หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (25)
ประการที่สิบสี่: แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป (ภาคที่สี่)
หลักและมาตรฐานสำหรับการแยกแยะคนชั่วนานาประเภท
วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ของผู้นำและคนทำงานกันต่อ นั่นคือ “แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป” เมื่อไม่กี่ครั้งที่ผ่านมา พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงแง่มุมหลากหลายที่ผู้นำและคนทำงานควรแยกแยะ รวมไปถึงความจริงประการสำคัญที่พวกเขาควรเข้าใจขณะทำงานนี้ กล่าวคือ พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงวิธีแยกแยะคนชั่วทุกรูปแบบ คนชั่วทุกรูปแบบนั้นถูกนิยามไว้ว่าอย่างไร? พวกเขาคือบรรดาผู้ที่แทรกซึมเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าด้วยการแอบอ้างว่าเชื่อในพระเจ้า แต่กลับไม่ยอมรับความจริง ทั้งยังก่อกวนงานของคริสตจักรอีกด้วย ผู้คนเช่นนั้นล้วนถูกจัดอยู่ในจำพวกคนชั่ว พวกเขาคือคนที่คริสตจักรควรขับไล่หรือเอาตัวออกไป กล่าวคือ พวกที่ไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในคริสตจักรนั่นเอง พวกเราจำแนกและชำแหละคนชั่วทุกรูปแบบผ่านหลักเกณฑ์หลักสามข้อ หลักเกณฑ์สามข้อนี้มีอะไรบ้าง? ข้อแรกคือจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของคนเรา ข้อที่สองคือความเป็นมนุษย์ของคนเรา—ชำแหละความเป็นมนุษย์ของคนเราเพื่อแยกแยะและดูให้แน่ชัดว่าพวกเขาอยู่ในหมู่คนที่คริสตจักรควรเอาตัวออกไปหรือไม่ หลักเกณฑ์ข้อที่สามคืออะไร? (ท่าทีที่คนเรามีต่อหน้าที่ของตน) หลักเกณฑ์ข้อที่สามคือท่าทีที่คนเรามีต่อหน้าที่ของตน หลักเกณฑ์ข้อแรกได้มีการสามัคคีธรรมไปแล้วก่อนหน้านี้ ส่วนหลักเกณฑ์ข้อที่สอง—ความเป็นมนุษย์ของคนเรา—ก็สามัคคีธรรมไปแล้วสองประเด็น ประเด็นแรกคืออะไร? (การรักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จ) แล้วประเด็นที่สองเล่า? (การรักที่จะเอาเปรียบ) จากเนื้อหาของสองประเด็นนี้ดูเหมือนจะไม่เพียงพอที่จะถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการสำแดงของคนชั่ว แต่อ้างอิงตามการสำแดงโดยละเอียดที่เราได้สามัคคีธรรมไปก่อนหน้านี้ ผู้คนสองประเภทนี้เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีโดยไร้ซึ่งการกลับใจที่แท้จริง การสำแดงนานาประการของพวกเขาได้ก่อให้เกิดการรบกวนและการทำลายชีวิตคริสตจักร รบกวนและทำลายการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร จากการสำแดงของพวกเขา และอ้างอิงตามแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา ผู้คนสองประเภทนี้ควรจัดอยู่ในจำพวกคนชั่ว ผู้นำคริสตจักรและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรแยกแยะและระบุลักษณะของพวกเขา และเอาตัวพวกเขาออกไปให้ทันการ เช่นนี้เหมาะสมใช่หรือไม่? (ใช่) เหมาะสมอย่างยิ่ง พฤติกรรมของผู้คนสองประเภทนี้ในคริสตจักรส่งผลกระทบที่เป็นลบอย่างมาก พวกเขาไม่สนใจในความจริงแต่อย่างใด และพวกเขาก็ไม่นบนอบพระราชกิจของพระเจ้าเลย ในหมู่พี่น้องชายหญิง สิ่งที่พวกเขาใช้ในการดำเนินชีวิตนั้นดูไม่ต่างจากผู้ไม่มีความเชื่อเลย พวกเขามักจะโกหกและคดโกงผู้อื่น ทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินและไม่มีสำนึกรับผิดชอบแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะถูกตักเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาไม่เพียงส่งผลกระทบต่อชีวิตคริสตจักรเท่านั้น แต่ยังก่อกวนงานของคริสตจักรอย่างร้ายแรงอีกด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาอยู่ในหมู่คนที่คริสตจักรควรขับไล่หรือเอาตัวออกไป และการระบุว่าพวกเขาเป็นคนชั่ว รวมถึงจัดให้พวกเขาอยู่ในหมู่ผู้คนเช่นนั้นย่อมเป็นเรื่องที่เหมาะสมโดยแท้จริง—การทำเช่นนั้นไม่ได้เกินไปเลย สำหรับประเภทแรก ผู้รักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จ ปัญหาของพวกเขาไม่ได้เรียบง่ายอย่างการพูดถึงสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง หรือการมีอุปสรรคด้านการสื่อสารกับผู้อื่น เป็นต้น แต่ปัญหากลับอยู่ที่อุปนิสัยของพวกเขา ในระดับที่ลึกลงไป ปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยของพวกเขาคือปัญหาในเรื่องแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา ในระดับที่ผิวเผินขึ้นมาอีก นี่คือปัญหาเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ของพวกเขา กล่าวคือ ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเลวทรามและน่ารังเกียจอย่างถึงที่สุด จนทำให้พวกเขาไม่มีทางปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างเป็นปกติได้เลย พวกเขาไม่เพียงไร้ซึ่งการสำแดงอันเป็นบวกอย่างการจัดเตรียม การช่วยเหลือ หรือการรักผู้อื่นเท่านั้น แต่การกระทำและพฤติกรรมของพวกเขายังได้แต่รบกวน ทำลาย และทำให้พินาศอีกด้วย หากบางคนทำการบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จจนเป็นนิสัย และทำเช่นนี้อยู่เสมอไม่ว่าอย่างเปิดเผยหรืออย่างลับๆ จนก่อให้เกิดผลกระทบที่เป็นลบอย่างร้ายแรงต่องานของคริสตจักรและต่อพี่น้องชายหญิง เช่นนั้นพวกเขาก็อยู่ในบรรดาผู้ที่คริสตจักรควรเอาตัวออกไป อีกประเภทหนึ่งคือพวกรักที่จะเอาเปรียบ ไม่ว่าในสถานการณ์ใดพวกเขาก็เสาะแสวงที่จะได้ประโยชน์อยู่เสมอ จับจ้องที่ผลประโยชน์ของตนเองอยู่ตลอดเวลา พวกเขาไม่มุ่งเน้นการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และไม่มุ่งเน้นการทำหน้าที่ของตนให้ดีหรือลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาไม่มุ่งเน้นที่การปฏิสัมพันธ์อย่างเป็นปกติกับพี่น้องชายหญิง ไม่มุ่งเน้นที่การดึงจุดแข็งของผู้อื่นมาชดเชยข้อบกพร่องของตนและสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นปกติ หรือใช้ชีวิตคริสตจักรที่เป็นปกติ พวกเขาไม่ได้มุ่งเน้นสิ่งเหล่านี้เลย—พวกเขาเพียงมายังคริสตจักรและอยู่ท่ามกลางพี่น้องชายหญิงเพื่อเอาเปรียบเท่านั้น ตราบใดที่พวกเขายังอยู่ในคริสตจักร และตราบใดที่พี่น้องชายหญิงยังติดต่อพูดคุยกับพวกเขา พี่น้องชายหญิงย่อมจะรู้สึกไม่สบายใจ พี่น้องชายหญิงไม่เพียงรู้สึกรังเกียจการกระทำและพฤติกรรมของพวกเขาเท่านั้น แต่โดยหลักแล้ว พวกเขาจะรู้สึกว่าถูกแทรกแซงและถูกบีบคั้นอยู่ในหัวใจบ่อยครั้งจนถึงระดับที่มีนัยสำคัญ คำว่า “ระดับที่มีนัยสำคัญ” หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าในสถานการณ์จริง เมื่อเผชิญกับการคุกคามจากผู้ไม่เชื่อหรือคนชั่ว บางคนย่อมรู้สึกถูกบีบคั้นจากความรู้สึกของตนและไม่อาจหลุดพ้นได้ ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่กล้าพูดออกมาถึงแม้จะไม่ชอบใจก็ตาม แต่ในใจกลับรู้สึกว่าถูกตีกรอบอยู่เสมอและไร้ความสงบสุข นี่คือการรบกวนพี่น้องชายหญิงอย่างร้ายแรงมิใช่หรือ? (ใช่) ด้วยเหตุนั้น ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจึงควรแยกแยะบุคคลทั้งสองประเภทนี้ ทุกคนที่ถูกจัดหมวดหมู่ว่าเป็นคนชั่วคือบรรดาผู้ที่คริสตจักรควรเอาตัวออกไป หลักธรรมที่เฉพาะเจาะจงในการจัดการกับบุคคลเช่นนั้นได้ถูกสามัคคีธรรมไปแล้วในการชุมนุมครั้งก่อน ดังนั้นจะไม่มีการสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมเหล่านั้นโดยละเอียดในตอนนี้อีก สรุปก็คือ ผู้คนสองประเภทที่สามัคคีธรรมไปข้างต้นได้ก่อให้เกิดการรบกวน มิใช่ต่อชีวิตคริสตจักรของพี่น้องชายหญิงเท่านั้น แต่ต่อการปฏิบัติหน้าที่อย่างมีระเบียบของพวกเขาอีกด้วย พฤติกรรมของพวกเขาบางคนมีแนวโน้มที่จะทำให้ผู้เชื่อใหม่บางคนที่ยังขาดรากฐานสะดุดล้มเสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นจากหนทางและวิธีการปฏิบัติตนของพวกเขา รวมถึงการสำแดงนานาประการของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และผลพวงอันเลวร้ายที่เกิดจากการสำแดงเหล่านี้ ผู้คนทั้งสองประเภทนี้จึงอยู่ในบรรดาผู้ที่ควรถูกเอาตัวออกไป และการจัดลำดับพวกเขาให้อยู่ในหมู่คนชั่วย่อมไม่ใช่เรื่องที่เกินไปเลย ถึงแม้ว่าพฤติกรรมของผู้รักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จและผู้รักที่จะเอาเปรียบอาจจะไม่ได้ดูหยาบคายหรือชั่วช้าเกินกว่าเหตุเช่นเดียวกับพฤติกรรมของคนชั่วที่ถูกนิยามในมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์—ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีการสำแดงที่เห็นเด่นชัดเช่นนั้น—ผลพวงอันเลวร้ายจากพฤติกรรมและความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร สิ่งเหล่านี้คือการสำแดงของผู้คนทั้งสองประเภทและหลักธรรมในการจัดการพวกเขา ซึ่งได้รับการสามัคคีธรรมไปในคราวก่อน
II. อ้างอิงตามความเป็นมนุษย์ของคนเรา
ค. การทำตัวเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ
วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมกันต่อถึงการสำแดงของผู้คนหลากหลายประเภทในแง่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขา โดยเริ่มจากผู้คนประเภทที่สาม ลักษณะหลักของความเป็นมนุษย์ของคนเหล่านี้คืออะไร? คือความเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ การทำความเข้าใจความเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจจากมุมมองตัวหนังสือนั้นค่อนข้างง่าย หมายความว่าพฤติกรรม ความประพฤติ และคำพูดของบุคคลเหล่านี้ดูไม่เหมาะสม—พวกเขาไม่ใช่คนที่สง่างามและน่านับถือ นี่คือความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการสำแดงของผู้คนประเภทนี้ ในคริสตจักรย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่ใครบางคนจะมีทัศนะที่เบี่ยงเบนหรือผิดพลาดต่อการเชื่อในพระเจ้าและต่อหนทางที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา คำพูดและกิริยาท่าทางของพวกเขาไร้ซึ่งความศรัทธา การสำแดงในชีวิตและคุณภาพความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไม่เป็นไปตามมารยาทอันดีงามของวิสุทธิชนเลย และพวกเขาก็ไร้ซึ่งหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าโดยสิ้นเชิง โดยรวมก็คือ คำพูด พฤติกรรม และกิริยาท่าทางของพวกเขาสามารถอธิบายได้เพียงว่าเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ แน่นอนว่าการสำแดงเฉพาะนั้นมีอยู่มากมาย เป็นสิ่งที่ทุกคนมองเห็นได้ และง่ายต่อการแยกแยะ บุคคลเหล่านี้คล้ายกับผู้ไม่เชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อ โดยเฉพาะในเรื่องที่พวกเขาแสดงพฤติกรรมเหลวไหลออกมาเป็นพิเศษ ในเรื่องการชุมนุม เครื่องแต่งกายและการดูแลตัวเองของพวกเขาก็ดูตามสบายเป็นอย่างยิ่ง บางคนไม่สนใจที่จะแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนออกจากบ้าน มาชุมนุมในสภาพกระเซอะกระเซิง ผมไม่ได้หวีหน้าไม่ได้ล้าง บางคนแต่งตัวแบบขอไปที ใส่รองเท้าแตะเก่าๆ หรือแม้กระทั่งใส่ชุดนอนมาชุมนุม ส่วนคนอื่นก็ใช้ชีวิตด้วยความสะเพร่า ไม่ใส่ใจเรื่องสุขอนามัยส่วนตัว และไม่รังเกียจที่จะใส่เสื้อผ้าสกปรกมาชุมนุม ผู้คนเหล่านี้ล้วนปฏิบัติต่อการชุมนุมด้วยความไม่ใส่ใจอย่างถึงที่สุด ราวกับแวะไปเยี่ยมเพื่อนบ้าน และไม่จริงจังกับการนี้เลย ระหว่างการชุมนุม พวกเขาก็ไม่ยับยั้งชั่งใจในคำพูดและกิริยาท่าทางของตนเช่นกัน ทั้งยังพูดเสียงดังโดยไม่รู้สึกเกรงใจแต่อย่างใด ถึงกับรู้สึกตื่นเต้นและโบกไม้โบกมืออย่างบ้าคลั่งเมื่อมีความสุข และแสดงออกซึ่งการตามใจตนเองอย่างสุดโต่ง ไม่ว่าจะมีคนอยู่มากมายแค่ไหน พวกเขาก็หัวเราะ เล่นตลก และออกท่าออกทางใหญ่โต นั่งไขว่ห้าง และทำตัวราวกับพวกเขาเหนือกว่าทุกคน พวกเขาทำตัวหรูหราเป็นพิเศษ และถึงกับทำตัวหยิ่งยโส ไม่เคยสบตาผู้ใดตรงๆ เวลาพูดคุยกับคนเหล่านั้น แต่กลับมองไปรอบๆ อย่างไร้จุดหมาย นี่คือการทำตัวเหลวไหลมิใช่หรือ? (ใช่) นี่คือการทำตามใจตนเองเป็นพิเศษและไม่มีการยับยั้งชั่งใจเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าผู้ไม่มีความเชื่ออาจจะให้เหตุผลว่าคำพูดและกิริยาท่าทางของบุคคลเช่นนั้นคือการขาดการเลี้ยงดูที่ดี แต่พวกเราเข้าใจแตกต่างออกไป นี่ไม่ใช่เรื่องของการขาดการเลี้ยงดูที่ดีเท่านั้น ในฐานะผู้ใหญ่ คนเราควรรู้ชัดถึงวิธีพูด วิธีประพฤติตน และวิธีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างถูกต้อง—โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนเราควรรู้วิธีที่จะทำเช่นนั้นในแบบที่สอดคล้องกับมารยาทอันดีงามของวิสุทธิชน ในแบบที่เจริญใจพี่น้องชายหญิง และประกอบด้วยความเป็นมนุษย์ที่ปกติ—ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาใช้ชีวิตคริสตจักร เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่น้องชายหญิง แม้ไม่จำเป็นจะต้องเสแสร้ง แต่คนเราก็ต้องยับยั้งชั่งใจ เช่นนั้นแล้ว สิ่งใดคือเครื่องวัดและมาตรฐานที่จำเป็นของการยับยั้งชั่งใจนี้? นั่นคือต้องสอดคล้องกับมารยาทอันดีงามของวิสุทธิชน เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายของคนเราควรสง่างามและเหมาะสม หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่แปลกประหลาด เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า คนเราต้องเปี่ยมศรัทธาและไม่แสดงท่าทางโอ้อวดเกินขอบเขต แน่นอนว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น พวกเขาก็ควรรักษาความเปี่ยมศรัทธาและสภาพเสมือนมนุษย์เช่นกัน เพื่อที่พวกเขาจะได้แสดงออกในหนทางที่เหมาะสม เป็นประโยชน์ และเจริญใจผู้อื่น นี่คือสิ่งที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัย พวกที่ทำตัวเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจไม่สนใจที่จะดำเนินชีวิตตามแง่มุมพื้นฐานที่สุดของความเป็นมนุษย์ และเหตุผลที่แน่ชัดอย่างหนึ่งของการไม่ใส่ใจของพวกเขาก็คือ พวกเขาไม่รู้ความแม้แต่น้อยว่าจะเป็นคนที่เปี่ยมศรัทธา หรือเป็นคนที่ซื่อตรงและสง่างามที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างไร พวกเขาไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้เลย ดังนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าคริสตจักรจะมีการกำหนดเงื่อนไขและการเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าเรื่องการชุมนุมด้วยเครื่องแต่งกายที่เรียบร้อย สง่างาม และเหมาะสม ไม่สวมเสื้อผ้าที่แปลกประหลาด พวกเขาก็ยังคงไม่จริงจังกับกฎเกณฑ์เหล่านี้ มักจะมาถึงโดยสวมรองเท้าแตะ กระเซอะกระเซิง หรือถึงกับสวมชุดนอนบ่อยครั้ง นี่คือการสำแดงประการหนึ่งของคนที่ทำตัวเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ
บรรดาผู้ที่ทำตัวเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจสำแดงพฤติกรรมอีกประการหนึ่ง นั่นคือ การแต่งตัวตามแฟชั่นและแต่งหน้าจัดและเย้ายวนมาชุมนุม พวกเขาเริ่มแต่งตัวสวยและแต่งองค์ทรงเครื่องสองวันก่อนหน้าการชุมนุมแต่ละครั้ง คิดใคร่ครวญว่าจะแต่งหน้าเช่นไร ใส่เครื่องประดับชิ้นไหน เลือกทำผมทรงใด ใส่เสื้อผ้าชุดไหน ถือกระเป๋าใบไหน และใส่รองเท้าคู่ใด ผู้หญิงบางคนถึงกับทาลิปสติก อายแชโดว์ และแรเงาจมูกให้ดูเย้ายวน และในกรณีที่สุดโต่งกว่านั้น บางคนก็ถึงกับแต่งตัวและแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างยั่วยวนจนเกินงาม เผยหัวไหล่และแผ่นหลัง สวมใส่เสื้อผ้าที่แปลกประหลาด ในการชุมนุม พวกเขาไม่ตั้งใจฟังสามัคคีธรรมของพี่น้องชายหญิง ทั้งยังไม่อธิษฐาน ไม่ต้องพูดถึงการร่วมสามัคคีธรรมหรือแบ่งปันความเข้าใจส่วนตัวและคำพยานจากประสบการณ์ของพวกเขาเลย ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น หมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่ว่าใครแต่งตัวสวยกว่าหรือแย่กว่ากัน ใครสวมใส่เสื้อผ้ายี่ห้อที่ทันสมัยเป็นพิเศษ ใครใส่เสื้อผ้าราคาถูกตามตลาดนัด สร้อยข้อมือของใครราคาเท่าไร เป็นต้น พวกเขามุ่งเน้นอยู่แต่กับเรื่องเหล่านี้จนถึงกับแสดงความเห็นออกมาอย่างเปิดเผยอยู่บ่อยครั้ง จากเครื่องแต่งกาย รวมไปถึงคำพูด พฤติกรรม และกิริยาท่าทางของบุคคลเหล่านี้ ย่อมเห็นได้ชัดว่าการมีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักรและการปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงของพวกเขาไม่ได้มุ่งหมายที่การเข้าใจความจริง นับประสาอะไรกับการทำเพื่อไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิตเพื่อสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย กลับกัน พวกเขาใช้ช่วงเวลาระหว่างการชุมนุมเพื่อโอ้อวดความสุขสำราญเรื่องเงินและชีวิตทางวัตถุของตน บางคนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมมายังสถานที่ชุมนุมเพื่ออวดตน สนองความอยากได้อยากมีด้านแฟชั่นและกระแสนิยมทางสังคมของตนอย่างเต็มที่ท่ามกลางพี่น้องชายหญิง ล่อลวงให้ผู้อื่นไล่ตามไขว่คว้ากระแสนิยมเหล่านี้ อีกทั้งทำให้ผู้อื่นอิจฉาและนับถือพวกเขา ถึงแม้จะสังเกตเห็นถึงสายตาและท่าทีขยะแขยงที่พี่น้องชายหญิงบางคนมีต่อตน พวกเขาก็ยังคงไม่แยแส ทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของตนต่อไป ใส่รองเท้าส้นสูง และถือกระเป๋าแบรนด์เนม บางคนถึงกับพยายามทำตัวเป็นผู้มีอันจะกิน พรมน้ำหอมคุณภาพต่ำมาชุมนุม ทำให้เมื่อพวกเขาก้าวเข้ามาในห้อง กลิ่นน้ำหอม กลิ่นที่ปัดแก้ม และกลิ่นน้ำมันบำรุงผมผสมปนเปกันกลายเป็นกลิ่นเหม็นฉุนที่ไม่พึงประสงค์ หลายคนที่เข้าร่วมการชุมนุมรู้สึกขุ่นเคืองใจแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา แค่เพียงเห็นคนเหล่านี้ก็รู้สึกขยะแขยง และบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงก็คอยอยู่ห่างจากพวกเขา ไม่ว่าเครื่องแต่งกายและการดูแลตนเองของพวกเขาจะค่อนข้างหรูหราหรือค่อนข้างสบายๆ ลักษณะเด่นของคนประเภทนี้คือคำพูด พฤติกรรม กิริยาท่าทาง และวิถีชีวิตที่เสรีและไร้ระเบียบวินัยมากเป็นพิเศษ ไม่ใช่แค่ระหว่างการชุมนุม แต่ในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับพี่น้องชายหญิง หรือในชีวิตประจำวันของพวกเขาด้วยเช่นกัน พูดให้ตรงประเด็นก็คือ พวกเขาตามใจตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ไม่ควบคุมด้วยการยับยั้งชั่งใจเลยแม้แต่น้อย ชีวิตประจำวันของพวกเขาไม่มีรูปแบบที่แน่นอน พวกเขาพูดในสิ่งที่อยากพูด กระทำการตามใจตนเองและไม่ยั้งคิด ไม่เคยหารือประสบการณ์ส่วนตน แทบจะไม่เคยแบ่งปันความเข้าใจเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า และแทบจะไม่เคยพูดถึงความยากลำบากที่เผชิญในการทำหน้าที่ของตนเลยด้วยซ้ำ หัวข้อเดียวที่พวกเขาหารือกันคืออะไร? กระแสนิยมทางสังคม แฟชั่น อาหารเลิศรส ชีวิตส่วนตัวของคนดังในสังคมและแม้กระทั่งดารา รวมถึงเรื่องราวแปลกประหลาดและประเด็นสัพเพเหระในสังคม จากการเผยธรรมชาติเหล่านี้ ย่อมเห็นได้ไม่ยากว่าความเชื่อในพระเจ้าของผู้คนดังกล่าวเป็นเพียงการใช้ชีวิตไปวันๆ เท่านั้น ชีวิตของพวกเขามุ่งเน้นแต่การกิน ดื่ม และเล่นสนุกมากกว่าเรื่องทั้งหลายอย่างการใช้ชีวิตคริสตจักร การทำหน้าที่ของตน หรือการไล่ตามเสาะหาความจริง คำว่า “ทำตัวเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ” หมายถึงวิถีชีวิตของบุคคลเหล่านี้ สิ่งที่พวกเขาใช้ดำเนินชีวิตในความเป็นมนุษย์ อีกทั้งหนทางที่พวกเขาจัดการกับสิ่งทั้งหลาย ปฏิบัติต่อผู้อื่น และปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็ล้วนเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจเช่นเดียวกัน พวกเขามักจะพูดตามคำกล่าวยอดนิยมในสังคม ไม่ว่าพี่น้องชายหญิงจะชอบฟังคำกล่าวเหล่านั้น หรือจะเข้าใจคำกล่าวเหล่านั้นหรือไม่ บุคคลเหล่านี้ก็เอาแต่พร่ำพูดอย่างต่อเนื่อง พวกเขาถึงกับเลียนแบบคำพูดของคนดังในสังคม รวมถึงดารานักร้องและนักแสดงอยู่เป็นประจำ ส่วนคำศัพท์อันเป็นบวกที่มักจะใช้ในพระนิเวศของพระเจ้าและในหมู่พี่น้องชายหญิงนั้น พวกเขาไม่เคยแสดงความสนใจต่อคำพูดเหล่านั้นเลย พวกเขาไม่เคยสามัคคีธรรมถึงความจริงในชีวิตประจำวันของตน สิ่งที่พวกเขาเทิดทูนคือกระแสนิยมทางโลก คนดังและดาราทั้งหลายคือเป้าหมายที่พวกเขาเทิดทูนและเอาเป็นแบบอย่าง ตัวอย่างเช่น พวกเขารีบฉวยเอาคำพูดและวลียอดนิยมในโลกออนไลน์มาใช้ในบทสนทนาในชีวิตประจำวันของตนและในการสนทนากับพี่น้องชายหญิง แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวกหรือเจริญใจแต่อย่างใด คำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นลบ ไม่มีคุณค่า และไม่มีความหมายใดต่อบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ คำพูดเหล่านั้นเป็นสำนวนยอดนิยมที่เกิดจากมวลมนุษย์ที่ชั่วและเสื่อมทราม เป็นตัวแทนของความคิดและมุมมองของกองกำลังชั่วโดยสมบูรณ์ คำพูดเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผู้ไม่เชื่อในคริสตจักรที่หลงใหลในกระแสนิยมชั่วมักจะสังเกตเห็น ยอมรับ และนำมาใช้ พวกเขาปิดกั้นถ้อยคำและคำศัพท์ฝ่ายวิญญาณในพระนิเวศของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ไม่ฟังหรือเรียนรู้คำศัพท์เหล่านั้นด้วยความตั้งใจจริง ตรงกันข้าม พวกเขากลับรีบฉวยและนำเอาสิ่งที่เป็นลบในโลกที่ไม่มีความเชื่อและสิ่งทั้งหลายที่คนต่ำช้าสนใจมาใช้ ด้วยเหตุนั้น ไม่ว่าจะตัดสินจากเครื่องแต่งกายภายนอก คำพูด และกิริยาท่าทาง หรือจากความคิดและมุมมองอันหลากหลาย รวมถึงท่าทีต่อสิ่งทั้งหลายที่บุคคลเหล่านี้เผยออกมา พวกเขาก็ล้วนโดดเด่นแตกต่างจากพี่น้องชายหญิงเป็นอย่างยิ่ง คำว่าแตกต่างหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่า คำพูด พฤติกรรม และกิริยาท่าทางของพวกเขาเหมือนกับพวกผู้ที่ไม่มีความเชื่อ ไม่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด พวกเขาเป็นเพียงผู้ไม่เชื่อ ตัวอย่างเช่น บางคนร้องเพลงนมัสการสองเพลงบนเวทีในพระนิเวศของพระเจ้าและได้รับความชื่นชมจากทุกคน ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มคิดภาพที่ตัวเองเป็นดาราหรือเป็นคนดัง มักเรียกร้องขอแต่งหน้าจัดเพื่อการแสดง ยืนกรานที่จะทำผมทรงเดียวกับคนดังบางคน และย้อมผมสีแปลกๆ อยู่เสมอ เมื่อผู้อื่นกล่าวว่า “ผู้เชื่อควรแต่งตัวให้สง่างามและเหมาะสม สไตล์ของคุณไม่ตรงตามข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้า” พวกเขาก็พร่ำบ่นว่า “กฎของพระนิเวศของพระเจ้าเข้มงวดเกินไป ช่างยุ่งยากเสียจริง! ทำไมการเป็นดาราถึงยากนัก?” หลังจากร้องเพลงนมัสการไปเพียงสองเพลง พวกเขาก็ฝันเฟื่องว่าตนเองเป็นดาราและคิดว่าตนเองยอดเยี่ยมมาก และเมื่อใดที่พวกเขาว่างงาน พวกเขาก็เฝ้าใคร่ครวญว่า “พวกดาราในโลกที่ไม่มีความเชื่อใช้กี่นิ้วจับไมโครโฟน? พวกเขาเดินกี่ก้าวเพื่อขึ้นไปบนเวที? ทำไมเวลาที่ร้องเพลงดีฉันถึงไม่ได้ดอกไม้? พวกดาราในโลกมีสังกัดและมีผู้ช่วย พวกเขาไม่ต้องจัดการหรือแก้ไขเรื่องส่วนใหญ่ด้วยตนเอง ผู้ช่วยของพวกเขาจัดการให้หมด แต่ในฐานะนักร้องในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันต้องดูแลงานที่เป็นกิจวัตรด้วยตัวเอง อย่างเช่น การหาอาหาร การแต่งตัว และการซื้อของ พระนิเวศของพระเจ้าหัวโบราณเกินไป!” ในหัวใจของพวกเขารู้สึกไม่มีความสุขอยู่ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขารู้สึกทุกข์ใจเป็นพิเศษ ไม่พอใจและเต็มไปด้วยคำพร่ำบ่นอยู่เสมอ ผู้คนเช่นนั้นสามารถรักความจริงได้หรือ? พวกเขาจะปฏิบัติความจริงหรือไม่? เหตุใดพวกเขาจึงไม่ทบทวนตนเอง? มุมมองที่พวกเขามีต่อสิ่งทั้งหลายช่างบิดเบี้ยวเหลือเกิน คล้ายกับของผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาไม่ตระหนักในเรื่องนี้ได้อย่างไร? พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ขัดขวางพวกเขาจากการเป็นดารา แต่มุมมองและแนวทางเหล่านี้ของพวกเขา—ซึ่งเป็นของผู้ไม่เชื่อ—ใช้ในพระนิเวศของพระเจ้าได้หรือ? โดยพื้นฐานแล้ว มุมมองและวิธีการเหล่านี้ไม่อาจยอมรับได้ คำพูดและกิริยาท่าทางปกติของพวกเขาเป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนมากรังเกียจ เนื่องจาก “ความเปิดกว้าง” และการตามใจตนเองอย่างสุดโต่งของพวกเขา สิ่งที่ผู้คนเช่นนั้นพูดหรือทำจึงเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ ไม่ได้เผยให้เห็นสิ่งใดเลยนอกจากอุปนิสัยของซาตาน
พระนิเวศของพระเจ้าเน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าพี่น้องชายหญิงควรรักษาขอบเขตระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง และไม่เข้าไปพัวพันกับเพศตรงข้าม อย่างไรก็ตาม บางคนที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจกลับไม่ใส่ใจคำแนะนำนี้แต่อย่างใด ถึงกับพยายามยั่วยวนและออกเดตกับผู้อื่นจนรบกวนชีวิตคริสตจักร พวกเขาเพลิดเพลินกับการติดต่อเพศตรงข้าม ถึงกับหาเหตุผลและข้ออ้างที่จะติดต่อและปฏิสัมพันธ์กันแบบหยอกล้อ เมื่อเห็นเพศตรงข้ามที่มีเสน่ห์หรือเป็นคนที่เข้ากันได้ พวกเขาก็เริ่มฉุดดึงคนเหล่านั้นเข้ามา หยอกเย้าและเกี้ยวพาราสี วุ่นวายกับเสื้อผ้าและเล่นผมของอีกฝ่าย และถึงกับปาบอลหิมะใส่เสื้อผ้าของคนเหล่านั้นในช่วงฤดูหนาว พวกเขาเล่นกันเหมือนสัตว์ ไม่มีขอบเขตหรือสำนึกแห่งเกียรติ ไม่รู้สึกละอายใจเลย บางคนกล่าวว่า “แบบนั้นจะถือว่าเป็นการเล่นกันได้อย่างไร? พวกเขากำลังแสดงความรักใคร่เอ็นดู แบบนั้นเรียกว่าการทำตัวกุ๊กกิ๊ก ทำตัวโรแมนติกต่างหาก” หากเจ้ากำลังมองหาความโรแมนติก เจ้าก็เลือกผิดที่เสียแล้ว คริสตจักรเป็นที่ที่พี่น้องชายหญิงทำหน้าที่ของตน นี่คือสถานที่สำหรับนมัสการพระเจ้า ไม่ใช่สำหรับเกี้ยวพาราสีกัน การแสดงพฤติกรรมเช่นนั้นในที่สาธารณะต่อหน้าทุกคนย่อมทำให้ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกขยะแขยงและผลักไส ประเด็นสำคัญคือการนี้ไม่เจริญใจผู้อื่น และเจ้าก็สูญเสียความซื่อตรงและเกียรติยศของตนเช่นกัน เจ้าอายุเท่าไรแล้ว? เจ้าไม่สามารถแยกมือขวาออกจากมือซ้ายเช่นนั้นหรือ? เจ้าไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงหรือ? แต่เจ้าก็ยังพัวพันอยู่กับการหยอกเอินกัน! การที่เด็กอายุเจ็ดหรือแปดปีเล่นด้วยกันเป็นเรื่องปกติ พฤติกรรมและความสนใจเช่นนั้นพบได้ทั่วไปในช่วงอายุของพวกเขา อย่างไรก็ตาม หากผู้ใหญ่แสดงพฤติกรรมเหล่านี้ ย่อมเป็นการทำตัวเป็นเด็กมิใช่หรือ? กล่าวโดยง่ายก็คือมันเป็นเช่นนั้นนั่นเอง ในแง่ของแก่นแท้ การนี้คืออะไร? (การทำตามใจตนเอง การทำตัวเหลวไหล) เป็นความเหลวไหลเกินไปทั้งสิ้น! เมื่อเชื่อในพระเจ้า คนเราก็ต้องรู้จักที่จะมีสำนึกแห่งเกียรติ แม้กระทั่งในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ คนที่ทำตัวเหลวไหลถึงเพียงนั้นก็มีอยู่ไม่กี่คน คนที่เหลวไหลเช่นนั้นช่างไร้สาระและน่ารังเกียจเหลือเกิน! การปาบอลหิมะใส่เสื้อผ้าของเพศตรงข้ามเพื่อความตื่นเต้น การไม่เพียงแกล้งวิ่งไล่จับพวกเขาไปรอบๆ แต่ถึงกับเตะพวกเขาจากด้านหลัง—เมื่อใครบางคนเปิดโปงข้อเท็จจริงว่าพฤติกรรมเช่นนั้นเหลวไหลเกินไปและเป็นการทำให้ขอบเขตระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงเลือนลางลง พวกเขาก็โต้กลับว่า “พวกเราเล่นกันแบบนี้แค่เพราะพวกเราสนิทกันมาก ผู้คนควรเข้าใจ” พวกเขาตามใจตนเองจนถึงระดับดังกล่าว พวกเขาไม่เพียงปล่อยให้ตนเองทำตามอำเภอใจเท่านั้น แต่ยังล่อลวงให้ผู้อื่นร่วมทำตามอำเภอใจกับพวกเขาด้วย นี่คือคนเลวประเภทใดหรือ? บอกเราทีเถิดว่า ผู้คนเช่นนั้นควรอยู่ในคริสตจักรต่อไปหรือไม่? (ไม่ควร) การอยู่ใกล้คนประเภทนี้มักจะรู้สึกไม่สบายใจและกระอักกระอ่วนอยู่เสมอ เมื่อพวกเขาพบใครบางคน พวกเขาก็ไม่ทักทายคนเหล่านั้นตามปกติ แต่กลับปล่อยหมัดใส่คนเหล่านั้นไปหนึ่งทีพร้อมกล่าวว่า “หายหัวไปไหนมาตั้งหลายปี? ฉันคิดว่าคุณหายไปจากโลกนี้เสียแล้ว! เป็นไงบ้าง?” แม้แต่ลักษณะการทักทายของพวกเขาก็ยังป่าเถื่อนและอวดดีเหลือเกิน พวกเขาไม่เพียงพูดจาอย่างป่าเถื่อนเท่านั้น แต่ยังถึงกับลงไม้ลงมือกับผู้อื่นอีกด้วย สิ่งนี้คล้ายกับพฤติกรรมของนักเลงและอันธพาลมิใช่หรือ? พวกเจ้าชอบคนเช่นนั้นหรือไม่? (ไม่) รู้สึกสบายใจหรือไม่ที่ถูกเยาะเย้ยและถูกหยอกล้อ? (ไม่) นั่นทำให้รู้สึกอึดอัด และเจ้าก็ไม่สามารถระบายออกมาเป็นคำพูดได้เสียด้วยซ้ำ เจ้าได้แต่ต้องอดทน และครั้งต่อไปที่พบพวกเขา เจ้าก็เลี่ยงพวกเขาให้ไกล สรุปแล้ว เรื่องนี้บ่งบอกคุณภาพของความเป็นมนุษย์ของผู้คนเช่นนั้นว่าอย่างไร? (ย่ำแย่) ไม่ว่าจะมองสิ่งเหล่านั้นจากแง่มุมใด—ไม่ว่ามองจากคำพูดและกิริยาท่าทางของพวกเขา การประพฤติปฏิบัติส่วนตนของพวกเขา หนทางในการจัดการกับโลกของพวกเขา รวมถึงปฏิสัมพันธ์ที่พวกเขามีต่อผู้อื่น มุมมองที่พวกเขามีต่อกระแสนิยมของโลกที่ไม่มีความเชื่อ หรือลักษณะของการเชื่อในพระเจ้า และท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์—ย่อมไม่ยากที่จะเห็นว่า บุคคลเหล่านี้ขาดความศรัทธาหรือหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า อีกทั้งไม่มีผู้ใดสามารถเห็นถึงความจริงใจในการแสวงหาหรือยอมรับความจริงของพวกเขาได้ ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร สิ่งที่สังเกตเห็นได้จากพวกเขาก็คือ ความเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจของพวกเขา การทำตามดาราและบุคคลต้นแบบอยู่เป็นนิจของพวกเขา รวมถึงการไร้ซึ่งเจตนาที่จะกลับตัวกลับใจของพวกเขา ลักษณะของความเป็นมนุษย์ของพวกเขาสามารถสรุปได้ว่าอย่างไร? ความเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ ด้วยเหตุนั้นจึงกล่าวได้อย่างชัดเจนว่า พวกเขาคือผู้ไม่มีความเชื่อที่แทรกซึมเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ
คนที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจใช้คำพูดแบบเดียวกับพวกโจรและอันธพาลในโลกที่ไม่มีความเชื่อ พวกเขาเพลิดเพลินกับการเลียนแบบคำพูดและลีลาของดาราและคนดังในเชิงลบจากสังคมเป็นพิเศษ โดยภาษาส่วนใหญ่ของพวกเขามีน้ำเสียงที่ต่ำช้า จนฟังดูราวกับสิ่งที่อันธพาลและนักเลงจะพูดกัน ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ไม่มีความเชื่อมาถึง ก็เอ่ยคำพูดที่ฟังดูชอบกลไม่กี่คำหลังจากเคาะประตู พี่น้องชายหญิงจึงกล่าวว่า “มีบางอย่างไม่ปกติ ทำไมคนคนนี้ถึงดูเหมือนสายสืบหรือสายลับเลย?” ถึงแม้ในขณะนั้นพวกเขาจะไม่สามารถแน่ใจได้ แต่ก็ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกไม่สบายใจ ทว่าคนที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจกลับพูดอย่างน่าประทับใจ ถึงกับแน่ใจเสียด้วยซ้ำว่า “สายสืบหรือ? ฉันไม่กลัวหรอก! จะกลัวพวกเขาทำไม? หากพวกคุณกลัว พวกคุณก็ไม่ต้องออกไป ฉันจะไปดูเองว่าเกิดอะไรขึ้น” ดูเถิดว่าพวกเขากล้าและบ้าบิ่นเพียงไหน พวกเจ้าจะกล่าวเช่นนี้หรือไม่? (ไม่ นี่ไม่ใช่วิธีพูดของคนปกติ มันเหมือนคำพูดของโจร) โจรผู้ร้ายพูดจาแตกต่างไปจากคนปกติ พวกเขาชอบใช้อำนาจมากเป็นพิเศษ ผู้คนเรียนรู้ภาษาของพวกเดียวกัน คนที่ช่ำชองในทางโลกชอบใช้ศัพท์แสงยอดนิยมของสังคมเป็นพิเศษ อันธพาลกับโจรชอบพูดภาษาเฉพาะกลุ่มของพวกเขา และผู้ไม่เชื่อก็เหมือนกับผู้ไม่มีความเชื่อ พูดทุกอย่างที่ผู้ไม่มีความเชื่อพูด เมื่อคนดี มีเกียรติ และน่านับถือได้ยินคำพูดของผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาก็รู้สึกขยะแขยงและเกลียดชัง ไม่มีใครพยายามเลียนแบบคำพูดประเภทนั้นเลย ถึงแม้ผู้ไม่เชื่อบางคนจะเชื่อในพระเจ้ามานานสิบหรือยี่สิบปี แต่ยังคงใช้ภาษาของผู้ไม่มีความเชื่อ จงใจเลือกคำพูดเช่นนั้น และขณะที่พูด พวกเขาก็เลียนแบบกิริยาท่าทาง การแสดงออก และสีหน้าของผู้ไม่มีความเชื่อ รวมถึงการแสดงออกทางสายตาของคนเหล่านั้นเสียด้วยซ้ำ บุคคลเช่นนั้นจะเป็นที่น่าพอใจในสายตาของพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรได้หรือ? (ไม่ได้) พี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่พบว่าตนเองไม่เห็นด้วย และไม่สบายใจที่จะมองเห็น พวกเจ้าคิดว่าพระเจ้าทรงรู้สึกอย่างไรต่อพวกเขา? (ทรงรังเกียจ) คำตอบนั้นชัดเจนคือทรงรังเกียจ จากสิ่งที่พวกเขาใช้ในการดำเนินชีวิต การไล่ตามเสาะหาของพวกเขา รวมถึงผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาเคารพอยู่ในหัวใจ ย่อมเห็นได้ชัดเจนว่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไม่มีศักดิ์ศรีหรือความน่านับถือเลย ทั้งยังห่างไกลจากความศรัทธาและความเหมาะสมตามมารยาทอันดีงามของวิสุทธิชน การได้ยินคำพูดที่ผู้เชื่อหรือวิสุทธิชนควรพูด หรือคำพูดที่เจริญใจผู้อื่นและถ่ายทอดความซื่อตรงและความมีศักดิ์ศรีจากปากของพวกเขาเป็นเรื่องยากมาก พวกเขาไม่มีทีท่าว่าจะพูดสิ่งเหล่านี้เลย สิ่งที่พวกเขาเคารพ มุ่งมาดปรารถนา และไล่ตามไขว่คว้าอยู่ในหัวใจนั้นขัดแย้งกับสิ่งที่วิสุทธิชนพึงไล่ตามเสาะหาและมุ่งมาดปรารถนาโดยสิ้นเชิง จึงยากที่จะควบคุมสิ่งที่พวกเขาใช้ในการดำเนินชีวิตภายนอก คำพูด และกิริยาท่าทางของพวกเขา การขอให้พวกเขามีความยับยั้งชั่งใจ ไม่ทำตัวเหลวไหลหรือทำตามใจตนเอง รวมถึงรักษาศักดิ์ศรีและความน่านับถือนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง พวกเขาไม่สามารถสัมฤทธิ์การเป็นคนปกติที่มีความซื่อตรงและศักดิ์ศรีที่สมกับมารยาทอันดีงามของวิสุทธิชน ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ และดูภายนอกเป็นคนมีเหตุมีผลได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใช้ชีวิตดังเช่นคนที่มีความเป็นมนุษย์และมีเหตุผล เป็นผู้ที่เข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงเลย ก่อนหน้านี้มีคนคนหนึ่งเดินทางไปในชนบทเพื่อประกาศข่าวประเสริฐและเห็นว่าพี่น้องชายหญิงบางคนมีครอบครัวที่ยากจนและอาศัยอยู่ในบ้านซอมซ่อ เขาพูดจาเยาะเย้ยและเหน็บแนมว่า “บ้านหลังนี้ซอมซ่อเหลือเกิน ไม่เหมาะที่จะให้คนอยู่เลย มันแทบไม่เหมาะสำหรับหมูเสียด้วยซ้ำ คุณควรรีบย้ายออกเสีย!” พี่น้องชายหญิงตอบว่า “การย้ายออกน่ะง่าย แต่ใครจะจัดหาบ้านอีกหลังให้พวกเราอยู่เล่า?” เขากล่าวตามอำเภอใจโดยไม่ยั้งคิด พูดสิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้อื่น นี่คือการมีธรรมชาติที่ต่ำช้า พี่น้องชายหญิงถามว่า “หากพวกเราย้ายออก ใครจะยกบ้านให้พวกเราอยู่? คุณมีบ้านไหม?” เขาไม่มีคำตอบ เมื่อเห็นว่าผู้คนกำลังเผชิญความยากลำบาก เขาต้องสามารถแก้ไขความยากลำบากของผู้คนให้ได้เสียก่อนจึงจะพูดออกไป ผลที่ตามมาจากการที่เขาพูดโดยไม่ยั้งคิด โดยไม่สามารถแก้ไขความยากลำบากของคนเหล่านั้นได้คืออะไร? นี่คือปัญหาของการเป็นคนตรงไปตรงมาและขวานผ่าซากเกินไปใช่หรือไม่? ไม่ใช่อย่างแน่นอน ปัญหาคือความต่ำช้าของพวกเขาร้ายแรงเกินไป เขาเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ ผู้คนเช่นนั้นไม่มีแนวคิดเรื่องความซื่อตรง ศักดิ์ศรี การคำนึงถึงผู้อื่น ความอดทน ความเอาใจใส่ ความเคารพ ความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ ความกรุณา ความเกรงใจ ความช่วยเหลือ และอื่นๆ คุณสมบัติเหล่านี้ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อความเป็นมนุษย์ที่ปกติคือสิ่งที่ผู้คนควรมี พวกเขาไม่เพียงขาดคุณสมบัติเหล่านี้เท่านั้น แต่ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้น เมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนกำลังเผชิญความยากลำบาก พวกเขาก็สามารถเย้ยหยัน ล้อเลียน หัวเราะเยาะ และดูถูกคนเหล่านั้นได้เสียด้วยซ้ำ พวกเขาไม่เพียงไม่สามารถเข้าใจหรือช่วยเหลือคนเหล่านั้น แต่ยังนำความโศกเศร้า ความสิ้นหวัง ความเจ็บปวด และแม้กระทั่งปัญหามาให้คนเหล่านั้นอีกด้วย สำหรับผู้ที่มีความต่ำช้าอย่างร้ายแรงเช่นนั้น ผู้คนส่วนมากย่อมมองเห็นได้อย่างชัดเจนและอดทนกับพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเจ้าคิดว่าผู้คนเช่นนั้นจะสามารถมีการกลับใจที่แท้จริงได้หรือไม่? เราคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เมื่อพิจารณาแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา พวกเขาไม่ใช่ผู้ที่รักความจริง แล้วพวกเขาจะยอมรับการถูกตัดแต่งและบ่มวินัยได้อย่างไร? ในการบรรยายถึงผู้คนเช่นนั้น ผู้ไม่มีความเชื่อมีคำกล่าวที่ว่า “ยึดมั่นในหนทางของตน” หรือ “จงเดินไปบนเส้นทางของตนเองไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม”—ตรรกะที่น่าขันนี้คืออะไร? ในสังคมนี้ สิ่งที่เรียกกันว่าคำกล่าวและสำนวนที่โด่งดังเหล่านี้มักจะถูกมองว่าเป็นสิ่งที่เป็นบวก ซึ่งบิดเบือนข้อเท็จจริงและสร้างความสับสนระหว่างถูกกับผิด สำหรับการสำแดงของความเป็นมนุษย์ของคนที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ โดยพื้นฐานแล้วการกล่าวเช่นนี้ย่อมครอบคลุมแล้ว
ไม่ว่าบุคคลที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจจะส่งผลกระทบต่อชีวิตคริสตจักร ต่อความสัมพันธ์ที่เป็นปกติในหมู่พี่น้องชายหญิง หรือการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรือไม่ ตราบเท่าที่การสำแดงและการเผยความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก่อให้เกิดผลกระทบและผลพวงที่เลวร้าย ก่อกวนพี่น้องชายหญิง ประเด็นปัญหาเหล่านี้ก็ควรได้รับการแก้ไขและมีการดำเนินการที่เหมาะสมกับผู้คนเช่นนั้น มากกว่าที่จะปล่อยให้พวกเขากระทำการโดยไม่ถูกขัดขวาง ในกรณีเล็กน้อยก็สามารถให้การช่วยเหลือและเกื้อหนุน หรืออาจมีการตัดแต่งและตักเตือนพวกเขาได้ ส่วนในกรณีร้ายแรงที่พฤติกรรมและกิริยาท่าทางของพวกเขามีความเหลวไหลเป็นพิเศษ เหมือนกับผู้ไม่มีความเชื่อหรือผู้ไม่เชื่อ ไม่มีมารยาทอันดีงามเยี่ยงวิสุทธิชนเลยแม้แต่น้อย ผู้นำคริสตจักรและคนทำงานควรคิดหาวิธีแก้ไขเพื่อจัดการกับบุคคลเหล่านี้ หากพี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่เห็นด้วยและเงื่อนไขเอื้ออำนวย บุคคลเหล่านี้ก็ควรถูกเอาตัวออกไป อย่างน้อยที่สุด พวกเขาไม่ควรได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่ในคริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา คำว่า “ในกรณีเล็กน้อย” หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าคนบางคนเป็นผู้เชื่อใหม่ เดิมทีเป็นผู้ไม่มีความเชื่อที่ไม่เคยเชื่อในศาสนาคริสต์และไม่เข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าหมายถึงอะไร คำพูดและกิริยาท่าทางของพวกเขาเผยให้เห็นนิสัยของผู้ไม่มีความเชื่อ อย่างไรก็ตาม ผ่านการอ่านพระวจนะของพระเจ้า การสามัคคีธรรมความจริง และการใช้ชีวิตคริสตจักร พวกเขาก็ค่อยๆ กลับตัวและเปลี่ยนแปลง กลายมาเป็นผู้เชื่อและแสดงให้เห็นสภาพเสมือนมนุษย์อยู่บ้าง บุคคลเหล่านี้ไม่ควรถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของคนชั่ว แต่ควรเป็นผู้ที่สามารถช่วยเหลือได้ อีกหมวดหมู่หนึ่งคือคนหนุ่มสาวที่อายุราวยี่สิบปีที่ถึงแม้จะเชื่อในพระเจ้ามาได้สามถึงห้าปีแล้วก็ยังคงตามใจตนเองให้เล่นสนุก ไม่ค่อยสงบนัก แสดงออกถึงความเป็นเด็กอยู่บ้างในคำพูดและกิริยาท่าทางภายนอกของพวกเขา—มีการพูดจา การประพฤติตน และการทำตัวเป็นเด็ก—และอื่นๆ เพราะพวกเขาอายุน้อย ผู้คนเหล่านี้ควรได้รับการช่วยเหลือและเกื้อหนุนด้วยความรัก พวกเขาควรได้รับเวลามากพอที่จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงโดยไม่มีข้อเรียกร้องที่เข้มงวดจนเกินไป แน่นอนว่าสำหรับผู้ใหญ่ที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีแต่ยังคงแสดงออกถึงคำพูด กิริยาท่าทาง พฤติกรรม และการกระทำที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจดังเช่นผู้ไม่มีความเชื่อ และผู้ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแม้จะถูกตักเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าย่อมจำเป็นต้องใช้วิธีการที่ต่างออกไป พวกเขาควรถูกจัดการตามข้อบังคับของพระนิเวศของพระเจ้า หากคำพูด กิริยาท่าทาง และการเผยความเป็นมนุษย์ของบุคคลเหล่านั้นรบกวนผู้คนส่วนใหญ่และก่อให้เกิดผลกระทบอันเลวร้ายในคริสตจักร ทำให้หลายคนรู้สึกสะอิดสะเอียนเมื่อพบเห็นพวกเขา ไม่เต็มใจฟังพวกเขาพูด ไม่เต็มใจที่จะเห็นสีหน้าท่าทางของพวกเขาเวลาที่พวกเขาพูด อีกทั้งไม่เต็มใจที่จะมองดูเครื่องแต่งกายของพวกเขา และผู้คนส่วนใหญ่กลับมีความสุขมากกว่าและอยู่ในภาวะที่ดีกว่าเมื่อบุคคลเช่นนั้นไม่เข้าร่วมการชุมนุม—รู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกรังเกียจจากการที่พวกเขาเพียงมีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักรและการที่พวกเขาแค่ปรากฏตัวท่ามกลางพี่น้องชายหญิง ราวกับเป็นแมลงที่ก่อการรบกวน—เช่นนั้นแล้ว บุคคลเช่นนั้นคือคนชั่วอย่างไม่ต้องสงสัย กล่าวคือ เมื่อไรที่พวกเขาใช้ชีวิตคริสตจักรและทำหน้าที่ของตนร่วมกับพี่น้องชายหญิง ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมรู้สึกกวนใจและรู้สึกสะอิดสะเอียนมากเป็นพิเศษ ในกรณีเช่นนั้น บุคคลเหล่านี้ควรถูกจัดการโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ปล่อยให้พวกเขาทำตามใจตนเองหรือเฝ้าสังเกตต่อไป อย่างน้อยที่สุด พวกเขาควรถูกชำระออกจากคริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาและส่งตัวไปยังคริสตจักรธรรมดาเพื่อกลับใจ เหตุใดจึงควรจัดการในหนทางนี้? (พวกเขาก่อให้เกิดการรบกวนและผลพวงที่เลวร้ายต่อผู้คนส่วนใหญ่ รบกวนชีวิตคริสตจักร) เพราะผลกระทบและผลพวงจากการสำแดงของพวกเขานั้นเลวทรามเหลือเกิน! ด้วยเหตุนี้ ผู้นำและคนทำงาน รวมถึงประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจึงไม่ควรหลับหูหลับตาใส่พวกเขา และยอมให้พวกเขามีพฤติกรรมเช่นนั้นแบบไม่ลืมหูลืมตา นี่เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมที่ผู้นำและคนทำงานจะไม่ทำอะไรเลย แม้ในยามที่บุคคลเช่นนั้นก่อให้เกิดการรบกวนต่อคนส่วนใหญ่ บุคคลเช่นนั้นควรถูกชำระออกจากคริสตจักรตามข้อบังคับของพระนิเวศของพระเจ้า—นี่เป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุด
คริสตจักรเคยจัดการกับคนที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจมาก่อนหรือไม่? (เคย) เมื่อผู้คนเช่นนั้นถูกจัดการ บางคนก็ร้องไห้ พลางกล่าวว่า “ฉันไม่ได้ตั้งใจ นั่นเป็นแค่พฤติกรรมที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราวของฉัน ฉันไม่ใช่คนประเภทนั้น โปรดให้โอกาสฉันอีกสักครั้งเถิด! หากฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่ พอกลับไปบ้าน ที่ที่ทุกคนเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ ฉันก็จะไม่สามารถเชื่อในพระเจ้าได้” พวกเขาพูดจาอ้อนวอนเหลือเกิน ทั้งยังดูเป็นทุกข์ใจอย่างแท้จริง แสดงความไม่เต็มใจที่จะไปจากพระเจ้าและขอโอกาสกลับใจอีกครั้งหนึ่งจากพระนิเวศของพระเจ้า การมอบโอกาสให้พวกเขาอีกครั้งหนึ่งนั้นเป็นไปได้ แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ หากรับรู้โดยถ่องแท้ว่าคนคนนี้ไม่มีความเป็นมนุษย์เลยแม้แต่น้อย ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล โดยพื้นฐานแล้วเป็นสิ่งที่ไม่มีหัวใจและวิญญาณ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ควรได้รับโอกาสอีกครั้งหนึ่ง เพราะนั่นย่อมจะเปล่าประโยชน์ อย่างไรก็ตาม หากคนคนนั้นมีเนื้อแท้ที่ดี เพียงแต่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขายังไม่เติบโตเพราะพวกเขาอายุยังน้อย และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าพวกเขาต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้ว พวกเขาต้องได้รับโอกาสให้กลับใจ พวกเขาไม่ควรถูกเอาตัวออกจากคริสตจักรโดยเด็ดขาด คนดีไม่มีวันถูกทำลาย คนบางคนเป็นผู้ไม่เชื่อโดยเนื้อแท้ พวกเขาเหลวไหล ไม่รู้ความ และโง่เขลาโดยกำเนิด และในความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็ไม่มีแนวคิดเรื่องความมีเกียรติโดยธรรมชาติ ไม่รู้ว่าสำนึกของความละอายคืออะไร หลังจากทำตัวหยาบกระด้างในที่สาธารณะ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะรู้สึกเสียใจและอับอายที่จะเผชิญหน้ากับผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เมื่อพวกเขาต้องการทำสิ่งเช่นนั้น พวกเขาก็สามารถคำนึงถึงความรู้สึกและความคิดเห็นของพี่น้องชายหญิง ใส่ใจในความซื่อตรงและศักดิ์ศรีของตนเอง และพวกเขาจะไม่ประพฤติตนในลักษณะเช่นนั้น อย่างมากที่สุดพวกเขาก็อาจจะแค่โวยวายใส่ลูกๆ หรือพี่น้องของตนที่บ้าน เมื่อออกไปข้างนอก ปฏิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า ผู้คนก็ควรเข้าใจว่าสำนึกแห่งเกียรติ ความเหมาะสม กฎเกณฑ์ และศักดิ์ศรีหมายถึงอะไร ถึงแม้จะมีการช่วยเหลือจากเจ้า ใครบางคนที่ขาดความเข้าใจในแนวคิดเหล่านี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่? ต่อให้ตอนนี้พวกเขายับยั้งชั่งใจไว้ แต่พวกเขาจะทนได้นานแค่ไหน? อีกไม่นานพวกเขาก็จะกลับไปเป็นแบบเดิม เนื่องจากความเป็นมนุษย์ของผู้คนเช่นนั้นไร้ศักดิ์ศรีและสำนึกของความละอาย ไม่รู้ว่ากฎเกณฑ์ ความเหมาะสม หรือมารยาทอันดีงามของวิสุทธิชนหมายถึงอะไร อีกทั้งโดยเนื้อแท้แล้ว ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ เจ้าจึงไม่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ คนที่ช่วยเหลือไม่ได้คือคนที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คนที่ไม่สามารถสั่งหรือชักจูงได้ บุคคลเช่นนั้นต้องถูกชำระออกไปแต่เนิ่นๆ โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันพวกเขาจากการก่อการรบกวนในหมู่พี่น้องชายหญิง จากการนำความอับอายมาสู่ที่แห่งนี้ พระนิเวศของพระเจ้าไม่ต้องการใครเพียงเพื่อให้ครบจำนวน หากพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยใครบางคนให้รอด เช่นนั้นการมาเพียงเพื่อให้ครบจำนวนก็จะไม่เป็นประโยชน์ต่อคนคนนั้น ผู้ที่พระเจ้าไม่ทรงยอมรับควรถูกเอาตัวออกไป—จงชำระผู้ที่ไม่ควรอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าออกไป เพื่อไม่ให้การมีอยู่ของคนคนนี้ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อคนอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อผู้คนส่วนใหญ่ หากพวกเจ้ามองทะลุไปถึงแก่นแท้ของคนที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ เจ้าก็ควรจัดการกับพวกเขาและเอาตัวพวกเขาออกไปให้เร็วที่สุด แทนที่จะอดทนกับพวกเขาไปอย่างไม่มีสิ้นสุด บางคนกล่าวว่า “พวกเขาทำให้เกิดผลลัพธ์บางอย่างอยู่เป็นครั้งคราวเวลาทำหน้าที่ พวกเขายังจำเป็นต่องานในแง่มุมนั้น พวกเขายังมีหัวใจที่ค่อนข้างเปี่ยมรักทีเดียว และสามารถจ่ายราคาได้เล็กน้อยอีกด้วย” แต่ในหมู่ของผู้ที่ยังคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ใครที่ไม่สามารถจ่ายราคาได้แม้แต่น้อย? ใครที่ไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์บางอย่างได้ในขณะที่ทำหน้าที่? หากทุกคนสามารถทำให้เกิดผลลัพธ์บางอย่างได้ เหตุใดจึงไม่เลือกคนดีที่มีศักดิ์ศรีและเหมาะสมมาทำหน้าที่เล่า? เหตุใดจึงยืนกรานที่จะเก็บคนประเภทที่ชั่วช้า ขี้โกง และคนโง่เอาไว้ในคริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาเพื่อก่อการรบกวน? เหตุใดจึงยืนกรานที่จะเก็บผู้ไม่เชื่อที่ใช้ชีวิตเยี่ยงผู้ไม่มีความเชื่อเหล่านี้ไว้ลงแรงในพระนิเวศของพระเจ้า? พระนิเวศของพระเจ้ามิได้ขาดแคลนคนลงแรง พระนิเวศของพระเจ้าต้องการเพียงคนซื่อสัตย์ที่รักความจริง คนซื่อตรง และคนที่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงในการสละตนเพื่อพระเจ้าเท่านั้น
ผู้ที่กำลังทำหน้าที่ของตนอยู่ในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่คือคนที่เชื่อในพระเจ้ามานานกว่าห้าหรือหกปี และผู้คนทุกประเภทต่างถูกเผยอย่างหมดเปลือกในกระบวนการของการทำหน้าที่ของตนแล้ว—พวกที่เป็นผู้ไม่เชื่อ ผู้คนที่เลอะเลือน ผู้นำเทียมเท็จ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์ล้วนถูกเผยทั้งหมด ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมากมายต่างเห็นอย่างชัดเจนว่าในหมู่คนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ไม่ยอมกลับใจแม้จะมีการตักเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อให้เกิดการก่อกวนและการขัดขวางอย่างร้ายแรงต่องานของพระนิเวศของพระเจ้าแล้ว ถึงเวลาที่ผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ต้องถูกชำระออกไป การไม่ชำระพวกเขาออกไปจะส่งผลต่อการดำเนินงานของคริสตจักรและการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า การไม่ชำระพวกเขาออกไปจะส่งผลกระทบต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ชีวิตคริสตจักรจะถูกรบกวนอยู่อย่างนั้น และจะไม่มีวันพบกับความสงบสุข ดังนั้นแล้ว ผู้นำคริสตจักรและคนทำงานทุกระดับจึงควรเริ่มชำระคริสตจักรตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าและอ้างอิงตามพระวจนะของพระเจ้า เราเห็นว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยขาดความเป็นมนุษย์ ในระหว่างชุมนุม คนบางคนแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในทุกรูปแบบ ไม่ใช้กิริยาท่าทางที่เหมาะสมไม่ว่าจะนั่งหรือจะยืน มีชา โทรศัพท์มือถือ ครีมทาหน้า และน้ำหอมเตรียมพร้อมอยู่ข้างตัว บางคนที่รักสวยรักงามก็เฝ้าส่องกระจกดูรูปลักษณ์ตนเอง และเติมเครื่องสำอางอยู่ตลอดเวลา และคนอื่นๆ ก็มักดื่มน้ำไปพลาง ไถหน้าจอโทรศัพท์เพื่ออ่านข่าวหรือดูวีดิทัศน์จากโลกที่ไม่มีความเชื่อไปพลาง นั่งไขว่ห้างขณะพูดจาและสนทนา บิดจนตัวงอเป็นสองท่อน รูปทรงคล้ายคลึงกับงู โดยไม่รักษามารยาทที่ถูกควรเสียด้วยซ้ำ เราก็ได้ยินมาเช่นกันว่าคนบางคนกลับไปที่ห้องนอนของพวกเขาในตอนกลางคืนและถึงกับนอนหลับบนเตียงยันรุ่งสางโดยไม่ถอดรองเท้า ในตอนเช้า พวกเขาลืมตาตื่นโดยไม่อธิษฐานหรือทำการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณ แต่กลับตรวจดูข่าวในโทรศัพท์มือถือเป็นอย่างแรก ระหว่างมื้ออาหาร เมื่อพวกเขาเห็นของอร่อย หรือเมื่อพวกเขาเห็นเนื้อสัตว์ พวกเขาก็กินอย่างตะกละตะกลาม—ตราบใดที่พวกเขากินอิ่ม ก็ไม่ใส่ใจเลยว่าผู้อื่นจะได้กินหรือไม่—จากนั้นก็ตรงกลับไปนอน พวกเขาไม่มีสภาพเสมือนมนุษย์ในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ ทำตัวเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ ไม่รักษากฎเกณฑ์ใดๆ เลย ไม่มีความเชื่อฟังหรือการนบนอบแม้แต่น้อย ราวกับสัตว์ร้าย บอกเราทีเถิดว่า ผู้คนประเภทที่มีธรรมชาติต่ำช้าอย่างร้ายแรงเช่นนั้นจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่? (ไม่) เช่นนั้นแล้ว การที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าจะมีประโยชน์อะไรหรือไม่? ด้วยขีดความสามารถที่ย่ำแย่เกินกว่าที่จะเป็นไปตามมาตรฐานของความจริง ในยามที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจะสามารถเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นหรือไม่? หากไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ในการประพฤติปฏิบัติตน การลงแรงของพวกเขาจะสามารถเป็นไปตามมาตรฐานได้หรือไม่? หากไร้ซึ่งมโนธรรมหรือเหตุผล เมื่อฟังคำเทศนาและฟังการสามัคคีธรรมความจริง พวกเขาจะสามารถยอมรับสิ่งเหล่านั้นได้หรือไม่? (ไม่ได้) โดยพื้นฐานแล้วผู้ที่แสดงออกถึงพฤติกรรมเหล่านี้ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ แล้วพวกเขาจะได้มาซึ่งความจริงได้อย่างไร? พวกที่ไร้ความเป็นมนุษย์คือสัตว์เดรัจฉาน หมู่มาร คนตายที่ไร้วิญญาณซึ่งไม่สามารถเข้าใจความจริงเมื่อได้ฟัง และไม่คู่ควรที่จะได้ฟังความจริง การปล่อยให้พวกเขาเข้าใจและได้รับความจริงก็เหมือนกับการบังคับปลาให้ใช้ชีวิตบนบกหรือบังคับหมูให้บิน—ซึ่งเป็นไปไม่ได้! ก่อนหน้านี้เมื่อพูดถึงเรื่องที่คนประเภทใดที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน คำว่า “สัตว์เดรัจฉาน” มักจะถูกนำมาต่อท้ายคำว่า “สุนัข” ดังนั้นพวกมันจึงถูกเรียกว่า “สุนัขเดรัจฉาน” อย่างไรก็ตามหลังจากได้เลี้ยงสุนัขและปฏิสัมพันธ์กับพวกมันอย่างใกล้ชิด เราก็พบว่าสุนัขมีสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ไม่มี นั่นคือ พวกมันทำตัวตามกฎเกณฑ์ เชื่อฟัง และมีสำนึกของการเคารพตนเอง เจ้ากำหนดขอบเขตให้สุนัขออกกำลังกาย และพวกมันก็จะออกกำลังกายอยู่ภายในนั้นเท่านั้น สุนัขจะไม่ไปในที่ที่เจ้าไม่อนุญาตให้ไปโดยไม่มีข้อยกเว้น หากพวกมันเผลอก้าวออกนอกเส้น พวกมันจะรีบถอยกลับมา ส่ายหางไปมาอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อขอโทษและยอมรับความผิดของตน มนุษย์สามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้หรือไม่? (ไม่ได้) มนุษย์ยังห่างไกลนัก ถึงแม้ว่าสุนัขอาจจะไม่เข้าใจมากมายเท่ามนุษย์ แต่พวกมันก็เข้าใจสิ่งหนึ่งว่า “นี่คืออาณาเขตของเจ้าของ คือบ้านของเจ้าของ ฉันจะไปที่ใดก็ตามที่เจ้าของอนุญาต และหลีกเลี่ยงที่ที่ฉันห้ามไป” ต่อให้ไม่มีการทุบตี สุนัขเหล่านี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ไปที่นั่น พวกมันมีสำนึกของการเคารพตนเอง แม้กระทั่งสุนัขยังรู้ว่าความละอายคืออะไร แล้วเหตุใดมนุษย์จึงไม่รู้? การจำแนกพวกที่ไม่รู้จักความละอายว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้นมากเกินไปหรือไม่? (ไม่) เรื่องนี้ไม่มากเกินไปเลย ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีคุณความดีที่สุนัขมีเสียด้วยซ้ำ ในอนาคตเมื่อพวกเรากล่าวว่าใครบางคนคือสัตว์เดรัจฉาน พวกเราย่อมไม่สามารถเรียกพวกมันว่า “สุนัขเดรัจฉาน” ได้อีกต่อไป นั่นจะเป็นการดูถูกสุนัข เพราะผู้คนเหล่านี้ สัตว์เดรัจฉานเหล่านี้แย่กว่าสุนัขเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นแล้ว เมื่อผู้คนเช่นนั้นก่อการรบกวนต่อชีวิตคริสตจักรหรือต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพี่น้องชายหญิง พวกเขาต้องถูกเอาตัวออกไปอย่างทันท่วงที—นี่เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล ชอบธรรม และไม่เกินไปแต่อย่างใด นี่ไม่ใช่การไม่เปี่ยมรัก นี่คือการกระทำตามหลักธรรม ต่อให้พวกที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจมีผลลัพธ์บางอย่างในหน้าที่ของตน พวกเขาจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่? พวกเขาคือคนที่ยอมรับความจริงใช่หรือไม่? พวกเขาไม่สามารถยับยั้งการกระทำของตนได้ด้วยซ้ำ แล้วพวกเขาจะยอมรับความจริงได้หรือ? พวกเขาไม่สามารถรักษาความซื่อตรงและศักดิ์ศรีของตนได้ แล้วพวกเขาจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือ? เป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นแล้ว การจัดการกับคนเหล่านี้ในลักษณะดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องที่เกินไปแต่อย่างใด การนี้เป็นไปตามหลักธรรมโดยแท้จริง และเป็นไปเพื่อจุดประสงค์ในการปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากการก่อกวนของซาตานโดยสมบูรณ์ สรุปก็คือ เมื่อตรวจพบบุคคลเช่นนั้น พวกเขาควรถูกจัดการตามหลักธรรมหลากหลายประการที่เราเพิ่งกล่าวถึง การจัดหมวดหมู่คนประเภทที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจอย่างแท้จริง และคนที่ตามใจเนื้อหนังของตนโดยไม่มีมารยาทอันดีงามเยี่ยงวิสุทธิชนว่าเป็นผู้ไม่เชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อนั้นมากเกินไปหรือไม่ (ไม่) ในเมื่อพวกเขาถูกจัดหมวดหมู่ว่าเป็นผู้ไม่มีความเชื่อและผู้ไม่เชื่อ การรวมพวกเขาอยู่ในลำดับของคนชั่วนานาประเภทที่คริสตจักรควรเอาตัวออกไปจึงไม่มากเกินไปเลย แน่นอนว่าคนที่ไม่สามารถแม้แต่จะควบคุมพฤติกรรมและกิริยาท่าทางของตนได้ย่อมไม่สามารถยอมรับความจริงได้ พวกที่ไม่สามารถยอมรับความจริงได้ย่อมเป็นศัตรูของความจริงมิใช่หรือ? (ใช่ พวกเขาคือศัตรูของความจริง) การจัดหมวดหมู่พวกที่เป็นศัตรูของความจริงว่าเป็นคนชั่วนั้นมากเกินไปหรือไม่? (ไม่) ไม่มากเกินไปเลย ดังนั้น หลักธรรมในการจัดการกับพวกเขาจึงถูกต้องเหมาะสมโดยสมบูรณ์
ง. การมีแนวโน้มที่จะแก้แค้น
สามัคคีธรรมเรื่องการสำแดงของผู้คนประเภทที่สาม—พวกที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ—ได้จบลงแล้ว นอกเหนือจากผู้คนประเภทนี้ ยังมีคนอีกมากมายที่อยู่ภายใต้หมวดหมู่ของคนชั่ว และคริสตจักรควรแยกแยะและเอาตัวคนชั่วทุกประเภทออกไป ต่อจากนี้พวกเราจะหารือถึงประเภทที่สี่ ในบรรดาคนชั่วหลากหลายประเภทที่คริสตจักรควรแยกแยะและเอาตัวออกไป คนชั่วประเภทที่สี่นี้แสดงให้เห็นถึงปัญหาและความยุ่งยากที่มีนัยสำคัญ คนเหล่านี้คือใคร? คนเหล่านี้คือพวกที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้น จากวลี “มีแนวโน้มที่จะแก้แค้น” ย่อมเห็นได้ชัดเจนว่าผู้คนเหล่านี้ไม่มีอะไรดีเลย พูดภาษาชาวบ้านก็คือ พวกเขาคือปลาเน่าในกระชัง หากตัดสินจากการสำแดงและการเผยของความเป็นมนุษย์ที่มีมาโดยตลอดของพวกเขา รวมถึงหลักธรรมของการปฏิบัติตนของพวกเขา คนเหล่านี้ไม่ได้มีจิตใจที่ดี พวกเขาคือ “คนที่ไม่น่าคบ” ตามที่พูดกันติดปาก พวกเรากล่าวว่าพวกเขาไม่ใช่คนประเภทที่มีจิตใจดี หรือกล่าวให้เจาะจงมากขึ้น บุคคลเหล่านี้ไม่ใช่คนที่มีจิตใจดี แต่มีความชั่วช้า ความมุ่งร้าย และความโหดร้าย เมื่อใครบางคนพูดหรือทำบางสิ่งบางอย่างที่กระทบถึงผลประโยชน์ หน้าตา หรือสถานะของบุคคลเหล่านี้ หรือเป็นสิ่งที่ล่วงเกินพวกเขา ประการหนึ่งคือพวกเขาเก็บงำความเป็นปฏิปักษ์เอาไว้ในหัวใจ อีกประการหนึ่งคือ พวกเขาปฏิบัติตนบนรากฐานของความเป็นปฏิปักษ์นี้ พวกเขาปฏิบัติตนด้วยจุดประสงค์และแนวทางของการระบายความเกลียดชังและบรรเทาความโกรธแค้นของตน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เรียกว่าการเสาะหาการแก้แค้น ในหมู่ผู้คนย่อมมีบุคคลเช่นนี้อยู่จำนวนหนึ่งเสมอ ไม่ว่าเป็นสิ่งที่ผู้คนอธิบายว่าเป็นการคิดเล็กคิดน้อย ชอบบงการ หรืออ่อนไหวมากเกินควร ไม่ว่าจะใช้คำใดอธิบายหรือสรุปความเป็นมนุษย์ของพวกเขา การสำแดงที่พบได้ทั่วไปเมื่อพวกเขาปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็คือ ใครก็ตามที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจทำร้ายหรือล่วงเกินพวกเขาต้องทนทุกข์และเผชิญกับผลพวงที่สาสม เหมือนที่คนบางคนกล่าวว่า “ถ้าล่วงเกินพวกเขา คุณจะเจอหนักกว่าที่คิดเสียอีก ถ้าคุณกระตุ้นหรือทำร้ายพวกเขา ก็อย่าคิดจะหนีไปได้ง่ายๆ” ในหมู่ผู้คนมีบุคคลเช่นนั้นอยู่ใช่หรือไม่? (ใช่) มีพวกเขาอยู่อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่สมควรโกรธหรือคิดเล็กคิดน้อยหรือไม่ พวกที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้นย่อมใส่เรื่องนี้ไว้ในแผนงานประจำวันของตน ปฏิบัติต่อเรื่องนี้ราวกับเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ผู้ใดก็ตามที่ล่วงเกินพวกเขา ย่อมเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และพวกเขาก็เรียกร้องให้มีการชดใช้อย่างสาสม ซึ่งเป็นหลักการในการปฏิบัติต่อผู้คนของพวกเขา เป็นการปฏิบัติต่อใครสักคนที่พวกเขาถือว่าเป็นศัตรู ยกตัวอย่างเช่น ในชีวิตคริสตจักร บางคนสามัคคีธรรมเรื่องสภาวะของพวกเขา หรือสามัคคีธรรมและแบ่งปันประสบการณ์ของพวกเขาตามปกติ หารือเกี่ยวกับสภาวะและความเสื่อมทรามของตน ในการทำเช่นนั้น พวกเขาเผลอไปพาดพิงภาวะและความเสื่อมทรามของผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ผู้พูดอาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ผู้ฟังกลับเก็บสิ่งนั้นไปใส่ใจ หลังจากได้ฟังแล้ว คนคนนี้กลับไม่สามารถเข้าใจหรือจัดการกับเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง และพวกเขาก็มีทีท่าว่าจะเกิดความคิดที่จะแก้แค้นขึ้นมา หากพวกเขาไม่ปล่อยมือจากเรื่องนี้และยืนกรานที่จะโจมตีหรือเสาะแสวงที่จะแก้แค้น ย่อมจะก่อให้เกิดความยุ่งยากต่องานของคริสตจักร ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องถูกจัดการอย่างทันท่วงที ตราบใดที่มีคนชั่วอยู่ในคริสตจักรก็ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการก่อกวน ดังนั้นเหตุการณ์ที่คนชั่วก่อกวนคริสตจักรต้องไม่ถูกมองเป็นเรื่องเล็กน้อย ตราบใดที่เจ้ากระตุ้นหรือทำร้ายพวกเขา ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ พวกเขาย่อมจะไม่ปล่อยมือโดยง่าย พวกเขาคิดในใจว่า “คุณพูดถึงความเสื่อมทรามของตัวคุณเอง แล้วมาพูดถึงฉันทำไม? คุณพูดเรื่องการรู้จักตัวเองของคุณ แล้วทำไมมาเปิดโปงฉันเล่า? การเปิดโปงความเสื่อมทรามของฉันทำให้ฉันเสียหน้าและเสียศักดิ์ศรี ทำให้ฉันกลายเป็นเป้าสายตาในหมู่พี่น้องชายหญิง ทำให้ฉันเสียเกียรติ และทำลายชื่อเสียงของฉัน เพราะฉะนั้นฉันจะหาทางแก้แค้นคุณ คุณจะต้องเจอยิ่งกว่าที่คุณคิด! อย่าคิดว่าฉันถูกรังแกได้ง่ายๆ อย่าคิดว่าคุณจะสามารถข่มเหงฉันได้เพียงเพราะสภาพครอบครัวของฉันย่ำแย่และสถานะทางสังคมของฉันไม่สูง อย่ามองว่าฉันเป็นคนที่ยอมใครง่ายๆ ฉันไม่ใช่คนที่จะมาล้อเล่นด้วยได้!” ไม่ต้องสนใจว่าพวกเขาจะดำเนินการแก้แค้นอย่างไร จงพิจารณาแค่ตัวผู้คนเหล่านี้ เมื่อพวกเขาเผชิญกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้—เรื่องที่พบได้ทั่วไปในชีวิตคริสตจักร—พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถปฏิบัติหรือทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ให้ถูกต้องได้เท่านั้น แต่พวกเขายังเกิดความเกลียดชังและรอโอกาสที่จะเสาะแสวงการแก้แค้น ถึงกับพึ่งพาวิธีการที่ไร้หลักธรรมเพื่อดำเนินการแก้แค้นของตน สิ่งนี้บอกว่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเป็นอย่างไร? (มุ่งร้าย) พวกเขาเป็นคนที่มีเมตตาหรือไม่? (ไม่ใช่) คนประเภทที่ดีที่สุดคือคนที่สามารถยอมรับความจริงได้ เมื่อพวกเขาได้ยินผู้อื่นสามัคคีธรรมและแบ่งปันประสบการณ์ของตน พวกเขาก็ใคร่ครวญว่า “ฉันมีความเสื่อมทรามแบบนี้เช่นกัน สิ่งที่พวกเขาบรรยายดูคล้ายสภาวะของฉันเลย ไม่ว่าพวกเขาจะตั้งใจเปิดโปงฉันหรือไม่ได้ตั้งใจพูดถึงบางสิ่งที่บังเอิญคล้ายคลึงกับสภาวะของฉันก็ตาม ฉันก็จะทำความเข้าใจเรื่องนั้นอย่างถูกต้อง—ฉันจะฟังดูว่าพวกเขาได้รับประสบการณ์นั้นมาอย่างไร พวกเขาแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสภาวะนี้อย่างไร รวมถึงพวกเขาปฏิบัติและเข้าสู่อย่างไร” นี่คือใครบางคนที่ยอมรับความจริงโดยแท้ ผู้ที่ด้อยกว่าเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้อาจจะคิดว่า “ทำไมอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเขายอมรับถึงคล้ายกับสภาวะของฉันเลย? พวกเขากำลังพูดถึงฉันอยู่หรือเปล่า? อย่างนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาพูดไป อย่างไรเสียฉันก็ไม่ได้ทนทุกข์กับความสูญเสียใดๆ และผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่น่าจะรู้อยู่แล้ว บางทีพวกเขาอาจจะแค่กำลังพูดถึงตัวเองและบังเอิญตรงกับสภาวะของฉัน พวกเราทุกคนต่างมีสภาวะแบบเดียวกัน” พวกเขาไม่จริงจังกับเรื่องนี้ ไม่ได้เก็บซ่อนความเกลียดชังเอาไว้ในหัวใจ และไม่มีความคิดที่จะแก้แค้น อย่างไรก็ตาม สำหรับคนชั่วที่ไม่มีเมตตานั้นแตกต่างออกไป ผู้อื่นจะมองเรื่องเดียวกันนี้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป จัดการและปฏิบัติต่อเรื่องดังกล่าวตามความเหมาะสม แน่นอนว่า คนดีที่ยอมรับความจริงจะแก้ไขเรื่องนี้ด้วยความกระตือรือร้นและเป็นบวก ส่วนคนธรรมดาทั่วไปนั้น ถึงแม้จะไม่ได้แก้ไขอย่างเป็นบวก แต่ก็ไม่ได้เก็บงำความเกลียดชังเอาไว้ ไม่ต้องพูดถึงการเสาะแสวงที่จะแก้แค้นเลย แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีเมตตาเหล่านั้น เรื่องธรรมดาสามัญอย่างแท้จริงเช่นนี้ก็สามารถทำให้พวกเขาเกิดความปั่นป่วนภายใน ทำให้พวกเขาไม่สามารถสงบใจลงได้ สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากพวกเขาไม่ใช่เรื่องธรรมดาหรือเป็นบวก แต่เป็นสิ่งชั่วช้าและเลวร้าย พวกเขาเสาะแสวงหาการแก้แค้น เหตุผลในการแก้แค้นของพวกเขาคืออะไร? พวกเขาเชื่อว่าผู้คนจงใจกล่าวหาพวกเขาด้วยความคิดเห็นที่มุ่งร้าย เปิดโปงสถานการณ์จริงเกี่ยวกับพวกเขา รวมไปถึงด้านที่อัปลักษณ์และความเสื่อมทรามของพวกเขา พวกเขาถือว่าสิ่งที่ผู้คนพูดออกมาเป็นความตั้งใจ จึงมองว่าคนเหล่านั้นเป็นศัตรูของตน จากนั้น พวกเขาก็รู้สึกว่าการแก้แค้นเพื่อสยบเรื่องดังกล่าวคือสิ่งที่ชอบด้วยเหตุผล โดยใช้วิธีการนานาประการเพื่อให้สัมฤทธิ์เป้าหมายในการแก้แค้นของพวกเขา นี่คืออุปนิสัยอันชั่วช้ามิใช่หรือ? (ใช่) ในชีวิตคริสตจักร เมื่อพี่น้องชายหญิงพูดถึงสภาวะของตน ผู้ฟังส่วนใหญ่สามารถเข้าใจและยอมรับเรื่องดังกล่าวจากพระเจ้าได้ มีเพียงบรรดาผู้ที่รังเกียจความจริงและมีอุปนิสัยเลวร้ายเท่านั้นที่เกิดความเป็นปฏิปักษ์และถึงกับเกิดกรอบความคิดที่จะแก้แค้นเมื่อได้ยินเรื่องดังกล่าว และเผยแก่นแท้ธรรมชาติของตนออกมาอย่างหมดเปลือก เมื่อเกิดกรอบความคิดที่จะแก้แค้น ก็ย่อมเกิดพฤติกรรมและการกระทำที่จะแก้แค้นตามมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเกิดการเสาะแสวงที่จะแก้แค้นขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนจะเป็นอย่างไร? ความสัมพันธ์ย่อมไม่ถูกควรอีกต่อไป แล้วใครคือเหยื่อตัวจริงในเรื่องนี้? (คนที่พวกเขาเสาะแสวงที่จะแก้แค้น) ถูกต้อง เหยื่อตัวจริงคือบรรดาผู้ที่สามัคคีธรรมคำพยานจากประสบการณ์ของตน แล้วจากนั้นพวกที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้นก็จะตัดสิน โจมตี และถึงกับกล่าวหาหรือว่าร้ายบรรดาผู้ที่พวกเขามองว่าเปิดโปงหรือเก็บงำความเป็นปฏิปักษ์กับตนเอาไว้ โดยใช้คำพูดหรือการกระทำในสถานการณ์ต่างๆ พวกที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้นไม่เพียงเก็บงำความเกลียดชังไว้ในหัวใจเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น พวกเขายังมองหา และถึงกับสร้างโอกาสทุกรูปแบบขึ้นมาเพื่อเสาะแสวงหาการแก้แค้นบรรดาผู้ที่เป็นเป้าหมายในการแก้แค้นของตน ผู้ที่พวกเขามองว่าเป็นปฏิปักษ์ และผู้ที่พวกเขามองว่าเป็นภัยต่อตนเอง ตัวอย่างเช่น ระหว่างการคัดเลือกผู้นำ หากคนที่พวกเขามองว่าเป็นปฏิปักษ์ตรงตามหลักธรรมในการใช้ผู้คนภายในพระนิเวศของพระเจ้า และมีคุณสมบัติที่จะได้รับเลือกเป็นผู้นำ ความเป็นปฏิปักษ์ดังกล่าวย่อมจะทำให้พวกเขาตัดสิน กล่าวโทษ และโจมตีคนคนนั้น พวกเขาอาจถึงกับกระทำการลับหลัง หรือทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นผลร้ายต่อคนคนนั้นเพื่อแก้แค้น สรุปก็คือ วิธีการแก้แค้นของพวกเขามีหลากหลาย ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจจะหาสิ่งต่างๆ มาใช้เป็นข้ออ้างเพื่อโจมตีใครบางคนและพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับคนเหล่านั้น กุข่าวลือเกี่ยวกับคนคนนั้นด้วยเรื่องเล่าที่เกินจริงและไม่มีมูล หรือเผยแพร่ความขัดแย้งระหว่างคนคนนั้นกับผู้อื่น พวกเขาอาจจะถึงกับกล่าวหาคนคนนั้นต่อผู้นำอย่างเป็นเท็จ โดยอ้างว่าคนคนนั้นไม่จงรักภักดี และต้านทานผ่านความคิดลบในการทำหน้าที่ของตน ทั้งหมดนี้คือการจงใจกุเรื่อง คือการปั้นน้ำเป็นตัวอย่างแท้จริง จากความสงสัยและความเข้าใจผิดของพวกเขาต่อคนคนนั้น ดูเอาเถิดว่ามีพฤติกรรมและการกระทำที่ไร้เหตุผลเกิดขึ้นมากมายเพียงใด แนวทางเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากธรรมชาติที่จะแก้แค้นของพวกเขาทั้งสิ้น อันที่จริงเมื่อคนคนนั้นแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ของตน คำพยานนั้นไม่ได้มุ่งเป้าไปที่พวกเขาเลย การแบ่งปันคำพยานนั้นไม่ได้มีเจตนาที่มุ่งร้ายต่อพวกเขาแต่อย่างใด ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเขารังเกียจความจริงและมีอุปนิสัยชั่วช้าซึ่งมีแนวโน้มที่จะแก้แค้น ทำให้พวกเขาไม่ยอมให้ผู้อื่นเปิดโปงตนเอง และไม่ปล่อยให้มีการหารือเกี่ยวกับการรู้จักตนเอง หารือเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทราม หรือพูดถึงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของคนเรา เมื่อมีการหารือถึงหัวข้อดังกล่าว พวกเขาก็เริ่มโกรธเกรี้ยว ทึกทักไปว่าตนเองกำลังถูกเพ่งเล็งและถูกเปิดโปง จนพัฒนาและเกิดเป็นกรอบความคิดที่จะแก้แค้น การสำแดงของคนประเภทที่ดำเนินการแก้แค้นนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงรูปการณ์แวดล้อมแบบใดแบบหนึ่ง เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนั้น? เพราะบุคคลเช่นนั้นมีธรรมชาติที่ชั่วช้า ใครก็ไม่อาจกระตุ้นหรือยั่วยุพวกเขาได้ พวกเขามีความก้าวร้าวตามธรรมชาติกับทุกคนและทุกสิ่งทุกอย่าง คล้ายกับพวกแมงป่องหรือตะขาบ ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าใครจะพูดจากระตุ้นหรือทำร้ายพวกเขาด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ตราบใดที่พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาสูญเสียความภาคภูมิใจและสูญเสียเกียรติ พวกเขาก็จะคิดหาหนทางในการกอบกู้เกียรติและความภาคภูมิใจของตน จนนำไปสู่การกระทำที่เป็นการแก้แค้นอย่างต่อเนื่อง
ต่อไปนี้เราจะสามัคคีธรรมถึงการสำแดงอื่นๆ ของผู้ที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้น บางคนถูกผู้นำตัดแต่งเพราะพวกเขาทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากิน ทำให้พวกเขาเก็บงำความไม่พอใจเอาไว้ บอกเราทีเถิดว่า การตัดแต่งพวกเขานั้นชอบด้วยเหตุผลใช่หรือไม่? (ใช่) การนี้ชอบด้วยเหตุผลและเป็นปกติโดยสมบูรณ์ หากเจ้าทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากิน ก่อให้เกิดความเสียหายต่องานของคริสตจักร และเจ้าไม่ปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับหลักธรรม แล้วใครบางคนลุกขึ้นเปิดโปงและตัดแต่งเจ้า นั่นย่อมชอบด้วยเหตุผล และเจ้าก็ควรยอมรับ อย่างไรก็ตาม พวกที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้นไม่เพียงไม่ยอมรับการนี้เท่านั้น แต่ยังเก็บงำความไม่พอใจเอาไว้ เมื่อผู้นำกลับไป พวกเขาก็เริ่มด่าทอว่า “คุณจะโอ้อวดไปเพื่ออะไร? คุณก็แค่มีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่เท่านั้นเองมิใช่หรือ? หากฉันมีตำแหน่งเช่นนั้นบ้าง ฉันคงจะทำได้ดีกว่าคุณอีก! ตัดแต่งฉันอย่างนั้นหรือ คุณคิดว่าคุณเป็นใคร? ฉันเกลียดคุณที่มาตัดแต่งฉัน ฉันขอแช่งให้คุณถูกรถชน ขอให้คุณดื่มน้ำแล้วสำลักน้ำตาย ขอให้คุณสำลักอาหารตาย ฉันขอแช่งให้คุณตายอย่างทุกข์ทรมาน! คุณกล้าตัดแต่งฉันหรือ? บนโลกนี้ไม่มีใครกล้าตัดแต่งฉันเลย!” เมื่อผู้นำเหล่านั้นถูกผู้นำระดับสูงกว่าตัดแต่งเพราะเรื่องบางเรื่อง พวกเขาก็สะใจกับเคราะห์ร้ายของผู้นำและมีความสุขอย่างสุดขีด ฮัมเพลง พลางคิดในใจว่า “เป็นอย่างไรเล่า? โอ้อวดดีนัก แล้วตอนนี้คุณก็กำลังเจอกรรมตามสนอง! ใครก็ตามที่ตัดแต่งฉัน ฉันจะทำให้พวกเขามีชีวิตที่น่าอนาถ!” เจ้าคิดอย่างไรกับผู้คนเช่นนั้น? (พวกเขามุ่งร้าย) ไม่ว่าการตัดแต่งคนเหล่านี้จะชอบด้วยเหตุผลเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถยอมรับได้ พวกเขาดึงดันที่จะโต้แย้งและปกป้องตนเอง หลังจากนั้นพวกเขาก็ยังคงทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินต่อไป ยังคงทำตัวดื้อรั้นแม้จะมีการตักเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในพระนิเวศของพระเจ้า หากเจ้ากระทำการในลักษณะสุกเอาเผากินอยู่เสมอ เจ้าย่อมจะถูกตัดแต่ง หากเจ้าทำงานของตนในทางโลกและเจ้าทำตัวสุกเอาเผากิน เจ้าอาจจะลงเอยด้วยการถูกไล่ออกและเสียแหล่งทำมาหากินของตนไป ส่วนใหญ่แล้วในพระนิเวศของพระเจ้า หลักธรรมคือการสามัคคีธรรมความจริงและเกื้อหนุนกันด้วยความรัก เปิดโอกาสให้ผู้คนส่วนมากไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของพวกเขาตามปกติ ในหมู่ผู้นำและคนทำงาน ที่จริงแล้วมีเพียงส่วนน้อยที่อาจจะเผชิญกับการตัดแต่งอย่างรุนแรง ผู้คนส่วนใหญ่ปฏิบัติตนตามความเชื่อ การตระหนักรู้ มโนธรรม และเหตุผล ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า และไม่ได้ทำผิดพลาดร้ายแรง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เผชิญกับการตัดแต่งอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม การถูกตัดแต่งเป็นสิ่งที่ดี มีกี่คนที่เผชิญกับการตัดแต่ง โดยเฉพาะการตัดแต่งจากเบื้องบน? นี่เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในการรู้จักตนเองและการเติบโตในชีวิต อย่างน้อยที่สุด ผู้เชื่อต้องเข้าใจนัยสำคัญของการถูกตัดแต่ง ยอมรับว่าการตัดแต่งเป็นสิ่งที่ดี ต่อให้การตัดแต่งจากคนบางคนจะไม่สอดคล้องกับหลักธรรมโดยสมบูรณ์ ทั้งยังปนเปไปด้วยความลำเอียงส่วนตัวและความหัวร้อน เจ้าก็ยังควรตรวจสอบตนเองเพื่อดูว่าการกระทำของเจ้าในแง่มุมใดที่ไม่สอดคล้องกับหลักธรรม และยอมรับอย่างเป็นบวก การทำเช่นนี้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อเจ้า ทว่าคนชั่วเหล่านี้ไม่สามารถยอมรับการตัดแต่งที่ชอบด้วยเหตุผลได้เสียด้วยซ้ำ ต่อให้พวกเขาไม่ลงมือเสาะแสวงหาการแก้แค้น หัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างมหาศาล และพวกเขาก็สาปแช่งและก่นด่า เมื่อคนที่ตัดแต่งพวกเขาเผชิญกับการตัดแต่งตนเองหรือพบเจอความทุกข์ยาก พวกเขาก็มีความสุขยิ่งกว่าเด็กที่ฉลองวันขึ้นปีใหม่เสียอีก นี่คือการสำแดงของคนชั่ว นอกจากนี้ยังมีบางคนที่ชอบแข่งขันกันในการทำหน้าที่ของพวกเขา คนเหล่านี้มักจะไม่ทำตามหลักธรรมและมักกระทำการอย่างสุกเอาเผากินอยู่บ่อยครั้ง จนนำไปสู่การปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่เกิดผล เมื่อผู้นำสามัคคีธรรมถึงประเด็นปัญหาของพวกเขาและตัดแต่งพวกเขา พวกที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้นย่อมไม่สามารถปฏิบัติต่อเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง ถึงแม้ในใจพวกเขาจะยอมรับความสุกเอาเผากินและการขาดหลักธรรมในการทำหน้าที่ของตน แต่พวกเขาก็ยังคงเกิดความคิดและเสาะแสวงที่จะแก้แค้นเพื่อตอบโต้การถูกตัดแต่งอยู่ดี ต่อมาพวกเขาก็เขียนจดหมายกล่าวหาผู้นำอย่างเป็นเท็จ หยิบเอาการปฏิบัติและการเผยความเสื่อมทรามบางประการของพวกเขามาทำให้ใหญ่โตเกินจริงและรายงานต่อระดับสูงขึ้นไป พยายามทำให้ผู้นำเหล่านั้นถูกปลด หากพวกเขาไม่สัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของตน พวกเขาก็จะบ่อนทำลายและก่อการรบกวนลับหลัง ต้านทานการจัดการเตรียมการของผู้นำอย่างหัวชนฝา พวกเขาไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักร หลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนด หรือประสิทธิผลในการทำหน้าที่ของตนเลย พวกเขาสนใจแค่เพียงการระบายความโกรธของตนเท่านั้น พวกเขาไม่ยอมฟังใคร ถึงกับไม่ยอมรับการตักเตือนจากผู้นำและคนทำงานเสียด้วยซ้ำ ถึงแม้พวกเขาจะไม่โต้เถียงหรือขัดขืนต่อหน้าคนเหล่านั้น แต่ลับหลังพวกเขาสามารถระบายความคิดลบ ทิ้งงานเพื่อต่อต้าน รวมถึงฉวยโอกาสจากช่องทางใดก็ตามเพื่อต่อต้านการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าหรือเพื่อต่อต้านผู้นำและคนทำงาน พวกเขาถึงกับเผยแพร่มโนคติอันหลงผิด พวกเขาเองก็คิดลบและไม่เต็มใจทำหน้าที่ของตน แต่พวกเขาก็ยังพยายามลากให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นคิดลบและหย่อนยาน อีกทั้งละเลยหน้าที่ของตน หลักธรรมของพวกเขาคืออะไร? “ฉันไม่กลัวตาย ฉันจำเป็นต้องหาใครสักคนเพื่อลากลงไปกับฉันด้วย ผู้นำตัดแต่งฉัน บอกว่าการปฏิบัติหน้าที่ของฉันไม่ถึงมาตรฐาน—เช่นนั้นฉันจะทำให้แน่ใจว่าทุกคนก็ไม่อาจทำหน้าที่ของพวกเขาให้ดีได้ หากฉันทำได้ไม่ดี พวกคุณก็จะไม่มีใครทำได้ทั้งนั้น! ผู้นำตัดแต่งฉัน แล้วพวกคุณทุกคนพากันหัวเราะเยาะฉัน ฉันจะให้พวกคุณทุกคนอยู่ไม่เป็นสุข!” เมื่อพวกเขาทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินหรือขัดต่อหลักธรรม และใครบางคนรายงานเรื่องนี้ต่อผู้นำ พวกเขาก็ไล่เบี้ยเรื่องนี้ว่า “ใครรายงานฉัน? ใครเอาเรื่องของฉันไปบอกผู้นำ? ใครมีความใกล้ชิดกับผู้นำ? ฉันจะหาให้เจอว่าใครรายงานฉันต่อผู้นำระดับสูงขึ้นไป ฉันจะไม่ไว้หน้าคนคนนั้น! ฉันจะไม่มีวันปล่อยมือจากเรื่องนี้!” พวกเขาไม่เพียงแต่เอ่ยคำพูดที่รุนแรงได้เท่านั้น แต่แน่นอนว่าพวกเขายังสามารถกระทำการข่มขู่เช่นนั้นได้ด้วย บุคคลเหล่านี้มีกลยุทธ์ที่ร้ายกาจและไม่ซื่อมากมายในการเสาะแสวงที่จะแก้แค้น ไม่ใช่แค่การฉวยโอกาสเพื่อตัดสินและกล่าวโทษผู้อื่นเท่านั้น บางคนจงใจขโมยสายชาร์จแล็ปท็อปของคนที่พวกเขาต้องการแก้แค้น ทำให้คนเหล่านั้นไม่สามารถชาร์จแล็ปท็อปของพวกเขาและขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา บางคนตั้งใจใส่เกลือจำนวนมากลงไปในอาหารของคนอื่นเพื่อทำให้อาหารนั้นกินไม่ได้ วิธีการแก้แค้นอันหยาบช้าเหล่านี้ที่พบได้ทั่วไปในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อก็เป็นสิ่งที่คนชั่วในคริสตจักรนำมาใช้เช่นกัน วิธีดำเนินการแก้แค้นของพวกเขาไปไกลเกินกว่าสิ่งเหล่านี้ มีกลยุทธ์ที่ไร้ศีลธรรมบางประการที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน พวกเราเพียงยกตัวอย่างทั่วๆ ไปเพียงสองสามตัวอย่างเท่านั้น ในหมู่คนเหล่านั้น บางคนจงใจที่จะสร้างปัญหา อุปสรรค และความลำบากยากเย็นแก่ผู้อื่น นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป ในทุกๆ กลุ่ม ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมและสภาพแวดล้อมอันหลากหลาย อุปนิสัยที่ชั่วช้าของพวกที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้นนั้นถูกเปิดโปงอยู่เป็นนิจ การสำแดงถึงการแก้แค้นของคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์นั้นยิ่งเห็นได้ชัดเจน ตราบใดที่มีคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์อยู่ในคริสตจักร ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรผู้เชื่อในพระองค์และไล่ตามเสาะหาความจริงโดยแท้ย่อมจะถูกรบกวน แต่ละวันที่คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ยังคงอยู่ย่อมเป็นวันที่คริสตจักรไม่รู้จักสันติสุข—คนดีจะถูกโจมตีและถูกกีดกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงจะเผชิญกับความเป็นปฏิปักษ์และการแก้แค้นจากคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทรมานและดำเนินการแก้แค้นผู้อื่นอย่างไร? ก่อนอื่น พวกเขามุ่งเป้าไปยังผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและปฏิบัติตามหลักธรรม คนชั่วเหล่านี้รับรู้อย่างชัดแจ้งว่ามีเพียงผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่เป็นภัยต่อพวกเขามากที่สุด ประการแรก ผู้ที่เข้าใจความจริงย่อมสามารถแยกแยะพวกเขาได้ ตราบใดที่พวกเขาทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ดี ผู้ที่เข้าใจความจริงก็จะมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง ประการที่สอง เมื่อมีผู้ที่เข้าใจความจริงอยู่ พวกเขาจะค่อนข้างถูกจำกัดในการทำความชั่ว จนยากที่พวกเขาจะสัมฤทธิ์เป้าหมายของตน จากแง่มุมนี้ มีเพียงผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่เป็นผู้ปกป้องงานของคริสตจักร เมื่อมีผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่ คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ย่อมไม่กล้าที่จะทำตัวเผด็จการ และต้องมีการยับยั้งชั่งใจอยู่บ้าง ด้วยเหตุนั้น บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงจึงเป็นหนามยอกอกคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ เป็นหอกข้างแคร่ และนั่นคือสาเหตุที่พวกเขาคิดหาหนทางในการดำเนินการแก้แค้น
เมื่อคนชั่วดำเนินการแก้แค้น พวกเขาย่อมแสดงอุปนิสัยอันชั่วช้าออกมา ทำตัวไร้เหตุผลและขาดความมีเหตุมีผล ผู้ที่ได้ใช้เวลากับพวกเขาสักระยะหนึ่งและเข้าใจพวกเขาย่อมหวาดกลัวพวกเขาในระดับหนึ่ง การสนทนากับพวกเขาพึงอาศัยความระมัดระวังและความสุภาพอย่างที่สุด ต้องแสดงความเคารพในระดับที่มากเกินควร คนเหล่านั้นต้องคอยเอาอกเอาใจและอำนวยความสะดวกให้พวกเขาอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังไม่สามารถชี้ให้พวกเขาเห็นถึงประเด็นปัญหาหรือข้อผิดพลาดที่มีได้โดยตรง กลับกัน คนเหล่านั้นต้องหารือประเด็นเหล่านี้ทางอ้อมด้วยการหว่านล้อม แล้วหลังจากพูดจบ คนเหล่านั้นก็ต้องยกย่องพวกเขาโดยกล่าวว่า “ถึงแม้คุณจะมีข้อตำหนิหรือความขาดตกบกพร่องเช่นนี้ คุณก็เรียนรู้ทักษะต่างๆ ได้เร็วกว่าพวกเรา ความสามารถทางวิชาชีพของคุณแข็งแกร่งกว่าคนอื่น และประสิทธิผลในงานของพวกคุณก็สูงกว่าพวกเรา ฉันมองว่าข้อผิดพลาดของคุณเป็นจุดแข็ง” คนเหล่านั้นถึงกับต้องประจบประแจงพวกเขา เหตุใดคนเหล่านั้นจึงทำเช่นนี้? เพราะคนเหล่านั้นกลัวการแก้แค้นจากพวกเขา ในหนทางนี้ คนชั่วเหล่านี้ย่อมเกิดความพึงพอใจ และรู้สึกว่าในหัวใจนั้นสงบลง เพื่อหลีกเลี่ยงการแก้แค้นของพวกเขา ผู้คนส่วนใหญ่กลัวที่จะหยิบยกประเด็นปัญหาใดๆ ที่ตรวจพบขึ้นมาคุยกับพวกเขาต่อหน้า และพวกเขาก็ไม่กล้ารายงานประเด็นปัญหาเหล่านี้ แม้แต่ในยามที่เห็นชัดว่าพวกเขากำลังสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และงานของคริสตจักรกำลังล่าช้าเพราะความดื้อดึงและเอาแต่ใจอย่างไม่ยั้งคิดของพวกเขา หรือแม้แต่ในยามที่สังเกตเห็นความบิดเบือนบางอย่างในทิศทางและหลักการของพวกเขา ก็ไม่มีใครกล้าที่จะคัดค้านหรือรายงานพวกเขาต่อผู้นำระดับสูงขึ้นไปเลย เนื่องจากอุปนิสัยที่ชั่วช้าของพวกเขา และความเป็นมนุษย์ของพวกเขาซึ่งมีแนวโน้มที่จะแก้แค้นของพวกเขา คนอื่นๆ จึงค่อนข้างหวาดกลัวพวกเขา รู้สึกโกรธแต่ก็กลัวเกินกว่าจะพูดออกไป การสนทนากับพวกเขาต้องสุภาพและมีชั้นเชิงเป็นพิเศษ ทั้งยังต้องแสดงท่าทีเมตตา อ่อนโยน และสุภาพกับพวกมากกว่าปกติ เมื่อผู้คนพูดกับพวกเขาด้วยความเคารพและความสุภาพ อ่อนน้อมต่อพวกเขา พวกเขาย่อมรู้สึกสบายใจอยู่ภายใน อย่างไรก็ตาม หากใครบางคนตรงไปตรงมา เปิดโปงประเด็นปัญหาของพวกเขาและให้ข้อเสนอแนะ พวกเขาก็จะเริ่มไม่พอใจ มองว่านี่เป็นการไม่เคารพ มองว่าผู้อื่นมีข้อคัดค้านหรือมีความเป็นศัตรูกับพวกเขา เรื่องนี้กระตุ้นให้พวกเขาเสาะแสวงการแก้แค้นและทรมานคนคนนั้น พวกเขาต้องทำลายคนคนนั้นและทำให้คนคนนั้นเสื่อมเสียชื่อเสียง หากคนคนนั้นตกอยู่ในกำมือของพวกเขา คนคนนั้นจะไม่พบจุดจบที่ดี ผู้คนเช่นนั้นน่ากลัวใช่หรือไม่? (ใช่) หากเจ้าไม่เข้าใจพวกเขาและล่วงเกินพวกเขาเข้าจริงๆ พวกเขาจะเก็บความเคียดแค้นต่อเจ้าเอาไว้ ครุ่นคิดที่จะแก้แค้นเจ้าแม้กระทั่งในยามกินและยามนอน เมื่อเจ้าอยู่ในสายตาของพวกเขาย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอความยุ่งยาก เพราะพวกเขามุ่งมั่นที่จะเสาะแสวงการแก้แค้น แม้ภายนอกพวกเขาอาจจะพูดกับเจ้าเหมือนก่อน แต่ทันทีที่พวกเขาครุ่นคิดที่จะเสาะแสวงการแก้แค้น ทุกสิ่งที่เจ้าเคยพูดหรือทำมาก่อนหน้านี้ย่อมกลายเป็นเครื่องมือโจมตีสำหรับพวกเขา พวกเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าในฐานะศัตรู ดำเนินการแก้แค้นไปทีละน้อยจนกว่าพวกเขาจะรู้สึกว่าได้แก้แค้นมากพอและพึงพอใจโดยสมบูรณ์ นี่คือผลจากการคบหาคนชั่ว
จากพฤติกรรมนานาประการ และจากหลักธรรมรวมถึงวิธีการประพฤติปฏิบัติตนและการกระทำของผู้มีแนวโน้มที่จะแก้แค้น พวกเขาเป็นภัยคุกคามต่อคนเกือบทุกคน ยกเว้นบรรดาผู้ที่มีจิตใจดีและมีอัธยาศัยไมตรีต่อทุกคน และผู้ที่ขาดหลักธรรมเวลาจัดการกับใครก็ตาม—บุคคลเช่นนั้นย่อมปลอดภัยเมื่ออยู่ท่ามกลางคนชั่วช้า อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีสำนึกของมโนธรรมหรือความยุติธรรมบ้างเล็กน้อยย่อมรู้สึกถูกคุกคามในระดับที่ต่างกันไม่มากก็น้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้น ในกรณีร้ายแรง พวกเขาอาจเผชิญกับการทำร้ายร่างกาย หรือแม้กระทั่งการข่มขู่เอาชีวิต ส่วนในกรณีที่เบาลงมา พวกเขาอาจตกเป็นเป้าของการโจมตีด้วยคำพูด การสบประมาท หรือการใส่ร้ายป้ายสี สิ่งเหล่านี้เป็นการเผยและการสำแดงโดยรวมของอุปนิสัยอันชั่วช้าของผู้มีแนวโน้มที่จะแก้แค้น จากการสำแดงโดยรวมของพวกเขา ผู้คนประเภทนี้ยังก่อการรบกวนในหมู่พี่น้องชายหญิงและภายในคริสตจักรอีกด้วย เกือบทุกคนที่ปฏิสัมพันธ์กับคนเจ้าคิดเจ้าแค้นย่อมตกเป็นเป้าหมายของการแก้แค้น และตกเป็นเหยื่อของพวกเขาแทบทุกครั้ง พวกที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้นมีอุปนิสัยชั่วช้า พวกเขาคือระเบิดเวลาที่สามารถระเบิดได้ทุกเมื่อ ถึงแม้พวกเขาจะสามารถทำตามฝูงชนในการทำหน้าที่และสามารถใช้ชีวิตคริสตจักรที่เป็นปกติได้ แต่เมื่อตัดสินจากความเป็นมนุษย์ของพวกเขา คนเหล่านี้อาจเสาะแสวงที่จะแก้แค้นและเป็นภัยคุกคามต่อผู้อื่นได้ทุกเมื่อ และทำให้ผู้คนหวาดกลัวและระแวดระวังพวกเขา นี่เป็นการรบกวนผู้คนส่วนใหญ่แล้วมิใช่หรือ? (ใช่) เพื่อหลีกเลี่ยงการล่วงเกินพวกเขา ทำให้พวกเขาพอใจ เพื่อหลีกเลี่ยงการผูกใจเจ็บและการแก้แค้นของพวกเขา ผู้คนต้องระวังสีหน้าของพวกเขา และฟังความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของพวกเขา พยายามทำความเข้าใจเจตนา เป้าหมาย และทิศทางของพวกเขาในยามที่พวกเขาพูดจา จากมุมมองนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เพียงถูกพวกเขาก่อกวนเท่านั้น แต่ยังถูกพวกเขาควบคุมด้วยมิใช่หรือ? (ใช่) เพราะฉะนั้น เมื่อตัดสินจากธรรมชาติของเรื่องนี้ บุคคลที่เจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนั้นก็คือคนชั่วไม่ใช่หรือ? (ใช่) เห็นได้ชัดเจนมากว่าพวกเขาควรถูกระบุว่าเป็นคนชั่ว หากคนเราพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ของบุคคลเช่นนั้น คนส่วนใหญ่ย่อมหวาดกลัวที่จะพูดความจริงเกี่ยวกับพวกเขา และจะบ่ายเบี่ยงทุกคำถามเกี่ยวกับพวกเขาด้วยคำตอบแบบเลี่ยงๆ อย่างเช่น “ก็ใช้ได้นะ” ไม่กล้ารายงานปัญหาของพวกเขา อีกทั้งไม่กล้าพูดถึงหรือประเมินพวกเขา นี่คือสถานการณ์ที่เป็นปัญหามิใช่หรือ? บางคนกล่าวว่า “คนชั่วเช่นนั้นสามารถเสาะแสวงการแก้แค้นได้ทุกที่และทุกเวลา ใครจะกล้าไปยั่วยุพวกเขาเล่า? ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขากล่าวอ้างเสมอว่ามีเส้นสายทั้งในแวดวงที่ผิดกฎหมายและถูกกฎหมาย ขู่ว่าหากใครล่วงเกินพวกเขา คนคนนั้นย่อมจะมีจุดจบที่ไม่ดี พวกเขาจะสอนบทเรียนให้กับคนคนนั้น และทำให้ครอบครัวของคนคนนั้นตายอย่างน่าอนาถ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครกล้ายั่วยุพวกเขา ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ส่วนพวกเราก็จะได้แต่หวังสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง” เจ้าเห็นหรือไม่ว่าสถานการณ์เช่นนั้นก่อตัวขึ้นในคริสตจักร ซึ่งมีความหมายโดยแท้ว่าพวกเขาได้ควบคุมผู้คนเหล่านี้ไว้แล้ว เนื่องจากพบเห็นอุปนิสัยอันชั่วช้าของพวกเขาในการเสาะแสวงการแก้แค้นด้วยตาตัวเอง ผู้คนจึงไม่กล้ากล่าวโทษหรือตัดแต่งพวกเขา และไม่กล้าพูดถึงการประเมินที่แท้จริงที่ตนมีต่อพวกเขา ต้องเลี่ยงบทสนทนาเกี่ยวกับพวกเขาด้วยกลัวการล่วงเกินพวกเขา และแม้แต่การพูดอย่างเจาะจงถึงการสำแดงที่แท้จริงของพวกเขาลับหลังก็เป็นเรื่องที่น่าหวาดหวั่นยิ่ง ผู้คนกลัวสิ่งใด? พวกเขากลัวว่าคำพูดของตนจะไปถึงหูของคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ซึ่งจะเสาะหาการแก้แค้นพวกเขา หลังจากพูดออกไปแล้ว พวกเขาก็ตบหน้าผากตัวเองและกล่าวว่า “ไม่นะ วันนี้ฉันพูดจาไม่เข้าท่าออกไป คอยดูได้เลย ฉันจะต้องทนทุกข์เพราะเรื่องนั้นแน่ ทำไมฉันถึงยั้งปากตัวเองไม่อยู่สักที?” นับจากนั้น พวกเขาก็ใช้ชีวิตอยู่ในความกลัวและความวิตกกังวลตลอดเวลา ใช้ชีวิตด้วยความหวาดระแวง เฝ้าสังเกตอยู่เสมอเวลาที่อยู่ใกล้คนคนนั้นด้วยความสงสัยว่า “เขารู้เรื่องที่ฉันพูดหรือเปล่า? เรื่องนั้นไปถึงหูเขาหรือยัง? ท่าทีที่เขามีต่อฉันยังเหมือนเดิมใช่ไหม?” ยิ่งใคร่ครวญมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ และยิ่งเป็นเช่นนี้ไปนานเท่าไร ความหวาดกลัวของพวกเขาก็เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจว่าการหลีกเลี่ยงคนคนนั้นไปเลยย่อมดีกว่า โดยคิดว่า “ฉันไม่อาจเสี่ยงที่จะยั่วยุเขา แต่อย่างน้อยฉันก็สามารถหลีกเลี่ยงเขาได้ ไม่ว่าเขารู้เรื่องที่ฉันพูดออกไปแล้วหรือไม่ ฉันก็แค่อยู่ห่างจากเขาได้ไม่ใช่หรือ?” ความหวาดกลัวนี้ท่วมท้นจนพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะเข้าชุมนุมเสียด้วยซ้ำ โดยหลีกเลี่ยงสถานที่ใดก็ตามที่คนชั่วช้าคนนี้อาจจะอยู่ แม้แต่สถานที่ที่ต้องทำหน้าที่ของตน พวกเขาก็รู้สึกกลัวอย่างสุดขีด
พวกคนชั่วผู้มีแนวโน้มที่จะแก้แค้นควรถูกจัดการอย่างไร? (เอาตัวพวกเขาออกไป) เรื่องนี้เรียบง่ายมาก เพียงหกพยางค์—เอาตัวพวกเขาออกไป—แล้วก็จบ หากพวกเขาถูกเอาตัวออกไปและผู้คนส่วนใหญ่ต่างเฉลิมฉลอง รู้สึกพึงพอใจอย่างลึกซึ้ง เช่นนั้นการเอาตัวพวกเขาออกไปย่อมเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ ในระหว่างการชุมนุม การปรากฏตัวของคนชั่วย่อมทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ถูกจำกัดในขณะสามัคคีธรรม พวกเขากลัวว่าคำพูดที่ผิดพลาดอาจจะล่วงเกินคนชั่ว ดังนั้นพวกเขาจึงระมัดระวังและหลีกเลี่ยงพวกคนชั่วในขณะพูดจากัน ในระหว่างการชุมนุมจึงเกิดกฎที่ไม่ได้พูดออกมาข้อหนึ่งว่า หากใครบางคนส่งสัญญาณด้วยสายตา หัวข้อก็จะเปลี่ยนไปทันที นี่คือสภาวะของเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อผู้ที่มีแนวโน้มในการแก้แค้นถูกเอาตัวออกไป คริสตจักรย่อมสงบสุข ชีวิตคริสตจักรกลายเป็นปกติ และความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนก็คืนสู่ความเป็นปกติเช่นกัน บัดนี้พี่น้องชายหญิงย่อมสามารถแบ่งปันและอ่านอธิษฐานพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างเป็นอิสระ รวมทั้งแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ของพวกเขาได้อย่างเสรีโดยไม่ถูกผู้ใดควบคุม ไม่ต้องกลัวใคร และไม่ต้องระวังสีหน้าของผู้ใด จากผลลัพธ์นี้ การเอาตัวคนชั่วดังกล่าวออกไปเป็นเรื่องถูกต้องแล้วใช่หรือไม่? (ใช่) ใช่แน่นอน พวกเขาควรถูกเอาตัวออกไป หากไม่เอาตัวพวกเขาออกไป ชีวิตจะกลายเป็นเรื่องที่ยากเกินทนสำหรับทุกคน และหลายคนย่อมจะหวาดกลัวเกินกว่าจะเข้าร่วมการชุมนุม คนขลาดบางคนอาจถึงกับทนทุกข์จากฝันร้าย ฝันว่าถูกปีศาจชั่วบีบคออยู่เสมอ พวกเขาระมัดระวังจนเกินเหตุในระหว่างชุมนุมตลอดเวลา ไม่เคยกล้าพูดเลย ไม่สามารถรู้สึกเป็นอิสระและมีเสรีภาพได้ ตั้งแต่ที่คนชั่วถูกเอาตัวออกไป พวกเขาได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ตอนนี้พวกเขากล้าพูดในระหว่างการชุมนุม เริ่มกระตือรือร้นมากขึ้นในระหว่างสามัคคีธรรมและรู้สึกมีเสรีภาพและเป็นอิสระ นี่คือสิ่งที่ดีมิใช่หรือ? (ใช่) การแยกแยะบุคคลที่เจ้าคิดเจ้าแค้นซึ่งมีอุปนิสัยอันชั่วช้าเช่นนั้นเป็นเรื่องง่าย โดยปกติแล้ว หลังจากปฏิสัมพันธ์กับใครบางคนไม่ต่ำกว่าหกเดือน ทุกคนก็ควรรับรู้และมองเห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นคนประเภทใด สิ่งนี้เริ่มเด่นชัดเมื่อใช้เวลาร่วมกับพวกเขาสักระยะหนึ่ง ผู้นำและคนทำงานในคริสตจักรไม่ควรนิ่งเฉยในการจัดการคนชั่วเหล่านั้น การไม่ทำตัวนิ่งเฉยหมายถึงอะไร? หมายถึงการไม่รอจนกระทั่งคนเหล่านั้นทำให้ทุกคนโกรธเคืองด้วยการชักพาคนบางคนให้หลงผิดและกระทำพฤติกรรมที่ไม่ดีเสียก่อนจึงจะจัดการพวกเขา—นั่นจะเป็นการนิ่งเฉยมากเกินไป แล้วเวลาที่ดีที่สุดในการจัดการกับคนชั่วคือเมื่อใด? เมื่อมีผู้คนจำนวนเล็กน้อยได้รับความเสียหายแล้ว รวมทั้งรู้สึกรังเกียจและระแวดระวังพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อคนเหล่านั้นถูกระบุว่าเป็นคนชั่วโดยสมบูรณ์ ถึงตอนนี้ ควรจัดการและเอาตัวพวกเขาออกไปทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้มีคนถูกทำร้ายไปมากกว่านี้ และเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนขลาดหวาดกลัวจนเสียขวัญหรือสะดุดล้มเพราะพวกเขา สิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดในที่นี้คืออะไร? หากปล่อยให้คนชั่วก่อให้เกิดการรบกวนในคริสตจักรนานเกินไป ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดก็คือพวกเขาควบคุมคริสตจักรและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร หากมาถึงขั้นนี้ ทุกคนย่อมทนทุกข์ เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายต่อทุกคน เมื่อมีคนจำนวนหนึ่งถูกทำร้าย หรือเมื่อใครบางคนเกิดความรังเกียจอย่างรุนแรงและมองเห็นคนเช่นนั้นอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว โดยระบุว่าพวกเขาคือคนชั่วผู้มีแนวโน้มที่จะแก้แค้น เช่นนั้นผู้นำคริสตจักรก็ควรเอาตัวพวกเขาออกไปอย่างทันท่วงที ผู้นำคริสตจักรต้องไม่รอจนกระทั่งคนชั่วได้กระทำชั่วอย่างมากมายและกระตุ้นสาธารณชนให้เกิดความไม่พอใจเสียก่อนจึงตัดสินใจกระทำการ—แบบนั้นย่อมจะเป็นการนิ่งเฉยมากเกินไป และผู้นำคริสตจักรเช่นนั้นย่อมจะไม่มีประโยชน์เลยมิใช่หรือ? (ใช่) ในการดำเนินงานดังกล่าว ผู้นำคริสตจักรควรมีความรู้สึกที่ไวต่อสภาวะ การสำแดง และการเผยของบุคคลเช่นนั้นเป็นพิเศษ มองเห็นอุปนิสัยของพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่งโดยไว จากนั้นก็กำหนดว่าพวกเขาคือคนชั่วที่ควรถูกเอาตัวออกไป และจัดการกับพวกเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากไม่สามารถกำหนดได้ตั้งแต่ต้น เช่นนั้นก็จำเป็นต้องมุ่งเน้นที่การสังเกต ใส่ใจต่อคำพูด พฤติกรรม และกิริยาท่าทางของพวกเขาอย่างใกล้ชิด เข้าใจความคิดและแนวโน้มการกระทำของพวกเขา เมื่อพบว่าพวกเขาตั้งใจที่จะดำเนินการแก้แค้นก็ควรใช้มาตรการเร่งด่วนเพื่อเอาตัวพวกเขาออกไป เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้คนได้รับอันตรายและทนทุกข์จากการแก้แค้นเพิ่มขึ้น
ผู้นำคริสตจักรบางคนกล่าวว่า “พวกเราไม่กลัวคนชั่ว นอกจากยำเกรงพระเจ้าแล้ว พวกเราไม่เกรงกลัวใครทั้งนั้น คนชั่วจะไปมีความหมายอะไรสำหรับพวกเรา? พวกเราไม่กลัวแม้กระทั่งซาตาน และพวกเราก็ไม่กลัวการถูกจับกุมและข่มเหงจากพญานาคใหญ่สีแดง แล้วทำไมพวกเราถึงควรกลัวคนชั่วเล่า? คนชั่วเป็นเพียงปีศาจตัวเล็กเท่านั้น จะไปกลัวพวกเขาทำไม? พวกเราก็จะแค่เก็บพวกเขาไว้ในคริสตจักรและปล่อยให้พี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ทนทุกข์กับการถูกทำร้าย หลังจากทนทุกข์ พวกเขาย่อมจะมีวิจารณญาณแยกแยะมากขึ้น และเมื่อมีวิจารณญาณแยกแยะ พวกเขาก็จะไม่ถูกคนชั่วพวกนั้นผูกมัดหรือบีบคั้นอีกต่อไป แบบนั้นคงจะเยี่ยมทีเดียว!” คนส่วนมากจะเกิดวุฒิภาวะเช่นนี้ได้หรือไม่? (ไม่ได้) พวกเขาไม่สามารถทำได้ ความเชื่อของพวกเขาอ่อนแอเกินไป พวกเขาเข้าใจความจริงน้อยเกินไป และวุฒิภาวะของพวกเขาก็น้อยเกินไป พวกเขาหลีกเลี่ยงคนชั่วทุกครั้งที่พบเจอคนเหล่านั้น ไม่กล้าที่จะล่วงเกินคนเหล่านั้น นอกจากการกลัวตายและการให้คุณค่ากับชีวิตของตนเองแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ยังปกป้องผลประโยชน์ทางเนื้อหนังอันหลากหลายของตนด้วย พวกเขาไม่สามารถได้รับวิจารณญาณแยกแยะหรือเรียนรู้บทเรียนจากสิ่งต่างๆ ที่คนชั่วทำได้ ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้ว แนวคิดนี้จึงไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และไม่อาจให้ผลลัพธ์ใดได้เลย หากคนชั่วหนึ่งคนปรากฏตัวในคริสตจักร เมื่อคนส่วนใหญ่รับรู้และกำหนดว่าคนคนนั้นเป็นคนชั่ว จะมีคนที่มีสำนึกของความยุติธรรมกี่คนที่จะลุกขึ้นและตีตัวออกหากคนชั่วคนนั้น ต่อสู้กับเขา และปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า? คนแบบนั้นมีสัดส่วนเท่าใด? ร้อยละสิบหรือไม่? หากไม่ใช่ร้อยละสิบ เช่นนั้นก็ร้อยละห้าหรือไม่? (ราวๆ นั้น) นั่นหมายความว่าในกลุ่มคนยี่สิบคน อาจจะมีหนึ่งคนที่ลุกขึ้นต่อสู้กับคนชั่ว เพื่อเปิดโปงและท้าทายเขาด้วยพระวจนะของพระเจ้า ปะทะคารม และเอาตัวเขาออกไปจากคริสตจักร บุคคลเช่นนั้นคือวีรบุรุษในหมู่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร คือบุคคลที่น่ายกย่องของคริสตจักร ผู้นำและคนทำงานบางคนกลัวที่จะจัดการคนชั่ว ผู้คนเช่นนั้นเหมาะสมกับบทบาทหน้าที่ของพวกเขาหรือไม่? พวกเขามีคุณสมบัติในการเป็นพยานให้พระเจ้าหรือไม่? เมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องคนชั่วที่จำเป็นต้องถูกเอาตัวไปจากคริสตจักร พวกเขาก็กล่าวว่า “การเอาตัวเขาออกไปนั้นลำบากเล็กน้อย ฉันค่อนข้างคุ้นเคยกับเขามาก่อน เขารู้ว่าฉันอาศัยอยู่ที่ไหนและในครอบครัวของฉันมีใครเชื่อในพระเจ้าบ้าง หากฉันขับไล่เขา เขาจะเสาะแสวงการแก้แค้นฉันแน่” พวกเจ้าคิดว่า ผู้คนเช่นนั้นสมควรที่จะเป็นผู้นำและคนทำงานหรือไม่? (ไม่) หลังจากพบว่ามีคนชั่วที่จำเป็นต้องเอาตัวออกไป สิ่งแรกที่พวกเขานึกถึงคือผลประโยชน์ของตนเอง กลัวการแก้แค้นของคนชั่ว พวกเขาไม่อาจคำนึงถึงเรื่องที่ว่า คนชั่วที่รู้จักสถานที่ชุมนุมและรู้ข้อมูลติดต่อพี่น้องชายหญิงบางคนสามารถขายคริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิงเพื่อประโยชน์ส่วนตนหลังจากถูกเอาตัวออกไป รวมถึงควรป้องกันเรื่องนี้อย่างไร สิ่งที่พวกเขากังวลเป็นหลักไม่ใช่ผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า แต่คือความกลัวว่าคนชั่วที่รู้สถานการณ์ทางครอบครัวของพวกเขาอาจจะหักหลังเพื่อประโยชน์ส่วนตน และส่งผลกระทบอันเป็นลบต่อครอบครัวของพวกเขา ผู้นำและคนทำงานเช่นนั้นจะเป็นพยานหรือไม่? (ไม่) ผู้นำและคนทำงานบางคนเห็นคนชั่วประพฤติตนเป็นเผด็จการและพยายามควบคุมคริสตจักร แต่พวกเขาก็ไม่กล้าพูดออกไป ตรงกันข้าม พวกเขากลับประนีประนอมและหลบเลี่ยง ไม่กล้าจัดการกับคนชั่ว เมื่อพวกเขาพบเห็นคนชั่ว พวกเขาก็รู้สึกหวาดหวั่นราวกับพวกเขาพบเห็นปีศาจชั่วที่มีสามหัวและหกแขน ไม่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าได้ ในขณะเดียวกัน พี่น้องชายหญิงธรรมดาบางคนก็มีสำนึกของความยุติธรรมอยู่บ้าง มีความกล้าหาญและความเชื่อที่จะลุกขึ้นเปิดโปงคนชั่วหลังจากค้นพบคนชั่วเหล่านั้น โดยไม่กลัวว่าคนชั่วจะเสาะหาการแก้แค้นพวกเขา อย่างไรก็ตาม ในคริสตจักรมีบุคคลเช่นนั้นอยู่น้อยเหลือเกิน ร้อยละห้าที่พวกเจ้าทั้งหมดเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ก็อาจเป็นการพูดเกินจริง ไม่ใช่การคาดการณ์ด้วยความระมัดระวัง จากมุมมองนี้ ผู้คนส่วนใหญ่มีท่าทีอย่างไรต่อบุคคลที่มีอุปนิสัยชั่วช้า ซึ่งมีแนวโน้มที่จะแก้แค้น? (ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมปกป้องตนเอง) ความคิดแรกของพวกเขาคือการปกป้องตนเอง โดยไม่คำนึงว่าจะลุกขึ้นต่อสู้กับคนชั่วเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าและพี่น้องชายหญิงอย่างไร มุ่งเน้นที่การปกป้องตนเองเพียงอย่างเดียว การปกป้องตนเองนี้ชี้ให้เห็นปัญหาใด? (ผู้คนเช่นนั้นเห็นแก่ตัวมาก) ประการหนึ่ง การนี้สะท้อนถึงความเป็นมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวอย่างล้ำลึก และอีกประการหนึ่งคือ การนี้แสดงให้เห็นว่าความเชื่อในพระเจ้าของผู้คนส่วนใหญ่นั้นอ่อนแอเกินไป พวกเขากล่าวอ้างว่า “พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง พระเจ้าคือองค์เกื้อหนุนของพวกเรา” แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความเป็นจริง พวกเขากลับรู้สึกว่าตนไม่สามารถพึ่งพาพระเจ้าได้ และต้องพึ่งพาตนเอง ให้ความสำคัญกับการปกป้องตนเองเป็นอันดับแรก ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นปัญญาสูงสุด ความหมายโดยนัยก็คือ “ไม่มีใครสามารถปกป้องฉันได้ แม้แต่พระเจ้าก็ไม่น่าไว้วางใจ พระเจ้าทรงอยู่ที่ไหน? พวกเรามองไม่เห็นพระองค์เลย! ยิ่งไปกว่านั้น ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าจะทรงคุ้มครองฉันหรือไม่ หากพระองค์ไม่ทรงคุ้มครองฉันเล่า?” ความเชื่อของผู้คนช่างน่าเวทนาเหลือเกิน พวกเขาป่าวประกาศอยู่ตลอดเวลาว่า “พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง พระเจ้าคือองค์เกื้อหนุนของพวกเรา” แต่เมื่อสถานการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น พวกเขาก็เสาะแสวงที่จะปกป้องตนเองเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถลุกขึ้นต่อสู้กับซาตานและตั้งมั่นในคำพยานของตนได้ ไม่มีความเชื่อแม้เพียงเท่านี้ ความเชื่อของผู้คนน่าเวทนานัก เรื่องนี้เปิดโปงความเชื่อของผู้คนโดยสมบูรณ์เช่นกัน พวกเขามีวุฒิภาวะน้อยแค่นั้น สำหรับคนชั่วเหล่านั้นที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้น หากมีคนไม่กี่คนที่ต้องการเปิดโปงพวกเขาแต่รู้สึกโดดเดี่ยวและไร้กำลัง และกลัวว่าจะถูกพวกคนชั่วกดขี่ พวกเขาก็ควรรวมตัวกับผู้นำและคนทำงานต่างๆ หรือรวมตัวกับพี่น้องชายหญิงที่มีวิจารณญาณแยกแยะ หลังจากที่พวกเขาร่วมมือกัน พวกเขาย่อมจะมีความมั่นใจในชัยชนะอย่างแน่นอน จากนั้นพวกเขาก็สามารถเปิดโปงและชำแหละการกระทำและพฤติกรรมของคนชั่วเหล่านั้น เปิดโอกาสให้ผู้คนส่วนใหญ่แยกแยะและมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคนชั่วได้อย่างชัดเจน เพื่อที่ทุกคนจะสามารถรวบรวมความคิดและหัวใจให้เป็นหนึ่งเดียว และร่วมมือกันเอาตัวคนชั่วออกไป ก่อนหน้านี้ พวกเจ้ากล่าวว่า เมื่อคนชั่วปรากฏตัว มีคนหนึ่งคนในหมู่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรยี่สิบคนที่อาจจะมีสำนึกของความยุติธรรมที่จะพูดจาอย่างเป็นธรรม และกล้าลุกขึ้นเอาตัวคนชั่วเช่นนั้นออกไป หนึ่งในยี่สิบคนนั้นค่อนข้างน้อยเกินไป หากคริสตจักรมีคนอยู่เพียงสิบคน พวกเขาจะชำระคนชั่วออกไปอย่างไร? พวกเขาย่อมจะไม่สามารถทำได้ สิบคนนั้นจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคนชั่ว และสู้ทนกับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมจากคนชั่วเหล่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ หากมุ่งหมายให้มีคนหนึ่งในสิบ หรือแม้กระทั่งหนึ่งในห้ามีความกล้าหาญในการลุกขึ้นต่อสู้กับคนชั่วก็คงจะยอดเยี่ยมทีเดียว! การเสาะแสวงที่จะปกป้องตนเองอยู่เป็นนิจไม่เพียงส่งผลให้สูญเสียการเป็นพยานต่อหน้าซาตานเท่านั้น แต่ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือการเสียโอกาสที่จะบรรลุถึงความจริงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ในคริสตจักรที่มีคนชั่วอยู่หนึ่งคน อย่างน้อยบางคนจะถูกทำร้าย หากมีคนชั่วสองคน คนส่วนใหญ่ย่อมจะได้รับอันตราย และหากศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งครองอำนาจ โดยมีผู้สมรู้ร่วมคิดและมีลูกสมุนอยู่ภายใต้พวกเขาหลายคน เช่นนั้นแล้ว ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักรทั้งหมดย่อมจะได้รับอันตรายโดยถ้วนหน้า เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่? (ใช่) คนหนึ่งคนที่ลุกขึ้นต่อต้านคนชั่วก็เป็นตัวแทนของกำลังหนึ่งส่วน ขณะเดียวกัน คนสิบคนที่ลุกขึ้นต่อต้านคนชั่วก็เป็นตัวแทนของกำลังสิบส่วน แล้วพวกเจ้าคิดว่า พวกคนชั่วหวาดกลัวคนหนึ่งคนหรือคนสิบคนมากกว่ากัน? (คนสิบคน) เช่นนั้นแล้ว หากผู้คนจำนวนยี่สิบคน สามสิบคน หรือห้าสิบคนลุกขึ้นต่อต้านคนชั่วกันทุกคน ท้ายที่สุดแล้วใครจะเป็นผู้ชนะ? (พี่น้องชายหญิง) สุดท้ายแล้วพี่น้องชายหญิงย่อมจะชนะ นั่นทำให้การเอาตัวคนชั่วออกไปง่ายดายขึ้นมากมิใช่หรือ? พละกำลังนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนคน—แนวคิดที่เรียบง่ายนี้เป็นสิ่งที่พวกเจ้าทุกคนควรเข้าใจให้ชัดเจน ด้วยเหตุนั้น การแยกแยะและการเอาตัวคนชั่วออกไปจึงไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำหรือคนทำงานคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่รับผิดชอบร่วมกันของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักรทุกคน ด้วยความพยายามของผู้นำและคนทำงาน พร้อมด้วยการให้ความร่วมมือของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในการเอาตัวคนชั่วออกไป ทุกคนจึงสามารถเพลิดเพลินกับวันเวลาที่ดีได้ หากคนชั่วไม่ถูกเอาตัวออกไป และถูกปล่อยให้อยู่ในคริสตจักรด้วยความหวังว่าพวกเขาจะกลับใจ แต่หลังจากหกเดือนหรือหนึ่งปีก็ยังไม่เห็นการปรับปรุงตัว และพวกยังคงก่อการรบกวนที่เหลือทนต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต่อไป นี่คือผลลัพธ์ของการแสดงความกรุณาต่อคนชั่ว การปล่อยให้คนชั่วประพฤติตนเป็นเผด็จการและควบคุมคริสตจักรย่อมเทียบได้กับการยกตัวเองให้คนชั่ว รวมถึงส่งพี่น้องชายหญิงไปถึงมือของคนเหล่านั้น ปล่อยให้พวกเขาควบคุมอย่างเสรีและทำอันตรายอย่างร้ายแรงต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร การเข้าใจและบรรลุถึงความจริงภายใต้สภาพแวดล้อมที่คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์กุมอำนาจเป็นเรื่องที่ง่ายหรือไม่? (ไม่ง่าย) เวลาเป็นสิ่งล้ำค่า การเอาตัวคนชั่วออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ย่อมทำให้เจ้าสามารถกู้คืนสันติสุขและเพลิดเพลินกับชีวิตคริสตจักรที่ถูกควรได้เร็วที่สุด และเข้าใจความจริงได้มากขึ้น หากเจ้าไม่เอาตัวคนชั่วออกไป พวกเขาจะก่อให้เกิดการรบกวนและการทำลายล้างในหมู่ผู้คนราวกับหมาบ้า พูดและทำตามใจปรารถนา สิ่งนี้พรากเวลาในการบรรลุความจริงไปจากเจ้า ซึ่งหมายความว่าเวลาและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าถูกควบคุมโดยคนชั่ว นี่เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี? (สิ่งที่ไม่ดี) ในทางทฤษฎี ทุกคนต่างรู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่เมื่อเผชิญกับคนชั่วที่ก่อกวนคริสตจักร พวกเขาก็ไม่คิดเช่นนี้อีกต่อไป กลับมุ่งเน้นเพียงการไม่หลงกลอุบายและไม่ได้รับอันตรายร้ายแรงจากคนชั่ว หากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทั้งหมดในคริสตจักรหวาดกลัวคนชั่วเช่นนี้ คริสตจักรจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์อย่างง่ายดาย และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็จะถูกคนเหล่านี้ควบคุมเช่นเดียวกัน แล้วพวกเขาจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าหรือไม่? ยากที่จะกล่าว หากคริสตจักรไม่มีคนที่เข้าใจความจริงสักสองหรือสามคน ทั้งยังไม่มีหัวใจและจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวกันในการเป็นพยานและรับใช้พระเจ้า คริสตจักรนั้นก็สิ้นหวัง และนั่นย่อมเป็นสถานการณ์ที่น่าเศร้าเป็นอย่างยิ่ง
การมีแนวโน้มที่จะแก้แค้นเป็นการสำแดงประการหนึ่งของการประพฤติปฏิบัติที่ชั่ว และนี่คือหนึ่งในพฤติกรรมและการสำแดงที่เกิดขึ้นจากอุปนิสัยอันชั่วช้า เมื่อบุคคลเช่นนั้นแสดงพฤติกรรมที่เจาะจงเช่นนี้ออกมา พวกเขาก็ควรถูกระบุว่าเป็นคนชั่ว แน่นอนว่า เนื่องจากคนบางคนนั้นไม่สลักสำคัญ ขาดความเข้าใจเชิงลึก หรือเป็นผู้เชื่อใหม่ที่ไม่เข้าใจความจริง พวกเขาจึงจ้องจับผิดคนอื่นในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เก็บซ่อนความเกลียดชังต่อผู้ที่ตนไม่พอใจหรือทำร้ายคนเหล่านั้นเสมอ หรือครั้งหนึ่งเคยใช้วิธีการบางอย่างเพื่อดำเนินการแก้แค้นต่อบุคคลบางคน—แต่เมื่อได้ยินว่าพวกที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้นคือคนชั่วและถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร พวกเขาก็เปลี่ยนความคิด แอบกลับตัวอยู่ภายในใจ และแสดงออกถึงความพอประมาณและการยับยั้งชั่งใจบางอย่างในพฤติกรรมของพวกเขา บอกเราทีเถิดว่า ผู้คนเช่นนั้นถือเป็นหนึ่งในบรรดาคนชั่วหรือไม่? (ไม่) สิ่งบ่งชี้ในเรื่องนี้คืออะไร? (ความสามารถในการกลับตัวของพวกเขา) ความสามารถในการกลับตัวของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงสิ่งใด? แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้ นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ดี เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่าพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้? เพราะหลังจากได้ยินความจริงในเรื่องนี้ และตระหนักว่าการเสาะหาการแก้แค้นเป็นการสำแดงของคนชั่ว พวกเขาก็คิดทบทวนสภาวะอันเสื่อมทรามของตนเอง ยอมรับแก่นแท้ที่เสื่อมทรามของตน แล้วจากนั้นก็กลับใจต่อพระเจ้า ปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้า และยับยั้งพฤติกรรมของตน นี่คือการสำแดงของการยอมรับความจริง คนชั่วที่พวกเรากล่าวถึงในที่นี้ไม่ยอมรับความจริง ไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างชัดเจนเพียงใด พวกเขาก็ไม่ยอมรับ พวกเขายังคงดื้อดึง ไม่ยอมฟังใครทั้งสิ้น ต่อให้เจ้าเตือนพวกเขาว่า “การกระทำของคุณจะนำไปสู่การถูกเอาตัวออกไป” พวกเขาก็ไม่สนใจและทำในหนทางของตนต่อไปโดยที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้ เมื่อเจ้าเปิดโปงพวกเขา พวกเขาก็ไม่ยอมรับความผิดของตนเอง เมื่อเจ้าบอกพวกเขาว่าพวกเขาคือใครบางคนที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้น พวกเขาคือคนชั่ว และควรถูกเอาตัวออกไป พวกเขาก็จะยังไม่ละทิ้งการทำชั่วของตน และจะไม่กลับตัวอย่างแน่นอน คนเหล่านี้คือคนประเภทใด? พวกเขาคือผู้ที่รังเกียจความจริง พวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลย—ไม่ว่าแก่นนิสัยของพวกเขาจะถูกระบุว่าเป็นอย่างไร การทำชั่วของพวกเขาจะถูกเปิดโปงอย่างไร หรือพวกเขาถูกจัดการอย่างไร พวกเขาก็ยังคงไม่สะทกสะท้าน จะไม่ก้มหัวยอมรับความผิดของตนอย่างแน่นอน และจะไม่ปล่อยไปโดยเด็ดขาด นี่คือการไม่สามารถกลับตัวได้ แก่นแท้ของการที่คนเราไม่กลับตัวคืออะไร? คือการไม่ยอมรับความจริง หากพวกเขาสามารถยอมรับถ้อยแถลงที่ถูกต้องแม้เพียงประโยคเดียว หรือยอมรับความจริงได้สักแง่มุมหนึ่ง พวกเขาย่อมจะไม่เดินต่อไปบนเส้นทางที่ผิดโดยไม่หันหลังกลับ พวกเขาจะหันหลังกลับมา ยอมรับความผิดพลาดของตน และปล่อยมือจากสิ่งที่เคยยืนกรานได้ในระดับหนึ่ง ด้วยเหตุที่พวกเขาเป็นคนชั่ว ด้วยเหตุที่พวกเขาเป็นบุคคลชั่วที่มีอุปนิสัยชั่วช้า หลังจากพฤติกรรมของการเสาะแสวงที่จะแก้แค้นของพวกเขาเกิดขึ้นมาจากอุปนิสัยดังกล่าว พวกเขาย่อมไม่เพียงไม่ยอมรับสิ่งที่ถูกเปิดโปงโดยพระวจนะของพระเจ้า ไม่ยอมรับการถูกตัดแต่ง หรือการระบุลักษณะประเภทนี้เท่านั้น แต่ในทางกลับกัน พวกเขายังยืนยันที่จะเดินไปตามทางของตนจนถึงปลายทาง พวกเขาไม่ได้วางแผนที่จะยอมรับการระบุลักษณะหรือการเปิดโปงนี้ และพวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะยอมรับความเสื่อมทรามของตน แน่นอนว่า เมื่อไม่ยอมรับความเสื่อมทราม พวกเขาย่อมไม่ได้วางแผนที่จะทิ้งพฤติกรรมและการกระทำในการเสาะแสวงการแก้แค้นของตน รวมถึงแสวงหาหลักธรรมในการปฏิบัติตนด้วยเช่นกัน พวกเขาคือคนชั่วทุกกระเบียดนิ้วโดยแท้จริง คนชั่วเช่นนั้นคือหมู่มารมิใช่หรือ? (ใช่) พวกเขาคือหมู่มารที่มีแก่นแท้ของซาตานอย่างแท้จริง เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้ เหตุใดพวกเขาจึงเปลี่ยนแปลงไม่ได้? การไม่ยอมรับความจริงอย่างเด็ดขาดของพวกเขาคือต้นตอ พวกเขาปฏิเสธแม้กระทั่งความจริงเพียงเล็กน้อย ถ้อยแถลงที่ถูกต้อง คำพูดที่เป็นบวก หรือสิ่งที่เป็นบวก ต่อให้พวกเขายอมรับด้วยคำพูดว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงและสิ่งที่เป็นบวก แต่หัวใจของพวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด และพวกเขาก็ไม่ได้วางแผนที่จะปฏิบัติหรือมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าเพื่อเปลี่ยนแปลงหนทางในการประพฤติปฏิบัติตนและการทำสิ่งทั้งหลาย บางครั้งพวกเขาอาจจะยอมรับด้วยวาจาว่าการกระทำของพวกเขาตั้งอยู่บนปรัชญาของซาตานโดยสิ้นเชิง แต่พวกเขาก็จะยังไม่ยอมรับความจริงอย่างเด็ดขาด ผู้ใดก็ตามที่สามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาย่อมพบกับความรังเกียจอย่างถึงที่สุด และพบแม้กระทั่งความเกลียดชังและการตัดสินของพวกเขา อีกทั้งผู้ใดก็ตามที่เปิดโปงและแยกแยะพวกเขา ย่อมกลายเป็นเป้าหมายของความเกลียดชังและการแก้แค้นของพวกเขา ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม—ไม่เว้นแม้กระทั่งพ่อและแม่ของพวกเขาเอง พวกเขาเกินกว่าจะไถ่ได้มิใช่หรือ? (ใช่) พวกเขาเกินกว่าจะไถ่ การเอาตัวพวกเขาออกไปเป็นเรื่องที่น่าเสียดายหรือไม่? (ไม่) บุคคลเช่นนั้นต้องถูกขับไล่หรือถูกเอาตัวออกไป โดยพื้นฐานแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการสำแดงของพวกที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้น สิ่งเหล่านี้คือลักษณะนิสัยของพวกเขา อุปนิสัยของพวกเขา หนทางและวิธีในการทำสิ่งทั้งหลายของพวกเขา และกระบวนความคิดของพวกเขา รวมถึงท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง—โดยหลักแล้วเป็นเช่นนี้ ผลกระทบที่พวกเขามีต่อคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงนั้นได้รับการกล่าวถึงไปแล้ว เพราะฉะนั้น จึงไม่จำเป็นต้องสามัคคีธรรมเรื่องนี้อีก สามัคคีธรรมเรื่องการสำแดงของผู้คนประเภทที่สี่—พวกที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้น จึงจบลงเพียงเท่านี้
จ. การไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้
ต่อไปพวกเราจะสามัคคีธรรมถึงผู้คนประเภทที่ห้า นั่นคือ ผู้ที่ไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้ นี่คือปัญหาร้ายแรงใช่หรือไม่? หากมองจากมุมมองตามตัวอักษรแล้ว การไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้ดูเหมือนจะไม่ใช่ประเด็นที่สลักสำคัญ บางคนอาจมีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับการระบุลักษณะบุคคลเหล่านี้เป็นคนชั่วว่า “ในเมื่อผู้คนมีปาก พวกเขาจึงถูกกำหนดมาให้พูดได้ทุกที่และทุกเวลา พวกเขาอาจจะสนทนาเรื่องราวต่างๆ ได้ทุกที่และทุกเวลา การจำแนกผู้ที่ไม่สามารถระวังคำพูดของตนให้อยู่ในหมู่คนชั่วที่ต้องถูกเอาตัวออกไปนั้นออกจะเกินเหตุไปหน่อยไม่ใช่หรือ?” พวกเจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้? (หากพวกเขาก่อให้เกิดการรบกวนและการขัดขวางต่อชีวิตคริสตจักรหรือต่องานของคริสตจักร จนนำไปสู่ผลเสียที่ตามมา พวกเขาย่อมถูกเอาตัวออกไปเช่นกัน) ปัญหาของผู้คนเช่นนั้นไม่เกี่ยวกับการไม่ระวังคำพูดของตน แต่นี่คือปัญหาของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา หากพวกเขาก่อให้เกิดการรบกวนต่อพี่น้องชายหญิง ต่อชีวิตคริสตจักร และต่องานของคริสตจักร หรือคำพูดของพวกเขากลายเป็นการทรยศและขายคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตน และถึงกับนำความอับอายมาสู่พระนิเวศของพระเจ้าและพระนามของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว บุคคลดังกล่าวก็ต้องถูกจัดการ พวกเรามาหารือเรื่องการสำแดงของผู้ที่ไม่สามารถระวังคำพูดของตนกันก่อนเถิด จากนั้นจึงหารือถึงวิธีจัดการพวกเขา ผู้คนที่ไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้นั้นสามารถเรียกว่า “ปากพล่อย” ได้หรือไม่? (ได้) เป็นเช่นนั้นหรือ? นี่คือลักษณะนิสัยของผู้คนเช่นนั้นใช่หรือไม่? การปากพล่อยนั้นหมายถึงการทำตัวโง่เขลาและไม่ตระหนักว่าสิ่งใดควรพูดหรือไม่ควรพูด โดยพูดทุกสิ่งที่นึกขึ้นได้โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาใช่หรือไม่? นี่คือความหมายของการไม่ระวังคำพูดของตนใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) บางคนเก่งเรื่องการพูดและการสื่อสาร พวกเขาเป็นคนตรงไปตรงมา รวมทั้งค่อนข้างเรียบง่ายและซื่อสัตย์ พวกเขามักจะแบ่งปันความคิดและแนวคิดภายในใจของตน การเผยความเสื่อมทรามของตนเอง สิ่งที่พวกเขาได้รับประสบการณ์มา แม้แต่ความผิดพลาดของตนกับผู้อื่น อย่างไรก็ตาม บุคคลเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องโง่เขลาหรือไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้ ดูเหมือนพวกเขาจะพูดทุกเรื่อง ค่อนข้างเรียบง่าย และซื่อสัตย์ แต่เมื่อเป็นประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ประเด็นที่อาจนำความอับอายมาสู่พระเจ้าหรือพระนิเวศของพระเจ้า หรือประเด็นที่อาจข้องเกี่ยวกับการทรยศพี่น้องชายหญิงหรือคริสตจักรจนทำให้พวกเขากลายเป็นยูดาส พวกเขากลับไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว นี่เรียกว่าการระวังคำพูดของตน เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าคนที่ตรงไปตรงมา คนปากพล่อย หรือคนที่พูดเก่งจะไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้ การไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้ในที่นี้หมายถึงอะไร? การไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้หมายถึงการพูดอย่างไร้หลักธรรม และการพูดอย่างไม่ยั้งคิดโดยไม่คำนึงถึงผู้ฟัง โอกาส หรือบริบท นอกจากนี้ ยังหมายถึงการไม่รู้จักปกป้องงานของคริสตจักรและผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าเลย หรือการไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องชายหญิงหรือต่อชีวิตคริสตจักรหรือไม่ และแค่พูดไปเรื่อย ผลที่ตามมาจากการ “แค่พูดไปเรื่อย” คืออะไร? คือการทรยศผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าและผลประโยชน์ของพี่น้องชายหญิงโดยไม่ตั้งใจ เพราะการพูดโดยไม่ยั้งคิดและไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้ พวกเขาจึงเปิดช่องให้ผู้ไม่มีความเชื่อโจมตีพระนิเวศของพระเจ้า ยอมให้ผู้ไม่มีความเชื่อล้อเลียนพี่น้องชายหญิงบางคน รวมถึงปล่อยให้ผู้ไม่มีความเชื่อและคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้ารู้สิ่งต่างๆ มากมายที่ไม่สมควรรู้โดยไม่เจตนา ผลก็คือ ผู้คนเหล่านี้แสดงความคิดเห็นอย่างเสรีและใช้คำพูดที่ไม่ให้ความเคารพต่อเรื่องราวทั้งหลายของพระนิเวศของพระเจ้าและกิจธุระภายในของคริสตจักร รวมทั้งกล่าวสิ่งที่เป็นการให้ร้ายและหมิ่นประมาทพระเจ้า พวกเขาอาจถึงกับกุข่าวลือเกี่ยวกับพี่น้องชายหญิง คริสตจักร และงานของพระนิเวศของพระเจ้า ก่อให้เกิดผลร้ายตามมา นี่คือการก่อกวนงานของพระนิเวศของพระเจ้าและถือว่าเป็นการทำชั่ว คนบางคนให้ความสนใจกับการเรียนรู้และสืบค้นเป็นพิเศษว่าใครคือผู้นำและคนทำงานในคริสตจักร ที่อยู่ของครอบครัวพวกเขา ข้อมูลส่วนตัวของพี่น้องชายหญิง งานด้านการเงินและการบัญชีของคริสตจักร บุคลากรฝ่ายบัญชี รวมถึงรายชื่อของคนที่ถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปจากคริสตจักรแล้ว นอกจากนี้ พวกเขายังมุ่งเน้นที่การเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการเตรียมงานของคริสตจักรเป็นพิเศษ พฤติกรรมดังกล่าวน่าสงสัยอย่างยิ่ง และอาจบ่งชี้ได้ว่าพวกเขาเป็นหนอนบ่อนไส้ หรือเป็นสายลับของพญานาคใหญ่สีแดง หากรายละเอียดเหล่านี้รั่วไหลไปสู่หมู่มารที่ไม่มีความเชื่อ ทำให้พญานาคใหญ่สีแดงรู้เรื่องเหล่านี้ ผลที่ตามคงจะเกินคาดคิด บางคนอาจแบ่งปันข้อมูลนี้หรือข้อมูลบางส่วนแก่สมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อของตนด้วยความโง่เขลาและไม่รู้ความ ซึ่งต่อมาได้เผยแพร่หรือมอบข้อมูลดังกล่าวให้แก่สายสืบของพญานาคใหญ่สีแดง นี่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงและนำเรื่องยุ่งยากมากมายมาสู่งานของคริสตจักร พร้อมด้วยผลพวงที่เกินจินตนาการ เรื่องภายในคริสตจักรเหล่านี้มักจะถูกแบ่งปันกับสมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่ออย่างไม่ตั้งใจโดยใครบางคนที่เปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง และพวกเขาก็ถึงกับแบ่งปันเรื่องเหล่านั้นกับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงที่ไม่มีความเชื่อของตน เรื่องนี้นำไปสู่การรั่วไหลของเรื่องภายในคริสตจักรสู่โลกภายนอกอย่างต่อเนื่องผ่านคำพูดของพวกเขา ผลพวงจากการรั่วไหลเหล่านี้คืออะไร? สมาชิกครอบครัว ญาติพี่น้อง และเพื่อนฝูงที่ไม่มีความเชื่อหลายคนของพวกเขากลับล่วงรู้ถึงกิจธุระภายในคริสตจักรมากมายที่แม้แต่พี่น้องชายหญิงบางคนก็อาจจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำ หรือที่อยู่บ้านของพี่น้องชายหญิง ชื่อจริงของพวกเขา และเรื่องราวส่วนตัวเกี่ยวกับชีวิตสมรสของพวกเขา เรื่องในคริสตจักรเหล่านี้รั่วไหลออกไปได้อย่างไร? ผู้ไม่มีความเชื่อมารู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร? มี “คนส่งข่าว” อยู่ในคริสตจักรนั่นเอง! คนเช่นนั้นเรียกว่าอะไร? (พวกที่ไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้) ถูกต้อง พวกเขาแบ่งปันทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตคริสตจักรประจำวัน หรือเรื่องที่เกี่ยวกับพี่น้องชายหญิงกับสมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อ อย่างเช่น พี่น้องหญิงคนหนึ่งหย่าร้าง สามีของพี่น้องหญิงอีกคนหนึ่งสูญเงินไปกับธุรกิจหรือเธอมีลูกชายที่ไม่เชื่อฟัง หรือพี่น้องชายหญิงคนหนึ่งซื้อบ้าน เป็นต้น พวกเขายังพูดถึงพี่น้องชายหญิงที่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุมและกลายเป็นยูดาส หรือคนที่ตั้งมั่นในคำพยานของตน และถึงกับพูดเรื่องที่ผู้นำคริสตจักรตัดแต่งพวกเขา บทสนทนาที่บ้านของพวกเขานั้นวนเวียนอยู่แต่เรื่องเหล่านี้ สมาชิกครอบครัวของพวกเขาถึงกับมอบคำแนะนำและกลยุทธ์เพื่อช่วยให้พวกเขาต่อต้านผู้นำ พี่น้องชายหญิง หรือใครก็ตามในคริสตจักรที่เข้ากันไม่ได้กับพวกเขา เป็นอุปสรรค หรือเคยเปิดโปงพวกเขา ในการชุมนุมท่ามกลางพี่น้องชายหญิง บุคคลเช่นนั้นดูเชื่อฟังและประพฤติตัวดีเป็นพิเศษ พูดน้อย และสนทนาไม่เก่ง ไม่เคยพูดถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ไม่เคยสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจที่ได้จากประสบการณ์ของตน และแทบจะไม่อธิษฐานเลยด้วยซ้ำ พวกเขาปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงด้วยสำนึกของการระแวดระวัง ในขณะที่ปฏิบัติต่อสมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อของตนราวกับคนเหล่านั้นเป็นสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาสาธยายรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับคริสตจักรให้สมาชิกครอบครัวของตนฟังโดยไม่มีตกหล่น แบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างกับคนเหล่านั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งการตีพิมพ์หนังสือพระวจนะของพระเจ้าของคริสตจักร ใครมีความสามารถพิเศษอย่างไรในคริสตจักร และอื่นๆ—เรื่องเหล่านี้ล้วนถูกนำมาสนทนากับสมาชิกครอบครัวของตนและผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าจุดประสงค์ที่พวกเขาทำเช่นนั้นคืออะไร ผลที่ตามมาในท้ายที่สุดคือ พวกเขาทรยศงานของคริสตจักรและพี่น้องชายหญิง พวกเขารู้ถึงสถานการณ์ของสมาชิกคนสำคัญทุกคนในคริสตจักร แน่นอนว่า คนเหล่านี้ก็เป็นเป้าหมายของการหารือและตัดสินลับหลังของพวกเขาเช่นกัน และอาจกลายเป็นคนที่พวกเขาแอบทรยศเสียด้วยซ้ำ หากใครสักคนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขา พวกเขาก็จะสรรเสริญคนคนนั้นต่อหน้าครอบครัวของตนอย่างไม่หยุดหย่อน ในทางกลับกัน หากใครสักคนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับพวกเขา พวกเขาก็จะด่าทอคนคนนั้นต่อหน้าครอบครัวของตนอย่างไม่หยุดปาก จนถึงกับทำให้ครอบครัวของพวกเขาร่วมวงด่าทอ เรียกพี่น้องชายหญิงดังกล่าวว่าคนโง่ หรือกล่าวว่าคนคนนั้นไม่เอาไหนเลย บุคคลเหล่านี้ดูหมิ่นพี่น้องชายหญิงด้วยคำพูดปรามาสทุกชนิดที่ผู้ไม่มีความเชื่อใช้ พวกเขาเป็นเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อโดยแท้จริง พวกเขาไม่มีอะไรดีเลย และบุคคลเช่นนั้นควรถูกเอาตัวออกไปในทันที
ในชนชาติของพญานาคใหญ่สีแดง ข้อมูลของทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าควรถูกเก็บเป็นความลับ และแม้แต่ในยามที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรย้ายไปต่างประเทศ ข้อมูลของพวกเขายังคงต้องเป็นเรื่องส่วนตัว นี่เป็นเพราะสายลับของพญานาคใหญ่สีแดงกระจายตัวอยู่ทุกประเทศในโลก แทรกซึมอยู่ทุกที่ด้วยจุดมุ่งหมายเฉพาะในการรวบรวมข้อมูลของผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ในจีนแผ่นดินใหญ่ สถานการณ์ของพี่น้องชายหญิงที่ติดตามพระเจ้านั้นยากลำบากและอันตรายมาก แม้แต่ในยามที่พวกเขาไปต่างประเทศ ก็มีความอันตรายอยู่ในระดับหนึ่ง หากสายลับของพญานาคใหญ่สีแดงรวบรวมข้อมูลของพวกเขาได้ ประการหนึ่งคือมีความเสี่ยงที่จะถูกส่งตัวข้ามแดน และอีกประการหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดสมาชิกครอบครัวและญาติพี่น้องของพวกเขาในจีนแผ่นดินใหญ่อาจติดร่างแหไปด้วย ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและด้วยความเคารพต่อแต่ละบุคคล ทุกคนจึงควรเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของพี่น้องชายหญิงไว้เป็นความลับ และไม่ควรแบ่งปันข้อมูลกับผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า แม้แต่ในหมู่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ข้อมูลส่วนบุคคลก็ไม่ควรถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นอย่างง่ายดายหากปราศจากความยินยอมของบุคคลนั้น สิ่งที่ห้ามทำโดยเด็ดขาดคือการปฏิบัติต่อข้อมูลเกี่ยวกับพี่น้องชายหญิง งานของคริสตจักร หน้าที่ที่ตนปฏิบัติ ประสบการณ์ที่แบ่งปันในสามัคคีธรรม หรือรายละเอียดอื่นๆ ดังกล่าวในฐานะหัวข้อสนทนาเพื่อแบ่งปันกับผู้ไม่มีความเชื่อในเวลาว่างของตน ผลที่ตามมาจากการสนทนาเรื่องเหล่านี้กับคนเหล่านั้นคืออะไร? มีผลลัพธ์ที่เป็นบวกบ้างหรือไม่? (ไม่) ผลที่ตามมาจากการสนทนาดังกล่าวก็คือ พวกมารที่ไม่มีความเชื่อเหล่านี้ฉวยโอกาส ล้อเลียน และตัดสิน ถึงกับสาปแช่งและใส่ร้ายป้ายสีเสียด้วยซ้ำ นี่เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่? (ไม่) พวกเจ้าควรตรวจสอบว่าภายในคริสตจักรมีบุคคลที่มีสิ่งจูงใจแอบแฝงหรือไม่ ผู้ที่สนทนารายละเอียดดังกล่าว อย่างเช่น สถานการณ์ที่แท้จริงของงานของคริสตจักรและชีวิตคริสตจักร—รวมถึงผู้ใดเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ผู้ใดไล่ตามเสาะหาความจริง ผู้ใดทำหน้าที่ของตน ผู้ใดไม่ทำหน้าที่ของตน ผู้ใดมักจะคิดลบ ผู้ใดมีความเชื่อที่เลอะเลือน และแม้กระทั่งข้อมูลส่วนบุคคลและสถานการณ์เกี่ยวกับพี่น้องชายหญิง—กับผู้ไม่มีความเชื่อและสมาชิกครอบครัวที่ไม่เชื่อของตนอย่างไม่มีข้อจำกัดหรือไม่ จงค้นหาบุคคลดังกล่าว มีเรื่องที่แม้แต่ผู้คนในคริสตจักรก็ไม่จำเป็นต้องรู้ ทว่าสมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อของบุคคลดังกล่าวกลับรู้เรื่องกิจธุระเหล่านี้มากกว่าผู้ที่อยู่ในคริสตจักร—ทั้งยังรู้เรื่องเหล่านั้นอย่างชัดเจนกว่าอีกด้วย เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นี่คือ “ผลงาน” ของหนอนบ่อนไส้ภายในคริสตจักร หนอนบ่อนไส้ผู้นี้ปฏิบัติต่อสมาชิกครอบครัวของตนราวกับพวกเขาเป็นผู้นำคริสตจักร รายงานทุกเรื่องที่เขาเห็นในคริสตจักรต่อ “ผู้นำ” ของเขาที่บ้าน ด้วยความพยายามที่จะประจบประแจงและสร้างสายสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับครอบครัวของตน เห็นได้ชัดว่าเรื่องของคริสตจักรทั้งหมดนี้ถูกทรยศโดยหนอนบ่อนไส้ที่ไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้ พวกเขาไม่เคารพพี่น้องชายหญิง และไม่ปกป้องงานและผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาปฏิบัติต่อพระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักรราวกับสังคมหรือพื้นที่สาธารณะ แสดงความคิดเห็นและตัดสินพี่น้องชายหญิงเรื่อยเปื่อยราวกับพวกเขาคือผู้ไม่มีความเชื่อ ถึงกับร่วมวงตัดสินพี่น้องชายหญิงอย่างเสรีกับผู้ไม่มีความเชื่อและผู้ไม่เชื่อ ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่คนบางคนถูกผู้นำตัดแต่ง หรือหลังจากเกิดความขัดแย้ง การโต้เถียง และความไม่ลงรอยกับพี่น้องชายหญิง พวกเขาก็กลับบ้านไปโวยวายต่อหน้าทุกคน ทำให้แน่ใจว่าครอบครัวของตนรู้เรื่องทั้งหมดนี้ ผลที่ตามมาก็คือ ครอบครัวของพวกเขาเสาะแสวงที่จะแก้แค้นผู้นำหรือพี่น้องชายหญิง มุ่งหมายที่จะทำลายและขายคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตน นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ดีหรือไม่? (ไม่) การแบ่งปันเรื่องภายในคริสตจักรและสิ่งทั้งหลาย อย่างเช่น มีพี่น้องชายหญิงที่ใช้ชีวิตคริสตจักรอยู่กี่คน และทุกคนทำหน้าที่อะไร ให้กับสมาชิกครอบครัว ญาติพี่น้อง และเพื่อนฝูงแบบไม่ยั้ง—พวกเขาคือคนเลวทรามประเภทใด? พวกเขาคือผู้เชื่อที่แท้จริงหรือไม่? (ไม่ใช่) พวกเขาคือสมาชิกพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? สามารถพวกเขาเรียกว่าพี่น้องชายหญิงได้หรือไม่? (ไม่ได้) การเก็บหนอนบ่อนไส้เช่นนั้นเอาไว้และซุกซ่อนคนทรยศเอาไว้ในคริสตจักร ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ย่อมนำมาซึ่งความเดือดร้อนอย่างมีนัยสำคัญต่อพระนิเวศของพระเจ้าและต่อพี่น้องชายหญิง แม้พวกเขาจะดูเหมือนไม่ได้กระทำชั่วมากมายในชีวิตคริสตจักร แต่ผลที่ตามมาและผลกระทบจากการลอบส่งต่อรายละเอียดนานัปการเกี่ยวกับพระนิเวศของพระเจ้าให้ผู้ไม่มีความเชื่อ เหล่าซาตาน และหมู่มารก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง! ควรปล่อยให้คนต่ำช้าเช่นนั้นอยู่ในคริสตจักรต่อไปหรือไม่? (ไม่) พวกเขาคู่ควรแก่การถูกเรียกว่าสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาควรค่าแก่การถูกปฏิบัติในฐานะพี่น้องชายหญิงหรือไม่? (ไม่) ผู้คนเช่นนั้นควรถูกจัดการอย่างไร? (พวกเขาควรถูกเอาตัวออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้) พวกเขาต้องถูกเอาตัวออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้! จงไล่พวกเขาออกไป! เหตุผลของการเอาตัวพวกเขาออกไปคือ “คุณไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้ คุณไม่สามารถตระหนักได้ว่าสิ่งใดที่ดีสำหรับคุณ แว้งกัดคนที่มีบุญคุณกับคุณ คุณเชื่อในพระเจ้าและเพลิดเพลินกับพระคุณของพระองค์ รวมถึงความช่วยเหลือ ความรัก ความอดทน และการดูแลจากพี่น้องชายหญิง แต่คุณก็ยังหักหลังพี่น้องชายหญิงและขายคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตนเช่นนี้ คุณไม่มีอะไรดีเลย ไปให้พ้น!” เรื่องของพี่น้องชายหญิง เรื่องของคริสตจักร และงานทุกงานของพระนิเวศของพระเจ้านั้นไม่ควรถูกเปิดเผยต่อผู้ไม่มีความเชื่อ และไม่ควรใช้เป็นหัวข้อการสนทนาที่ไม่มีสาระของพวกเขา พวกเขาไม่คู่ควรกับเรื่องเหล่านี้! ผู้ใดก็ตามที่เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวย่อมกลายเป็นบุคคลที่ถูกสาปแช่ง เป็นคนที่คริสตจักรต้องเอาตัวออกไป และพี่น้องชายหญิงก็ควรปฏิเสธเขา เพียงพิจารณาจากการกระทำที่พวกเขาหักหลังพี่น้องชายหญิงและขายคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตน จากการแบ่งปันเรื่องภายในคริสตจักรกับผู้ไม่มีความเชื่อในการพูดคุยทั่วไป พวกเขาก็คือคนทรยศ หนอนบ่อนไส้ และคนชั่วที่ควรถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักรอย่างไม่ต้องสงสัย พี่น้องชายหญิงมีเสรีภาพที่จะสามัคคีธรรมและโต้แย้งกันตามที่จำเป็นเกี่ยวกับงานทุกงานที่ทำภายในคริสตจักร—อย่างเช่น ผู้ใดควรถูกเอาตัวออกไป หรือการเกิดขึ้นของเหตุการณ์บางเหตุการณ์—แต่เรื่องเหล่านี้ต้องไม่ถูกแบ่งปันให้กับผู้ไม่มีความเชื่อ และไม่สามารถพูดกับสมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานการณ์ส่วนตัวและสถานการณ์ครอบครัวของพี่น้องชายหญิงใหม่ที่มีวุฒิภาวะน้อยนั้นต้องไม่ถูกแพร่งพรายไปสู่บุคคลภายนอก หากเจ้าพบว่าการเก็บเรื่องดังกล่าวไว้กับตนเองเป็นเรื่องยาก เจ้าก็ควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้าเพื่อเรียนรู้การยับยั้งชั่งใจตนเอง และไปทำกิจกรรมบางอย่างที่มีความหมาย หากเจ้าไม่สามารถควบคุมตนเองได้จริงๆ เจ้าควรรายงานคริสตจักรเพื่อแสวงหาหนทางแก้ไขเป็นอันดับแรก เพื่อป้องกันผลร้ายที่ตามมา เพราะการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดปัญหามากที่สุด ตัวอย่างเช่น หมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัว ที่อยู่บ้าน จำนวนปีที่ใครบางคนเชื่อในพระเจ้า สถานะส่วนบุคคลเกี่ยวกับครอบครัวและการสมรส และอื่นๆ ล้วนเป็นหัวข้อที่อ่อนไหว สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับความจริงหรือการเข้าสู่ชีวิต แต่เกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัว มีเพียงสายสืบและหนอนบ่อนไส้เท่านั้นสืบค้นเรื่องเหล่านี้เป็นการเฉพาะ หากเจ้าเพลิดเพลินกับการเรียนรู้และเผยแพร่เรื่องดังกล่าว นั่นย่อมบ่งชี้ถึงอุปนิสัยประเภทใด? อุปนิสัยที่ค่อนข้างเลวทราม! การไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแต่มุ่งเน้นที่การซุบซิบนินทา ทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้หรือสายลับ และทำงานให้พญานาคใหญ่สีแดง—นั่นทั้งชั่วร้ายและเลวทรามมิใช่หรือ? ใครก็ตามที่เจาะจงสอบถาม สืบค้น รวมถึงเผยแพร่หัวข้อที่อ่อนไหวและเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นโดยไม่ยั้งคิด ย่อมกำลังเก็บซ่อนแรงจูงใจแอบแฝงและเป็นผู้ไม่เชื่อ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องระแวดระวังบุคคลเหล่านั้นเป็นพิเศษ หากผู้คนเช่นนั้นไม่กลับใจ พวกเขาก็ไม่ควรใช้ชีวิตคริสตจักรต่อไป เพราะการหักหลังพี่น้องชายหญิงเพื่อประโยชน์ส่วนตนเป็นการกระทำที่ไร้ศีลธรรม น่ารังเกียจ และไร้ยางอายมากที่สุด ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรอยู่ห่างจากบุคคลเหล่านี้ ในชีวิตคริสตจักร ผู้คนควรถูกจำกัดไม่ให้สอบถามและหารือเรื่องเหล่านี้ เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับการสามัคคีธรรมความจริง และการพูดถึงเรื่องเหล่านี้ก็ไม่ได้นำประโยชน์มาสู่ผู้อื่นแต่อย่างใด
พระนิเวศของพระเจ้ามีกฎการปกครองและข้อบังคับนานัปการที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องปฏิบัติตาม เรื่องต่างๆ อย่างเช่น กิจธุระภายในคริสตจักร การปรับเปลี่ยนบุคลากรของผู้นำและคนทำงาน งานชำระคริสตจักรให้สะอาด และการจัดการเตรียมการจากเบื้องบน เป็นต้น ต้องไม่ถูกเผยแพร่เรื่อยเปื่อยภายในคริสตจักรเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ไม่เชื่อและคนชั่วหักหลังโดยเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ต่อซาตาน เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพระนิเวศของพระเจ้านั้นแตกต่างจากสังคม พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริง อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น ใคร่ครวญและสามัคคีธรรมให้มากขึ้น มีเพียงการถ่ายทอดพระวจนะของพระเจ้าและการเป็นพยานให้พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถก่อให้เกิดบรรยากาศที่เหมาะสมได้ มีเพียงการแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ให้มากขึ้นเท่านั้นที่สามารถก่อให้เกิดบรรยากาศเช่นนั้นได้ นอกจากนี้ ในพระนิเวศของพระเจ้ามีผู้เชื่อใหม่หลายคนที่เชื่อในพระเจ้ามาเพียงไม่นาน จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้ไม่เชื่อบางคนยังไม่ถูกเผย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเวลาห้าปีหรือสิบปีแรกของการเชื่อเป็นช่วงเวลาของการเผยตัวตนที่แท้จริงของผู้คน ระหว่างช่วงเวลานี้ยังไม่แน่นอนว่าใครจะสามารถตั้งมั่นได้และไม่ได้ และยังมีคนชั่วที่สามารถก่อกวนคริสตจักรเหลืออยู่เท่าใด การเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลและเรื่องภายนอกเช่นนั้น รวมถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสามัคคีธรรมความจริงโดยไม่ยั้งคิดอยู่เสมอ สามารถนำไปสู่ผลร้ายที่ตามมามากมาย ตัวอย่างเช่น ใครบางคนอาจถามว่า “ผู้นำคนนั้นมาจากที่ไหน? เขาอาศัยอยู่ที่ไหน?” ข้อมูลที่อ่อนไหวนี้ไม่ใช่สิ่งที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจำเป็นต้องรู้ บางคนอาจถามว่า “พระนิเวศของพระเจ้าใช้เงินเท่าไรในการพิมพ์หนังสือพระวจนะของพระเจ้า?” การรู้เรื่องนี้เป็นประโยชน์อย่างนั้นหรือ? (ไม่) ต้นทุนการพิมพ์เป็นธุระกงการใดของเจ้า? เจ้าเคยถูกเก็บค่าตีพิมพ์อย่างนั้นหรือ? เรื่องนี้ดูเหมือนไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าเลยใช่หรือไม่? บางคนอาจจะถามว่า “ตอนนี้ใครคือผู้นำระดับสูงขึ้นไปในพระนิเวศของพระเจ้า?” หากพวกเขาไม่ได้นำเจ้าโดยตรง การไม่รู้เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อเจ้าหรือไม่? (ไม่) ในจีนแผ่นดินใหญ่ การรู้เรื่องเหล่านี้อาจเป็นปัญหา หากถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุมและถูกทรมานอย่างรุนแรง หากเจ้าไม่รู้เรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าพวกเขาจะทุบตีเจ้าอย่างไร เจ้าก็ไม่สามารถเปิดเผยสิ่งใดได้ ดังนั้นเจ้าย่อมจะไม่ลงเอยด้วยการกลายเป็นยูดาส แต่หากเจ้ารู้ และไม่สามารถทานทนการทุบตีอันโหดเหี้ยมที่พวกเขากระทำต่อเจ้าได้ เจ้าอาจจะลงเอยด้วยการพูดออกไปและกลายเป็นยูดาส เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าอาจจะคิดว่า “ทำไมตอนนั้นฉันถึงถามคำถามเหล่านั้นออกไปโดยไม่ยั้งคิด? การไม่รู้เลยคงจะดีกว่ามาก ต่อให้ทุบตีจนตาย ฉันก็คงจะยังไม่รู้เรื่องเหล่านั้น ต่อให้ฉันอยากจะกุคำตอบขึ้นมา ฉันก็คงจะคิดอะไรไม่ออก ในกรณีนั้น ฉันก็จะไม่กลายเป็นยูดาส ตอนนี้ฉันได้เรียนรู้บทเรียนของฉันแล้ว การไม่รู้เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับความจริงมากเกินไปย่อมดีที่สุด การไถ่ถามเรื่องเหล่านี้ไม่มีประโยชน์เลย ไม่รู้ยังดีเสียกว่า” และมีคนอื่นๆ บางคนที่อาจจะถามว่า “ในพระนิเวศของพระเจ้า มีทีมที่ทำงานเฉพาะทางอยู่กี่ทีม?” นั่นเป็นธุระกงการอะไรของเจ้า? จงทำแต่งานที่ทีมของเจ้าเองได้รับมอบหมายเถิด การไม่รู้เรื่องนี้ก็ไม่ส่งผลต่อความสามารถในการทำหน้าที่ตามปกติของเจ้า การไล่ตามเสาะหาความจริงในความเชื่อของเจ้า หรือการใช้ชีวิตคริสตจักร และไม่ส่งผลอะไรเลย การไม่รู้เรื่องนี้ก็ไม่ขัดขวางเจ้าจากการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือการสัมฤทธิ์ความรอดในฐานะผู้เชื่อ แล้วจะมัวถามไปไย? “พี่น้องชายหญิงส่วนมากมาจากในเมืองหรือชนบท? พวกเขาเป็นคนมีการศึกษาหรือไม่มีการศึกษา?” การรู้เรื่องเหล่านี้มีประโยชน์หรือไม่? (ไม่) หากพวกเขาทุกคนมาจากชนบทแล้วอย่างไร? และหากพวกเขาทุกคนมาจากในเมืองแล้วอย่างไร? เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความจริง บางคนอาจจะถามว่า “ตอนนี้การเผยแผ่งานข่าวประเสริฐเป็นอย่างไรบ้าง?” การถามเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างเล็กน้อยย่อมไม่เป็นไร แต่คนบางคนกลับถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ถึงรายละเอียดที่ว่า งานข่าวประเสริฐเผยแผ่ไปกี่ประเทศแล้วกันแน่ ซึ่งเป็นเรื่องไม่จำเป็น ต่อให้พวกเขารู้เรื่องนี้ พวกเขาจะได้รับผลกระทบอย่างไร? การรู้รายละเอียดดังกล่าวจะนำมาซึ่งประโยชน์อันใด? หากเจ้าไม่มีความเป็นจริงความจริง ต่อให้เจ้ารู้เรื่องเหล่านี้ เจ้าก็จะยังไม่มีความเป็นจริงความจริงต่อไป ความรู้นี้จะไม่ช่วยให้เจ้าทำหน้าที่ของตนได้ดีหรือให้ความช่วยเหลือใดๆ ต่อการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าเลย การไม่ไถ่ถามเรื่องทั่วไปบางอย่างนั้นไม่เป็นไร อันที่จริง การไม่รู้ย่อมดีกว่า การรู้มากเกินไปกลับเป็นภาระ เมื่อข้อมูลดังกล่าวรั่วไหลออกไป ย่อมกลายเป็นปัญหาและการกระทำผิด การรู้เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ดี ยิ่งเจ้ารู้มากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นปัญหามากเท่านั้น ผู้ที่เข้าใจความจริงย่อมรู้ว่าสิ่งใดที่ควรพูดและสิ่งใดไม่ควรพูด พวกเลอะเลือนที่ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณย่อมล้มเหลวในการแยกแยะระหว่างคนในกับคนนอกในยามที่พวกเขาพูดคุยกัน พูดคุยแต่เรื่องที่ไร้สาระ เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรรายงานเรื่องเหล่านี้แก่ผู้ที่ไม่เข้าใจความจริงในคริสตจักร การรู้เรื่องเหล่านี้ไม่ได้นำมาซึ่งประโยชน์ในหนทางใดเลย ประการแรก ผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหา ประการที่สอง พวกเขาไม่สามารถปกป้องงานของคริสตจักร และประการที่สาม ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องพูดจาดีๆ เกี่ยวกับพระนิเวศของพระเจ้า พระวจนะทั้งปวงของพระเจ้าคือความจริง และการกระทำทั้งหมดของพระเจ้าล้วนชอบธรรม—มีความจำเป็นต้องให้พวกผู้ไม่เชื่อหรือผู้ไม่มีความเชื่อที่ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณมาประจบสอพลอหรือเอาอกเอาใจหรือไม่? ไม่มี ต่อให้ทั้งโลกนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่ติดตามพระเจ้าหรือนมัสการพระองค์แม้แต่สิ่งเดียว สถานะและแก่นแท้ของพระเจ้าก็จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการณ์ที่เปลี่ยนไป อัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้านั้นคงเดิมชั่วนิรันดร์ สิ่งเหล่านี้คือความจริงที่บรรดาผู้เชื่อในพระเจ้าควรเข้าใจ ผู้ไม่เชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อพูดและกระทำการโดยไม่แยกแยะระหว่างคนในกับคนนอก—การที่พวกเขารู้มากเกินไปนั้นเป็นประโยชน์ต่องานของพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาจำเป็นต้องรู้เรื่องงานของพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาไม่คู่ควรกับความรู้นี้เลย! บางคนอาจถามว่า “เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นความลับ และนั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่อาจรู้ได้ใช่หรือไม่?” เมื่อเชื่อในพระเจ้ามาถึงจุดนี้แล้ว พวกเจ้าคิดว่าเรื่องเหล่านี้มีความลับอยู่หรือไม่? (ไม่) แต่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมีความซื่อตรงและมีศักดิ์ศรี พวกเขาต้องไม่ตกเป็นหัวข้อสนทนาหรือเยาะเย้ยจากผู้ไม่มีความเชื่อ พระนิเวศของพระเจ้า คริสตจักร และพี่น้องชายหญิง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มหรือเป็นรายบุคคลก็ล้วนมีศักดิ์ศรี พวกเขาล้วนเป็นบวก และไม่ควรมีใครพยายามทำให้พวกเขาเสื่อมเสียทั้งสิ้น ผู้ใดก็ตามที่ปฏิบัติตนในหนทางที่ยอมให้เหล่าซาตานและหมู่มารสร้างความเสื่อมเสีย หมิ่นประมาท หรือสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของพระนิเวศของพระเจ้าหรือชื่อเสียงของพี่น้องชายหญิงตามอำเภอใจ คนคนนั้นย่อมถูกสาปแช่ง! ด้วยเหตุนั้น คริสตจักรจึงไม่อนุญาตให้พวกที่ไม่สามารถระวังคำพูดของตนดำรงอยู่อย่างเด็ดขาด เมื่อระบุตัวแล้ว พวกเขาต้องถูกเอาตัวออกไป! แนวทางนี้สอดคล้องกับหลักธรรมใช่หรือไม่? (ใช่)
คนบางคนระมัดระวังและรอบคอบเป็นพิเศษในยามที่พวกเขาพูดคุย สื่อสาร ปฏิสัมพันธ์ หรือคบหากับพี่น้องชายหญิง แต่เมื่อพวกเขากลับบ้าน พวกเขาก็กลายเป็นพวกปากพล่อย พูดทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งข้อมูลส่วนตัวของพี่น้องชายหญิง จนทำให้สมาชิกครอบครัวของพวกเขา ผู้ไม่มีความเชื่อ และบรรดาผู้ที่เชื่อแต่เพียงในนามรู้เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับกิจธุระของคริสตจักร คนเช่นนั้นเป็นหนอนบ่อนไส้ เป็นคนทรยศ—เป็นยูดาส—และเป็นบุคคลประเภทที่คริสตจักรควรเอาตัวออกไปอย่างแท้จริง ยิ่งพวกเขาอยู่ในคริสตจักรนานเท่าไร พวกเขาจะยิ่งรู้ข้อมูลเกี่ยวกับพี่น้องชายหญิงมากขึ้นเท่านั้น พวกเขาจะกระทำการทรยศมากขึ้น และจะมีเรื่องให้ผู้ไม่มีความเชื่อฉวยไปใช้เป็นเครื่องมือและใช้ในการใส่ร้ายป้ายสีมากขึ้น หากเจ้าไม่กลัวพวกเขาทรยศด้วยการเปิดเผยข้อมูลนี้แก่ผู้ไม่มีความเชื่อ เช่นนั้นก็จงเก็บพวกเขาเอาไว้ หากเจ้าไม่ปรารถนาที่จะให้ข้อมูลส่วนตัวของเจ้าและกิจธุระภายในของคริสตจักรเผยแพร่ออกจากปากของพวกเขา เช่นนั้นเจ้าก็ควรเอาหนอนบ่อนไส้เหล่านี้ออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แบบนี้เหมาะสมใช่หรือไม่? (ใช่) จงอย่าแสดงความปรานีต่อบุคคลเช่นนั้น พวกเขาไม่ได้แอบซ่อนเจตนาที่ดีเอาไว้เลย ทั้งยังเป็นพวกที่ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด จะเปรียบเทียบผู้คนดังกล่าวกับผู้คนสองประเภทที่ถูกกล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ นั่นคือ พวกที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้น กับพวกที่ทำตัวเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจได้อย่างไร? พวกเขาดีกว่าหรือแย่กว่า? (แย่กว่า) บุคคลเหล่านี้อาจจะทำหน้าที่ของตน ทุ่มเทความพยายามอยู่บ้าง และสู้ทนความยากลำบากบางอย่างเช่นเดียวกัน พวกเขาอาจจะทำสิ่งใดก็ตามที่พระนิเวศของพระเจ้าขอให้ทำโดยไม่ปฏิเสธ แต่ก็มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งคือ พวกเขาเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพระนิเวศของพระเจ้าแก่ผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขารับบทเป็นคนทรยศ เป็นหนอนบ่อนไส้ทุกเมื่อเชื่อวัน แค่เพียงเหตุผลข้อนี้ คริสตจักรก็ไม่สามารถผ่อนปรนต่อพวกเขาได้และต้องเอาตัวพวกเขาออกไป เจ้าเข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) ไม่ว่าพวกเขาอยู่ในคริสตจักรอย่างมีความสุขหรือไม่มีความสุข ใครที่ยั่วยุพวกเขา ใครที่เข้ากับพวกเขาได้ ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักรหรือถูกปลด—ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็ต้องแบ่งปันรายละเอียดทุกอย่างกับสมาชิกในครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อของตนอยู่เสมอ พวกเขาต้องแน่ใจว่าสมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อของตน รวมถึงผู้ไม่มีความเชื่อได้รับข้อมูลทันทีและเข้าใจสถานการณ์ภายในคริสตจักรอย่างทันท่วงที สำหรับบุคคลเช่นนั้น เจ้าต้องไม่แสดงความปรานีและความกรุณาต่อพวกเขาโดยเด็ดขาด เมื่อพบเจอหนึ่งคน ก็จงเอาตัวเขาออกไป แนวทางนี้เป็นอย่างไร? (เหมาะสม) การทำในหนทางนี้โหดเหี้ยมหรือไม่? (ไม่) นี่ไม่ใช่การกระทำที่โหดเหี้ยม เจ้าปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะพี่น้องชายหญิง แต่พวกเขากลับไม่ปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าหรือผลประโยชน์ของพี่น้องชายหญิงเลย ในทางกลับกัน พวกเขาขายผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าและหักหลังพี่น้องชายหญิงเพื่อประโยชน์ส่วนตนในทุกโอกาส เจ้ามองพวกเขาเป็นครอบครัว แต่พวกเขามองเจ้าเป็นครอบครัวหรือไม่? (ไม่) เช่นนั้นก็จงอย่าแสดงความปรานีต่อพวกเขา หากพวกเขาจำเป็นต้องถูกเอาตัวออกไป ก็จงเอาตัวพวกเขาออกไป มาถึงจุดนี้ พวกเจ้าเคยพบเจอบุคคลเช่นนั้นหรือไม่? (เคย พวกเขาแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพี่น้องชายหญิงแก่สมาชิกในครอบครัวของตน และบางครั้งพวกเขาก็แจ้งเรื่องบางอย่าง รวมถึงการจัดการเตรียมการอย่างเฉพาะเจาะจงภายในคริสตจักรต่อสมาชิกในครอบครัวของตนทันทีที่สบโอกาส จากนั้น สมาชิกครอบครัวของพวกเขาก็รวบรวมเรื่องเหล่านี้เพื่อซุบซิบนินทาคริสตจักรลับหลัง) บุคคลเหล่านี้เคยถูกเอาตัวออกไปหรือไม่? (เคย) เมื่อถูกเอาตัวออกไปแล้ว พวกเขาพร่ำบ่นหรือไม่? พวกเขาอาจจะรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม โดยคิดว่า “ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย นี่ไม่ถือเป็นการละเมิดกฎการปกครอง และฉันก็ไม่ได้ก่อการรบกวนหรือการขัดขวาง ทำไมฉันถึงถูกเอาตัวออกไปเล่า?” พวกเจ้าคิดว่าธรรมชาติของการกระทำของพวกเขาร้ายแรงกว่าการก่อการรบกวนและการขัดขวางใช่หรือไม่? (ใช่) ผู้คนเช่นนั้นจะสามารถได้รับการไถ่หรือไม่? พวกเขาเปลี่ยนแปลงง่ายใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่าไม่ใช่เรื่องง่าย? แง่มุมใดที่แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา? (พวกเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาไม่ใช่พี่น้องชายหรือหญิง แก่นแท้ของพวกเขาคือแก่นแท้ของผู้ไม่มีความเชื่อและผู้ไม่เชื่อ) นี่คือแก่นแท้ของพวกเขา แล้วพวกเจ้าบอกได้อย่างไรว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่มีความเชื่อและเป็นผู้ไม่เชื่อ? (ไม่ว่าพวกเขามีอารมณ์เช่นไรในคริสตจักร พวกเขาก็ระบายใส่ครอบครัวของตน ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ยอมรับสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นจากพระเจ้า ไม่ต้องพูดถึงการเรียนรู้บทเรียนใดๆ เลย ผู้คนเช่นนั้นไม่มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและไม่ยอมรับความจริง ดังนั้นแก่นแท้ของพวกเขาจึงเป็นแก่นแท้ของผู้ไม่เชื่อ) แก่นแท้เช่นนี้ของพวกเขาได้รับการอธิบายโดยกระจ่างแล้ว พวกเขาระบายอารมณ์ของตนใส่ครอบครัว และปฏิบัติต่อทุกสิ่งทุกอย่างตามอารมณ์ของตน เจ้าจะบอกได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของพระนิเวศของพระเจ้า แต่เป็นผู้ไม่มีความเชื่อที่แทรกซึมเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้า? (เพราะพวกเขาสามารถขายผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อประโยชน์ส่วนตนได้ ทำตัวเป็นคนทรยศและหนอนบ่อนไส้ เพราะโดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาไม่ใช่คนที่ปกป้องงานและผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า ดังนั้น บุคคลเหล่านี้จึงไม่มีหัวใจเป็นหนึ่งเดียวกับพระนิเวศของพระเจ้า) คำอธิบายนี้ยังไม่ตรงประเด็น เราขออธิบายดังนี้ ถึงแม้บุคคลเหล่านี้จะมีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักรและทำหน้าที่ของตน แต่พวกเขาเคยมองว่าพี่น้องชายหญิงเป็นครอบครัวของตนบ้างหรือไม่? กล่าวโดยง่ายก็คือ พวกเขาเคยมองว่าพี่น้องชายหญิงเป็นพวกของตนบ้างหรือไม่? (ไม่) แล้วพวกเขามองพี่น้องชายหญิงเป็นอะไร? (เป็นคนนอก) ถูกต้อง เป็นคนนอก เป็นฝ่ายตรงข้าม แล้วพวกเขามองว่าคริสตจักรกับพระนิเวศของพระเจ้าเป็นอะไร? เป็นเพียงสถานที่ทำงานสำหรับพวกเขามิใช่หรือ? (ใช่) พวกเขามองพระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักรราวกับเป็นบริษัทหรือองค์กรในโลกที่ไม่มีความเชื่อ มองพี่น้องชายหญิงเป็นคนนอก เป็นพวกที่พวกเขาต้องระแวดระวัง เป็นฝ่ายตรงข้าม ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงสามารถเปิดเผยข้อมูลหลากหลายประเภทและสถานการณ์จริงนานัปการเกี่ยวกับพี่น้องชายหญิงแก่คนที่โดยพื้นฐานแล้วไม่เชื่อในพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย พวกเขาตระหนักว่าพวกที่ไม่มีความเชื่อเหล่านี้ย่อมจะไม่มีเรื่องดีงามให้พูดถึง และอาจถึงกับใส่ร้ายพี่น้องชายหญิง รวมถึงป้ายสีพระนิเวศของพระเจ้า—พวกเขารู้เรื่องทั้งหมดนี้ แต่พวกเขาก็ยังคงเปิดเผยสถานการณ์ของพี่น้องชายหญิงและคริสตจักรอย่างหมดเปลือกแก่ผู้ไม่มีความเชื่อโดยไม่ยั้งคิด ชัดเจนว่าพวกเขามองพี่น้องชายหญิงเป็นคนนอก เป็นฝ่ายตรงข้าม และเมื่อไรก็ตามที่เกิดความไม่พอใจขึ้น พวกเขาก็ร่วมมือกับผู้ไม่มีความเชื่อเพื่อเยาะเย้ย ใส่ร้ายป้ายสี และกระทำการต่อต้านพี่น้องชายหญิงลับหลังทันที เพื่อสนองความปรารถนาของตนเอง พวกเขารู้สึกว่าการตัดสินพี่น้องชายหญิงคนใดก็ตามในคริสตจักรคงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะหากพวกเขาหารือเรื่องคริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิงต่อหน้าพี่น้องชายหญิงเอง พวกเขาก็รู้สึกว่าตนจะต้องแบกรับผลที่ตามมา ซึ่งจะไม่น่าพึงประสงค์สำหรับพวกเขาเลย แต่การสนทนาเรื่องเหล่านี้กับครอบครัวของตนย่อมสนองความหุนหันพลันแล่น ความปรารถนา และอารมณ์ส่วนตัวของพวกเขาอย่างสมบูรณ์ โดยไม่ต้องแบกรับผลที่ตามมาเลย เพราะอย่างไรเสียครอบครัวก็คือครอบครัวที่จะไม่หักหลังพวกเขาเพื่อประโยชน์ส่วนตน อย่างไรก็ตาม ครอบครัวไม่เหมือนกับพี่น้องชายหญิงผู้ที่อาจรายงานพวกเขา เปิดโปงพวกเขา และตัดแต่งพวกเขา ทั้งยังถึงกับทำให้พวกเขาสูญเสียหน้าที่และตำแหน่งของตนได้ทุกที่ทุกเวลา ดังนั้น จึงไม่ผิดเลยที่จะกล่าวว่าพวกเขามองพี่น้องชายหญิงเป็นฝ่ายตรงข้ามของตน ฝ่ายตรงข้ามคือคนที่ควรระแวดระวัง ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงไม่พูดกับพี่น้องชายหญิง ไม่สามัคคีธรรม และไม่เปิดโปงสิ่งใดกับพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นเลย แต่กลับ “ใช้ชีวิตคริสตจักร” กับสมาชิกในครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อของตนที่บ้าน ที่ซึ่งพวกเขาแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างและระบายความในใจ พวกเขาแสดงความคิด ความเห็น ความคับข้องใจ ความไม่พอใจ และทัศนะที่บิดเบือนทั้งหมดของพวกเขาออกมาอย่างหมดเปลือกโดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย โดยพบว่าเป็นการปลดปล่อยและความพึงพอใจในการทำเช่นนั้น สมาชิกครอบครัวของพวกเขาไม่ดูแคลนพวกเขา แต่กลับช่วยเหลือและให้ความร่วมมือกับพวกเขา หากพวกเขาพูดเช่นนี้ในคริสตจักร ธรรมชาติที่แท้จริงของพวกเขาในฐานะผู้ไม่เชื่อย่อมจะถูกเปิดโปงจนหมดเปลือก และคริสตจักรจะต้องเอาตัวพวกเขาออกไป ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงไม่มองว่าพี่น้องชายหญิงเป็นครอบครัวของตน แต่กลับมองเป็นฝ่ายตรงข้าม นี่เป็นแง่มุมหนึ่ง อีกแง่มุมหนึ่งก็คือ พวกเขาไม่เคยถือว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับคริสตจักร ไม่ว่าจะเป็นการใส่ร้ายป้ายสีและการหมิ่นประมาทจากโลกศาสนา ข่าวลือที่ไม่มีมูลและการเยาะเย้ยจากผู้ไม่มีความเชื่อ หรือการตีกรอบและการข่มเหงจากรัฐบาลแห่งชาติ ย่อมไม่เกี่ยวข้องและไม่มีความหมายต่อพวกเขาเป็นการส่วนตัว สมมุติว่านี่คือความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเขา “หากภาพลักษณ์ของคริสตจักรได้รับความเสียหาย และพระนามของพระเจ้าถูกหลู่เกียรติ ศักดิ์ศรีในฐานะผู้เชื่อของพวกเราก็ถูกท้าทายอย่างร้ายแรง เพราะเหตุนี้ ฉันจะไม่มีวันหารือเรื่องของคริสตจักรหรือกิจธุระของพระนิเวศของพระเจ้ากับผู้ไม่มีความเชื่อ ปล่อยให้พวกเขาซุบซิบนินทาและหัวเราะเยาะกัน ฉันจะไม่พูดเรื่องกิจธุระของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างส่งเดชกับสมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อของฉัน แม้เพื่อปกป้องตัวเองก็ตาม”—หากพวกเขามีความตระหนักรู้ดังกล่าว เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะสามารถระวังคำพูดของตนได้มิใช่หรือ? แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถทำเช่นนี้ได้? เห็นได้ชัดว่า โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาไม่ถือว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ถือว่าตนเองเป็นผู้เชื่อ บางคนกล่าวว่า “คำพูดของคุณไม่ถูกต้อง หากพวกเขาไม่ถือว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของพระนิเวศของพระเจ้า ทำไมพวกเขาจึงยังคงจะมาชุมนุมอยู่เล่า?” ในหมู่ผู้เชื่อในพระเจ้านั้นมีคนอยู่ทุกประเภท พวกเราเคยสามัคคีธรรมเรื่องนี้มาแล้วมิใช่หรือ? มีผู้คนมากมายที่มาเชื่อในพระเจ้าด้วยสิ่งจูงใจและจุดประสงค์ที่ไม่เหมาะสมนานาประการ และนี่เป็นประเภทหนึ่ง การเชื่อในพระเจ้าเพื่อความบันเทิง เพื่อคลายความเบื่อหน่าย หรือเพื่อหาการบำรุงเลี้ยงฝ่ายวิญญาณ—ผู้ไม่เชื่อเช่นนั้นพบได้ทั่วไปมิใช่หรือ? ผู้คนเช่นนั้นสามารถพบได้มากมายมิใช่หรือ? (ใช่) พวกเขาไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ แน่นอนว่างานทั้งหมดของคริสตจักรและการทำหน้าที่ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรล้วนไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสนใจ พวกเขาไม่ใส่ใจสิ่งเหล่านั้นเลย ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงสามารถหารือสถานการณ์เรื่องงานของคริสตจักร กิจธุระภายในคริสตจักร และแม้แต่ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในหมู่พี่น้องชายหญิง กับผู้ไม่มีความเชื่อได้แบบสบายๆ และไม่จริงจัง หลังจากพวกเขาพูดจบ ผู้ไม่มีความเชื่อก็ทำการซุบซิบนินทา ว่าร้าย และเหน็บแนม แต่นั่นไม่ได้ทำให้พวกเขาเดือดเนื้อร้อนใจเลยแม้แต่น้อย พวกเขาอาจถึงกับร่วมวงด่าทอพี่น้องชายหญิง ตัดสินพระนิเวศของพระเจ้า และแสดงว่าคิดเห็นเกี่ยวกับงานและการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้ากับผู้ไม่มีความเชื่อเสียด้วยซ้ำ พวกเขาคือผู้เชื่อในพระเจ้าใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) ผู้เชื่อที่แท้จริงจะไม่มีวันกระทำการในลักษณะนี้ ต่อให้เป็นการปกป้องศักดิ์ศรีและผลประโยชน์ของตนเอง พวกเขาก็จะไม่มีวันแว้งกัดผู้ที่มีบุญคุณกับพวกเขาและเข้าข้างคนนอกคริสตจักร เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? (ใช่) เพราะฉะนั้น ผู้คนเช่นนั้นจึงเป็นคนชั่ว และเป็นผู้ไม่มีความเชื่อที่ต้องถูกเอาตัวออกไป ยิ่งพวกเขาถูกเอาตัวออกไปเร็วเท่าไร คริสตจักรก็จะยิ่งมีความสงบสุขเร็วขึ้นเท่านั้น
มาพูดถึงตัวเจ้าเองกันบ้าง ตัวอย่างเช่น หากพ่อแม่ของเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า หรือหากพี่น้องหรือเพื่อนสนิทของเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาไม่ต่อต้านความเชื่อของเจ้า และค่อนข้างสนับสนุนความเชื่อของเจ้าเสียด้วยซ้ำ เจ้าจะพูดทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในคริสตจักรกับพวกเขาหรือไม่? สมมุติว่าเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งของเจ้าถามว่า “ในคริสตจักรของคุณมีผู้ชายคนไหนกำลังหาคู่ครองอยู่ไหม? มีคนที่ไร้เล่ห์มารยาเป็นพิเศษ แถมยังสูงโปร่ง รูปหล่อ และร่ำรวยบ้างไหม?” คนที่ดีบางคนในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อก็ปรารถนาที่จะหาคู่ครองที่ดีเพื่อใช้ชีวิตร่วมกันด้วยเช่นกัน เพื่อนผู้หญิงของเจ้าต้องการหาใครสักคนที่เชื่อในพระเจ้า แล้วเจ้าจะเต็มใจบอกเธอหรือไม่? (ไม่) เจ้าควรบอกเธอว่า “ความชื่นชอบที่เธอมีต่อผู้เชื่อนั้นไร้ประโยชน์ เธอเป็นผู้ไม่เชื่อ และโดยพื้นฐานแล้วย่อมเข้ากันไม่ได้กับผู้เชื่อ เธอไม่ได้พูดภาษาเดียวกัน เธอเดินบนเส้นทางที่แตกต่างกัน! ดูเธอสิ แต่งตัวหรูหราเหลือเกิน—พี่น้องชายคนไหนในคริสตจักรจะมาชอบเธอ?” เจ้าไม่ยกย่องเธอ แล้วเจ้าจะพูดเรื่องคริสตจักรกับเธอได้หรือไม่? (ไม่ได้) พูดแค่ไม่กี่คำ การสนทนาก็จะยุติลงทันที พร้อมกับมุมมองที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ต่อให้ผู้ไม่มีความเชื่อบางคนมีภาพประทับใจที่ดีต่อผู้เชื่อ และต่อให้พวกเขายังรักษามิตรภาพกับเจ้าหลังจากที่เจ้ากลายมาเป็นผู้เชื่อ เจ้าจะเต็มใจแบ่งปันเรื่องกิจธุระภายในคริสตจักรหรือความลำบากยากเย็นที่เจ้าเผชิญในการทำหน้าที่ของตนกับพวกเขาหรือไม่? (ไม่) ต่อให้พวกเขาสนับสนุนความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า การหารือเรื่องของคริสตจักรกับพวกเขาจะมีประโยชน์อะไร? ตัวอย่างเช่น พี่น้องชายหญิงบางคนเคยอดทนต่อการทรมานและการสอบสวนของพญานาคใหญ่สีแดงโดยไม่กลายเป็นยูดาส นี่คือคำพยานที่แม้กระทั่งผู้ไม่มีความเชื่อยังเลื่อมใส—เจ้าจะเต็มใจแบ่งปันเรื่องนี้กับพวกเขาหรือไม่? (ไม่) เหตุใดเจ้าจึงจะไม่เต็มใจสนทนาเรื่องนี้? (เรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา และพวกเขาก็ไม่อาจเข้าใจคำพยานจากประสบการณ์เหล่านี้ได้) พวกเขาย่อมจะไม่สามารถเข้าใจได้ การสนทนาเรื่องเหล่านี้อาจส่งผลที่เป็นลบอะไรบ้าง? (พวกเขาอาจจะลงเอยด้วยการตัดสินคริสตจักรแทน) พวกเขาจะตัดสินว่า “คุณจะหาเรื่องใส่ตัวไปทำไม? ทำไมถึงต่อต้านรัฐบาลแห่งชาติ?” เห็นหรือไม่ว่า ความคิดเห็นเดียวก็สามารถเปิดโปงธรรมชาติของพวกเขาได้ นี่ถือเป็นการต่อต้านรัฐบาลแห่งชาติได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่า พวกกษัตริย์มารที่ปกครองประเทศกำลังสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหมดหนทางในการดำรงชีวิต แม้ในยามที่พวกเขารู้เห็นเรื่องนี้ พวกเขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพูดในหนทางที่ตรงข้ามกับความจริงและบิดเบือนข้อเท็จจริง เจ้าจะหารือเรื่องใดกับพวกเขาได้อีก? เจ้าไม่สามารถพูดเรื่องที่เกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้ากับพวกเขาได้ เจ้าไม่อาจปล่อยให้พวกเขารู้สิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ พวกที่ไม่สามารถระวังคำพูดของตนสามารถบอกเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับคริสตจักรแก่ผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาคือผู้ไม่เชื่ออย่างชัดเจน พวกเขาคือหมู่มารที่มายังพระนิเวศของพระเจ้าเพื่ออยู่ไปวันๆ คือสัตว์ร้ายที่แว้งกัดมือของคนที่ให้อาหารตนอย่างไม่มีมโนธรรมหรือสำนึกแม้แต่น้อย สำหรับพวกเขา ความเสียหายใดที่เกิดขึ้นกับผลประโยชน์หรือชื่อเสียงของพระนิเวศของพระเจ้าหรือคริสตจักรนั้นไม่ส่งผลต่อพวกเขา ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ใดๆ ของพวกเขาเอง และพวกเขาก็ไม่รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงสามารถพูดเรื่องกิจธุระภายในของคริสตจักรกับผู้ไม่มีความเชื่อและคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าฟังได้โดยไม่ยั้งคิด และไม่มีความลังเลใจแม้แต่นิดเดียว ผู้คนเช่นนั้นน่าเกลียดใช่หรือไม่? (ใช่!) ผู้ไม่เชื่อที่ไม่มองพี่น้องชายหญิงเป็นครอบครัว แต่กลับมองผู้ไม่มีความเชื่อเป็นครอบครัวของตน จะสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่? (ไม่ได้) พวกเขาจะสามารถยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริงได้หรือไม่? (ไม่ได้) คนที่ไม่ถือว่าตนเองเป็นสมาชิกของคริสตจักร เมื่อได้ยินพระวจนะแห่งความรอดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ จะสามารถวางผลประโยชน์ของตนเองลงเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่? (ไม่ได้) กิจกรรมในชีวิตประจำวันของพวกเขามีเพียงการขายผลประโยชน์ของคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตน เข้าข้างคนนอก และทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ เป็นยูดาส และคนทรยศ ราวกับนี่คือภารกิจของพวกเขา พวกเขาไม่เดินไปบนเส้นทางที่ถูกควร แต่กลับมีชีวิตเพื่อทำชั่ว พวกเขาสมควรตาย และสมควรถูกสาปแช่ง! พวกยูดาส คนทรยศ และข้ารับใช้ของซาตานที่แว้งกัดคนที่มีบุญคุณกับตนเองเหล่านี้คือคนเลวร้ายที่มีความคิดลบ พวกเขาเป็นภัยต่อมวลมนุษย์ เป็นที่รังเกียจของทุกคน ดังนั้น การที่คริสตจักรจัดการกับพวกเขาและเอาตัวพวกเขาออกไปจึงเป็นเรื่องที่ถูกควรโดยสิ้นเชิงมิใช่หรือ? (ใช่) เป็นสิ่งที่ถูกควรโดยสิ้นเชิง! พวกเจ้าย่อมจะไม่ชอบการถูกขายเพื่อประโยชน์ส่วนตนมิใช่หรือ? หากคริสตจักรหรือพระนิเวศของพระเจ้าถูกขายเพื่อประโยชน์ส่วนตน คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้เห็นอกเห็นใจอย่างลึกซึ้ง หรือรู้สึกทุกข์ใจจนเกินไป พวกเขาเพียงไม่สบายใจอยู่บ้าง เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็คือสมาชิกของคริสตจักรหรือพระนิเวศของพระเจ้า แต่จะเป็นอย่างไร หากเจ้าถูกใครบางคนในคริสตจักรขายให้กับผู้ไม่มีความเชื่อเพื่อประโยชน์ส่วนตน และเพราะการที่พวกเขาขายเจ้า ผู้ไม่มีความเชื่อจึงบิดเบือนข้อเท็จจริง ใส่ร้ายป้ายสี เยาะเย้ย ตัดสิน และกล่าวโทษเจ้า? ถึงตอนนั้นเจ้าจะรู้สึกอย่างไร? ถึงตอนนั้นเจ้าจะได้รับประสบการณ์กับความอัปยศและความอับอายที่คริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้าต้องทนทุกข์มิใช่หรือ? (ใช่) จากมุมมองนี้ การเอาบุคคลเช่นนั้นออกไปเป็นสิ่งที่เหมาะสมใช่หรือไม่? (ใช่) พวกเขาควรถูกเอาตัวออกไป ไม่จำเป็นต้องแสดงความปรานีต่อพวกเขา สำหรับผู้ที่ไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้ หากอ้างอิงตามการสำแดงนานาประการของวิธีที่พวกเขาประพฤติปฏิบัติตนและสิ่งที่พวกเขาใช้ดำเนินชีวิต พวกเขาก็คือผู้ไม่เชื่อที่อยู่ในคริสตจักร เป็นคนชั่วประเภทหนึ่งที่ควรถูกเอาตัวออกไป ไม่ว่าการกระทำของพวกเขาเป็นการกระทำอย่างลับๆ หรือเปิดเผย เมื่อพบว่าใครบางคนไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้ และแก่นแท้ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาย่อมเป็นแก่นแท้ของผู้ไม่เชื่อโดยสมบูรณ์ เมื่อนั้นจงรายงานเรื่องพวกเขาต่อผู้นำและคนทำงานทันที รวมถึงบอกกล่าวพี่น้องชายหญิง ควรมีการแยกแยะที่ถูกต้องและทันท่วงทีต่อบุคคลเช่นนั้น แล้วพวกเขาก็ควรถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักรโดยเร็วที่สุด จงอย่าปล่อยให้พวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับคริสตจักร กับงานของคริสตจักร หรือกับพี่น้องชายหญิง การเอาตัวพวกเขาออกไปให้หมดจดเป็นการกระทำที่ถูกต้อง นี่คือการสิ้นสุดสามัคคีธรรมถึงการสำแดงของความเป็นมนุษย์—นั่นคือ การไม่สามารถระวังคำพูดของตน
ผู้คนสามประเภทที่สามัคคีธรรมกันในวันนี้เป็นกรณีที่ร้ายแรงกว่าอีกสองประเภทที่สามัคคีธรรมกันไปก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่? (ใช่) สภาพการณ์ของพวกเขาแย่กว่า ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเลวทรามกว่าและน่ารังเกียจมากกว่า อีกทั้งความเสียหายและผลกระทบที่มีต่อผลประโยชน์ของคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงทุกคนก็หนักหนากว่า เพราะฉะนั้น จงอย่าดูเบาผู้คนทั้งสามประเภทนี้ ควรระแวดระวังพวกเขาอย่างเข้มงวดและไม่ควรตามใจพวกเขา หากใครก็ตามถูกระบุว่าเป็นหนึ่งสามประเภทนี้ เขาก็ควรถูกเปิดโปงและแยกแยะในทันที จากนั้นก็จัดการกับเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ หากเขากำลังทำหน้าที่สำคัญ จงหาใครสักคนมารับหน้าที่ต่อจากเขาทันที จากนั้นก็ปลดเขาออกจากหน้าที่ดังกล่าวและเอาตัวเขาออกไป เข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) สภาวะนานาประการของพี่น้องชายหญิงในคริสตจักร การสำแดงอันหลากหลายของพวกเขาในช่วงเวลาต่างๆ งานของคริสตจักร แม้กระทั่งกิจธุระในคริสตจักรบางอย่างเป็นสิ่งที่ได้รับอนุญาตให้หารือและสามัคคีธรรมกันในหมู่พี่น้องชายหญิงเท่านั้น การนี้เพื่อทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมีความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และมีความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้ เพื่อสัมฤทธิ์ความสามารถในการปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริง อย่างไรก็ตาม หลักธรรมข้อหนึ่งที่ต้องชัดเจนก็คือ ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือหลักธรรมเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร หรือไม่ว่าจะเป็นข้อบังคับสำหรับกิจธุระทั่วไปก็ตาม ห้ามนำสิ่งเหล่านี้ไปพูดกับผู้ไม่มีความเชื่อเด็ดขาด นั่นจะส่งผลให้ผู้ไม่มีความเชื่อแสดงความคิดเห็นและกล่าวโทษ นี่เป็นเรื่องที่ต้องห้ามโดยสิ้นเชิง บางคนอาจจะกล่าวว่า “หากนี่เป็นเรื่องต้องห้ามโดยสิ้นเชิง นั่นหมายความว่านี่คือกฎการปกครองใช่หรือไม่?” สามารถกล่าวในหนทางนี้ว่า ผู้ใดก็ตามที่ทำข้อมูลรั่วไหลจะต้องแบกรับผลที่สืบเนื่องที่สอดคล้องกัน เหตุใดพวกเขาจะต้องแบกรับผลที่ตามมา? เพราะพวกที่ทำให้เรื่องภายในคริสตจักรรั่วไหลออกไป ไม่ปกป้องคริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิง ทั้งยังสามารถทรยศคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงได้อย่างง่ายดาย ในเมื่อพวกเขาทำตัวเป็นคนทรยศและยูดาส พวกเขาก็ไม่ควรได้รับการปรานี หรือถือว่าเป็นพี่น้องชายหญิงหรือครอบครัวอีกต่อไป พวกเขาควรถูกจัดการในฐานะคนทรยศและเป็นยูดาส และควรถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักรโดยตรง คนบางคนกล่าวว่า “ฉันเคยมีนิสัยที่ไม่ดีโดยเป็นคนปากพล่อย ฉันมีแนวโน้มที่จะพูดโดยไม่ยั้งคิด ตอนนี้พอได้เห็นผลที่ตามมาของการกระทำเช่นนั้น ฉันก็ไม่กล้าพูดอย่างไม่ยั้งคิดอีกต่อไป” ดีแล้ว ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ พฤติกรรมของเจ้าจะถูกเฝ้าสังเกต หากเจ้ากลับตัวและกลับใจโดยแท้จริง ไม่ส่งต่อข้อมูลหรือทรยศผลประโยชน์ของพี่น้องชายหญิงโดยไม่ยั้งคิดอีกต่อไป ทั้งยังสามารถระวังคำพูดของตนได้ พระนิเวศของพระเจ้าก็จะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง หากพบว่าเจ้าทำเช่นนี้อีก ว่าเจ้าคือคนที่เผยแพร่ข้อมูลบางอย่าง ก็จะไม่มีการแสดงปรานีใดๆ ต่อเจ้าทั้งสิ้น—พี่น้องชายหญิงในคริสตจักรจะรวมกันเป็นหนึ่งเพื่อเอาตัวเจ้าออกไป เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น จงอย่าร่ำไห้หรือพร่ำบ่นว่าเจ้าไม่ได้รับการตักเตือนล่วงหน้า ขณะนี้สิ่งทั้งหลายได้รับการอธิบายโดยชัดเจนแล้ว หากเกิดเรื่องนี้ขึ้นอีกครั้ง พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ปรานีโดยเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) หากพวกเจ้าพบใครก็ตามที่ยังไม่เข้าใจ จงอธิบายเรื่องนี้ให้พวกเขาฟัง ชี้ให้พวกเขาเห็นโดยใช้สิ่งที่พวกเราสามัคคีธรรมกันในวันนี้ หากพวกเจ้าสังเกตเห็นใครสักคนกำลังแสดงสัญญาณของพฤติกรรมนี้ หรือเห็นใครสักคนเคยกระทำการในหนทางนี้มาก่อน จงสื่อสารกับเขา ตักเตือนเขา และบอกให้เขารู้ถึงธรรมชาติและผลที่ตามมาของการกระทำเช่นนั้น รวมถึงท่าทีที่พระนิเวศของพระเจ้ามีต่อเรื่องราวและผู้คนเหล่านี้ เมื่ออธิบายสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจนแล้ว จงเฝ้าสังเกตเขาเพื่อดูว่าเขาสามารถกลับใจได้หรือไม่ และเขาจะทำเช่นไรในอนาคต หากเขาเปลี่ยนไปและไม่กระทำการในหนทางเช่นนั้นอีก ก็สามารถยอมรับเขากลับมา และปฏิบัติต่อเขาในฐานะพี่น้องชายหญิงได้ แต่หากเขายังดื้อดึงไม่กลับใจและยังลอบกระทำการเช่นนี้ต่อไป เมื่อไรก็ตามที่เจ้าพบคนเช่นนั้น ก็จงเอาตัวเขาออกไปเสีย หากเจ้าพบสองคน ก็จงเอาตัวพวกเขาออกไปทั้งสองคน หากเจ้าพบหนึ่งกลุ่ม เช่นนั้นก็จงเอาตัวพวกเขาออกไปทั้งกลุ่ม อย่าแสดงความปรานีใดๆ บางคนถามว่า “ฉันสามารถพูดคุยกับคนในครอบครัวที่ครั้งหนึ่งเคยเชื่อในพระเจ้า แต่ต่อมาถูกเอาตัวออกไปได้หรือไม่?” ดูเหมือนพวกที่ชอบพูดจาพล่อยๆ และซุบซิบนินทาย่อมพบว่าการควบคุมตนเองไม่ใช่เรื่องง่าย เฝ้าถามด้วยความดื้อดึงอยู่เสมอว่าการนั้นทำได้หรือไม่ พวกเจ้าคิดว่าทำได้หรือไม่? (ไม่ได้) ไม่อนุญาตให้พูดคุยกับใครทั้งสิ้น เพราะนำไปสู่ผลพวงทั้งหลายได้อย่างง่ายดาย ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดต้องถูกจัดการในฐานะยูดาส พวกที่เป็นผู้ไม่มีความเชื่อ พวกที่เคยถูกเอาตัวออกไป พวกที่สนิทกับเจ้า พวกที่ไว้วางใจได้ พวกที่สนับสนุนความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า พวกที่มีภาพประทับใจที่ดีต่อการเชื่อในพระเจ้า และพวกที่เชื่อในพระเจ้าแต่เพียงในนาม พวกที่เพียงใช้ชีวิตคริสตจักรและอ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่บ้างแต่ไม่ทำหน้าที่ของตนเลย จงอย่าพูดคุยกับคนเหล่านี้—หากผู้ใดพูดออกไป เขาจะถูกจัดการในฐานะที่เป็นยูดาส เข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) ใครอีกที่รวมอยู่ในพวกที่ไม่ทำหน้าที่ของตน? สมาชิกทั่วไปของคริสตจักรก็รวมอยู่ด้วยใช่หรือไม่? (ใช่) จงอย่าลืมเรื่องนี้ อย่าเป็นคนโง่เขลา พวกเจ้าต้องเข้าใจหลักธรรมให้ดี จงอย่าเชื่อต่อไปเพียงเพื่อลงเอยด้วยการกลายเป็นยูดาสและทรยศพระนิเวศของพระเจ้า ทรยศพี่น้องชายหญิงโดยไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ ทั้งยังถึงกับรู้สึกภูมิใจในเรื่องนี้ การไม่สามารถระวังคำพูดของตนและถึงกับทรยศงานของคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงเป็นการกระทำผิดที่ร้ายแรง พระเจ้าทรงเฝ้าบันทึกว่าใครที่กระทำชั่วเช่นนั้น บัดนี้ เมื่อเรื่องนี้ถูกอธิบายให้เจ้าฟังโดยกระจ่าง และเจ้าก็เข้าใจแล้ว หากเจ้าทำเช่นนี้อีกครั้ง นี่ย่อมไม่ใช่การกระทำผิดธรรมดาอีกต่อไป นี่คือการละเมิดกฎการปกครอง ซึ่งทำให้เจ้ากลายเป็นเป้าหมายของการถูกเอาตัวออกไปและเจ้าจะถูกตัดสิทธิ์ในการได้รับความรอด เข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ)
11 ธันวาคม ค.ศ. 2021