หกข้อบ่งชี้ถึงการเจริญเติบโตของชีวิต
ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนมีเส้นทางและการเติบโตในด้านที่เกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าหรือไม่? พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสัญญาณต่างๆ ของการเติบโตในการเข้าสู่ชีวิตคืออะไร? การเปลี่ยนแปลงใดในสภาวะฝ่ายวิญญาณหรือการสำแดงใดบ้างที่แตกต่างไปจากที่เจ้ามีก่อนหน้านี้ ที่ทำให้เจ้ารู้สึกว่าเจ้ามีการเติบโตของชีวิต หรือช่วยให้พี่น้องชายหญิงมองเห็นว่าเจ้าได้เติบโตขึ้น และเห็นว่าอุปนิสัยของเจ้าได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไป? หาก มองที่สภาวะฝ่ายวิญญาณ เมื่อใครบางคนได้รับประสบณ์การการเติบโตในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา พวกเขาจะไม่รู้สึกคลุมเครือเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป พวกเขาไม่ลังเลใจ และพวกเขามีเส้นทางหนึ่งให้ดำเนินตาม พวกเขารู้ว่า ความเชื่อในพระเจ้ามีไว้เพื่อความรอด และพวกเขารู้ว่าเฉพาะบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่สามารถบรรลุความรอด การมองเห็นอย่างชัดเจนและการก้าวมาบนเส้นทางนี้ นำพาสันติสุขและความชูใจมาสู่หัวใจของผู้คนเป็นอันดับแรก ตอนนี้พวกเจ้ามีสันติสุขและความชูใจหรือไม่? (มี ยามที่พวกเราเผชิญกับผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งทั้งหลาย และสามารถจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ และมองเห็นว่าสภาพการณ์ต่างๆ ถูกจัดเรียงไว้อย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อสิ่งทั้งหลายที่พวกเราขาดอยู่—ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พวกเราจำเป็นต้องมี—ณ เวลานั้น พวกเรารู้สึกถึงสันติสุขในจิตใจ แต่เมื่อพวกเราเผชิญความลำบากยากเย็นและไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร เราก็รู้สึกตื่นตระหนก) ไม่ว่าโดยปกติแล้ว พวกเจ้ามีสภาวะเช่นไรในยามที่พวกเจ้าไปเจอกับความลำบากยากเย็น ให้มองภาพใหญ่ไว้ก่อน กล่าวคือ ในหัวใจของพวกเจ้านั้น พวกเจ้าไม่คิดว่าการเลือกเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้านั้นถูกต้อง ว่านั่นเป็นธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบและชอบธรรมหรือ? เจ้ายังไม่ได้กำหนดพิจารณาหรือว่า เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ถูกต้องสำหรับชีวิต? เจ้าไม่มีความตั้งใจแน่วแน่และเจตจำนงที่จะดำเนินต่อไปโดยปราศจากการมีสองจิตสองใจหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่สภาวะของเจ้าในตอนนี้หรอกหรือ? (ใช่เลย) นี่คือแง่มุมหนึ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้แรกว่า ชีวิตของเจ้ากำลังเติบโต นอกจากนี้ เมื่อคำนึงถึงเรื่องต่างทั้งหลายมากมาย—ตัวอย่างเช่น ผู้คน โลก สังคมนี้ เส้นทางของชีวิต เป้าหมายและทิศทางชีวิต ความหมายและค่านิยมที่พวกเจ้ามีต่อชีวิต—มีความเปลี่ยนแปลงในความคิดและมุมมองของเจ้าบ้างไหม? (มีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง) เมื่อผู้คนฟังพระธรรมเทศนาเป็นประจำ ก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในการทำหน้าที่ของพวกเขา ในการประพฤติปฏิบัติและพฤติกรรมของพวกเขา และในความคิดของพวกเขา ว่าแต่พวกเขากำลังเปลี่ยนแปลงมุมมองของพวกเขาที่มีต่อผู้คน เรื่องทั้งหลายเป้าหมายและทิศทางชีวิตอยู่อย่างแท้จริงหรือ? หากพวกเขาเปลี่ยนแปลงในด้านนี้จริง นี่ก็เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิต ระดับที่เจ้าเปลี่ยนแปลงเป็นหลักฐานว่าเจ้ามีการเข้าสู่ชีวิตมากน้อยเพียงใด หลายคนยังคงสับสนปนเปเกี่ยวกับแง่มุมนี้ของสิ่งทั้งหลาย พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะให้ทัศนะต่อผู้คนหรือเรื่องทั้งหลาย และไม่รู้วิธีที่จะรับประสบการณ์กับสิ่งทั้งหลาย และสภาพการณ์ทั้งหลายที่พวกเขาเผชิญ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาก่อนที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า โดยผิวเผินดูเหมือนพวกเขาได้ยอมรับบางมุมมองที่ถูกต้องซึ่งเป็นไปในแนวเดียวกับความจริงแล้ว แต่พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะประยุกต์ใช้มุมมองเหล่านั้นในยามที่เผชิญกับเรื่องทั้งหลาย และพวกเขาก็ไม่สามารถเชื่อมโยงมุมมองเหล่านั้นเข้ากับเรื่องทั้งหลายได้ นี่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงหรือ? (ไม่ใช่) นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง มีกี่ข้อบ่งชี้หรือที่ได้ถูกกล่าวถึงเพื่อที่จะดูว่าบุคคลหนึ่งได้มีประสบการณ์การเติบโตในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาหรือไม่? (สอง) เหล่านี้คือสองข้อบ่งชี้แรกที่เกี่ยวข้องกับความจริงแห่งนิมิตและทฤษฎีทั้งหลาย
ขณะที่กำลังตัดสินว่าใครบางคนได้รับประสบการณ์การเติบโตในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาแล้วหรือไม่ มีหลายข้อบ่งชี้อื่นๆ ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติ ประการแรกที่สุดเลย ข้อบ่งชี้เบื้องต้นและพื้นฐานที่สุดก็คือสิ่งนี้ที่ว่า ในแต่ละวัน ไม่ว่าเจ้ามีธุระยุ่งอยู่กับอะไรหรือเจ้ากำลังทำหน้าที่ใดอยู่ หัวใจของเจ้าสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และดำเนินชีวิตในการทรงสถิตของพระองค์มากแค่ไหน อัตราส่วนนี้สำคัญยิ่ง หากเจ้าใช้เวลาแทบทั้งวันเอาตัวเองไปยุ่งอยู่กับกิจธุระภายนอกและการทำงานหาเลี้ยงตัวเจ้าเอง โดยไม่ได้เผื่อเวลาเพื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้าหรืออธิษฐานถึงพระองค์ ไม่ได้ใช้ความคิดของเจ้าในการตรึกตรองความจริงแล้ว เช่นนั้นแล้ว สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าก็ผิดปกติ นั่นคือ เจ้าไม่มีที่ทางสำหรับพระเจ้าในหัวใจของเจ้า และเจ้าไม่ปฏิบัติต่อความเชื่อในพระเจ้าเฉกเช่นบางสิ่งซึ่งสำคัญ หากหัวใจของเจ้าดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะเช่นนี้เสมอ เจ้าก็จะยิ่งห่างไกลจากพระเจ้าออกไปทุกที ความเชื่อในพระองค์ก็จะลดน้อยลงทุกที และเจ้าจะกลายเป็นนิ่งเฉยและอ่อนแอเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับเจ้า เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น สภาวะภายในของเจ้าย่อมกลายเป็นผิดปกติมากขึ้นทุกที กล่าวคือ ไม่ว่าเจ้าอยู่ในภาวะมี่มีความเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม เจ้ามีสภาวะที่เป็นปกติเหมือนที่ผู้เชื่อในพระเจ้าคนหนึ่งพึงมีหรือไม่ เจ้าใช้ชีวิตในสภาวะปกติแบบนี้และปลีกห่างจากเรื่องมากมายของชีวิตทางกายภาพที่ยึดครองหัวใจของเจ้านานแค่ไหน เจ้าใช้เวลาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้ามากเพียงใด—นี่คือข้อบ่งชี้แรกในด้านการปฏิบัติ ผู้คนบางคนนั้น นอกจากชีวิตทางกายภาพแล้ว ก็ใช้เวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้า หรือสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาใช้ชีวิตไปกับเรื่องภายนอก ใช้ชีวิตเพื่อความชื่นชมยินดีทางเนื้อหนัง นี่ไม่ใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรอกหรือ? หากใครบางคนมักใช้ชีวิตในอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขาย่อมต่อต้านและเป็นกบฏต่อพระเจ้ามากขึ้น นำไปสู่สัมพันธภาพที่ผิดปกติกับพระเจ้า ซึ่งเท่ากับว่าไม่มีสัมพันธภาพกับพระองค์ การสงวนและค้ำจุนสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้าสำคัญหรือไม่? (สำคัญ) สำคัญแค่ไหน? สำคัญตรงไหน? (หากคนเราไม่มีที่ทางสำหรับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขาในขณะที่ทำหน้าที่ของตน แล้วไซร้ พวกเขาย่อมกำลังพึ่งพาตนเอง ซึ่งไม่ใช่กำลังปฏิบัติความจริงแต่อย่างใดเลย พวกเขาไม่สามารถเข้าสู่ชีวิตได้โดยหนทางนี้) บางทีพวกเจ้าอาจมีความสามารถที่จะเข้าใจสิ่งนี้ในระดับทฤษฎี แต่พวกเจ้าก็ไม่อาจพูดได้อย่างชัดเจนในแง่มุมเชิงปฏิบัติ ซึ่งตรงนั้นเราหมายถึงผู้คนส่วนใหญ่ไม่ชัดเจนเท่าใดนักและไม่เข้าใจดีถึงแง่มุมนี้ของความจริง และเจ้าเองก็แค่มีความรู้ที่มาจากการรับรู้ทางประสาทสัมผัสอยู่เล็กน้อยใช่หรือไม่? (ใช่) เช่นนั้นแล้ว เราขอถามพวกเจ้าทุกคนว่า หากผู้เชื่อในพระเจ้าคนหนึ่งไม่มีสิ่งใดที่เกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าหรือกับพระเจ้าพระองค์เองอยู่ในการกระทำ คำพูด การประพฤติปฏิบัติ หรือในการทำหน้าที่ของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว ทั้งหมดที่พวกเขาทำจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงหรือไม่? (จะไม่มี) พวกเขาทำทั้งหมดนี้เพื่อใคร? สิ่งเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นบนรากฐานใด? จุดเริ่มต้น แรงจูงใจ เป้าหมาย และหลักการของพวกเขามาจากไหน? หากใครบางคนไร้ความสามารถที่จะมีสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้าได้ และไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาทำเกี่ยวข้องกับพระเจ้า แล้วพวกเขากระทำโดยพึ่งพาสิ่งใดหรือ? อะไรหรือคือแหล่งที่มาของการกระทำทั้งหลายของพวกเขา? (ปรัชญาแบบซาตาน) พวกเขากระทำโดยพึ่งพาปรัชญาแบบซาตานซึ่งเห็นได้ชัดเจนมาก หากสิ่งที่บุคคลหนึ่งแสดงการกระทำออกมา และใช้ชีวิตไปตามที่กระทำ และทำหน้าที่ของตนโดยไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระเจ้า—โดยนัยคือพวกเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความจริง—แล้วพวกเขาพึ่งพาอะไรหรือในขณะที่พวกเขายุ่งอยู่กับตัวเองในทุกๆ วัน? พวกเขาพึ่งพาพิษของซาตานและอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานในการที่จะกระทำ ทำหน้าที่ของพวกเขา ดำเนินชีวิตและประพฤติปฏิบัติตน นี่เป็นข้อบ่งชี้ที่สามสำหรับการประเมินวัดว่าบุคคลหนึ่งมีการเติบโตในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาหรือไม่—กล่าวโดยสรุปก็คือ บุคคลหนึ่งมีสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้าหรือไม่
มีอีกหนึ่งข้อบ่งชี้การปฏิบัติที่สามารถใช้เพื่อตัดสินว่า บุคคลหนึ่งได้รับประสบการณ์กับการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้อบ่งชี้นี้คืออะไร (ใช่หรือไม่ที่เมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าเป็นการจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า และพวกเขาก็มีหัวใจที่นบนอบ?) ถูกต้อง นั่นคือการมีหัวใจที่นบนอบ เป็นการตัดสินโดยดูว่าบุคคลผู้นั้นมีความนบนอบต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาพบเจออย่างไรและสามารถนบนอบได้มากเพียงใด ไม่ว่าบุคคลหนึ่งจะสามารถนบนอบได้หรือไม่เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับตนเอง และพวกเขานบนอบได้ถึงระดับใด และหลังจากที่พวกเขานบนอบการจัดวางเรียบเรียงทั้งปวงของพระเจ้าแล้ว พวกเขาสามารถได้รับความจริงเรื่องใดบ้าง—นี่ทดสอบการเข้าสู่ชีวิตของผู้คนในด้านใด? (นี่ทดสอบว่าพวกเขามีความเชื่อที่แท้จริงหรือไม่) นี่ทดสอบว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ และนี่ทดสอบว่าความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด นั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง มีสิ่งอื่นอีกหรือไม่? (ความยำเกรงพระเจ้า) นี่ทดสอบว่าผู้คนมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่ นี่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง มีอะไรอื่นอีกไหม? (ว่าพวกเขารักความจริงหรือไม่) ใช่แล้ว นี่ก็ทดสอบด้วยเช่นกันว่าพวกเขารักความจริงหรือไม่ ว่าพวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงได้หรือไม่ ทั้งหมดมีด้วยกันสามแง่มุม ไม่ว่าเจ้าจะสามารถนบนอบได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับท่าทีที่เจ้ามีเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะต้านทานหรือยอมรับ นั่นก็เป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดแล้ว บางครั้งเมื่อเกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้น เจ้าอาจมีท่าทีที่นบนอบ แต่หากสิ่งนั้นไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้าแล้ว เจ้าก็ต้องใช้ความพยายามพอดูในการที่จะนบนอบ ถ้าสิ่งนั้นตรงกับความนิยมชมชอบของเจ้าและเจ้าสามารถได้ประโยชน์จากสิ่งนั้น เจ้าก็นบนอบได้ง่ายขึ้น นี่หมายความว่าเจ้านบนอบไม่พอมิใช่หรือ? การนบนอบในบางโอกาสหรือชั่วครั้งชั่วคราวแสดงถึงการนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงกระนั้นหรือ? เมื่อเป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า มีบางสิ่งที่เจ้ายอมรับได้ และสิ่งอื่นที่เจ้ายอมรับไม่ได้ นี่คือปัญหา นี่คือการเป็นกบฏต่อพระเจ้าอย่างชัดเจนมิใช่หรือ? ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าพระเจ้าตรัสเรียกเจ้าว่าคนเลอะเลือน เจ้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร? เจ้าก็คงจะคิดสักครู่หนึ่งว่า “พระวจนะของพระเจ้าไม่ผิดอย่างแน่นอน” และเจ้าก็คงจะยอมรับพระวจนะนั้นไว้ในหัวใจและกล่าวอาเมนต่อพระวจนะของพระเจ้า อย่างนี้ เจ้าก็ย่อมจะมีความนบนอบอยู่ประมาณร้อยละแปดสิบหรือเก้าสิบโดยพื้นฐาน แต่ในกระบวนการของการมีประสบการณ์เช่นนี้ บางคราวเจ้าก็อาจจะรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างฉลาด ไม่ได้เลอะเลือน—นี่ก็คือร้อยละสิบที่เหลือซึ่งทำให้เจ้านบนอบไม่เต็มที่ สภาวะแบบนี้ปกติ ณ จุดใดของประสบการณ์ที่เจ้าจะเข้าใจคำพูดนี้อย่างถ่องแท้? (เมื่อถึงวันที่พวกเราถูกเผยตัวตนให้เห็น วันที่ตระหนักว่าพวกเราคือคนที่เลอะเลือน และมารู้จักตนเองอย่างแท้จริง) ถูกต้อง เมื่อเจ้าพอจะรู้จักธรรมชาติ อุปนิสัย และหลักธรรมในการกระทำของตนเอง ตลอดจนคุณภาพของสภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าและขีดความสามารถของเจ้า และอื่นๆ เมื่อนั้นเจ้าก็จะตระหนักว่า “ฉันเป็นคนเลอะเลือน! ความคิดของฉันไม่ชัดเจนเลย พูดก็ไม่ชัดเจน ฉันจัดการเรื่องต่างๆ ได้ไม่ดี และฉันก็ก้าวผ่านสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองไปแบบเลอะเลือน ฉันไม่จริงจังกับอะไร และต่อให้ฉันจริงจัง ฉันก็ไม่เข้าใจ—คนเลอะเลือนก็เป็นเช่นนี้!” ยิ่งเจ้ามีประสบการณ์มากเท่าไร เจ้าก็จะยิ่งมารู้สึกมากขึ้นว่าพระวจนะของพระเจ้าถูกต้อง และรู้สึกว่าพระองค์กำลังตรัสเกี่ยวกับเจ้า เจ้าก็จะนบนอบต่อพระวจนะเหล่านี้มากขึ้น ผู้คนมีกระบวนการยอมรับในเรื่องพระวจนะเหล่านี้ แต่สิ่งแรกที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์คืออะไร? เมื่อพระเจ้าตรัสว่าเจ้าเป็นคนเลอะเลือน พระองค์ทรงต้องประสงค์ท่าทีที่ต้านทานและขอไปทีหรือท่าทีที่ยอมรับจากเจ้า? (ท่าทีที่ยอมรับ) พระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้ผู้คนมีท่าทีที่ยอมรับ ผู้คนต้องมีสภาวะเช่นนี้ ซึ่งไม่ว่าพวกเขาจะรู้มากเพียงใด พวกเขาก็ควรเรียนรู้ที่จะยอมรับและนบนอบเสียก่อน ถึงแม้เจ้าอาจจะคิดว่าตัวเองแค่เลอะเลือนนิดหน่อย ไม่ใช่คนที่เลอะเลือนเต็มขั้นอย่างที่พระเจ้าตรัสว่าเจ้าเป็น กระนั้นเจ้าก็ควรยอมรับ ในกระบวนการของประสบการณ์และในกระบวนการของการไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย เจ้าย่อมจะมารู้จักความเป็นมนุษย์ของเจ้าเองอย่างค่อยเป็นค่อยไป รู้จักสิ่งที่เผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า ท่าทีและผลลัพธ์ของการกระทำของเจ้า และสภาวะทั้งหมดที่เจ้ามีขณะทำหน้าที่ของตนเอง เจ้าจะตระหนักว่าเจ้าไม่ได้เลอะเลือนนิดหน่อย แต่เจ้านั้นเลอะเลือนอย่างแท้จริง ไม่ใช่คนที่เลอะเลือนเล็กน้อย ในตอนนี้ เจ้าจะไม่มีความคิดอ่านหรือมีการต้านทานเจ้าคนเลอะเลือนที่พระเจ้าทรงเปิดโปงเอาไว้ และไม่มีมโนคติอันหลงผิดอีก และเจ้าจะสามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกในหัวใจของผู้คน เจ้ายอมรับการเปิดโปงของพระเจ้าในฐานะที่เป็นข้อเท็จจริงหรือยอมรับในฐานะที่เป็นการกล่าวโทษ? (เป็นข้อเท็จจริง) ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้ายอมรับในฐานะที่เป็นความจริงหรือไม่? ในความเป็นจริงแล้ว การที่พระเจ้าทรงเปิดโปงมนุษย์ย่อมเป็นไปตามข้อเท็จจริง เป็นความจริง และผู้คนควรยอมรับการเปิดโปงของพระองค์ว่าเป็นเช่นนั้น บางคนพูดว่า “คำว่า 'คนเลอะเลือน' ใช่ความจริงหรือไม่?” จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร? ในความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าคำนี้เป็นความจริง แต่เป็นแก่นแท้ของคำนี้ต่างหาก—คำนิยามและการประเมินของพระเจ้าเรื่องอุปนิสัยประเภทนี้เป็นความจริง นั่นคือข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ การพูดว่าพวกเจ้าเป็นคนเลอะเลือนนั้น โดยทั่วไปแล้วพวกเจ้าก็สามารถยอมรับได้ตามวุฒิภาวะในปัจจุบันของพวกเจ้า คำว่า “เลอะเลือน” เป็นการล่วงเกินหรือไม่? (ไม่เป็น) ทำไมถึงไม่เป็น? (เพราะเป็นข้อเท็จจริง) ในหัวใจของบางคนอาจจะไม่ได้คิดอย่างนั้นและพวกเขาก็พูดว่า “คำว่าคนเลอะเลือนแทบจะฟังดูดีและมีอารยะ ไม่ใช่คำสาปแช่ง แล้วทำไมพวกเราถึงจะไม่ยอมรับ? พวกเราได้ฟังคำพูดที่รุนแรงกว่านี้มามากแล้ว—พวกเรายอมรับคำเหล่านั้นได้ ดังนั้น พวกเรายิ่งควรจะสามารถยอมรับคำพูดที่สละสลวยนี้ได้มากขึ้นอีกสักขนาดไหน?” นี่แสดงนัยว่าผิวของพวกเจ้าหนามิใช่หรือ ดังนั้นคำที่สละสลวยและมีอารยะเช่นนี้จึงฟังดูไม่เหมือนคำพูดทิ่มแทงสำหรับพวกเจ้า? เป็นเช่นนั้นหรือไม่? ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นคำที่ฟังดูดีหรือรุนแรง หากเจ้าคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนอย่างนั้น หากเจ้าไม่รู้ว่าคำประเมินนั้นถูกต้องหรือไม่ หรือใช่แก่นแท้ของเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้ว ต่อให้คำนั้นจะเสนาะหูและฟังดูดี เจ้าก็จะไม่สามารถยอมรับได้ นี่เป็นเรื่องของปัญหาที่ว่าบุคคลหนึ่งสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่ และปัญหาที่ว่าพวกเขารู้จักแก่นแท้ธรรมชาติของตนเองอย่างแท้จริงหรือไม่ พวกเจ้าเคยฟังคำพูดที่รุนแรงกว่านี้มาก่อน และพวกเจ้าก็ได้ยอมรับ สู้ทน และรับรู้คำที่รุนแรงกว่าไปแล้ว ดังนั้นคำว่า “เลอะเลือน” ที่รุนแรงน้อยกว่าจึงไม่ทำให้พวกเจ้ายุ่งยากใจ แต่ในความเป็นจริงนั้น พวกเจ้าก็ไม่ได้นำคำนี้ไปใช้กับตัวเองอย่างแท้จริง นี่ไม่ใช่ท่าทีของการนบนอบและยอมรับที่แท้จริง หากเจ้ายอมรับคำนี้ว่าเป็นความจริงและนำไปใช้กับตัวเองได้จริง เจ้าย่อมจะรู้จักตนเองลึกซึ้งยิ่งขึ้น ตอนที่พระเจ้าตรัสเรียกเจ้าว่าคนเลอะเลือนนั้น พระองค์ไม่ได้กำลังทรงขอให้เจ้ายอมรับข้อความ คำพูด หรือคำนิยามบางอย่าง—พระองค์กำลังทรงขอให้เจ้าเข้าใจความจริงในเรื่องนี้ ดังนั้น เมื่อพระเจ้าตรัสเรียกใครบางคนว่าคนเลอะเลือน มีความจริงอะไรอยู่ในนั้น? ทุกคนเข้าใจความหมายภายนอกของคำว่า “คนเลอะเลือน” แต่ในส่วนของอุปนิสัยและลักษณะที่สำแดงถึงการเป็นคนเลอะเลือนแล้ว สิ่งที่ผู้คนทำมีอะไรบ้างที่เลอะเลือน และอะไรบ้างที่ไม่เลอะเลือน เหตุใดพระเจ้าจึงทรงเปิดโปงผู้คนในหนทางนี้ คนที่เลอะเลือนจะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้หรือไม่ คนเลอะเลือนจะสามารถปฏิบัติตนตามหลักธรรมได้หรือไม่ พวกเขาสามารถเข้าใจได้หรือไม่ว่าอะไรถูกอะไรผิด พวกเขาสามารถแยกแยะสิ่งที่พระเจ้าทรงรักและสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจได้หรือไม่—โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้คนไม่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ สำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งเหล่านี้กำกวม ไม่มีคำจำกัดความที่ชัดเจน และมองไม่ออกเลย ตัวอย่างเช่น ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้—นั่นคือพวกเขาไม่ชัดเจน—ว่าการทำบางสิ่งในหนทางหนึ่งนั้นเป็นเพียงการทำตามข้อบังคับหรือเป็นการปฏิบัติความจริง พวกเขาทั้งไม่รู้—และไม่ชัดเจน—ว่าบางสิ่งนั้นเป็นที่รักของพระเจ้าหรือเป็นที่รังเกียจของพระเจ้า พวกเขาไม่รู้ว่าการปฏิบัติตัวในหนทางบางอย่างเป็นการตีกรอบผู้คน หรือเป็นการสามัคคีธรรมความจริงและช่วยเหลือผู้คนตามปกติ พวกเขาไม่รู้ว่าหลักธรรมที่อยู่เบื้องหลังหนทางที่พวกเขาปฏิบัติตนต่อผู้คนนั้นถูกต้องหรือไม่ และกำลังพยายามสร้างมิตรหรือช่วยเหลือผู้คนหรือไม่ พวกเขาไม่รู้ว่าการปฏิบัติตนในหนทางหนึ่งนั้นเป็นการยึดปฏิบัติตามหลักธรรมและตั้งมั่นอยู่ในตำแหน่งของตนเอง หรือเป็นการโอหัง การมองตนเองชอบธรรมเสมอและการอวดโอ้ ยามที่ผู้คนไม่มีอะไรอื่นทำ บางคนชอบมองกระจก พวกเขาไม่รู้ว่านี่คือความหลงตัวเองและความไม่เป็นแก่นสารหรือเป็นเรื่องปกติ บางคนมีอารมณ์ที่ฉุนเฉียวและบุคลิกของพวกเขาก็ค่อนข้างแปลก พวกเขาบอกได้หรือไม่ว่าการนี้สัมพันธ์กับการที่พวกเขามีอุปนิสัยที่ไม่ดี? ผู้คนไม่สามารถแม้แต่จะแยกความต่างระหว่างสิ่งเหล่านี้ที่พบเห็นทั่วไป เผชิญกันอยู่ทั่วไป—แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังพูดว่าได้รับไปมากมายจากการเชื่อในพระเจ้า นี่ไม่เลอะเลือนหรอกหรือ? แล้วพวกเจ้ายอมรับการถูกเรียกว่าคนเลอะเลือนได้หรือไม่? (ได้) ตอนนี้ดูเหมือนว่าผู้คนส่วนใหญ่ยอมรับเรื่องนี้ได้ เจ้าควรทำอย่างไรหลังจากที่ยอมรับแล้ว? เจ้าต้องเปรียบเทียบกับสภาวะของเจ้าเองและตรวจสอบในรายละเอียดว่าเจ้าเลอะเลือนในเรื่องใดบ้าง และเจ้ามีความคิดที่ชัดเจนในเรื่องใดบ้าง จงเปรียบเทียบกับสภาวะของตนเอง ขุดเอาความเสื่อมทรามของตนเองออกมา แล้วทำความรู้จักตัวเองในเรื่องเหล่านี้ และเพียรพยายามให้ตัวเองรวมอยู่ในกลุ่มคนที่เลอะเลือนด้วย เจ้าคิดอย่างไรกับการปฏิบัติแบบนี้? ความรู้นี้ครบถ้วนหรือไม่? (ไม่ พวกเราต้องไล่ตามเสาะหาความจริงและมีประสบการณ์เป็นความเปลี่ยนแปลงในแง่มุมนี้) ถูกต้อง แล้วพวกเจ้าอยากเป็นคนเลอะเลือนไปตลอดชีวิตหรือไม่? (ไม่) ไม่มีใครอยากเป็นคนเลอะเลือน ในข้อเท็จจริง การสามัคคีธรรมและการชำแหละในหนทางนี้ ไม่ใช่เพื่อทำให้เจ้าพยายามให้ตัวเองเป็นคนที่เลอะเลือน ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงนิยามเจ้าว่าอย่างไร ไม่ว่าพระองค์จะทรงเปิดโปงสิ่งใดเกี่ยวกับตัวเจ้า ตัดสิน ตีสอนเจ้า หรือตัดแต่งเจ้าอย่างไร จุดมุ่งหมายสูงสุดก็คือการเปิดโอกาสให้เจ้าหนีพ้นสภาวะเหล่านั้น เข้าใจความจริง ได้รับความจริงและพยายามที่จะไม่เป็นคนเลอะเลือน ดังนั้นเจ้าควรทำอย่างไรถ้าเจ้าไม่อยากไม่เป็นคนเลอะเลือน? เจ้าต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ก่อนอื่นเจ้าต้องรู้ว่าเจ้านั้นเป็นคนเลอะเลือนในเรื่องใดบ้าง ในเรื่องใดที่เจ้าประกาศคำสอนอยู่เสมอ วนเวียนอยู่กับทฤษฎี วาทะ และคำสอนตลอดเวลา และมองเหม่อเมื่อเผชิญหน้าข้อเท็จจริง เมื่อเจ้าแก้ไขปัญหาเหล่านี้และมีความชัดเจนในความจริงแต่ละแง่มุม เวลาที่เจ้าเลอะเลือนย่อมจะลดจำนวนครั้งลง เมื่อเจ้ามีความเข้าใจแจ่มแจ้งในความจริงแต่ละเรื่อง เมื่อเจ้าไม่ถูกมัดมือมัดเท้าในทุกสิ่งที่ทำ เมื่อเจ้าไม่ถูกควบคุมหรือตีกรอบ—ทันทีที่มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า หากเจ้าสามารถค้นหาหลักธรรมที่ถูกต้องของการปฏิบัติ และหลังจากอธิษฐานถึงพระเจ้า แสวงหาความจริง หรือหาใครบางคนเพื่อสามัคคีธรรมด้วย เจ้าสามารถปฏิบัติตนตามหลักธรรมได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะไม่เลอะเลือนอีกต่อไป หากบางสิ่งชัดเจนสำหรับเจ้า และเจ้าสามารถปฏิบัติความจริงได้อย่างถูกต้อง เช่นนั้นแล้วเมื่อเป็นเรื่องของสิ่งนั้น เจ้าก็จะไม่เลอะเลือน ผู้คนเพียงต้องเข้าใจความจริงเท่านั้นเพื่อให้หัวใจของตนได้รับความรู้แจ้งไปเอง
พระเจ้าตรัสว่าบางคนเป็นคนโง่ และในตอนแรก พวกเขาอาจยอมรับไม่ได้ แต่หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง พวกเขาก็ตระหนักว่า พวกเขาไม่เข้าใจอะไรชัดเจนเลยอย่างแท้จริง พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะหยั่งรู้ผู้นำเทียมเท็จและพวกศัตรูของพระคริสต์ พวกเขารู้สึกค่อนข้างโง่ และรู้สึกว่าตัวเองมีขีดความสามารถต่ำ ดังนั้นพวกเขาจึงยอมรับและนบนอบ คำว่า “คนโง่” เป็นคำที่ค่อนข้างฟังดูไพเราะและสุภาพ และผู้คนต้องผ่านช่วงเวลาหนึ่งมาก่อนจึงจะยอมรับได้ อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับคำพูดที่ฟังดูไพเราะน้อยกว่าและไม่สละสลวย ในบรรดาพระวจนะของพระเจ้า บางคำจี้ใจดำในตอนที่เปิดเผยและตัดสินผู้คน คำเหล่านั้นรุนแรงกว่า ผู้คนส่วนใหญ่มีวุฒิภาวะน้อยเกินไปที่จะยอมรับสิ่งเหล่านี้ เมื่อได้ยินคำเหล่านั้นแล้วพวกเขารู้สึกเจ็บปวดและไม่เป็นสุข พวกเขารู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขาถูกทำร้าย หัวใจที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ถูกกระตุ้นเร้าและทำให้เป็นแผล คำไหนหรือที่ทำให้พวกเจ้าไม่สบายใจเป็นพิเศษที่จะได้ยิน ที่ทำให้พวกเจ้าคิดว่าพระเจ้าไม่ควรตรัสคำเหล่านั้น ซึ่งพวกเจ้าไม่อาจยอมรับได้? ตัวอย่างเช่น ขยะ หนอน ปีศาจโสโครก ด้อยกว่าหมูหรือสุนัข สัตว์ร้าย ฯลฯ ดูเหมือนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้คนส่วนใหญ่จะยอมรับคำเหล่านี้ โดยปกติแล้ว ผู้คนที่สุภาพพูดคำแบบนี้หรือ? พวกเจ้าล้วนมีการศึกษาดี พวกเจ้าล้วนให้ความสนใจต่อการได้รับการถลุงและการสงบเสงี่ยมเจียมตัวในวาทะของพวกเจ้า ตลอดจนต่อลักษณะที่พวกเจ้าใช้พูดจา นั่นคือ พวกเจ้ารู้กาลเทศะ และได้เรียนรู้ที่จะไม่ทำลายศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจในตัวเอง ในคำพูดและการกระทำทั้งหลายของเจ้า เจ้าเหลือห้องว่างให้ผู้คนได้หลอกใช้ เจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าสามารถทำได้เพื่อให้ผู้คนสบายใจ เจ้าไม่เปิดโปงรอยแผลเป็นหรือข้อบกพร่องของพวกเขา และเจ้าพยายามที่จะไม่ทำร้ายพวกเขาหรือทำให้พวกเขาตะขิดตะขวงใจ ที่กล่าวนั้นคือหลักความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล แล้วหลักธรรมนี้เป็นประเภทใดหรือ? (เป็นการเอาใจคน เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและปลิ้นปล้อน) มันเป็นการสมคบคิด ปลิ้นปล้อน เจ้าเล่ห์และเคลือบแฝง ที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังใบหน้ายิ้มแย้มของผู้คนก็คือสิ่งมากมายที่มุ่งร้าย เคลือบแฝง และน่ารังเกียจ ตัวอย่างเช่น เวลามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น บางคนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีฐานะอยู่บ้างก็คิดในใจว่า “เมื่อพูดกับเขาก็ต้องเลือกถ้อยคำที่ไพเราะ ไม่อย่างนั้นฉันอาจจะทำลายความมีหน้ามีตาของพวกเขา—ถ้าเกิดว่าพวกเขาเกิดจะลงโทษฉันขึ้นมาล่ะ?” พวกเขาก็แค่ไม่พูดอะไรเลย หรือ หากพวกเขาพูด พวกเขาก็จะพูดอย่างมีไหวพริบ น่าฟัง และยกยอปอปั้น เยามที่พวกเขาพบปะกัน พวกเขาก็พูดว่า “โอ้! ฉันไม่เคยเห็นใครดูดีเท่าคุณมาก่อนเลย! คุณเป็นนางฟ้าหรือ? คุณสวยมากจนไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าด้วยซ้ำ ถ้าคุณแต่งหน้า คุณยิ่งไม่มีใครเทียบติดเข้าไปใหญ่ ดูรูปร่างของคุณสิ ทุกสิ่งที่คุณใส่ดูดีไปหมด! เสื้อผ้าที่ดูดีสวยงามอย่างนี้ต้องออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับคนเช่นคุณ!” พวกเขาพูดจาไพเราะเป็นพิเศษ ดังนั้น ไม่ว่าใครได้ยินก็สบายใจ แต่ในใจพวกเขาคิดในสิ่งเหล่านั้นจริงหรือ? (พวกเขาไม่คิด) จริงๆ แล้วพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่? พวกเขามีเจตนาและสิ่งจูงใจแอบแฝงอย่างแน่นอน ซึ่งแน่นอนว่าน่าละอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาอาจจะร้ายกาจ เลวหรือ น่าเหยียดหยาม ซึ่งจะทำให้ผู้อื่นขยะแขยง ทันทีที่พวกเขาแยกย้ายกันไป พวกเขาก็พูดไม่ดีเกี่ยวกับบุคคลนั้นให้ผู้อื่นฟัง พูดสิ่งที่เป็นการล่วงเกินและเกลียดชังเกี่ยวกับบุคคลนั้นเท่าที่พวกเขาทำได้ คำพูดของพวกเขาเต็มไปด้วยการโจมตี มีพิษ! คำพูดยกยอปอปั้นที่พวกเขาเพิ่งพูดเสร็จทำให้ตัวเองรู้สึกรำคาญและไม่เต็มใจ การดูเบาผู้อื่นลับหลังนำพาพวกเขากลับมามีสมดุลอีกครั้ง ผู้คนเช่นนี้มีความมืดอยู่ในหัวใจ พวกเขาเห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยาม การประพฤติปฏิบัติเช่นนี้น่ารังเกียจและน่าขยะแขยง นี่เป็นบุคคลประเภทไหนหรือ? นี่คือบุคคลที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง มีผู้คนแบบนี้มากเกินไปในหมู่ผู้ไม่เชื่อ และถึงกับมีบางคนอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าด้วยซ้ำ เมื่อพวกเขาพูดถ้อยคำที่เสนาะหูเหล่านั้น พวกเขามีเจตนาที่น่าละอายและน่าเหยียดหยามและมีสิ่งจูงใจแอบแฝง พวกเขาพูดอะไรก็ตามที่จะช่วยให้ตัวเองสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของตัวเอง พวกเขาไม่พูดตามข้อเท็จจริงเลยและพูดเกินจริง พวกเขามีเจตนาและวัตถุประสงค์อยู่เบื้องหลังคำพูดที่ไพเราะ เวลาที่พวกเขาพูดจาล่วงเกิน พวกเขาพูดสิ่งที่แสดงความเกลียดชังอันใดก็ตามเท่าที่พวกเขาสามารถพูดได้ และพวกเขามีความสามารถที่จะพูดคำที่เป็นพิษได้ทุกชนิด นี่เป็นบุคคลประเภทไหนกัน? นอกเหนือจากการแสดงออกผิวเผินให้เห็นอุปนิสัยของพวกเขาซึ่งหน้าซื่อใจคด ปลิ้นปล้อนและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง มีอะไรอื่นอีกไหมในธรรมชาติของพวกเขา? พวกเขามีพิษ—มีพิษมากเกินไป! เวลาที่พวกเขาชมผู้อื่น คนอื่นได้ขอคำชมนั้นไหม? (ไม่) ทำไมพวกเขาถึงชมคนอื่น? (พวกเขามีวัตถุประสงค์) ใช่แล้ว ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล พวกเขาล้อเล่นกับผู้คนเพื่อให้สัมฤทธิ์ในเจตนาและวัตถุประสงค์ของตัวเอง พวกเขาพูดอะไรก็ได้ไม่ว่าจะน่าสะอิดสะเอียนแค่ไหนก็ตาม นี่ไม่เป็นพิษหรอกหรือ? จากนั้นเพื่อแก้ไขความไม่สมดุลในหัวใจของพวกเขา พวกจึงเขาแทงคนข้างหลัง สาปแช่ง และใส่ร้ายคนเหล่านั้น และพวกเขาก็พูดสิ่งที่เป็นการล่วงเกินและเต็มไปด้วยความเกลียดชังเท่าที่พวกเขาทำได้ นี่ไม่เป็นพิษหรอกหรือ? เป็นพิษมาก! จากเรื่องนี้ เจ้าสามารถมองเห็นธรรมชาติของมนุษย์ ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาทำต่อหน้าหรือลับหลังผู้คนจะเป็นของแท้หรือจริงใจ และไม่สิ่งใดในนั้นที่สอดคล้องกับความจริงหรือกับสภาวะความเป็นมนุษย์ ทั้งหมดล้วนชั่วและเป็นพิษ ไม่มีองค์ประกอบที่เป็นพิษอยู่ในทุกสิ่งที่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามพูดหรอกหรือ? (มี) แล้วคำพูดของผู้คนพึ่งพาได้หรือไม่? คำพูดของพวกเขาไว้วางใจได้หรือไม่? ผู้คนช่างพึ่งพาไม่ได้ ช่างไว้วางใจไม่ได้เลย! ทำไมหรือ? เพราะในขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่ สิ่งที่หลั่งไหลออกมาจากการกระทำและคำพูดของพวกเขา ทุกความประพฤติและการกระทำ ทุกความคิดและแนวคิดของพวกเขา ล้วนเป็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เป็นตัวแทนแก่นแท้ธรรมชาติเยี่ยงซาตานทั้งสิ้น
เพราะเหตุใดผู้คนจึงเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่เชื่อว่าพระวจนะของพระองค์เป็นความจริง? นั่นเป็นเพราะพวกเขาตาบอด พวกเขาไม่เข้าใจว่าความจริงคืออะไร และพวกเขาก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า หลายคนอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามารถรับรู้ว่าพระวจนะของพระองค์เป็นความจริง แต่พวกเขามีมโนคติอันหลงผิดและการขัดขืนต่อสิ่งที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับ “ตัวหนอน” “ขยะ” “มาร” และ “สัตว์เดรัจฉาน” จนถึงจุดที่ว่าพวกเขาไม่สามารถยอมรับสิ่งเหล่านี้ได้โดยสิ้นเชิง นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่รู้จักธรรมชาติของตนเอง ผู้คนมองเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์เป็นเช่นไร? (พวกเขารับรู้อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตนเอง แต่พวกเขาคิดว่าตนยังคงมีด้านดี และพวกเขามองไม่เห็นว่าตัวพวกเขาเองเป็นซาตานที่มีชีวิต) ผู้คนเข้าใจแก่นแท้ธรรมชาติของตนเองอย่างถูกต้อง ชัดเจน และแท้จริงเหมือนกับที่พระเจ้าเข้าพระทัยหรือไม่? (ไม่เข้าใจ) อันที่จริงแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าโดยสิ้นเชิง พระเจ้าทรงมองดูแก่นแท้และธรรมชาติของมนุษย์ พระองค์ไม่ทรงมองดูสิ่งที่ผู้คนพูดหรือทำภายนอก พระองค์ทรงมองดูที่หัวใจ แก่นแท้ และธรรมชาติของพวกเขา คำจำกัดความและรูปแบบการกล่าวถึงเหล่านั้นซึ่งพระเจ้าทรงมีไว้สำหรับมนุษย์มาจากที่ใด? สิ่งเหล่านี้ได้รับการจำกัดความบนพื้นฐานของแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์ ตลอดจนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่มนุษย์เผยออกมา เมื่อกล่าวถึงประเด็นนี้ พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่า “พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกในหัวใจของผู้คน” หมายความว่าอย่างไร? ผู้คนกล่าวว่า “พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกในหัวใจของผู้คน” อยู่เสมอ ดังนั้นพวกเจ้ามีประสบการณ์อะไรบ้างกับพระวจนะเหล่านี้? พวกเจ้าเคยมีประสบการณ์จริงกับพระวจนะเหล่านี้หรือไม่? พวกเจ้ามีความรู้และความเข้าใจใดบ้างเกี่ยวกับพระวจนะเหล่านี้? ผู้คนบางคนเลอะเลือน พวกเขาคิดว่านั่นหมายความว่าพระเจ้าทรงรู้ความคิดและแนวคิดที่พรั่งพรูออกมาจากพวกเขา พระองค์ทรงรู้สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำซึ่งไม่เป็นไปตามความจริง พระองค์ทรงรู้ความโสมม ความเสื่อมทราม และความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อในหัวใจของพวกเขา ต่อให้พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายที่ไม่ดีโดยมิได้กล่าวถึงสิ่งเหล่านั้น พระเจ้าก็ทรงรู้ ขณะที่พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ผู้คน โดยแท้แล้วพระองค์ทรงพินิจพิเคราะห์แค่ระดับผิวเผิน คือสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนตระหนักรู้ใช่หรือไม่? นั่นสามารถเรียกได้ว่าพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกในหัวใจของผู้คนใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) ส่วนลึกที่สุดในหัวใจของบุคคลหนึ่งคืออะไร? (แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา) ผู้คนสามารถตระหนักรู้แก่นแท้ธรรมชาติของตนเองได้หรือไม่? พวกเขาสามารถรู้สึกถึงสิ่งนี้ได้หรือไม่? พวกเขาสามารถรู้สิ่งนี้ได้หรือไม่? (พวกเขาไม่สามารถ) หากผู้คนไม่สามารถรู้สึกถึงสิ่งนี้ได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะเริ่มรู้จักตนเองอย่างแท้จริงได้อย่างไร? (พวกเขาสามารถเริ่มรู้จักตนเองผ่านทางการสัมผัสพระวจนะของพระเจ้าและการเผยพระวจนะของพระองค์เท่านั้น) พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์แก่นแท้ธรรมชาติของผู้คน ซึ่งพวกเขาไม่สามารถรู้สึกถึงหรือรู้ได้ เมื่อพระเจ้าทรงเปิดโปงแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คน เมื่อข้อเท็จจริงเผยแก่นแท้ธรรมชาตินั้นออกมา พวกเขาก็เชื่อมั่นอย่างจริงใจ ความคิด แนวคิด และทัศนะของผู้คนล้วนเป็นสิ่งที่อยู่ในระดับผิวเผิน บางครั้งสิ่งเหล่านี้ก็ได้รับการกล่าวออกมาดังๆ และบางครั้งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงแนวคิดชั่วขณะ ความคิดจากหัวใจ หรือความคิดที่กระตือรือร้นชั่วคราว แต่สิ่งทั้งหลายนี้ล้วนอยู่ในระดับผิวเผิน ความคิดที่กระตือรือร้นเหล่านี้สามารถนำและมีอิทธิพลต่อการกระทำของเจ้าได้ชั่วคราว แต่สิ่งเหล่านี้จะนำหรือมีอิทธิพลต่อทิศทางและเป้าหมายในชีวิตของเจ้าได้หรือไม่? สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ดังนั้นสิ่งใดสามารถนำและมีอิทธิพลต่อการกระทำของเจ้าได้ ตลอดจนนำทิศทางและเป้าหมายในชีวิตของเจ้าได้? เจ้าสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ชัดเจนหรือไม่? นี่คือสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในส่วนลึกที่สุดในหัวใจของผู้คน ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจของพวกเขา นี่คือสิ่งที่ควบคุมความคิดและการกระทำของผู้คน สิ่งที่ก่อให้เกิดมุมมองของพวกเขา บางคนไม่เข้าใจความหมายของวลีที่ว่า “พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกในหัวใจของผู้คน” ในที่นี้ “ส่วนลึกในหัวใจของผู้คน” หมายถึงอะไร? มีสิ่งใดบ้างเกิดขึ้นที่ก้นบึ้งของหัวใจของคนคนหนึ่ง? นั่นคือความคิดภายในที่ลึกที่สุดของพวกเขาใช่หรือไม่? จากระดับผิวเผินอาจจะดูเหมือนเป็นเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วคืออะไร? คือสิ่งทั้งหลายที่เป็นแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งไม่มีใครสามารถเคลื่อนย้ายไปจากที่ทางของสิ่งเหล่านั้นได้ ความคิดที่แท้จริงที่สุดของผู้คนซึ่งพวกเขาไม่เคยพูดให้ใครฟัง บางครั้งแม้แต่ตัวพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าความคิดเหล่านั้นคืออะไร ผู้คนใช้ชีวิตตามสิ่งเหล่านี้ พวกเขาคิดว่าหากตนสูญสิ้นสิ่งเหล่านี้ หากตนสูญสิ้นแรงจูงใจที่สิ่งเหล่านี้มอบให้ พวกเขาอาจจะไม่สามารถเชื่อในพระเจ้าได้อีกต่อไป ดังนั้นพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ามีสิ่งใดบ้างอยู่ภายในส่วนลึกของหัวใจผู้คน? (ศรัทธาในพระเจ้าเพื่อที่จะได้รับพร นี่คือบางสิ่งที่อยู่ภายในหัวใจของผู้คน) นั่นถูกต้องแล้ว ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะได้รับพร การปูนบำเหน็จ และการสวมมงกุฎ เรื่องนี้มิได้มีอยู่ในหัวใจของทุกคนหรอกหรือ? เป็นข้อเท็จจริงที่ว่าเรื่องนี้มีอยู่ในหัวใจของทุกคน แม้ว่าผู้คนจะไม่พูดถึงเรื่องนี้บ่อยๆ และแม้กระทั่งปิดบังเหตุจูงใจและความอยากได้รับพร ความอยากและเหตุจูงใจนี้ซึ่งอยู่ลึกในหัวใจของผู้คนก็ไม่เคยสั่นคลอนได้เสมอมา ไม่ว่าผู้คนเข้าใจทฤษฎีฝ่ายวิญญาณเท่าไร พวกเขามีประสบการณ์หรือความรู้ใด พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ใด พวกเขาสู้ทนความทุกข์เท่าไร หรือพวกเขาจ่ายราคาไปเท่าไร พวกเขาก็ไม่เคยปล่อยมือจากแรงจูงใจในการได้รับพรซึ่งซ่อนเร้นอยู่ลึกในหัวใจของพวกเขา และออกแรงทำงานเพื่อรับใช้แรงจูงใจนี้อย่างเงียบๆ อยู่เป็นนิตย์ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฝังอยู่ลึกที่สุดภายในหัวใจของผู้คนหรอกหรือ? หากไม่มีแรงจูงใจในการได้รับพรนี้ พวกเจ้าจะรู้สึกเช่นไร? พวกเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนและติดตามพระเจ้าด้วยท่าทีเช่นไร? หากแรงจูงใจในการได้รับพรนี้ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในหัวใจของพวกเขาถูกกำจัดไป ผู้คนจะกลายเป็นอย่างไร? เป็นไปได้ว่าผู้คนจำนวนมากจะกลายเป็นคนคิดลบ ในขณะที่บางคนจะกลายเป็นคนที่ไม่มีแรงจูงใจในหน้าที่ของตน พวกเขาจะสูญสิ้นความสนใจในการเชื่อในพระเจ้าของตน ราวกับว่าวิญญาณของพวกเขาได้อันตรธานไป พวกเขาจะปรากฏออกมาราวกับว่าหัวใจของพวกเขาถูกกระชากไป นี่เป็นเหตุผลที่เรากล่าวว่าแรงจูงใจในการได้รับพรเป็นบางสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ลึกในหัวใจของผู้คน บางทีขณะที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือใช้ชีวิตคริสตจักร พวกเขารู้สึกว่าตนสามารถละทิ้งครอบครัวของตนและสละตนเองเพื่อพระเจ้าได้ด้วยความยินดี และตอนนี้พวกเขามีความรู้ในเรื่องแรงจูงใจของตนที่จะได้รับพร และได้ละวางแรงจูงใจนี้ และไม่ถูกแรงจูงใจนี้ปกครองหรือตีกรอบอีกต่อไป จากนั้นพวกเขาก็คิดว่าตนไม่มีแรงจูงใจที่จะได้รับพรอีกต่อไป แต่พระเจ้าทรงเชื่อเป็นอย่างอื่น ผู้คนมีทัศนะต่อเรื่องทั้งหลายเพียงผิวเผินเท่านั้น เมื่อไม่มีบททดสอบ พวกเขาก็รู้สึกดีกับตนเอง ตราบใดที่พวกเขาไม่ออกจากคริสตจักรหรือไม่ยอมรับพระนามของพระเจ้า และพวกเขายืนกรานในการสละเพื่อพระเจ้า พวกเขาก็เชื่อว่าตนได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว พวกเขารู้สึกว่าตนไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยความมีใจกระตือรือร้นส่วนตนหรือแรงดลใจชั่วขณะในการปฏิบัติหน้าที่ของตนอีกต่อไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับเชื่อว่าตนสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้ และสามารถแสวงหาและปฏิบัติความจริงได้อย่างต่อเนื่องขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน เพื่อให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และพวกเขาสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงบางประการ อย่างไรก็ตาม เมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับบั้นปลายและจุดจบของผู้คน พวกเขาจะประพฤติตนอย่างไร? ความจริงถูกเผยให้เห็นอย่างครบถ้วน ดังนั้นท้ายที่สุดแล้ว ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คน สภาพการณ์นี้เป็นหนึ่งในการช่วยให้รอดและการทำให้เพียบพร้อม หรือเป็นหนึ่งในการถูกเผยให้เห็นและถูกขับออกไป? นี่เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี? สำหรับบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง นี่หมายถึงการช่วยให้รอดและการทำให้เพียบพร้อม ซึ่งดี สำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง นี่หมายถึงการถูกเผยให้เห็นและถูกกำจัดออกไป ซึ่งไม่ดี ในการผ่านช่วงเวลาหนึ่งมา ผู้คนทั้งปวงมิได้เผชิญสภาพการณ์ของบททดสอบและการถลุงหรอกหรือ? เพราะเหตุใดพระเจ้าจึงทรงทำเช่นนี้? การนี้มีความหมายอย่างแน่นอน เพราะพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกในหัวใจของผู้คน พระองค์ทรงรู้สภาวะที่เป็นจริงในส่วนลึกที่สุดของผู้คน พระองค์เข้าพระทัยผู้คน และทอดพระเนตรเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาอย่างชัดเจนและครบถ้วน หลังจากเวลาผ่านไป ใครบางคนอาจจะประสบความสำเร็จบางประการ พวกเขาอาจจะได้ทำสิ่งที่ดีบางอย่าง ไม่ได้ทำความผิดพลาดครั้งใหญ่ และพวกเขาอาจยอมรับการถูกตัดแต่งได้ เมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาอาจมีท่าทีที่นบนอบอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าตนค่อนข้างดี คิดว่าพวกเขาได้ก้าวไปในร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาได้รับการช่วยให้รอดและการทำให้เพียบพร้อม เมื่อพวกเขาอิ่มเอมใจและพึงพอใจในตนเองมากที่สุด การบ่มวินัย การพิพากษา และการตีสอนของพระเจ้าก็มาถึง สภาพการณ์เหล่านี้เผยให้เห็นผู้คน วุฒิภาวะของพวกเขา อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา และท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้า การเผยนี้ดีสำหรับผู้คนจริงๆ หากพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วการเผยนี้ สภาพการณ์นี้ย่อมจะชำระพวกเขาให้สะอาด ชำระพวกเขาให้สะอาดจากสิ่งใดหรือ? การเผยนี้จะชำระเจ้าจากข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผลที่เจ้ามีต่อพระเจ้าและความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อของเจ้า และทำให้เจ้ามีมุมมองที่ถูกต้อง เจ้าจะไม่พยายามแลกเปลี่ยนอะไรกับพระเจ้าหรือเรียกร้องจากพระองค์เพื่อความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อของเจ้าอีกต่อไป แต่เจ้าจะมีหัวใจที่นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าจะไม่ขอสิ่งใด เจ้าจะเพียงแสวงหาการไล่ตามเสาะหาความจริงและทำให้พระหทัยของพระเจ้าพอพระทัยเท่านั้น ทำให้เจ้าบริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในท้ายที่สุด เจ้าก็สามารถบรรลุความรอดได้ นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่สัมฤทธิ์โดยพระราชกิจของพระเจ้าหรอกหรือ? (ใช่เช่นนั้น) พระเจ้าไม่ทรงมีความหมายเบื้องหลังในการที่ทรงทำเช่นนี้หรอกหรือ? การนี้ไม่ชำระผู้คนให้สะอาดหรอกหรือ? ผู้คนจำเป็นต้องได้รับการชำระล้างให้สะอาดในหนทางนี้หรือไม่? (พวกเขาจำเป็น) หากพระเจ้ามิได้ทรงเปิดโปงหรือชำระล้างผู้คนให้สะอาดอย่างนี้ เช่นนั้นแล้วผู้คนจะสามารถได้รับความจริงได้หรือไม่? (ไม่ได้) พวกเขาไม่สามารถได้รับความจริงได้ บนพื้นฐานของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขา ผู้คนสามารถเดินไปในถนนประเภทใด? (การติดตามซาตานและขัดขืนพระเจ้า) บุคคลเช่นนี้สามารถได้รับพรได้หรือไม่? พวกเขาไม่สามารถ พวกเขาเพียงแต่ถูกกำจัดออกไปได้เท่านั้น
พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าอันที่จริงแล้วฟาริสีคืออะไร? มีพวกฟาริสีรอบตัวพวกเจ้าบ้างหรือไม่? เหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงถูกเรียกว่า “พวกฟาริสี”? มีการบรรยายถึงพวกฟาริสีไว้ว่าอย่างไร? พวกเขาเป็นผู้คนที่หน้าซื่อใจคด ปลอมอย่างสิ้นเชิง และเล่นละครตบตาในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาแสดงละครอันใด? พวกเขาแสร้งทำตัวเป็นคนดี ใจดี และเป็นบวก พวกเขาเป็นเช่นนี้จริงๆ หรือไม่? ไม่ใช่อย่างแน่นอนที่สุด ด้วยเหตุว่าพวกเขาเป็นพวกหน้าซื่อใจคด ทุกสิ่งทุกอย่างที่สำแดงและเปิดเผยในตัวพวกเขาจึงเทียมเท็จ เป็นการเสแสร้งทั้งสิ้น—ไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขา ใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขาซ่อนอยู่ที่ใด? ซ่อนเร้นอยู่ลึกๆ ภายในหัวใจของพวกเขา โดยที่ผู้อื่นไม่มีวันพบเห็น ทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกคือการแสดง ล้วนเทียมเท็จทั้งสิ้น แต่พวกเขาก็หลอกได้เฉพาะผู้คนเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถหลอกพระเจ้า หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง หากพวกเขาไม่ปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่สามารถเข้าใจความจริงได้อย่างแท้จริง และดังนั้นไม่ว่าวาจาของพวกเขาจะฟังดูดีเพียงใด คำพูดเหล่านี้ก็ไม่ใช่ความเป็นจริงความจริง แต่เป็นคำพูดและหลักคำสอน ผู้คนบางคนเน้นแต่การท่องคำพูดและหลักคำสอนเหมือนนกแก้วนกขุนทองเท่านั้น พวกเขาเลียนแบบผู้ใดก็ตามที่ประกาศคำเทศนาที่สูงส่งที่สุด ส่งผลให้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี การท่องบ่นคำพูดและหลักคำสอนของพวกเขาก็ยิ่งก้าวหน้าขึ้นทุกที และพวกเขาก็เป็นที่เลื่อมใสและเทิดทูนของผู้คนมากมาย แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มอำพรางตนเอง และให้ความสนใจอย่างมากกับสิ่งที่พวกเขาพูดและทำ แสดงตัวว่าเป็นฝ่ายวิญญาณและเคร่งศาสนาเป็นพิเศษ พวกเขาใช้สิ่งที่เรียกว่าทฤษฎีฝ่ายจิตวิญญาณเหล่านี้มาอำพรางตนเอง ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พวกเขาพูดถึงในทุกที่ที่พวกเขาไป สิ่งลวงโลกที่เข้ากับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน แต่ไม่มีความเป็นจริงความจริงแต่อย่างใด และด้วยการประกาศสิ่งเหล่านี้—สิ่งที่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความนิยมชมชอบของผู้คน—พวกเขาก็ชักพาให้ผู้คนมากมายหลงผิด สำหรับผู้อื่นแล้ว ผู้คนเช่นนี้ดูเหมือนจะเปี่ยมศรัทธาและถ่อมใจอย่างมาก แต่อันที่จริงแล้วเป็นเท็จ พวกเขาดูเหมือนยอมผ่อนปรน อดกลั้น และเปี่ยมรัก แต่อันที่จริงแล้วกลับเป็นการเสแสร้ง พวกเขาบอกว่าตนรักพระเจ้า แต่ที่จริงแล้วนี่คือการแสดงละคร ผู้อื่นคิดไปว่าผู้คนเช่นนี้บริสุทธิ์ แต่ตามจริงแล้วนี่เป็นเท็จ จะหาบุคคลที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริงพบได้ในที่ใดกัน? ความบริสุทธิ์ของมนุษย์ล้วนปลอมทั้งสิ้น ทั้งหมดคือการแสดง การเสแสร้ง ภายนอกแล้วพวกเขาดูเหมือนจงรักภักดีต่อพระเจ้า แต่อันที่จริงแล้ว พวกเขาเพียงแค่กำลังแสดงให้ผู้อื่นมองเห็น เมื่อไม่มีใครกำลังมองดูอยู่ พวกเขาก็ไม่จงรักภักดีแม้แต่น้อย และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำก็เป็นแบบขอไปที ดูภายนอกแล้ว พวกเขาสละตนเองเพื่อพระเจ้าและยอมทิ้งครอบครัวและอาชีพของพวกเขา แต่พวกเขากำลังลอบทำสิ่งใดอยู่? พวกเขากำลังทำโครงการของตนเองและดำเนินงานของพวกเขาเองอยู่ในคริสตจักร หากำไรจากคริสตจักร และลอบลักเครื่องบูชาโดยแสร้งทำเป็นว่ากำลังทำงานเพื่อพระเจ้า... ผู้คนเหล่านี้คือพวกฟาริสียุคใหม่ที่หน้าซื่อใจคด พวกฟาริสีมาจากที่ใด? พวกเขาอุบัติขึ้นมาท่ามกลางผู้ไม่มีความเชื่อหรือ? เปล่าเลย พวกเขาทั้งหมดอุบัติขึ้นมาท่ามกลางบรรดาผู้เชื่อ เหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงกลายเป็นพวกฟาริสี? มีใครบางคนทำให้พวกเขาเป็นเช่นนั้นหรือไม่? เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เช่นนั้น สิ่งใดคือสาเหตุ? สาเหตุคือแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาเป็นเช่นนี้ และนี่ก็เป็นเพราะเส้นทางที่พวกเขาเลือก พวกเขาใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นเครื่องมือในการประกาศและหากำไรจากคริสตจักรเท่านั้น พวกเขาเอาพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นอาวุธให้กับความรู้สึกนึกคิดและปากของตนเอง พวกเขาประกาศทฤษฎีทางฝ่ายวิญญาณที่เป็นเท็จและแสดงตัวว่าบริสุทธิ์ จากนั้นก็ใช้สิ่งนี้เป็นต้นทุนเพื่อให้สัมฤทธิ์จุดประสงค์ที่จะหากำไรจากคริสตจักร พวกเขาเพียงแค่ประกาศหลักคำสอน แต่ไม่เคยได้นำความจริงไปปฏิบัติ ผู้คนชนิดใดที่เป็นพวกที่ประกาศพระวจนะและหลักคำสอนต่อไปทั้งๆ ที่ไม่เคยได้ติดตามหนทางของพระเจ้า? เหล่านี้คือพวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคด พฤติกรรมและการประพฤติปฏิบัติของพวกเขาที่เรียกว่าดีและมีน้อยนิด และสิ่งเล็กน้อยที่พวกเขาละทิ้งและสละนั้นได้สำเร็จลุล่วงอย่างครบบริบูรณ์ผ่านการยับยั้งและการห่อหุ้มด้วยเจตจำนงของพวกเขาเอง การกระทำเหล่านั้นล้วนปลอม และล้วนเป็นการเสแสร้งทั้งสิ้น ในหัวใจของผู้คนเหล่านี้ไม่มีความยำเกรงพระเจ้าแม้แต่น้อย อีกทั้งพวกเขาก็ไม่มีความเชื่อที่จริงแท้ในพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะเดินในเส้นทางชนิดนี้ และพวกเขาก็จะกลายเป็นพวกฟาริสี นั่นไม่น่าขวัญผวาหรือ? สถานที่ทางศาสนาที่พวกฟาริสีไปรวมตัวกันกลายเป็นตลาดขายของ ในสายพระเนตรของพระเจ้า นี่คือศาสนา ไม่ใช่คริสตจักรของพระเจ้า อีกทั้งไม่ใช่สถานที่ซึ่งพระองค์ทรงได้รับการนมัสการ ด้วยเหตุนั้น หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพวกเขาจะพรั่งพร้อมไปด้วยความหมายตามตัวอักษรและหลักคำสอนที่ผิวเผินเกี่ยวกับถ้อยดำรัสของพระเจ้ามากเพียงใด ก็จะไม่มีประโยชน์เลย บางคนกล่าวว่า “ไม่ว่าฉันจะพรั่งพร้อมมากเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นฉันก็แค่จะไม่เตรียมตัวฉันเองให้พรั่งพร้อมเลย” พวกเขากำลังกล่าวถึงอะไร? นั่นมิใช่เรื่องเหลวไหลหรอกหรือ? นั่นมิใช่วาทะที่ไร้สาระหรอกหรือ? เรามีความประสงค์ใดในการสามัคคีธรรมวจนะเหล่านี้? เพื่อกีดกันไม่ให้เจ้าเตรียมตนเองให้พรั่งพร้อมด้วยพระวจนะของพระเจ้าใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) เจ้าต้องเตรียมตนเองให้พรั่งพร้อมด้วยพระวจนะของพระเจ้า แต่สิ่งสำคัญยิ่งยวดที่เจ้าต้องรู้ชัดเจนก็คือ เจ้าไม่ได้ถูกกำหนดมาให้ใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อห่อหุ้มตนเองในหนทางใดหนทางหนึ่ง และเจ้าก็ไม่ได้ถูกกำหนดมาให้ใช้พระวจนะเป็นทุนเพื่อหาผลประโยชน์จากคริสตจักร นับประสาอะไรกับการใช้พระวจนะเป็นอาวุธในการโจมตีผู้อื่น พระวจนะของพระเจ้าคืออะไร? พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง หนทาง และชีวิตซึ่งแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน หากเจ้าประยุกต์ใช้และปฏิบัติพระวจนะเหล่านี้อย่างครบบริบูรณ์ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะได้รับความจริง ความจริงจะไม่เป็นคำสอน หรือแค่เพียงคำพูดสำหรับเจ้า แต่จะเป็นความเป็นจริงชีวิตของเจ้า เมื่อเจ้าได้รับความจริง เจ้าก็ได้รับชีวิต
ในหัวข้อที่พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกในหัวใจของผู้คน ซึ่งเราเพิ่งกล่าวถึงไป เราจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง ครั้งหนึ่งมีหญิงแสนสวยคนหนึ่งซึ่งแต่งงานกับชายผู้มั่งมี ตามปกติโลกจะมองการแต่งงานเช่นนี้อย่างไร? หญิงแสนสวยอยากได้เงินของชายผู้มั่งมี และชายผู้มั่งมีก็อยากได้หญิงแสนสวยเพราะรูปร่างหน้าตาของเธอ พวกเขาแต่ละคนต่างก็ได้รับสิ่งที่ตนต้องการ และไม่มีความรักที่แท้จริง—เป็นการแต่งงานแบบแลกเปลี่ยนกัน ตามจินตนาการของโลก หญิงแสนสวยคนนี้คงจะใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย ใช้ชีวิตอย่างเลิศหรูอย่างแน่นอน แต่เธอไม่ได้ทำเช่นนั้น เธอใช้ชีวิตเหมือนแม่บ้านธรรมดา ทำงานบ้าน ในแต่ละวันเธอมีความขยันหมั่นเพียรและมีมโนธรรม เธอดีต่อสามีของเธอและครอบครัวของเขา ดีจนกระทั่งเรียกได้ว่าเป็นคนมีศีลธรรมและมีใจกรุณา แต่ชายผู้มั่งมีปฏิบัติต่อเธออย่างไร? ก่อนอื่นเขากังวลว่าหญิงแสนสวยคนนี้จะไม่สามารถอยู่กับเขาได้อย่างแท้จริง และเขาก็กังวลว่าการแต่งงานของพวกเขาจะไม่ยั่งยืน ดังนั้นเขาจึงเก็บทรัพย์สมบัติและสิ่งสำคัญทั้งหมดของเขาไว้กับตนเอง เขาจดกรรมสิทธิ์สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดภายใต้ชื่อของตนเอง แทนที่จะอยู่ภายใต้การควบคุมของภรรยาของเขา แต่หญิงแสนสวยกลับไม่สนใจเรื่องนี้เลย ไม่ว่าสามีของเธอจะปฏิบัติต่อเธออย่างไร—ไม่ว่าเขาจะไม่ไว้วางใจเธอ หรือว่าเขาจะจำกัดเรื่องการเงินของเธอ—เธอก็ไม่ได้สำแดงความไม่เต็มใจหรือไม่พอใจแต่อย่างใด แต่เธอกลับขยันหมั่นเพียรมากขึ้นด้วยซ้ำไป หลังจากผ่านไปสองสามปี หญิงแสนสวยก็มีลูกหลายคน และเธอยังคงดูแลทุกคนในครอบครัวของเธอต่อไปเหมือนเมื่อก่อน ในฐานะภรรยาที่ดีและแม่ที่เปี่ยมรัก เธอเชื่อฟัง อ่อนโยน และเกรงใจสามีของเธอ ในที่สุดวันหนึ่งชายผู้มั่งมีรู้สึกว่าภรรยาของเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เขาจินตนาการถึงเธอไว้ เธอไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของเขา และเธอก็ไม่อยากได้สิ่งทั้งหลายที่เป็นวัตถุของเขา เธอไม่มีความประสงค์พิเศษใดนอกเหนือจากความประสงค์สำหรับชีวิตปกติ และยิ่งไปกว่านั้น เธอยังสละมากมายในการจัดการครอบครัว—วัยสาว รูปลักษณ์ และเวลาของเธอ เธอขยันหมั่นเพียรและมีสติกับครอบครัว ไม่เคยบ่นเลย ชายผู้มั่งมีตื้นตันใจ หลังจากที่เขาตื้นตันใจ ความคิดแรกของเขาคืออะไร? เขาจะไม่คิดหรือว่า “ภรรยาของผมเป็นคนที่ไว้ใจได้อย่างมาก แต่ผมสงสัยเธอและปกป้องตนเองจากเธอ ผมไม่ยุติธรรมที่ปฏิบัติต่อเธอในหนทางนั้น ผมควรมอบทรัพย์สมบัติและสิ่งของทั้งหมดของผมให้เธอดูแล เพราะเธอคือความรักที่แท้จริงของผม บุคคลที่ผมควรไว้วางใจมากที่สุด และเป็นคนที่ควรค่าแก่ความไว้วางใจของผมมากที่สุด หากผมไม่เชื่อในตัวเธอ หากผมป้องกันตนเองจากเธอ เช่นนั้นแล้วผมก็ไม่ยุติธรรมกับเธอ ไม่มีบุคลิกลักษณะของพฤติกรรมเช่นนั้น เธอได้ผ่านบททดสอบมาหลายปีแล้ว ผมไม่อาจสงสัยเธอได้อีกต่อไป” ความคิดนี้มิได้เกิดขึ้นหลังจากที่เห็นข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้วหรอกหรือ? (ใช่) ความคิดประเภทนี้มาจากการตัดสินของมนุษย์ การสังเกตพฤติกรรมของเธอขณะที่สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับเธอนั้นเป็นเหตุให้เกิดการตัดสินของเขา ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการนิยามที่เขามีต่อเธอ ดังนั้นเมื่อชายผู้มั่งมีถูกกระตุ้น เขาก็ยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขาให้อยู่ภายใต้ชื่อภรรยาของเขา พลางแสดงให้เห็นว่าเขาไว้วางใจในตัวเธออย่างเต็มที่ และตอบสนองการที่เธอจงรักภักดีมาหลายปีและการที่เธอทุ่มเทให้กับเขา สำหรับผู้คนส่วนใหญ่ เรื่องนี้เป็นไปตามมโนธรรม การตัดสิน ศีลธรรม และจริยธรรมของมนุษย์ เรื่องนี้จบแล้วหรือ? (ไม่จบ) หลังจากผ่านกระบวนการทางกฎหมายทั้งหลาย ชายผู้มั่งมีก็จัดการยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขาไปอยู่ภายใต้ชื่อภรรยาของเขา วันหนึ่งชายผู้มั่งมีกลับบ้านมากินข้าว และทันทีที่เขาเข้าประตูมา เขาก็รู้สึกว่าบรรยากาศผิดปกติ ภรรยาของเขาไม่ได้ต้อนรับเขากลับบ้านหรือพูดกับเขา และบ้านก็เย็นเยียบ เพราะเหตุใดโต๊ะซึ่งตามปกติตอนนี้จะเต็มไปด้วยอาหารจึงว่างเปล่าในวันนี้? เขามองไปที่ด้านหลังของเขา และบนโต๊ะอาหารเขามองเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งมีคำขนาดใหญ่เขียนไว้สองคำว่า—ลาก่อน!
ตอนนี้เรื่องเล่าจบลงแล้ว พวกเจ้าทุกคนน่าจะเข้าใจประเด็นไม่มากก็น้อย ดังนั้นจุดประสงค์ที่อยู่เบื้องหลังการเล่าเรื่องนี้คืออะไร? (เพื่อให้พวกเรารู้ว่าไม่สามารถไว้วางใจผู้คนได้ และพวกเขาเสแสร้งเก่งเกินไป) ชายผู้มั่งมีถูกหลอกด้วยรูปลักษณ์อันจอมปลอม หญิงแสนสวยคนนี้เสแสร้งเก่งมาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเธอไม่เคยพลั้งเผลอให้เห็นข้อตำหนิสักครั้งเดียว และในการใช้ชีวิตกับเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมา ชายผู้มั่งมีก็ไม่เคยเห็นสิ่งใดที่บอกเป็นนัยเลยแม้แต่น้อยนิดที่สุด หญิงแสนสวยคนนี้เป็นบุคคลประเภทใด? (เธอมีเงื่อนงำและฉลาดแกมโกง และเจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง) เธอมีเจตนานี้ตั้งแต่แรกเริ่มเลย หรือเธอแค่ตั้งใจจะทำเช่นนี้ในตอนท้าย หลังจากที่เธอได้รับความมั่งมีทั้งหมดแล้ว? (ตั้งแต่แรก) เจตนารมณ์ดั้งเดิมของเธอตอนที่แต่งงานกับชายผู้มั่งมีคืออะไร? เธอได้สำแดงเจตนารมณ์เหล่านั้นออกมาหรือไม่? (ไม่ เธอซ่อนสิ่งเหล่านั้นไว้) แล้วเธอปล่อยให้สิ่งใดพรั่งพรูออกมาภายนอก? (รูปลักษณ์อันจอมปลอม) รูปลักษณ์อันจอมปลอมโดยสิ้นเชิง ในส่วนลึกที่สุดมีอะไรอยู่เบื้องหลังรูปลักษณ์อันจอมปลอมนี้? (เธอต้องการได้รับความมั่งคั่งและผลประโยชน์) เธอไม่ได้แต่งงานกับชายผู้มั่งมีอย่างจริงใจ เธอต้องการเพียงความมั่งมีของเขาเท่านั้น ไม่ว่าจะใช้เวลาสิบปีหรือยี่สิบปี ตราบเท่าที่เธอสามารถเล่นไม่ซื่อกับความมั่งมีของเขาได้ เช่นนั้นแล้วก็ไม่สำคัญสำหรับเธอที่ต้องแต่งงานกับเขา หรือต้องใช้เวลาในวัยสาวและความพยายามอย่างหนักของเธอตลอดหลายปีเหล่านั้น นั่นคือความคิดที่ลึกที่สุดในหัวใจของเธอ สิ่งทั้งหลายที่เธอทำเพื่อความคิดนี้มาจากบุคลิกลักษณะใด? (การเสแสร้งและการหลอกลวง) นั่นควรค่าแก่การจดจำ หรือผู้คนควรรังเกียจเดียดฉันท์เธอ? (รังเกียจเดียดฉันท์เธอ) เป็นความดีหรือความชั่ว? (ความชั่ว) ล้วนแต่เป็นความชั่ว การกระทำทั้งปวงของเธอและราคาภายนอกทั้งหมดที่เธอจ่ายไปนั้นถือเป็นความชั่วบนพื้นฐานใด? ข้อสรุปนี้มาจากที่ใด? (ข้อสรุปนี้อยู่บนพื้นฐานของเจตนาและจุดเริ่มต้นในการกระทำของเธอ) แล้วจากเรื่องเล่านี้พวกเจ้าเข้าใจอะไรบ้าง? (ผู้คนมองดูที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่พระเจ้าทรงมองดูที่แก่นแท้ของผู้คน) นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน เพราะเหตุใดผู้คนจึงมองดูที่รูปลักษณ์ภายนอก? ผู้คนสามารถค้นพบเจตนาและแรงจูงใจของผู้อื่นในคำพูดและการกระทำของพวกเขาได้หรือไม่? พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าจะแยกแยะสิ่งเหล่านั้นอย่างไร? (พวกเราสามารถเห็นบางสิ่งที่ชัดเจน สิ่งที่อยู่ในระดับผิวเผิน) พวกเจ้าสามารถมองเห็นการสำแดงภายนอกบางประการ แต่เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงและมีความเป็นจริงความจริงบางประการ เจ้าจะไม่สามารถมองเห็นแก่นแท้ของผู้คนได้ชัดเจนขึ้นอีกนิดหรอกหรือ? (เห็น) เพราะเหตุใดพระเจ้าจึงสามารถทอดพระเนตรเห็นหัวใจของผู้คนได้ชัดเจนอย่างยิ่ง? นั่นเป็นเพราะพระเจ้าคือความจริง พระองค์ทรงมหิทธิฤทธิ์ และพระองค์ทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกในหัวใจของผู้คน พวกเจ้าคิดว่ามนุษย์มีมาตรฐานการตัดสินที่ถูกต้องซึ่งพวกเขาสามารถนำมาตัดสินผู้อื่นได้เหมือนที่พระเจ้าทรงกระทำหรือไม่? (พวกเขาไม่มี เพราะมนุษย์ล้วนเป็นประเภทเดียวกัน และพระเจ้าคือพระผู้สร้าง) มนุษย์ล้วนเป็นประเภทเดียวกัน ดังนั้นมีความแตกต่างระหว่างมนุษย์หรือไม่? มีความแตกต่างระหว่างใครบางคนที่มีความจริงกับใครบางคนที่ไม่มีความจริงหรือไม่? มีความแตกต่างระหว่างใครบางคนที่รู้จักพระเจ้ากับใครบางคนที่ไม่รู้จักพระองค์หรือไม่? มีความแตกต่างระหว่างใครบางคนที่ยำเกรงพระเจ้ากับใครบางคนที่ไม่ยำเกรงพระองค์หรือไม่? (มี) บุคคลประเภทใดที่สามารถมองเห็นแก่นแท้ของอีกคนหนึ่งได้ทะลุปรุโปร่ง? (ใครบางคนที่รู้จักพระเจ้าและยำเกรงพระองค์) ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย บุคคลหนึ่งสามารถมองเห็นแก่นแท้ของอีกคนอย่างทะลุปรุโปร่งได้อย่างไร? ในส่วนที่เกี่ยวกับมนุษย์ เมื่อพวกเขาเข้าใจความจริงและมีความเป็นจริงความจริงเท่านั้น พวกเขาจึงสามารถแยกแยะสิ่งนี้ได้ เช่นนั้นแล้วในส่วนที่เกี่ยวกับพระเจ้า เพราะเหตุใดพระองค์จึงสามารถทอดพระเนตรเห็นแก่นแท้ของผู้คนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง? เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร? อาจกล่าวได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเป็นมาตรฐานในการตัดสินผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทุกประการ พระองค์ทรงเป็นเกณฑ์ในการตัดสินสิ่งที่เป็นบวกและลบทั้งหมด? (ใช่) องค์ประกอบที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของวจนะเหล่านี้คืออะไร? การประพฤติปฏิบัติภายนอกของบุคคลหนึ่งอาจจะดีและเพียบพร้อม แต่หากเจ้ามีความเป็นจริงความจริง เจ้าย่อมสามารถแยกแยะได้ว่าพวกเขาปฏิบัติความจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่มีความเป็นจริงความจริง เช่นนั้นแล้วเมื่อเจ้าเห็นบุคคลหนึ่งที่มีการประพฤติปฏิบัติที่เพียบพร้อม ซึ่งอำพรางรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขาได้เก่งมาก เป็นการอำพรางที่แนบเนียน เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถเห็นได้หรือไม่ว่าพวกเขาปฏิบัติความจริงหรือไม่? เจ้าจะไม่รู้ว่าจะแยกแยะพวกเขาอย่างไร เมื่อไม่มีความเป็นจริงความจริง เจ้าจะไม่มีมาตรฐานที่ใช้ในการตัดสินผู้อื่น และเจ้าจะไม่รู้ว่าจะตัดสินพวกเขาอย่างไร หากเจ้าเห็นใครบางคนที่มีการประพฤติปฏิบัติภายนอกดี พูดจาน่าฟังมาก ซึ่งเป็นผู้ที่ทนทุกข์และสละมากมาย จากภายนอกแล้วไม่เปิดเผยปัญหาใด และไม่มีที่ติใดให้พูดถึง เจ้าจะตัดสินอย่างไรว่าพวกเขาเป็นคนดีหรือไม่ดี พวกเขารักหรือรังเกียจความจริง? เจ้าแยกแยะเรื่องนี้อย่างไร? หากเจ้าไม่มีมาตรฐานในการตัดสินของตน เช่นนั้นแล้วเจ้าจะถูกทำให้ตาบอดได้ง่ายด้วยการประพฤติปฏิบัติและการกระทำภายนอกของพวกเขา หากพวกเขาทำให้เจ้าตาบอดและหลอกลวงเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถแยกแยะได้หรือไม่ว่าพวกเขาดีหรือไม่ดี พวกเขามีใจกรุณาหรือชั่ว? เจ้าจะทำไม่ได้ บางคนกล่าวว่า “ผู้คนที่เข้าใจความจริงนั้นสามารถพินิจพิเคราะห์หัวใจของผู้อื่นได้เหมือนพระเจ้าหรือไม่?” มนุษย์ไม่มีความสามารถนี้ ต่อให้พวกเขาเข้าใจความจริงลึกซึ้งยิ่งขึ้น นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความเป็นจริงของความจริง อย่างไรก็ตามหากบุคคลหนึ่งเข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็สามารถแยกแยะได้ว่าคนอื่นเป็นคนดีหรือไม่ดี คนอื่นรักความจริงหรือไม่ พวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์หรือหลอกลวง พวกเขายำเกรงพระเจ้าหรือเป็นกบฏและไม่เป็นมิตรต่อพระเจ้า และพวกเขาติดตามพระเจ้าอย่างจริงใจหรือเป็นคนหน้าซื่อใจคด เจ้าจะสามารถแยกแยะสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย อะไรสำคัญที่สุด? (การมีความเป็นจริงความจริง) ผู้คนที่ไม่มีความเป็นจริงความจริงจะไม่สามารถเข้าใจสิ่งใดได้อย่างถ่องแท้ พวกเขามักจะกระทำการอย่างโง่เขลาและกระทำการในหนทางที่ขัดแย้งกับความจริงและขัดขืนพระเจ้า ผู้คนเช่นนี้น่าสงสาร เรื่องนี้กล่าวถึงความสำคัญของการที่บุคคลหนึ่งจะสามารถได้รับความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่ ผู้คนมองเห็นผู้อื่นอย่างไรเมื่อตัวของพวกเขาเองไม่เข้าใจความจริง? พวกเขาสามารถมองดูผู้อื่นได้ด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเองเท่านั้น เมื่อพวกเขาตัดสินและจำแนกบุคคลอื่น พวกเขาแค่มองดูขีดความสามารถและความรู้ของบุคคลอื่นเท่านั้น พวกเขาเพียงมองดูว่าการประพฤติปฏิบัติภายนอกของบุคคลอื่นมีจริยธรรมหรือไม่ ตรงตามวัฒนธรรมดั้งเดิมและศีลธรรมของมนุษย์หรือไม่ และการกระทำของพวกเขาเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นหรือไม่ หากพวกเขาสามารถมองเห็นได้ว่าโดยพื้นฐานแล้วคำพูดและความประพฤติของบุคคลหนึ่งสมเหตุสมผล ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ในด้านจริยธรรมและศีลธรรมโดยสมบูรณ์ และตรงตามรสนิยมของทุกคน เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะจำแนกบุคคลนั้นว่าเป็นคนดี แต่ว่าพระเจ้าทรงจำแนกผู้คนอย่างไร? วิธีการทั้งหมดนี้ที่ผู้คนใช้เพื่อหาข้อสรุปและจุดเริ่มต้นของพวกเขานั้นเป็นมาตรฐานที่พระเจ้าทรงใช้ตัดสินแก่นแท้ของบุคคลหนึ่งใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) พระเจ้าทรงใช้พื้นฐานใดในการตัดสินของพระองค์? ในการที่พระองค์ทรงตัดสินแก่นแท้ธรรมชาติของบุคคลหนึ่ง พระเจ้าทรงใช้พื้นฐานจากความคิดและแนวคิดในหัวใจของพวกเขา และเหตุจูงใจของคำพูดและความประพฤติ ซึ่งเป็นเจตนาและวัตถุประสงค์ของพวกเขา ด้วยเหตุผลนี้เองจึงกล่าวได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้พินิจพิเคราะห์ส่วนลึกในหัวใจของผู้คน มนุษย์คนหนึ่งสามารถพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกในหัวใจของผู้อื่นได้หรือไม่? (ไม่ได้) ผู้คนสามารถมองเห็นเพียงการสำแดงภายนอกของผู้อื่น และเจตนารมณ์ที่พวกเขาเปิดเผยผ่านทางวาทะหรือการอ่านความหมายที่แฝงอยู่ระหว่างบรรทัด อย่างดีที่สุดก็คือผู้คนสามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถตัดสินพฤติกรรมของผู้อื่นได้โดยอาศัยสิ่งที่พวกเขาเห็นและได้ยินเป็นพื้นฐานเท่านั้น ในทางกลับกันเมื่อพระเจ้าทรงตัดสินผู้คน พระองค์ไม่ได้ทอดพระเนตรเพียงการกระทำของพวกเขา ทิศทางที่พวกเขามุ่งหน้าไป หรือคุณสมบัติของการกระทำบางอย่างเท่านั้น พระเจ้าทรงต้องการเห็นความคิดแท้จริงที่สุดของพวกเขา เห็นว่าตามความเป็นจริงแล้วเจตนาและวัตถุประสงค์ของพวกเขาคืออะไรในขณะที่พวกเขาปฏิบัติตน แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาก่อให้เกิดสิ่งใดบ้าง และสิ่งเหล่านั้นบังคับให้พวกเขาเดินไปบนถนนสายใด สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พระเจ้าทอดพระเนตร ดังนั้นเราขอถามพวกเจ้าว่า พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกในหัวใจของผู้คน—“ส่วนลึกในหัวใจของผู้คน” หมายถึงอะไร? พูดให้ง่ายก็คือความคิดแท้จริงที่สุดในหัวใจของผู้คน ดังนั้นในการสถิตของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอำพรางตนเองอย่างไร ปกปิดตนเองอย่างไร หรือเจ้าจะแต่งเติมอะไรขึ้นมาเพื่อตนเอง พระเจ้าก็ทรงจับความเข้าใจในความคิดแท้จริงที่สุดทั้งหมดของเจ้าอย่างชัดเจน และสิ่งทั้งหลายที่ซ่อนเร้นอยู่ในส่วนภายในที่สุดและลึกที่สุดของเจ้า ไม่มีบุคคลสักคนเดียวซึ่งสิ่งทั้งหลายที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในสามารถหลีกหนีจากการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้ เจ้าเข้าใจสิ่งที่เรากำลังกล่าวหรือไม่? ด้วยชีวิตและพฤติกรรมที่ดำเนินมาหลายทศวรรษ หญิงแสนสวยคนนั้นหลอกลวงคนที่ใกล้ชิดเธอที่สุด—หากสิ่งเดียวกันเกิดขึ้นกับพวกเจ้า พวกเจ้าจะไม่โดนหลอกลวงเช่นกันหรอกหรือ? (พวกเราจะโดนหลอก) ดังนั้นพวกเจ้าไม่สามารถพูดได้หรอกหรือว่าเธอไม่เพียงหลอกลวงสามีของเธอเท่านั้น เธอยังหลอกลวงพวกเจ้าและคนอื่นๆ ทุกคนด้วย? (ใช่) เธอมิได้แพร่งพรายความคิดแท้จริงที่สุดในหัวใจของเธอกับคนอื่น—เธอไม่ได้บอกใครเลย—และยิ่งไปกว่านั้น การอำพรางตัวของเธอก็แนบเนียน และไม่มีใครตระหนักรู้เรื่องนี้เลย อย่างไรก็ตาม เธอละเลยสิ่งหนึ่งไป—นั่นคือพระเจ้าทรงเฝ้าดูทุกสิ่งที่ผู้คนทำ เธออาจจะสามารถหลอกลวงคนอื่นได้ทุกคน แต่เธอไม่สามารถหลอกลวงพระเจ้าได้ จากภายนอกชายผู้มั่งมีคนนั้นดูปราดเปรื่อง เขาสามารถหาเงินได้มากมาย แต่เขากลับตกเป็นเหยื่อของผู้หญิงคนหนึ่ง นั่นเป็นความประมาทชั่วขณะในส่วนของเขาใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) เช่นนั้นแล้วสาเหตุของเรื่องนี้คืออะไร? เป็นเพราะเขาไม่สามารถมองเห็นเธอได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จากเรื่องเล่านี้เรากำลังบอกข้อเท็จจริงใดให้พวกเจ้ารู้? เรากำลังบอกพวกเจ้าว่าพวกเจ้าต้องเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องในขณะที่พวกเจ้าเชื่อในพระเจ้าและประพฤติปฏิบัติตนเอง และจงอย่าเกี่ยวข้องกับหนทางที่คดโกงและชั่ว หนทางที่คดโกงและชั่วคืออะไร? ผู้เชื่อในพระเจ้ามักจะต้องการพึ่งพาอุบายเล็กน้อย เกมที่หลอกลวงและมีเล่ห์เหลี่ยม และการใช้กลอุบายอยู่เป็นนิตย์ เพื่อปิดบังความเสื่อมทรามของตนเอง ข้อเสียและที่ติของพวกเขา และปัญหาอย่างขีดความสามารถที่ย่ำแย่ของพวกเขาเอง พวกเขาจัดการเรื่องทั้งหลายตามปรัชญาเยี่ยงซาตานอยู่เสมอ ซึ่งพวกเขาคิดว่าไม่เลวร้ายเกินไป ในเรื่องระดับผิวเผิน พวกเขาประจบประแจงพระเจ้าและผู้นำของพวกเขา แต่พวกเขาไม่ปฏิบัติตามความจริง และพวกเขาก็ไม่ปฏิบัติตนตามหลักธรรม พวกเขาใคร่ครวญคำพูดและการแสดงออกของผู้อื่นอย่างพิถีพิถัน พลางไตร่ตรองเสมอว่า “เมื่อเร็วๆ นี้ผลงานของฉันเป็นอย่างไรบ้าง? ทุกคนเกื้อหนุนฉันหรือไม่? พระเจ้าทรงรู้ถึงสิ่งที่ดีทั้งหมดที่ฉันทำไปแล้วหรือไม่? หากพระองค์ทรงรู้ พระองค์จะทรงสรรเสริญฉันหรือไม่? ฉันอยู่ตำแหน่งใดในพระหทัยของพระเจ้า? ณ ที่นั้นข้าพระองค์สำคัญหรือไม่?” ในฐานะใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้า ความหมายโดยนัยก็คือ พวกเขาจะได้รับพรหรือจะถูกกำจัดออกไป? การไตร่ตรองเรื่องเหล่านี้เป็นนิตย์ไม่ใช่หนทางที่คดโกงและชั่วหรอกหรือ? นี่เป็นหนทางที่คดโกงและชั่วจริงๆ ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง เช่นนั้นแล้วหนทางที่ถูกต้องคืออะไร? (การไล่ตามเสาะหาความจริงและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย) นั่นถูกต้องแล้ว สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเจ้า หนทางเดียวที่ถูกต้องก็คือการไล่ตามเสาะหาความจริง การได้รับความจริง และการสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย มีเพียงหนทางที่พระเจ้าทรงนำผู้คนไปสู่การบรรลุความรอดเท่านั้นที่เป็นหนทางที่แท้จริง หนทางที่ถูกต้อง
พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกในหัวใจของผู้คน พระองค์ทอดพระเนตรเห็นส่วนลึกที่สุดในหัวใจของผู้คน ความคิดแท้จริงที่สุดของพวกเขา เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “ผู้คนเป็นตัวหนอน” พระองค์ตรัสบนพื้นฐานใด? (บนพื้นฐานของแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์) พวกเจ้าเคยชำแหละแก่นแท้ สภาวะ และการสำแดงของ “ตัวหนอน” ที่พระเจ้าตรัสถึงและทอดพระเนตรเห็นหรือไม่? องค์ประกอบใดในแก่นแท้ของมนุษย์ที่เป็นเหตุให้พระเจ้าตรัสเช่นนี้กับพวกเขา? เพราะเหตุใดพระเจ้าจึงตรัสว่าผู้คนเป็นตัวหนอน? ในสายพระเนตรของพระเจ้า ความเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทรามเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างไว้อย่างชัดเจน แต่มนุษย์ลุล่วงหน้าที่และความรับผิดชอบที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำหรือไม่? ผู้คนมากมายทำหน้าที่ของตน แต่ในขณะที่พวกเขาทำหน้าที่นั้น ผลงานของพวกเขาเป็นอย่างไร? พวกเขาไม่ใช้ความคิดริเริ่มในการทำหน้าที่ของตน หากพวกเขาไม่ได้รับการตัดแต่งหรือบ่มวินัย เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่ก้าวต่อไปข้างหน้า พวกเขาจำเป็นต้องพบปะ สามัคคีธรรม และได้รับการจัดเตรียมอยู่เสมอเพื่อที่จะมีแม้กระทั่งความเชื่อเล็กน้อย องค์ประกอบขนาดเล็กบางประการที่แข็งขัน—นี่มิใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาหรอกหรือ? (ใช่) ผู้คนไม่รู้จักตำแหน่งของตนเอง และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าควรทำอะไร ควรไล่ตามเสาะหาอะไร หรือพวกเขาควรเดินบนถนนสายใด โดยส่วนใหญ่แล้ว พวกเขากระทำตามเจตจำนงของตนเองด้วยซ้ำไป และพวกเขาก็คุ้มคลั่ง หากไม่ใช่เพราะการให้น้ำและตัดแต่งบ่อยๆ หากไม่ใช่เพราะพระเจ้าทรงจัดแจงเตรียมสถานการณ์ทั้งหลายอย่างต่อเนื่องเพื่อนำผู้คนกลับมาหาพระองค์ ผู้คนจะทำอย่างไร? เจ้าอาจกล่าวได้ว่าไม่เพียงบุคคลเช่นนี้จะไม่สามารถทำหน้าที่ของตนให้ดีได้ พวกเขายังจะเสื่อมถอยลงจนถึงจุดที่พวกเขากลายเป็นคนคิดลบ หย่อนยานในการทำงานของพวกเขา กระทำการอย่างสุกเอาเผากิน และหลอกลวงพระเจ้า หากใครบางคนไม่สามารถทำหน้าที่ที่พวกเขาควรจะทำ เช่นนั้นแล้วคุณภาพของการกระทำทั้งปวงของพวกเขาเป็นอย่างไร? เจ้าสามารถกล่าวได้ว่าสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นความประพฤติชั่ว—พวกเขาทำแต่ความชั่วเท่านั้น! ตลอดทั้งวัน ความคิดของพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับความจริง ไม่เกี่ยวข้องกับการเจริญรอยตามหนทางของพระเจ้า ทุกวันพวกเขากินอาหารสามมื้ออย่างอิ่มหนำสำราญโดยไม่ต้องคิดหรือพยายามแต่อย่างใด ต่อให้พวกเขามีความคิด ก็ไม่เป็นไปตามหลักธรรมความจริง และไม่มีความสัมพันธ์ใดกับข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ พวกเขาขัดขวางและก่อกวนสิ่งทั้งหลาย โดยไม่ได้เป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าเลย หัวใจของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความคิดว่าจะแสวงหาสวัสดิภาพทางกายอย่างไร จะเพียรพยายามเพื่อสถานะและชื่อเสียงอย่างไร จะตั้งมั่นท่ามกลางผู้อื่นเพื่อให้มีสถานะและชื่อเสียงอย่างไร พวกเขากินอาหารที่พระเจ้าประทานให้และเพลิดเพลินกับสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้ โดยไม่ข้องเกี่ยวกับกิจธุระของมนุษย์ พระเจ้าทรงไม่ชอบผู้คนเช่นนี้—พระองค์ทรงรังเกียจพวกเขา บางคนทำหน้าที่ของตนตามที่เป็นเพียงพิธีการเท่านั้น พวกเขามาที่คริสตจักรเพื่อสังเกตการทำงานเหมือนผู้นำที่ไม่มีความเชื่อ พวกเขาแวะเวียนไปสนทนากับผู้คนหนึ่งรอบ ตะโกนคำขวัญเล็กน้อย บรรยายให้พี่น้องชายหญิงฟัง ทำให้ทุกคนฟังพวกเขาอย่างเชื่อฟัง และจากนั้นพวกเขาก็เสร็จภารกิจ เมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนเพียงแต่ทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากิน โดยปราศจากการรับผิดชอบ พวกเขาก็คิดว่า “นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน และไม่ถือเป็นภัยคุกคามต่อสถานะของฉัน ดังนั้นฉันจึงไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้” แต่ละวันพวกเขาล่องลอยเช่นนี้ ไม่เคยทำงานจริง ไม่เคยแก้ปัญหาจริงเลย นี่เป็นคนประเภทใด? (ใครบางคนที่กินอาหารวันละสามมื้ออย่างอิ่มหนำสำราญโดยไม่คิดหรือพยายามแต่อย่างใด) พวกเขาไม่รู้ว่าตนควรทำอะไรในแต่ละวัน ดังนั้นพวกเขาจึงล่องลอยไปวันๆ อย่างประมาท โดยไม่รู้ว่าพระเจ้าพอพระทัยกับพวกเขาหรือทรงรังเกียจพวกเขา หรือว่าพระองค์กำลังทรงพินิจพิเคราะห์พวกเขาอยู่หรือไม่ สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำนั้นตรงตามความจริงหรือไม่? พวกเขากำลังลุล่วงความรับผิดชอบของตนใช่หรือไม่? พวกเขาจงรักภักดีหรือไม่? พวกเขากำลังทำตัวสุกเอาเผากินหรือไม่? พวกเขายกย่องตนเองในสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำหรือไม่? พวกเขาเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าหรือไม่? พวกเขาไม่รู้เรื่องใดในนี้เลย ใครบางคนที่กินอาหารวันละสามมื้ออย่างอิ่มหนำสำราญโดยไม่คิดหรือพยายามแต่อย่างใดมักถูกบรรยายว่าเป็น “พวกที่ชอบของฟรี” พวกเขาไม่ทำงานจริงใดๆ พวกเขาเกียจคร้านเกินกว่าจะยกอาหารหนึ่งจานมาให้ตนเองด้วยซ้ำไป และพวกเขาต้องการให้ผู้คนคอยบริการพวกเขา นี่เป็นคนประเภทใด? แต่ละวันพวกเขาอาศัยอยู่ที่ใดก็ตามที่พวกเขาล่องลอยไปถึง พวกเขากินอาหารในที่ใดก็ตามที่มีอาหารดีๆ พวกเขาไปที่ใดก็ตามที่มีสถานที่สะดวกสบายให้นอน และพวกเขาไปที่ใดก็ตามที่มีผู้คนยกยอพวกเขา ไม่มีความแตกต่างระหว่างคนเช่นนี้กับตัวหนอนใช่หรือไม่? (ไม่มี) ไม่มีความแตกต่าง บนพื้นฐานของพฤติกรรมเหล่านี้ของมนุษย์ การเรียกผู้คนว่า “ตัวหนอน” นั้นเป็นการไม่ยุติธรรมหรือไม่? (ไม่เป็นการไม่ยุติธรรม) ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในธรรมชาติอันเสื่อมถอยอย่างนี้อยู่เสมอ หลังจากที่พวกเขาทำงานจริงไปเล็กน้อย พวกเขาก็อยากได้การยอมรับผลสัมฤทธิ์ของตน บางคนกล่าวว่า “ฉันทำหน้าที่ของฉันมาห้าปีหรือหกปีแล้ว ฉันดันทุรังทำหน้าที่ของฉันทุกวัน และผมของฉันก็กำลังเปลี่ยนเป็นสีขาว” นี่ไม่ใช่หนทางการพูดที่น่าขยะแขยงหรอกหรือ? เจ้าสามารถพูดในหนทางเดียวกับเปาโลได้อย่างไร? วัตถุประสงค์เบื้องหลังการพยายามได้รับการยอมรับผลสัมฤทธิ์ของเจ้านั้นคืออะไร? ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการบำเหน็จจากพระเจ้าหรอกหรือ? โดยทั่วไปพวกเราเรียกผู้คนที่ต้องการบำเหน็จว่าอย่างไร? เรียกว่า “พวกขอทาน” มิใช่หรือ? ผู้คนเช่นนี้ไม่ไร้ยางอายหรอกหรือ? เจ้ากำลังทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และเจ้าพยายามอย่างหนักเพื่อใคร? เพื่อพระเจ้าใช่หรือไม่? พระเจ้าไม่ทรงให้คุณค่าเช่นนั้น อันที่จริงเจ้ากำลังกระทำการในนามของตัวเจ้าเอง กระทำการเพื่อให้เจ้าสามารถได้รับความรอด ดังนั้นเจ้าอยากได้การยอมรับเช่นไร และเจ้ากำลังร้องขอบำเหน็จใด? พระเจ้าได้ทรงประทานพระคุณนิดหน่อยหรือพระพรเล็กน้อยเท่านั้นแก่เจ้าใช่หรือไม่? พระเจ้าได้ประทานชีวิตนี้แก่เจ้าเพื่อให้เจ้าสามารถร้องขอบำเหน็จได้ใช่หรือไม่? การนี้เป็นไปเพื่อให้เจ้าสามารถยื่นมือของตนออกไปขออาหารจากพระเจ้าได้ใช่หรือไม่? ขณะนี้เจ้ากำลังทำหน้าที่ของตนเอง นี่เป็นภาระผูกพันและความรับผิดชอบของเจ้า พระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำหน้าที่หนึ่ง ซึ่งมีพระคุณในส่วนของพระองค์ ดังนั้นเจ้าจึงไม่ควรขอสิ่งใด หากเจ้าทำเช่นนั้น พระเจ้าจะทรงรังเกียจและขยะแขยงเจ้า ผู้คนต้องการขอพระคุณและบำเหน็จจากพระเจ้าเป็นนิตย์ พวกเขาเป็นผู้คนประเภทใด? พวกเขาเป็นผู้คนที่ไร้ยางอายที่มีบุคลิกลักษณะที่ด้อยกว่ามิใช่หรือ? พวกเจ้าทุกคนอยู่ในสภาวะเช่นนี้หรือไม่? (ใช่) เจ้าควรแก้ไขสภาวะนี้อย่างไร? เจ้าต้องตระหนักว่าคำพูดและความประพฤติใดของเจ้าขึ้นอยู่กับสภาวะนี้ และหลังจากนั้นจงรีบมาเบื้องหน้าพระเจ้าในการอธิษฐาน และยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์ ชำแหละความอัปลักษณ์และแก่นแท้ธรรมชาติของเจ้า หลังจากที่เจ้ามีความรู้และความเข้าใจบางประการ จงนำสิ่งเหล่านี้ไปให้พี่น้องชายหญิงของเจ้าและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ และตีแผ่ตัวเจ้าเองต่อหน้าพวกเขา ในเวลาเดียวกันกับที่เจ้าสามัคคีธรรมและตีแผ่ตนเองในหนทางนี้ แท้จริงแล้วเจ้าจะกำลังยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า และในหนทางนี้ สภาวะของเจ้าก็จะได้รับการแก้ไขอย่างช้าๆ เพื่อการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเจ้าเอง เจ้าต้องเริ่มรู้อย่างชัดเจนก่อนว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนนั้นเลวร้ายและน่าเกลียดเพียงใด เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถรังเกียจและชิงชังตัวเจ้าเองในหัวใจของเจ้าได้—หากเจ้าไม่ชิงชังตนเอง เจ้าย่อมไม่สามารถแก้ปัญหาได้ หากเจ้าคิดอยู่เสมอว่าการใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนั้นไม่ผิดอะไร คนอื่นจะไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ และตราบใดที่เจ้าไม่ทำสิ่งที่ชั่ว เจ้าก็ไม่เป็นไร—นั่นไม่ใช่เรื่องเหลวไหลหรอกหรือ? ผู้คนเช่นนี้สามารถได้รับความจริงหรือไม่? พวกเขาสามารถได้รับความรอดจากพระเจ้าหรือไม่? เพราะเหตุใดพระเจ้าจึงทรงเปิดโปงสภาวะอันเสื่อมทรามของผู้คน? พวกเจ้าควรสามัคคีธรรมอย่างจริงจังเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า เชื่อมโยงสภาวะอันเสื่อมทรามของผู้คนและการเผยความเสื่อมทราม และจากนั้นก็เปรียบเทียบสิ่งเหล่านี้กับพระวจนะซึ่งพระเจ้าทรงเปิดโปงว่ามนุษยชาติที่เสื่อมทรามคือตัวหนอน—พวกเจ้าสามารถมองเห็นได้หรือไม่ว่าปัญหานี้ร้ายแรงอย่างยิ่ง? พวกเจ้ายอมรับเรื่องนี้ได้หรือไม่? (ได้) เมื่อพระเจ้าตรัสว่าผู้คนเป็นตัวหนอน พระองค์กำลังตรัสถึงใครเป็นหลัก? พระองค์กำลังตรัสถึงสภาวะใดและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดของมนุษย์เป็นหลัก? พระองค์ทรงกำลังเปิดโปงธรรมชาติอันเสื่อมทรามด้านใดของมนุษย์? ก่อนอื่นใครบางคนที่เป็นตัวหนอนนั้นไร้ค่า ไม่มีสำนึกของความละอาย ในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาไม่มีค่าแม้แต่สตางค์แดงเดียว! เพราะเหตุใดเราจึงบอกว่าพวกเขาไม่มีค่าแม้แต่สตางค์แดงเดียว? พระเจ้าทรงสร้างเจ้าและประทานชีวิตแก่เจ้า และเจ้าก็ไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้แม้เพียงขั้นต่ำที่สุด เจ้าเป็นพวกที่ชอบของฟรี จากมุมมองของพระเจ้า เจ้าไร้ค่า และชีวิตของเจ้าก็เกินจำเป็น! ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่ตัวหนอนหรอกหรือ? (ใช่) ดังนั้นผู้คนควรทำอย่างไรหากพวกเขาไม่ต้องการเป็นตัวหนอน? ก่อนอื่นเจ้าควรหาที่ทางของเจ้าเองและหาหนทางที่จะทำหน้าที่ของเจ้าโดยทำทุกวิถีทาง เพื่อที่เจ้าจะสามารถสร้างสัมพันธภาพที่ปกติกับพระผู้สร้างได้ และเพื่อที่เจ้าจะสามารถทูลเรื่องราวต่อพระเจ้าได้ ต่อจากนั้นจงไตร่ตรองว่าเจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ความจงรักภักดีในการทำหน้าที่ของตนได้อย่างไร โดยไม่สุกเอาเผากิน เจ้าควรทุ่มเททั้งหัวใจของเจ้าให้กับการทำหน้าที่นั้น จงอย่าพยายามจัดการกับพระผู้สร้างอย่างสุกเอาเผากิน จงทำทุกอย่างที่พระเจ้าทรงขอให้เจ้าทำ ฟัง และนบนอบ ตอนนี้พวกเจ้ามีความคิดอื่นใดหรือมีการขัดขืนพระวจนะของพระเจ้าที่ทรงเรียกผู้คนว่าตัวหนอนหรือไม่? เจ้าสามารถเชื่อมโยงเรื่องนี้กับตัวเจ้าเองได้หรือไม่? บางคนกล่าวว่า “ฉันทำหน้าที่ของฉันมาหลายปีแล้ว ดังนั้นฉันไม่น่าจะเป็นตัวหนอน ถูกไหม?” พวกเขาถูกต้องหรือไม่? (ไม่) เพราะเหตุใดพวกเขาจึงผิด? ไม่ว่าเจ้าจะเป็นตัวหนอนหรือไม่นั้นก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เจ้าทำอยู่ภายนอก พระเจ้าทรงต้องการเห็นว่าเจ้าทำหน้าที่ของตนอย่างไร เจ้าอยู่ในสภาวะใดขณะที่เจ้าทำหน้าที่ของตน เจ้าพึ่งพาอะไรในการทำหน้าที่ของตน เจ้าสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ขณะที่เจ้าทำหน้าที่ของตน เจ้าลุล่วงความรับผิดชอบของตนหรือไม่ และเจ้าสามารถทำงานของเจ้าได้หรือไม่ หากเจ้าทำหน้าที่ของตนตามหลักธรรมความจริง สัมฤทธิ์ความจงรักภักดี สามารถทำหน้าที่ของตนได้ตามมาตรฐานที่ยอมรับได้ และทำให้พระเจ้าพอพระทัย เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะหนีพ้นจากการถูกเรียกว่า “ตัวหนอน”
ขณะที่เจ้ามีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าต้องยอมรับพระวจนะของพระองค์ที่เปิดโปงแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์เสียก่อน หากเจ้าสามารถเห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนและความจริงของความเสื่อมทรามของพวกเขาได้ชัดเจน และหากเจ้าเริ่มรู้จักตนเองอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วนี่เป็นหนทางข้างหน้าที่เจ้าจะบรรลุความรอดมิใช่หรือ? หนทางที่เจ้าปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าซึ่งพิพากษาและเปิดโปงมนุษย์นั้นสำคัญยิ่งยวด ก่อนอื่นเจ้าต้องไตร่ตรองและเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าซึ่งเปิดโปงธรรมชาติของมนุษย์ หากเจ้าสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าได้เปิดโปงแล้วนั้นสอดคล้องกับสภาวะที่เป็นจริงของเจ้าโดยสมบูรณ์ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะได้เก็บเกี่ยวดอกผล เมื่อบางคนอ่านพระวจนะของพระเจ้าจบแล้ว พวกเขามักจะเปรียบเทียบพระวจนะเหล่านั้นกับผู้อื่นอยู่เสมอ พวกเขาคิดเสมอว่าพระวจนะเหล่านั้นมุ่งเป้าไปที่ผู้อื่น และพระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย ไม่ว่าพระวจนะเหล่านั้นจะเข้มงวดเพียงใดก็ตาม นี่เป็นปัญหา—คนประเภทนี้ไม่ยอมรับความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าควรปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร? ทุกครั้งที่เจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้า เจ้าควรเปรียบเทียบพระวจนะเหล่านั้นกับตนเอง อ้างอิงเทียบเคียงพระวจนะกับสภาวะของตนเอง กับความคิดและมุมมองของตนเอง และอ้างอิงเทียบเคียงพระวจนะกับพฤติกรรมของตนเอง หากเจ้าสามารถเทียบได้กับพระวจนะอย่างแท้จริงและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหาของตนเอง เช่นนั้นแล้วในหนทางนี้ เจ้าย่อมจะเก็บเกี่ยวดอกผล จากนั้นเจ้าก็ควรใช้ความเป็นจริงของความจริงที่เจ้าเข้าใจเพื่อไปช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยพวกเขาให้เข้าใจความจริงและแก้ปัญหาทั้งหลาย ช่วยพวกเขาให้มาเบื้องหน้าพระเจ้า และยอมรับพระวจนะของพระองค์และความจริง การนี้แสดงถึงความรักผู้อื่น และเจ้าสามารถเก็บเกี่ยวดอกผลจากการนี้ได้ การนี้เป็นประโยชน์ทั้งต่อเจ้าและผู้อื่น คือดอกผลสองเท่า การปฏิบัติตนตามหนทางนี้ทำให้เจ้าเป็นคนที่มีประโยชน์ในพระนิเวศของพระเจ้า หากเจ้ามีความเป็นจริงความจริงเช่นนั้น เจ้าก็ย่อมสามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมได้รับการยอมรับจากพระเจ้ามิใช่หรือ? เจ้าควรใช้วิธีการเดียวกันในการยอมรับและนบนอบพระวจนะที่เหลือซึ่งพระเจ้าทรงใช้เปิดโปงผู้คน และจากนั้นก็ชำแหละตัวเจ้าเองและเริ่มรู้จักตัวเจ้าเอง พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าควรเปรียบเทียบตนเองอย่างไรในหนทางนี้? (นิดหน่อย) หากพระเจ้าตรัสว่าเจ้าเป็นซาตาน เจ้าเป็นมาร เจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และเจ้าขัดขืนพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าอาจจะเปรียบเทียบสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเหล่านี้กับตัวเจ้าเองได้ แต่เมื่อพระวจนะของพระองค์กล่าวถึงสภาวะและการพรั่งพรูอื่นบางประการเพื่อทำให้แน่ใจว่าเจ้าเป็นคนประเภทใด เจ้าก็ไม่สามารถเปรียบเทียบสิ่งเหล่านั้นกับตัวเจ้าเองได้ และเจ้าก็ไม่สามารถยอมรับสิ่งเหล่านั้นได้—นี่เป็นความเดือดร้อนอย่างยิ่ง นี่หมายความว่าอย่างไร? (นี่หมายความว่าพวกเราไม่รู้จักตนเองอย่างแท้จริง) เจ้าไม่รู้จักตนเองอย่างแท้จริง และเจ้าก็ไม่ยอมรับความจริง เป็นอย่างนั้นมิใช่หรือ? (เป็นอย่างนั้น) ผู้คนจำเป็นต้องเริ่มเข้าใจพระวจนะที่พระเจ้าทรงใช้เปิดโปงผู้คนอย่างช้าๆ เช่น คำว่า “ตัวหนอน” “ปีศาจโสมม” “ไม่มีค่าแม้แต่สตางค์แดงเดียว” “ขยะ” และ “ไร้ค่า” วัตถุประสงค์ของพระเจ้าในการเปิดโปงผู้คนคือการกล่าวโทษพวกเขาใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) แล้ววัตถุประสงค์นั้นคืออะไร? (เพื่อให้ผู้คนรู้จักตนเองและสลัดความเสื่อมทรามของพวกเขาทิ้งไป) นั่นถูกต้องแล้ว วัตถุประสงค์ของพระเจ้าในการเปิดโปงสิ่งเหล่านี้คือเพื่อเปิดโอกาสให้เจ้ารู้จักตนเอง ได้รับความจริงในกระบวนการนั้น และเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ หากพระเจ้าทรงเปิดโปงเจ้าในฐานะตัวหนอน คนที่ต่ำต้อย คนไร้ค่า เจ้าควรปฏิบัติตนอย่างไร? เจ้าอาจกล่าวว่า “พระเจ้าตรัสว่าข้าพระองค์เป็นตัวหนอน ดังนั้นข้าพระองค์ก็จะเป็นตัวหนอน พระเจ้าตรัสว่าข้าพระองค์ไร้ค่า ดังนั้นข้าพระองค์ก็จะเป็นคนไร้ค่า พระเจ้าตรัสว่าข้าพระองค์ไม่มีค่าแม้แต่สตางค์แดงเดียว ดังนั้นข้าพระองค์ก็จะเป็นเศษขยะที่ไร้ค่า พระเจ้าตรัสว่าข้าพระองค์เป็นปีศาจโสมม ข้าพระองค์เป็นซาตาน ดังนั้นข้าพระองค์ก็จะเป็นปีศาจโสมม ข้าพระองค์ก็จะเป็นซาตาน” นี่เป็นหนทางที่จะได้รับความจริงใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) วัตถุประสงค์ของพระเจ้าในการกล่าวพระวจนะเหล่านี้ วัตถุประสงค์สูงสุดของพระองค์ในการพิพากษา การตีสอน และการเปิดโปงทั้งหมดของพระองค์ ก็คือเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ ก้าวขึ้นสู่เส้นทางแห่งการปฏิบัติความจริง การรู้จักพระเจ้า และการนบนอบพระองค์ หากผู้คนเข้าใจพระเจ้าผิดอยู่เสมอในขณะที่พวกเขาเดินบนเส้นทางนี้ หากพวกเขามักจะไม่สามารถยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ได้เต็มที่ และหากความเป็นกบฏของพวกเขานั้นใหญ่โตเกินไป เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะสามารถทำอะไรได้? เจ้าต้องมาเบื้องหน้าพระเจ้าบ่อยๆ ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์ เปิดโอกาสให้พระองค์นำเจ้าผ่านบททดสอบและการถลุงซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเปิดโอกาสให้พระองค์จัดแจงเตรียมสถานการณ์เพื่อชำระเจ้าให้บริสุทธิ์ ความเสื่อมทรามของผู้คนนั้นฝังลึกมาก พวกเขาจำเป็นต้องให้พระเจ้าชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์! หากผู้คนไม่มีเจตจำนงที่จะทำการนี้ หากพวกเขาทำตัวสุขสบายเสมอ หากพวกเขาเลอะเลือนเสมอ และหากพวกเขาไม่แสวงหาความจริงเลย เช่นนั้นแล้วความหวังของพวกเขาที่จะได้รับความจริงย่อมริบหรี่มาก มีการสำแดงที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากมายในการที่พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกในหัวใจของผู้คน ซึ่งเห็นได้จากหลายสิ่งหลายอย่างในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนซึ่งพระเจ้าทรงเปิดโปง มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ทอดพระเนตรเห็นสิ่งทั้งหลายภายในแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้นหากเจ้าไม่ฟังพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช้ชีวิตตามหนทางที่พระเจ้าได้ทรงบอกให้เจ้าทำ และไม่เชื่อในพระองค์หรือไม่ทำหน้าที่ของเจ้าในหนทางที่พระองค์ได้ทรงบอกให้เจ้าทำ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่มีหนทางที่จะก้าวไปในเส้นทางแห่งการสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า เจ้าย่อมไม่มีหนทางที่จะก้าวไปในร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า และยากมากสำหรับเจ้าที่จะบรรลุความรอด สิ่งที่เราพูดถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง) ผู้คนสามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยโดยการเชื่อในพระองค์ตามวิธีการของพวกเขาเองได้หรือไม่? (ไม่ได้) วิธีการ ความคิดฝัน และหนทางและวิถีทางของผู้คนที่พวกเขาค้นพบนั้นไม่สอดคล้องกับความจริง ดังนั้นการเชื่อในพระเจ้าแบบนี้จึงไม่มีทางทำให้พระองค์พอพระทัยได้
เราเพิ่งพูดถึงข้อบ่งชี้ที่สี่ในการตัดสินว่าคนคนหนึ่งได้มีประสบการณ์กับการเติบโตในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาแล้วหรือยัง ซึ่งเป็นระดับที่ใครบางคนสามารถนบนอบพระเจ้าได้ในผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาเผชิญ สิ่งใดกำหนดระดับที่เจ้าสามารถนบนอบพระเจ้าได้? หากเจ้าไม่สามารถหยั่งรู้หรือเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้ หากเจ้าไม่สามารถจับความเข้าใจในสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าตรัสและพึงประสงค์ได้เลย เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถนบนอบพระองค์ได้หรือไม่? (ไม่ได้) นี่เป็นเรื่องยากมากเกินไป ดังนั้นในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย ใครบางคนจำเป็นต้องมีอะไรเพื่อสัมฤทธิ์การนบนอบ? (การเข้าใจความจริง) หากคนคนหนึ่งเข้าใจความจริง นั่นเท่ากับการเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้ามิใช่หรือ? (ใช่) เมื่อพวกเขาเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าเพียงครั้งเดียว พวกเขาก็สามารถสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าและการสนองเจตนารมณ์ของพระองค์ได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ในการตัดสินว่าคนคนหนึ่งได้มีประสบการณ์กับการเติบโตในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาแล้วหรือยัง มีข้อบ่งชี้ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งก็คือว่าเจ้าสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและได้รับความจริงท่ามกลางสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเผชิญได้หรือไม่ ตอนนี้เมื่อพวกเจ้าส่วนใหญ่เผชิญเรื่องหรือสถานการณ์หนึ่ง พวกเจ้าสามารถเข้าใจความจริงจากเรื่องนั้นได้มากเพียงใด? เจ้าสามารถได้รับความจริงจากเรื่องนั้นได้หรือไม่? เจ้าได้รับความจริงจากเรื่องส่วนใหญ่หรือไม่ หรือโดยมากเจ้าไม่สามารถได้รับความจริง พลางทำตัวเลอะเลือนและทำงานไม่เสร็จสมบูรณ์อยู่เสมอ? (โดยส่วนใหญ่แล้วพวกเราทำงานไม่เสร็จสมบูรณ์) นี่คือสภาวะที่แท้จริงของพวกเจ้า กล่าวคือโดยส่วนใหญ่แล้วพวกเจ้าไม่สามารถได้รับความจริง การนี้แสดงให้เห็นอะไร? การนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเจ้ามีวุฒิภาวะน้อยมาก และเมื่อพวกเจ้าเผชิญเรื่องมากมาย เจ้าก็ไม่มีวุฒิภาวะหรือความเป็นจริงความจริงที่จำเป็นในการแก้ปัญหา ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญบททดสอบหรือการทดลองก็ตาม เจ้าก็ไม่ตั้งมั่นในคำพยานของตน ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีความเป็นจริงความจริง หากเจ้าไม่สามารถมองเห็นปัญหาของตนเองได้ทะลุปรุโปร่ง และเจ้าไม่รู้ว่าจะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหาของตนเองอย่างไร เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง หากเจ้าเผชิญบททดสอบชนิดเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง เจ้าก็จะยังคงเลอะเลือน และเจ้าจะใช้วิธีการเดียวกันในการแก้ปัญหาและท่าทีเดียวกันในการที่เจ้ารับมือกับปัญหานั้น การนี้แสดงให้เห็นถึงการขาดพร่องการเติบโตมิใช่หรือ? (ใช่) ตอนนี้วุฒิภาวะของพวกเจ้าชะงักอยู่ที่ระดับใด? เมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าก็สับสน และจากนั้นเจ้าก็ค้นหาพระวจนะของพระเจ้า บทเพลงสรรเสริญ และคำเทศนาและการสามัคคีธรรม ตลอดจนหลักธรรมต่างๆ ที่เจ้าใช้เป็นประจำ หรือมิฉะนั้นเจ้าก็ไปหาผู้คนที่จะสามัคคีธรรมด้วย—ตอนนี้วุฒิภาวะของเจ้าอยู่ที่ระดับนี้ใช่หรือไม่? (ใช่) ดังนั้นพวกเจ้ามีวุฒิภาวะมากหรือน้อย? (น้อย) พวกเจ้าสามารถใช้ชีวิตโดยพึ่งพาตนเองด้วยวุฒิภาวะแบบนี้ได้หรือไม่? เจ้าสามารถแก้ปัญหาของเจ้าโดยพึ่งพาตนเองได้หรือไม่? (ไม่ได้) หากตอนนี้พวกเจ้ามีวุฒิภาวะอยู่ที่ระดับนี้ เช่นนั้นแล้วทันทีที่พวกเจ้าออกจากชีวิตคริสตจักร ไปจากพี่น้องชายหญิงของพวกเจ้า ออกจากสถานการณ์และสถานที่ที่พวกเจ้าทำหน้าที่ของตน พวกเจ้ายังคงสามารถติดตามพระเจ้าได้หรือไม่? เจ้าสามารถติดตามพระองค์จนถึงปลายทางได้จริงหรือ? เรื่องนี้ยังไม่มีใครรู้ อาจเป็นไปได้ด้วยว่าหลังจากผ่านไปสามหรือห้าปี เจ้าอาจจะยังคงกำลังติดตามพระเจ้าอยู่ แต่พฤติกรรมและการประพฤติปฏิบัติของเจ้า เป้าหมายที่เจ้าไล่ตามไขว่คว้า ทิศทางชีวิตของเจ้า มุมมองของเจ้าในเรื่องทั้งหลาย หนทางที่เจ้าเข้าขากันกับผู้อื่น และท่าทีที่เจ้าปฏิบัติต่อเรื่องทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้จะยังไม่เปลี่ยนแปลง และเจ้าก็จะไม่ต่างจากผู้ไม่มีความเชื่อ ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวจะอยู่ตรงที่เจ้าเพียงแค่เรียกตนเองว่าผู้เชื่อ เจ้ายังคงเชื่อในพระเจ้าเพียงในนามเท่านั้น และเจ้ายังคงเรียกตนเองว่าหนึ่งในบรรดาผู้ติดตามของพระองค์ อย่างไรก็ตาม โดยแก่นแท้แล้วพระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่ในหัวใจของเจ้าอีกต่อไป เจ้าไม่ได้ยึดถือหนทางของพระองค์ในหัวใจของเจ้าอีกต่อไป และเจ้าก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระองค์ เพราะเจ้ามาเบื้องหน้าพระเจ้าบ่อยๆ โดยไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรในคำอธิษฐานถึงพระองค์หรือแสวงหาสิ่งใด และไม่มีสิ่งใดในหัวใจของเจ้าที่จะกล่าวกับพระองค์ เจ้าจึงเริ่มออกห่างจากพระเจ้ามากขึ้น เมื่อเจ้าเผชิญสิ่งทั้งหลาย พระวจนะของพระเจ้าไม่ได้ทำหน้าที่นำเจ้า และเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะแสวงหาความจริงอย่างไร และเจ้าก็ปฏิบัติตนตามความคิดฝันของเจ้าเอง ดังนั้นเจ้าได้กลายเป็นผู้ไม่เชื่ออย่างหมดจดแล้วมิใช่หรือ? เราหมายถึงอะไรด้วยวจนะเหล่านี้? ก่อนที่คนคนหนึ่งจะได้รับความจริง พวกเขาสับสนเป็นนิตย์เมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับตน พวกเขาไม่รู้ว่าจะนำความจริงไปประยุกต์ใช้อย่างไร และพวกเขาไม่รู้ว่าจะจัดการกับสิ่งทั้งหลายอย่างไรให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ดีหรือแย่ ไม่ว่าเจ้ากำลังถูกทดลองหรือทดสอบ เจ้ามักจะไม่รู้ว่าจะทำอะไร เจ้าเพียงแค่รับมือสถานการณ์นั้นอย่างเฉื่อยชา และเจ้าก็ไม่สามารถใช้ท่าทีเชิงบวกหรือความจริงแก้ไขสิ่งทั้งหลายได้ ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญกับสถานการณ์ใด เจ้าก็ขาดพร่องความสามารถในการทนต่อสถานการณ์เหล่านั้นโดยสิ้นเชิง และเจ้าก็ไม่สามารถคิดริเริ่มที่จะใช้ความจริงแก้ปัญหาได้ ต่อให้ในขณะนั้นเจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหาและพยายามสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าในเรื่องนี้ เจ้าก็จะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ดังนั้นการประพฤติปฏิบัติและชีวิตของเจ้าเกี่ยวข้องกับพระเจ้ามากน้อยเพียงใด เกี่ยวข้องกับการประพฤติปฏิบัติและชีวิตที่ผู้เชื่อควรมีหรือไม่? หากว่าในแง่ของพิธีรีตองและความปรารถนาเชิงจิตวิสัยของหัวใจเจ้าเกี่ยวข้องกับพระเจ้าแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ และเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ไม่เกี่ยวข้องกับความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เพียงแค่เป็นดังที่พระเจ้าตรัสว่า “พวกเจ้าได้ทำอะไรไปมากมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับความจริง” เรื่องนี้น่ากลัวและอันตรายมิใช่หรือ? (ใช่) เรื่องนี้น่ากลัวมากและอันตรายอย่างยิ่ง ดังนั้นปัญหาที่ผู้คนเผชิญคืออะไร? หากผู้คนออกจากสถานการณ์ที่พระเจ้าได้ทรงจัดแจงเตรียมการไว้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมสูญสิ้นโอกาสที่พระเจ้าจะทรงทำให้พวกเขาเพียบพร้อม พวกเขากลายเป็นผู้ที่ไม่คู่ควรกับความคำนึงถึงที่รอบคอบของพระเจ้า และพวกเขาก็ปล่อยมือจากการได้รับบทเรียนที่พระเจ้าทรงจงใจจัดแจงเตรียมการให้พวกเขา นี่คือสิ่งที่ทำให้พระเจ้าสลดพระทัยมากที่สุด พระเจ้าทรงจัดแจงเตรียมสถานการณ์ที่เหมาะควรสำหรับผู้คนเพื่อให้พวกเขาสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้ หากผู้คนเลิกทำหน้าที่ของตน เลิกไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้า และสามารถพรากจากพระเจ้าได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ เช่นนั้นแล้วพวกเขาเป็นผู้ติดตามพระเจ้าที่จริงใจหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ใช่ พวกเจ้าอาจมองเห็นสิ่งนี้ได้ชัดเจน—นี่คือวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเจ้าในขณะนี้ ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าเลย หากผู้คนไม่เข้าใจสถานการณ์ที่พระเจ้าทรงจัดแจงเตรียมการให้พวกเขาเลย และพวกเขาไม่รู้ว่าจะอธิษฐานหรือสามัคคีธรรมกับพระเจ้าอย่างไร ผู้คนเหล่านี้มีวุฒิภาวะแบบใด? พวกเขามีวุฒิภาวะน้อยเกินไปมิใช่หรือ และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไรใช่หรือไม่? หากพวกเขาไม่รู้ว่าจะไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะได้รับความจริงได้อย่างไร? จากมุมมองเชิงจิตวิสัย เจ้าอาจคิดว่าเจ้าได้สลัดทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วและการเชื่อในพระเจ้าของเจ้านั้นแท้จริง แต่อันที่จริงเจ้าไม่ยอมรับความจริง และพระเจ้าก็ทรงไม่ได้รับหัวใจจากเจ้า—เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? (เป็นเช่นนี้) พระเจ้าทรงไม่ได้รับหัวใจจากเจ้า ซึ่งหมายความว่าในหลายเรื่อง เจ้ายังคงสามารถขัดขืนและทรยศพระเจ้าได้ และพรากจากพระเจ้าได้ จนถึงจุดที่เจ้าอาจจะไม่ยอมรับการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้าด้วยซ้ำไป ไม่เพียงแต่เจ้าจะไม่สามารถนบนอบพระเจ้า จงรักภักดีต่อพระเจ้า และยำเกรงพระเจ้าได้ แต่เจ้ายังสามารถขัดขืนและทรยศพระเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลาด้วย นี่คือสถานการณ์ที่ผู้คนเผชิญก่อนที่พวกเขาจะได้รับความจริง เรามีความประสงค์ใดในการกล่าวทั้งหมดนี้กับพวกเจ้า? เพราะเหตุใดเราจึงกล่าววจนะเหล่านี้? นี่เป็นการราดน้ำเย็นใส่พวกเจ้าใช่หรือไม่? (ไม่ใช่ นี่เป็นการเปิดโอกาสให้พวกเรารู้วุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเราเอง) พระวจนะเหล่านี้เป็นการปลุกพวกเจ้าให้ตื่นและจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้า ในฐานะผู้เชื่อ หากเจ้าไม่ได้รับความจริง เจ้าย่อมจะไม่มีวันได้รับพระเจ้า และพระองค์ก็ทรงไม่มีหนทางที่จะได้รับเจ้า ดังนั้นการไล่ตามเสาะหาความจริงในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ในการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้น คนเราต้องมุ่งเน้นที่การปฏิบัติความจริง แต่คนเราควรเริ่มปฏิบัติความจริงจากที่ใด? ไม่มีข้อบังคับในเรื่องนี้ เจ้าควรปฏิบัติความจริงในแง่มุมใดก็ตามที่เจ้าเข้าใจ หากเจ้าเริ่มทำหน้าที่แล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ควรจะเริ่มปฏิบัติความจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของตน ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้ามีความจริงหลายแง่มุมให้ปฏิบัติ และเจ้าควรปฏิบัติความจริงในแง่มุมใดก็ตามที่เจ้าเข้าใจ ตัวอย่างเช่น เจ้าสามารถเริ่มจากการเป็นคนซื่อสัตย์ด้วยการพูดจาอย่างซื่อสัตย์ และด้วยการเปิดหัวใจของตน หากมีบางสิ่งซึ่งเจ้าตะขิดตะขวงอับอายเกินไปที่จะพูดกับเหล่าพี่น้องชายหญิงของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรคุกเข่าลงและบอกสิ่งนั้นกับพระเจ้าโดยผ่านทางการอธิษฐาน เจ้าควรพูดอะไรกับพระเจ้าหรือ? จงบอกพระเจ้าถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้า จงอย่าใช้คำพูดอันน่ายินดีซึ่งว่างเปล่าหรือพยายามที่จะหลอกลวงพระองค์ จงเริ่มต้นด้วยการเป็นคนซื่อสัตย์ หากเจ้าอ่อนแอมาโดยตลอด เช่นนั้นแล้วก็จงพูดว่าเจ้าอ่อนแอมาโดยตลอด หากเจ้าเลวมาโดยตลอด เช่นนั้นแล้วก็จงพูดว่าเจ้าเลวมาโดยตลอด หากเจ้าเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมาโดยตลอด เช่นนั้นแล้วก็จงพูดว่าเจ้าเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมาโดยตลอด หากเจ้ามีความคิดที่เลวทรามและเคลือบแฝงมาโดยตลอด ก็จงทูลบอกพระเจ้าเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น หากเจ้าแข่งขันเพื่อสถานะอยู่เสมอ ก็จงทูลบอกพระองค์ถึงการนี้เช่นกัน จงยอมให้พระเจ้าทรงบ่มวินัยเจ้า จงยอมให้พระองค์ทรงจัดการเตรียมสภาพแวดล้อมแก่เจ้า จงเปิดโอกาสให้พระเจ้าทรงช่วยให้เจ้าผ่านพ้นความลำบากยากเย็นทั้งปวงของเจ้าไปได้และแก้ไขปัญหาทั้งหมดของเจ้า เจ้าควรเปิดใจให้พระเจ้า จงอย่าปิดใจของเจ้าเรื่อยไป ต่อให้เจ้าปิดกั้นพระองค์ พระองค์ก็ยังคงพินิจพิเคราะห์เจ้าได้อยู่ดี อย่างไรก็ตาม หากเจ้าเปิดหัวใจให้พระองค์ เจ้าจะสามารถได้รับความจริง ดังนั้น เจ้าควรเลือกเส้นทางใด? เจ้าควรเปิดหัวใจของตนและบอกให้พระเจ้าทรงรู้สิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้า เจ้าไม่ควรพูดสิ่งที่เทียมเท็จหรือปลอมแปลงตนเองแต่อย่างใด เจ้าควรเริ่มต้นด้วยการเป็นคนซื่อสัตย์ เป็นเวลาหลายปีที่พวกเราสามัคคีธรรมถึงความจริงที่เกี่ยวข้องกับการเป็นคนซื่อสัตย์ แต่ในวันนี้ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ยังคงไม่แยแส พูดและกระทำตามเจตนา ความอยากได้อยากมี และจุดมุ่งหมายของตนเองเท่านั้น และไม่เคยมีการกลับใจเกิดขึ้นเลย นี่ไม่ใช่ท่าทีของผู้คนที่ซื่อสัตย์ เหตุใดพระเจ้าจึงทรงขอให้ผู้คนเป็นคนที่ซื่อสัตย์? เพื่อให้ควบคุมผู้คนได้ง่ายขึ้นกระนั้นหรือ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ผู้คนเป็นคนซื่อสัตย์เพราะพระเจ้าทรงรักและทรงอวยพรคนซื่อสัตย์ การเป็นคนซื่อสัตย์หมายถึงการเป็นคนที่มีมโนธรรมและเหตุผล สิ่งนี้หมายถึงการเป็นใครบางคนที่น่าไว้วางใจ ใครบางคนที่พระเจ้าทรงรัก และใครบางคนที่สามารถปฏิบัติความจริงและรักพระเจ้าได้ การเป็นคนซื่อสัตย์คือการสำแดงที่เป็นพื้นฐานที่สุดของการครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติและการใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง หากใครบางคนไม่เคยเป็นคนซื่อสัตย์ หรือไม่เคยถูกมองว่าเป็นคนซื่อสัตย์เลย เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่สามารถเข้าใจความจริง นับประสาอะไรกับการที่พวกเขาสามารถได้รับความจริง หากเจ้าไม่เชื่อเรา จงไปและดูให้เห็นกับตาตนเอง หรือจงไปและมีประสบการณ์กับเรื่องนี้ด้วยตนเอง ด้วยการเป็นคนซื่อสัตย์เท่านั้นที่เจ้าจะสามารถเปิดใจให้พระเจ้า ยอมรับความจริงได้ แล้วความจริงก็กลายเป็นชีวิตของเจ้าอยู่ในหัวใจของเจ้าได้ และเจ้าก็จะสามารถเข้าใจและได้รับความจริง หากหัวใจของเจ้าปิดอยู่เสมอ หากเจ้าไม่เปิดใจหรือไม่พูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของตนให้ใครฟัง จนกระทั่งไม่มีใครสามารถเข้าใจเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วกำแพงของเจ้าย่อมหนาเกินไป และเจ้าย่อมเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมากที่สุด หากเจ้าเชื่อในพระเจ้าแต่ยังไม่สามารถเปิดใจตนเองให้พระเจ้าได้อย่างหมดจด หากเจ้าสามารถพูดปดกับพระเจ้า หรือพูดเกินจริงเพื่อหลอกลวงพระเจ้าได้ หากเจ้าไม่สามารถเปิดหัวใจของตนให้พระเจ้า อีกทั้งยังคงสามารถพูดวกวนและซ่อนเร้นเจตนารมณ์ของเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมจะทำให้ตนเองเสียหายเท่านั้น และพระเจ้าจะทรงเมินเจ้าและไม่ทรงพระราชกิจในตัวเจ้า เจ้าจะไม่เข้าใจความจริงใดเลย และเจ้าจะไม่ได้รับความจริงใดเลย ตอนนี้พวกเจ้าสามารถมองเห็นความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาและได้รับความจริงหรือไม่? สิ่งแรกที่พวกเจ้าควรทำเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร? พวกเจ้าควรเป็นคนซื่อสัตย์ เฉพาะเมื่อผู้คนพยายามซื่อสัตย์เท่านั้น พวกเขาจึงสามารถรู้ว่าพวกเขาเสื่อมทรามลึกเพียงใด พวกเขามีสภาพเสมือนมนุษย์อย่างแท้จริงบ้างหรือไม่ และประเมินตนเองได้อย่างชัดเจนหรือมองเห็นข้อบกพร่องของตนเองอย่างชัดเจนหรือไม่ มีเพียงเมื่อพวกเขากำลังปฏิบัติความซื่อสัตย์เท่านั้น พวกเขาจึงสามารถกลายเป็นตระหนักรู้ว่าพวกเขาพูดโกหกกี่ครั้งและความหลอกลวงและความไม่ซื่อสัตย์ของพวกเขาซ่อนเร้นอยู่ลึกเพียงใด ในขณะที่กำลังมีประสบการณ์ของการปฏิบัติการเป็นคนซื่อสัตย์เท่านั้น ผู้คนจึงสามารถค่อยๆ มารู้จักความจริงของความเสื่อมทรามของพวกเขาเอง และรู้ถึงแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาเอง และเมื่อนั้นเท่านั้นที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์อยู่เนืองนิตย์ เฉพาะในระหว่างที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขากำลังถูกชำระให้บริสุทธิ์อยู่เนืองนิตย์เท่านั้นที่ผู้คนจะมีความสามารถที่จะได้รับความจริง จงใช้เวลาของพวกเจ้าตามสบายในการมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านี้ พระเจ้าไม่ทรงทำให้พวกที่หลอกลวงมีความเพียบพร้อม หากหัวใจของเจ้าไม่ซื่อสัตย์—หากเจ้าไม่ใช่บุคคลที่ซื่อสัตย์—เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็จะไม่ทรงรับเจ้าไว้ ในทำนองเดียวกัน เจ้าจะไม่ได้รับความจริง และจะไม่สามารถได้รับพระเจ้าอีกด้วย การที่เจ้าไม่ได้รับพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร? หากเจ้าไม่ได้รับพระเจ้า และเจ้ายังไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่รู้จักพระเจ้า และดังนั้นก็ย่อมไม่มีทางที่เจ้าจะสามารถเข้ากันได้กับพระเจ้า ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็คือศัตรูของพระเจ้า หากเจ้าเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า พระเจ้าก็ไม่ใช่พระเจ้าของเจ้า และหากพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าของเจ้า เจ้าย่อมไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด หากเจ้าไม่พยายามบรรลุความรอด เหตุใดเจ้าจึงเชื่อในพระเจ้า? หากเจ้าไม่สามารถบรรลุความรอด เจ้าก็จะเป็นศัตรูคู่อริกับพระเจ้าตลอดไป และบทอวสานของเจ้าก็จะถูกกำหนด ด้วยเหตุนั้น หากผู้คนปรารถนาที่จะได้รับการช่วยให้รอด เช่นนั้นแล้วพวกเขาต้องเริ่มต้นด้วยการเป็นคนซื่อสัตย์ ในท้ายที่สุด บรรดาผู้ซึ่งพระเจ้าจะทรงรับไว้ย่อมได้รับการทำหมายสำคัญ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าคือสิ่งใด? สิ่งนี้ถูกเขียนไว้ในพระธรรมวิวรณ์ ในพระคัมภีร์ว่า “และในปากของพวกเขาไม่พบความเท็จ เขาเป็นคนที่ปราศจากตำหนิ” (วิวรณ์ 14:5) “พวกเขา” คือผู้ใด? พวกเขาคือบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด ทำให้มีความเพียบพร้อมและทรงรับไว้ พระเจ้าทรงพรรณนาผู้คนเหล่านี้ว่าอย่างไร? สิ่งใดคือคุณลักษณะเฉพาะและการแสดงออกของการปฏิบัติตนของพวกเขา? พวกเขาไม่มีตำหนิ พวกเขาไม่พูดโกหก พวกเจ้าทั้งหมดน่าจะสามารถเข้าใจและจับความได้ว่าการไม่พูดโกหกหมายถึงสิ่งใด กล่าวคือ นี่หมายถึงการเป็นคนซื่อสัตย์ คำว่า “ไม่มีตำหนิ” อ้างอิงถึงสิ่งใด? นี่หมายถึงการไม่ทำชั่ว และการไม่ทำชั่วก่อร่างสร้างขึ้นบนรากฐานใด? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการไม่ทำชั่วก่อร่างสร้างขึ้นบนรากฐานแห่งการยำเกรงพระเจ้า เพราะฉะนั้น การไม่มีตำหนิจึงหมายถึงการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว พระเจ้าทรงนิยามใครบางคนที่ปราศจากตำหนิไว้เช่นไร? ในสายพระเนตรของพระเจ้า เฉพาะผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเท่านั้นที่เพียบพร้อม ด้วยเหตุนี้ผู้คนที่ไม่มีตำหนิจึงเป็นบรรดาผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และเฉพาะผู้ที่เพียบพร้อมเท่านั้นที่ไม่มีตำหนิ นี่ถูกต้องทุกประการ หากใครบางคนโกหกทุกวัน นั่นคือตำหนิมิใช่หรือ? หากพวกเขาพูดและกระทำตามเจตจำนงของตนเอง นั่นคือตำหนิมิใช่หรือ? หากพวกเขาร้องขอการยอมรับนับถืออยู่เสมอเมื่อพวกเขากระทำสิ่งใด พลางร้องขอบำเหน็จจากพระเจ้าเสมอ นั่นคือตำหนิมิใช่หรือ? หากพวกเขาไม่เคยยกย่องพระเจ้า พลางเป็นพยานให้ตนเองเสมอ นั่นคือตำหนิมิใช่หรือ? หากพวกเขาทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากิน กระทำอย่างฉวยโอกาส เก็บงำเจตนารมณ์ชั่ว และหย่อนยาน นั่นคือตำหนิมิใช่หรือ? การเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดนี้คือตำหนิ เพียงแค่ก่อนที่ผู้คนจะเข้าใจความจริง พวกเขาไม่รู้เรื่องนี้ ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนรู้ว่าการเผยความเสื่อมทรามเหล่านี้คือตำหนิและความโสมม เมื่อพวกเจ้าเข้าใจความจริงเล็กน้อยเท่านั้น พวกเจ้าจึงจะสามารถมีวิจารณญาณแบบนี้ได้ ทั้งหมดที่จำเป็นต่อการเผยความเสื่อมทรามนั้นเกี่ยวข้องกับคำโกหก พระวจนะในพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า “ไม่พบความเท็จ” เป็นองค์ประกอบสำคัญในการทบทวนว่าพวกเจ้ามีตำหนิหรือไม่ ดังนั้นในการตัดสินว่าคนคนหนึ่งได้มีประสบการณ์กับการเติบโตในชีวิตของพวกเขาแล้วหรือยังนั้น มีข้อบ่งชี้อีกประการหนึ่ง กล่าวคือเจ้าได้เข้าสู่การเป็นคนที่ซื่อสัตย์แล้วหรือยัง สามารถพบคำโกหกได้กี่คำในสิ่งทั้งหลายที่เจ้ากล่าว และคำโกหกของเจ้าค่อยๆ ลดลงหรือเท่ากับแต่ก่อน หากคำโกหกของเจ้า รวมถึงคำพูดที่อำพรางและหลอกลวงของเจ้า กำลังลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป นั่นพิสูจน์ว่าเจ้าได้เริ่มเข้าสู่ความเป็นจริงแล้ว และชีวิตของเจ้ากำลังเติบโตขึ้น นี่เป็นหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในการมองสิ่งทั้งหลายมิใช่หรือ? (ใช่) หากเจ้ารู้สึกเหมือนว่าเจ้าได้มีประสบการณ์กับการเติบโตแล้ว แต่คำโกหกของเจ้ายังไม่ลดลงเลย และโดยพื้นฐานแล้วเจ้าก็เหมือนกับผู้ไม่มีความเชื่อ เช่นนั้นแล้วนี่เป็นการสำแดงที่ปกติของการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงหรือไม่? (ไม่ใช่) เมื่อใครบางคนได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว อย่างน้อยที่สุดพวกเขาจะพูดคำโกหกน้อยลงอย่างมาก โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาจะเป็นคนที่ซื่อสัตย์ หากเจ้าโกหกมากเกินไปและคำพูดของเจ้ามีสิ่งเจือปนมากเกินไป นี่พิสูจน์ว่าเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงเลย และเจ้ายังไม่ได้เป็นคนที่ซื่อสัตย์ หากเจ้าไม่ได้เป็นคนที่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่มีการเข้าสู่ชีวิต และดังนั้นเจ้าจะสามารถมีประสบการณ์กับการเติบโตได้อย่างไร? อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ายังคงไม่บุบสลาย และเจ้าก็เป็นผู้ไม่มีความเชื่อและมาร การเป็นคนที่ซื่อสัตย์เป็นข้อบ่งชี้หนึ่งในการตัดสินว่าคนคนหนึ่งได้มีประสบการณ์กับการเติบโตในชีวิตของพวกเขาแล้วหรือยัง ผู้คนต้องรู้ว่าจะเปรียบเทียบสิ่งเหล่านี้กับตนเองอย่างไรและรู้ว่าจะประเมินวัดตนเองอย่างไร
โดยรวมแล้ว พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงข้อบ่งชี้ที่บ่งบอกว่าคนคนหนึ่งได้มีประสบการณ์กับการเติบโตในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาไปกี่ประการแล้ว? (หก) จงสรุปว่าหกประการนี้มีอะไรบ้าง (ประการแรกคือใครบางคนเชื่อในหัวใจของตนหรือไม่ว่าการเลือกเส้นทางของการเชื่อในพระเจ้านั้นถูกต้องและเป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ พวกเขาได้ตัดสินใจแล้วหรือยังว่าเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต และพวกเขามีความมุ่งมั่นตั้งใจและเจตจำนงที่จะติดตามพระเจ้าโดยไม่เป็นคนสองจิตสองใจในเรื่องนี้หรือไม่ ประการที่สองคือพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงมุมมองของตนเกี่ยวกับผู้คน โลก สังคมนี้ เส้นทางชีวิต เป้าหมาย และทิศทาง ตลอดจนความหมายและคุณค่าของชีวิตแล้วหรือยัง ประการที่สามคือผู้คนมีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าหรือไม่ ประการที่สี่คือพวกเขาสามารถนบนอบพระเจ้าในผู้คน เหตุการณ์ สิ่งทั้งหลาย และสถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญได้หรือไม่ และระดับที่พวกเขาสามารถนบนอบได้ ประการที่ห้าคือผู้คนสามารถมาถึงความเข้าใจในเจตนารมณ์ของพระเจ้าและได้รับความจริงเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขาได้หรือไม่ ประการที่หกคือพวกเขาได้เข้าสู่การเป็นคนที่ซื่อสัตย์แล้วหรือยัง) พวกเจ้าต้องตรวจสอบตนเองบ่อยๆ เพื่อให้เห็นว่าพวกเจ้าได้เข้าสู่สิ่งเหล่านี้แล้วหรือยัง และสามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้ในการชุมนุม หากเจ้าไม่มุ่งความสนใจไปที่สิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ ชีวิตของเจ้าย่อมจะไม่มีทางเติบโต และอุปนิสัยของเจ้าก็จะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ผู้คนได้รับผลลัพธ์จากสิ่งทั้งหลายที่พวกเขามุ่งความสนใจไป ที่ใดก็ตามที่พวกเขามานะพยายาม หากเจ้ามุ่งความสนใจไปที่คำสอนอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะได้รับเพียงคำสอนเท่านั้น หากเจ้ามุ่งความสนใจไปที่การได้มาซึ่งสถานะและอำนาจ เช่นนั้นแล้วสถานะและอำนาจของเจ้าก็อาจจะมั่นคง แต่เจ้าจะยังไม่ได้รับความจริง และเจ้าจะถูกกำจัดออกไป ไม่ว่าเจ้าจะทำหน้าที่ใดก็ตาม การเข้าสู่ชีวิตคือสิ่งสำคัญ เจ้าไม่อาจผ่อนคลายในเรื่องนี้ได้ และเจ้าก็ไม่สามารถสะเพร่าได้
31 มกราคม ค.ศ. 2017