หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (28)
ประการที่สิบสี่: แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป (ภาคที่เจ็ด)
หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ของผู้นำและคนทำงานคือ “แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป” ครั้งที่แล้ว พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงหลักเกณฑ์ประการที่สองสำหรับการแยกแยะคนชั่วนานาประเภท ซึ่งอ้างอิงตามความเป็นมนุษย์ของพวกเขา โดยครอบคลุมการสำแดงสามประการ จงอ่านการสำแดงสามประการนี้ (ประการที่แปด พร้อมที่จะทรยศได้ทุกเมื่อ ประการที่เก้า พร้อมที่จะจากไปได้ทุกเมื่อ ประการที่สิบ หวั่นไหว) หลังจากสามัคคีธรรมถึงการสำแดงสามประการนี้แล้ว พวกเจ้าเข้าใจการสำแดงดังกล่าวหรือไม่? (เข้าใจ) คนส่วนใหญ่ที่มีปัญหาเหล่านี้โดยทั่วไปแล้วขาดความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริง พวกเขาไม่เข้าใจว่าความจริงคืออะไร และไม่เข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้ามีความหมายว่าอย่างไร นอกจากนี้ พวกเขาบางคนยังไม่สามารถมองทะลุได้ว่าการเชื่อในพระเจ้าคืออะไรกันแน่ พวกเขาคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นเพียงความเชื่อทางศาสนาและการปฏิบัติตามพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว พวกเขาไม่เข้าใจนัยสำคัญของการเชื่อในพระเจ้า รวมทั้งไม่เข้าใจนัยสำคัญของการทำหน้าที่ ในหัวใจของพวกเขาก็ไม่ชัดเจนด้วยซ้ำว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่จริงหรือไม่ และพวกเขาก็ไม่แน่ใจว่าเส้นทางแห่งการติดตามพระเจ้านั้นถูกต้องหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อมากี่ปี หรือได้ฟังการเทศนามากี่ครั้ง พวกเขาก็ไม่มีวันที่จะสามารถสร้างรากฐานในหนทางที่แท้จริงได้เลย ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาหวั่นไหว และหากมีบางสิ่งเกิดขึ้นที่ทำให้พวกเขาไม่พอใจ พวกเขาก็ถึงกับสามารถจากคริสตจักรไปหรือทรยศคริสตจักรได้ทุกเมื่อ พระนิเวศของพระเจ้ามีหลักธรรมที่เฉพาะเจาะจงสำหรับจัดการกับคนหลายประเภทเหล่านี้ มีแผนการที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการจัดการและแก้ไขพวกเขาโดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่แตกต่างกันของพวกเขา บรรดาผู้ที่ควรถูกเอาตัวออกไปก็จะถูกเอาตัวออกไป และบรรดาผู้ที่ควรถูกขับไล่ก็จะถูกขับไล่ แม้ว่าคนเหล่านี้บางคนจะไม่ใช่คนชั่ว และยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ แต่เมื่ออ้างอิงตามธรรมชาติของการสำแดงเหล่านี้ของพวกเขาและท่าทีของพวกเขาต่อการเชื่อในพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็ไม่ใช่คนของพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ใช่พี่น้องชายหญิงที่แท้จริง ต่อให้พวกเขายังคงอยู่ในคริสตจักร ก็จะเป็นเรื่องยากมากที่พวกเขาจะเข้าใจความจริง การเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะเข้าใจความจริงได้นั้นมีความหมายโดยนัยว่าอย่างไร? นั่นมีความหมายโดยนัยว่า เพราะพวกเขาไม่มีวันจะสามารถทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้เลยและไม่มีวันจะสามารถเข้าใจความจริงได้เลย ในท้ายที่สุดพวกเขาก็จะไม่สามารถบรรลุความรอดและไม่สามารถได้รับโดยพระเจ้า กล่าวคือ ในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถกลายเป็นคนของพระนิเวศของพระเจ้า ไม่สามารถกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง และไม่สามารถลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและกลับคืนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ นอกจากนี้ พวกเขามักจะมีบทบาทในเชิงลบในคริสตจักร ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่สามารถส่งผลที่เป็นบวกได้ แต่พวกเขายังเป็นสาเหตุของการก่อกวนและการบ่อนทำลายเป็นครั้งคราวด้วย ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาวะของบางคนและรบกวนบรรดาผู้ที่กำลังทำหน้าที่ของตนอยู่ เพราะฉะนั้น คริสตจักรจึงควรใช้มาตรการที่สอดคล้องกันเพื่อจัดการกับพวกเขา ไม่ว่าจะโดยการเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาจากไป หรือโดยการเอาตัวพวกเขาออกไปหรือขับไล่พวกเขา ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ก็ไม่สามารถอนุญาตให้พวกเขาก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนในคริสตจักรได้
หลักและมาตรฐานสำหรับการแยกแยะคนชั่วนานาประเภท
2. อ้างอิงตามความเป็นมนุษย์ของคนเรา
10. หวั่นไหว
ผู้คนที่หวั่นไหวไม่มีวันที่จะสามารถยืนยันได้ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่อย่างแท้จริงหรือไม่ และพวกเขายิ่งไม่สามารถยืนยันได้ว่าพระเจ้าที่พวกเขาเชื่อนั้นเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้หรือไม่ วันนี้พวกเขาอยากจะแสวงหาที่นี่ และพรุ่งนี้พวกเขาก็อยากจะไปดูสิ่งต่างๆ ที่นั่น โดยไม่รู้ว่าหนทางใดคือหนทางที่แท้จริง และเก็บงำท่าทีรอดูไปก่อนอยู่เสมอ ในกรณีของคนเช่นนี้ จงเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาจากไปโดยเร็ว โดยกล่าวว่า “คุณไม่มีวันที่จะสามารถยืนยันได้เลยว่าพระราชกิจของพระเจ้าคือหนทางที่แท้จริง และคุณก็ไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความลำบากยากเย็นของตน การเชื่อต่อไปเช่นนี้ะสามารถทำให้เกิดผลลัพธ์อย่างไร? ในเมื่อคุณไม่รักความจริงและไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตคริสตจักร คุณก็ควรไปที่ใดก็ตามที่คุณสนใจตามแต่คุณจะเลือกเอง คุณไม่อยากไล่ตามไขว่คว้าการขึ้นไปอยู่เหนือคนอื่นและบรรลุความสำเร็จอันยิ่งใหญ่หรอกหรือ? เช่นนั้นคุณก็ควรออกไปสู่โลกและมุมานะเพื่อความสำเร็จนั้น บางทีคุณอาจจะกลายเป็นคนร่ำรวยหรือได้เป็นข้าราชการและบรรลุความฝันของคุณในโลกก็ได้ คุณไม่ควรอ้อยอิ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าอีกต่อไป” ในกรณีของคนเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่ควรบังคับพวกเขาหรือพยายามคะยั้นคะยอให้พวกเขาอยู่ต่อ หากพวกเขาต้องการไปจากคริสตจักร ก็จงปล่อยพวกเขาไป การเตือนสติผู้ไม่เชื่อเหล่านี้อยู่ตลอดเวลาและคะยั้นคะยอให้พวกเขาอยู่ต่อนั้นไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้าไม่เคยบังคับผู้คน และเมื่อเจ้าคอยฉุดกระชากลากถูบรรดาผู้ที่ลังเลใจอยู่เสมอ การทำเช่นนั้นก็มีองค์ประกอบของการบังคับ คนเหล่านี้ต้องการออกไปทำงาน หาเงิน และใช้ชีวิตที่ดี หรือไล่ตามไขว่คว้าสิ่งที่พวกเขาชอบเป็นการส่วนตัว พวกเขามีเจตนาเหล่านี้ตลอดมา และพวกเขาก็มีความมุ่งมาดปรารถนาและแผนการของตนเองอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แต่พฤติกรรมของพวกเขาก็ได้เผยเรื่องนี้ออกมา ตัวอย่างเช่น เวลาที่ทำหน้าที่ของตน พวกเขามักจะทำเพียงครึ่งใจ หรือพวกเขามักจะหลงลืม สุกเอาเผากิน และเพียงแค่ทำอย่างขอไปทีเท่านั้น พวกเขามักจะแสดงความอิดออดเป็นพิเศษในการทำหน้าที่ของตน โดยรู้สึกเสมอว่าตนกำลังเสียโอกาส และคิดว่าการทำหน้าที่กำลังถ่วงพวกเขาไว้จากการหาเงิน สำหรับคนเช่นนี้ ควรเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาจากไป โดยกล่าวว่า “คุณทำหน้าที่ของคุณเพียงครึ่งใจและสุกเอาเผากินอยู่เสมอ และในท้ายที่สุดคุณก็จะไม่สามารถได้รับความจริง และพระเจ้าก็จะไม่ทรงเห็นชอบคุณ—นั่นจะเป็นการสูญเสียอะไรอย่างนั้น! ในเมื่อคุณไม่สนใจความจริง ไม่สามารถยืนยันการดำรงอยู่ของพระเจ้าหรืออธิปไตยของพระองค์ได้ และคิดว่าโลกนั้นน่าอัศจรรย์ โดยเชื่อว่าหากคุณไล่ตามไขว่คว้าโลก คุณก็จะสามารถประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่และขึ้นไปอยู่เหนือคนอื่นได้ เช่นนั้นแล้วก็จะเป็นการดีกว่าสำหรับคุณที่จะกลับไปสู่โลกและมุมานะที่นั่น การสู้ทนความยากลำบากนี้อยู่ที่นี่จะมีประโยชน์อะไร?” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนเหล่านี้มักจะรู้สึกว่าตนมีความเชี่ยวชาญในสาขาหนึ่งโดยเฉพาะ ตนมีทักษะและความสามารถบางอย่าง และเชื่อว่าหากตนไปเริ่มต้นในสังคมหรือในโลก ตนก็อาจได้รับทั้งชื่อเสียงและโชคลาภ และสุขสำราญกับสถานะและค่าตอบแทนที่สูงส่ง อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้มาเชื่อในพระเจ้าและทำงานอย่างขอไปทีอยู่ไม่กี่ปี พวกเขาก็ไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งใดๆ หรือได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสำคัญใดๆ เมื่อไม่สามารถโดดเด่นอยู่เหนือคนอื่นได้ พวกเขาก็รู้สึกทุกข์ทรมานใจและไม่เต็มใจอย่างยิ่งในหัวใจของตน พวกเขาไม่เต็มใจที่จะเดินในเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้า และยิ่งไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตน พวกเขามีหัวใจที่ไม่สงบและจิตใจที่วอกแวกอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังเหลาะแหละและไม่มั่นคง บางครั้งบางคราวพวกเขาก็คิดว่าเพื่อนร่วมชั้นและเพื่อนๆ ของพวกเขาได้งานที่ดีเพียงใด สัมฤทธิ์ตำแหน่งที่สูงส่งเพียงใด และกำลังใช้ชีวิตที่เหนือกว่าชีวิตของผู้อื่นเพียงใด ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกเป็นพิเศษว่าตนกำลังทำผิดต่อตนเองอย่างมากโดยการเชื่อในพระเจ้า และคิดว่าตนนั้นไร้ประโยชน์ ไร้ความสามารถ และเป็นคนล้มเหลวเพราะการเชื่อในพระเจ้า รู้สึกละอายเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับพ่อแม่และบรรพบุรุษของตน สิ่งนี้เป็นเหตุให้พวกเขาไม่สบายใจและไม่เต็มใจมากยิ่งขึ้น และพวกเขาก็เสียใจอย่างขมขื่นที่เลือกเชื่อในพระเจ้าตั้งแต่แรก! เช่นนั้นแล้วจิตใจของพวกเขาก็ยิ่งหวั่นไหวมากขึ้นไปอีก ตลอดหลายปีของการเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของตน ไม่เพียงแต่ความเชื่อของพวกเขาจะไม่ได้รับการเสริมสร้างให้เข้มแข็งขึ้นเท่านั้น แต่พวกเขายังสูญเสียความกระตือรือร้นที่เคยมีในเบื้องต้นไปอีกด้วย พวกเจ้าคิดว่าควรจัดการกับคนเช่นนี้อย่างไร? (เกลี้ยกล่อมให้พวกเขาจากไป) หากพวกเจ้าเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาจากไป พวกเขาอาจกล่าวว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีมากแล้ว ละทิ้งทั้งการศึกษา การแต่งงาน และจุดหมายปลายทางในอนาคตของฉันไป ตอนนี้คุณกำลังบอกให้ฉันไปจากคริสตจักร—นั่นหมายความว่าความยากลำบากทั้งหมดที่ฉันได้สู้ทนมาหลายปีนี้จะเปล่าประโยชน์มิใช่หรือ? ฉันจะไม่มีบั้นปลายในอนาคตเลยหรือ? นั่นจะเป็นการสูญเสียประโยชน์ทั้งสองทาง นั่นเหมือนกับการเอาชีวิตของฉันไปมิใช่หรือ?” การเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาจากไปนั้นเป็นการใจร้ายเกินไปหรือไม่? การทำเช่นนี้เหมาะควรหรือไม่? (คนเช่นนั้นไม่เคยต้องการที่จะเชื่อในพระเจ้าตั้งแต่แรกแล้ว พวกเขาเพียงแต่หลอกลวงเพื่อหาทางเข้ามาสู่คริสตจักรเพื่อที่จะรับพรเท่านั้น เมื่อพวกเขาเห็นว่าคริสตจักรมุ่งเน้นแต่การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริงอยู่เสมอ พวกเขาก็รู้สึกรังเกียจสิ่งเหล่านี้และต้องการที่จะจากไป คนเช่นนี้ควรได้รับการเกลี้ยกล่อมให้จากไป แม้ว่าอาจจะรั้งตัวพวกเขาไว้ แต่ก็ไม่สามารถรั้งหัวใจของพวกเขาไว้ได้) หากพวกเขาทำหน้าที่ของตนด้วยความจริงใจอยู่บ้างแต่เพียงแค่ไม่มีความกระจ่างในความจริง หรือกลายเป็นคนคิดลบและอ่อนแอไปบ้างชั่วครั้งชั่วคราวเพราะพวกเขาเผชิญกับความพลาดพลั้งและความล้มเหลว หรือได้มีประสบการณ์กับการตัดแต่ง ในกรณีเหล่านี้ พวกเจ้าอาจสามัคคีธรรมความจริงเพื่อช่วยเหลือและค้ำจุนพวกเขาได้ อย่างไรก็ตาม สมมติว่าความอ่อนแอของพวกเขานั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราว แต่พวกเขากลับทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินและทำอย่างขอไปทีอยู่เสมอ และทำหน้าที่เพียงครึ่งใจ และเพียงแค่พอใจกับการที่ไม่ถูกส่งตัวไป และสมมติว่าพวกเขาทำหน้าที่ของตนโดยปราศจากความจริงใจหรือแรงผลักดัน หรือจะพูดให้แม่นยำยิ่งขึ้นก็คือ พวกเขาไม่มีเป้าหมายในการไล่ตามเสาะหาและเพียงแค่ใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ—หากเห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาเป็นคนประเภทนี้ เช่นนั้นแล้วย่อมสามารถเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาจากไปได้
บางคนเป็นผู้ไม่เชื่อ หากเจ้าสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าโดยแก่นแท้แล้วพวกเขาเป็นคนที่ไม่รักความจริงและไม่เต็มใจแม้แต่จะลงแรง เช่นนั้นแล้วก็ควรเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาจากไป การสำแดงหลักๆ ของพวกเขาก็คือ พวกเขาไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้า ไม่เคยเรียนรู้บทเพลงนมัสการ ไม่เคยฟังคำเทศนา และไม่เคยสามัคคีธรรมความจริงหรือพูดคุยเกี่ยวกับการรู้จักตนเอง พวกเขายังไม่ชอบฟังคำพยานจากประสบการณ์ของพี่น้องชายหญิงด้วย พวกเขาไม่เคยชมภาพยนตร์หรือวีดิทัศน์บทเพลงนมัสการ หรือวีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์ที่ผลิตโดยพระนิเวศของพระเจ้า และต่อให้พวกเขาชมภาพยนตร์หรือวีดิทัศน์ดังกล่าว ก็เป็นเพียงเพื่อความบันเทิงหรือด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งในกรณีนั้นพวกเขาก็เพียงแต่ชมเล็กน้อยอย่างอิดออด และไม่ได้เป็นไปเพราะสำนึกถึงภาระต่อการเข้าสู่ชีวิตของตนเองเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเพียงการชมเพื่อความสนุกสนานและความตื่นเต้นของภาพยนตร์หรือวีดิทัศน์ดังกล่าวเท่านั้น พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ทำอะไร? พูดคุย นินทา หรือเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อดูสิ่งที่พวกเขาชอบ ตัวอย่างเช่น บางคนชอบตลาดหุ้นและคอยตรวจสอบแนวโน้มหุ้นในโลกออนไลน์ตลอดเวลา บางคนชอบรถยนต์หรือผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และคอยตรวจสอบในโลกออนไลน์อยู่เสมอเพื่อดูว่ายี่ห้อใดออกสินค้ารุ่นใหม่หรือพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ คนอื่นๆ ชอบดูรายงานข่าวออนไลน์ที่ผลิตโดยสื่อของบุคคล และบางคนชอบเรื่องความงาม เครื่องสำอาง หรือการดูแลสุขภาพ และเข้าอินเทอร์เน็ตบ่อยครั้งเพื่ออ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความงาม การดูแลสุขภาพ หรือวิธีรักษาสุขภาพให้ดีและทำให้มีอายุยืนยาว คนเหล่านี้ไม่มีความสนใจใดๆ ก็ตามในความจริงประการต่างๆ ที่ผู้เชื่อจำเป็นต้องเข้าสู่เพื่อที่จะได้รับการช่วยให้รอด หรือในคำพยานจากประสบการณ์ของพี่น้องชายหญิง นอกจากการทำหน้าที่เล็กๆ น้อยๆ อย่างไม่เต็มใจแล้ว พวกเขากลับมุ่งความสนใจไปที่สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของโลกที่ไม่มีความเชื่ออยู่เสมอ และมุ่งความสนใจไปดูว่ามีแนวโน้มใหม่ๆ และข่าวสารสำคัญๆ อะไรบ้างในโลก และพัฒนาการในประเทศของตนเอง และยังมีสิ่งอื่นๆ อีก พวกเขาเพียงแค่มองดูข้อมูลประเภทนี้ เนื่องจากพวกเขาดูสิ่งเหล่านี้ตลอดเวลา หัวใจของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยเรื่องดังกล่าวเท่านั้น และพวกเขาก็เพิกเฉยต่อความจริงที่พวกเขาควรเข้าใจในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าใครจะสามัคคีธรรมกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่เข้าใจ พวกเขาไม่สนใจและไม่ใส่ใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิต เช่น หลักธรรมใดที่พวกเขาควรปฏิบัติตามเวลาที่ทำหน้าที่ของตน อุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดที่พวกเขาเผยออกมาและปัญหาใดที่มีอยู่ในขณะที่ทำหน้าที่ของตน และในข้อกำหนดนานัปการของพระเจ้าสำหรับผู้คนมีข้อใดบ้างที่พวกเขาทำได้แล้วและยังทำไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาจะทำหน้าที่ของตน พวกเขาก็เพียงแค่ทำอย่างขอไปที ไม่ได้แสวงหาหลักธรรมความจริงเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าคนเช่นนี้จะอ้างว่าตนเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า แต่สิ่งที่พวกเขาชอบและมุ่งความสนใจอยู่ภายในก็คือเรื่องเงิน สถานะ และกระแสนิยมของโลกที่ไม่มีความเชื่อ และพวกเขาชอบที่จะคบค้าสมาคมกับบรรดาผู้ที่ติดตามกระแสนิยมของโลกที่ไม่มีความเชื่อ เมื่อพูดคุยถึงเรื่องราวของโลกที่ไม่มีความเชื่อ พวกเขาจะพูดคุยอย่างออกรสออกชาติและมีความกระตือรือร้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย โดยพูดถึงเรื่องราวดังกล่าวอย่างน้ำไหลไฟดับและไม่หยุดปากเลย แต่เมื่อพวกเขาพบกับบรรดาผู้ที่รักการสามัคคีธรรมความจริง พวกเขากลับไม่มีอะไรจะกล่าว เมื่อพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงคนหนึ่งกล่าวว่า “มีบทเพลงนมัสการบทหนึ่งที่ไพเราะมาก ฉันจำเนื้อร้องได้หมดแล้ว” พวกเขาก็กล่าวอย่างผิวเผินว่า “คุณจำได้แล้ว นั่นก็ดีนะ” เมื่อพี่น้องชายหรือหญิงคนหนึ่งกล่าวว่า “คำพยานจากประสบการณ์ของพี่น้องหญิงคนนั้นดีจริงๆ!” พวกเขาก็กล่าวว่า “ตอนนี้มีวีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์มากมายเหลือเกิน มีอันไหนไม่ดีบ้าง? ก็ดีทั้งหมดนั่นแหละ” พวกเขาตอบในลักษณะที่ผิวเผินเช่นนี้เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาไม่สนใจความจริงและไม่ได้พูดภาษาเดียวกันกับพี่น้องชายหญิง เมื่อมีใครบางคนถามพวกเขาว่า “เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ คุณอธิษฐานหรือไม่?” พวกเขาก็ตอบว่า “อธิษฐานอย่างไร? อธิษฐานเรื่องอะไร?” พวกเขาไม่อธิษฐาน และไม่มีอะไรจะทูลพระเจ้า คนเหล่านี้ไม่มีความสนใจใดๆ ในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อในพระเจ้า และหัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ นานาชนิดจากโลกที่ไม่มีความเชื่อ พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร—คนเช่นนี้มีปัญหาหรือไม่? (มี) หากเจ้าเห็นว่าพวกเขาทำหน้าที่ของตนเพียงครึ่งใจอยู่เสมอ และเมื่อได้รับมอบหมายงานใดๆ พวกเขาก็ไม่อดทนอย่างยิ่ง โดยพร่ำบ่นทันทีที่พวกเขาทนทุกข์กับความยากลำบากเล็กน้อย และหลังจากเชื่อในพระเจ้ามาไม่กี่ปี พวกเขาก็มักจะเผยความคิดอย่างเช่น “ฉันเสียโอกาสไปแล้วโดยการเชื่อในพระเจ้า ถ้าฉันไม่ได้เชื่อในพระเจ้า ป่านนี้เงินเดือนของฉันคงจะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้แล้ว และฉันคงจะได้สุขสำราญกับสถานะแบบนั้นแบบนี้ และวิถีชีวิตที่หรูหราอย่างนั้นอย่างนี้” คนเช่นนี้ควรได้รับการจัดการอย่างไร? (ควรเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาจากไป) จงทำเพียงแค่เกลี้ยกล่อมคนเช่นนี้ให้จากไปและอย่าให้พวกเขาทำหน้าที่ใดๆ อีกต่อไป เพราะพวกเขาไม่เต็มใจแม้แต่จะลงแรง พวกเขาคิดว่าเพียงแค่เข้าร่วมการชุมนุมในฐานะผู้เชื่อนั้นก็พอทนได้ แต่การทำหน้าที่ของตนและติดตามพระเจ้านั้นกีดขวางภารกิจอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา พวกเขารู้สึกว่าการทำหน้าที่ของตนและติดตามพระเจ้านั้นเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการไล่ตามไขว่คว้าความสุขของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าหากพวกเขาไม่ทำหน้าที่ของตน พวกเขาก็คงจะได้ขึ้นไปอยู่เหนือคนอื่นแล้ว โดยกลายเป็นข้าราชการระดับสูงและหาเงินได้มากมายในโลก แล้วเหตุใดพวกเราจึงควรรั้งพวกเขาไว้? ดังนั้น การเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาจากไปจึงดีสำหรับทุกคน การบังคับพวกเขาหรือพยายามคะยั้นคะยอให้พวกเขาอยู่ต่อคงจะเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง พวกเจ้าควรเกลี้ยกล่อมผู้คนดังกล่าวเช่นนี้ “ทำไมคุณถึงเลือกที่จะเชื่อในพระเจ้า? คุณจะสามารถได้รับความจริงหรือไม่หากคุณไม่สนใจความจริงและเต็มไปด้วยความสงสัยเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่เสมอ? คุณเป็นคนที่มีแนวคิด มีประกาศนียบัตร และมีความสามารถพิเศษ—หากคุณมุมานะอย่างหนักในโลกภายนอก คุณก็สามารถเป็นประธานหรือซีอีโอของบริษัทได้ หรือกลายเป็นมหาเศรษฐีหรืออภิมหาเศรษฐีได้อย่างแน่นอน โดยการใช้ชีวิตอย่างล่องลอยเช่นนี้ในพระนิเวศของพระเจ้า ประการแรกก็คือ คุณจะไม่สามารถขึ้นไปอยู่เหนือคนอื่นได้ ประการที่สองคือ คุณจะไม่สามารถสัมฤทธิ์ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ และประการสุดท้ายคือ คุณจะไม่สามารถนำเกียรติยศมาสู่บรรพบุรุษของคุณได้ ยิ่งไปกว่านั้น เวลาที่คุณทำหน้าที่ คุณก็ทำอย่างสุกเอาเผากินอยู่เสมอ ซึ่งนำไปสู่การที่คุณถูกตัดแต่ง ทำให้คุณหดหู่ใจอยู่ตลอดเวลา ทำไมถึงต้องสู้ทนกับความทุกข์นี้? คุณควรออกไปสู่โลกภายนอก และเข้าสู่วงการการเมืองหรือไม่ก็ธุรกิจ และแน่นอนว่าคุณจะสัมฤทธิ์ความสำเร็จในระดับหนึ่งสำหรับตัวคุณเอง คุณแตกต่างจากพวกเรา คุณมีทั้งประกาศนียบัตรและความสามารถพิเศษ และคุณก็เป็นบุคคลสูงศักดิ์—การเชื่อในพระเจ้าเคียงข้างกับคนธรรมดาอย่างพวกเรานั้นไม่ต่ำต้อยกว่าตัวคุณหรอกหรือ? ดังที่ผู้ไม่มีความเชื่อมักจะกล่าวว่า ‘โลกนั้นกว้างใหญ่ สุดแต่คุณจะไขว่คว้า’—คุณก็ควรฉวยโอกาสจากข้อเท็จจริงที่ว่ายังมีเวลาเหลืออยู่ในโลกที่จะไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะในขณะที่คุณยังมีโอกาสอยู่ อย่าทำผิดต่อตนเองโดยการอยู่ที่นี่เลย” นี่เป็นวิธีที่เหมาะควรในการเกลี้ยกล่อมพวกเขาใช่หรือไม่? ถ้อยคำนั้นค่อนข้างมีไหวพริบใช่หรือไม่? (ใช่) ถ้อยคำดังกล่าวไม่ได้ทำให้พวกเขาเจ็บปวด และยังเป็นการพูดในสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ยินอีกด้วย เราคิดว่าวิธีนี้เหมาะควร วิธีนี้ทำให้ง่ายสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับคำแนะนำ และพวกเขาก็สามารถจากไปอย่างกล้าหาญโดยไม่มีความกังวลใดๆ เวลาจัดการกับคนประเภทนี้ หากเจ้าแน่ใจว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ และเจ้าเห็นว่าพวกเขาไม่มีความกระตือรือร้นใดๆ เลยต่อการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาไม่เคยจริงใจในการทำหน้าที่ของตน และพวกเขาไม่เคยได้รับการเข้าสู่ชีวิตใดๆ—และพวกเขาก็ไม่มีแววว่าจะได้รับการเข้าสู่ชีวิตในระยะยาว—เช่นนั้นแล้วก็ควรเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาจากไป หากเจ้าไม่เกลี้ยกล่อมให้พวกเขาจากไป พวกเขาก็จะมีท่าทีที่สุกเอาเผากินและไม่กระตือรือร้นในการทำหน้าที่ของตนอยู่เสมอ และอาจจะมีสักครั้งหนึ่งที่พวกเขาก่อให้เกิดความวิบัติครั้งใหญ่ก็เป็นได้
11. ขี้ขลาดและขี้ระแวง
พวกเราได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับการสำแดงประการที่สิบคือ—หวั่นไหว—เสร็จแล้ว ตอนนี้ ให้พวกเรามาดูการสำแดงประการที่สิบเอ็ดกันต่อไป—นั่นคือขี้ขลาดและขี้ระแวง คนขี้ขลาดมีการสำแดงอะไรบ้าง? (คนขี้ขลาดรู้สึกกลัวเมื่อเผชิญกับการจับกุมและการข่มเหง พวกเขาอยากทำหน้าที่ของตนแต่ไม่กล้า) นั่นเป็นเพียงแง่มุมเล็กๆ แง่มุมหนึ่งเท่านั้น ประเด็นปัญหาหลักคือพวกเขามีมุมมองเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า กล่าวคือ พวกเขารู้สึกเสมอว่าผู้เชื่อในพระเจ้าดูเหมือนจะแปลกแยกในโลกนี้ พวกเขารู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้นน่าอับอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางประเทศที่ปกครองแบบเผด็จการหรือประเทศที่ไม่มีเสรีภาพทางศาสนา ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้เชื่อในพระเจ้าไม่เพียงแต่ไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย แต่ยังถูกข่มเหงอีกด้วย บางคนจึงไม่กล้าที่จะยอมรับว่าตนเชื่อในพระเจ้าและกลัวว่าคนอื่นจะรู้ พวกเขารู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ตรงไปตรงมาและน่าภาคภูมิใจ แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าตนเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้ แต่พวกเขาก็ไม่รู้สึกถึงเกียรติใดๆ ในเรื่องนี้ และพวกเขาก็ไม่มีความเชื่อมั่นด้วย เมื่อมีสัญญาณของความเดือดร้อนใดๆ หรือเมื่อพวกเขาเห็นรัฐบาลจับกุม ข่มเหง กดขี่ และเนรเทศผู้เชื่อ พวกเขาก็จะกังวลเป็นพิเศษว่าตนอาจจะติดร่างแหไปด้วย ในสถานการณ์เช่นนี้ บางคนรีบตีตัวออกห่างจากคริสตจักรอย่างรวดเร็ว และถึงกับรีบร้อนในการนำหนังสือไปคืนพระนิเวศของพระเจ้า ด้วยความกลัวที่จะถูกจับกุม คนอื่นๆ จึงไม่กล้าเข้าร่วมการชุมนุมอีกต่อไปและไม่กล้าทักทายพี่น้องชายหญิงเมื่อพวกเขาพบเจอกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดาผู้ที่เป็นที่รู้จักดีพอสมควรในเรื่องของการเชื่อของพวกเขาหรือเคยถูกจับกุมมาก่อน คนเหล่านี้ยิ่งไม่กล้าที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา—คนเหล่านี้ขี้ขลาดถึงระดับนี้เลย ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เมื่อได้ยินว่ารัฐบาลได้เริ่มการจับกุมครั้งใหญ่ คนเหล่านี้ก็รีบไปหาเจ้าหน้าที่เพื่อยอมรับอย่างกระตือรือร้นว่าตนเคยเชื่อในพระเจ้ามาก่อนและรู้ว่ามีใครบ้างที่เชื่อ และขายพวกเขาเพื่อประโยชน์ส่วนตนอย่างกระตือรือร้นและส่งมอบหนังสือพระวจนะของพระเจ้าและเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อในพระเจ้าเพื่อแลกกับการผ่อนปรน โดยมีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือการเอาตัวรอด จงบอกเราเถิดว่า พฤติกรรมเหล่านี้คือการสำแดงถึงการเป็นคนขี้ขลาดมิใช่หรือ? (ใช่) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบางคน หลังจากที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็กลัวอยู่เสมอว่าคนอื่นจะรู้เรื่องความเชื่อของตน และยิ่งกลัวมากกว่าว่าหากมีใครบางคนถูกจับกุม พวกเขาจะถูกขายเพื่อประโยชน์ส่วนตน ทันทีที่มีคนรู้ว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็รีบอธิบายว่าตนไม่ได้เชื่ออีกต่อไปแล้ว และถึงกับรีบทำสิ่งต่างๆ เพื่อที่จะทำให้ผู้ไม่มีความเชื่อเลิกสงสัยว่าตนเป็นผู้เชื่อ ตัวอย่างเช่น พวกเขาส่งเสริมการเชื่อมสัมพันธ์กับผู้ไม่มีความเชื่อ โดยกินอาหาร สังสรรค์ เล่นการพนัน ดื่มสุรา และทำสิ่งอื่นๆ ด้วยกัน แค่มีสัญญาณของความเดือดร้อนเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าร่วมการชุมนุมและไม่ทำหน้าที่ของตนอีกต่อไป โดยเมินเฉยต่อใครก็ตามที่พยายามจะติดต่อพวกเขา ตอนที่ทุกอย่างสงบสุข พวกเขาก็คิดว่าการเชื่อในพระเจ้านำพรมาให้อย่างไร เปิดโอกาสให้คนเราหลีกเลี่ยงการตายได้อย่างไร และเปิดโอกาสให้คนเราไปสวรรค์และมีบั้นปลายที่ดีได้อย่างไร—ตอนนั้นพวกเขาเปี่ยมไปด้วยพลังสำหรับการเชื่อในพระเจ้า แต่ทันทีที่พวกเขาเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่อันตรายเล็กน้อย พวกเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แล้วเมื่อสถานการณ์ผ่านพ้นไปและสิ่งทั้งหลายสงบลงอีกครั้ง พวกเขาก็กลับมา คนประเภทนี้มักจะล่องหนหายตัวอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าหน้าที่ที่พวกเขาได้รับมอบหมายจะสำคัญเพียงใด ทันทีที่เกิดอันตรายขึ้นเล็กน้อย พวกเขาก็สามารถทิ้งงานของตนได้ทันทีโดยไม่มีการจัดการเตรียมการใดๆ เพื่อให้งานดำเนินต่อไป และไม่มีใครสามารถติดต่อพวกเขาได้ในภายหลัง คนอื่นๆ เมื่อเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่อันตรายเช่นเดียวกัน ก็สามารถคิดหาหนทางต่างๆ นานาในการจัดการกับผลที่ตามมาอย่างถูกควร หากสภาพแวดล้อมในปัจจุบันเป็นปฏิปักษ์มากเกินไปและมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกจับกุม พวกเขาก็จะรอจนกว่าอันตรายจะผ่านพ้นไปก่อนที่จะทำงานต่อ หรือหากพวกเขาเป็นที่รู้จักดีเกินไปว่าเป็นผู้เชื่อและสามารถถูกจับกุมได้ง่ายหากพวกเขาปรากฏตัวเพื่อทำงาน พวกเขาก็จะจัดการวางตัวคนอื่นให้ทำงานนั้น แต่เมื่อคนขี้ขลาดเหล่านี้รู้สึกถึงความเดือดร้อนเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็รีบซ่อนตัว และรีบลนลานในการคุ้มหัวตนเองและป้องกันตัวเองจากอันตราย โดยเมินเฉยและไม่ใส่ใจกับงานและทรัพย์สินของคริสตจักรอย่างสิ้นเชิง และไม่พยายามใดๆ ในการปกป้องงานของคริสตจักรหรือคุ้มครองพี่น้องชายหญิง ในการที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขากลัวอะไรมากที่สุด? ประการแรก พวกเขากลัวว่ารัฐบาลจะรู้เรื่องการเชื่อของพวกเขา ประการที่สอง พวกเขากลัวว่าเพื่อนบ้านของพวกเขาจะรู้เข้า ประการที่สาม สิ่งที่พวกเขากลัวมากที่สุดก็คือการถูกจับกุมและจำคุก หรือถูกทุบตีจนตาย ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่มีบางสิ่งเกิดขึ้น สิ่งแรกที่พวกเขาคิดถึงก็คือพวกเขาอาจจะถูกจับกุมหรือไม่ หรือพวกเขาอาจจะถูกฆ่าหรือไม่ หากมีโอกาสแม้เพียง1% ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งจะเกิดขึ้น พวกเขาก็จะคิดหาหนทางที่จะหลบหนี ตัวอย่างเช่น ในระหว่างการชุมนุม พี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงบางคนอาจกล่าวว่า “ระหว่างทางมาที่นี่ ฉันเห็นใครบางคนแถวนี้ที่ดูไม่คุ้นหน้า อาจจะเป็นผู้ไม่มีความเชื่อที่คอยจับตาดูพวกเราอยู่ใช่หรือไม่?” เพียงแค่ได้ยินความคิดเห็นนี้เพียงความคิดเห็นเดียว คนขี้ขลาดก็จะไม่เข้าร่วมการชุมนุมครั้งถัดไปและจะตัดการติดต่อกับทุกคน เจ้าจะเรียกการทำเช่นนี้ว่าเป็นการระมัดระวังหรือไม่? (นี่ไม่ใช่การระมัดระวังตามปกติ นี่คือความขี้ขลาด—ไม่มีที่ทางสำหรับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา) นี่คือการระมัดระวังจนเกินเหตุ ในประเทศหรือภูมิภาคที่สภาพแวดล้อมเป็นปฏิปักษ์เป็นพิเศษ จริงอยู่ที่ผู้เชื่อควรระมัดระวัง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาควรหยุดทำหน้าที่ของตนหรือเลิกเข้าร่วมการชุมนุมเพราะกลัวว่าจะถูกจับกุม ระมัดระวังเสียจนไม่มีที่ทางสำหรับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา หลักธรรมในการระมัดระวังของคนขี้ขลาดคืออะไร? ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น—เรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่—พวกเขาไม่เชื่อเลยว่าสรรพสิ่งทั้งปวงอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พวกเขาคิดว่าไม่มีใครน่าเชื่อถือ และพวกเขาก็พึ่งพาตนเองในการคุ้มครองตนเอง นี่คือหลักธรรมของพวกเขา พวกเขาไม่เชื่อว่าสรรพสิ่งทั้งปวงอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการสรรพสิ่งทั้งปวง ไม่เชื่อว่าหากมีบางสิ่งเกิดขึ้นอย่างแท้จริง นั่นก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาต และหากไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาต ก็จะไม่มีใครถูกจับกุม พวกเขาไม่มีความเชื่อในเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง ตรงกันข้าม หัวใจของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความขี้ขลาดเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข้อบกพร่องที่ร้ายแรงในความขี้ขลาดของพวกเขา และยังเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดเกี่ยวกับพวกเขาด้วย กล่าวคือ เพื่อคุ้มครองตนเองและรับมือกับสภาพแวดล้อมใดๆ ที่ทำให้พวกเขารู้สึกขลาดกลัว พวกเขาจะทำตามสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็น “ปัญญาสูงสุด” ของตน ซึ่งก็คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น—ไม่ว่าพวกเขาจะถูกจับตามองหรือถูกจับกุมและจำคุก—เมื่อมีบางสิ่งผิดพลาดและความปลอดภัยของพวกเขาถูกคุกคาม ประการหนึ่งก็คือ พวกเขาปฏิเสธว่าตนเชื่อในพระเจ้า และอีกประการหนึ่งก็คือ พวกเขาทรยศทุกสิ่งที่พวกเขารู้โดยไม่เก็บงำสิ่งใดไว้เลย เหตุใดพวกเขาจึงทำเช่นนี้? เพียงเพื่อคุ้มครองตนเองจากความทุกข์ทางกายภาพ ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงเปิดเผยสิ่งใดก็ตามที่ตนรู้ อันดับแรก พวกเขาขายบรรดาผู้นำคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตน และยังเปิดเผยด้วยว่าผู้นำเขตและผู้นำภาคคือใคร และพวกเขาอาศัยอยู่ที่ใด โดยเปิดเผยทุกสิ่งที่ตนมีความรู้ พวกเขาทรยศทุกสิ่ง ก่อนที่จะถูกทรมานด้วยซ้ำไป ยิ่งไปกว่านั้น หากถูกขอให้ลงนามใน “ถ้อยแถลงสามประการ” พวกเขาก็จะลงนามทันทีโดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ—พวกเขาได้ตระเตรียมสำหรับเรื่องนี้มาโดยตลอด นี่ก็เพื่อให้พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงการถูกจำคุก หลีกเลี่ยงการถูกทรมาน และหลีกหนีจากอันตรายแห่งความตาย พวกเขาขี้ขลาดเหลือเกิน พวกเขาไม่เชื่อในอธิปไตยของพระเจ้า อีกทั้งไม่สามารถนำชีวิตของตนมาเสี่ยงได้ ตรงกันข้าม พวกเขากลับคิดหาทุกหนทางที่เป็นไปได้เพื่อคุ้มครองตนเอง สำหรับพวกเขาแล้ว วิธีการที่ดีที่สุดก็คือการขายผู้อื่นและคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตน—นี่คือวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด พวกเขาใช้การทรยศผู้อื่นเป็นราคาเพื่อประกันสวัสดิภาพของตนเองและหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมานใดๆ นี่เป็นบางสิ่งที่พวกเขาวางแผนไว้ล่วงหน้ามานานแล้ว—นี่คือ “ปัญญาสูงสุด” ของพวกเขา จงบอกเราเถิดว่า ความขี้ขลาดของคนประเภทนี้เป็นความขี้ขลาดตามปกติหรือไม่? (ไม่) เช่นนั้นแล้วปัญหาในที่นี้คืออะไร? (พวกเขาขี้ขลาดมากจนกลายเป็นยูดาส โดยพร้อมที่จะขายพี่น้องชายหญิงและคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตนได้ทุกที่และทุกเวลา คนเช่นนี้ไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริง) ตอนนี้ให้พวกเราวางเรื่องที่ว่าพวกเขาเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงหรือผู้เชื่อเทียมเท็จเอาไว้ก่อน จงทำเพียงแค่มองดูความเป็นมนุษย์ของพวกเขา—พวกเขาคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นบางสิ่งที่ลับๆ ล่อๆ และน่าอับอาย แทนที่จะเป็นสิ่งที่ตรงไปตรงมาและมีเกียรติ และพวกเขามองว่าเรื่องของการเชื่อในพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงไปตรงมา มีเกียรติ และเป็นบวกอย่างมาก เป็นสิ่งที่เป็นลบ—เจ้าคิดว่าพวกเขาเป็นคนประเภทใด? (คนเลอะเลือน ที่ค่อนข้างเลว) มุมมองและวิธีทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ของพวกเขานั้นแตกต่างจากคนปกติ บางครั้งพวกเขาก็สามารถบอกว่าขาวเป็นดำได้ด้วยซ้ำ โดยไม่สามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ เป็นไปได้อย่างไรที่ผู้เชื่อในพระเจ้าจะจงใจทำตัวลับๆ ล่อๆ? นั่นเป็นเพราะโลกนี้ชั่วเกินไป—กฎหมายไม่คุ้มครองเสรีภาพทางศาสนา และในระดับที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ระบอบการปกครองเยี่ยงซาตานยังเกลียดชังพระเจ้าและมองพระราชกิจของพระเจ้าด้วยความเป็นปฏิปักษ์ นั่นไม่เป็นการเปิดโอกาสให้สิ่งที่เป็นบวกดำรงอยู่และพยายามอย่างยิ่งที่จะข่มเหงบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์ทางสังคมเช่นนี้ ผู้เชื่อจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกระทำการอย่างระมัดระวังเมื่อมาชุมนุมและทำหน้าที่ของตน พวกเขาไม่กล้าทำอย่างเปิดเผย จากภายนอกนั้น อาจดูราวกับว่าพวกเขากำลังทำตัวลับๆ ล่อๆ เหมือนขโมย แต่แท้จริงแล้วนี่เป็นผลมาจากบริบทของการถูกข่มเหงทั้งสิ้นใช่หรือไม่? (ใช่) แล้วพญานาคใหญ่สีแดงอธิบายการกระทำของการเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ของคนเราว่าอย่างไร? อธิบายว่าเป็น “พฤติกรรมที่น่าสงสัย” นี่เป็นพฤติกรรมที่น่าสงสัยใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) นี่ไม่ใช่พฤติกรรมที่น่าสงสัย—เป็นบางสิ่งที่ผู้คนทำเพราะพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น ผู้คนเหล่านี้ได้ทำสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือไม่? (ไม่) พวกเขาไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมายหรืออะไรที่ต่อต้านรัฐบาล และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะทำผิดกฎหมายหรือรบกวนความสงบเรียบร้อยของสาธารณชน คนเหล่านี้กำลังทำอะไรอยู่? พวกเขาเพียงแค่กำลังทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง งานนี้เป็นกิจการที่มีคุณค่า มีความหมาย และยุติธรรมที่สุดในโลก แต่เพราะโลกนี้ชั่วและมืดมนและประกาศว่าขาวเป็นดำ จึงมีการเรียกกิจการที่ยุติธรรม มีคุณค่า และมีความหมายที่สุดว่า “น่าสงสัย” นี่คือการตีความของซาตาน การตีความของซาตานเป็นความจริงหรือไม่? เป็นสิ่งที่เป็นบวกหรือไม่? (ไม่) ไม่ใช่อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เมื่อคนขี้ขลาดได้ยินการตีความนี้ พวกเขาไม่เพียงแต่เห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างเต็มที่ในหัวใจของตน แต่พวกเขายังยอมรับการตีความนี้จากซาตานด้วย ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาก็คิดเช่นกันว่าการเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ของตนอย่างลับๆ นั้นไม่ถูกควรและต้องเป็นสิ่งที่ผิด พวกเขากลัวอยู่เสมอว่าวันหนึ่งพวกเขาเองก็จะถูกสังคมและรัฐบาลทรมานเช่นกัน โดยไม่มีที่ทางที่จะโต้แย้งเพื่อปกป้องตนเองและไม่มีใครจะช่วยเหลือหรือช่วยชีวิตพวกเขา ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงกลัวเป็นพิเศษที่ผู้คนจะรู้เรื่องการเชื่อในพระเจ้าของตน พวกเขาไม่ยอมรับในหัวใจของตนว่าพระวจนะที่พระเจ้าได้ทรงแสดงไว้เป็นความจริง หรือเส้นทางที่พระเจ้าทรงนำผู้คนให้เดินนั้นเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง แต่พวกเขาก็ยังคงต้องการที่จะได้รับพรจากพระเจ้า นี่เป็นเรื่องที่ย้อนแย้งมิใช่หรือ? ในท้ายที่สุด พวกเขารู้สึกทุกข์ทรมานใจอย่างเหลือเชื่อที่เชื่อในพระเจ้าและทนทุกข์กับความยากลำบากเหล่านี้ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น เหตุใดพวกเขาจึงรู้สึกทุกข์ทรมานใจ? เพราะพวกเขามีความกลัวอยู่ลึกๆ ต่อระบอบการปกครองชั่วในโลกนี้และกองกำลังชั่วของหมู่มารและเหล่าซาตาน และพวกเขาก็กลัวอยู่เสมอว่าหมู่มารและเหล่าซาตานจะทรมานพวกเขาและเอาชีวิตพวกเขาไป ในเมื่อพวกเขาไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า พวกเขาจึงปฏิบัติตนอย่างขี้ขลาดเป็นพิเศษ กระทั่งถึงขั้นที่ไม่ทำหน้าที่ของตนโดยสิ้นเชิง หากไม่มีอันตรายใดๆ อย่างแน่นอน พวกเขาก็จะเข้าร่วมการชุมนุมหรือมีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิง หรือทำบางสิ่งเพื่อคริสตจักร แต่พวกเขาเพียงแค่ไม่กล้ายอมรับว่าตนเชื่อในพระเจ้า ตนเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร หรือยืนหยัดเพื่อเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าหรือทำหน้าที่ของตน—พวกเขาเกรงกลัวอยู่ลึกๆ พวกเขาไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า แต่พวกเขาก็ยังต้องการที่จะได้รับพรและบั้นปลายที่ดีจากพระเจ้า พวกเจ้าจะกล่าวว่านี่เป็นเรื่องที่ย้อนแย้งใช่หรือไม่? (ใช่) การที่พวกเขามุ่งความสนใจไปที่ผลประโยชน์ส่วนตัวของตนเองนั้นทำให้ความคิดของพวกเขาสับสนมิใช่หรือ? (ใช่) คนเหล่านี้ถูกกลืนกินด้วยความโลภในผลประโยชน์ส่วนตน พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง แต่พวกเขาก็ยังคงต้องการที่จะได้รับพรจากพระเจ้า พวกเขาไม่เชื่อว่างานของคริสตจักรและหน้าที่ที่พี่น้องชายหญิงกำลังทำอยู่นั้นยุติธรรม มีคุณค่า และมีความหมาย พวกเขากลัวเป็นพิเศษที่จะทำหน้าที่ที่สำคัญ หรือกลัวว่าผู้นำและคนทำงานจะขอให้พวกเขาออกไปจัดการเรื่องต่างๆ อยู่บ่อยๆ โดยเกรงกลัวว่าหากมีบางสิ่งผิดพลาด พวกเขาจะติดร่างแหไปด้วย เมื่อเผชิญกับอันตราย คนขี้ขลาดเหล่านี้ก็สามารถกลายเป็นยูดาสและขายคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตนได้—นี่เป็นบุคคลอันตรายประเภทหนึ่งเช่นกัน
คนขี้ขลาดมีการสำแดงอื่นใดอีกบ้าง? คนเหล่านี้สามารถปฏิเสธและละทิ้งพระนามของพระเจ้าได้ทุกเมื่อ ทรยศพระเจ้าได้ทุกเมื่อ และกลายเป็นยูดาสได้ทุกเมื่อ คนขี้ขลาดไม่คู่ควรที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์—เรื่องเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? (ใช่) จุดอ่อนที่สำคัญยิ่งของคนขี้ขลาดคืออะไร? (พวกเขากลัวความตายและสามารถทรยศได้) คนเหล่านี้ใช้ชีวิตอย่างล่องลอยและชั่วช้า พวกเขาละโมบชีวิตและกลัวความตาย ความกลัวตายคือจุดอ่อนที่สำคัญยิ่งของพวกเขา ตราบใดที่ไม่ทำให้พวกเขาต้องตาย พวกเขาก็เต็มใจที่จะทำทุกอย่าง—ไม่ว่าจะเป็นการกลายเป็นยูดาส การกลายเป็นบุตรแห่งการทำลายล้าง หรือถูกสาปแช่ง—พวกเขาก็เต็มใจที่จะทำทุกอย่าง ตราบใดที่พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ การมีชีวิตอยู่คือเป้าหมายสูงสุดของพวกเขา ไม่ว่าพวกเจ้าจะสามัคคีธรรมอย่างไรว่าชีวิตและความตายของผู้คนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าทรงควบคุม ทรงมีอธิปไตยเหนือ และทรงจัดวางเรียบเรียงชะตากรรมของผู้คน และผู้คนควรนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า พวกเขาก็ไม่เชื่อและไม่ยอมรับพระวจนะเหล่านี้ พวกเขาแค่คิดว่าการได้เกิดใหม่เป็นมนุษย์เป็นโอกาสที่หาได้ยาก ดังนั้นพวกเขาจึงตายไม่ได้อย่างเด็ดขาด พวกเขายังคิดด้วยว่าเมื่อตนตายและเนื้อหนังของตนพินาศไป วิญญาณของตนก็จะไปเกิดเป็นสัตว์หรือกลายเป็นผีเร่ร่อน ไม่มีวันมีโอกาสเกิดใหม่เป็นมนุษย์อีกเลย เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงกลัวความตายเป็นพิเศษ สำหรับพวกเขาแล้ว ความตายคือความวิบัติที่เป็นมหันตภัย ไม่ใช่โอกาสที่ดีสำหรับการกลับชาติมาเกิดครั้งต่อไป และไม่ใช่การเริ่มต้นใหม่สำหรับการเกิดใหม่อีกครั้ง เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงยอมทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิตของตนไว้ ต่อให้นั่นหมายถึงการขายคนอื่นเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือก่อให้เกิดความเสียหายประเภทใดๆ ต่องานของคริสตจักร พวกเขาก็จะไม่ลังเลที่จะทำเช่นนั้น และต่อให้นั่นหมายถึงการละทิ้งพระนามของพระเจ้า พวกเขาก็ไม่ใส่ใจผลที่ตามมา—พวกเขาใส่ใจเพียงการมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยเท่านั้น คนเหล่านี้เป็นคนประเภทใด? (คนที่ยืดชีวิตอันชั่วช้าออกไป) พวกเขาคือคนชั้นต่ำที่ยืดชีวิตอันชั่วช้าออกไป! พวกเขาใช้ชีวิตโดยปราศจากศักดิ์ศรีหรือความซื่อตรง เต็มใจทำทุกอย่างเพียงเพื่อจะมีชีวิตรอด ยอมตกต่ำได้ทุกอย่าง บางคนได้คำนวณไว้ในหัวใจของตนแล้วว่าจะทำอะไรก่อนที่จะเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายเสียอีก “ถ้าฉันถูกจับ ฉันก็จะเปิดปาก เมื่อพญานาคใหญ่สีแดงทรมาน ข่มขู่ และคุกคามพวกคุณ บังคับให้พวกคุณขายคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตน พวกคุณทุกคนก็ปฏิเสธไม่ยอมพูดอะไรแม้แต่คำเดียว ก็ฉันไม่ได้โง่เหมือนพวกคุณ ที่ยอมทนความเจ็บปวดทางกายดีกว่ายอมเปิดปาก ฉันจะเปิดปากเสียก่อนที่จะถูกทุบตีหรือข่มขู่ด้วยซ้ำ—ดูสิว่าฉันฉลาดแค่ไหน! ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ผู้มีปัญญานบนอบต่อรูปการณ์แวดล้อม’ การที่ฉันขายพี่น้องชายหญิงของคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตนนั้นแย่มากตรงไหน? ทุกคนต้องเห็นแก่ตัวใช่ไหม? การไม่ใส่ใจที่จะปกป้องตัวเองเป็นเรื่องโง่เขลาไม่ใช่หรือ?” ก่อนที่จะมีสิ่งใดเกิดขึ้น พวกเขาก็คิดหาวิธีปกป้องตัวเองเอาไว้แล้ว พวกเขาคิดเรื่องทั้งหมดทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว หลักความเชื่อในการประพฤติปฏิบัติตนของพวกเขาคืออะไร? “ทำไมคนเราถึงควรทำชีวิตของตัวเองให้ลำบาก? ทำไมถึงต้องดื้อรั้นขนาดนั้น? มีเพียงแค่การทำดีต่อตัวเองเท่านั้นที่จะทำให้การใช้ชีวิตนี้ไม่สูญเปล่า!” นี่คือหลักความเชื่อในการประพฤติปฏิบัติตนของพวกเขา พวกเขาไม่มีขอบเขตทางศีลธรรม พวกเจ้าคิดว่าควรทำอย่างไรกับคนเช่นนี้? (หากค้นพบคนเช่นนี้ จะต้องเอาตัวพวกเขาออกไปด้วยปัญญา—พวกเขาคือระเบิดเวลา) ถูกต้อง พวกเขาคือระเบิดเวลา พวกเขาขี้ขลาดตาขาวเป็นที่สุด และเมื่อมีอันตรายมาถึง พวกเขาก็จะขายคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตน หากใครบางคนมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พวกเขาจะใช้วิธีการที่ฉลาดเพื่อตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตราย และพวกเขาจะมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า พวกเขาจะไม่ยอมให้การเข้าร่วมการชุมนุมหรือการทำหน้าที่ของตนถูกขัดขวาง และพวกเขาก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะสละตนเพื่อพระเจ้าตามวุฒิภาวะและรูปการณ์แวดล้อมของตน นี่คือการเผยให้เห็นของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แต่คนขี้ขลาดนั้นทะนุถนอมชีวิตของตนเป็นพิเศษ พวกเขาละโมบชีวิตและกลัวความตาย โดยให้คุณค่าแก่ชีวิตของตนเหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า และไม่สามารถมองเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง ดังนั้น เมื่อเผชิญกับการข่มเหง พวกเขาย่อมถูกเผยให้เห็นตามธรรมชาติว่าเป็นคนขี้ขลาด เพื่อที่จะปกป้องตนเอง คนขี้ขลาดก็สามารถกลายเป็นยูดาสได้ คนเช่นนี้เป็นองค์ประกอบที่เป็นอันตราย พวกเขาเป็นบุคคลที่น่าสะพรึงกลัว คริสตจักรไม่สามารถมอบหมายงานใดๆ ให้พวกเขาได้เป็นอันขาด และไม่อาจเปิดโอกาสให้พวกเขาทำหน้าที่ใดๆ ได้ มิฉะนั้น หากพวกเขาทรยศ จะเกิดความเสียหายอันใหญ่หลวงเกินไปต่องานของคริสตจักร เรื่องนี้จะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
ความขี้ระแวงของคนขี้ขลาดและขี้ระแวงนั้นสำแดงออกมาอย่างไร? บางคนไม่มีทางที่จะสามารถมองเห็นงานของพระนิเวศของพระเจ้าในแง่มุมต่างๆ ได้อย่างชัดเจน พวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจใดกันแน่ หรือพระวจนะที่พระเจ้าตรัสนั้นเป็นความจริงหรือไม่ พวกเขาไม่มีการทำความเข้าใจหรือทัศนะที่ถูกต้องในเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าพระนิเวศของพระเจ้ากำลังทำงานอะไรกันแน่ งานนี้มุ่งหวังให้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใด หรือทำไปเพื่อจุดประสงค์ในการช่วยผู้คนให้รอดหรือไม่ พวกเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนเลย นอกจากนั้นพวกเขายังไม่เข้าใจชัดเจนด้วยว่าคริสตจักรคืออะไร ไม่ว่าจะได้ฟังคำเทศนามากี่ครั้ง พวกเขาก็ไม่เข้าใจความจริงเลยแม้แต่น้อย พวกเขามีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของพี่น้องชายหญิงอยู่เสมอ โดยคิดในใจว่า “คนเหล่านี้ยุ่งอยู่ตลอดเวลา เข้าๆ ออกๆ ทุกวัน—พวกเขากำลังทำอะไรกันแน่?” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดง ผู้นำและคนทำงานสามัคคีธรรมและหารือเกี่ยวกับงานบางอย่างของคริสตจักร—เช่น งานการปกครอง งานบุคคล งานธุรการทั่วไป และโดยเฉพาะอย่างยิ่งงานบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการรับความเสี่ยง—โดยไม่ให้พี่น้องชายหญิงทั่วไปรู้เรื่องเหล่านี้ นี่เป็นการคุ้มครองพวกเขา ไม่ใช่การทำร้ายพวกเขา อย่างไรก็ตาม บางคนไม่เข้าใจเรื่องนี้และต้องการสอบถามเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น พวกเขาสอบถามว่าหนังสือพิมพ์ที่ใด หรือที่พักที่รับรองผู้นำและคนทำงานบางคนนั้นอยู่ที่ใด การรู้เรื่องเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหรือไม่? (ไม่) จากการไม่รู้เรื่องเหล่านี้ เจ้าสูญเสียสิ่งใดไปหรือไม่? (ไม่) การไม่รู้เรื่องเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าของเจ้า ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบรรลุความจริงของเจ้า และไม่ได้ขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตหรือการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้าอย่างแน่นอน ดังนั้น จึงไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องสอบถามและสืบค้นเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ? บางคนที่ทำหน้าที่เจ้าภาพรับรองก็ขี้ระแวงอยู่เสมอ เมื่อเหล่าผู้นำและคนทำงานไม่ให้พวกเขารับรู้การสามัคคีธรรมและการหารือเกี่ยวกับงานของคริสตจักร พวกเขาก็คิดว่า “ทำไมผู้นำและคนทำงานถึงชุมนุมกันและสามัคคีธรรมลับหลังฉันอยู่เรื่อย? พวกเขากำลังทำกิจกรรมอะไรกันอยู่?” พวกเขาไม่ได้รับรู้ข้อมูลส่วนตัวของผู้นำและคนทำงานบางคน และพวกเขาก็เริ่มสงสัยว่า “ทำไมพวกเขาไม่ให้ฉันรับรู้เรื่องนี้? ฉันไม่รู้ชื่อของพวกเขา ไม่รู้ว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่ไหน หรือสถานการณ์ที่แท้จริงของพวกเขาเป็นอย่างไร คนเหล่านี้สามารถหลอกลวงหรือทำร้ายฉันในขณะที่นำฉันในการเชื่อในพระเจ้าของฉันได้หรือไม่?” นอกจากนั้นยังมีงานบางประเภทที่ละเอียดอ่อน เช่น งานที่เกี่ยวข้องกับของถวายหรืองานอันตรายบางอย่าง—เหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรถามถึงตั้งแต่แรก แต่คนเหล่านี้ก็ต้องการสอบถามถึงเรื่องเหล่านี้อยู่เสมอ เมื่อคนอื่นไม่ให้คำตอบแก่พวกเขา พวกเขาก็ขี้ระแวงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีบางคนที่ไม่เคยมีความเชื่อในพระเจ้ามากนักตั้งแต่แรก—หลังจากที่มาเชื่อในพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็เห็นว่าธุรกิจครอบครัวของตนดีขึ้นและสมาชิกในครอบครัวก็มีสุขภาพแข็งแรง และพวกเขาคิดว่านี่คือพระคุณและพรจากพระเจ้า ด้วยความสุขชั่วครู่นี้ พวกเขาจึงถวายเงินเล็กน้อย แต่แล้วพวกเขาก็เริ่มสงสัยว่า “เงินที่ข้าพเจ้าถวายนั้นถูกนำไปใช้ที่ไหน? เงินนั้นถูกนำไปใช้สำหรับงานของคริสตจักรหรือไม่? ถูกนำไปลงทุนในธุรกิจหรือใช้สำหรับกิจกรรมที่ผิดกฎหมายหรือไม่?” พวกเขาต้องการสอบถามและค้นหาเรื่องเหล่านี้อยู่เสมอ และต้องการสืบเสาะให้ถึงก้นบึ้งของเรื่องเหล่านี้อยู่เสมอ ข้อสงสัยของบางคนยิ่งหนักข้อกว่านั้น ตัวอย่างเช่น ตอนที่คริสตจักรซื้ออุปกรณ์หรือเครื่องมือเครื่องใช้บางอย่างเนื่องจากความต้องการของงาน หรือตอนที่คริสตจักรให้การดูแลและความช่วยเหลือบางอย่างสำหรับชีวิตประจำวันของบรรดาผู้ที่ทำหน้าที่ของตน คนขี้ระแวงประเภทนี้ก็สงสัยอยู่เสมอว่า “เงินถูกนำไปใช้จ่ายในหลายด้านเหลือเกิน—เงินนี้มาจากไหน? คริสตจักรกำลังทำธุรกิจอะไรด้วยหรือเปล่า? คริสตจักรมีผู้อุปถัมภ์ที่ร่ำรวยหรือผู้สนับสนุนที่ทรงอิทธิพลอยู่เบื้องหลังหรือไม่? มีกลุ่มใดที่เกื้อหนุนคริสตจักรหรือไม่?” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเปิดโปงให้พวกเขาได้ยินข่าวลือที่ไม่มีมูลและวาจาเยี่ยงมารจากทางการที่ใส่ร้ายป้ายสีคริสตจักร—คำกล่าวอ้างเช่น คนนั้นคนนี้จากคริสตจักรฆ่าคนและทำผิดกฎหมาย คนนั้นคนนี้เป็นอาชญากรที่รัฐต้องการตัว คนนั้นคนนี้หนีไปต่างประเทศพร้อมเงินก้อนโต และอื่นๆ—ข้อสงสัยของพวกเขาเกี่ยวกับคริสตจักรและเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น คนเช่นนี้มีการคิดที่เป็นปกติหรือไม่? พวกเขาสามารถมองเห็นหลักธรรมที่ผู้เชื่อควรทำตามได้อย่างชัดเจนหรือไม่? สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว เมื่อพวกเขาแน่ใจว่านี่คือพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาก็ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับพระเจ้าอีกต่อไป ไม่ว่าจะมีปัญหาใดหรือมีคนประเภทใดปรากฏตัวในคริสตจักร พวกเขาก็สามารถเข้าหาปัญหาหรือคนเหล่านั้นตามพระวจนะของพระเจ้าได้ ต่อให้คนชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์ก่อให้เกิดการก่อกวน พวกเขาก็สามารถทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง พวกเขาไม่เคยมีความระแวงสงสัยเกี่ยวกับพระเจ้าหรือพระราชกิจของพระเจ้า หรือเกี่ยวกับคริสตจักรหรือพระนิเวศของพระเจ้าเลย อย่างมากที่สุด พวกเขาอาจมีความเห็นเกี่ยวกับบุคคลบางคนหรือมีมโนคติอันหลงผิดบางอย่างเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า แต่พวกเขาก็สามารถแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้ทีละน้อยโดยการดำรงชีวิตคริสตจักร แต่คนขี้ระแวงนั้นแตกต่างออกไป ตั้งแต่ตอนแรกที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็มีความระแวงสงสัยและมโนคติอันหลงผิดต่างๆ นานา พวกเขาไม่แน่ใจว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงหรือไม่ ไม่แน่ใจว่าการที่พระเจ้าทรงแสดงพระวจนะเหล่านี้เป็นพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่ และยิ่งไม่แน่ใจว่าการที่พี่น้องชายหญิงมาชุมนุมกันเป็นคริสตจักรของพระเจ้าหรือไม่ พวกเขาเก็บงำความระแวงสงสัยเอาไว้ตลอดเวลา และมองหาหลักฐานที่เป็นข้อเท็จจริงอยู่เสมอเพื่อพิสูจน์ว่าความระแวงสงสัยของตนนั้นถูกต้อง นี่เป็นท่าทีประเภทใด? เจ้าคิดว่าคนที่มีท่าทีประเภทนี้จะสามารถเข้าใจความจริงในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาได้หรือไม่? (ไม่ได้) ไม่มีวันที่พวกเขาจะสามารถเข้าใจความจริงได้เลย ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขามุ่งความสนใจไปที่สิ่งใดมากที่สุด? พวกเขาไตร่ตรองอยู่เสมอว่า “คนเหล่านี้เป็นใคร? นี่เป็นองค์กรทางสังคมหรืออะไรทำนองนั้นใช่หรือไม่? แม้ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะจัดหาค่าครองชีพให้คนเหล่านี้ในขณะที่ฉันเป็นเจ้าภาพรับรองพวกเขา แต่ฉันก็ยังคงเสี่ยงภัยด้วยการเป็นเจ้าภาพรับรองพวกเขา แล้วพระเจ้าจะทรงจำการทำดีของฉันได้หรือไม่? ถ้าพระเจ้าทรงจำเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ การเป็นเจ้าภาพรับรองของฉันย่อมจะสูญเปล่ามิใช่หรือ?” พวกเขามีข้อสงสัยเช่นนี้อยู่ในหัวใจของตนตลอดเวลา เจ้าคิดว่าพวกเขาเป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิงอย่างเต็มใจหรือไม่? (ไม่) พวกเขาทำเช่นนั้นด้วยความปรารถนาที่จะได้รับพรเท่านั้น ขณะที่เต็มไปด้วยข้อสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้ยินบางสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนและมองว่าเป็นลบตามมโนคติอันหลงผิดของตน ข้อสงสัยในหัวใจของพวกเขาก็เพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น ในระหว่างการชุมนุม อาจมีใครบางคนหยิบยกหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของระบอบของพญานาคใหญ่สีแดงและโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ของเหล่ากษัตริย์มาร หรือบางครั้งการสามัคคีธรรมความจริงก็กล่าวถึงเรื่องการกดขี่และการจับกุมที่พญานาคใหญ่สีแดงดำเนินการ และแก่นแท้ธรรมชาติของพญานาคใหญ่สีแดง และเรื่องอื่นๆ หัวข้อเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองอย่างแท้จริง—เพียงแต่ช่วยให้ผู้คนเรียนรู้ที่จะแยกแยะพญานาคใหญ่สีแดงและมองเห็นโฉมหน้าของมันได้อย่างชัดเจน เพื่อที่พวกเขาจะสามารถเกลียดชังและปฏิเสธพญานาคใหญ่สีแดงได้และไม่ถูกอิทธิพลของซาตานตีกรอบและผูกมัดอีกต่อไป แต่เมื่อคนขี้ระแวงได้ยินหัวข้อดังกล่าว พวกเขาก็ขี้ขลาดและหวาดกลัวว่า “คนเหล่านี้ถึงกับหารือเรื่องการเมือง! พวกเขาเป็นอาชญากรทางการเมืองมิใช่หรือ? พวกเขาเป็นพวกต่อต้านการปฏิวัติมิใช่หรือ? หัวข้อเหล่านี้ละเอียดอ่อนเกินไป! เร็วเข้า ปิดหน้าต่าง ล็อกประตู ถอดสายอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์ออก! ถ้ารัฐบาลดักฟังเรื่องนี้ พวกเราอาจเดือดร้อนกันใหญ่ได้! พวกเราต้องโดนโทษจำคุกตลอดชีวิตแน่!” พวกเขาไม่เต็มใจที่จะฟังหัวข้อดังกล่าวและจะพยายามทุกวิถีทางที่จะขัดขวางการสามัคคีธรรมเพื่อหยุดยั้งไม่ให้มีการหารือหัวข้อเหล่านั้นกัน พวกเขาคิดในใจว่า “คนเหล่านี้ทำงานประเภทใดกันแน่? มีการกล่าวว่าพระเจ้าไม่ทรงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองของมนุษย์ แล้วทำไมคนเหล่านี้ถึงพูดเรื่องการเมือง? ผู้เชื่อควรจะพูดแต่เรื่องการเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่หรือ? ทำไมพวกเขาถึงหารือเรื่องเหล่านี้กัน? นี่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ ไม่ใช่หรือ? ถ้าพวกเขาอยากจะพูดเรื่องเหล่านี้ ก็สามารถพูดที่ไหนก็ได้ที่พวกเขาต้องการ แต่พวกเขาต้องไม่มาพูดในบ้านของฉัน ฉันไม่อยาก ‘พลอยฟ้าพลอยฝน’ ไปกับเรื่องนี้ด้วย!” พวกเขาไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อย่างชัดเจนเลย เมื่อพวกเขาได้ยินข่าวลือบางอย่างที่รัฐบาลกุขึ้นมา ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะข่าวลือเหล่านั้น แต่ความเคลือบแคลงของพวกเขาก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น หากพวกเขาขี้ระแวงและเคลือบแคลงสงสัยต่อกลุ่มปีศาจชั่วที่อยู่ในอำนาจหรือกองกำลังศัตรูของพระคริสต์และนิกายของวิญญาณชั่วในศาสนาอยู่บ่อยๆ นั่นย่อมจะช่วยให้พวกเขาปกป้องตนเองได้จริงๆ ทว่าในคริสตจักรที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ พระเจ้าได้ทรงแสดงความจริงไว้มากมาย แต่พวกเขากลับยังไม่สามารถเข้าใจความจริงได้และไม่สามารถตัดสินได้ว่านี่คือหนทางที่แท้จริง หลังจากที่ได้ฟังคำเทศนามานานและเห็นพระเจ้าตรัสมากมาย ความขี้ระแวงของพวกเขาก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข และมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาก็ยังไม่ถูกขจัดออกไป เห็นได้ชัดว่าขีดความสามารถของพวกเขานั้นอ่อนด้อยเกินไป พวกเขาไม่มีความสามารถในการทำความเข้าใจแต่อย่างใด และพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ตั้งแต่พวกเขาเริ่มต้นเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ไม่เคยเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง และพวกเขาไม่เคยเชื่อว่าพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าเป็นความจริง นับประสาอะไรที่พวกเขาจะเชื่อว่างานของพระนิเวศของพระเจ้าได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างเต็มที่ ผลลัพธ์ก็คือ ทุกสิ่งทำให้พวกเขาสงสัย ตัวอย่างเช่น เมื่อสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการแยกแยะผู้คนประเภทต่างๆ ในระหว่างการชุมนุม พวกเราอาจพูดถึงเรื่องที่ศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้ผู้คนหลงผิด หรือบางคนไม่ได้ทำงานที่แท้จริงใดๆ ทั้งๆ ที่ทุกสิ่งที่พวกเขาบริโภคและสุขสำราญนั้นได้รับการจัดหาให้โดยใช้ของถวายของพระเจ้า ซึ่งเป็นการเกาะคริสตจักรกิน หรือบางคนขโมยหรือใช้ของถวายอย่างสุรุ่ยสุร่าย หรือบุคคลบางคนในคริสตจักรมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดศีลธรรม หรือบางคนสร้างความเสื่อมเสียให้พระเจ้าขณะที่ประกาศข่าวประเสริฐ พวกเราหารือเรื่องเหล่านี้เพื่อให้ผู้คนสามารถเรียนรู้วิธีแยกแยะผู้อื่น และเพื่อให้พวกเขาสามารถมองผู้คนและเรื่องราวทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง ได้รับบทเรียนและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้ และหลีกเลี่ยงการถูกผู้อื่นชักพาให้หลงผิดหรือถูกผู้อื่นตีกรอบ อย่างไรก็ตาม เมื่อคนขี้ระแวงได้ยินสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็กล่าวว่า “โอ้ ไม่นะ! นี่คือพระนิเวศของพระเจ้า สถานที่ที่มีการทำพระราชกิจของพระเจ้า—เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นที่นี่ได้อย่างไร? ดูเหมือนว่าฉันทำถูกแล้วที่ฉันขี้ระแวงมาก่อนหน้านี้ ฉันต้องระวังให้มากขึ้นอีกนับจากนี้ไป ผู้คนล้วนเชื่อถือไม่ได้มากเกินไป และพระนิเวศของพระเจ้าก็เชื่อถือไม่ได้เช่นกัน แล้วพระเจ้าเชื่อถือได้หรือไม่? ใครจะรู้—บางทีพระเจ้าก็อาจจะเชื่อถือไม่ได้เช่นกัน” เห็นหรือไม่ว่าพวกเขาไม่เข้าใจความจริง และไม่สามารถทำความเข้าใจความจริงได้ ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงในแง่มุมใด ในที่สุดแล้วพวกเขาได้ข้อสรุปใดอยู่เสมอ? ข้อสรุปที่ว่าพวกเขาถูกต้องแล้วที่ขี้ระแวงมาตลอดหลายปี และนี่เป็นเรื่องที่จำเป็น หากบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและมีการคิดตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้ยินสิ่งเหล่านี้ พวกเขาย่อมสามารถปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง ในแง่หนึ่ง ขอบเขตของพวกเขาก็กว้างขึ้นและพวกเขาได้รับวิจารณญาณในการแยกแยะจากสิ่งเหล่านี้ ในอีกแง่หนึ่ง พวกเขาสามารถได้รับบทเรียนและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้ และเข้าใจว่าผู้คนไม่สามารถติดตามผู้อื่นได้ พวกเขาจำเป็นต้องแยกแยะผู้อื่นและเข้าใจความจริงให้มากขึ้น และคนเราสามารถถูกชักพาให้หลงผิดได้ทุกที่ทุกเวลาหากพวกเขาไม่เข้าใจความจริง และเมื่อพวกเขาเข้าใจความจริงและมีวุฒิภาวะแล้ว พวกเขาก็จะไม่ถูกผู้อื่นตีกรอบ ชักพาให้หลงผิด หรือควบคุม อย่างไรก็ตาม คนขี้ระแวงจะไม่มีวันคิดเช่นนี้ ยิ่งพระนิเวศของพระเจ้าสามัคคีธรรมถึงการแยกแยะผู้คนและเรื่องราวประเภทต่างๆ มากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าความระแวงสงสัยของตนนั้นถูกต้องและได้รับการยืนยันมากขึ้นเท่านั้น “เห็นไหมว่า ฉันคือคนที่ฉลาด! โชคดีที่ฉันยังคอยระแวดระวัง ผู้คนมักจะพูดว่าฉันขี้ระแวงและไม่ไว้ใจใคร แต่ข้อเท็จจริงพิสูจน์แล้วว่าฉันทำถูกแล้วที่ขี้ระแวง ดูสิว่าพวกคุณทุกคนโง่เขลาเพียงใด—ในการที่พวกคุณเชื่อในพระเจ้า พวกคุณรู้จักแต่เพียงการทำหน้าที่ของตนและการพูดถึงความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ของพวกคุณ นั่นมีประโยชน์อะไร? นั่นสามารถคุ้มครองคุณได้หรือไม่? ไม่ได้! ไม่ว่าคุณจะเผชิญกับสถานการณ์ใด คุณจะสามารถปกป้องตนเองได้ก็ต่อเมื่อคุณระแวดระวังมากขึ้นและตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ มากขึ้นเท่านั้น คุณต้องตั้งป้อมระวังตนเองจากทุกคน คุณไม่สามารถพึ่งพาใครได้มากเท่ากับตัวคุณเอง ไม่สามารถพึ่งพาได้แม้กระทั่งพ่อแม่ของคุณเอง!” จงบอกเรามาว่าพวกเขาเป็นคนประเภทใดกันแน่? พวกเขาเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะสามัคคีธรรมถึงงานประเภทใดหรือแยกแยะผู้คนประเภทใด และไม่ว่าพระเจ้าจะทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมใดให้ผู้คน จุดประสงค์ก็เพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้เรียนรู้บทเรียนจากสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้พวกเขาได้รับการฝึกฝนในราชอาณาจักรในลักษณะที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น และเพื่อให้พวกเขาได้เข้าใจความจริงและได้รับวิจารณญาณในการแยกแยะผู้คน—โดยผ่านบทเรียนที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเหล่านี้ ได้มองเห็นผู้คนและเรื่องราวนานัปการอย่างชัดเจน และด้วยเหตุนั้นจึงเข้าใจได้ดีขึ้นว่าพระวจนะและความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงนั้นแท้จริงแล้วอ้างอิงถึงผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งใดกันแน่ แต่คนขี้ระแวงไม่เพียงแต่ไม่สามารถเรียนรู้บทเรียนใดๆ จากสิ่งเหล่านี้เท่านั้น พวกเขากลับกลายเป็นคนขี้ระแวงและฉลาดแกมโกงมากยิ่งขึ้น
เมื่อใดก็ตามที่บางคนที่ขี้ระแวงพูดหรือทำบางสิ่งในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็จะระมัดระวังอย่างยิ่งอยู่เสมอ โดยกลัวอยู่ตลอดเวลาว่าพี่น้องชายหญิงหรือบรรดาผู้นำและคนทำงานจะตัดแต่งพวกเขาหรือแม้กระทั่งทรมานพวกเขา พวกเขากล่าวว่า “ถ้าฉันเลิกเชื่อในพระเจ้าและออกจากคริสตจักรไป คริสตจักรจะตอบโต้ฉันหรือไม่?” พวกเขาควรจะสบายใจได้ในเรื่องนี้ หากผู้ไม่เชื่อคนหนึ่งไปจากคริสตจักร นั่นเป็นโอกาสที่น่ายินดีสำหรับทุกฝ่าย—เป็นประโยชน์ต่อทุกคน ดังนั้น หากเจ้าต้องการไปจากคริสตจักรหรือละทิ้งหน้าที่ของตนเพื่อกลับบ้านไปใช้ชีวิตของตน เจ้าก็ควรจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกล้าหาญโดยไม่ต้องกังวลใดๆ เจ้ายังสามารถเขียนถ้อยแถลงได้เช่นกัน โดยกล่าวว่า “ณ วันที่นั้น เดือนนั้น ปีนั้น ข้าพเจ้าจะไปจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างเป็นทางการและถอนตัวออกจากตำแหน่งของบรรดาผู้ที่ทำหน้าที่ของตน” นี่เป็นสิ่งที่ได้รับอนุญาตโดยสมบูรณ์ ประตูแห่งพระนิเวศของพระเจ้านั้นเปิดอยู่ และเจ้าสามารถจากไปได้อย่างกล้าหาญโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาตอบโต้เจ้า ไม่จำเป็นต้องกลัวหรือขี้ระแวง เจ้ามองเห็นคนชั่วอยู่ในหมู่คนเหล่านี้ในคริสตจักรหรือไม่? ไม่เห็นอย่างแน่นอน ต่อให้มีคนชั่ว พวกเขาก็ต้องถูกชำระออกไป คนส่วนใหญ่ค่อนข้างประพฤติตัวดีและชอบที่จะเดินในเส้นทางในชีวิตที่ถูกต้อง การตอบโต้หรือทำร้ายผู้อื่นเป็นการละเมิดหลักธรรมความจริง และพวกเขาไม่มีวันทำเรื่องเช่นนั้นได้ พวกเจ้าคิดว่ามีอะไรผิดปกติในวิธีที่คนขี้ระแวงประพฤติปฏิบัติตน? พวกเขามีเพียงความคิดที่ไม่ไว้วางใจแต่ไม่มีสติปัญญา พวกเขาเชื่อว่าความคิดที่ฉลาดแกมโกง หลอกลวง และไม่ไว้วางใจของตนนั้นเป็นรูปแบบขั้นสูงสุดของปัญญาเมื่อเป็นเรื่องของวิธีที่พวกเขาประพฤติปฏิบัติตน พวกเขาไม่สนใจหลักธรรมความจริงและไม่สนใจพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้า—ซึ่งพวกเขาไม่เข้าใจและไม่แสวงหาเพื่อที่จะเข้าใจ ตรงกันข้าม พวกเขากลับใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตานเท่านั้น โดยคิดว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ฉันก็ควรจะตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ ให้มากขึ้น นอกจากนี้ ฉันคิดว่าไม่ว่าฉันจะเก็บงำความระแวงสงสัยต่อใครไว้ นั่นก็สมเหตุสมผลแล้วที่ฉันจะทำอย่างนั้น และไม่ว่าความระแวงสงสัยของฉันจะตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่ นั่นก็ชอบด้วยเหตุผล โดยสรุปแล้ว การระแวงสงสัยมากขึ้นเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ นั้นเป็นประโยชน์กับฉัน” ผลลัพธ์ก็คือ ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปี พวกเขาก็ไม่เคยแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้า และไม่เคยแสวงหาคำตอบในพระวจนะของพระเจ้าเพื่อแก้ไขปัญหาและความเคลือบแคลงนานัปการที่พวกเขามี ตรงกันข้าม พวกเขากลับพึ่งพาความคิดของตนเอง วิธีคิดที่ไม่ไว้วางใจ ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก หรือประสบการณ์ชีวิตของตนเองเพื่อวิเคราะห์และจัดการกับเรื่องเหล่านี้ ในที่สุด ยิ่งพวกเขาเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ มากขึ้นและได้ยินข้อมูลประเภทต่างๆ มากขึ้นเท่าไร ไม่เพียงแต่ธรรมชาติที่ขี้ระแวงของพวกเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ความเคลือบแคลงของพวกเขาก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น เมื่อคนขี้ระแวงประเภทนี้เชื่อในพระเจ้ามาหนึ่งปีหรือสองปีและได้ยินเกี่ยวกับอุบัติการณ์ในจ้าวหยวนซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนกุขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายป้ายสีพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็คิดว่า “บางทีเรื่องนี้อาจเป็นฝีมือของพระนิเวศของพระเจ้าก็ได้ ต่อให้พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้สั่งการ ก็ต้องเป็นฝีมือของพี่น้องชายหญิงบางคนที่อยู่เบื้องล่าง และพวกคุณก็แค่ไม่ยอมรับ” หลังจากเชื่อในพระเจ้ามาสามปีถึงห้าปี พวกเขาก็ยังคงเชื่อเรื่องราวของเหตุการณ์นั้นในแบบของพญานาคใหญ่สีแดง กระทั่งหลังจากแปดปีถึงสิบปี ความเคลือบแคลงที่พวกเขามีต่อพระนิเวศของพระเจ้าก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข พวกเขาไม่เชื่อว่าพญานาคใหญ่สีแดงเป็นผู้ที่ใส่ความและใส่ร้ายป้ายสีคริสตจักร พวกเขาเพียงแต่คิดไปเองว่าผู้คนของพระนิเวศของพระเจ้าเป็นคนทำ เจ้าก็เห็นว่า เมื่อพวกเขามองเรื่องบางเรื่อง พวกเขาไม่เคยทำเช่นนั้นโดยอาศัยพระวจนะของพระเจ้าหรือหลักธรรมความจริงเป็นพื้นฐานเลย—พวกเขาเชื่อเรื่องราวในแบบของพญานาคใหญ่สีแดงและมองเรื่องนั้นจากจุดยืนของหมู่มารและซาตาน ไม่ว่าซาตานจะกดขี่และทารุณประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างไร พวกเขาก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่พวกเขาไม่เคยเชื่อว่าพระนิเวศของพระเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ หรือพี่น้องชายหญิงที่ทนทุกข์กับการถูกข่มเหงเพราะเชื่อในพระเจ้านั้นไม่มีความผิด แม้ว่าพวกเขาจะเห็นด้วยตาตนเองว่าพี่น้องชายหญิงในพระนิเวศของพระเจ้านั้นล้วนเป็นคนที่ประพฤติตัวดีและอยู่ในที่ของตน แต่ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาเชื่ออยู่เสมอโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ ในสิ่งที่พญานาคใหญ่สีแดงได้ทำลงไปเพื่อใส่ร้ายป้ายสีคริสตจักร แม้ว่าในการเชื่อในพระเจ้า คนเช่นนี้จะสามารถสู้ทนความยากลำบาก จ่ายราคา และถึงกับถวายของได้ แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็ยังคงเป็นผู้ไม่เชื่อ อันที่จริง คนขี้ระแวงนั้นสร้างปัญหามากกว่าบรรดาผู้ที่ไม่รักความจริงหรือไม่ยอมรับความจริงเสียอีก พวกเขาสร้างปัญหามากกว่าในหนทางใด? บรรดาผู้ที่ไม่สนใจความจริงนั้นไม่แยแสและไม่สนใจงานของคริสตจักรและการปฏิบัติหน้าที่โดยสิ้นเชิง ไม่ว่าผู้เชื่อจะติดตามพระเจ้าหรือทำหน้าที่ของตนอย่างไร ก็ไม่สำคัญสำหรับพวกเขา ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาไม่มีความเคลือบแคลงเกี่ยวกับเรื่องของการเชื่อในพระเจ้าหรือการทำหน้าที่ และโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาก็ไม่เคยสอบถามถึงกิจธุระของคริสตจักรเลย แต่คนขี้ระแวงนั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง—พวกเขาชอบที่จะสอบถามเกี่ยวกับข่าวลือ เหตุใดพวกเขาจึงต้องการสอบถามถึงสิ่งเหล่านี้? แน่นอนว่าเป้าหมายหนึ่งของพวกเขาก็คือ “ถ้าฉันสอบถามมากขึ้นและรู้มากขึ้น ก็จะช่วยให้ฉันเตรียมแผนสำรองล่วงหน้าได้ และตัดสินใจได้ทุกเมื่อว่าจะอยู่หรือไป” พวกเขายังมุ่งความสนใจไปที่การสอบถามถึงเรื่องบางอย่าง เช่น ผู้นำหรือคนทำงานคนใดคนหนึ่งมีชื่อจริงว่าอะไร พวกเขาอาศัยอยู่ที่ใด พวกเขามีอาชีพอะไรในสังคมทางโลก หรือเพราะเหตุใดพวกเขาจึงออกจากบ้านของตนมาทำหน้าที่ พวกเขาอาจจะสอบถามถึงบรรดาผู้ที่ประกาศข่าวประเสริฐด้วย เช่น พวกเขาได้ประกาศแก่ใครไปบ้าง สมาชิกคนใดในครอบครัวของพวกเขาที่เชื่อในพระเจ้า พวกเขาประกาศข่าวประเสริฐมากี่ปีแล้ว พวกเขาได้รับคนมากี่คน และอื่นๆ พวกเขาสอบถามถึงเรื่องทั้งหมดนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน คนขี้ระแวงชอบรวบรวมข้อมูลประเภทนี้ และเมื่อได้รวบรวมข้อมูลแล้ว พวกเขาก็รู้สึกสบายใจ โดยคิดว่าเป็นเรื่องจำเป็นมากที่จะต้องรู้เรื่องเหล่านี้ และพวกเขาสามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้ในยามคับขันได้ คนขี้ระแวงรู้มากเกินไป พวกเขาเป็น “ฐานข้อมูล” และพวกเขารู้บางสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานไม่รู้ด้วยซ้ำไป เช่น ใครไปต่างประเทศเพื่อทำหน้าที่และพวกเขาไปประเทศใด—พวกเขารู้กระทั่งเรื่องเหล่านี้เกี่ยวกับการที่ผู้คนไปต่างประเทศ แต่หากเจ้าถามพวกเขาว่าคำเทศนาตอนที่ออกมาล่าสุดคือตอนใด พวกเขาก็จะไม่สามารถบอกเจ้าได้ พวกเขาไม่เคยใส่ใจกับเรื่องของการเข้าสู่ชีวิตเลย แต่เมื่อเป็นเรื่องข้อมูลส่วนตัวของพี่น้องชายหญิงและรูปการณ์แวดล้อมบางอย่างของคริสตจักร พวกเขากลับรู้เรื่องเหล่านั้นอย่างชัดเจนมาก จุดประสงค์หนึ่งของพวกเขาในการสอบถามถึงสิ่งต่างๆ อยู่บ่อยครั้งก็คือการได้รู้ข้อมูลมากขึ้นเกี่ยวกับรูปการณ์แวดล้อมทุกประเภท ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาก็จะสามารถเตรียมทางหนีทีไล่ให้ตัวเองได้ทุกเมื่อ พวกเขาเชื่อว่าคงจะเป็นการโง่เขลาที่สุดที่จะไม่คิดถึงทางหนีทีไล่ของตน—หากใช้คำพูดของผู้ไม่มีความเชื่อ ก็จะกล่าวว่า “ถูกหลอกขายแล้วยังช่วยเขานับเงินอีก” แท้จริงแล้ว พวกเขาเป็นเหมือนอาหารเก่าที่เน่าเสีย ไม่มีค่าแม้แต่สตางค์เดียว แต่พวกเขากลับมองว่าตนเองมีค่ามาก พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร คนเหล่านี้ขี้ระแวงใช่หรือไม่? (ใช่) เหล่านี้คือคนขี้ระแวงอย่างแท้จริง คนขี้ระแวงมีความเป็นมนุษย์ที่ฉลาดแกมโกงและหลอกลวงเป็นพิเศษ บางคนมองว่าความฉลาดแกมโกงและความหลอกลวงเป็นสัญญาณของสติปัญญาที่สูงส่ง แต่นี่เป็นมุมมองที่ผิด ในความเป็นจริงแล้ว คนที่ฉลาดแกมโกงและหลอกลวงเหล่านี้โง่เขลาเป็นที่สุดและไร้ซึ่งขีดความสามารถใดๆ ขีดความสามารถของพวกเขาอ่อนด้อยเหลือเกิน และนี่เป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว การที่พวกเขาฉลาดแกมโกงด้วยก็หมายความว่าการเยียวยาพวกเขานั้นยิ่งเป็นเรื่องที่ยากกว่า หากใครบางคนเพียงแค่มีขีดความสามารถที่อ่อนด้อยแต่พวกเขาค่อนข้างซื่อสัตย์และไม่ฉลาดแกมโกง และพวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างจริงใจ บางทีพวกเขาก็ยังคงมีความหวังอันริบหรี่ที่จะได้รับการช่วยให้รอด หากพวกเขามีขีดความสามารถที่อ่อนด้อยและเป็นคนหลอกลวงอยู่บ้าง แต่พวกเขาสามารถยอมรับความจริงและรู้จักตนเองได้ บางทีพวกเขาก็อาจมีความหวังอันริบหรี่ที่จะทิ้งอุปนิสัยที่หลอกลวงของตน หากพวกเขาสามารถเข้าใจความจริงและค่อยๆ รู้จักความจริงและเข้าสู่ความจริงได้ ความขี้ระแวงของพวกเขาก็อาจจะถูกยกออกไปทีละน้อย แต่น่าเสียดายที่คนเหล่านี้ทั้งไม่มีขีดความสามารถ ทั้งยังหลอกลวงและฉลาดแกมโกง และพวกเขายังโง่เขลาอย่างมากอีกด้วย นี่ก็เหมือนกับคนตาบอดที่ทนทุกข์กับปัญหาที่ดวงตา—ไม่มีทางรักษาถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง) ผู้คนเช่นนี้ไม่อาจไถ่ถอนได้ ในเมื่อคนเหล่านี้ขี้ระแวงถึงขั้นที่ไม่อาจไถ่ถอนได้ พวกเจ้าคิดว่าควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร? (หากพบคนเช่นนี้ ต้องตั้งป้อมระวังตัวจากพวกเขา พวกเขาสามารถขายคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตนและเพื่อปกป้องตนเองได้ พวกเขาเป็นบุคคลอันตราย พวกเราสามารถแสวงหาโอกาสที่จะเปิดโปงพวกเขาและเอาตัวพวกเขาออกไป หรือหากพวกเราไม่สามารถหาโอกาสที่จะทำเช่นนั้นได้ พวกเราก็สามารถโน้มน้าวให้พวกเขาจากไปอย่างชาญฉลาดได้) เมื่อเจ้าแน่ใจแล้วว่าใครบางคนเป็นคนขี้ระแวง จงอย่าไปข้องเกี่ยวกับพวกเขา การข้องเกี่ยวกับพวกเขาจะนำมาซึ่งความเดือดร้อนเท่านั้น หากเจ้าข้องเกี่ยวกับพวกเขา พวกเขาย่อมจะพยายามอยู่เสมอที่จะไขปริศนาเกี่ยวกับเจ้า ถ้าเจ้ากำลังจะออกไปข้างนอก พวกเขาก็จะจับตาดูเจ้าอย่างใกล้ชิด โดยถามอยู่ตลอดเวลาว่า “คุณจะไปที่ไหน? คุณจะไปกี่วัน? คุณจะไปทำอะไร?” เมื่อเจ้ากลับมา พวกเขาก็จะถามว่า “คุณไปพบใครมา? คุณทำงานของคุณสำเร็จลุล่วงหรือไม่? พวกคุณทุกคนคุยเรื่องอะไรกันบ้าง?” หากเจ้าไม่ตอบพวกเขา พวกเขาก็จะพร่ำบ่นว่า “พวกเขาไม่ยอมให้ฉันรับรู้อะไรเลย พวกเขาไม่ไว้วางใจฉันใช่ไหม? พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติต่อฉันเหมือนสมาชิกคนหนึ่งของพระนิเวศของพระเจ้า! พวกเขาบอกว่ากำลังจะไปทำงานของคริสตจักร แต่ทำไมพวกเขาถึงปิดบังไม่ให้ฉันรู้? พวกเขาต้องออกไปทำบางสิ่งที่ผิดกฎหมายแน่ๆ” พวกเขาจะคอยสอดแนมเจ้าอยู่ลับหลังเสมอ คนเช่นนี้สร้างปัญหาจริงๆ พวกเขาสอบถามถึงเรื่องต่างๆ มากมาย โดยอยากรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เมื่อพวกเขารู้สิ่งเหล่านั้นแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถทำความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้หรือปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างถูกต้อง และพวกเขายังพยายามมองหาส่วนที่น่าระแวงในสิ่งเหล่านั้นด้วย ซึ่งทำให้ข้อสงสัยของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สมมติว่าเจ้าแนะนำพวกเขา โดยกล่าวว่า “ในเมื่อคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับพระเจ้ามากมายขนาดนี้ และในเมื่อคุณไม่เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง และพระวจนะของพระเจ้าสามารถชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยมนุษย์ให้รอดได้ คุณก็ควรจะเลิกเชื่อในพระเจ้าเลย!” พวกเขาจะไม่เต็มใจทำเช่นนั้น—พวกเขาจะยังคงต้องการเชื่อและจะยังคงต้องการได้รับพร คนเหล่านี้สร้างปัญหามิใช่หรือ? (ใช่) คนเหล่านี้จัดการได้ง่าย หากพวกเขาสามารถนำความเดือดร้อนอันใหญ่หลวงมาสู่คริสตจักรได้ เช่นนั้นแล้วก็จงรีบโน้มน้าวให้พวกเขาจากไป คนเหล่านี้ไม่น่าไว้วางใจ พวกเขาไม่มีความสามารถในการทำความเข้าใจความจริง และต่อให้พวกเขาสามารถทำหน้าที่ได้เล็กน้อย พวกเขาก็จะนำความเดือดร้อนอันใหญ่หลวงมาสู่พระนิเวศของพระเจ้า—พวกเขาสร้างความเสียหายมากกว่าผลดี ดังนั้นการโน้มน้าวให้พวกเขาจากไปจึงเป็นสิ่งจำเป็น
คนขี้ขลาดนั้นสร้างปัญหา และคนขี้ระแวงก็สร้างปัญหาเช่นกัน แต่คนที่ทั้งขี้ขลาดและขี้ระแวงนั้นยิ่งสร้างปัญหามากกว่า คนเหล่านี้ขี้ขลาดและกลัวความตายอย่างยิ่ง และพวกเขาก็ระแวงทุกสิ่ง โดยระแวงสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่าการเชื่อในพระเจ้าจะนำพาให้พวกเขาโดนหลอกได้หรือไม่ พวกเขากลัวว่าจุดหมายปลายทางในอนาคตของตนอาจถูกขัดขวาง และคิดว่าการถูกจับกุมและถูกข่มเหงจนนำไปสู่ความตายนั้นแทบจะไม่คุ้มเลย หากพวกเขาขี้ระแวงถึงขนาดนี้แล้ว การเชื่อในพระเจ้าจะมีประโยชน์อะไรสำหรับพวกเขา? นี่เป็นการทำให้ตัวเองลำบากมิใช่หรือ? พวกเขาตั้งป้อมระวังตนเองจากพี่น้องชายหญิงและการจัดการเตรียมงานทุกอย่างของพระนิเวศของพระเจ้าประหนึ่งว่ากำลังตั้งป้อมระวังตนเองจากนักต้มตุ๋น เหมือนกันไม่มีผิดกับที่พวกเขาตั้งป้อมระวังตนเองจากพญานาคใหญ่สีแดงหรือหมู่มารและเหล่าซาตาน บางคนยังคงพยายามแนะนำพวกเขาโดยกล่าวว่า “เพียงแค่ทำให้แน่ใจว่าคุณเชื่อในพระเจ้าอย่างขยันหมั่นเพียร ไล่ตามเสาะหาความจริง และทำหน้าที่ของคุณให้ดี แล้วพระเจ้าจะทรงให้ความเห็นชอบแก่คุณ” แต่พวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ข้างใน? “คุณต้องการให้ฉันทำหน้าที่ของฉันอย่างถูกควร แต่เมื่อฉันเป็นที่รู้จักและพญานาคใหญ่สีแดงจับกุมฉัน นั่นจะไม่ใช่จุดจบของฉันหรอกหรือ?” หากนี่คือแนวความคิดของพวกเขาจริงๆ เช่นนั้นแล้วย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามแนะนำพวกเขา พวกเขาขี้ขลาดอย่างยิ่ง และหวาดกลัวความตายอยู่เสมอ เมื่อพวกเขาได้ยินว่าผู้เชื่อในพระเจ้าถูกจับกุม พวกเขาก็กลัวจนฉี่รดกางเกง แต่เมื่อเป็นเรื่องของการต้มตุ๋นและคดโกงผู้คนในธุรกิจ ไม่ว่าพวกเขาจะเดือดร้อนเพียงใด พวกเขาก็ไม่กลัวเลย—พวกเขาค่อนข้างกล้าหาญในเรื่องอย่างนี้ แต่เมื่อมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของการเชื่อในพระเจ้า พวกเขากลับขี้ขลาดอย่างที่สุด พวกเขาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงต่างๆ นานาเกี่ยวกับพี่น้องชายหญิง เกี่ยวกับพระนิเวศของพระเจ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับพระเจ้าตลอดจนพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า และไม่ว่าจะสามัคคีธรรมมากเพียงใดก็ไม่สามารถแก้ไขความเคลือบแคลงเหล่านี้ได้ ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อมากี่ปีแล้ว พวกเขาก็ยังคงไม่รู้ว่าการเชื่อในพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร หรือเพราะเหตุใดพวกเขาจึงต้องมาชุมนุมและทำหน้าที่ของตน เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้มีสติปัญญาบกพร่อง และค่อนข้างฉลาดแกมโกงและหลอกลวง ผู้คนเช่นนี้ควรถูกโน้มน้าวให้จากไปโดยเร็ว หากพวกเขาเลิกมาชุมนุมและไม่ต้องการทำหน้าที่ของตนอีกต่อไปเพราะพวกเขาขี้ขลาดหรือด้วยเหตุผลอื่นใด นั่นก็ยอดเยี่ยมไปเลย—การนี้จะลดความเดือดร้อนในการเอาตัวพวกเขาออกไปและหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก หากวันหนึ่งพวกเขาสนใจที่จะเชื่อในพระเจ้าอีกครั้งและต้องการกลับมาเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็สามารถบอกพวกเขาได้ว่า “ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า เจ้าอาจถูกจับกุมและจำคุกได้ทุกเมื่อ และมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตด้วยซ้ำ แต่หากเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้าและกลับไปทำธุรกิจในโลกและหาเงินได้มากมายแทน บางทีเจ้าอาจจะได้สุขสำราญกับวันแห่งความสะดวกสบายบ้าง” หลังจากได้ฟังคำพูดนี้ หัวใจของพวกเขาก็จะสงบลงอย่างเต็มที่ และพวกเขาจะไม่คิดถึงการเชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป พวกเขาจะคิดว่า “ในที่สุด ความกังวลและความหวาดกลัวที่ฉันมีมาหลายปีก็สิ้นสุดลงเสียที ฉันไม่จำเป็นต้องสงสัยคริสตจักร พี่น้องชายหญิง หรือพระนิเวศของพระเจ้าอีกต่อไป ในที่สุดฉันก็ได้เป็นอิสระแล้ว” และเช่นนั้นเอง คนที่ขี้ขลาดและขี้ระแวงเหล่านี้ก็ถูกโน้มน้าวให้จากไป นี่เป็นการแก้ไขเรื่องเดือดร้อนอันใหญ่หลวงใช่หรือไม่? (ใช่) นี่เป็นหนทางที่ยอดเยี่ยมในการแก้ไขเรื่องนี้
12. การมีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อน
พวกเรามาดูการสำแดงต่อไปกันเถิด นั่นก็คือ การมีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อน เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้คนประเภทใดมีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อน? พวกเจ้าเคยพบเจอคนประเภทนี้ที่มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อนในคริสตจักรบ้างหรือไม่? ไม่ว่าเขาจะอายุเท่าใด เพศใด หรือมีอาชีพใดในโลกก็ตาม หากเขาก่อเรื่องเดือดร้อนอยู่เสมอและทำสิ่งที่ละเมิดกฎและข้อบังคับอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นการนำผลกระทบที่เป็นลบมาสู่คริสตจักรและก่อให้เกิดอุปสรรคอันใหญ่หลวงต่องานข่าวประเสริฐ เช่นนั้นแล้ว คริสตจักรก็ควรจัดการคนเหล่านี้อย่างทันท่วงที ก่อนอื่น จงตักเตือนพวกเขา และหากสถานการณ์ร้ายแรงเกินไป ก็จงขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไป เจ้าไม่สามารถแสดงความเกรงใจใดๆ ต่อพวกเขาได้ บรรดาผู้ที่มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อนนั้นเป็นคนประเภทใด? ยกตัวอย่างเช่น เมื่อทำธุรกิจหรือดำเนินกิจการโรงงานในโลก บางคนก็คบค้าสมาคมกับบุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจและมักจะทำสิ่งที่ละเมิดกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ วันนี้พวกเขาเลี่ยงภาษีหรือจ่ายภาษีน้อยกว่าที่ควร วันพรุ่งนี้พวกเขาก็มีส่วนร่วมในการฉ้อโกงและหลอกลวง หรือกระทั่งเข้าไปพัวพันกับคดีความเนื่องจากทำให้คนเสียชีวิต เพราะเรื่องเหล่านี้ พวกเขาจึงได้รับหมายศาลอยู่เป็นประจำ ใช้เวลาวันๆ ไปกับการขึ้นโรงขึ้นศาล และพัวพันกับข้อพิพาทอยู่ตลอดเวลา คนเช่นนี้จะสามารถเชื่อในพระเจ้าด้วยความจริงใจได้หรือไม่? เป็นไปไม่ได้ นอกจากนั้นยังมีบางคนที่อ้างว่าเชื่อในพระเจ้าแต่กลับประพฤติตนในหนทางที่แปลกประหลาดและผิดปกติอย่างยิ่ง วันนี้พวกเขาคุกคามเพศตรงข้าม วันพรุ่งนี้พวกเขาอาจจะล่วงละเมิดทางเพศใครบางคนและถูกแจ้งความ เจ้าจะบอกว่าคนเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อนใช่หรือไม่? (ใช่) แล้วผู้คนเช่นนี้จะสามารถเชื่อในพระเจ้าด้วยความจริงใจได้หรือไม่? (ไม่ได้) หลังจากที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว คนเหล่านี้ที่มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อนก็ยังคงคบค้าสมาคมกับบุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจในสังคมอยู่เสมอ และก่อให้เกิดข้อพิพาทอยู่เนืองๆ เช่น ข้อพิพาทเรื่องอารมณ์ การเงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ส่วนบุคคล หรือเนื่องจากเหตุการณ์บางอย่างที่ก่อให้เกิดความตึงเครียดในสัมพันธภาพของพวกเขา หรือเนื่องจากผลประโยชน์ที่ได้มาโดยมิชอบถูกแบ่งโดยไม่เท่าเทียมกัน จึงมีคนคอยหาทางก่อเรื่องเดือดร้อนให้พวกเขาอยู่เสมอ เมื่อพี่น้องชายหญิงไปเยี่ยมบ้านของพวกเขาเป็นครั้งคราว พี่น้องชายหญิงก็อาจพบเจอกับคนที่ไม่น่าไว้วางใจเหล่านี้ แม้กระทั่งตอนที่พวกเขาอยู่ในการชุมนุมหรือทำหน้าที่ของตน บางครั้งคนที่ไม่น่าไว้วางใจเหล่านี้ก็มาปรากฏตัวที่ประตูหรือส่งข้อความมาคุกคาม ดังนั้นใครก็ตามที่อยู่กับผู้คนประเภทนี้ที่มีแนวโน้มจะก่อเรื่องเดือดร้อนก็มีแววว่าจะถูกลากเข้าไปสู่เรื่องเดือดร้อนของพวกเขาด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานและชื่อเสียงของคริสตจักรยิ่งมีแววว่าจะถูกคนเหล่านี้ดึงเข้าไปเกี่ยวข้องและทำให้เกิดความเสียหาย จงบอกเราเถิดว่า เป็นการดีหรือไม่ที่คนเช่นนี้จะยังคงอยู่ในคริสตจักร? (ไม่ดี) คนประเภทนี้ต้องถูกเอาตัวออกไปและถูกจัดการเช่นกัน
นอกจากนั้น ก็มีบางคนที่ไม่ว่าจะมีอาชีพอะไรในสังคม ก็ต้องการที่จะขัดแย้งกับรัฐบาล กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือกับกลุ่มสังคมบางกลุ่มและบุคคลสาธารณะบางคนอยู่เสมอ วันนี้พวกเขาเปิดโปงการกระทำที่ไม่เป็นธรรมของรัฐบาล วันพรุ่งนี้พวกเขาก็ฟ้องร้องคนบางกลุ่มหรือบางองค์กร โดยเรียกร้องค่าชดเชยความเสียหาย วันมะรืนพวกเขาก็เปิดโปงชีวิตส่วนตัวของบุคคลสาธารณะ จนทำให้มีผู้คนมาตามหาพวกเขา นี่คือการก่อเรื่องเดือดร้อนใช่หรือไม่? (ใช่) แม้กระทั่งหลังจากที่พวกเขามาเชื่อในพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็ยังคงต้องการที่จะข้องเกี่ยวกับเรื่องทางสังคมอยู่ร่ำไป เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจและขุ่นเคือง พวกเขาก็ต้องการยืนหยัดเพื่อความยุติธรรมเพื่อที่จะอวดตัวอยู่เสมอ หรือเขียนข้อคิดเห็นหรือบทความเพื่อตัดสินถูกผิดในเรื่องนั้น ท้ายที่สุดแล้วเกิดอะไรขึ้น? พวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดให้สำเร็จลุล่วงเลย แต่กลับลงเอยด้วยการหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวอย่างมากมาย พัวพันกับคดีความและทำให้ชื่อเสียงของตนย่อยยับ อีกทั้งมีคนที่ไม่น่าไว้วางใจในสังคมคอยตามหาพวกเขาอยู่เสมอ โดยต้องการที่จะแก้เผ็ดหรือเอาเรื่องพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวอย่างที่สุด เพื่อหลีกหนีจากชีวิตเช่นนี้และหลีกเลี่ยงความเดือดร้อน พวกเขาจึงซื้อบ้านหลายหลัง โดยอธิบายว่า “เหมือนที่เขาว่ากันว่า ‘กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง’ ในบ้านสามหลังของฉันมีเพียงหลังเดียวที่เป็นที่รู้จักของสาธารณชน ไม่มีใครรู้เรื่องบ้านอีกสองหลัง ฉันเก็บบ้านสองหลังนี้ไว้ให้คริสตจักรใช้งานและให้พี่น้องชายหญิงพักอาศัย” เจ้าคิดว่าพี่น้องชายหญิงจะปลอดภัยหรือไม่หากพักอยู่ที่นั่น? (พี่น้องชายหญิงจะไม่ปลอดภัย) คำพูดของพวกเขาล้วนฟังดูดีมาก และพวกเขาก็มีเจตนาที่ดีในการทำเช่นนี้ แต่ด้วยลักษณะนิสัยและข้อบกพร่องของการมีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อนของพวกเขา ใครเล่าจะกล้าพักที่บ้านของพวกเขา? หากเจ้าพักอยู่ที่นั่น ผู้คนอาจคิดว่าเจ้าเป็นคนในครอบครัวของพวกเขาก็ได้ หากมีใครบางคนกำลังตามหาเพื่อทำร้ายร่างกายพวกเขาแต่ไม่สามารถหาตัวพวกเขาพบ คนเหล่านั้นจะไม่ทำร้ายร่างกายเจ้าแทนหรือ? บางคนมีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อน เมื่อพวกเขาออกไปขับรถตามปกติและผ่านพื้นที่ห่างไกล พวกเขาก็อาจถูกใครบางคนหยุดรถ จากนั้นคนคนนั้นก็ลากพวกเขาลงจากรถ ทุบตีพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม และเตือนพวกเขาให้ระวังตัว พวกเขารู้ว่านั่นเป็นเพราะพวกเขาล่วงเกินใครบางคนก่อนและหาเรื่องเดือดร้อนมาใส่ตัวเอง และใครก็ตามที่พวกเขาล่วงเกินนั้นก็ต้องการที่จะทรมานพวกเขา นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับโดยแท้มิใช่หรือ? คนประเภทนี้เป็นประเภทที่มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อน หลังจากที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าคริสตจักรจะหารือเรื่องใด พวกเขาก็ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวอยู่เสมอ พวกเขาต้องการแสดงความคิดเห็นในเรื่องนั้นและให้ความเห็นบางอย่าง รวมทั้งพยายามที่จะให้ผู้คนรับฟังพวกเขาด้วย หากคริสตจักรไม่นำข้อเสนอแนะของพวกเขาไปใช้ พวกเขาก็จะรู้สึกไม่พอใจและขุ่นเคืองอย่างยิ่ง โดยไม่ตระหนักถึงความสามารถของตนเองเลย ไม่ว่าพวกเขาจะทนทุกข์กับความสูญเสียมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยจดจำหรือได้รับบทเรียนจากความล้มเหลวของตนเลย คนเช่นนี้ก่อเรื่องเดือดร้อนแม้กระทั่งในยามที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า ประการหนึ่งคือ พวกเขาไม่เข้าใจความจริงแต่ยังคงต้องการที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวกับงานของคริสตจักรอยู่เสมอ โดยพยายามที่จะก้าวก่ายในทุกเรื่อง ซึ่งส่งผลให้พวกเขาขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร อีกประการหนึ่งคือ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาใช้เวลาอยู่กับพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงคนใดเป็นเวลานาน พวกเขาก็นำเรื่องเดือดร้อนมาสู่พี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงคนนั้นด้วย คนประเภทนี้ที่มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อนนั้นเป็นตัวปัญหาอันใหญ่หลวง เจ้าคิดว่าคนที่ก่อเรื่องเดือดร้อนเป็นคนที่ไม่สร้างปัญหาอย่างนั้นหรือ? พวกเขาเป็นคนที่อยู่ในที่ทางที่ถูกควรของตนใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) พวกเขาไม่ใช่คนที่อยู่ในที่ทางที่ถูกควรของตนอย่างแน่นอน โดยทั่วไปแล้ว คนที่ใช้ชีวิตอย่างเหมาะสมมักจะอยู่ในที่ทางที่ถูกควรของตน ตราบใดที่เรื่องทางสังคมไม่เกี่ยวข้องกับการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา พวกเขาย่อมไม่เข้าไปข้องเกี่ยวหรือสอบถามถึงเรื่องเหล่านั้นอย่างเด็ดขาด นี่เรียกว่าการเป็นคนมีเหตุมีผล การเข้าใจกาลเทศะ และการเข้าใจเหตุผลของสิ่งทั้งหลาย สังคมและมวลมนุษย์เช่นนี้ช่างเลวร้ายและซับซ้อนเหลือเกิน ดังที่ผู้ไม่มีความเชื่อกล่าวว่า “ในยุคที่วุ่นวายและโลกที่โกลาหลนี้ ผู้คนต้องเรียนรู้วิธีปกป้องตนเอง” ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ามักจะแสดงความคิดเห็นในเรื่องทางสังคมและต้องการที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น แต่นั่นไม่ใช่เส้นทางในชีวิตที่เจ้าควรเดิน การทำสิ่งเหล่านั้นไม่มีคุณค่าและไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต ต่อให้เจ้าสามารถพูดอย่างเป็นธรรมได้ นั่นก็ยังไม่นับว่าเป็นเรื่องที่ชอบธรรม เหตุใดจึงไม่นับ? เพราะไม่มีความเป็นธรรมในโลกนี้ กระแสนิยมชั่วไม่เปิดโอกาสให้มีความเป็นธรรม หากเจ้าสามารถกล่าวคำพูดที่เป็นธรรมและคำพูดที่ซื่อสัตย์ในพระนิเวศของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง นั่นย่อมมีคุณค่าและนัยสำคัญ แต่หากเจ้ากล่าวคำพูดที่เป็นธรรมและคำพูดที่ซื่อสัตย์ในโลกมนุษย์ที่ชั่ว เสื่อมทราม และโกลาหลนี้ คำพูดเช่นนั้นย่อมเชื้อเชิญความเดือดร้อนและนำอันตรายมาให้อย่างง่ายดาย การกล่าวคำพูดเช่นนั้นเป็นความโง่เขลาอย่างยิ่งไม่ใช่หรือ? การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะไม่เปิดโอกาสให้เจ้าใช้ชีวิตในหนทางที่มีคุณค่าเท่านั้น แต่ยังจะนำความเดือดร้อนไม่รู้จบมาให้เจ้าอีกด้วย ดังนั้น คนฉลาดจึงมองเห็นว่าเรื่องทางสังคมเหล่านี้เป็นสิ่งที่นำหายนะมาให้ จึงตีตัวออกหากและหลีกเลี่ยงเรื่องทางสังคมดังกล่าว ในขณะที่คนโง่กลับมุ่งหน้าเข้าหาเรื่องเหล่านั้น และนำเรื่องเดือดร้อนมาสู่ตนเองอย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางคน หลังจากฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาไม่กี่วัน เรียนรู้ท่วงท่าที่โดดเด่นไม่กี่ท่าและมีชื่อเสียงขึ้นมาเล็กน้อย แล้วจากนั้นก็ต้องการที่จะต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและปล้นคนรวยเพื่อช่วยคนจน พวกเขาต้องการที่จะสวมบทบาทเป็นจอมยุทธ์หรือนักดาบ โดยแก้ไขสิ่งผิดให้เป็นถูกไปทั่ว และถึงกับก้าวออกมาเพื่อช่วยเหลือเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นความอยุติธรรม ผลลัพธ์ก็คือ การทำเช่นนี้นำไปสู่ความเดือดร้อน—พวกเขาไม่ตระหนักว่าสังคมนั้นซับซ้อนเพียงใด จงบอกเราเถิดว่า เมื่อเจ้าก้าวออกมาเพื่อช่วยเหลือ เจ้าจะไม่ลงเอยด้วยการล่วงเกินคนบางคนหรอกหรือ? เจ้าจะทำลายแผนการอันรอบคอบที่บางคนได้วางไว้มิใช่หรือ? (ใช่) เมื่อเจ้าทำลายแผนการที่คนเหล่านั้นวางไว้อย่างรอบคอบ พวกเขาจะปล่อยให้เจ้าลอยนวลหรือไม่? (ไม่) เจ้าอาจจะบอกว่า “สิ่งที่ฉันกำลังทำเป็นเรื่องที่ชอบธรรม” แต่ต่อให้นี่เป็นเรื่องที่ชอบธรรม นั่นก็จะไม่ใช่สิ่งที่ยอมรับได้—โลกนี้ไม่เปิดโอกาสให้เจ้าทำเรื่องที่ชอบธรรม หากเจ้าทำ เจ้าก็จะก่อเรื่องเดือดร้อน คนโง่เขลาไม่เข้าใจเรื่องนี้ พวกเขาไม่สามารถมองโลกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง พวกเขาคิดอยู่เสมอว่า ในเมื่อพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ พวกเขาก็ควรจะก้าวออกมาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น แต่ในท้ายที่สุด พวกเขากลับไปทำลายแผนการอันรอบคอบของใครบางคน และคนคนนั้นก็หาทางแก้แค้นพวกเขาอย่างไม่ยอมเลิกรา นี่คือวิธีที่พวกเขาก่อให้เกิดความวิบัติ อีกคนหนึ่งก็เริ่มสืบหาชื่อของพวกเขาอย่างลับๆ สืบหาว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่ใด สถานการณ์ครอบครัวของพวกเขาเป็นเช่นไร สมาชิกในครอบครัวของพวกเขามีใครบ้าง พวกเขามีอิทธิพลในพื้นที่นั้นหรือไม่ และจะจัดการกับพวกเขาอย่างไรจึงจะได้ผลที่สุด เมื่อพวกเขาเข้าใจทั้งหมดนี้อย่างชัดเจนแล้ว พวกเขาจึงเริ่มลงมือกับ “จอมยุทธ์” คนนั้น ซึ่งชีวิตของเขาก็จะยากลำบากนับจากนั้นเป็นต้นไป คนประเภทนี้มักจะก่อเรื่องเดือดร้อนอยู่บ่อยครั้ง และไม่ว่าพวกเขาจะทนทุกข์กับความสูญเสียที่ใหญ่หลวงเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยเรียนรู้บทเรียนของตนเลย เมื่อพวกเขาเผชิญกับบางสิ่งที่พวกเขามองว่าไม่ยุติธรรม พวกเขาก็ยังคงต้องการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และก้าวออกมาเพื่อช่วยเหลือ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตนเองเท่านั้น แต่พวกเขายังทำให้ครอบครัวของตนตกอยู่ในอันตรายด้วย และบางครั้งก็ถึงกับลากเพื่อนฝูงหรือเพื่อนร่วมงานที่อยู่รอบข้างเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย หากพวกเขาเชื่อในพระเจ้าและเข้ามาในคริสตจักร พี่น้องชายหญิงก็สามารถลงเอยด้วยการถูกพวกเขาทำให้ตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น หากพวกเขาตกที่นั่งลำบากในสังคมและมีใครบางคนต้องการที่จะตอบโต้พวกเขา และคนคนนั้นรู้ว่าเจ้าเข้าร่วมชุมนุมกับพวกเขา คนคนนั้นก็อาจจะมาหาเจ้าเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ส่วนตัวและครอบครัวของพวกเขา แล้วเจ้าจะบอกคนคนนั้นหรือไม่? หากเจ้าบอก ก็เท่ากับเป็นการทรยศพวกเขา ซึ่งจะนำความเดือดร้อนมาสู่พวกเขา หากเจ้าไม่บอก คนคนนั้นก็อาจจะทรมานเจ้า ในโลกนี้มีคนชั่วมากมายเกินไป และคนชั่วก็ล้วนเป็นคนที่ไร้เหตุผล หากมีใครบางคนล่วงเกินพวกเขา พวกเขาก็จะใช้ทุกวิถีทางที่จะแก้แค้น เรื่องเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? (ใช่) ไม่ว่าคนที่มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อนจะประสบปัญหาประเภทใด นั่นย่อมก่อให้เกิดความเดือดร้อนและการรบกวนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอยู่เสมอ และยังสามารถส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักรในระดับต่างๆ ได้อีกด้วย หากใครสักคนก่อเรื่องเดือดร้อนอยู่ตลอดเวลา พวกเจ้าคิดว่าการสามัคคีธรรมความจริงกับเขาสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้หรือไม่? (ไม่ได้) ผู้คนประเภทนี้มักจะขาดสำนึกที่ดี แม้กระทั่งในยามที่พวกเขาเผชิญกับเรื่องเดือดร้อน พวกเขาก็ไม่มองว่านั่นเป็นเรื่องเดือดร้อน พวกเขาอาจจะคิดว่าตนมีสำนึกของความยุติธรรมเสียด้วยซ้ำ ในกรณีเช่นนี้ การสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาจึงไร้ประโยชน์เพราะพวกเขาเป็นคนที่มีการทำความเข้าใจที่บิดเบือน และเป็นบุคคลที่ไร้เหตุผล บุคคลที่ไร้เหตุผลไม่ยอมรับความจริงง่ายๆ บางคนอาจกล่าวว่า “พวกเขากำลังเผชิญความลำบากยากเย็นอยู่ พวกเราจะไม่คำนึงถึงพวกเขาได้อย่างไร? พวกเราจะไม่แสดงความสงสารพวกเขาบ้างได้อย่างไร? พวกเราควรปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความรัก” การปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความรักก็เป็นเรื่องดี แต่พวกเขาจะสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่? หากพวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลยแม้แต่น้อยและยังคงยึดมั่นในทัศนะของตนเองต่อไป การที่เจ้าเฝ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไม่สิ้นสุดนั้นเป็นเรื่องที่เหมาะควรหรือไม่? (ไม่เหมาะควร) เหตุใดจึงไม่เหมาะควร? (คนประเภทนี้ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ แก่นแท้ของพวกเขาคือแก่นแท้ของผู้ไม่เชื่อ ต่อให้พวกเราสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา นั่นก็จะไม่แก้ปัญหา และพวกเขาก็ยังคงสามารถนำความเดือดร้อนมาสู่คริสตจักรได้มากมาย) แล้วคนประเภทนี้ควรถูกเอาตัวออกไปหรือไม่? (พวกเขาควรถูกเอาตัวออกไป)
ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อน ในคริสตจักร พวกเขามักจะยุยงพี่น้องชายหญิงให้ทำบางสิ่งบางอย่างอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น พวกเขากล่าวว่า “การกระทำนั้นของรัฐบาลและนโยบายที่พวกเขากำหนดขึ้นนั้นไม่สมเหตุสมผล ในฐานะคริสตชน พวกเราต้องปฏิบัติความชอบธรรม พวกเราต้องกล้าพูดและไม่อาจหดหัวเหมือนคนขี้ขลาดได้ พวกเราต้องเดินขบวนไปตามท้องถนนพร้อมป้ายผ้าและประท้วง โดยต่อสู้เพื่อสวัสดิภาพของพี่น้องชายหญิง คริสตจักรของพวกเรา และมวลมนุษยชาติ!” แล้วผลลัพธ์ของการกล่าวเช่นนี้เป็นอย่างไร? ก่อนที่พวกเขาจะได้เดินขบวนด้วยซ้ำ รัฐบาลก็ทราบเรื่องแล้ว และศาลก็ส่งหมายเรียกมา จงบอกเรามาว่า เป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่คริสตจักรมีคนเช่นนี้? (โชคร้าย) บางคนกล่าวว่า “ปรากฏว่าคริสตจักรของพวกเรามีคนที่มีความสามารถเช่นนี้—คนคนนี้มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำ! ดูผู้คนในคริสตจักรของพวกเราสิ พวกเขาทั้งหมดล้วนว่านอนสอนง่ายและอยู่ในกรอบ และไม่มีอิทธิพลในสังคม พวกเขาขี้ขลาดและไม่กล้าที่จะรับผิดชอบเรื่องสำคัญใดๆ และพวกเขาก็กลัวมากว่าจะก่อเรื่องเดือดร้อน คนคนนี้แตกต่างออกไป—เขากล้าหาญ มีความคิดลึกซึ้ง และเด็ดขาด นอกจากนั้นยังมีอิทธิพลในสังคม มีความสามารถ และเมื่อเขาเห็นความอยุติธรรม ก็กล้าที่จะยืนหยัดและก้าวออกมา แม้กระทั่งในยามที่ต้องเผชิญกับคดีความทางกฎหมาย เขาก็ไม่ลนลานหรือกระวนกระวายใจ ความสามารถทางจิตใจของเขาทำให้เขาเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐโดยธรรมชาติ หากคนคนนี้ข้องเกี่ยวกับการเมือง เขาก็จะเป็นผู้แทนราษฎรหรือไม่ก็เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นอย่างน้อย พวกเราไม่ดีพอ ด้วยเหตุนั้น คริสตจักรควรเลือกพวกเขาให้เป็นผู้นำ หากพวกเขานำพวกเรา พวกเราย่อมจะได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน!” คนโง่เขลาบางคนยกย่องและเทิดทูนบูชาคนที่มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อนในสังคมเป็นพิเศษ โดยต้องการที่จะเลือกพวกเขาให้เป็นผู้นำคริสตจักรด้วยซ้ำ พวกเจ้าคิดว่าเรื่องนี้เหมาะควรหรือไม่? (ไม่เหมาะควร) เหตุใดจึงไม่เหมาะควร? คริสตจักรไม่ต้องการ “คนที่มีความสามารถ” เช่นนี้หรอกหรือ? (คริสตจักรไม่ต้องการคนเช่นนี้ ผู้นำคริสตจักรต้องนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าร่วมกันในการชุมนุม ไล่ตามเสาะหาความจริง และทำหน้าที่ของตนเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ แม้ว่าจากภายนอกนั้นคนเช่นนี้อาจดูเหมือนมีสิ่งที่เรียกว่าความกล้าหาญ ความคิดลึกซึ้ง และความเด็ดขาด แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำงานประเภทนี้ได้และจะนำความเดือดร้อนมาสู่คริสตจักรอย่างไม่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำคริสตจักร) เราจะบอกเจ้าว่า เป็นความผิดพลาดที่คนประเภทนี้จะยังคงอยู่ในคริสตจักร และจะเป็นความวิบัติมากยิ่งขึ้นหากเลือกคนเช่นนี้ให้เป็นผู้นำ พวกเขาจะนำคริสตจักรไปที่ใด? พวกเขาจะเปลี่ยนคริสตจักรให้กลายเป็นกลุ่มทางศาสนา! นี่เป็นเพราะว่าเมื่อพวกเขาเห็นความอยุติธรรมในสังคม พวกเขาก็จะฟ้องร้องคดีความ เมื่อพวกเขาเห็นคนชั่วรังแกคนจน พวกเขาก็จะต่อสู้เพื่อคนจนเหล่านั้น เมื่อพวกเขาเห็นเจ้าหน้าที่รัฐที่เสื่อมทรามทำร้ายประชาชนอย่างโหดเหี้ยม พวกเขาก็จะต้องการแสดงตนเป็นวีรบุรุษที่ปกป้องความยุติธรรมในนามของสวรรค์ ผลที่ตามมาก็คือ พวกเจ้าทุกคนก็จะค่อยๆ กลายเป็นจอมยุทธ์ที่ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมเช่นกัน ในหนทางนี้ พวกเจ้ายังคงสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือ? จากภายนอกนั้น คนที่มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อนอาจดูเหมือนมีความสามารถทีเดียว แต่ท้ายที่สุดแล้วเกิดอะไรขึ้น? พวกเขาทั้งหมดถูกกำจัดออกไปเพราะขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร เนื่องจากเส้นทางที่พวกเขาเดินนั้นไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง ไม่ว่าพวกเขาจะก่อเรื่องเดือดร้อนประเภทใด พวกเขาก็ไม่ได้กำลังเดินอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง และไม่ได้กำลังทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาทำที่มีความเชื่อมโยงกับคริสตจักร พระราชกิจของพระเจ้า หรือเจตนารมณ์ของพระเจ้าเลย ทุกสิ่งที่พวกเขาทำล้วนห่างไกลจากเจตนารมณ์ของพระเจ้าและออกไปจากเส้นทางที่ถูกต้อง ธรรมชาติของการก่อเรื่องเดือดร้อนของพวกเขาก็คือ พวกเขากำลังข้องเกี่ยวและพัวพันกับหมู่มาร พวกเขากำลังถูกหมู่มารรังควาน เพราะฉะนั้น พระนิเวศของพระเจ้าจึงต้องขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจนระหว่างพระนิเวศของพระเจ้ากับผู้คนเช่นนี้ หากพวกเขาก่อเรื่องเดือดร้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยปฏิเสธที่จะฟังไม่ว่าใครจะพยายามแนะนำพวกเขา และพวกเขาก็ก่อเรื่องเดือดร้อนโดยไม่เรียนรู้จากความผิดพลาดของตน และถึงกับประพฤติผิดโดยไม่ยั้งคิด เช่นนั้นแล้วก็ควรจะเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาจากไป เจ้าสามารถกล่าวได้ว่า “ดูเรื่องเดือดร้อนทั้งหมดที่คุณได้ก่อขึ้นสิ นั่นเป็นอุปสรรคต่องานของคริสตจักรมากเพียงใด และส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของผู้คนมากมายเพียงใด เหตุใดคุณจึงไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้? ขอบเขตความคิดของคุณนั้นกว้างขวางเกินไป—กว้างพอที่จะครอบคลุมทั้งโลกได้ คนอย่างคุณควรจะออกไปเผชิญโลก คุณควรจะบ่มเพาะตนเองและปกครองประเทศชาติ โดยนำสันติสุขมาสู่โลก คุณเหมาะที่จะคบค้าสมาคมกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง เมื่อนั้นเท่านั้นคุณจึงจะสามารถอยู่เหนือสิ่งสามัญและสยายปีกของตนแล้วทะยานขึ้นไปได้ การอยู่กับคนที่เชื่อในพระเจ้าทั้งวัน—นั่นจะไม่เป็นการฉุดรั้งความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ของคุณและจำกัดความสามารถของคุณในการสยายปีกและโบยบินหรอกหรือ? ดูพวกเราสิ—ไม่มีใครในพวกเราที่มีความมุ่งมาดปรารถนาอันยิ่งใหญ่ พวกเราเพียงแต่มุ่งความสนใจไปที่การเชื่อในพระเจ้า การอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้นเพื่อที่จะเข้าใจความจริงบางประการ และการทำความชั่วให้น้อยลง แล้วบางทีพวกเราอาจจะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า—นั่นคือเรื่องทั้งหมด พวกเราล้วนเป็นคนที่ถูกผู้คนทางโลกใส่ร้ายและดูหมิ่น ถูกโลกปฏิเสธ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรที่จะคบค้าสมาคมกับคนอย่างพวกเรา คุณจะได้ดีกว่านี้หากคุณกลับไปสู่โลกและเพียรพยายามที่นั่น บางทีคุณอาจจะสัมฤทธิ์ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่และทำให้ความทะเยอทะยานของคุณเป็นความจริงขึ้นมา” การเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาจากไปในลักษณะนี้เหมาะควรหรือไม่? นี่เป็นหนทางที่ดีในการแก้ปัญหานี้หรือไม่? (ใช่) นี่คือวิธีที่คริสตจักรควรจัดการกับผู้ไม่เชื่อดังกล่าว การแก้ไขเรื่องนี้ในหนทางนี้ตรงกับหลักธรรมความจริงโดยสมบูรณ์
คนประเภทอื่นใดอีกที่มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อน? มีคนประเภทหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมชมชอบของเพศตรงข้ามเป็นพิเศษและมักจะเกี้ยวพาราสีบุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจอยู่เสมอ พวกเขาไม่ได้กำลังไล่ตามไขว่คว้าความสัมพันธ์ฉันชู้สาวที่ถูกควร แต่พวกเขากลับรักษาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดอย่างมากและไม่ถูกควรกับเพศตรงข้ามหลายคน เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถจัดการกับความสัมพันธ์เหล่านี้ได้อย่างถูกควร จึงเป็นไปได้ว่าคนที่พวกเขาเกี้ยวพาราสีจะเกิดความหึงหวงหรือถึงกับหาทางแก้แค้นกันและกัน นี่เป็นเรื่องเดือดร้อนสำหรับพวกเขาใช่หรือไม่? (ใช่) นี่ก็เป็นเรื่องเดือดร้อนอันใหญ่หลวงเช่นกัน บางคนอาจจะไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ แต่เรื่องเหล่านี้ก็มักจะนำเรื่องเดือดร้อนมาสู่ชีวิตส่วนตัวและความเชื่อของพวกเขา และสามารถส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยส่วนบุคคลของพวกเขาได้ด้วยซ้ำไป เรื่องเดือดร้อนเหล่านี้คอยติดตามพวกเขาอยู่ร่ำไป และบรรดาผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาบ่อยๆ ก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องติดร่างแหไปด้วย ไม่ว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับบุคคลที่เป็นเพศตรงข้ามเหล่านี้อย่างแท้จริง หรือเพียงแต่เกี้ยวพาราสีและใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน พวกเราก็ไม่ใส่ใจในเรื่องดังกล่าว พวกเราสนใจเรื่องอะไร? พวกเราสนใจว่าเรื่องเดือดร้อนที่พวกเขานำมานั้นจะส่งผลกระทบที่เป็นภัยอันตรายต่อพี่น้องชายหญิงหรือคริสตจักรหรือไม่ หากมีผลกระทบ คริสตจักรก็ควรจะก้าวเข้ามาเพื่อแก้ไขและจัดการกับปัญหานั้น โดยแนะนำให้พวกเขาจัดการกับเรื่องเดือดร้อนเหล่านี้อย่างถูกควร ส่วนการที่พวกเขาจะจัดการอย่างไรนั้น พวกเราจะไม่เข้าไปแทรกแซง หากไม่ว่าจะแนะนำพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ยังคงปฏิเสธที่จะรับฟังและไม่จัดการหรือแก้ไขเรื่องเดือดร้อนเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วก็ควรจะแยกเดี่ยวพวกเขาและตักเตือนว่า “คุณต้องจัดการเรื่องเดือดร้อนส่วนตัวของคุณก่อน เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว คุณก็สามารถกลับมาทำหน้าที่ของคุณได้ หากคุณไม่จัดการเรื่องเหล่านั้นอย่างถูกควร คุณก็จะยังคงถูกแยกเดี่ยว” แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้เชื่อและอาจจะทำหน้าที่ของตนด้วยซ้ำ—บางทีก็เป็นหน้าที่ที่สำคัญ—แต่เนื่องจากปัญหาที่ร้ายแรงในชีวิตส่วนตัวของพวกเขาและเนื่องจากเรื่องเดือดร้อนที่พวกเขาก่อขึ้นสามารถส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักร ผู้นำคริสตจักรจึงไม่อาจเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้ เพราะเรื่องเดือดร้อนเหล่านี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น คนที่พวกเขามีความสัมพันธ์ด้วยอาจจะได้รู้รูปการณ์แวดล้อมบางอย่างของคริสตจักรหรือข้อมูลส่วนตัวของพี่น้องชายหญิงจากพวกเขา หากคนเหล่านั้นนำข้อมูลนี้ไปเปิดเผยต่อบุคคลที่มีเจตนาร้ายหรือพญานาคใหญ่สีแดง ก็จะเป็นอันตรายทั้งต่อคริสตจักรและต่อพี่น้องชายหญิง ด้วยเหตุนั้น สำหรับคริสตจักรแล้ว เรื่องเดือดร้อนหรือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนเกิดจากพวกเขา ดังนั้นคริสตจักรจึงควรให้พวกเขาแก้ไขเรื่องเดือดร้อนส่วนตัวของพวกเขาก่อน หากพวกเขาจัดการกับเรื่องเดือดร้อนเหล่านั้นได้เรียบร้อยแล้ว พระนิเวศของพระเจ้าก็สามารถตัดสินใจที่จะยอมรับพวกเขาอีกครั้งตามรูปการณ์แวดล้อมของพวกเขาได้ แต่ถ้าหากพวกเขายังคงไม่แก้ไขเรื่องเดือดร้อนดังกล่าวและยังคงต้องการที่จะทำหน้าที่ของตน ควรจะทำเช่นไร? (ไม่ควรอนุญาตให้พวกเขาทำหน้าที่ของตน) ในกรณีเช่นนั้น ก็ต้องเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาจากไปหรือเอาตัวพวกเขาออกไป สรุปได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้นำคริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิง เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาค้นพบว่ามีคนที่มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อนอยู่ในคริสตจักร พวกเขาก็ควรจะจัดการเรื่องนี้ตามหลักธรรมและจัดการอย่างทันท่วงที พวกเขาไม่ควรรอจนกระทั่งบุคคลเหล่านี้นำอันตรายมาสู่พี่น้องชายหญิงหรือนำเรื่องเดือดร้อนมาสู่งานของคริสตจักรก่อน แล้วจึงจัดการและแก้ไขเรื่องเดือดร้อนนั้น
บางคนก็ยั่วยุให้เกิดเรื่องเดือดร้อนและเข้าไปทะเลาะวิวาทและชกต่อยอย่างว่องไว พวกเขามักจะรู้สึกว่าตนเองออกหมัดชกต่อยได้ดี ต้องการที่จะเอาชนะทุกคนในโลกอยู่เสมอ หรือหากพวกเขารู้ศิลปะการต่อสู้ที่พิเศษเล็กน้อย พวกเขาก็ต้องการที่จะใช้ความรุนแรงและใช้กำลังกับผู้อื่นอยู่เสมอ คนประเภทนี้ก็มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อนเช่นกันมิใช่หรือ? (ใช่) ยังมีบรรดาผู้ที่ไม่อยู่ในที่ทางที่ถูกควรของตนไม่ว่าพวกเขาจะไปที่แห่งใดก็ตาม พวกเขาไม่ทำตามกฎเกณฑ์หรือปฏิบัติตามระเบียบสาธารณะและต้องการที่จะทำตัวผิดแผกแตกต่างอยู่เสมอ เวลาที่ขับรถ พวกเขาก็ยืนกรานที่จะฝ่าไฟแดง หรือยืนกรานที่จะเลี้ยวซ้ายในที่ที่ห้ามเลี้ยว และเมื่อถูกตำรวจเรียกให้จอดและปรับ พวกเขาก็ไม่ยอมรับผิดและต้องการที่จะรายงานเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้น เจ้าเห็นหรือไม่ว่า พวกเขากล้าที่จะรายงานใครก็ได้ แม้ว่าตำรวจจะปฏิบัติตามกฎหมาย พวกเขาก็ยังคงต้องการที่จะรายงานตำรวจเหล่านั้น—พวกเขาเย้ยกฎหมาย คนปัญญาอ่อนเหล่านี้ก็มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อนเช่นกันมิใช่หรือ? (ใช่) คนประเภทนี้ซึ่งมีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อนคิดว่าตนมีพระเจ้าให้พึ่งพาเพราะพวกเขาเชื่อในพระองค์ และคริสตจักรก็มีผู้คนจำนวนมากและมีอิทธิพลอย่างมาก ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงไม่เกรงกลัวสิ่งใด พวกเขาประพฤติผิดโดยไม่ยั้งคิดในทุกหนแห่งเพื่ออวดความสามารถของตนและเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนนั้นน่าเกรงขามเพียงใด แม้กระทั่งหลังจากที่ประสบกับเรื่องเดือดร้อนทางกฎหมายแล้ว พวกเขาก็ไม่รู้จักที่จะเปลี่ยนเส้นทาง ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาพูดว่าอย่างไร? “โลกนี้ชั่วอย่างแท้จริง ฉันถูกจับกุมเพียงเพราะการยืนหยัดเพื่อความยุติธรรม โลกนี้ช่างไม่เป็นธรรมอย่างแท้จริง!” พวกเขายังคงปฏิเสธที่จะยอมรับความผิดพลาดของตน พวกเขายั่วยุและหาเรื่องเดือดร้อนมาใส่ตัวเอง แต่พวกเขากลับบ่นว่าเรื่องนี้ไม่เป็นธรรมสำหรับพวกเขา นี่เป็นสิ่งที่ไร้เหตุผลอย่างที่สุดมิใช่หรือ? (ใช่) ไม่ว่าโลกจะชั่วและมืดมนเพียงใด การที่พวกเขายั่วยุให้เกิดเรื่องเดือดร้อนก็เป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดของพวกเขา พระเจ้าไม่เคยทรงขอให้ใครยั่วยุให้เกิดเรื่องเดือดร้อน และพระองค์ก็ไม่เคยทรงขอให้ใครใช้ธงของการเชื่อในพระเจ้าในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและบังคับใช้ความยุติธรรมในนามของสวรรค์ บางคนกล่าวว่า “กฎหมายทั้งหลายของโลกนี้ไม่ใช่ความจริง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม” แม้ว่ากฎหมายจะไม่ใช่ความจริง พระเจ้าก็ไม่เคยตรัสบอกเจ้าว่าเจ้าสามารถฝ่าฝืนกฎหมายได้ตามอำเภอใจ และพระองค์ก็ไม่เคยตรัสบอกเจ้าว่าเจ้าสามารถฆ่าหรือวางเพลิงได้ พระเจ้าทรงขอให้เจ้าเชื่อฟังกฎหมายและปฏิบัติตามระเบียบสาธารณะในสังคม ให้รู้จักที่จะปฏิบัติตามบรรทัดฐานทางศีลธรรมและทำตามกฎเกณฑ์ไม่ว่าเจ้าจะไปที่แห่งใด ไม่ให้ยั่วยุ และไม่ให้ก่อเรื่องเดือดร้อน หากเจ้าฝ่าฝืนกฎหมาย เจ้าจะต้องรับผลที่ตามมาด้วยตนเอง—จงอย่าคาดหวังให้พระนิเวศของพระเจ้ารับผิดชอบแทนเจ้า เพราะนี่เป็นพฤติกรรมส่วนบุคคลและเป็นตัวแทนของเจ้าในฐานะปัจเจกบุคคลเท่านั้น พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยสั่งให้เจ้าทำสิ่งใดที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าเจ้าจะจัดการกับเรื่องต่างๆ ในประเทศใด พระนิเวศของพระเจ้าก็ให้เจ้าตรวจสอบกฎหมายและปรึกษาทนายความ สิ่งใดก็ตามที่ทนายความกล่าวนั้นเหมาะควร นั่นคือสิ่งที่เจ้าควรทำ หากทนายความไม่ได้แนะนำให้เจ้ากระทำการในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง แล้วเจ้ากลับกระทำการอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ทำให้เรื่องต่างๆ ผิดพลาด และฝ่าฝืนกฎหมาย เจ้าย่อมจะต้องรับผลที่ตามมาด้วยตนเอง—จงอย่านำเรื่องเดือดร้อนมาสู่พระนิเวศของพระเจ้า ต่อให้แนวทางที่ทนายความแนะนำไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด เจ้าก็ยังคงต้องทำตามคำแนะนำของทนายความ ตราบใดที่การกระทำนั้นถูกกฎหมายและไม่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญต่อพระนิเวศของพระเจ้า ก็สามารถทำได้ พระนิเวศของพระเจ้าบอกผู้คนเสมอว่าให้ปรึกษาทนายความและจัดการกับเรื่องทั้งหลายตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม บางคนคิดว่า “พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้เป็นของโลก ดังนั้นพวกเราจึงไม่ควรทำตามกระแสนิยมของโลก! กฎหมายไม่ได้เป็นตัวแทนของความจริง—มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง และพระเจ้าทรงสูงสุด พวกเรานบนอบความจริงและพระเจ้าเท่านั้น!” แม้ว่าคำกล่าวนี้จะถูกต้อง แต่เจ้าก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้และต้องจัดการกับปัญหาที่เป็นจริงมากมาย เพราะฉะนั้น เจ้าจึงไม่สามารถละเมิดกฎหมาย และเจ้าก็ไม่สามารถละเมิดหลักธรรมความจริงได้ อำนาจสูงสุดของพระเจ้าหมายถึงอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้า ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับกิจกรรมที่ผิดกฎหมายหรือกระทำการอย่างเผด็จการในสังคม ทำอะไรก็ได้ตามที่เจ้าต้องการ และก่อเรื่องเดือดร้อนไปทั่วทุกที่ พระเจ้าไม่เคยทรงส่งเสริมหรือกำหนดให้ใครฝ่าฝืนกฎหมายในการทำสิ่งใด แต่กลับทรงตรัสบอกให้เจ้าทำตามกฎหมายและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคม หากเจ้าฝ่าฝืนกฎหมายและถูกลงโทษ เจ้าก็ต้องยอมรับโทษนั้น และเจ้าไม่ควรก่อปัญหาหรือก่อเรื่องเดือดร้อน หากเจ้าก่อเรื่องเดือดร้อนอยู่เสมอ โดยคิดตลอดเวลาว่าเพราะเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าจึงมีพระเจ้าทรงหนุนหลังเจ้า ดังนั้นเจ้าก็เลยไม่เกรงกลัวอะไรเลย เราจะบอกเจ้าว่า เจ้าคิดผิดแล้ว! พระเจ้าไม่ทรงหนุนหลังให้แก่ความไม่เกรงกลัวของเจ้าในการเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง และพระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่ชดใช้ให้ตรรกะเยี่ยงอันธพาลของเจ้า จงอย่าคิดเป็นอันขาดว่าเพียงเพราะว่ามีผู้คนมากมายในพระนิเวศของพระเจ้าและพระนิเวศของพระเจ้ามีอิทธิพลมาก เจ้าจึงสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ หากเจ้าคิดในหนทางนี้ เจ้าก็คิดผิด นี่คือตรรกะของซาตาน พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยกล่าวเช่นนั้น และพระเจ้าก็ไม่เคยตรัสเช่นนั้น พระนิเวศของพระเจ้าไม่ส่งเสริมให้ใครกระทำการในลักษณะนี้ เป็นเรื่องจริงที่ว่าพระนิเวศของพระเจ้ามีผู้คนมากมาย แต่จำนวนผู้คน—ไม่ว่าจะมากหรือน้อย—ก็ไม่ได้มีไว้เพื่อหนุนหลังใคร ทำให้ใครใจกล้าขึ้น หรือปกป้องใครจากเรื่องเดือดร้อนและทำให้สิ่งต่างๆ ราบรื่น พระเจ้าทรงเลือกผู้คนเพื่อที่พวกเขาอาจจะติดตามพระองค์และทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถเป็นไปตามมาตรฐานในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าสามารถต่อต้านโลก ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าพร่ำพูดแนวคิดที่ฟังดูยิ่งใหญ่ในโลก และไม่ใช่เพื่อให้เจ้าสอนบทเรียนให้แก่โลกอย่างแน่นอน การเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่เรื่องของการทวนกระแส ไม่เกี่ยวข้องกับการทวนกระแสหรือการดูหมิ่นโลก ดังนั้น จงอย่าเข้าใจเจตนารมณ์ที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนผิดไป และจงอย่าตีความหรือเข้าใจนัยสำคัญของการเชื่อในพระเจ้าผิดไป จุดประสงค์ของการที่พระเจ้าทรงเลือกผู้คนคืออะไร? (เพื่อให้ผู้คนติดตามพระเจ้า ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง) พระเจ้าทรงเลือกผู้คนเพื่อที่จะได้รับพวกเขา เพื่อที่จะได้รับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง เพื่อที่จะได้รับมนุษย์ที่นมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริง เพื่อที่มวลมนุษยชาติใหม่จะถือกำเนิดขึ้น มวลมนุษยชาติที่สามารถนมัสการพระเจ้าได้ จุดประสงค์ของการที่พระเจ้าทรงเลือกผู้คนนั้นไม่ใช่เพื่อให้พวกเขาต่อต้านโลกนี้หรือมวลมนุษยชาติ เพราะฉะนั้น บรรดาผู้ที่มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อนจึงควรถูกกันให้ออกห่างจากคริสตจักรและออกห่างจากสถานที่ที่ผู้คนทำหน้าที่ของตนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของผู้อื่น
สำหรับผู้ที่มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อน ไม่ว่าพวกเขาจะก่อเรื่องเดือดร้อนประเภทใด หากนั่นนำความเดือดร้อนมาสู่คริสตจักรและส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพี่น้องชายหญิง ผู้นำและคนทำงานก็ควรจะก้าวเข้ามาแก้ไขเรื่องดังกล่าว ต้องไม่ปล่อยปละละเลยเป็นอันขาด พวกเขาควรจะเข้าใจและจับความเข้าใจในสถานการณ์โดยทันที ชี้แจงรากเหง้าของปัญหาให้ชัดเจน แล้วจากนั้นก็หาทางแก้ไขที่สมเหตุสมผลและจัดการกับเรื่องเดือดร้อนนั้น เหตุใดจึงต้องจัดการ? ประการหนึ่งคือ เรื่องเดือดร้อนเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักร ชีวิตคริสตจักร หรือการปฏิบัติหน้าที่ของพี่น้องชายหญิง อีกประการหนึ่งก็คือ ไม่ว่าบุคคลเหล่านี้ซึ่งมีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อนจะถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนที่มีความสามารถหรือเป็นคนเกียจคร้านและอันธพาล ตราบใดที่พวกเขานำเรื่องเดือดร้อนมา พวกเขาก็ควรจะถูกจัดการอย่างทันท่วงที แล้วควรจะจัดการพวกเขาอย่างไร? นี่ไม่ใช่การจัดการกับเรื่องเดือดร้อน แต่เป็นการจัดการผู้คนที่รับผิดชอบในการนำเรื่องเดือดร้อนมา โดยการชำระพวกเขาออกไปจากคริสตจักร รากเหง้าของเรื่องเดือดร้อนก็จะถูกแก้ไข และด้วยเหตุนั้นประเด็นปัญหานั้นจึงถูกจัดการ เจ้าต้องไม่มีวันปรานีเพียงเพราะบางคนที่มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อนนั้นดูเหมือนจะมีความสามารถหรือมีพรสวรรค์ในสายตาของเจ้า หากเจ้าสามารถปรานีพวกเขาได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นคนที่เลอะเลือนมากอย่างแท้จริงและไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำคริสตจักร และพี่น้องชายหญิงก็ควรจะถอดถอนเจ้าออกจากตำแหน่ง หากเจ้าไม่ปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าและไม่คุ้มครองพี่น้องชายหญิง แต่กลับปกป้องคนชั่วและคนที่ก่อเรื่องเดือดร้อน โดยถึงกับเทิดทูนบูชาพวกเขาจนเกินขอบเขต ปฏิบัติต่อพวกเขาประหนึ่งแขกผู้มีเกียรติและบุคคลที่มีพรสวรรค์ และคิดว่าพวกเขาเป็นคนที่มีความสามารถซึ่งหาได้ยากในคริสตจักร จึงใช้พวกเขาทำงานที่สำคัญ และถึงกับทำให้เรื่องเดือดร้อนของพวกเขาบรรเทาเบาบางลง—เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่เหมาะสมกับบทบาทของผู้นำคริสตจักรโดยสิ้นเชิง เจ้าเป็นคนเลอะเลือนและเป็นผู้นำเทียมเท็จ และเจ้าควรจะถูกปลดและถูกกำจัดออกไป หากผู้นำคริสตจักรไม่ยอมฟังคำแนะนำและยืนกรานที่จะปกป้องคนชั่วบางคนที่มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อนหรือใช้พวกเขาทำงานสำคัญ พี่น้องชายหญิงก็ไม่เพียงแต่ควรจะถอดถอนผู้นำคนนั้น แต่ยังควรจะมัดพวกเขารวมกับคนคนนี้ที่ก่อเรื่องเดือดร้อนและเอาตัวพวกเขาทั้งสองออกไป เจ้าเทิดทูนบูชาคนที่ก่อเรื่องเดือดร้อนมิใช่หรือ? เขาก็รู้สึกว่าได้รับการคุ้มครองจากเจ้าเช่นกัน และพวกเจ้าก็เข้ากันได้ดีมาก—ถ้าเช่นนั้น ก็เสียใจด้วย พวกเจ้าทั้งสองคนต้องไป พระนิเวศของพระเจ้าไม่ต้องการใครในพวกเจ้าเลย! หากมีคนที่มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อนอยู่ในคริสตจักร และผู้นำระดับสูงไม่ทราบเรื่อง ในขณะที่ผู้นำคริสตจักรเป็นคนเลอะเลือนและไม่มีวิจารณญาณ เช่นนั้นแล้วพี่น้องชายหญิงที่เข้าใจความจริงก็ต้องก้าวเข้ามาแก้ไขปัญหา ประการหนึ่งคือ พวกเขาควรจะรายงานเรื่องนั้นต่อผู้นำระดับสูงโดยทันที นอกจากนี้ พวกเขาต้องรวมตัวกับพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ เพื่อสามัคคีธรรมและแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ เมื่อยืนยันได้แล้วว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ ก็ต้องปลดหรือถอดถอนพวกเขา และควรจะเลือกผู้นำคนใหม่—เป็นใครบางคนที่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า งานของคริสตจักร และชีวิตคริสตจักรได้ การปฏิบัติในหนทางนี้เหมาะควรหรือไม่? (เหมาะควร) จงชำระผู้นำคริสตจักรคนนี้และคนที่มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อนออกไปด้วยกัน พวกเขาเป็นสองคนที่เข้ากันได้อย่างดีเมื่ออยู่ด้วยกันเนื่องจากพวกเขามีคุณสมบัติร่วมกันที่เลวทราม อิจฉาริษยา และเลื่อมใสซึ่งกันและกันมิใช่หรือ? ถ้าเช่นนั้นก็จงทำให้ความปรารถนาของพวกเขาลุล่วงและปล่อยให้พวกเขากลับไปสู่โลกด้วยกัน—พระนิเวศของพระเจ้าไม่ต้องการผู้คนอย่างพวกเขา หากพวกเขาอยู่ในคริสตจักร พวกเขาก็จะก่อเรื่องเดือดร้อนและสร้างความเดือดร้อนเท่านั้น ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอันใหญ่หลวงต่องานของคริสตจักร พวกเขาควรถูกชำระออกไป ไม่ว่าพวกเขาต้องการจะไปที่ใดและต้องการจะก่อเรื่องเดือดร้อนอันใหญ่หลวงเพียงใดก็เป็นเรื่องของพวกเขาเอง ไม่ว่าในกรณีใด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคริสตจักรเลยและจะไม่ทำให้คริสตจักรติดร่างแหไปด้วย นั่นจะเป็นการแก้ปัญหามิใช่หรือ? (ใช่) วิธีแก้ปัญหานี้ดีทีเดียว นั่นเป็นการสรุปสามัคคีธรรมของเราถึงการสำแดงประการที่สิบสอง ซึ่งว่าด้วยเรื่องของคนที่มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อน
13. การมีพื้นเพที่ซับซ้อน
เรามาดูการสำแดงประการถัดไปกันเถิด นั่นคือการมีพื้นเพที่ซับซ้อน พวกเจ้าคิดว่าคนประเภทใดมีพื้นเพที่ซับซ้อน? (บางคนข้องเกี่ยวกับทั้งโลกใต้ดินของอาชญากรและแวดวงที่ถูกกฎหมาย และพื้นเพทางสังคมของพวกเขาก็ค่อนข้างซับซ้อน—พวกเขาจัดอยู่ในจำพวกนี้หรือไม่?) เมื่อพวกเราพูดถึงพื้นเพที่ซับซ้อน พวกเรากำลังหมายถึงคนเจนโลกอย่างแน่นอน ลักษณะท่าทีที่เป็นแบบฉบับของคนเจนโลกเป็นอย่างไร? นั่นก็คือพวกเขาจะนั่งลง ไขว่ห้าง และเริ่มพูดไม่หยุด พวกเขาพูดจาเรื่อยเปื่อยไปสารพัดเรื่อง และสามารถพูดจาไร้สาระได้สักครู่หนึ่งเกี่ยวกับทั้งเรื่องในประเทศและต่างประเทศ แต่ไม่มีสักคำเดียวที่พวกเขาพูดเป็นความจริง—ทั้งหมดเป็นเพียงการพูดโอ้อวดที่กุขึ้นมาหรือไม่ก็เป็นเพียงจินตนาการ คนขี้โม้ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีพื้นเพทางสังคมที่ซับซ้อนเสมอไป คนขี้โม้อาจเป็นเพียงคนที่ไม่ทำงานทำการและเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาๆ—ไม่ว่าจะไปที่ใด พวกเขาก็พูดจาโอ้อวด กล่าวถึงเรื่องสูงส่งที่ไม่เป็นจริงเพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิดและทำให้ผู้อื่นเคารพนับถือพวกเขา และใช้เวลาไม่นานชื่อเสียงของพวกเขาก็ย่อยยับ คนประเภทใดมีพื้นเพที่ซับซ้อน? ตัวอย่างเช่น บางคนเข้าร่วมพรรคการเมืองในสังคม แต่หลังจากพยายามอยู่หลายปี พวกเขาก็ไม่ได้รับสถานะใดๆ จากนั้นพวกเขาก็เข้าร่วมอีกพรรคหนึ่ง และในที่สุดก็สามารถได้ตำแหน่งเป็นผู้นำระดับเล็กๆ หรือเจ้าหน้าที่รัฐระดับเล็กๆ พวกเขามีเส้นสายทางสังคมที่ซับซ้อนเป็นพิเศษ ไม่มีใครสามารถพูดได้อย่างแน่ใจว่าคนที่พวกเขาคบค้าสมาคมด้วยนั้นเป็นมิตรหรือศัตรูของพวกเขา—แม้กระทั่งครอบครัวของพวกเขาเองก็ไม่รู้ มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ คนเช่นนี้มีพื้นเพที่ซับซ้อนมิใช่หรือ? (ใช่) คนเหล่านี้มีพื้นเพที่ซับซ้อนทางการเมือง วันนี้พวกเขาสนับสนุนพรรคนี้ พรุ่งนี้พวกเขาก็สนับสนุนพรรคนั้น วันนี้พวกเขาสนับสนุนคนคนหนึ่งในการเลือกตั้ง และพรุ่งนี้พวกเขาก็สนับสนุนคนอื่นสักคนหนึ่ง สรุปก็คือ ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาคิดอะไร พวกเขาไม่บอกคนทั่วไปว่าพวกเขาสนับสนุนใครกันแน่ หรือจุดยืนทางการเมืองหรือเป้าหมายทางการเมืองของพวกเขาคืออะไรกันแน่ พวกเขาเก็บเรื่องเหล่านี้ไว้เป็นความลับเป็นพิเศษ และคนทั่วไป—แม้แต่ครอบครัวของพวกเขาเอง—ก็ไม่รู้เรื่องเหล่านี้ของพวกเขา อย่างไรก็ตาม พวกเขาหลงใหลเรื่องการเมืองเป็นพิเศษ และพวกเขาก็มีคนคุ้นเคยบางคนและรู้จักคนบางคนที่อยู่บนเวทีการเมือง เพียงแต่ในขณะนี้พวกเขายังไม่ได้ทำให้ความทะเยอทะยานของตนสำเร็จลุล่วง หลังจากที่คนประเภทนี้เข้ามาในคริสตจักร พวกเขาก็มองเห็นว่าพี่น้องชายหญิงเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่เข้าใจการเมืองหรือยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาดูหมิ่นบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง แม้กระนั้น พวกเขาก็ต้องการใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของคริสตจักรในโลกศาสนาและในสังคมอยู่เสมอ หรือฉวยโอกาสจากอิทธิพลของคริสตจักรเพื่อทำสิ่งที่ตนต้องการ สนองความทะเยอทะยานที่สูงเกินเอื้อมของตน หรือแสดงความทะเยอทะยานทางการเมืองของตนออกมาอย่างเต็มที่—กล่าวคือ พวกเขาต้องการที่จะซ่อนตัวอยู่ในคริสตจักรและรอคอยโอกาสที่เหมาะสม เพื่อที่พวกเขาจะสามารถใช้ชุมชนคริสตจักรหรือบางคน บางเหตุการณ์ และบางสิ่งบางอย่างภายในคริสตจักรเพื่อลุล่วงเป้าหมายทางการเมืองของตน คนประเภทนี้ถือว่าเป็นคนที่มีพื้นเพที่ซับซ้อนใช่หรือไม่? (ใช่) ความคิด หลักธรรมในการจัดการเรื่องราว ชั้นเชิงต่างๆ ตลอดจนกลยุทธ์และวิธีการพูดจาซึ่งบรรดาผู้ที่ข้องเกี่ยวกับการเมืองใช้นั้นเป็นสิ่งที่ชาวบ้านธรรมดาไม่สามารถมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนหนุ่มสาวหรือผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ทางสังคมจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้อย่างทะลุปรุโปร่งได้เลย สำหรับคนเหล่านี้ซึ่งมีพื้นเพที่ซับซ้อนทางการเมือง บรรดาผู้ที่ไม่มีความฉลาดหลักแหลมทางการเมืองก็เป็นของเล่นในมือของพวกเขา และพวกเขาก็ดูถูกผู้คนเช่นนั้นอย่างแน่นอน เพื่อเป็นการยกตัวอย่างที่ไม่แน่ชัดนัก ในอาณาจักรของสัตว์ สิ่งมีชีวิตที่ฉลาดแกมโกงที่สุดคือ งู สุนัขจิ้งจอก และเสือ จากมุมมองของพวกมัน สัตว์อย่างแกะ กระต่าย กวาง และสุนัขนั้นโง่เขลา ผู้คนที่มีพื้นเพทางการเมืองมองพี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ในหนทางเดียวกันกับที่พวกสัตว์ฉลาดแกมโกง อย่างเช่น สุนัขจิ้งจอกและงู มองสัตว์ที่ไร้เล่ห์มารยาอย่างแกะ กวาง และสุนัข พวกเขาสามารถมองเห็นพี่น้องชายหญิงได้อย่างชัดเจน แต่พี่น้องชายหญิงไม่สามารถมองเห็นพวกเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แล้วเราจะสามารถแยกแยะผู้คนที่มีพื้นเพที่ซับซ้อนทางการเมืองได้อย่างไร? บรรดาผู้ที่ข้องเกี่ยวกับการเมืองมีหัวใจจดจ่ออยู่กับการเมืองและอำนาจ ตราบใดที่พวกเขาชอบอำนาจและชอบข้องเกี่ยวกับการเมือง ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็จะเข้าร่วมในการเมือง พวกเขาไม่สามารถซ่อนตัวอยู่ในคริสตจักรได้ตลอดไป เมื่อพวกเขาเปิดโปงตนเอง เจ้าจะเข้าใจว่า “แล้วก็ปรากฏว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง! พวกเขามีพื้นเพทางการเมืองและไม่ได้เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ พวกเขามีวาระอื่นในการเชื่อในพระเจ้า!” เมื่อคนเหล่านั้นเข้ามาในคริสตจักรเป็นครั้งแรก พวกเขาซ่อนตัวได้ดีเป็นพิเศษ โดยเข้าร่วมการชุมนุมและทำหน้าที่ของตนตามปกติ แต่เมื่อเวลาสุกงอม พวกเขาก็จะพยายามใช้คริสตจักรเพื่อทำสิ่งที่ตนต้องการ และความปรารถนาที่เกินเอื้อมของตนและโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาก็จะถูกเปิดโปงออกมาตามธรรมชาติ เมื่อนั้นเท่านั้นที่พี่น้องชายหญิงจะสามารถมองเห็นได้ว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ เมื่อพวกเขาถูกเปิดโปง ก็จะเป็นการง่ายมากที่จะแยกแยะพวกเขา ตัวอย่างเช่น เมื่อหมาป่าปลอมตัวในชุดเสื้อผ้าของแกะและปะปนอยู่กับฝูงแกะ เจ้าอาจไม่สามารถแยกแยะได้ว่านั่นคือหมาป่าหรือแกะ แต่เมื่อหมาป่าเริ่มกินแกะ เจ้าก็จะแยกแยะได้ว่านั่นคือหมาป่า บรรดาผู้ที่ข้องเกี่ยวกับการเมืองล้วนเป็นผู้ไม่เชื่อที่แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักร เมื่อคนเหล่านี้พยายามชักพาให้พี่น้องชายหญิงหลงผิดและดึงพี่น้องชายหญิงให้เข้าร่วมพรรคการเมืองบางพรรคและเข้าร่วมการเมืองกับพวกเขา เจ้าจะเห็นว่าการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้นเทียมเท็จ และเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาก็คือการทำเรื่องการเมือง—ไม่ว่าพื้นเพของพวกเขาจะซับซ้อนเพียงใด พื้นเพดังกล่าวก็จะปรากฏออกมาและถูกเปิดโปง ณ จุดนี้ ผู้คนจะสามารถแยกแยะพวกเขาได้ นี่คือคนประเภทหนึ่งซึ่งมีพื้นเพที่ซับซ้อน—คือบรรดาผู้ที่มีพื้นเพที่ซับซ้อนทางการเมือง
ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่จัดอยู่ในจำพวกผู้ที่มีพื้นเพที่ซับซ้อน บางคนในสังคมไม่อยู่ในที่ทางที่ถูกควรของตนและใช้ชีวิตที่ดีพอ แต่กลับชอบคบค้าสมาคมกับบุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจ บุคคลเหล่านี้รวมถึง ตัวอย่างเช่น บรรดาผู้ที่ปลอมแปลงเอกสารและฉ้อโกง หรือสมาชิกโลกใต้ดินของอาชญากร บรรดาผู้ที่มีสถานะ ชื่อเสียง และเกียรติยศในสังคม ซึ่งเบื้องหน้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือนักธุรกิจ แต่เบื้องหลังกลับมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดกฎหมายและเป็นอาชญากรรมอยู่เสมอ โดยสมรู้ร่วมคิดกับเจ้าหน้าที่บางคนหรือสมาชิกโลกใต้ดินของอาชญากรเพื่อลักลอบค้าอาวุธปืน ยาเสพติด หรือสิ่งต้องห้ามอื่นๆ ที่รัฐห้าม ตลอดจนบรรดาผู้ที่เคยถูกตัดสินลงโทษและจำคุกหลายครั้ง และผู้ที่เคยทำความชั่วบางอย่าง เช่น ปล้นสุสาน ข่มขืน ล่วงละเมิดทางเพศ หรือแม้กระทั่งเป็นผู้ค้ามนุษย์หรือผู้ลักลอบขนคนเข้าเมือง คนจำพวกนี้ที่มีพื้นเพที่ซับซ้อนจะคบค้าสมาคมกับบุคคลประเภทนี้ และยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดเป็นพิเศษกับบุคคลเหล่านั้น—พวกเขาเรียกกันและกันว่า “พี่น้อง” และพวกเขาต่างก็ใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกันและทำสิ่งทั้งหลายให้กันและกัน เมื่อมองจากภายนอก คนเหล่านี้ไม่ได้ทำความชั่วที่เห็นได้ชัด และพวกเขาก็ไม่ได้ลักขโมย ปล้น ฆ่า หรือวางเพลิง แต่กลุ่มคนที่พวกเขาคบค้าสมาคมด้วยและแวดวงที่พวกเขาย้ายเข้าไปอยู่นั้นล้วนประกอบด้วยบุคคลที่ไม่ดีพอเหล่านี้ คนประเภทนี้น่ากลัวไม่น้อยเช่นกันมิใช่หรือ? (ใช่) พวกเขาเป็นหุ้นส่วนกับบุคคลเหล่านี้ในการลงทุนทำธุรกิจ และเมื่อหุ้นส่วนของพวกเขาทำบางสิ่งที่ผิดกฎหมายและต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขา พวกเขาก็ให้ความช่วยเหลือ แม้ว่าพวกเขาอาจไม่ใช่ผู้กระทำผิดหลัก แต่พวกเขาก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เจ้าสามารถกล่าวได้ว่าคนประเภทนี้มักจะทำตัวหมิ่นเหม่ต่อกฎหมายอยู่บ่อยครั้ง “การทำตัวหมิ่นเหม่ต่อกฎหมาย” หมายความว่าอย่างไร? (หมายความว่าพวกเขามักจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่อาจมีความเป็นไปได้ที่จะฝ่าฝืนกฎหมาย) นั่นเป็นแง่มุมหนึ่ง นอกจากนี้ พวกเขาก็มักจะใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ทางกฎหมาย และสิ่งที่พวกเขาข้องเกี่ยวนั้นล้วนเป็นเรื่องสำคัญทั้งสิ้น หากพวกเขาถูกจับได้ แม้จะเป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิด พวกเขาก็อาจจะถูกตัดสินจำคุก 10 หรือ 20 ปี หรือเผชิญกับค่าปรับเป็นเงินมหาศาล เจ้าจะบอกว่าคนประเภทนี้เป็นปัญหามิใช่หรือ? (ใช่) เจ้าไม่เคยเห็นพวกเขาทำความชั่วที่เห็นได้ชัด และเจ้าก็ไม่เคยเห็นพวกเขาฆ่าคน วางเพลิง หรือคดโกงหรือใส่ร้ายใคร แต่เมื่อบรรดาผู้ที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงและฝ่าฝืนกฎหมายทั้งในโลกใต้ดินของอาชญากรและแวดวงที่ถูกกฎหมายซึ่งส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดกฎหมายเพื่อแสวงหาผลกำไรมหาศาล คนประเภทนี้ก็ได้ส่วนแบ่งจากของโจรและได้ส่วนแบ่งจากผลประโยชน์นั้นด้วย พวกเจ้าจะบอกว่าคนประเภทนี้ถือว่าเป็นคนที่มีพื้นเพที่ซับซ้อนใช่หรือไม่? (ใช่) หากคนเช่นนี้ยังคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า จะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่? (ไม่) พวกเขาคบค้าสมาคมกับทั้งโลกใต้ดินของอาชญากรและแวดวงที่ถูกกฎหมาย และไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังทำกิจกรรมที่ผิดกฎหมายอีกด้วย—นี่คือพื้นเพที่ซับซ้อน หากพวกเขาคบค้าสมาคมกับเจ้าหน้าที่รัฐบางคน และพวกเขาคบค้าสมาคมและมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านั้นในลักษณะปกติ นั่นย่อมเป็นที่ยอมรับได้ อย่างไรก็ตาม หากคนที่พวกเขาคบค้าสมาคมด้วยเป็นบุคคลที่มีลักษณะนิสัยด้านลบซึ่งข้องเกี่ยวกับกิจกรรมที่ผิดกฎหมายและอาชญากรรมต่างๆ เช่นนั้นแล้วนั่นก็น่าวิตกมาก และไม่ช้าก็เร็ว จะต้องมีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น คนประเภทนี้ชอบคบค้าสมาคมกับคนเหล่านั้น พวกเขายังอาศัยบารมีคนเหล่านั้นด้วย โดยพึ่งพาอิทธิพลของคนเหล่านั้นเพื่อหาเงิน เพื่อจะได้ร่ำรวย และใช้ชีวิตที่ดี เช่นนั้นจะสามารถมองว่าพวกเขาเป็นคนดีได้หรือไม่? (ไม่ได้) ผู้คนมักจะกล่าวว่า “กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์”—พวกเขาสามารถคบค้าสมาคมกับทั้งสมาชิกในโลกใต้ดินของอาชญากรและแวดวงที่ถูกกฎหมายได้ เจ้าคิดว่าพวกเขาเป็นคนที่ดีพอซึ่งอยู่ในที่ทางที่ถูกควรของตนหรือไม่? (ไม่) ไม่ใช่อย่างแน่นอน พวกเขาคบค้าสมาคมกับบุคคลเหล่านั้น ในแง่หนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขาอาจมีประโยชน์ต่อบุคคลเหล่านั้น—พวกเขาสามารถจัดการงานบางอย่างให้แก่บุคคลที่พวกเขาคบค้าสมาคมด้วยได้ ในอีกแง่หนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขาชอบคนที่พวกเขาคบค้าสมาคมด้วยจากทั้งโลกใต้ดินของอาชญากรและแวดวงที่ถูกกฎหมาย—ทักษะ ความสามารถ และอิทธิพลของคนเหล่านั้น และผลประโยชน์ที่คนเหล่านั้นนำมาให้พวกเขา ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการและเป็นสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบ แล้วพวกเขาเป็นคนประเภทใดกันแน่? (พวกเขาไม่ใช่คนที่ดีพอ) พวกเราสามารถพูดได้ในลักษณะนี้เท่านั้น พวกเขาเป็นพวกเดียวกันกับคนที่พวกเขาคบค้าสมาคมด้วย—พวกเขาทั้งหมดต่างก็ใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ในโลกนี้ มีคนไม่มากนักที่สามารถทำสิ่งทั้งหลายให้เจ้าหรือไว้วางใจเจ้าอย่างเต็มที่และเป็นเพื่อนของเจ้าได้ แต่คนเหล่านั้นก็มีอยู่จริง—จึงไม่จำเป็นต้องคบค้าสมาคมกับผู้คนประเภทนั้น คนประเภทนี้คบค้าสมาคมกับผู้คนเหล่านั้น ในแง่หนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขาเข้ากันได้ดีเนื่องด้วยคุณสมบัติที่เลวทรามที่พวกเขามีร่วมกันและความเป็นพวกเดียวกัน ในอีกแง่หนึ่งก็เป็นเพราะคนคนนี้จะทำทุกวิถีทางเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและการอยู่รอดของตนในโลกปุถุชน และพวกเขาไม่มีหลักธรรมใดๆ เลยเมื่อเป็นเรื่องของการคบค้าสมาคมกับผู้คน และไม่มีหลักธรรมใดๆ ในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ ผู้ไม่มีความเชื่อถึงกับกล่าวว่า “สุภาพบุรุษรักทรัพย์สินแต่ได้มาในหนทางที่ถูกต้อง” และปฏิบัติตามนี้เป็นมาตรฐานขั้นต่ำ ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถใช้ชีวิตตามมาตรฐานขั้นต่ำนี้ได้หรือไม่ ไม่ว่าในกรณีใด นี่ก็นับเป็นปรัชญาการอยู่รอดในหมู่มวลมนุษย์ที่ค่อนข้างสูงส่ง อย่างไรก็ตาม เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและการได้มาซึ่งผลกำไร คนจำพวกนี้ที่มีพื้นเพที่ซับซ้อน กลับไร้ยางอายและไม่มีวิจารณญาณเมื่อเป็นเรื่องของการคบค้าสมาคมกับผู้คน—ตราบใดที่พวกเขาสามารถได้รับผลประโยชน์จากการคบค้าสมาคมนั้น พวกเขาก็จะคบค้าสมาคมกับใครก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังภูมิใจอย่างยิ่งที่สามารถคบค้าสมาคมกับคนเหล่านั้นได้ และคิดว่าวิธีการที่ตัวพวกเขาเองใช้ในการคบค้าสมาคมกับผู้คนนั้นดีเยี่ยม แล้วพวกเราควรมองคนประเภทนี้อย่างไร? พวกเขาข้องเกี่ยวกับทั้งโลกใต้ดินของอาชญากรและแวดวงที่ถูกกฎหมาย—นี่คือพื้นเพที่ซับซ้อน คนจำพวกนี้น่ากลัวยิ่งนัก! ใบหน้าที่พวกเขาแสดงออกมานั้นเป็นของจริงหรือไม่? ไม่ใช่ของจริง พวกเขาใส่หน้ากากอยู่เสมอ เจ้าไม่มีวันที่จะมองเห็นพวกเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งหรือรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจได้เลย พวกเขาใส่หน้ากากเมื่อพวกเขาคบค้าสมาคมกับเจ้า และแฝงตัวอยู่ในหมู่ผู้เชื่อในพระเจ้าด้วยซ้ำไป เรื่องนี้ก็เหมือนกันเลยกับการที่มารปะปนอยู่ในฝูงชน หรือสุนัขจิ้งจอกหรือหมาป่าแอบเข้าไปอยู่ในฝูงแกะ นั่นทำให้เจ้ารู้สึกปลอดภัยหรือไม่? (ไม่) เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้น? ด้วยพื้นฐานของธรรมชาติที่ฉลาดแกมโกง ชั่วช้า และเลวร้ายของพวกเขา พวกเขาจึงวางแผนร้ายต่อเจ้าอยู่ร่ำไป—ราวกับว่ามีดวงตาคู่หนึ่งที่หลุกหลิกและเลวร้ายอยู่ข้างหลังเจ้าเสมอ โดยเฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวของเจ้า—และพวกเขาก็เพียงแค่รอคอยโอกาสที่จะทำลายและกลืนกินเจ้า นั่นน่าสะพรึงกลัวมิใช่หรือ? (ใช่) คนประเภทนี้ไม่เคยทำให้เจ้ารู้สึกปลอดภัยเลย เพราะธรรมชาติและพื้นเพของพวกเขาทำให้เจ้ารู้สึกตลอดเวลาว่าพวกเขาเป็นภัยคุกคามต่อเจ้า เป็นภัยคุกคามประเภทใด? กล่าวคือเมื่อพวกเขาอยู่ใกล้ๆ เจ้าจะรู้สึกอยู่เนืองๆ ว่าพวกเขาสามารถวางแผนร้ายต่อเจ้า ปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนเป็นของเล่น และวางกับดักเจ้าได้ทุกที่ทุกเวลา และเจ้าไม่เคยรู้เลยว่าเมื่อใดเจ้าอาจถูกพวกเขาใช้ประโยชน์หรือทำร้าย และลงเอยด้วยการเสียชีวิตโดยน้ำมือของพวกเขาหรือถูกพวกเขาทำลายจนย่อยยับ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมถึงไม่ควรเก็บคนเช่นนี้ไว้ใกล้ตัวโดยเด็ดขาด จงบอกเราเถิดว่า เรื่องราวเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? (ใช่) ตัวอย่างเช่น การนำหมาป่าเข้าไปไว้ในฝูงแกะจะเป็นการคุ้มครองหรือการนำความย่อยยับมาสู่แกะเหล่านั้น? (การทำเช่นนี้จะนำความย่อยยับมาสู่ฝูงแกะ) ตามธรรมชาติของหมาป่านั้น หมาป่าจะไม่มีวันอยู่เคียงข้างแกะและคุ้มครองความปลอดภัยให้แกะเหล่านั้น เพราะในความคิดของหมาป่า แกะคืออาหารของมัน และเมื่อใดก็ตามหรือที่ใดก็ตามที่หมาป่าหิว หมาป่าก็จะกินแกะ หมาป่าไม่สงสารแกะและจะไม่ไว้ชีวิตแกะ หมาป่าไม่มีความสามารถของสุนัข หากสุนัขเติบโตมากับแกะ สุนัขก็จะถือว่าแกะเป็นสิ่งที่ต้องคุ้มครอง และเมื่อหมาป่ามาโจมตีหรือกินแกะ สุนัขก็จะก้าวออกไปต่อสู้ โดยถือว่าการรับผิดชอบต่อการคุ้มครองแกะเป็นหน้าที่ที่ตนต้องทำ—สุนัขมีคุณสมบัติโดยกำเนิดเช่นนี้เอง แต่หมาป่านั้นแตกต่างออกไป คุณสมบัติโดยกำเนิดของหมาป่าคือการต้องการกินแกะ เมื่อคนจำพวกนี้ซึ่งมีพื้นเพที่ซับซ้อนแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักร ก็เหมือนกับการที่หมาป่าแทรกซึมเข้าไปในฝูงแกะ—ตอนที่หมาป่าไม่หิว หมาป่าก็อาจจะไม่เป็นอันตรายต่อแกะ แต่ตอนที่มันหิว แกะก็ไม่แคล้วต้องเป็นอาหารที่มันกิน และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนี้ได้ สิ่งนี้ถูกกำหนดโดยธรรมชาติของหมาป่า เพื่อแก้ปัญหาที่หมาป่ากินแกะ เจ้าต้องรีบระบุตัวหมาป่า เมื่อเจ้าระบุแล้วว่าใครคือหมาป่าในคราบแกะ เจ้าก็ต้องกำจัดหมาป่าทันที—จงอย่าลังเล และจงอย่าแสดงความเมตตาต่อหมาป่า ต้องปฏิบัติต่อคนจำพวกนี้ซึ่งมีพื้นเพที่ซับซ้อนอย่างรอบคอบ หากเจ้าค้นพบว่าพวกเขากำลังทำความชั่วและก่อกวนคริสตจักร เจ้าต้องไม่แสดงความเกรงใจใดๆ ต่อพวกเขาโดยเด็ดขาด เจ้าต้องบอกพวกเขาว่า “คุณเป็นคนเจนโลกและคุณไม่เหมาะกับการเชื่อในพระเจ้า คุณเลือกที่ผิดโดยการมาที่พระนิเวศของพระเจ้า ที่นี่ไม่เหมาะกับคุณ คุณควรจะไล่ตามเสาะหาจุดหมายปลายทางในอนาคตของตนเองในสังคม ผู้เชื่อในพระเจ้าอ่านแต่เพียงพระวจนะของพระเจ้า สามัคคีธรรมความจริง และทำหน้าที่ของตนเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย พวกเขาไม่มีส่วนร่วมในแผนการและอุบายทั้งหลาย หรือเข้าร่วมการเมือง ที่นี่ คุณไม่สามารถเลื่อนตำแหน่งหรือร่ำรวยขึ้นมา หรือใช้ชีวิตที่เหนือกว่าผู้อื่นได้ ไม่ว่าคุณจะเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่นานเพียงใด ก็จะเป็นเพียงการเสียเวลาเปล่า” ในหนทางนี้ พวกเขาก็จะถูกโน้มน้าวให้จากไป ใช่หรือไม่? (ใช่) บางคนที่มีเส้นสายทางสังคมที่ซับซ้อนไม่จำเป็นต้องเป็นคนชั่ว และพวกเขาก็ไม่ได้ทำความชั่วที่ร้ายแรง แต่พวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลยและแท้จริงแล้ว พวกเขาก็จัดอยู่ในจำพวกของผู้ไม่เชื่ออย่างแท้จริง การพยายามทำให้คนเช่นนี้เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงและไล่ตามเสาะหาความจริงก็เหมือนกับการพยายามเปลี่ยนหมาป่าให้เป็นแกะ—เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าหมาป่าจะสวมชุดแกะนานแค่ไหน หมาป่าก็ยังคงเป็นหมาป่า ไม่มีวันจะกลายเป็นแกะ เรื่องราวก็เป็นเช่นนั้นเอง ดังนั้น การที่ผู้คนเช่นนี้เชื่อในพระเจ้าจึงเป็นเพียงเรื่องตลก พวกเขาเดินผิดทิศผิดทางด้วยการเชื่อในพระเจ้า
มีคนอีกประเภทหนึ่งซึ่งมีพื้นเพที่ซับซ้อน แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาก็มีสัมพันธภาพพที่ใกล้ชิดกับผู้นำทางศาสนา เจ้าหน้าที่ หรือผู้คนที่มีสถานะบางคนจากนิกายต่างๆ พวกเขาชอบคบค้าสมาคมกับคนเหล่านี้และมักจะเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาของนิกายต่างๆ พวกเขาสร้างสายสัมพันธ์และมิตรภาพกับคนเหล่านี้ และพวกเขาต่างก็ใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกันและทำสิ่งทั้งหลายให้กันและกัน บางครั้งบางคราวไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม พวกเขาถึงกับเปิดเผยงานธุรการทั่วไปหรืองานด้านบุคลากรบางอย่างภายในคริสตจักรให้บุคคลเหล่านี้รู้ นี่เป็นประเด็นปัญหาที่น่าวิตกอย่างมาก หากเจ้าเพียงแค่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในศาสนาหรือพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกตัวเองออกจากสถานที่ทางศาสนาเหล่านั้น และเจ้ายังชอบเข้าร่วมกิจกรรมเทศกาลทางศาสนาต่างๆ และพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ อีกด้วย นั่นก็เป็นที่ยอมรับได้ อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่ควรเปิดเผยงานของคริสตจักรหรือข้อมูลเกี่ยวกับพี่น้องชายหญิงในสภาพแวดล้อมเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น เจ้าไม่ควรเปิดเผยเรื่องราวทั้งหลายดังเช่นคนบางคนที่ยอมรับปฏิบัติการ “สายฟ้าตะวันออก” พวกเขาทำหน้าที่ใดในคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาอาศัยอยู่ที่ไหน และพวกเขามักจะคบค้าสมาคมกับใคร—หากเจ้าเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ นั่นย่อมแสดงว่าเจ้าไม่มีศีลธรรมอย่างมาก หากใครบางคนรายงานข้อมูลนี้ต่อรัฐบาล ผลที่ตามมาย่อมจะเลวร้ายเกินกว่าจะจินตนาการได้ หากเจ้าสนิทสนมกับผู้คนในศาสนามาก หรือมีผลประโยชน์บางอย่างพัวพันกับพวกเขาหรือเคยแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับพวกเขา เช่นนั้นอย่างมากที่สุด นี่ก็สามารถถือได้ว่าเจ้ามีพื้นเพที่ซับซ้อน อย่างไรก็ตาม หากเจ้าแอบทำสิ่งอื่นๆ เช่น เปิดเผยการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้า หรือเปิดเผยกิจธุระภายในของพระนิเวศของพระเจ้าหรือข้อมูลส่วนตัวของพี่น้องชายหญิง เช่นนั้นแล้วธรรมชาติของเรื่องนี้ย่อมกลายเป็นธรรมชาติของการทรยศ และถูกกล่าวโทษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พี่น้องชายหญิงบางคนไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้สถานการณ์ของตนหรือไม่ต้องการให้มีการเปิดเผยสถานการณ์ของตน เพราะพวกเขาเคยถูกจับกุมมาก่อนหรืออยู่ในรายชื่อผู้ที่ทางการต้องการตัวในปัจจุบัน แต่คนจำพวกนี้ที่มีพื้นเพที่ซับซ้อนกลับมองว่าข้อมูลนี้เป็นสิ่งที่ใช้แลกเปลี่ยนเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง หรือเพียงแค่มองว่าข้อมูลดังกล่าวไม่สำคัญ แล้วพวกเขาก็เปิดเผยข้อมูลนี้ จึงก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่พี่น้องชายหญิงเหล่านั้น หากพระนิเวศของพระเจ้าค้นพบเรื่องดังกล่าว พระนิเวศของพระเจ้าย่อมจะไม่ปล่อยคนคนนั้นไปง่ายๆ อย่างเด็ดขาด คนเช่นนี้ควรถูกชำระออกไปทันที ในบริบททางสังคมที่ผู้คนถูกข่มเหงเนื่องจากการเชื่อในพระเจ้า จึงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้เชื่อที่จะได้รับโอกาสในการทำหน้าที่ด้วยซ้ำไป และแต่ละคนจึงหวงแหนโอกาสนั้นจริงๆ ไม่มีใครต้องการให้มีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับการปฏิบัติหน้าที่ของตนเพราะผู้อื่นหรือเพราะความโง่เขลาของตนเอง เพราะฉะนั้นหากใครก็ตามนำพาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นมาสู่การปฏิบัติหน้าที่หรือความปลอดภัยส่วนบุคคลของพี่น้องชายหญิง หรือหากใครก็ตามก่อให้เกิดอุปสรรคบนเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าของผู้อื่น พระนิเวศของพระเจ้าย่อมจะไม่ปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ ทันทีที่พระนิเวศของพระเจ้าค้นพบพวกเขา พระนิเวศของพระเจ้าก็จะเอาตัวพวกเขาออกไปหรือขับไล่พวกเขาทันที พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่รีรออย่างแน่นอน! หากพวกเขาแก้ต่างให้ตนเอง สร้างเหตุผลและข้อแก้ตัวโดยกล่าวว่า “นั่นเป็นเพียงการพลั้งปากชั่วครู่เพราะฉันไม่ทันได้ใส่ใจ” เจ้าต้องไม่เชื่อคำพูดนี้โดยเด็ดขาด—ข้อแก้ตัวเช่นนี้ฟังไม่ขึ้น เหตุใดพวกเขาจึงไม่เล่าเรื่องครอบครัวของตนเองให้ผู้คนฟัง? เหตุใดพวกเขาจึงกลับพูดถึงกิจธุระของพี่น้องชายหญิง? พวกเขาเก็บงำเจตนาร้ายไว้อย่างชัดเจน พวกเขาเปิดเผยงานของคริสตจักรและข้อมูลเกี่ยวกับพี่น้องชายหญิง หากเรื่องนี้นำความเดือดร้อนมาสู่พี่น้องชายหญิง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ควรถูกสาปแช่ง! คนเช่นนี้ควรถูกสาปแช่งมิใช่หรือ? (ใช่) ในระหว่างที่คริสตจักรกำลังเผยแผ่งานข่าวประเสริฐ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่บางคนที่เป็นเช่นนี้จะเข้าร่วมมาในคริสตจักร พวกเขาไม่มีความละอายใจที่จะขายคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตน ขายพี่น้องชายหญิงเพื่อประโยชน์ส่วนตน และถึงกับทรยศต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาคบค้าสมาคมกับคนทุกประเภทเป็นการส่วนตัว และจุดประสงค์ที่พวกเขาคบค้าสมาคมกับคนเหล่านั้นก็ไม่บริสุทธิ์ เวลาที่มีปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านั้น พวกเขายังปากสว่าง โดยบอกข้อมูลภายในทั้งหมดของคริสตจักรที่พวกเขารู้ให้คนเหล่านั้นฟัง และพูดออกไปจนไม่มีอะไรเหลือเลย และในที่สุดเรื่องนี้ก็นำความเดือดร้อนมาสู่พี่น้องชายหญิงและคริสตจักร ความผิดในเรื่องนี้ควรตกอยู่กับคนที่ปากสว่างเหล่านี้ บางคนในบรรดาคนเหล่านี้อาจบอกว่าพวกเขาไม่ได้ทำเช่นนี้โดยเจตนา แต่ต่อให้ไม่ใช่การกระทำโดยเจตนา นั่นก็ไม่ได้ทำให้การกระทำนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ หากไม่ใช่การกระทำโดยเจตนา เช่นนั้นแล้วเพราะเหตุใดเจ้าจึงไม่สร้างความเสียหายให้ตนเองแทน? เหตุใดเจ้าจึงสร้างความเสียหายให้เฉพาะผู้อื่นเท่านั้น? เจ้าได้นำความเดือดร้อนมาสู่คริสตจักรและพี่น้องชายหญิง นี่เป็นข้อเท็จจริงที่มีหลักฐานยืนยัน เพราะฉะนั้นความผิดจึงควรตกอยู่ที่เจ้า หากเจ้าฆ่าใครสักคนแล้วจึงกล่าวว่า “ฉันไม่ได้ทำเรื่องนี้โดยเจตนา ฉันไม่เคยตั้งใจจะฆ่าพวกเขา—ฉันไม่มีความคิดเช่นนั้นในใจของฉัน” กฎหมายจะพบว่าเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์เพราะคำกล่าวนั้นหรือไม่? (ไม่) ต่อให้เจ้ากำลังพูดความจริง ก็คงจะไร้ประโยชน์ ข้อเท็จจริงก็คือเจ้าฆ่าใครสักคนไปแล้ว และในเชิงกฎหมายก็มีหลักฐานที่แน่ชัดในเรื่องนี้ ดังนั้นเจ้าจึงต้องถูกตัดสินว่ามีความผิดตามข้อเท็จจริง เจ้าก่ออาชญากรรมโดยการฆาตกรรม ดังนั้นเจ้าจึงเป็นฆาตกร และการแก้ต่างให้ตนเองมากเพียงใดก็จะไม่ช่วยอะไรเจ้าเลย บางคนนำเรื่องเดือดร้อนมาสู่คริสตจักรผ่านการกระทำของตนเป็นประจำ และบางครั้งเรื่องเดือดร้อนนี้ก็มีนัยสำคัญ ไม่เพียงแต่ส่งผลให้พี่น้องชายหญิงถูกจับกุมและจำคุกเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่องานของคริสตจักรอีกด้วย พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ปล่อยคนเช่นนี้ไปอย่างเด็ดขาด พระนิเวศของพระเจ้าจะขับไล่ทุกคนที่จับได้ และจะสาปแช่งพวกเขา—พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่รีรอเลย! หากสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในยุคธรรมบัญญัติ คนทำชั่วก็จะถูกลากออกไปและถูกตีจนตายด้วยไม้พลองหรือถูกขว้างด้วยหินจนตาย นั่นคือวิธีที่ต้องจัดการกับกรณีเช่นนั้น ในปัจจุบันเนื่องจากวิธีจัดการเช่นนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกฎการปกครองของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาจะถูกขับไล่ และพี่น้องชายหญิงก็จะร่วมกันสาปแช่งพวกเขา ไม่มีโอกาสที่พวกเขาจะได้รับพรหรือการช่วยให้รอด—พวกเขาต้องถูกส่งไปลงนรกและถูกลงโทษ!
ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่มีพื้นเพที่ซับซ้อน พวกเขามาที่คริสตจักรพร้อมกับภารกิจพิเศษที่ต้องดำเนินการ บุคคลประเภทนี้บางคนถูกส่งมาโดยรัฐบาล ในขณะที่คนอื่นๆ ได้รับมอบหมายภารกิจมาจากกลุ่มทางศาสนาหรือกลุ่มทางสังคมบางกลุ่ม ตัวอย่างเช่น ภารกิจเหล่านี้อาจรวมถึงการสอดส่องพี่น้องชายหญิง การสอดส่องคริสตจักร หรือการสืบเสาะงานต่างๆ ของคริสตจักรและการจัดการเตรียมงานในช่วงเวลาต่างๆ ไม่ว่าภารกิจของพวกเขาจะเป็นอะไร ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม จากมุมมองของพวกเรา คนประเภทนี้มีพื้นเพที่ซับซ้อน คนส่วนใหญ่ที่มีพื้นเพที่ซับซ้อนเหล่านี้เป็นผู้ไม่เชื่อ พวกเขาคือบรรดาผู้ที่ไม่ยอมรับความจริงเลย พวกเขาแตกต่างจากบรรดาผู้ที่มีความเชื่อน้อย มีขีดความสามารถอ่อนด้อย หรือมีมโนคติอันหลงผิดมาก—คนเหล่านั้นเชื่ออย่างแท้จริง ในขณะที่คนเหล่านี้ที่มีพื้นเพที่ซับซ้อนมีปัญหาที่ร้ายแรง ก่อนอื่น ให้พวกเราพิจารณาว่า ผู้คนเช่นนี้มีความเป็นมนุษย์ประเภทใด? (พวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี พวกเขาเลวร้าย และพวกเขาเป็นสมาชิกในแก๊งของซาตาน) แล้วพวกเขาเป็นคนประเภทใด? (พวกเขาเป็นมาร) นั่นถูกต้องแล้ว เจ้าพูดได้ตรงประเด็น—พวกเขาเป็นมารที่แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักร พวกเขาเป็นคนที่แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรและใช้ชีวิตอยู่ในเงามืดพร้อมทั้งเก็บงำแผนร้ายและจุดประสงค์นานัปการเอาไว้ คนเช่นนี้คือมาร ตั้งแต่แรกเริ่มในตอนที่คนเหล่านี้เข้ามาในคริสตจักร พวกเขาก็ไม่ได้เก็บงำเจตนาดีเอาไว้ ไม่ว่าใครจะมอบหมายภารกิจให้พวกเขา—บางคนอาจได้รับมอบหมายจากรัฐบาลหรือกลุ่มบางกลุ่ม ในขณะที่คนอื่นๆ อาจไม่ได้รับมอบหมายจากใครเลยและเพียงแต่ต้องการที่จะแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรด้วยตนเอง—คนเช่นนี้เป็นบุคคลที่เจนโลกอย่างแท้จริง พวกเขาคบค้าสมาคมกับผู้คนที่หลากหลาย และพวกเขามีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลและเส้นสายทางสังคมที่ซับซ้อน—พวกเขามีพื้นเพที่ซับซ้อน “พื้นเพที่ซับซ้อน” หมายความว่าเส้นสายทางสังคม สัมพันธภาพระหว่างบุคคล และสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของพวกเขานั้นไม่บริสุทธิ์เป็นพิเศษและห่างไกลจากความเรียบง่าย พวกเขาไม่เหมือนชาวบ้านธรรมดาที่เพียงแค่พยายามหาเงินและใช้ชีวิตที่ดี บทบาทที่คนเหล่านี้แสดงในสังคมคือบทบาทของคนที่โดดเด่น ผู้นำ หรือบุคคลที่ค่อนข้างพิเศษในแวดวงและกลุ่มต่างๆ—พวกเขาเป็นคนประเภทที่ผู้ไม่มีความเชื่อเรียกว่า “คนมีความสามารถ” หรือ “กูรู” ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใด พวกเขาก็ไม่ใช่คนที่อยู่ในที่ทางที่ถูกควรของตน และพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่ดีพอ ไม่ว่าพวกเขาจะแสวงหาโอกาสที่จะได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตน หรืออำนาจ หรือการควบคุมผู้อื่นในกลุ่มและแวดวงต่างๆ นั่นก็คือจุดประสงค์ของพวกเขา และเป็นเป้าหมายในการดำรงอยู่ของพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในคริสตจักรใด แนวความคิดของพวกเขาก็เหมือนกับแนวความคิดของมาร ซึ่งร้อนรนอยากจะลงมือทำอยู่เสมอ ต้องการควบคุมสถานการณ์ ควบคุมผู้คน ควบคุมเงิน ใช้อิทธิพล และใช้อำนาจ เหล่านี้คือการสำแดงของคนประเภทนี้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าคนเช่นนี้จะมีภารกิจหรือไม่ หรือไม่ว่าพวกเขาจะได้รับมอบหมายจากรัฐบาลหรือกลุ่มสังคมใดหรือไม่ก็ตาม ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะสามารถอยู่ในที่ทางที่ถูกควรของตนได้หลังจากมาที่คริสตจักร ต่อให้พวกเขาไม่มีภารกิจ และต่อให้คริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิงไม่ใช่เป้าหมายในการแสวงหาผลประโยชน์ของพวกเขา พวกเขาก็ไม่ใช่คนที่ต้องการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง และพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงอย่างแน่นอน จุดประสงค์ที่พวกเขาเข้าร่วมคริสตจักรนั้นไม่บริสุทธิ์เลย—อย่างน้อยที่สุดก็มีสิ่งหนึ่งที่เป็นจริงอย่างมากสำหรับพวกเขา ซึ่งก็คือ “การอาศัยบารมีของคริสตจักร” และรอคอยโอกาสที่จะดำเนินตามวาระของตนเอง หากพวกเขาไม่สัมฤทธิ์เป้าหมายและความปรารถนาของพวกเขาก็พังทลาย พวกเขาก็มีแววว่าจะไปจากคริสตจักรได้ทุกเมื่อ พวกเขาแสวงหาโอกาสโดยการรอจังหวะอันเหมาะสมที่จะลงมือ—หากมีใครสักคนที่พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์เพื่อบรรลุเป้าหมาย ความทะเยอทะยาน หรือความมุ่งมาดปรารถนาของตนได้ หรือมีช่วงเวลาที่เหมาะสมที่เปิดโอกาสให้พวกเขาบรรลุเป้าหมาย ความทะเยอทะยาน หรือความมุ่งมาดปรารถนาของตนได้ พวกเขาจะไม่ปล่อยคนคนนั้นหรือช่วงเวลานั้นไปโดยเด็ดขาด หากพวกเขาไม่สามารถหาโอกาสได้อย่างต่อเนื่อง พวกเขาจะท้อแท้และผิดหวัง และต้องการที่จะไปจากคริสตจักร เพราะฉะนั้น คนจำพวกนี้จึงเป็นบุคคลอันตรายประเภทหนึ่งในคริสตจักรเช่นกัน และต้องแยกแยะและรักษาระยะห่างจากพวกเขา หลักธรรมที่สำคัญกว่าอีกประการหนึ่งคือ หากเจ้าไม่แน่ใจว่าพื้นเพของคนคนหนึ่งเป็นอย่างไร หรือเจ้าสัมผัสได้ลางๆ ว่าพื้นเพของพวกเขาซับซ้อนมาก เช่นนั้นแล้ว ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะรู้ว่าไม่สามารถมอบหมายให้คนคนนี้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญได้ หรือไม่สามารถเปิดโอกาสให้คนคนนี้มีสถานะหรืออำนาจ หรือเปิดโอกาสให้คนคนนี้ปฏิบัติงานสำคัญใดๆ ในคริสตจักร หากเจ้าไม่สามารถมองเห็นพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่งได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถเฝ้าสังเกตพวกเขาได้ แต่เจ้าต้องไม่กระทำการอย่างผลีผลามหรือก่อนเวลาอันควรเป็นอันขาด หากเจ้าให้สถานะแก่พวกเขาหรือถึงกับทำให้พวกเขาเป็นผู้รับผิดชอบงานสำคัญชิ้นหนึ่งก่อนที่เจ้าจะได้มองเห็นพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังโง่เขลาเป็นที่สุด! ยิ่งเจ้าไม่สามารถมองเห็นพวกเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งมากเท่าไร เจ้ายิ่งไม่ควรมอบหมายงานสำคัญให้พวกเขามากเท่านั้น เจ้ายิ่งควรระมัดระวังมากขึ้น และเจ้าก็ยิ่งควรจับตาดูพวกเขาอย่างใกล้ชิดและสอดส่องพวกเขาอย่างเข้มงวดมากขึ้น อันที่จริง ไม่ว่าพวกเขาจะมีภารกิจหรือไม่ ในท้ายที่สุดคนจำพวกนี้ที่มีพื้นเพที่ซับซ้อนก็ไม่ได้อยู่ในคริสตจักรนานนัก นี่เป็นเพราะว่าในหัวใจของผู้ไม่เชื่อเหล่านี้ พวกเขารังเกียจเรื่องของความเชื่อ ผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง และพวกเขาไม่สนใจสิ่งใดๆ ที่เกี่ยวกับพระเจ้า งานของพระเจ้า หรือการแสดงความจริงของพระเจ้า พวกเขาสืบเสาะอยู่ตลอดเวลาว่า “การเชื่อในพระเจ้าให้ผลกำไรหรือไม่? ฉันสามารถทำเงินก้อนโตและร่ำรวยจากการเชื่อในพระเจ้าได้หรือไม่? ฉันสามารถใช้แผนร้ายและเล่ห์เหลี่ยมของฉันที่นี่เหมือนที่ฉันใช้ในโลกได้หรือไม่?” เมื่อเห็นว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ส่งเสริมสิ่งเหล่านี้ แต่กลับพูดถึงการเป็นคนที่ซื่อสัตย์อยู่เสมอ และใครก็ตามที่สุกเอาเผากินหรือใช้เพียงครึ่งใจในการทำหน้าที่ของตนมักถูกตัดแต่งเป็นประจำ พวกเขาจึงรู้สึกรังเกียจ และรู้สึกไม่มีความสุขและไร้อิสระในพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขาก็ต้องการหาโอกาสที่จะจากไปอยู่เสมอ หากใครบางคนเป็นหนึ่งในบรรดาแกะของพระเจ้าอย่างแท้จริง เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่เบื่อหน่ายที่จะฟังความจริงซึ่งมักจะถูกกล่าวถึงบ่อยๆ ในระหว่างการเชื่อในพระเจ้า ต่อให้ความจริงเหล่านั้นถูกกล่าวถึงมาเป็นเวลา 20 ปีหรือ 30 ปีแล้วก็ตาม พวกเขาสามารถฟังเรื่องของความจริงเหล่านั้นได้ตลอดชีวิตและยังคงพบว่าเรื่องเหล่านั้นสดใหม่ ยิ่งพวกเขาฟังมากเท่าไร ความจริงเหล่านี้ก็ยิ่งชัดเจนสำหรับพวกเขามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งพวกเขาฟังมากเท่าไร หัวใจของพวกเขาก็ยิ่งได้รับการบำรุงเลี้ยงมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งพวกเขาฟังมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งโหยหาความจริงมากขึ้นเท่านั้น ต่อให้พวกเขาต้องฟังพระวจนะเหล่านี้ทุกวัน พวกเขาก็จะเต็มใจที่จะทำเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพวกเขาได้ฟังคำพยานจากประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา พวกเขาก็รู้สึกสุขสำราญและอิ่มเอมใจราวกับว่าพวกเขาได้เพลิดเพลินกับงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่—มีความสุขมากกว่าการที่พวกเขาเก็บทองคำได้สักชิ้นหนึ่งเสียอีก สำหรับผู้ไม่เชื่อเหล่านี้ มารเหล่านี้—โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเหล่านี้ที่มีพื้นเพที่ซับซ้อน—ยิ่งพวกเขาได้ยินการสามัคคีธรรมความจริงมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกรำคาญมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งพวกเขาฟังมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกกระสับกระส่ายและรังเกียจอยู่ในใจมากขึ้นเท่านั้น เมื่อพวกเขาได้ฟังพระวจนะเหล่านี้ พวกเขาก็พบว่าพระวจนะนั้นน่าเบื่อ ไม่น่าสนใจ และซ้ำซากจำเจ หากเจ้าให้พวกเขานั่งฟังคำเทศนา พวกเขาก็จะรู้สึกเหมือนถูกทรมาน พวกเขาพูดว่า “ทำไมพวกคุณทุกคนถึงชอบฟังพระวจนะเหล่านี้มากนัก ราวกับว่าพวกคุณได้กินอาหารในงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่? ทำไมฉันถึงรู้สึกรังเกียจเหลือเกินเมื่อได้ฟังพระวจนะเหล่านี้?” หลังจากฟังมาเป็นเวลานาน พวกเขาก็ไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้ หากพวกเขาไม่สามารถเป็นผู้นำได้ พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตนหรือสู้ทนความยากลำบาก และเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็เห็นว่าทั้งหมดนี้ไร้จุดหมาย ความคิดที่จะละทิ้งความเชื่อของตนจึงเริ่มผุดขึ้นมา นี่คือวิธีที่ผู้ไม่เชื่อถูกเผยออกมา สำหรับคนเหล่านี้ที่มีพื้นเพที่ซับซ้อน หากในระหว่างที่เจ้าสังเกตการณ์พวกเขา เจ้าค้นพบว่าพวกเขามีที่มาที่น่าสงสัยและมีพื้นเพที่ซับซ้อน เช่นนั้นแล้วก็จงพยายามทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อหาโอกาสที่จะโน้มน้าวให้พวกเขาจากไป สำหรับคนเช่นนี้ที่ไม่ยอมรับความจริงเลย ก็จำเป็นต้องใช้สติปัญญาบ้าง เจ้าสามารถบอกพวกเขาได้ว่า “คุณอยากร่ำรวยและใฝ่ฝันที่จะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ—คงจะเสียโอกาสจริงๆ หากทั้งชีวิตนี้คุณไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ! คุณควรได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ได้ร่ำรวย และได้ไล่ตามไขว่คว้าโลก—ที่นั่นต่างหากคือที่ที่มีผลประโยชน์ที่จับต้องได้ คุณมีหัวคิดทางธุรกิจและคุณเหมาะที่จะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ—หากคุณไล่ตามไขว่คว้าโลก คุณย่อมจะสามารถร่ำรวยและได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐอย่างแน่นอน” เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนี้ พวกเขาก็จะคิดว่าได้พบคนที่มีวิญญาณเดียวกันและกล่าวว่า “คุณพูดถูกเผงเลย! ฉันกำลังรู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นไร้จุดหมาย—สิ่งที่คุณพูดนั้นตรงกับใจฉันจริงๆ แท้จริงแล้วความเชื่อนั้นมีผลทางจิตใจเท่านั้น จะมีหรือไม่มีความเชื่อก็ไม่สำคัญหรอก ชีวิตนั้นสั้นนัก—เพียงแค่ไม่กี่สิบปีซึ่งผ่านไปในชั่วพริบตา การเสียเวลาอยู่ที่นี่กับคนที่เชื่อในพระเจ้าเสมอมาไม่ได้ทำให้ฉันได้อะไรเลย และฉันก็รู้สึกไม่พอใจอยู่ตลอดเวลา ฉันกำลังทำผิดต่อตัวเองโดยการทำเช่นนี้มิใช่หรือ? การออกไปหาเงินก้อนโตต่างหากคือสิ่งที่สำคัญจริงๆ!” พวกเขาจะเห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้าพูด เมื่อพวกเขาเห็นด้วย บางทีวันหนึ่งพวกเขาก็จะจากไปเองเพราะพวกเขารู้สึกว่าการอยู่ในคริสตจักรนั้นไร้จุดหมาย และนอกจากนั้นแล้ว ก็เป็นเพราะว่ามีบางสิ่งผิดพลาดไปสำหรับพวกเขา หรือพวกเขามีประสบการณ์กับความล้มเหลวและความพลาดพลั้ง และการตัดแต่งบางอย่าง นั่นเป็นเรื่องที่ดีเยี่ยมมิใช่หรือ? (ใช่ นี่เป็นวิธีที่ชาญฉลาด) การทำให้มารออกไปจากคริสตจักรนั้นเป็นเรื่องง่าย เมื่อเจ้าเข้าใจแนวความคิดของพวกเขาแล้ว หากมีบางสิ่งที่พวกเขาต้องการ ก็จงสนับสนุนให้พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าสิ่งนั้น ในหนทางนี้ เจ้าจะสามารถโน้มน้าวให้พวกเขาจากไปได้ จงคล้อยตามกระแสเพื่อนำทางพวกเขาออกไป นี่คือวิธีจัดการกับผู้ไม่เชื่อประเภทนี้
หากพบคนเช่นนี้ที่มีพื้นเพที่ซับซ้อนในคริสตจักร ก็ควรโน้มน้าวให้พวกเขาจากไปหรือเอาตัวพวกเขาออกไปทันที จงอย่าพยายามสนับสนุนพวกเขาให้อยู่ต่อ เหตุใดจึงไม่สนับสนุนให้พวกเขาอยู่ต่อ? ประการหนึ่งก็คือ พวกเขาไม่ได้มีบทบาทที่ดีในคริสตจักร อีกประการหนึ่งก็คือ พวกเขาไม่ได้อยู่ในบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ต่อให้พวกเขายังคงอยู่ในคริสตจักร ในที่สุดก็จะยังคงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยอมรับพระวจนะของพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้า หรือการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าเพื่อที่จะบรรลุความรอด หากพวกเขายังคงอยู่ในคริสตจักร ก็จะเป็นภัยต่องานของคริสตจักร และพวกเขาอาจชักพาพี่น้องชายหญิงบางคนที่มีวุฒิภาวะอ่อนด้อยให้หลงผิดและมีอิทธิพลต่อพี่น้องชายหญิงเหล่านั้น ผู้คนในพระนิเวศของพระเจ้ารู้สึกไม่ชอบพวกเขา และในทางกลับกัน พวกเขาก็มองพี่น้องชายหญิงในพระนิเวศของพระเจ้าด้วยความไม่ชอบพอๆ กัน ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขามองพระนิเวศของพระเจ้า คริสตจักร และพี่น้องชายหญิงด้วยความเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ดังนั้น จงบอกเรามาเถิดว่า หากมีศัตรูเช่นนี้ มีผู้ที่เป็นปฏิปักษ์เช่นนี้ในคริสตจักร พวกเจ้าจะรู้สึกว่าถูกก่อกวนหรือไม่? (รู้สึกว่าถูกก่อกวน) เพราะฉะนั้น จึงเป็นการดีที่สุดที่จะไม่สนับสนุนให้คนเช่นนี้อยู่ต่อ ทันทีที่มีการค้นพบพวกเขา จงโน้มน้าวให้พวกเขาจากไป เอาตัวพวกเขาออกไป หรือขับไล่พวกเขาทันที หากพบเจอในระหว่างกระบวนการประกาศข่าวประเสริฐ ควรจัดการกับคนเช่นนี้อย่างไร? (เพียงแค่อยู่ห่างๆ และไม่สนใจพวกเขา) เมื่อเจ้าพบเจอคนประเภทนี้ เจ้าไม่ควรประกาศข่าวประเสริฐให้แก่พวกเขา พวกเขาพูดจาในลักษณะที่ฟุ่มเฟือยและไม่มีมูลความจริงและช่างพูดทีเดียว แต่แท้จริงแล้วพวกเขาไม่มีความสามารถพิเศษใดๆ เลย พระนิเวศของพระเจ้าไม่ต้องการคนจำพวกนี้ที่มีพื้นเพที่ซับซ้อน พวกเขาไม่ได้อยู่ในบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ต่อให้พวกเขาเปลี่ยนใจมาเลื่อมใสในตอนนี้ ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็ยังคงจะต้องถูกชำระออกไป เพราะฉะนั้นเมื่อบรรดาผู้ที่ประกาศข่าวประเสริฐพบเจอคนเช่นนี้ พวกเขาก็ควรจะละทิ้งความหวังกับคนเช่นนี้เท่านั้นเอง พระนิเวศของพระเจ้าไม่ต้องการและไม่ต้อนรับคนเช่นนี้ นี่คือหนทางในการจัดการกับผู้คนที่มีพื้นเพที่ซับซ้อน และนี่คือหลักธรรม แน่นอนว่าในการจัดการกับประเด็นปัญหานี้ ไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เจ้าต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่าคนคนหนึ่งจัดอยู่ในจำพวกของผู้คนที่มีพื้นเพที่ซับซ้อนหรือไม่ หากการสำแดงของพวกเขาตรงกับการสำแดงของคนประเภทนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ควรถูกจัดว่าอยู่ในหมู่สมาชิกของกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม หากใครบางคนเพียงแค่โอ้อวดหรือพูดจาไร้สาระเป็นครั้งคราว และเพราะการโอ้อวดที่มากเกินไปของพวกเขา พวกเขาจึงถูกมองผิดไปว่ามีพื้นเพที่ซับซ้อน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้นเป็นเรื่องจริงแท้และพวกเขาไม่ได้ถูกจัดว่าอยู่ในจำพวกนี้ เช่นนั้นแล้วสถานการณ์นี้ก็กำหนดให้มีการปฏิบัติที่แตกต่างออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวหาคนดีอย่างไม่เป็นธรรม
3. ตามท่าทีที่คนเรามีขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน
พวกเราได้สามัคคีธรรมกันเสร็จไปแล้วไม่มากก็น้อยเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการแยกแยะผู้คนตามความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ยังมีอีกหลักเกณฑ์หนึ่ง—คือการแยกแยะผู้คนตามท่าทีที่พวกเขามีขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเราได้พูดถึงหลักเกณฑ์นี้ไปมากทีเดียวในคำเทศนาก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
เอาล่ะ วันนี้ขอจบการสามัคคีธรรมของพวกเราไว้เพียงเท่านี้ ลาก่อน!
6 กรกฎาคม ค.ศ. 2024