การรับใช้ให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์พระเจ้า

เมื่อคนเราเชื่อในพระเจ้า คนเราควรรับใช้พระองค์อย่างไรกันแน่?  สภาพเงื่อนไขใดที่ควรจะทำให้ลุล่วง และความจริงใดที่ควรเป็นที่เข้าใจโดยบรรดาผู้ที่รับใช้พระเจ้า?  และที่ใดที่เจ้าอาจจะเบี่ยงเบนไปในการปรนนิบัติของพวกเจ้า?  พวกเจ้าควรรู้คำตอบของสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  ปัญหาเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าพวกเจ้าเชื่อในพระเจ้าอย่างไร พวกเจ้าเดินไปบนเส้นทางที่ได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์และยอมให้พระเจ้าจัดวางเรียบเรียงพวกเจ้าในทุกเรื่องอย่างไร อันเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเจ้าเข้าใจทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าในตัวพวกเจ้า  เมื่อพวกเจ้าไปถึงจุดนั้น พวกเจ้าจะซาบซึ้งว่าอะไรคือความเชื่อในพระเจ้า จะเชื่อในพระเจ้าอย่างถูกต้องเหมาะสมได้อย่างไร และพวกเจ้าควรทำเช่นใดจึงจะกระทำการได้อย่างสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  นี่จะทำให้พวกเจ้าเชื่อฟังพระราชกิจของพระเจ้าอย่างครบถ้วนทุกประการ เจ้าจะไม่พร่ำบ่นและจะไม่ตัดสิน หรือวิเคราะห์ ที่และยิ่งจะไม่ศึกษาวิจัยพระราชกิจของพระเจ้า  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าจะสามารถนบนอบพระเจ้าจนสิ้นชีพ อำนวยให้พระเจ้าทรงกำกับทิศทางให้เจ้าและฆ่าเจ้าดั่งเช่นแกะ เพื่อที่พวกเจ้าทั้งหมดจะสามารถกลายเป็นเปโตรแห่งทศวรรษ 1990 และสามารถรักพระเจ้าได้อย่างที่สุดแม้แต่บนกางเขน โดยที่ไม่มีการร้องทุกข์แม้แต่น้อย เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถใช้ชีวิตอย่างเปโตรแห่งทศวรรษ 1990 ได้

ทุกๆ คนที่ได้ตกลงใจแน่วแน่แล้วสามารถรับใช้พระเจ้าได้—แต่เฉพาะผู้ที่เข้าใจและแสดงการคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติและมีสิทธิ์รับใช้พระเจ้า  เราได้ค้นพบเรื่องนี้ในหมู่พวกเจ้าว่า ผู้คนมากมาย เชื่อว่าตราบเท่าที่พวกเขาเผยแผ่ข่าวประเสริฐเพื่อพระเจ้าอย่างมีศรัทธาแรงกล้า เดินไปตามถนนเพื่อพระเจ้า สละตัวเองและยอมละวางสิ่งต่างๆ เพื่อพระเจ้า เป็นต้น เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือการรับใช้พระเจ้า  ยิ่งมีผู้คนเคร่งศาสนามากกว่านี้อีกที่เชื่อว่าการรับใช้พระเจ้าหมายถึงการวิ่งหัวหมุนไปทั่วโดยมีพระคัมภีร์อยู่ในมือของพวกเขา ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ และการช่วยผู้คนให้รอดโดยการทำให้พวกเขากลับใจและสารภาพบาป  ยังมีเจ้าหน้าที่ทางศาสนาจำนวนมากที่คิดว่าการรับใช้พระเจ้าประกอบด้วยการประกาศในโบสถ์หลังจากที่ได้เสาะหาการศึกษาเล่าเรียนขั้นสูงและการฝึกฝนในโรงเรียนสอนศาสนา และการสอนผู้คนผ่านการอ่านคัมภีร์ทั้งหลายของพระคัมภีร์  ยิ่งกว่านั้น มีผู้คนในภูมิภาคยากแค้นที่เชื่อว่าการรับใช้พระเจ้าหมายถึงการรักษาคนป่วยและการขับไล่ปีศาจในหมู่พี่น้องชายหญิงของตน หรือการอธิษฐานให้กับพวกเขา หรือการรับใช้พวกเขา  ท่ามกลางพวกเจ้า มีคนจำนวนมากที่เชื่อว่าการรับใช้พระเจ้าหมายถึงการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า การอธิษฐานต่อพระเจ้าทุกๆ วัน รวมทั้งการไปเยี่ยมและการทำงานในคริสตจักรทุกหนทุกแห่ง  มีบรรดาพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ที่เชื่อว่าการรับใช้พระเจ้าหมายถึงการไม่แต่งงานหรือสร้างครอบครัวเลย และการอุทิศทุ่มเทการเป็นอยู่ทั้งหมดทั้งสิ้นของตนแด่พระเจ้า  ทว่ามีผู้คนไม่มากนักที่รู้ว่า อันที่จริงแล้วการรับใช้พระเจ้านั้นหมายถึงอะไร  แม้ว่าจะมีผู้คนที่รับใช้พระเจ้ามากมายพอๆ กับที่มีดวงดาวอยู่บนท้องฟ้าก็ตาม จำนวนของบรรดาผู้ที่สามารถรับใช้ได้โดยตรง และผู้ที่สามารถรับใช้ตามเจตนารมณ์ของพระเจ้านั้น ช่างเล็กน้อย—น้อยยิ่งนัก  เหตุใดเราจึงกล่าวเรื่องนี้?  เรากล่าวเรื่องนี้เพราะพวกเจ้าหาได้เข้าใจแก่นแท้ของวลีที่ว่า “การรับใช้พระเจ้า” ไม่ และเจ้าเข้าใจการรับใช้ให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าน้อยยิ่งนัก  มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ผู้คนจะต้องเข้าใจอย่างแท้จริงว่าการรับใช้พระเจ้าแบบใดที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระองค์

หากพวกเจ้าปรารถนาที่จะรับใช้ให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า เจ้าจำต้องเข้าใจเสียก่อนว่าผู้คนประเภทไหนที่น่ายินดีต่อพระเจ้า ผู้คนประเภทไหนที่พระเจ้าทรงเกลียด ผู้คนประเภทไหนที่ได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า และผู้คนประเภทไหนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะรับใช้พระเจ้า  อย่างน้อยที่สุด พวกเจ้าควรมีความรู้นี้ติดตัว  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้าควรรู้จุดมุ่งหมายของพระราชกิจของพระเจ้า และพระราชกิจที่พระเจ้าจะทรงปฏิบัติในที่นี้ ณ ตอนนี้  หลังจากที่เข้าใจเรื่องนี้และโดยผ่านการทรงนำของพระวจนะของพระเจ้า พวกเจ้าควรมีการเข้าสู่เสียก่อน และควรได้รับพระบัญชาของพระเจ้าเสียก่อน  ครั้นพวกเจ้าได้มีประสบการณ์จริงในพระวจนะของพระเจ้าแล้ว และเมื่อเจ้ารู้จักพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเจ้าจึงจะมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะรับใช้พระเจ้า  และตอนที่พวกเจ้ารับใช้พระองค์นั่นเอง ที่พระเจ้าทรงเปิดดวงตาฝ่ายวิญญาณของพวกเจ้าและอนุญาตให้พวกเจ้าได้เข้าใจในพระราชกิจของพระองค์มากขึ้น และได้เห็นพระราชกิจของพระองค์ชัดเจนขึ้น  เมื่อเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงนี้ ประสบการณ์ของเจ้าจะลุ่มลึกและสัมพันธ์กับชีวิตจริงยิ่งขึ้น และทุกคนในบรรดาพวกเจ้าที่เคยได้รับประสบการณ์เช่นนั้นจะสามารถเดินไปในหมู่คริสตจักรทั้งหลายและเสนอการจัดเตรียมให้แก่บรรดาพี่น้องชายหญิงของพวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าแต่ละคนจะสามารถพึ่งพาจุดแข็งของกันและกันได้เพื่อทดแทนความขาดตกบกพร่องของพวกเจ้าเอง และได้รับความรู้มั่งคั่งขึ้นในจิตวิญญาณของพวกเจ้า  เพียงหลังจากที่ได้สัมฤทธิ์ผลเช่นนี้แล้วเท่านั้น พวกเจ้าจึงจะสามารถรับใช้ตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า และได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าในระหว่างการปรนนิบัติของพวกเจ้า

บรรดาผู้ที่รับใช้พระเจ้าควรเป็นคนสนิทของพระเจ้า พวกเขาควรเป็นที่น่ายินดีต่อพระเจ้า และสามารถภักดีต่อพระเจ้าอย่างที่สุด  ไม่ว่าเจ้าจะปฏิบัติเป็นการส่วนตัวหรือในที่สาธารณะ เจ้าสามารถได้รับความชื่นบานยินดีของพระเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าสามารถตั้งมั่นเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และไม่ว่าผู้คนอื่นๆ จะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไรก็ตาม เจ้าเดินบนเส้นทางที่เจ้าควรเดินอยู่เสมอ และมอบทุกความใส่ใจแก่พระภาระของพระเจ้า ผู้คนเยี่ยงนี้เท่านั้นที่เป็นคนสนิทของพระเจ้า  ที่บรรดาคนสนิทของพระเจ้าสามารถรับใช้พระองค์ได้โดยตรงก็เพราะพวกเขาได้รับมอบพระบัญชาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและพระภาระของพระเจ้า พวกเขาสามารถเข้าใจพระทัยของพระเจ้าเสมือนเป็นหัวใจของพวกเขาเอง และรับเอาพระภาระของพระเจ้ามาเป็นภาระของตนเอง และพวกเขาก็ไม่คำนึงถึงความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในภายภาคหน้าของพวกเขา กล่าวคือ แม้เมื่อพวกเขาไม่มีความสำเร็จที่คาดว่าจะเป็นไปได้  และพวกเขาไม่มีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์อะไรเลย พวกเขาจะเชื่อในพระเจ้าเสมอด้วยหัวใจที่รักพระเจ้า  และดังนั้น บุคคลประเภทนี้จึงเป็นคนสนิทของพระเจ้า บรรดาคนสนิทของพระเจ้านั้น ยังเป็นคนไว้ใจของพระองค์ด้วยเช่นกัน เฉพาะบรรดาคนสนิทเท่านั้นที่สามารถร่วมแบ่งเบาความกระวนกระวายใจของพระองค์ และพระดำริของพระองค์ได้ และแม้ว่าเนื้อหนังของพวกเขาจะเจ็บปวดและอ่อนแอ พวกเขาก็สามารถสู้ทนความเจ็บปวดและละทิ้งสิ่งที่พวกเขารักเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  พระเจ้าทรงมอบภาระที่มากขึ้นให้แก่ผู้คนเช่นนั้น และสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนาที่จะทำนั้นได้รับการยืนยันสนับสนุนจากคำพยานของผู้คนเหล่านี้ ด้วยเหตุนั้น ผู้คนเหล่านี้จึงเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า พวกเขาคือผู้รับใช้ของพระเจ้าที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระองค์ และเฉพาะผู้คนเยี่ยงนี้เท่านั้นที่สามารถปกครองร่วมกันกับพระเจ้าได้  เวลาที่เจ้าได้มาเป็นคนสนิทของพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้วนั้นก็คือเวลาที่เจ้าจะปกครองร่วมกันกับพระเจ้านั่นเอง

พระเยซูสามารถเสร็จสิ้นพระบัญชาของพระเจ้าได้—ซึ่งก็คือพระราชกิจของการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง—เพราะพระองค์ทรงคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า โดยปราศจากแผนการหรือการจัดการเตรียมการใดๆ สำหรับพระองค์เอง  ดังนั้น พระองค์จึงทรงเป็นคนสนิทของพระเจ้าด้วยเช่นกัน—พระเจ้าพระองค์เอง—ซึ่งเป็นอะไรสักอย่างที่พวกเจ้าทุกคนเข้าใจกันดีเป็นอย่างมาก (แท้ที่จริงแล้ว พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองผู้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงให้คำพยาน เราพาดพิงการนี้ตรงนี้เพื่อใช้ข้อเท็จจริงของพระเยซูแสดงตัวอย่างประเด็นปัญหา) พระองค์ได้สามารถวางแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าได้ตรงจุดศูนย์กลางพอดี และได้ทรงอธิษฐานต่อพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์และทรงแสวงหาน้ำพระทัยของพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ตลอดเวลา  พระองค์ได้ทรงอธิษฐานและตรัสไว้ว่า “พระเจ้าพระบิดา!  ขอทรงสำเร็จลุล่วงในน้ำพระทัยของพระองค์ และไม่ทรงทำตามความพึงปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ตามแผนการของพระองค์  มนุษย์อาจอ่อนแอ แต่เหตุใดพระองค์จึงควรที่จะเอาใจใส่เขา?  มนุษย์จะสามารถมีค่าคู่ควรกับความห่วงใยของพระองค์ได้อย่างไร มนุษย์ที่เป็นดั่งมดตัวหนึ่งในพระหัตถ์ของพระองค์?  ในหัวใจของข้าพระองค์ ปรารถนาที่จะลุล่วงน้ำพระทัยของพระองค์เท่านั้น และขอให้พระองค์สามารถทำในสิ่งที่พระองค์จะทรงทำในตัวข้าพระองค์ตามความพึงปรารถนาของพระองค์เอง” บนถนนสู่เยรูซาเลม พระเยซูทรงอยู่ในความเจ็บปวดร้าวราน ประหนึ่งมีดด้ามหนึ่งกำลังถูกบิดคว้านอยู่ในพระทัยของพระองค์ กระนั้นพระองค์ก็มิได้มีเจตนารมณ์ที่จะทรงคืนวาจาของพระองค์เลยแม้แต่น้อย  ตลอดเวลานั้นมีกำลังอันทรงพลังอำนาจบีบให้พระองค์จำยอมไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลาไปยังที่ที่พระองค์จะทรงถูกตรึงกางเขน  ในท้ายที่สุด พระองค์ก็ถูกตอกตรึงกับกางเขนและกลายเป็นสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป เป็นการเสร็จสิ้นพระราชกิจในการทรงไถ่มวลมนุษย์  พระองค์ได้ทรงหลุดพ้นจากโซ่ตรวนแห่งความตายและแดนคนตาย  เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ความตาย นรก และแดนคนตายสูญเสียพลังอำนาจของตน และได้ถูกกำราบโดยพระองค์  พระองค์ทรงมีพระชนม์อยู่เป็นเวลาสามสิบสามปี ตลอดช่วงเวลานี้พระองค์ได้ทรงทำอย่างสุดความสามารถของพระองค์เสมอเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยสอดคล้องกับพระราชกิจของพระเจ้าในเวลานั้น ไม่เคยทรงคำนึงถึงผลที่จะได้หรือความสูญเสียส่วนพระองค์เองเลย และทรงนึกถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าพระบิดาอยู่เสมอ  ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่พระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้ว พระเจ้าได้ตรัสว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก”  เพราะการปรนนิบัติของพระองค์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า พระเจ้าจึงได้ทรงวางภาระอันหนักหน่วงในการทรงไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงไว้บนพระอังสาทั้งสองของพระองค์ และได้ทรงทำให้พระองค์สำเร็จลุล่วงในภาระนี้ และพระองค์จึงทรงมีคุณสมบัติเหมาะสมและมีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติกิจสำคัญนี้จนเสร็จสิ้น  ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์  พระองค์ได้ทรงสู้ทนความทุกข์อันมิอาจประมาณได้เพื่อพระเจ้า และพระองค์ได้ทรงถูกซาตานทดลองนับครั้งไม่ถ้วน แต่พระองค์ก็ไม่เคยท้อพระทัย  พระเจ้าได้ทรงมอบกิจอันใหญ่หลวงเช่นนั้นให้แก่พระองค์เพราะพระเจ้าไว้วางพระทัยในพระองค์ และทรงรักพระองค์ และด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงได้ตรัสเป็นการส่วนพระองค์ว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก”  ในเวลานั้น มีเพียงพระเยซูเท่านั้นที่สามารถสำเร็จลุล่วงในพระบัญชานี้และนี่ได้เป็นหนึ่งแง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในการที่พระเจ้าทรงทำให้พระราชกิจในการทรงไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงของพระองค์ในยุคพระคุณครบบริบูรณ์

หากเป็นดั่งเช่นพระเยซูคือ พวกเจ้าสามารถมอบทุกความเอาใจใส่ต่อพระภาระของพระเจ้า และต่อต้านเนื้อหนังของพวกเจ้า พระเจ้าย่อมจะไว้วางพระทัยมอบหมายกิจสำคัญของพระองค์แก่พวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าจะเป็นไปตามสภาพเงื่อนไขที่พึงต้องมีในการรับใช้พระเจ้า  เฉพาะภายใต้รูปการณ์ดังกล่าวเท่านั้นที่พวกเจ้าจะกล้าพูดว่า พวกเจ้ากำลังทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าและกำลังทำให้พระบัญชาของพระเจ้าเสร็จสิ้น และเมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเจ้าจะกล้าพูดได้ว่าพวกเจ้ากำลังรับใช้พระเจ้าอย่างแท้จริง  เมื่อเทียบกับตัวอย่างของพระเยซู เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าเจ้าเป็นคนสนิทของพระเจ้า?  เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า?  เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าเจ้ากำลังรับใช้พระเจ้าอย่างแท้จริง?  วันนี้ เจ้าไม่เข้าใจว่าจะรับใช้พระเจ้าอย่างไร เจ้ากล้าเสี่ยงพูดว่าเจ้าเป็นคนใกล้ชิดของพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?  หากเจ้าพูดว่าเจ้ารับใช้พระเจ้า เจ้าไม่ได้หมิ่นประมาทพระองค์หรอกหรือ?  จงคิดดูเถิดว่า เจ้ากำลังรับใช้พระเจ้า หรือว่ารับใช้ตัวเจ้าเอง?  เจ้ารับใช้ซาตาน กระนั้นเจ้าก็ยังดื้อด้านพูดว่าเจ้ากำลังรับใช้พระเจ้า—ในเรื่องนี้ เจ้าไม่ได้หมิ่นประมาทพระเจ้าหรอกหรือ?  ลับหลังเรานั้น ผู้คนมากมายละโมบในผลประโยชน์ที่เกี่ยวกับสถานภาพ  พวกเขาตะกละตะกลามกินอาหาร พวกเขารักที่จะนอนและมอบทุกความเอาใจใส่ให้กับเนื้อหนัง กลัวอยู่เสมอว่าจะไม่มีทางออกสำหรับเนื้อหนัง  พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่อันถูกต้องเหมาะสมของตนในคริสตจักร แต่กลับเอาเปรียบคริสตจักร หรือไม่พวกเขาก็ตักเตือนบรรดาพี่น้องชายหญิงด้วยวจนะของเรา ตีกรอบผู้อื่นโดยใช้ตำแหน่งที่มีสิทธิอำนาจ  ผู้คนเหล่านี้เอาแต่พูดว่าพวกเขากำลังทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าและพูดเสมอว่าพวกเขาเป็นคนสนิทของพระเจ้า—เรื่องนี้ไม่ไร้สาระหรอกหรือ?  หากเจ้ามีแรงจูงใจที่ถูกต้อง แต่ไม่สามารถรับใช้ตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็โง่เขลา แต่หากแรงจูงใจของเจ้าไม่ถูกต้อง และเจ้ายังคงพูดว่าเจ้ารับใช้พระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นใครบางคนที่ต่อต้านพระเจ้า และเจ้าสมควรถูกพระเจ้าลงโทษ!  เราไม่มีความเห็นใจให้กับผู้คนเช่นนั้น!  ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเอาเปรียบ ละโมบในสิ่งชูใจของเนื้อหนังอยู่ตลอดเวลา และไม่คำนึงถึงความสนใจของพระเจ้า  พวกเขาแสวงหาสิ่งที่ดีสำหรับตนเสมอ และไม่ใส่ใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พวกเขาไม่ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระวิญญาณของพระเจ้าในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ  พวกเขาทำตัวคดในข้องอในกระดูก หลอกลวง และโกงพี่น้องชายหญิงของตนเสมอ ตีสองหน้าเหมือนสุนัขจิ้งจอกในไร่องุ่นที่ขโมยองุ่นและเหยียบย่ำไปทั่วไร่องุ่นเสมอ  ผู้คนเช่นนั้นจะเป็นคนสนิทของพระเจ้าได้หรือ?  เจ้าเหมาะสมที่จะได้รับพรของพระเจ้าหรือ?  เจ้าไม่ได้รับภาระสำหรับชีวิตของเจ้าและคริสตจักร เจ้าเหมาะสมที่จะได้รับพระบัญชาของพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?  ใครหรือจะกล้าไว้วางใจคนบางคนที่เป็นอย่างเจ้า?  เมื่อเจ้ารับใช้เยี่ยงนี้ พระเจ้าจะไว้วางพระทัยมอบหมายกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านี้แก่เจ้าได้หรือ?  นี่จะไม่ทำให้เกิดความล่าช้าต่อพระราชกิจหรอกหรือ?

เราพูดเรื่องนี้เพื่อที่พวกเจ้าอาจจะได้รู้ว่าต้องลุล่วงเงื่อนไขใดบ้างจึงจะรับใช้ได้อย่างสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  หากพวกเจ้าไม่มอบหัวใจของเจ้าให้พระเจ้า หากเจ้าไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเหมือนดังพระเยซู เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็จะไม่สามารถได้รับความไว้วางใจจากพระเจ้า และจะจบลงด้วยการถูกพระเจ้าทรงพิพากษา ชะรอยวันนี้ ในการปรนนิบัติพระเจ้าของเจ้า เจ้าเก็บงำเจตนาที่จะหลอกลวงพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา และจัดการกับพระองค์ในลักษณะพอเป็นพิธี  กล่าวอย่างสั้นๆ โดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด หากเจ้าโกงพระเจ้า การพิพากษาเหี้ยมโหดจะมาสู่เจ้า  พวกเจ้าควรใช้ประโยชน์จากการที่เพิ่งเข้าสู่ร่องครรลองถูกต้องของการรับใช้พระเจ้าเพื่อมอบหัวใจของเจ้าแด่พระเจ้าเสียก่อน โดยปราศจากความภักดีที่ถูกแบ่งแยก  ไม่ว่าเจ้าจะอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หรือต่อหน้าบุคคลอื่นๆ  หัวใจของเจ้าควรหันเข้าหาพระเจ้าตลอดเวลา และเจ้าควรตกลงใจแน่วแน่ที่จะรักพระเจ้าอย่างที่พระเยซูได้ทรงทำ  ด้วยวิธีนี้ พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม  เพื่อให้เจ้ากลายเป็นผู้รับใช้พระเจ้าที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระองค์  หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าอย่างแท้จริง และปรารถนาให้การปรนนิบัติของเจ้าสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระองค์ เช่นนั้น เจ้าก็ควรเปลี่ยนมุมมองก่อนหน้านั้นของเจ้าเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้า และเปลี่ยนหนทางเก่าๆ ที่เจ้าเคยใช้รับใช้พระเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าในจำนวนที่มากขึ้นจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  ด้วยหนทางนี้ พระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งเจ้า และเช่นเดียวกับเปโตร เจ้าจะเป็นกองหน้าของบรรดาผู้ที่รักพระเจ้า  หากเจ้ายังคงไม่กลับใจแล้วไซร้ เจ้าก็จะพบบทอวสานเดียวกับยูดาส  ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าควรเข้าใจเรื่องนี้

ก่อนหน้า: วิธีเข้าสู่สภาวะปกติ

ถัดไป: วิธีรู้จักความเป็นจริง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger