที่จะยอมรับการถูกตัดแต่ง ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าจะเข้าใจตนเองในเรื่องนี้อย่างไรหรือความจริงแง่มุมไหนที่จะเข้าไปสู่ โปรดทรงแสดงหนทางให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ผมอ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้า ความว่า “การ ‘ทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่น’ หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเมื่อเผชิญปัญหา เจ้ากระทำการตามที่เจ้าเห็นว่าเหมาะสม ไร้กระบวนการของการคิดอ่านหรือการค้นหาใดๆ คำพูดของผู้อื่นไม่สามารถสัมผัสหัวใจของเจ้าหรือเปลี่ยนความคิดของเจ้าได้ เจ้าไม่อาจยอมรับได้ด้วยซ้ำเมื่อมีการสามัคคีธรรมถึงความจริงกับเจ้า เจ้ายึดติดอยู่กับความคิดเห็นของตัวเอง ไม่รับฟังเมื่อผู้อื่นพูดในสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าเชื่อว่าตัวเองถูกและยึดถือแนวคิดของตัวเจ้าเอง ต่อให้การคิดอ่านของเจ้าถูกต้อง เจ้าก็ควรพิจารณาความคิดเห็นของผู้อื่นด้วย และหากเจ้าไม่พิจารณาเลย นี่ก็คือการคิดว่าตนชอบธรรมเสมอเป็นอย่างยิ่งมิใช่หรือ? สำหรับผู้คนที่คิดว่าตนชอบธรรมเสมอและเอาแต่ใจอย่างที่สุดนั้น การยอมรับความจริงไม่ใช่เรื่องง่าย หากเจ้าทำผิดและผู้อื่นวิจารณ์เจ้าว่า ‘คุณไม่ได้ทำสิ่งนั้นตามความจริง!’ เจ้าย่อมตอบว่า ‘ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังจะทำเช่นนี้อยู่ดี’ และจากนั้นเจ้าก็หาเหตุผลบางประการมาทำให้พวกเขาคิดว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้อง หากพวกเขาตำหนิเจ้าว่า ‘การที่คุณทำตัวเช่นนี้เป็นการขัดขวาง และนั่นจะสร้างความเสียหายให้แก่งานของคริสตจักร’ นอกจากไม่รับฟังแล้ว เจ้ายังจะเอาแต่คิดหาข้อแก้ตัวว่า ‘ฉันคิดว่านี่คือวิธีที่ถูกต้อง ดังนั้นฉันจะทำเช่นนี้’ นี่คืออุปนิสัยอะไร? (ความโอหัง) นี่คือความโอหัง ธรรมชาติที่โอหังทำให้เจ้าเอาแต่ใจ หากเจ้ามีธรรมชาติที่โอหัง เจ้าจะประพฤติตนตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่น ไม่ใส่ใจคำพูดของผู้ใดเลย” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) “เจ้าควรปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไรนั้นแสดงหรือระบุเป็นนัยไว้อย่างชัดเจนแล้วในพระวจนะของพระเจ้า ท่าทีที่พระเจ้าทรงใช้ปฏิบัติต่อมนุษยชาติคือท่าทีที่ผู้คนควรจะรับมาใช้ในการปฏิบัติต่อกัน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกๆ บุคคลอย่างไร? ผู้คนบางคนมีวุฒิภาวะที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ หรือยังอ่อนเยาว์ หรือได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาสั้นๆ เท่านั้น หรือไม่ใช่คนไม่ดีโดยแก่นแท้ธรรมชาติ ไม่ได้ร้ายกาจ แต่เพียงไม่รู้เท่าทันนิดหน่อยหรือขาดพร่องขีดความสามารถ หรือพวกเขาถูกตีกรอบมากเกินไป และยังไม่เข้าใจความจริง ยังไม่มีการเข้าสู่ชีวิต ดังนั้นจึงยากที่พวกเขาจะไม่ทำเรื่องเขลาหรือมีการกระทำที่ไม่รู้เท่าทัน แต่พระเจ้าไม่มัวทรงจับจ้องความเขลาชั่วขณะของผู้คน พระองค์ทรงมองที่หัวใจของพวกเขาเท่านั้น หากพวกเขาตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมถูกต้อง และเมื่อนี่คือวัตถุประสงค์ของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็กำลังทรงเฝ้าสังเกตพวกเขา ทรงรอคอยพวกเขา และทรงให้เวลาและโอกาสที่อนุญาตให้พวกเขาเข้าสู่ ไม่ใช่ว่าพระเจ้าจะเลิกสนพระทัยพวกเขาเพราะการกระทำผิดเพียงครั้งเดียว นั่นเป็นสิ่งที่ผู้คนมักจะทำกัน พระเจ้าไม่เคยทรงปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนั้น หากพระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติต่อผู้คนในหนทางนั้นแล้วไซร้ เหตุใดผู้คนจึงปฏิบัติต่อผู้อื่นในหนทางนั้น? นี่แสดงให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขามิใช่หรือ? นี่คืออุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาอย่างแน่นอน เจ้าต้องมองไปที่วิธีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนที่ไม่รู้เท่าทันและโง่เขลา วิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อคนที่วุฒิภาวะของพวกเขายังไม่เป็นผู้ใหญ่ วิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อการเผยตัวตามปกติของอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษยชาติ และวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพวกที่ร้ายกาจ พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนที่แตกต่างกันในหนทางที่แตกต่างกัน และพระองค์ยังทรงมีสารพัดวิธีในการบริหารจัดการสภาวะเงื่อนไขที่มากมายเหลือคณาของผู้คนที่แตกต่างกัน เจ้าต้องเข้าใจความจริงเหล่านี้ ทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริงเหล่านี้ เมื่อนั้นเจ้าก็จะรู้ว่าจะผ่านประสบการณ์กับเรื่องราวทั้งหลายและปฏิบัติต่อผู้คนตามหลักธรรมอย่างไร” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การที่จะได้รับความจริง คนเราต้องเรียนรู้จากผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายรอบตัว) ผมเริ่มทบทวนตัวเองตามสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าได้เปิดเผย ผมคิดว่าผมมีประสบการณ์โดยรวมอยู่บ้างกับการเลือกและการแต่งตั้งผู้คน และเข้าใจหลักธรรมบางส่วน โดยเฉพาะเมื่อคนที่ผมเลือกประสบความสำเร็จในหน้าที่ของพวกเขา ผมก็รู้สึกเหมือนผมมีปัญญาแยกแยะและสามารถประเมินผู้คนและสถานการณ์ได้จริงๆ ผมพิจารณาสิ่งนี้ว่าเป็นต้นทุนของผม รู้สึกแสดงความยินดีกับตนเองมาก และไม่ฟังข้อเสนอแนะของใครเลย เมื่อหลิวเจิ้งกระตุ้นให้ผมปฏิบัติต่อเจียอี้อย่างเป็นธรรม ผมกลับไม่ยอมรับฟังเขา ผมเพียงแค่ตีกรอบมองเธอในแบบที่ผมเคยเห็นเธอมาก่อน คิดว่าเธอโอหัง และไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ เธอจึงไม่อาจรับงานให้น้ำได้ ที่จริงแล้ว ข้อพึงประสงค์แห่งพระนิเวศของพระเจ้านั้นชัดเจน กล่าวคือ ตราบที่ใครคนนั้นสามารถเข้าใจความจริงแห่งนิมิตได้และมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตน ก็ย่อมสามารถได้รับการบ่มเพาะและฝึกฝนได้ แม้แต่บรรดาผู้คนที่กระทำการฝ่าฝืนร้ายแรงจริงๆ ถ้าพวกเขาสามารถยอมรับความจริง ถ้าพวกเขาสามารถกลับใจและเปลี่ยนแปลง พวกเขาก็จะได้รับโอกาสปฏิบัติหน้าที่ต่อไป พระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อผู้คนอย่างยุติธรรมและเป็นธรรมมาโดยตลอด ไม่ว่าอุปนิสัยเสื่อมทรามแบบใดที่คนเราแสดงออกมาหรือพวกเขาได้ทำอะไรให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก ตราบใดที่พวกเขาไม่ใช่คนชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์ พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอดมากที่สุดเท่าที่พระองค์ทำได้ และคริสตจักรก็จะให้โอกาสพวกเขาทำหน้าที่และปล่อยให้พวกเขาฝึกฝน นี่คือความรอดและความรักของพระเจ้า ผมไม่ได้เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือเจตนาของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอด อีกทั้งผมไม่ได้เข้าใจหลักธรรมว่าผู้คนได้รับการปฏิบัติอย่างไรในพระนิเวศของพระเจ้า ผมไม่ได้มองจุดแข็งของเจียอี้ แต่แค่ไม่ยอมปล่อยความเสื่อมทรามที่เธอเคยเปิดโปงในอดีตไป กลับนิยามเธอตามอำเภอใจ และไม่ยอมมอบหมายหน้าที่ให้น้ำผู้มาใหม่แก่เธอ นั่นนำไปสู่การที่ผู้เชื่อใหม่ไม่ได้รับการให้น้ำทันเวลา และทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก นั่นคือการทำชั่วมิใช่หรือ? ผมเต็มไปด้วยความเสียใจ จึงมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ช่างโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ ข้าพระองค์ไม่อยากดื้อรั้นในหน้าที่อีกต่อไป ข้าพระองค์พร้อมจะกลับใจและเปลี่ยนแปลง”
จากนั้นครั้งต่อมาที่ผมอยู่ในการชุมนุมกับเจียอี้และได้ฟังเธอสามัคคีธรรม เธอมีความเข้าใจในตัวเองและเสียใจอยู่บ้างโดยแท้จริง และผมยิ่งอับอายและรู้สึกผิด หลังจากรับงานให้น้ำ เจียอี้ก็รับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างจริงจัง และบรรดาพี่น้องชายหญิงที่เธอให้น้ำก็มีความก้าวหน้าบ้าง ต่อมาเธอได้เลื่อนตำแหน่งไปบริหารจัดการงานให้น้ำให้แก่หลายคริสตจักร การได้เห็นว่าเธอทำหน้าที่ได้ดีขนาดไหนทำให้ผมยิ่งรู้สึกละอายมากขึ้น ผมเกลียดที่ผมเคยโอหังขนาดไหน นิยามเธอตามอำเภอใจอย่างไร ไม่ยอมมอบหมายหน้าที่ให้เธอ และหน่วงเหนี่ยวงานของคริสตจักร ผมตระหนักว่าผมไม่ได้ครองความจริงและไม่อาจประเมินผู้คนและสถานการณ์ได้ ผมเคยเข้าใจหลักคำสอนและกฎเกณฑ์บางอย่างจากประสบการณ์ทั้งหมดของผม แต่การพึ่งพาเพียงสิ่งเหล่านั้นไม่อาจทำให้งานของคริสตจักรออกมาดีได้ หลังจากเหตุการณ์นั้น ผมก็ระมัดระวังขึ้นในวิธีการเลือกผู้คน และเมื่อความเอาแต่ใจของผมโผล่หัวออกมาและผมอยากเป็นคนชี้ขาด ผมก็จะหมั่นอธิษฐานและละทิ้งตนเอง และรับฟังสิ่งที่ทุกคนพูดมากขึ้น ผมคิดว่าผมได้เปลี่ยนไปบ้างแล้ว แต่ผมก็ต้องประหลาดใจ เพราะต่อมาก็มีบางสิ่งเกิดขึ้นซึ่งเปิดโปงผมอีกครั้ง
หกเดือนต่อมา คริสตจักรต้องการคนทำงานธุรการสองคนอย่างเร่งด่วน ผมพยายามหาข้อมูลและเจอพี่น้องหญิงคู่หนึ่งที่มีความรับผิดชอบและสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้หลากหลาย แต่พวกเธอมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยอยู่บ้าง แต่แล้วผมก็คิดว่า ในเมื่อพวกเธอไม่ได้จะทำหน้าที่ในท้องถิ่นของพวกเธอ ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรหากให้พวกเธอมารับหน้าที่นี้ งานต้องการคนอย่างเร่งด่วน และในเวลานั้นก็ไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่า ผมจึงตัดสินใจใช้พวกเธอไปในเวลานั้น และค่อยเปลี่ยนเมื่อมีคนที่ดีกว่าเข้ามา ผมจึงบอกหลิวเจิ้งว่าผมอยากให้พี่น้องหญิงจ้าวอ้ายเจินมาดูแลงานธุรการของคริสตจักร เขาตอบกลับมาว่า “เราต้องทำตามหลักธรรมอย่างเคร่งครัดเมื่อคัดเลือกผู้คน พวกเธอไม่สามารถทำงานให้แก่คริสตจักรได้ถ้ามีความกังวลเรื่องความปลอดภัย อ้ายเจินมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและไม่เหมาะสำหรับงานนี้ เราต้องทำไปตามหลักธรรม” เมื่อเห็นว่าเขาไม่เห็นด้วย ผมก็คัดค้านเขาว่า “เราไม่ต้องเครียดเกินไปในเรื่องนั้น คุณไม่คิดหรือว่า คุณกลัวมากเกินไป? จริงอยู่ที่รู้กันในเมืองเกิดของเธอว่าเธอเป็นผู้เชื่อ แต่มันก็หลายปีแล้วนับจากที่ตำรวจทำการตรวจสอบเธอ อีกอย่าง เธอทั้งกล้าหาญและมีปัญญา เรื่องนี้ผมรู้จักเธอดี ในตอนนี้ผมคิดว่าเราไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่าแล้ว งานธุรการ ของเราต้องการบุคลากร เราจะหลับหูหลับตาทำตามกฎเกณฑ์ไม่ได้” เขารับฟังผม จากนั้นก็ยืนกรานว่า “การมอบงานนี้ให้คนที่มีความเสี่ยงนั้น เป็นการล่วงละเมิดหลักธรรม ความปลอดภัยต้องมาก่อน” ผมไม่สนใจสิ่งที่เขาพูดเลยและยืนกรานว่าจะใช้อ้ายเจิน หลังจากนั้นผมก็เตรียมการให้พี่น้องหญิงอีกคนที่มีความเสี่ยงเช่นกันมาทำงานธุรการ ไม่นานต่อมา เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าอ้ายเจินเชื่อในพระเจ้า เธอจึงเป็นผู้ต้องสงสัยและถูกตำรวจพรรมคอมมิวนิสต์จีนตรวจตรา เนื่องจากเธอมักจะไปเยี่ยมบ้านของพี่น้องชายหญิงบางคน พี่น้องชายหญิงเหล่านี้จึงถูกตรวจตราไปด้วย และไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาตามปกติได้ งานของคริสตจักรถูกขวางกั้นอย่างมาก
เมื่อผู้นำได้รู้เรื่องนี้และพบว่ามันเกิดจากการที่ผมยืนกรานที่จะมอบหมายงานให้กับคนที่มีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัย เธอก็ตัดแต่งผมอย่างเด็ดขาดมากว่า “คุณโอหังและเอาแต่ใจเกินไป คุณทำตามอำเภอใจในหน้าที่ตลอด และทำขัดกับหลักธรรม ครั้งนี้มันทำให้งานของคริสตจักรต้องเสียหายอย่างร้ายแรง นั่นเป็นการรับใช้ในฐานะบริวารของซาตานและทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักไม่ใช่หรือ? จากพฤติกรรมไม่เปลี่ยนแปลงของคุณ พวกเราตัดสินใจแล้วว่าจะปลดคุณ” การได้ยินแบบนี้เหมือนถูกต่อยหน้าจริงๆ ทำให้ผมมึนงงอย่างที่สุด ผมคิดว่า “มันจบแล้ว ผมได้ทำความชั่วอย่างใหญ่หลวง ถ้าเกิดเหล่าพี่น้องชายหญิงที่เข้ามาเกี่ยวข้องถูกจับกุมล่ะ? หากเป็นแบบนั้น ผมก็ได้ทำสิ่งที่น่ากลัวลงไปจริงๆ” ยิ่งผมคิดเรื่องนี้มากเท่าไร ผมก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเท่านั้น ความรู้สึกผิดเฆี่ยนตีผม มันรู้สึกเหมือนถูกมีดแทงเข้าที่หัวใจ และผมไม่มีแรงจูงใจจะทำอะไรเลย ผมใช้ชีวิตอยู่ในความทุกข์ระทมนี้ไม่เว้นแต่ละวัน เฝ้าอธิษฐานต่อพระเจ้า และยอมรับการกระทำผิดของผมซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์โอหังเกินไป ทะนงตนเกินไป ความเอาแต่ใจของข้าพระองค์ได้สร้างความเสียหายอย่างเหลือเชื่อต่องานของคริสตจักร ข้าพระองค์พร้อมที่จะยอมรับการลงโทษใดๆ ก็ตามที่พระองค์ประสงค์จะทรงมอบให้กับข้าพระองค์ ขอเพียงได้โปรดทรงปกป้องบรรดาพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นจากการจับกุมด้วยเถิด” ผมมารู้ภายหลังว่าสมาชิกคริสตจักรเหล่านั้นได้รับการย้ายออกไปทันเวลา และรอดพ้นการจับกุม ในที่สุดผมก็ถอนหายใจได้อย่างโล่งอก
หลังจากเกิดเรื่อง ผมก็ทบทวนกับตนเอง ทำไมผมถึงเอาแต่ใจในหน้าที่ของผมอยู่ตลอด? จริงๆ แล้วมันมาจากไหนกันแน่? ผมอ่านในพระวจนะของพระเจ้าว่า “หากเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะรู้วิธีปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้า และก็เป็นธรรมดาที่จะเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง หากเส้นทางที่เจ้าเดินเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ผละจากเจ้าไป—ซึ่งในกรณีนี้ย่อมจะมีโอกาสน้อยลงเรื่อยๆ ที่เจ้าจะทรยศพระเจ้า หากปราศจากความจริง ย่อมง่ายดายที่จะทำชั่ว และเจ้าจะทำสิ่งนั้นไปทั้งที่เจ้าไม่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น หากเจ้ามีอุปนิสัยที่โอหังและทะนงตน เช่นนั้นแล้วการถูกบอกให้ไม่ต่อต้านพระเจ้าก็คงไม่สร้างความแตกต่างอะไร เจ้าไม่อาจห้ามตัวเองได้มันอยู่เหนือการควบคุมของตัวเจ้า เจ้าคงจะไม่ทำสิ่งนั้นโดยมีจุดประสงค์ เจ้าคงจะทำสิ่งนั้นไปภายใต้การครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเจ้า ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้าและเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นเหตุให้เจ้ายกย่องตัวเจ้าเอง นำเสนอตัวเจ้าเองอยู่เนืองนิตย์ สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เจ้าสบประมาทผู้อื่น สิ่งเหล่านั้นจะไม่ปล่อยให้หัวใจของเจ้ามีผู้ใดนอกจากตัวเจ้าเอง ความโอหังและความทะนงตนจะปล้นที่ทางของพระเจ้าในหัวใจของเจ้าไป และในท้ายที่สุดก็จะเป็นเหตุให้เจ้านั่งแทนที่พระเจ้าและเรียกร้องให้ผู้คนนบนอบเจ้า และทำให้เจ้าเทิดทูนความคิด แนวคิด และมโนคติอันหลงผิดของตนเองว่าเป็นความจริง ผู้คนที่อยู่ภายใต้ภาวะครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและหยิ่งทะนงของตนนั้นทำความชั่วไปมากมายเหลือเกิน!” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้) ผมได้เห็นจากพระวจนะของพระเจ้า ว่าการกระทำตามอำเภอใจในหน้าที่ของผมซ้ำแล้วซ้ำอีกนั้นมาจากการถูกควบคุมโดยธรรมชาติอันโอหังและหยิ่งทะนงตน ด้วยธรรมชาติอันโอหังและหยิ่งทะนงตนนี้ ผมคิดถึงตัวเองมากเกินไป และรู้สึกว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นๆ ตลอด คิดว่าผมถูกต้องกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นผมจึงควรเป็นคนชี้ขาดเรื่องต่างๆ ใน คริสตจักร เมื่อผมตั้งใจกับอะไรแล้ว ผมก็ไม่ยอมที่จะมองในหนทางอื่นๆ และจะไม่ฟังใคร ผมถึงกับต้องการให้ผู้คนเชื่อฟังแนวคิดของผมราวกับว่าพวกมันเป็นหลักธรรมความจริง ผมรู้ว่าพี่น้องหญิงสองคนนั้นมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัย และไม่เหมาะสำหรับงานธุรการ และผมเองก็หวั่นใจเรื่องนี้ แต่ผมก็ยังไม่อาจละวางตัวเองลงและแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ ผมไม่สนใจการตำหนิและการนำทางจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผมไม่ฟังการห้ามปรามของหลิวเจิ้ง ผมต้องได้ตามต้องการ และในท้ายที่สุด ผมได้ทำอันตรายอย่างร้ายแรงต่องานของคริสตจักรจริงๆ ถ้าเพียงแค่ผมมีความพึงปรารถนาสักนิดที่จะแสวงหาความจริงและนบนอบ ถ้าเพียงแค่ผมเชื่อฟังข้อเสนอแนะจากหลิวเจิ้ง ก็ย่อมไม่มีผลสืบเนื่องที่น่ากลัวเช่นนี้ เมื่อได้ตระหนักถึงเรื่องทั้งหมดนี้ ผมก็รู้สึกเสียใจและโทษตัวเองอย่างมาก และผมก็เกลียดความโอหังและความเอาแต่ใจของตนเอง พรรคคอมมิวนิสต์ไม่มีวันหยุดที่จะพยายามบ่อนทำลายพระราชกิจของพระเจ้า ด้วยการใช้กลยุทธ์ทุกรูปแบบเพื่อกดขี่และจับกุมประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร และผมก็ล่วงละเมิดหลักธรรมตามอำเภอใจ ตัดสินใจมอบหมายให้คนที่ไม่ปลอดภัยมารับหน้าที่ ซึ่งนำไปสู่การที่พี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ต้องมาถูกตรวจตรา นี่คือการเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับซาตานไม่ใช่หรือ? ถ้าพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นถูกจับและติดคุกผลสืบเนื่องก็คงน่ากลัวมาก! ความคิดนี้ทำให้ผมกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ ผมเห็นว่าผลสืบเนื่องของการกระทำตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนั้นใหญ่หลวงมาก ผมได้ทำงานบางอย่างและคิดว่า ผมยอดเยี่ยมมาก ผมจึงแทบไม่ได้นึกถึงคนอื่น และผมก็ไม่ได้มีพระเจ้าในหัวใจ ผมไม่ได้จริงจังกับหลักธรรมความจริงด้วยซ้ำ และใช้งานอะไรก็ตามที่ผมเคยทำเป็นต้นทุนของผม ผมแค่ทำตามใจตัวเอง ผมโอหังจนถึงจุดที่ผมสูญเสียเหตุผลทุกอย่าง ผมนึกเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์ทั้งหมดเหล่านั้นที่ถูกขับไล่จากคริสตจักร พวกเขาโอหังอย่างไม่น่าเชื่อ ทำตัวเป็นเผด็จการและทำตามอำเภอใจในหน้าที่ของพวกเขา และทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักอย่างร้ายแรง ในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาทำความชั่วไว้มากจนถูกถอดออกจากคริสตจักร ถ้าอุปนิสัยโอหังของผมไม่ได้รับแก้ไข ผมก็อดไม่ได้ที่จะทำชั่วและต่อต้านพระเจ้า และสุดท้ายจะถูกพระเจ้ากำจัดออกไป ผมรู้สึกในหัวใจว่ามันแย่มากขนาดไหนที่จะใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยอันอันโอหัง ถึงแม้ผมจะก่อความชั่วไว้อย่างใหญ่หลวง คริสตจักรก็ยังคงไม่ขับไล่ผม แต่เพียงแค่ปลดผม พระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งและนำทางผมด้วยพระวจนะของพระองค์ ให้โอกาสผมทบทวนและรู้จักตัวเอง ให้กลับใจและเปลี่ยนแปลงด้วยซ้ำ ผมรู้สึกได้ถึงความรักของพระเจ้าจริงๆ และผมก็เสียใจมาก ผมรู้สึกพร้อมที่จะกลับใจและเปลี่ยนแปลง
หลังจากนั้น ผมก็เริ่มแสวงหาอย่างมีสติว่าจะแก้ไขปัญหาของการมีอุปนิสัยอันโอหัง ความทำตามอำเภอใจ และความเอาแต่ใจในหน้าที่ของผมอย่างไร ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะแก้ไขการทำตามอำเภอใจและความหุนหันพลันแล่นของเจ้าอย่างไร? ตัวอย่างเช่น สมมุติว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า และเจ้ามีแนวคิดและแผนการของเจ้าเอง ก่อนที่จะกำหนดพิจารณาว่าจะทำสิ่งใด เจ้าก็ต้องแสวงหาความจริงและอย่างน้อยเจ้าควรสามัคคีธรรมกับทุกคนถึงสิ่งที่เจ้าคิดและเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนั้น โดยขอให้ทุกคนบอกเจ้าว่าความคิดทั้งหลายของเจ้าถูกต้องและเป็นไปในแนวเดียวกับความจริงหรือไม่ และขอให้ดำเนินการตรวจสอบขั้นสุดท้ายให้กับเจ้า นี่คือวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อแก้ไขการทำตามอำเภอใจและความหุนหันพลันแล่น ประการแรก เจ้าสามารถฉายส่องความสว่างไปยังทรรศนะทั้งหลายของเจ้าและแสวงหาความจริง—นี่คือขั้นตอนแรกของการปฏิบัติเพื่อแก้ไขการทำตามอำเภอใจและความหุนหันพลันแล่น ขั้นตอนที่สองเกิดขึ้นเมื่อผู้คนอื่นออกเสียงแสดงข้อคิดเห็นที่เห็นต่าง—เจ้าควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อกันไม่ให้เกิดการทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่น? ก่อนอื่นเจ้าต้องมีท่าทีของความถ่อมใจ พักวางสิ่งที่เจ้าเชื่อว่าถูกต้องลงไว้ก่อน และปล่อยให้ทุกคนสามัคคีธรรมกัน ต่อให้เจ้าเชื่อว่าหนทางของเจ้านั้นถูกต้อง เจ้าก็ไม่ควรเอาแต่ยืนกรานที่จะทำเช่นนั้น นั่นย่อมเป็นความก้าวหน้าอย่างหนึ่ง แสดงให้เห็นท่าทีของการแสวงหาความจริง ปฏิเสธตัวเจ้าเอง และสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า ทันทีที่เจ้ามีท่าทีนี้ ในเวลาเดียวกันก็ไม่ยึดติดกับข้อคิดเห็นทั้งหลายของตนเอง เจ้าก็ควรอธิษฐาน แสวงหาความจริงจากพระเจ้า แล้วจากนั้นจงมองหาหลักพื้นฐานในพระวจนะของพระเจ้า—กำหนดพิจารณาวิธีปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้า นี่คือการฝึกฝนปฏิบัติที่เหมาะสมที่สุดและถูกต้องแม่นยำที่สุด เวลาที่เจ้าแสวงหาความจริงและชูปัญหาให้ทุกคนสามัคคีธรรมร่วมกันและแสวงหาร่วมกัน นั่นคือเวลาที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงจัดเตรียมความรู้แจ้งไว้ให้ พระเจ้าประทานความรู้แจ้งแก่ผู้คนตามหลักธรรมทั้งหลาย พระองค์ทรงพิจารณาท่าทีของพวกเขา หากเจ้ายังคงดื้อดึงทำตามความเห็นของตนโดยไม่คำนึงว่าทัศนะของเจ้าว่าถูกหรือผิด พระเจ้าจะซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากเจ้าและเพิกเฉยต่อเจ้า พระองค์จะทรงทำให้เจ้าอับจนหนทาง เผยตัวเจ้าออกมา และเปิดโปงสภาวะที่อัปลักษณ์ของเจ้า หากในทางกลับกัน ท่าทีของเจ้าถูกต้อง ทั้งไม่ยืนกรานในหนทางของเจ้าเอง หรือไม่คิดว่าตนเองเป็นฝ่ายชอบธรรมเสมอ หรือไม่ทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่น แต่เป็นท่าทีของการแสวงหาและของการยอมรับความจริง หากเจ้าสามัคคีธรรมกับทุกคน เช่นนั้นแล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเริ่มทรงพระราชกิจในหมู่พวกเจ้า และบางทีพระองค์อาจจะทรงนำทางเจ้าให้เข้าใจด้วยคำพูดของใครบางคน บางครั้ง เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานความรู้แจ้งแก่เจ้า พระองค์ทรงนำทางเจ้าให้เข้าใจเงื่อนปมของเรื่องด้วยคำพูดหรือวลีเพียงไม่กี่คำ หรือด้วยการประทานแนวคิดหนึ่งให้กับเจ้า เจ้าตระหนักในทันทีนั้นว่า สิ่งใดก็ตามที่เจ้ากำลังยึดติดนั้นผิดพลาด และในทันทีเดียวกันนั้น เจ้าก็เข้าใจหนทางในการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเหมาะสมมากที่สุด เมื่อได้มาถึงระดับเช่นนี้แล้ว เจ้าได้หลีกเลี่ยงการทำความชั่วและในเวลาเดียวกันก็หลีกเลี่ยงการแบกรับผลสืบเนื่องจากความผิดพลาดสำเร็จแล้วมิใช่หรือ? นี่ไม่ใช่การคุ้มครองของพระเจ้าหรือ? (ใช่) จะสัมฤทธิ์สิ่งเช่นนั้นอย่างไร? การนี้จะบรรลุได้เมื่อเจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และเมื่อเจ้าแสวงหาความจริงด้วยหัวใจแห่งการนบนอบ ทันทีที่เจ้าได้รับความรู้แจ้งแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และกำหนดหลักธรรมของการปฏิบัติแล้ว การฝึกฝนปฏิบัติของเจ้าย่อมจะตรงตามความจริง และเจ้าจะสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) หลังจากได้อ่านผมก็เข้าใจ ว่าการจะแก้ไขความโอหังและความเอาแต่ใจนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และท่าทีในการแสวงหาความจริง ผมไม่สามารถยืนกรานตามมุมมองของผมเองเวลาเกิดเรื่องขึ้นได้ แต่ผมจำเป็นต้องหารือสิ่งต่างๆ กับพี่น้องชายหญิง ถ้าพวกเราทำงานร่วมกันอย่างปรองดอง จะได้รับการทรงนำจากพระเจ้า ถ้าหากใครบางคนมีความคิดเห็นที่ต่างออกไป ผมก็ควรจะยอมรับมันก่อน จากนั้นก็อธิษฐานต่อพระเจ้า แสวงหาความจริง และนำหลักธรรมไปสู่การปฏิบัติ ถ้าผมยึดติดกับความคิดของตัวเองอย่างหัวชนฝา ก็ไม่มีทางที่ผมจะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมคงจะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ในสิ่งใดๆ และผมจะก่อความวุ่นวายในหน้าที่ของผม ผมคิดใคร่ครวญถึงการที่ผมได้ทำความชั่วอย่างใหญ่หลวงเพราะผมโอหังมาก และเพราะผมไม่มีที่ให้กับพระเจ้าในหัวใจของผม มันมาจากความต้องการเป็นนายของทุกอย่าง จากการที่ทำงานกับคนอื่นได้ไม่ดี พอตระหนักถึงเรื่องนี้ ผมก็ได้ตั้งปณิธานอย่างเงียบๆ ที่จะเลิกดื้อดึงเวลามีเรื่องอะไรเข้ามา แต่แสวงหาหลักธรรมความจริง และสื่อสารกับผู้อื่นให้มากขึ้น ผมจะฟังแนวคิดของใครก็ตามที่อยู่ในแนวเดียวกับหลักธรรมความจริง
หลังจากนั้นผมได้รับเลือกให้เป็นผู้นำทีม คอยดูแลงานให้น้ำ ผมรู้สึกซาบซึ้งจริงๆ และเห็นคุณค่าหน้าที่นั้น ผมคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอ ว่าผมจะต้องเรียนรู้บทเรียนจากความล้มเหลวของตนเองให้ได้ และผมไม่อาจให้ธรรมชาติอันโอหังของผมทำให้ผมเอาแต่ใจได้อีกต่อไป เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นมา ผมจะริเริ่มไปหารือสิ่งต่างๆ กับบรรดาพี่น้องชายหญิง มีครั้งหนึ่งผมได้รับจดหมายจากผู้นำบอกว่าพวกเราจำเป็นต้องหาคนที่เหมาะสมมาทำงานให้น้ำ เมื่อลองหาดูแล้ว ผมรู้สึกว่าพี่น้องหญิงซูสิ่งเหมาะสมดี แต่จากการประเมินครั้งก่อนของคนอื่นๆ เธอมีธรรมชาติอันโอหัง และไม่ยอมรับคำแนะนำและความช่วยเหลือของพี่น้องชายหญิง จุดนี้ ผมคิดว่าเธอจะไม่ยอมรับความจริง ดังนั้นเธอจึงไม่ใช่คนที่ควรถูกบ่มเพาะ เมื่อผมคิดแบบนี้ ผมก็ตระหนักว่า ผมนิยามคนอื่นตามอำเภอใจอีกแล้ว และผมก็จำสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ได้ว่า “หากบุคคลหนึ่งยังไม่ไปถึงขั้นให้คำตัดสินของตนเอง นั่นเป็นหมายสำคัญว่าพวกเขาไม่คิดว่าตัวเองถูก หากพวกเขาไม่ยืนกรานในแนวคิดของตนเอง นั่นก็เป็นหมายสำคัญว่าพวกเขามีเหตุผล หากพวกเขาสามารถนบนอบได้ด้วย เช่นนั้นพวกเขาก็สัมฤทธิ์การปฏิบัติความจริงแล้ว” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การนบนอบพระเจ้าคือบทเรียนขั้นพื้นฐานในการได้รับความจริง) ผมรู้ว่าผมไม่สามารถยืนกรานที่จะเป็นคนชี้ขาดได้อีก แต่ผมต้องคุยเรื่องนี้กับพี่น้องชายที่ทำงานกับผม และรับฟังข้อเสนอแนะของเขา เมื่อผมอธิบายมุมมองของผมให้เขาฟังแล้ว เขาก็ตอบกลับมาว่า “จากการประเมินเหล่านี้ ดูเหมือนว่าซูสิ่งจะโอหังจริงๆ แทั้งหมดนี้มีพื้นฐานมาจากความเสื่อมทรามที่เธอเปิดเผยในอดีต พวกเราไม่รู้ว่าเธอได้รับการรู้จักตัวเองบ้างแล้วหรือไม่ พวกเราไม่ควรปรามคนที่มีความสามารถพิเศษ ดังนั้นให้เธอเขียนการทบทวนตัวเองเถอะ แล้วจากนั้นก็ถามความเห็นจากบรรดาพี่น้องชายหญิงที่ติดต่อใกล้ชิดกับเธอ พวกเราสามารถดูเรื่องทั้งหมดนี้ และดูว่าเธอเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับหน้าที่นี้หรือไม่ วิธีการแบบนี้ได้ผลดีกว่า” ผมฟังดูแล้ว เหมือนว่าข้อเสนอแนะของเขาตรงกับหลักธรรมความจริง ถ้าผมนิยามเธอว่าเป็นคนที่ไม่เหมาะกับการถูกฝึกฝน จากความเห็นอันก่อนของพี่น้องชายหญิงไม่กี่คนเพียงลำพัง แบบนั้นก็เป็นการทำตามอำเภอใจเกินไป พวกเราควรจะดูว่าเธอมีความโอหังแบบใด ถ้าเป็นความโอหังที่ไม่มีเหตุผล เมืดบอด และเป็นการไม่ยอมรับความจริงโดยสิ้นเชิง เช่นนั้นเธอก็ไม่ควรได้รับการเลื่อนขั้นจริงๆ ถ้าเธอโอหัง แต่มีความเป็นมนุษย์ที่ดี และสามารถยอมรับความจริง และเธอสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง และเปลี่ยนแปลงหลังจากถูกตัดแต่งได้ นั่นจะเป็นการเปิดเผยความเสื่อมทรามตามปกติ พวกเราไม่สามารถปฏิบัติต่อสิ่งที่แตกต่างกันว่าเหมือนกันได้ ตอนที่เราได้รับการทบทวนตนเองของซูสิ่ง และการประเมินจากพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ เราได้เห็นว่าเธอได้เปลี่ยนไปบ้างและมีการการเข้าสู่บ้างแล้ว และเธอก็เป็นคนที่สามารถยอมรับความจริงได้ พวกเราแนะนำเธอให้ทำงานให้น้ำนั้น ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างโอหังและแข็งมากเท่าแต่ก่อนผมไม่เอาแต่ตัดสินใจด้วยตนเอง แต่ผมรับฟังข้อเสนอแนะจากคนอื่นๆ และแสวงหาหลักธรรมความจริงอย่างมีสติ ด้วยการปฏิบัติแบบนี้ ผมรู้สึกสงบและปราศจากความหวาดหวั่น ผมสามารถมีการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ก็เพราะการอ่านพระวจนะของพระเจ้าทั้งสิ้น