19. การเห็นว่าฉันหน่ายความจริง
มีอยู่วันหนึ่ง ฉันพบว่าผู้มาใหม่คนหนึ่งที่เพิ่งเข้าร่วมกับคริสตจักรไม่ได้มาชุมนุมสองครั้งแล้ว ฉันจึงถามหัวหน้ากลุ่มถึงเหตุผลที่เป็นแบบนี้ แต่หัวหน้ากลุ่มก็ไม่ได้ตอบอะไร ต่อมา ผู้มาใหม่คนนี้ก็เริ่มมาที่การชุมนุมอีก ฉันจึงไม่ได้ถามเหตุผลกับหัวหน้ากลุ่มคนนั้น ฉันคิดว่า “ตราบที่ผู้มาใหม่เข้าร่วมการชุมนุมตามปกติ นั่นย่อมไม่เป็นไร ตอนนี้ฉันก็กำลังยุ่งมากกับหน้าที่ของฉัน และการตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ จะต้องใช้เวลาและความพยายามมากมาย เอาไว้เมื่อฉันมีเวลา ฉันค่อยถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง” ผลลัพธ์ก็คือฉันลืมเรื่องนั้นไปเลย ต่อมา ในการชุมนุมอีกคราว ฉันสังเกตว่าผู้มาใหม่คนนี้ผละจากไปกลางคัน ฉันถามเหตุผลกับหัวหน้ากลุ่ม แต่เธอก็ยังคงไม่ตอบฉันอยู่ดี ฉันจึงไม่เคยได้รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องเลย ฉันไม่ได้ไปถามผู้มาใหม่คนนั้นด้วยว่า เธอกำลังมีสภาวะหรือความลำบากยากเย็นอะไรหรือไม่ ครั้นผ่านไปได้สักระยะ ฉันก็สังเกตเห็นว่า ผู้มาใหม่คนนี้ไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมติดกันหลายคราว ตอนนี้เองที่ฉันเริ่มเป็นกังวล ฉันจึงรีบติดต่อผู้มาใหม่ แต่เธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะตอบ ฉันกังวลว่าผู้มาใหม่คนนี้จะไปจากคริสตจักร ฉันจึงรีบติดต่อหัวหน้ากลุ่มโดยเร็ว เพื่อดูว่าเธอสามารถติดต่อผู้มาใหม่คนนี้ได้หรือไม่ แต่หัวหน้ากลุ่มบอกฉันว่า “ผู้มาใหม่คนนี้ไม่เคยตอบรับการขอเป็นเพื่อนของฉัน ฉันเลยติดต่อเธอไม่ได้” ฉันรู้สึกเสียดายไม่น้อย หากฉันตรวจดูเรื่องนี้ให้เร็วกว่านี้ ฉันคงคิดหาหนทางเยียวยาแก้ไขได้ แต่ตอนนี้มันสายไปเสียแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของฉันเองที่ไม่คอยติดตามผลงาน ฉันได้อ่านบันทึกการสนทนากับผู้มาใหม่โดยหวังที่จะรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของเธอมากขึ้น ฉันจึงได้รู้ตัวว่าหลังจากกล่าวต้อนรับเธอไปไม่กี่คำ ฉันก็ไม่เคยพูดคุยกับเธอในเรื่องอื่นใดเลย ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย ฉันตระหนักเลยว่าความหวังที่จะได้ผู้มาใหม่คนนี้กลับมานั้นริบหรี่ เหตุผลที่เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นก็เป็นเพราะฉันกำลังจับแพะชนแกะไปวันๆ แต่ในเวลานั้น ฉันไม่ได้ทบทวนตัวเองอย่างจริงจังในเรื่องนี้ ฉันแค่คิดถึงมันเพียงผ่านๆ โดยยอมรับว่าฉันสะเพร่าไปเล็กน้อย จากนั้นก็เดินหน้าต่อ
ผ่านไปไม่นานนัก หัวหน้างานก็มาถามฉันเกี่ยวกับผู้มาใหม่คนนี้ รวมทั้งเหตุผลที่เธอได้ไปจากคริสตจักร นั่นทำฉันร้อนใจมาก ฉันคิดไปว่า “แย่แล้ว ฉันกำลังจะถูกเปิดโปง ทันทีที่หัวหน้างานรู้เข้าว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น เธอจะต้องพูดอย่างแน่นอนว่า ฉันทำหน้าที่แบบจับแพะชนแกะไปวันๆ และวางใจไม่ได้ ถ้าฉันถูกปลดขึ้นมาล่ะ ฉันจะทำอย่างไรดี?” ไม่ผิดจากที่คิดไว้ หลังจากที่ได้รู้เกี่ยวกับสถานการณ์นั้น หัวหน้างานก็ชี้ให้เห็นถึงปัญหาของฉัน โดยพูดว่าฉันแค่กำลังแสร้งทำท่าพอเป็นพิธี และไม่ได้ใส่ใจ หรือพยายามเรียนรู้สภาวะของผู้มาใหม่คนนี้เลย พอได้ยินแบบนี้ ฉันก็รีบพยายามสร้างความชอบธรรมให้ตนเองว่า “ผู้มาใหม่คนนี้ไม่ตอบสนองการกล่าวทักทายต้อนรับของฉันเลย ฉันจึงไม่สามารถสนทนากับเธอต่อได้” หัวหน้างานจึงตัดแต่งกับฉันโดยกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าคุณสนทนาต่อไม่ได้ แต่เป็นที่คุณไม่สนใจผู้มาใหม่คนนี้เลยต่างหาก” ฉันกังวลว่า หากฉันรับสารภาพว่ากำลังจับแพะชนแกะไปวันๆ ฉันก็จะต้องรับผิดชอบ ฉันจึงรีบอธิบายไปว่า “โดยหลักแล้ว หัวหน้ากลุ่มเป็นคนรับผิดชอบผู้มาใหม่คนนั้น ฉันคิดว่าเธอติดต่อกับผู้มาใหม่คนนั้นอยู่ตลอด ฉันก็เลยไม่ได้ถามถึงสถานการณ์ของผู้มาใหม่คนนี้ให้ทันท่วงที ฉันถามหัวหน้ากลุ่มไปแล้ว แต่เธอก็ตอบฉันไม่ทันการณ์” ฉันได้แสดงข้อความที่ฉันส่งหาหัวหน้ากลุ่มให้หัวหน้างานดู เพื่อพิสูจน์ว่าตามที่จริงนั้น ฉันใส่ใจผู้มาใหม่คนนี้ ฉันยังให้เธอดูข้อความที่ฉันส่งหาผู้มาใหม่หลังจากนั้นด้วย เพื่อพิสูจน์ว่าหลังจากที่ฉันค้นพบว่าเธอไม่มาชุมนุมตามปกติ ฉันก็พยายามแล้วที่จะติดต่อเธอให้ทันเวลา แต่เธอก็ไม่ได้ตอบฉัน ฉันถึงกับหาเหตุผลมาบอกว่า ฉันโทรหาผู้มาใหม่คนนี้ไม่ได้ เพราะผู้ประกาศข่าวประเสริฐไม่ได้จัดเตรียมหมายเลขโทรศัพท์ของเธอไว้ให้กับฉัน ฉันให้เหตุผลที่เป็นข้อเท็จจริงแวดล้อมมากมาย ปัดโทษให้ผู้อื่นตลอดเวลา โดยหวังว่าหัวหน้างานจะคิดว่าปัญหานี้มีเหตุผล ว่านั่นไม่ใช่ความผิดของฉัน หรืออย่างน้อยผู้อื่นก็มีส่วนในโทษครั้งนี้ด้วย และไม่ใช่ความผิดของฉันทั้งหมด การได้เห็นว่าฉันไม่ยอมรับปัญหา และบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบ หัวหน้างานจึงตัดแต่งกับฉันโดยพูดว่า “ผู้มาใหม่คนนี้เข้าร่วมการชุมนุมอยู่หลายครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเธอโหยหาความจริง แต่คุณไม่ได้ถามถึงสภาวะและความลำบากยากเย็นของเธอให้ทันการณ์ และตอนนี้ คุณก็กำลังบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบด้วยการพูดว่าคุณไม่สามารถติดต่อเธอได้เพราะคุณไม่มีเบอร์เธอ นี่มันไร้เหตุผลมากเลยนะ!” ฉันตระหนักเลยว่า หัวหน้างานมองเห็นปัญหาของฉันอย่างชัดเจน และฉันก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้ ฉันกังวลว่า “หัวหน้างานจะคิดอย่างไรกับฉัน? เธอจะว่าฉันไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลยไหม? ฉันจะถูกปลดหรือเปล่า?” ฉันรู้สึกวิตกกังวลมาก และไม่อาจสงบใจลงได้เลย หลังจากนั้น ฉันได้พิจารณาทบทวนอยู่ในใจเกี่ยวกับทุกสิ่งทุอย่างที่นำมาสู่เรื่องนี้ และได้ตระหนักว่า ฉันไม่ได้กำลังเป็นคนที่ซื่อสัตย์ในเรื่องนี้ หรือกำลังยอมรับการตัดแต่ง ชัดเจนเลยว่าฉันไม่ได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องเหมาะสม ฉันจับแพะชนแกะไปวันๆ แต่กระนั้นฉันยังคงใช้ลูกเล่นและหาข้ออ้างเพื่อทำให้ตัวเองชอบธรรม ฉันถึงกับพยายามติเตียนผู้ประกาศข่าวประเสริฐที่ไม่จัดเตรียมหมายเลขโทรศัพท์ไว้ให้ ฉันกำลังปฏิเสธไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า ฉันทำหน้าที่แบบจับแพะชนแกะไปวนๆ และไม่ทบทวนตัวเอง การคิดถึงพฤติกรรมของตัวเองทำให้ฉันไม่สบายใจอย่างมาก แม้ว่าฉันได้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน แต่ในยามที่มีสถานการณ์จริงเข้ามา และในยามที่ฉันถูกตัดแต่ง ฉันก็ยังใช้ชีวิตอยู่ด้วยอุปนิสัยที่เสื่อมทราม และไม่ยอมรับความจริง ฉันรู้สึกว่าความเสื่อมทรามของฉันดิ่งลึกเกินไป และฉันก็ได้ตัดสินไปว่า มันคงลำบากยากเย็นที่ฉันจะเปลี่ยนแปลง ฉันจึงรู้สึกคิดลบอยู่ไม่น้อย
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “การไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมเป็นไปโดยสมัครใจ ถ้าเจ้ารักความจริง เช่นนั้นแล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทรงพระราชกิจในตัวเจ้า เมื่อเจ้ารักความจริง เมื่อเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพิงพระองค์ ทบทวนตนเองและพยายามที่จะรู้จักตัวเจ้าเองไม่ว่าจะมีการข่มเหงหรือความทุกข์ร้อนอะไรบังเกิดแก่เจ้าก็ตาม และเมื่อเจ้าแสวงหาความจริงอย่างแข็งขันเพื่อแก้ไขปัญหาที่เจ้าพบอยู่ในตัวเจ้า และสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดีพอ เจ้าย่อมจะตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าได้ เมื่อผู้คนรักความจริง พวกเขาย่อมสำแดงทั้งหมดนี้ให้เห็นเป็นธรรมดา ทั้งหมดนี้ย่อมเกิดขึ้นด้วยความสมัครใจ ด้วยความยินดี และปราศจากการบีบบังคับ ไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมใดๆ ติดมา ถ้าผู้คนสามารถติดตามพระเจ้าในลักษณะนี้ พวกเขาย่อมจะได้รับความจริงและชีวิตในท้ายที่สุด พวกเขาจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และย่อมจะใช้ชีวิตตามภาพลักษณ์ของมนุษย์… ไม่ว่าเหตุผลที่เจ้าเชื่อในพระเจ้าจะเป็นเช่นใด ท้ายที่สุดแล้วพระเจ้าย่อมจะทรงกำหนดจุดจบของเจ้าโดยดูว่าเจ้าได้รับความจริงหรือไม่ ถ้าเจ้ายังไม่ได้รับความจริง เช่นนั้นแล้วเหตุผลที่ใช้สร้างความชอบธรรมให้ตนเองหรือข้ออ้างที่เจ้าคิดขึ้นมาย่อมฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้น จงพยายามให้เหตุผลไปตามแต่ใจของเจ้าเถิด วิตกกังวลไปตามแต่เจ้าจะพอใจ—พระเจ้าจะใส่พระทัยกระนั้นหรือ? พระเจ้าจะตรัสสนทนากับเจ้ากระนั้นหรือ? พระองค์จะทรงเสวนาและหารือกับเจ้ากระนั้นหรือ? พระองค์จะทรงปรึกษาเจ้ากระนั้นหรือ? คำตอบคืออะไร? ไม่ แน่นอนที่สุดว่าพระองค์จะไม่ทำเช่นนั้น ไม่ว่าการให้เหตุผลของเจ้าจะหนักแน่นเพียงใด ก็ย่อมจะฟังไม่ขึ้น เจ้าต้องไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าไปในทางที่ผิด คิดไปว่าหากเจ้าให้เหตุผลและข้ออ้างทุกอย่าง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องไล่ตามเสาะหาความจริง พระเจ้าทรงต้องการให้เจ้าแสวงหาความจริงได้ในทุกสภาพแวดล้อมและในทุกเรื่องที่บังเกิดแก่เจ้า สัมฤทธิ์การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและได้รับความจริงในที่สุด ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงจัดแจงเตรียมรูปการณ์เช่นไรไว้ให้เจ้า ไม่ว่าเจ้าจะพบพานผู้คนและเหตุการณ์แบบไหน และไม่ว่าเจ้าจะตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นไร เจ้าก็ควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงเพื่อที่จะเผชิญหน้าสิ่งเหล่านี้ นี่คือบทเรียนทั้งหลายที่เจ้าควรเรียนรู้โดยแท้ในการไล่ตามเสาะหาความจริง ถ้าเจ้ามองหาข้อแก้ตัวอยู่เสมอเพื่อเลี่ยงหนี ไม่ยอมรับ ต้านทาน หรือออกจากสภาพการณ์เหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะทรงละทิ้งเจ้า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะให้เหตุผล ดื้อดึง หรือทำตัวว่ายาก—ถ้าพระเจ้าไม่ทรงกังวลถึงเจ้า เจ้าย่อมจะสูญสิ้นโอกาสที่จะได้รับความรอด” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (1)) ฉันได้เห็นจากพระวจนะของพระเจ้า ว่าการที่จะแก้ไขความเสื่อมทราม และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงนั้นไม่ลำบากยากเย็นเลย กุญแจสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ผู้คนเลือกอย่างไร รวมทั้งพวกเขาแสวงหาและปฏิบัติความจริงหรือไม่ ไม่ว่าสถานการณ์ใดก็ตาม จะเป็นการตัดแต่ง ความล้มเหลว หรือความพลาดพลั้งก็ดี ผู้คนก็ต้องสามารถที่จะทบทวนเพื่อรู้จักตนเองและแสวงหาความจริงอย่างแข็งขัน ครั้นคุณเข้าใจขึ้นสักเล็กน้อย นำไปปฏิบัติ และปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริง เมื่อทำสิ่งนี้ คุณก็จะเห็นการเติบโตและเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ในยามที่ถูกตัดแต่ง หากคุณเลี่ยงหลบ ปฏิเสธ และมีข้ออ้างเสมอ นอกจากคุณจะไม่ได้รับความจริงแล้ว คุณย่อมจะถูกพระเจ้าทรงดูหมิ่นและปฏิเสธอีกด้วย เมื่อมองดูตนเองอีกครั้ง ตอนที่ฉันถูกตัดแต่ง ฉันไม่ได้ยอมรับ เชื่อฟัง รับผิดอย่างซื่อสัตย์ ทบทวนปัญหาของฉัน หรือแสวงหาความจริงอย่างแข็งขันเพื่อแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของฉันเลย ฉันกลับจำกัดตัวเอง กลายเป็นคิดลบ และต่อต้านความจริง ไม่ใช่ว่าฉันกำลังไร้เหตุผลอยู่หรอกหรือ? นี่ไม่ใช่ท่าทีของการยอมรับความจริง! พอได้รับรู้ ฉันก็ไม่ต้องการดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะที่เป็นลบ และจำกัดตัวเอง ฉันต้องการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหลายของฉัน ฉันเริ่มทบทวน และฉงนว่าเหตุใดฉันจึงมักจะพูดจาดี แต่พอถูกตัดแต่ง ฉันกลับไม่ยอมรับ ทั้งยังกลายเป็นคิดลบและท้าทาย อุปนิสัยอะไรหรือที่ฉันเปิดเผยออกมา?
ในการแสวงหา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนที่ว่า “บางคนสามารถยอมรับว่าตนคือมาร เป็นเหล่าซาตาน และเลือดเนื้อเชื้อไขของพญานาคใหญ่สีแดง และพูดถึงการที่พวกเขารู้จักตนเองอย่างน่าฟังมาก แต่เมื่อพวกเขาเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แล้วมีใครบางคนเปิดโปงพวกเขา และตัดแต่งพวกเขา พวกเขาก็จะพยายามอย่างสุดกำลังที่จะสร้างความชอบธรรมให้ตนเองและจะไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด อะไรคือปัญหาในที่นี้? ในการนี้ ผู้คนเหล่านี้ถูกเปิดโปงอย่างหมดเปลือก พวกเขาพูดจาชวนฟังเหลือเกินเวลาที่พวกเขาพูดถึงการรู้จักตัวพวกเขาเอง ดังนั้นทำไมเวลาเผชิญการถูกตัดแต่ง พวกเขาถึงยอมรับความจริงไม่ได้? มีปัญหาที่ตรงนี้ เรื่องแบบนี้ทำกันเป็นปกติมากไม่ใช่หรือ? นี่ดูออกง่ายหรือไม่? อันที่จริงดูออกง่าย มีผู้คนไม่น้อยที่ยอมรับว่าตนคือมารและเป็นเหล่าซาตานเวลาที่พวกเขาพูดถึงการรู้จักตนเอง แต่ก็ไม่กลับใจหรือเปลี่ยนแปลงในภายหลัง ดังนั้นการรู้จักตนเองที่พวกเขาพูดถึงย่อมแท้จริงหรือเทียมเท็จ? พวกเขามีการรู้จักตนเองจริงหรือไม่ หรือว่านั่นเป็นเพียงกลโกงที่หมายจะลวงคนอื่น? คำตอบย่อมชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น การดูว่าคนคนหนึ่งรู้จักตนเองจริงหรือไม่ เจ้าจึงไม่ควรเอาแต่ฟังพวกเขาพูดคุยถึงเรื่องนั้น—เจ้าควรดูท่าทีที่พวกเขามีต่อการถูกตัดแต่ง และดูว่าพวกเขายอมรับความจริงได้หรือไม่ นั่นคือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ใครก็ตามที่ไม่ยอมรับการถูกตัดแต่งย่อมมีแก่นแท้ที่ไม่ยอมรับความจริง ปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง และอุปนิสัยของพวกเขาก็รังเกียจความจริง นั่นไม่ต้องสงสัยเลย บางคนไม่ยินยอมให้คนอื่นตัดแต่งพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะเผยให้เห็นความเสื่อมทรามมากมายเพียงใดแล้วก็ตาม—ไม่มีใครสามารถตัดแต่งพวกเขาได้ พวกเขาอาจพูดถึงการรู้จักตัวพวกเขาเองในหนทางใดก็ได้ตามชอบ แต่ถ้ามีใครอื่นเปิดโปงพวกเขา วิจารณ์ หรือตัดแต่งพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นกลางหรือสอดคล้องกับข้อเท็จจริงเพียงใด พวกเขาก็จะไม่ยอมรับ ไม่ว่าอีกคนหนึ่งจะเปิดโปงการพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นใดในตัวพวกเขาออกมา พวกเขาก็จะต่อต้านอย่างที่สุดและสร้างความชอบธรรมให้ตนเองด้วยคำอธิบายที่ลวงโลกอยู่ร่ำไป ไม่มีความนบนอบอันแท้จริงแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ ถ้าผู้คนเช่นนี้ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ก็ย่อมจะมีปัญหา” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (1)) “ลักษณะสำคัญที่สำแดงให้เห็นการรังเกียจความจริงไม่ใช่เพียงผู้คนรู้สึกไม่ชอบใจเวลาได้ฟังความจริงเท่านั้น การสำแดงนี้ยังรวมถึงความไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติความจริง การหันกลับเมื่อถึงเวลาปฏิบัติความจริง ราวกับว่าความจริงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาเลย เมื่อบางคนสามัคคีธรรมระหว่างการชุมนุม พวกเขาดูมีชีวิตชีวามาก พวกเขาชอบเอ่ยถ้อยคำและคำสอนซ้ำ ตลอดจนกล่าวถ้อยแถลงที่สูงส่งเพื่อทำให้ผู้อื่นหลงผิดและชนะใจผู้อื่น พวกเขาดูเปี่ยมด้วยพลังงานและรื่นเริงยิ่งนักขณะที่ทำเช่นนี้ และพวกเขาจะทำต่อเรื่อยไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในขณะที่คนอื่น ใช้เวลาตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำง่วนอยู่กับเรื่องของความเชื่อ การอ่านพระวจนะของพระเจ้า การอธิษฐาน การฟังบทสวดสรรเสริญ การจดบันทึก ราวกับว่าพวกเขาไม่สามารถอยู่ห่างจากพระเจ้าได้แม้ชั่วขณะเดียว ตั้งแต่รุ่งอรุณจรดพลบค่ำ พวกเขาง่วนอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่ของตน จริงๆ แล้วคนเหล่านี้รักความจริงหรือไม่? พวกเขามีอุปนิสัยที่รังเกียจความจริงมิใช่หรือ? สภาวะที่แท้จริงของพวกเขาจะถูกมองเห็นได้เมื่อใด? (เมื่อถึงเวลาปฏิบัติความจริง พวกเขาวิ่งหนี อีกทั้งไม่เต็มใจที่จะยอมรับการถูกตัดแต่ง) เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่เป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาได้ยิน หรือเป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริงจนกระทั่งพวกเขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับความจริง? คำตอบไม่ใช่ทั้งสองประการที่กล่าวมา พวกเขาถูกธรรมชาติของตนเองควบคุม นี่เป็นปัญหาของอุปนิสัย ผู้คนเหล่านี้รู้ดีอย่างเต็มเปี่ยมในหัวใจของตนว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง พระวจนะคือสิ่งที่เป็นบวก และการปฏิบัติความจริงสามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของผู้คนและทำให้พวกเขาสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้—แต่พวกเขาก็ไม่ยอมรับหรือนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ นี่คือการรังเกียจความจริง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงการรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหกประเภทเท่านั้นที่เป็นการรู้จักตนเองอย่างแท้จริง) ฉันได้เห็นจากพระวจนะของพระเจ้าว่าผู้คนมีอุปนิสัยที่เบื่อหน่ายความจริง ซึ่งในกรณีนั้น พวกเขาสำแดงถึงการปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง การไม่ยอมรับการตัดแต่ง และการไม่ยอมที่จะปฏิบัติความจริง ฉันทบทวนตัวเองและได้ตระหนักว่า แม้ว่าฉันได้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของฉันทุกวัน และระหว่างการชุมนุม ฉันก็ยอมรับได้ตามพระวจนะของพระเจ้า ว่าฉันมีอุปนิสัยเสื่อมทราม ฉันเป็นของซาตาน เป็นลูกของพญานาคใหญ่สีแดง และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ดูภายนอกเหมือนฉันยอมรับความจริงได้ แต่ยามที่ฉันถูกตัดแต่งเพราะการจับแพะชนแกะในการทำหน้าที่ ฉันก็พยายามที่จะหาเหตุผลให้ตนเอง ปัดโทษให้ผู้อื่น และไม่ยอมรับความเสื่อมทรามของตัวเอง ฉันจึงตระหนักว่าฉันไม่ใช่ใครสักคนที่ยอมรับหรือปฏิบัติความจริงเลย และตระหนักว่าฉันได้เปิดโปงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่เบื่อหน่ายความจริงในทุกสิ่งออกมา ฉันรู้ว่าในฐานะคนให้น้ำ ข้อพึงประสงค์ขั้นต่ำสุดก็คือการมีความรับผิดชอบและอดทน เหล่าผู้มาใหม่ยังไม่ได้หยั่งรากลงบนหนทางที่แท้จริง พวกเขาเป็นเหมือนทารกแรกเกิด และพวกเขาเปราะบางมากในชีวิต หากพวกเขาไม่มาชุมนุม เราก็ต้องตรวจดูสภาวะของพวกเขา และหาทางให้น้ำและเกื้อหนุนพวกเขาโดยเร็ว ฉันเข้าใจหลักธรรมเหล่านี้ แต่พอถึงเวลาปฏิบัติ ทนทุกข์ และยอมลำบาก ฉันกลับไม่ต้องการทำ เห็นได้ชัดเจนว่าฉันรู้ความจริงแต่ไม่ปฏิบัติความจริง นอกเหนือจากที่ฉันทักทายต้อนรับผู้มาใหม่คนนี้ไปสองสามครั้งแล้ว ฉันก็ไม่ได้ให้น้ำหรือให้การเกื้อหนุนใดเลย เมื่อฉันพบว่าเธอไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมอย่างสม่ำเสมอ ฉันก็ไม่ได้ร้อนใจคิดหาวิธีที่จะติดต่อกับเธอให้ได้โดยเร็ว หรือที่จะมาเข้าใจปัญหาและความลำบากยากเย็นของเธอ ฉันละเลยและไร้ความรับผิดชอบ จนเป็นเหตุให้เธอทิ้งคริสตจักรไป แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่ได้ทบทวนตัวเอง เมื่อหัวหน้างานชี้ให้เห็นปัญหา ฉันก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหาข้ออ้างสำหรับการจับแพะชนแกะไปวันๆ ของฉัน โดยหวังว่าจะปักหมุดความรับผิดชอบไว้ที่หัวหน้ากลุ่มและผู้ประกาศข่าวประเสริฐ นี่จะเป็นท่าทีของการยอมรับและเชื่อฟังความจริงได้อย่างไรกัน? ทั้งหมดที่ฉันเปิดโปงไปก็คืออุปนิสัยที่หน่ายความจริงเท่านั้นเอง!
ฉันแสวงหาความจริงต่อไปและได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง ความว่า “โดยไม่คำนึงถึงรูปการณ์แวดล้อมที่ทำให้ใครบางคนถูกตัดแต่ง ท่าทีที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่ควรต้องมีต่อการถูกตัดแต่งคืออะไร? ก่อนอื่นเจ้าต้องยอมรับการนั้น ไม่ว่าผู้ใดกำลังตัดแต่งเจ้า จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะออกมาดูรุนแรงหรือไม่ หรือด้วยน้ำเสียงและการใช้คำพูดเช่นไรก็ตาม เจ้าควรยอมรับ จากนั้นเจ้าควรตระหนักรู้ว่าเจ้าทำอะไรผิดไป เจ้าได้เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอันใดออกมา และเจ้าปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริงหรือไม่ นี่คือท่าทีที่เจ้าควรมีในเบื้องต้น แล้วพวกศัตรูของพระคริสต์มีท่าทีเช่นนี้หรือไม่? พวกเขาไม่มี ตั้งแต่ต้นจนจบท่าทีที่พวกเขาแสดงออกมาคือท่าทีที่ต้านทานและสะอิดสะเอียน ด้วยท่าทีเช่นนั้น พวกเขาจะสามารถนิ่งเงียบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับการตัดแต่งอย่างเจียมตนได้หรือ? พวกเขาย่อมทำไม่ได้ แล้วพวกเขาจะทำอะไรหลังจากนั้น? แรกสุดเลย พวกเขาจะโต้เถียงกันอย่างดุเดือดและอ้างเหตุผลเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง แก้ต่างและโต้แย้งให้กับความผิดที่พวกเขาทำลงไปและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเขาเปิดเผยให้เห็น โดยหวังว่าจะได้รับความเข้าใจและการให้อภัยจากผู้คน เพื่อให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบหรือยอมรับคำพูดที่ใช้ตัดแต่งพวกเขา พวกเขาแสดงท่าทีใดออกมาอย่างชัดแจ้งเมื่อเผชิญหน้าการถูกตัดแต่ง? ‘ฉันไม่ได้ทำบาป ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าฉันทำผิด ก็ย่อมมีเหตุผลที่ฉันทำเช่นนั้น ถ้าฉันทำผิด ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจทำผิด ฉันจึงไม่ควรต้องรับผิดชอบ มีใครไม่ทำผิดพลาดบ้าง?’ พวกเขารีบฉวยเอาถ้อยแถลงและวลีเหล่านี้มาใช้ แต่พวกเขาไม่แสวงหาความจริง และไม่ยอมรับรู้ความผิดที่ตนก่อหรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ตนเผยออกมา—และพวกเขาก็ไม่ยอมรับเป็นแน่ว่าอะไรคือเจตนาและเป้าหมายของตนในการทำชั่ว… ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่ยอมหรือรับรู้ แต่ยังคงท้าทายและต้านทานต่อไป ไม่ว่าผู้อื่นจะพูดว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่ยอมรับหรือรับรู้ แต่กลับคิดว่า ‘มาดูกันว่าใครจะพูดจาชนะใคร มาดูว่าใครจะเป็นนักพูดที่เก่งกว่ากัน’ นี่คือท่าทีอย่างหนึ่งที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้กับการถูกตัดแต่ง” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่แปด)) ฉันได้เห็นจากสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผย ว่าเมื่อคนปกติถูกตัดแต่ง พวกเขาสามารถยอมรับการตัดแต่งนั้นจากพระเจ้า เชื่อฟัง ทบทวนตนเอง และสัมฤทธิ์การกลับใจใหม่และเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงได้ ต่อให้พวกเขายอมรับไม่ได้ในขณะนั้น แต่ต่อมา โดยผ่านทางการแสวงหาและทบทวนอย่างต่อเนื่อง พวกเขาก็สามารถเรียนรู้บทเรียนจากการตัดแต่งได้ แต่ศัตรูของพระคริสต์นั้นเบื่อหน่ายและเกลียดชังความจริงโดยธรรมชาติ เมื่อพวกเขาถูกตัดแต่ง พวกเขาก็ไม่เคยทบทวนตัวเอง พวกเขามีแต่แสดงท่าทีของการต่อต้าน การปฏิเสธ และการเกลียดชังออกมาเท่านั้น เมื่อทบทวนพฤติกรรมของตัวเอง เห็นได้ชัดว่าฉันจับแพะชนแกะไปวันๆ และไม่ได้เกื้อหนุนผู้มาใหม่อย่างทันท่วงที เป็นเหตุให้เธอทิ้งคริสตจักรไป นี่เป็นการฝ่าฝืนอย่างหนึ่งไปแล้ว ใครก็ตามที่พอมีมโนธรรมหรือเหตุผลอยู่บ้างก็คงจะรู้สึกผิดและทุกข์ใจ และคงจะทบทวนปัญหาของตัวเอง ไม่พูดอะไรมากไปอีกในเรื่องนั้น แต่ฉันไม่เพียงไม่รู้สึกเป็นหนี้เท่านั้น ฉันยังไม่ยอมรับปัญหาของตัวเองอีกด้วย ฉันถูกให้เผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัดขนาดนั้น แต่ฉันก็ยังพยายามบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบแบบรู้ทั้งรู้ โดยพูดว่า ตอนแรกผู้มาใหม่ไม่มีทีท่าว่าจะตอบฉัน และแล้วก็ว่าหัวหน้ากลุ่มขาดความรับผิดชอบ และสุดท้าย ฉันก็โทษผู้ประกาศข่าวประเสริฐ โดยหวังที่จะขจัดความรับผิดชอบอะไรก็ตามให้พ้นตัว และได้รับความเข้าใจจากหัวหน้างาน เมื่อเผชิญกับสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผย รวมทั้งการถูกตัดแต่ง ฉันก็ไม่ได้ทบทวนตัวเองเลย ฉันกลับต่อตาน ขัดขืนและหาข้ออ้างสารพัดมาปกป้องและทำให้ตัวเองชอบธรรม เพราะฉันไม่ต้องการรับผิดชอบ ฉันมีสภาวะความเป็นมนุษย์หรือเหตุผลอยู่ในหนทางใดหรือ? ฉันได้เห็นว่าสิ่งที่ฉันเปิดโปงออกมาก็คืออุปนิสัยที่ดื้อรั้นและเบื่อหน่ายความจริง ฉันไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ฉันได้เห็นว่าหลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี อุปนิสัยของฉันกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใดเลย แล้วฉันก็รู้สึกทุกข์ใจ
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง ที่ให้ความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับปัญหาของฉันในการไม่ยอมรับการตัดแต่ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ท่าทีอันเป็นแบบฉบับที่ศัตรูของพระคริสต์มีต่อการตัดแต่งคือปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตายที่จะยอมรับหรือสารภาพผิด ไม่ว่าพวกเขาจะทำความชั่วไปเท่าใด สร้างความเสียหายให้แก่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไปมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่สำนึกผิดแม้แต่น้อยหรือรู้สึกว่าพวกเขาติดค้างอะไร จากมุมมองนี้ พวกศัตรูของพระคริสต์มีความเป็นมนุษย์หรือไม่? แน่นอนว่าไม่มี พวกเขาก่อให้เกิดความเสียหายสารพัดอย่างแก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ทำให้งานของคริสตจักรเสียหาย—ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถมองเห็นการนี้ได้อย่างชัดแจ้ง และสามารถมองเห็นความประพฤติชั่วที่ศัตรูของพระคริสต์ทำไว้อย่างต่อเนื่อง กระนั้นพวกศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่ยอมรับหรือยอมรับรู้ข้อเท็จจริงนี้ พวกเขาไม่ยอมรับว่าพวกเขาผิดพลาด หรือว่าพวกเขาต้องรับผิดชอบ นี่ไม่ใช่ข้อบ่งชี้ว่าพวกเขารังเกียจความจริงหรอกหรือ? นั่นคือขอบข่ายที่พวกศัตรูของพระคริสต์รังเกียจความจริง ไม่ว่าพวกเขาจะกระทำความเลวมากเพียงใด พวกเขาก็ดื้อรั้นไม่ยอมรับ และพวกเขายังคงไม่ยอมจำนนในท้ายที่สุด นี่พิสูจน์ให้เห็นมากพอว่าศัตรูของพระคริสต์ไม่เคยจริงจังกับงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือยอมรับความจริง พวกเขาไม่ได้มาเพื่อที่จะเชื่อในพระเจ้า พวกเขาคือลูกสมุนของซาตาน มาเพื่อก่อกวนและทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงัก ในหัวใจของศัตรูพระคริสต์มีแต่ความมีหน้ามีตาและสถานะเท่านั้น พวกเขาเชื่อว่าหากพวกเขายอมรับรู้ความผิดพลาดของตน เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะต้องยอมรับผิดชอบ แล้วจากนั้นสถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขาก็จะเสียหายอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงต้านทานด้วยท่าทีที่ ‘ปฏิเสธจนตัวตาย’ ไม่ว่าผู้คนจะเปิดโปงหรือชำแหละพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ปฏิเสธอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าการไม่ยอมรับของพวกเขาจะจงใจหรือไม่ สรุปแล้ว ในด้านหนึ่งนั้น พฤติกรรมเหล่านี้ก็เปิดโปงแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูพระคริสต์ที่รังเกียจและเกลียดชังความจริง ในอีกด้านหนึ่ง นี่แสดงให้เห็นว่าพวกศัตรูของพระคริสต์ชื่นชมสถานะ ความมีหน้ามีตา และผลประโยชน์ของตนเองว่าล้ำค่ามากเพียงใด ในขณะเดียวกัน ท่าทีที่พวกเขามีต่องานและผลประโยชน์ของคริสตจักรเป็นเช่นไร? เป็นท่าทีที่เหยียดหยามและไม่รับผิดชอบ พวกเขาไร้ซึ่งมโนธรรมและเหตุผลทั้งปวง การบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบของพวกศัตรูพระคริสต์แสดงให้เห็นปัญหาเหล่านี้มิใช่หรือ? ในด้านหนึ่งนั้น การบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบพิสูจน์ให้เห็นแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาที่รังเกียจและเกลียดชังความจริง ขณะที่ในอีกด้านหนึ่งก็แสดงให้เห็นการไร้ซึ่งมโนธรรม เหตุผล และความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ไม่ว่าการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงจะเสียหายมากเพียงใดเพราะการก่อกวนและการทำชั่วของพวกเขา พวกเขาก็ไม่รู้สึกว่ามีคำติเตียนและจะไม่มีวันรู้สึกเสียใจเพราะเรื่องนี้ได้ นี่คือสิ่งทรงสร้างแบบไหนกัน? แม้ว่าการยอมรับความผิดพลาดบางส่วนของตนจะนับได้ว่าพวกเขายังพอมีมโนธรรมและเหตุผลอยู่บ้าง แต่พวกศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่มีความเป็นมนุษย์แม้ในส่วนนั้นด้วยซ้ำ ดังนั้นแล้ว พวกเจ้าคิดว่าพวกเขาคืออะไร? พวกศัตรูพระคริสต์คือมารในแก่นแท้ ไม่ว่าพวกเขาจะทำให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียหายเพียงใด พวกเขาก็มองไม่เห็น หัวใจของพวกเขาไม่เศร้าเสียใจเพราะเรื่องนี้แม้แต่น้อย พวกเขาไม่นึกตำหนิตัวเอง และยิ่งไม่รู้สึกว่าติดค้าง แน่นอนที่สุดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรพบเห็นในตัวผู้คนที่ปกติ พวกเขาคือมาร และพวกมารย่อมไร้ซึ่งมโนธรรมหรือเหตุผลใดๆ” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สาม)) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เห็นว่าพวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับการตัดแต่ง เพราะธรรมชาติของพวกเขาเบื่อหน่ายและเกลียดชังความจริง และเพราะพวกเขาถนอมผลประโยชน์ส่วนตนราวสมบัติล้ำค่าอีกด้วย ครั้นมีสิ่งใดมาแตะและทำอันตรายต่อความมีหน้ามีตาหรือสถานะของพวกเขา พวกเขาก็ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อหาความชอบธรรมให้ตัวเอง และหาเหตุผลมาปัดความรับผิดชอบ แม้เมื่อการกระทำของพวกเขาทำความเสียหายแก่ผลประโยชน์ของคริสตจักรหรือชีวิตฝ่ายวิญญาณของเหล่าพี่น้องชายหญิง พวกเขาก็ไม่รู้สึกถึงการตำหนิหรือความสำนึกผิดเลย หากถูกจับได้ว่ากำลังทำสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็จะดึงดันปฏิเสธที่จะยอมรับ เพราะกลัวว่าการยอมรับความรับผิดชอบจะสร้างความเสียหายต่อความมีหน้ามีตาและสถานะของพวกเขา ฉันได้เห็นว่า ศัตรูของพระคริสต์เห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นมากยิ่งนัก ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ และเป็นพวกมารร้ายโดยแก่นแท้ ตอนเห็นคำว่า “มารร้าย” ฉันก็รู้สึกแย่มาก เพราะพฤติกรรมและอุปนิสัยที่ฉันเปิดโปงนั้น เหมือนกับศัตรูของพระคริสต์เลย ฉันทำความผิดและทำอันตรายต่องานของคริสตจักรอย่างชัดเจน แต่ฉันก็ยังไม่ยอมรับ เมื่อถูกตัดแต่ง ฉันสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองและพยายามปัดความรับผิดชอบ สำหรับผู้มาใหม่แล้ว การยอมรับข่าวประเสริฐไม่ใช่กระบวนการที่ราบรื่นถึงเพียงนั้น—แต่พึงต้องให้ผู้คนจำนวนมากยอมลำบาก และจัดเตรียมการให้น้ำและเสบียงอาหารเพื่อพาพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระเจ้าทรงรับผิดชอบทุกคนอย่างมาก หากพระองค์ทรงทำแกะแค่ตัวเดียวจากร้อยตัวหายไป พระองค์ก็จะทรงทิ้งตัวอื่นๆ อีกเก้าสิบเก้าตัวไว้เพื่อไปตามหาแกะตัวที่สูญหายของพระองค์ และพระองค์ทรงทะนุถนอมชีวิตของทุกคนอย่างลึกซึ้ง แต่เมื่อฉันรับผิดชอบการให้น้ำแก่ผู้มาใหม่ ฉันกลับปฏิบัติต่อการนั้นอย่างเลินเล่อ เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่ไม่เข้าร่วมการชุมนุม ฉันก็ไม่กังวลหรือใส่ใจ บางคราว ฉันก็แสร้งทำเป็นถามพอเป็นพิธี และในการติดตามผลงานของหัวหน้ากลุ่ม ฉันก็ทำไปแบบจับแพะชนแกะไปวันๆ และไม่มีความรับผิดชอบ พอเห็นว่าเธอไม่ตอบฉันหลายครั้ง ฉันก็ไม่รีบถามถึงเหตุผลในทันที แถมฉันยังไม่ตรวจดูว่าเธอมีปัญหาหรือความลำบากยากเย็นอะไรหรือไม่ ฉันปฏิบัติต่อผู้มาใหม่ด้วยท่าทีที่ไม่ใส่ใจและไม่รับผิดชอบ และฉันก็ไม่ได้จริงจังกับชีวิตของเธอแม้แต่น้อย แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ฉันก็ยังไม่รู้สึกผิดหรือสำนึกเสียใจ และไม่ได้พยายามที่จะเยียวยาแก้ไขเรื่องนั้นเลย เมื่อหัวหน้างานชี้ให้เห็นว่าฉันจับแพะชนแกะไปวันๆ และไร้ความรับผิดชอบ ฉันก็พยายามอย่างที่สุดที่จะโต้เถียงและหาความชอบธรรมให้กับตัวเอง และหาเหตุผลมาบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบ เพราะฉันกลัวว่าหากฉันยอมรับปัญหาของฉัน ฉันก็จะต้องรับผิดชอบ กลัวว่าฉันจะทำให้หัวหน้างานมีความประทับใจที่ไม่ดีในตัวฉัน และฉันก็จะถูกปลดออก ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันไม่เคยคำนึงถึงงานของคริสตจักร และไม่เคยคำนึงว่าชีวิตของผู้มาใหม่จะมีการสูญเสียหรือไม่ ฉันเอาแต่พิจารณาว่าผลประโยชน์ของฉันเองจะได้รับอันตรายหรือไม่ รวมทั้งฉันจะดำรงภาพลักษณ์และสถานะของตัวเองไว้ได้หรือไม่ ฉันเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นมากจริงๆ และทั้งหมดที่ฉันปกป้องก็คือผลประโยชน์ส่วนตน ฉันไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์เลยอย่างแท้จริง และพระเจ้าก็ทรงรังเกียจฉัน จากนั้น ฉันก็มาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า โดยพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์จับแพะชนแกะไปวันๆ ในหน้าที่ ก่อให้เกิดผลสืบเนื่องที่เลวร้าย แล้วก็ไม่ยอมรับ สิ่งที่ข้าพระองค์คำนึงถึงไม่ใช่การเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร แต่เป็นความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเอง ข้าพระองค์ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์เลย! ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ปรารถนาจะกลับใจ”
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น และได้พบเส้นทางหนึ่งของการปฏิบัติ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การได้รับความจริงนั้นไม่ยาก และการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงก็ไม่ยากเช่นกัน แต่หากผู้คนรังเกียจความจริงอยู่เสมอ พวกเขาจะสามารถได้รับความจริงหรือไม่? พวกเขาไม่สามารถ ดังนั้นเจ้าต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเสมอ ตรวจสอบสถานะภายในของตนที่รังเกียจความจริง ดูว่าเจ้ามีการแสดงออกถึงการรังเกียจความจริงอย่างไรบ้าง และหนทางใดในการทำสิ่งทั้งหลายที่เป็นการรังเกียจความจริง และในสิ่งใดบ้างที่เจ้ามีท่าทีที่รังเกียจความจริง—เจ้าต้องตรวจสอบสิ่งเหล่านี้ให้บ่อย” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) “หากเจ้าต้องการติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี ก่อนอื่นเจ้าต้องหลีกเลี่ยงการวู่วามเมื่อสิ่งทั้งหลายไม่เป็นไปตามที่เจ้าต้องการ จงสงบสติอารมณ์เสียก่อนและนิ่งเงียบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และในหัวใจของเจ้า จงอธิษฐานถึงพระองค์และแสวงหาจากพระองค์ จงอย่าหัวแข็ง จงนบนอบเสียก่อน ด้วยวิธีคิดเช่นนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถพบหนทางแก้ไขปัญหาที่ดีขึ้นได้ หากเจ้าสามารถพากเพียรที่จะดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และไม่ว่าสิ่งใดจะบังเกิดแก่เจ้าก็ตาม เจ้าก็สามารถอธิษฐานถึงพระองค์และแสวงหาจากพระองค์ และเผชิญหน้าสิ่งที่บังเกิดแก่เจ้าด้วยทัศนคติที่นบนอบ เช่นนั้นแล้วย่อมไม่สำคัญว่ามีการเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าออกมามากมายเพียงใด หรือเจ้าเคยทำการฝ่าฝืนสิ่งใดมาก่อนหน้านี้—สิ่งเหล่านั้นสามารถแก้ไขได้ตราบที่เจ้าแสวงหาความจริง ไม่ว่าบททดสอบใดจะบังเกิดแก่เจ้า เจ้าจะสามารถตั้งมั่น ตราบใดที่เจ้ามีวิธีคิดที่ถูกต้อง สามารถยอมรับความจริง และนบนอบต่อพระเจ้าตามข้อพึงประสงค์ของพระองค์ ตราบนั้นเจ้าก็สามารถอย่างเต็มที่ที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ แม้ว่าเจ้าอาจเป็นกบฏและต้านทานบ้างในบางครั้ง และบางคราวก็สำแดงเหตุผลเพื่อแก้ตัวและไม่สามารถนบนอบได้ แต่หากเจ้าสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าและพลิกสภาวะที่เป็นกบฏของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถยอมรับความจริง เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว จงคิดทบทวนว่าเหตุใดความเป็นกบฏและการต้านทานเช่นนั้นจึงเกิดขึ้นในตัวเจ้า จงหาเหตุผล จากนั้นก็แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข แล้วอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าในแง่มุมนั้นก็จะสามารถได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ หลังจากฟื้นฟูจากการสะดุดล้มเช่นนั้นหลายครั้งเข้า จนกระทั่งเจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าก็จะถูกปลดเปลื้องไปทีละน้อย และแล้วความจริงก็จะเป็นใหญ่ในตัวเจ้าและกลายเป็นชีวิตของเจ้า และเจ้าจะไม่มีอุปสรรคในการปฏิบัติความจริงอีกต่อไป เจ้าจะสามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง และเจ้าจะใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เข้าใจว่า การจะแก้ไขอุปนิสัยที่เบื่อหน่ายความจริงนั้น ฉันต้องทบทวนตัวเองให้บ่อยครั้ง และตรวจสอบว่าการใช้คำพูด การปฏิบัติ ความตั้งใจ ท่าที และความคิดเห็นของตัวเองนั้น แสดงถึงการเบื่อหน่ายความจริงหรือไม่ เมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ไม่ว่ามันอยู่ในแนวเดียวกับความต้องการของฉันหรือไม่ ก่อนอื่นฉันต้องสงบใจและไม่ต่อต้าน หากฉันไม่สามารถยอมรับสิ่งที่ผู้อื่นพูด และต้องการมองหาเหตุผลที่จะมาสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง ฉันก็ต้องมาอยู่เฉพาะพระพักตร์ อธิษฐาน และแสวงหาให้มากขึ้น ดูว่าพระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้อย่างไร และใช้พระวจนะของพระเจ้าทบทวนตัวเอง หรือแสวงหาการสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงที่เข้าใจความจริง ในหนทางนี้ ฉันจึงสามารถค่อยๆ ยอมรับความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงได้ และจากนั้นเท่านั้น ฉันจึงจะปลดทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเองได้ทีละน้อย เมื่อเข้าใจเส้นทางแห่งการปฏิบัติแล้ว ฉันจึงตั้งใจแน่วแน่ที่จะเปลี่ยนแปลง
เมื่อรู้ว่าการไม่ตรวจดูสถานการณ์ของผู้มาใหม่คนนี้อย่างทันท่วงทีก็คือการฝ่าฝืนอย่างหนึ่งไปแล้ว ฉันก็รีบเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ให้กลับมาดีขึ้น ฉันตรวจดูว่าตนเองล้มเหลวที่จะให้น้ำอย่างถูกต้องเหมาะสมแก่ผู้มาใหม่คนไหนที่ฉันรับผิดชอบอยู่หรือไม่ ขณะที่ฉันคุยอยู่กับผู้มาใหม่คนหนึ่ง ฉันก็พบว่า เธอไม่ค่อยเข้าใจความจริงเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า รวมถึงงานทั้งสามระยะของพระเจ้า ฉันถามผู้นำของฉันว่า ผู้ประกาศข่าวประเสริฐควรสามัคคีธรรมกับเธอหรือไม่ แต่ผู้นำกลับบอกให้ฉันสามัคคีธรรมกับเธอ ถึงแม้ฉันะรู้ว่า การแก้ไขปัญหาของผู้มาใหม่โดยเร็วเป็นความรับผิดชอบของฉัน ฉันก็ยังต่อต้านอย่างมาก ฉันต้องการโต้เถียงกลับไปและไม่ต้องการเชื่อฟัง ฉันรู้สึกว่านี่เกิดขึ้นเพราะผู้ประกาศข่าวประเสริฐไม่สามัคคีธรรมให้ชัดเจน แล้วทำไมฉันถึงต้องรับผิดชอบเรื่องนี้? เนื่องจากมีผู้มาใหม่มากมายเหลือเกิน ฉันจึงไม่มีเวลามากพอ ดังนั้นผู้ประกาศข่าวประเสริฐจึงควรเป็นผู้ที่สามัคคีธรรมกับเธอ แล้วจากนั้น ฉันก็ตระหนักว่าสภาวะของฉันไม่ถูกต้อง ในข้อเท็จจริงแล้ว สิ่งที่ผู้นำของฉันพูดนั้นถูกต้องสมควรแล้ว ข้อเสนอแนะนั้นถูกต้อง แล้วเหตุใดเล่าฉันจึงยอมรับไม่ได้? เหตุใดฉันจึงยังต้องการโต้เถียงกลับนักหนา? ทำไมถึงเชื่อฟังไม่ได้? ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำฉันในการนบนอบโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ทางกายเนื้อของตัวเอง และรับผิดชอบชีวิตของผู้มาใหม่คนนั้น ฉันฉุกคิดได้ว่า ความสามารถในการจับใจความของทุกคนนั้นต่างกัน บางคนได้ฟังสามัคคีธรรมจากผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และเข้าใจได้ในตอนนั้น แต่ต่อมาก็ไม่ชัดเจนนักในบางแง่มุม นี่จึงต้องมีคนให้น้ำมาสามัคคีธรรมและเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว นี่คือการให้ความร่วมมือกันอย่างสามัคคี ในฐานะคนให้น้ำ เมื่อเจอปัญหา ฉันก็ต้องแก้ไข ฉันไม่ควรจู้จี้ เลือกทำเรื่องที่ง่าย และทิ้งปัญหาที่ยากไว้ให้ผู้อื่น และฉันไม่ควรเอาแต่เพียรพยายามที่จะเลี่ยงความเดือดร้อนและอยู่อย่างสบายใจ ฉันไม่ควรยืนกรานอยู่กับภาวะทั้งหลายหรือหาข้ออ้างในหน้าที่ หากได้รับมอบหมายเรื่องผู้มาใหม่ นั่นก็เป็นความรับผิดชอบของฉันในการให้น้ำพวกเขาอย่างถูกต้องเหมาะสม ในการทำให้แน่ใจว่าพวกเขาเข้าใจความจริง และในการปูรากฐานบนหนทางที่แท้จริง นี่คือหน้าที่ของฉัน เมื่อคิดแบบนี้ หัวใจของฉันก็รู้สึกแจ่มใส ฉันรีบไปพบผู้มาใหม่คนนี้ และสามัคคีธรรมถึงปัญหาของเธอ เมื่อปฏิบัติแบบนี้ ไม่เพียงแต่ฉันไม่รู้สึกต่อต้าน แต่ฉันยังมีความสุขมากทีเดียว ฉันเข้าใจแล้วว่าการปฏิบัติความจริงไม่ใช่การกระทำให้เห็นภายนอก แต่หมายถึงการยอมรับพระวจนะของพระเจ้าจากหัวใจ ปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง และใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นเกณฑ์ในการมองดูผู้คนและเรื่องทั้งหลาย ในการกระทำและประพฤติตนของพวกเรา ในหนทางนี้ ทัศนะและความตั้งใจที่ผิดพลาด รวมถึงอุปนิสัยเสื่อมทรามของเราก็จะถูกแทนที่ด้วยความจริงจากพระวจนะของพระเจ้าไปโดยไม่รู้ตัว
หลังประสบการณ์นั้น ฉันก็มีความเข้าใจบางอย่างในอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตนที่ดื้อรั้นและหน่ายความจริง ฉันยังมองเห็นความสำคัญของการแสวงหาความจริงและกระทำการตามหลักธรรมในทุกสิ่งอีกด้วย นี่คือดอกผลจากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าทั้งสิ้น ขอบคุณพระเจ้า!