มีเพียงการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราเท่านั้นที่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

ขณะนี้ พวกเจ้าทุกคนกำลังทำหน้าที่ของตนอย่างกระตือรือร้นทีเดียว และพวกเจ้าก็สามารถรับมือกับความทุกข์ได้บ้างเล็กน้อย แล้วในเรื่องของการเข้าสู่ชีวิต พวกเจ้ามีเส้นทางไปข้างหน้าหรือไม่?  พวกเจ้าได้รับความรู้แจ้งใหม่หรือเห็นความสว่างใหม่หรือไม่?  การเข้าสู่ชีวิตเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเช่นเดียวกับการทำหน้าที่ของคนเรา แต่การที่จะสามารถทำหน้าที่ของตนให้ดี ให้ถึงมาตรฐานที่ยอมรับได้ และทำหน้าที่ของพวกเจ้าด้วยความจงรักภักดีนั้น—หนทางที่จะสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้คืออะไร?  (การไล่ตามเสาะหาความจริง)  ถูกต้อง เจ้าต้องไล่ตามเสาะหาความจริง  สิ่งใดคือหนทางในการไล่ตามเสาะหาความจริง?  เจ้าต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง  เจ้าต้องนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านั้นให้บ่อยขึ้นเพื่อให้ได้รับความจริง และตอนนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถเข้าใจความจริงได้  ดังนั้น เพื่อที่จะเข้าใจความจริง เจ้าไม่ต้องทุ่มเทความพยายามอย่างหนักให้กับพระวจนะของพระเจ้าหรอกหรือ?  คนบางคนกล่าวว่า “หลายปีมานี้ที่ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าค่อนข้างมากทีเดียวและได้เข้าใจความจริงบางประการอย่างแท้จริง แต่เมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับฉัน ฉันกลับค้นหาเส้นทางไม่พบและไม่รู้ว่าจะปฏิบัติความจริงอย่างไร ทำไมฉันถึงไม่สามารถนำสิ่งที่ฉันเข้าใจและพูดถึงมาใช้ประโยชน์ได้?  ตอนนี้เองที่ฉันตระหนักว่าทั้งหมดที่ฉันรู้คือคำพูดและคำสอน และฉันก็ไม่รู้วิธีปฏิบัติความจริงเวลาที่มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับฉัน  ฉันช่างน่าสงสารและน่าเวทนาเหลือเกิน”  เวลาสามัคคีธรรม คนบางคนมักจะพรั่งพรูคำพูดออกมาอย่างมากมายไม่หยุดหย่อน และถึงกับท่องพระวจนะของพระเจ้าจากความทรงจำได้บางส่วน พวกเขาจึงคิดว่าตนเองเข้าใจความจริง คิดว่าตนเองอยู่ฝ่ายวิญญาณ และคิดว่าตนเองมีความเป็นจริงความจริงอยู่บ้าง แต่เมื่อมีบางสิ่งซึ่งไม่ตรงตามความปรารถนาเกิดขึ้นกับพวกเขาในวันหนึ่ง พวกเขาก็จะเริ่มมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า  บางครั้งพวกเขาถึงกับพร่ำบ่นเรื่องพระองค์เสียด้วยซ้ำ  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจะถูกเผยออกมา และไม่ว่าพวกเขาอธิษฐานอย่างไร พวกเขาก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาของตนได้  เมื่อผู้อื่นสามัคคีธรรมเรื่องความจริงกับพวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า “ฉันเข้าใจคำสอนนี้ดีกว่าคุณ  ในเรื่องของการเข้าใจความจริง ฉันก็เข้าใจมากกว่าคุณ  ในเรื่องของการประกาศคำสอน ฉันก็รู้วิธีพูดดีกว่าคุณ ในเรื่องของการฟังคำเทศนา ฉันก็ฟังมามากกว่าคุณ ในเรื่องของการทุ่มเทความพยายาม ฉันก็ทุ่มเทความพยายามมากกว่าคุณ ในเรื่องของการเชื่อในพระเจ้า ฉันก็เชื่อในพระเจ้ามานานกว่าคุณ  อย่าพยายามสั่งสอนฉันเลย ฉันเข้าใจทุกอย่าง”  พวกเขาคิดว่าพวกเขาเข้าใจทุกอย่าง แต่เมื่อความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของพวกเขาเข้ามามีบทบาท อีกทั้งพวกเขาถูกควบคุมโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร  คำสอนทางฝ่ายวิญญาณที่พวกเขามักจะโพล่งออกมานั้นไม่สามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นของพวกเขาได้  ที่จริงแล้ววุฒิภาวะของพวกเขามากหรือน้อยกันแน่?  พวกเขาคิดว่าตนเข้าใจความจริง แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นในปัจจุบันของตนได้?  เกิดอะไรขึ้นกับเรื่องนี้?  พวกเจ้าไม่ได้ประสบปัญหาประเภทนี้อยู่บ่อยครั้งหรอกหรือ?  นี่คือความลำบากยากเย็นทั่วไปที่เหล่าผู้เชื่อประสบเมื่อเป็นเรื่องของการเข้าสู่ชีวิต และเป็นความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวงที่สุดของมนุษย์  ก่อนที่บางสิ่งจะเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าอาจคิดว่าเจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามาระยะหนึ่งแล้ว คิดว่าเจ้ามีวุฒิภาวะและรากฐานในระดับหนึ่ง และในยามที่สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับผู้อื่น เจ้าก็สามารถมองสิ่งเหล่านั้นออกบ้างเล็กน้อย  เจ้ายังสามารถทนทุกข์ได้มากมายขณะทำหน้าที่ของตน สามารถยอมทนลำบากอย่างใหญ่หลวง และสามารถเอาชนะความลำบากยากเย็นของตนเองได้อย่างมากมาย อย่างเช่น ความเจ็บป่วยทางกาย ข้อเสีย และความขาดตกบกพร่อง  แต่เรื่องที่แก้ไขได้ยากที่สุดก็คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามนานาประการที่ผู้คนเผยให้เห็นอยู่เป็นประจำนั่นเอง  “อุปนิสัยอันเสื่อมทราม” เป็นคำที่ผู้คนคุ้นเคย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าใจอย่างชัดเจนว่าแท้จริงแล้วอุปนิสัยอันเสื่อมทรามคืออะไร การเผยใดที่ถือเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และความคิดและการกระทำใดเป็นผลจากอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  หากผู้คนไม่เข้าใจหรือไม่ทำความเข้าใจว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามคืออะไร หรือการกระทำใดที่เป็นการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เช่นนั้นก็อาจจะมีใครบางคนคิดไม่ใช่หรือว่าต่อให้พวกเขาใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ตราบเท่าที่พวกเขาไม่ทำบาป พวกเขาก็กำลังปฏิบัติความจริง?  พวกเจ้ามีสภาวะเช่นนั้นหรือไม่?  (พวกเรามีสภาวะเช่นนั้น)  หากเจ้าไม่เข้าใจหรือไม่ทำความเข้าใจเลยว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามคืออะไร เช่นนั้นเจ้าจะสามารถรู้จักตนเองหรือ?  เจ้าจะสามารถทำความเข้าใจธรรมชาติอันเสื่อมทรามของตนเองได้หรือ?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  หากเจ้าไม่รู้ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามคืออะไร เช่นนั้นแล้วเจ้าจะรู้วิธีปฏิบัติตนเพื่อนำความจริงไปสู่การปฏิบัติ รู้ว่าการปฏิบัติตนแบบใดถูกและแบบใดผิดได้อย่างนั้นหรือ?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  เพราะฉะนั้นผู้คนที่ไม่รู้จักตนเองย่อมจะไม่มีการเข้าสู่ชีวิต

เส้นทางของการเข้าสู่ชีวิตกินความถึงสภาวะต่างๆ มากมาย  พวกเจ้าทุกคนน่าจะรู้จักคำว่า “สภาวะ” แต่สภาวะหมายถึงอะไร?  พวกเจ้าเข้าใจคำนี้ว่าอย่างไร?  (สภาวะคือมุมมองและความคิดที่พรั่งพรูออกจากคนคนหนึ่งในยามที่เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นกับพวกเขา สภาวะสามารถมีอิทธิพลและควบคุมคำพูด ความประพฤติ และทางเลือกของพวกเขา  ทั้งหมดนี้คือสภาวะ)  นั่นก็ใกล้เคียง  มีใครต้องการพูดอะไรอีกหรือไม่?  (สภาวะหมายความว่า บุคคลหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่เป็นลบและค่อนข้างผิดปกติเพราะพวกเขาถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามบางประเภทครอบงำอยู่ในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง หรือในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง—ตัวอย่างเช่น ในเวลาที่พวกเขาถูกตัดแต่งอย่างรุนแรง หรือเวลาที่พวกเขาเผชิญกับความลำบากยากเย็นบางอย่าง)  (ช่วงนี้เมื่อข้าพระองค์ได้ผลลัพธ์บางอย่างขณะที่ข้าพระองค์ทำหน้าที่ ข้าพระองค์ก็อยู่ในสภาวะประเภทที่พึงพอใจในตัวเองจนชะล่าใจ  ข้าพระองค์คิดว่าตัวเองได้เปลี่ยนไปแล้ว คิดว่าข้าพระองค์มีความเป็นจริงความจริง และข้าพระองค์จะต้องได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าอย่างแน่นอน ทว่าที่จริง ข้าพระองค์ยังห่างไกลจากข้อกำหนดของพระเจ้าอยู่มาก  ตอนนี้เองที่ข้าพระองค์เข้าใจอย่างแท้จริงว่า นี่คือสภาวะที่โอหังและทะนงตน)  สภาวะทั้งหลายที่พวกเจ้าได้เสวนาถึงล้วนเป็นลบ แล้วมีสภาวะที่ถูกต้องและเป็นบวกหรือไม่?  (มี  ตัวอย่างเช่น เมื่อข้าพระองค์ต้องการทุ่มสุดกำลังเพื่อจะทำให้พระเจ้าพอพระทัย ข้าพระองค์ก็สามารถกบฏต่อเนื้อหนังของตัวเองและปฏิบัติความจริงได้ สภาวะประเภทนั้นเป็นบวก)  จนถึงบัดนี้ พวกเจ้าก็เพียงพรรณาถึงสภาวะบางอย่างโดยไม่ได้ระบุว่าสภาวะคืออะไรกันแน่  ดังนั้นตอนนี้พวกเรามาสรุปกันเถิดว่า จากที่พวกเจ้าได้กล่าวมาทั้งหมดนั้น แท้จริงแล้วสภาวะคืออะไร  “สภาวะ” หมายถึงอะไรกันแน่?  สภาวะคือมุมมองประเภทหนึ่งที่ผู้คนมี หรือเป็นภาวะของผู้คนในยามที่สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขา รวมไปถึงความคิด อารมณ์ และจุดยืนที่เกิดจากภาวะนี้  ตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้าถูกตัดแต่งขณะที่เจ้ากำลังทำหน้าที่ของเจ้า เจ้าจะรู้สึกไม่มีความสุข และเจ้าจะอยู่ในสภาวะที่เป็นลบ  มุมมองและท่าทีทั้งหลายที่เจ้าเผยออกมาในเวลานี้ รวมถึงจุดยืนของเจ้า—สิ่งเหล่านี้คือรายละเอียดบางประการที่เกี่ยวข้องกับสภาวะของเจ้า  นี่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายที่พวกเจ้าได้รับประสบการณ์อยู่เป็นประจำหรอกหรือ?  (เกี่ยวข้อง)  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คน เป็นบางสิ่งที่ทุกคนสามารถเชื่อมโยงได้—เป็นบางสิ่งที่พวกเขาสามารถรู้สึก มีประสบการณ์ และเข้ามาสัมผัส—ในชีวิตประจำวันแต่ละวันของพวกเขา  แล้วพวกเจ้าคิดว่าเมื่ออยู่ในสภาวะที่เป็นลบ สิ่งที่พรั่งพรูออกจากคนคนหนึ่งคืออะไร?  (การเข้าใจผิด การหลบเลี่ยง การยับยั้งชั่งใจตนเอง และการวางมือโดยสิ้นเชิงหลังความพ่ายแพ้ เมื่อเป็นเรื่องร้ายแรง บางคนอาจจะถึงกับบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบของพวกเขาเสียด้วยซ้ำ)  เมื่อเป็นเรื่องร้ายแรงและพวกเขาบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบของตนเอง นั่นเป็นท่าทีหรือจุดยืน?  หรือเป็นอย่างอื่น?  (นั่นเป็นภาวะและอารมณ์ประเภทหนึ่ง)  นี่เป็นมากกว่าภาวะและอารมณ์  ในเวลานี้ ท่าทีที่บุคคลหนึ่งมีขณะทำหน้าที่ของตนน้ันคืออะไร?  (พวกเขาย่อมคิดลบและหย่อนยาน พวกเขาไร้ซึ่งแรงจูงใจ และแสร้งทำไปพอเป็นพิธีเท่านั้น)  นี่กินความไปถึงสภาวะที่แท้จริงของเรื่องราวต่างๆ  คำกล่าวที่ว่า “พวกเขาไร้ซึ่งแรงจูงใจ” เป็นวลีที่ไร้ความหมาย เจ้าต้องพูดถึงสภาวะที่แท้จริงของเรื่องราวต่างๆ  เมื่อผู้คนขาดแรงจูงใจในการทำหน้าที่ของตน ในหัวใจของพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่?  พวกเขาเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดออกมาในเวลานี้?  (พวกเขาทำหน้าที่ของตนแบบสุกเอาเผากิน พวกเขาทำสิ่งต่างๆ อย่างไม่เต็มใจ)  นี่ไม่ใช่อุปนิสัย ทว่าเป็นคำจำกัดความที่นำมาใช้กับการปฏิบัติตนของเจ้า นี่คือหนทางในการปฏิบัติตน  แต่เรื่องที่ว่าสิ่งใดเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าสุกเอาเผากินนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องขุดให้ลึกลงไปอีกหรือ?  เมื่อขุดลงไปให้ลึกมากพอ เจ้าย่อมจะเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมา  การสุกเอาเผากินเป็นการเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  วิธีคิดในหัวใจของเจ้าสามารถนำไปสู่การสุกเอาเผากินในขณะที่เจ้าทำหน้าที่ของเจ้า และสามารถพาให้เจ้ากระตือรือร้นน้อยลงกว่าเดิม  ความคิดนั้นของเจ้าคืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม และสิ่งที่นำไปสู่ความคิดนั้นก็คือธรรมชาติของเจ้า  คนบางคนเผชิญกับการตัดแต่งขณะที่พวกเขาทำหน้าที่ของตน และพวกเขากล่าวว่า “ด้วยความสามารถอันจำกัดของฉัน จริงๆ แล้วฉันทำได้มากแค่ไหน?  ฉันไม่เข้าใจอะไรมากนัก ดังนั้นถ้าฉันต้องการทำงานนี้ให้ดี ฉันจะไม่ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ หรือ?  นั่นจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับฉันหรือ?  พระเจ้าไม่ทรงเข้าใจผู้คน นี่ไม่เหมือนการไล่เป็ดให้ขึ้นไปเกาะคอนหรอกหรือ?  ปล่อยให้คนที่เข้าใจดีกว่าฉันมาทำเถิด  ฉันทำได้แค่นี้—ฉันทำมากกว่านี้ไม่ได้”  ผู้คนคิดและพูดเช่นนี้อยู่เป็นประจำใช่หรือไม่?  (ใช่)  ทุกคนสามารถยอมรับเรื่องนั้นได้  ไม่มีผู้ใดที่เพียบพร้อม และไม่มีผู้ใดเป็นทูตสวรรค์ ผู้คนไม่ได้ใช้ชีวิตในสุญญากาศ  ทุกคนต่างมีความคิดและการเผยความเสื่อมทรามเหล่านี้  ทุกคนสามารถเผยสิ่งเหล่านี้และใช้ชีวิตในสภาวะเหล่านี้เป็นนิจสิน และนี่ไม่ใช่ความตั้งใจของพวกเขาเอง ทว่าพวกเขาอดไม่ได้ที่จะคิดเช่นนี้  ก่อนที่จะมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา ผู้คนต่างมีสภาวะที่ค่อนข้างเป็นปกติ แต่เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา สิ่งทั้งหลายก็ต่างออกไป—สภาวะที่เป็นลบถูกเผยออกมาตามธรรมชาติอย่างง่ายดาย ไร้อุปสรรคหรือการยับยั้งชั่งใจ และไร้ซึ่งการยุยงหรือการส่งเสริมจากผู้อื่น ตราบใดที่สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาเผชิญอยู่นั้นไม่ตรงตามเจตจำนงของตนเอง อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ก็ย่อมถูกเผยออกมาได้ทุกที่และทุกเวลา  เหตุใดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้จึงถูกเผยออกมาได้ทุกที่และทุกเวลา?  นี่พิสูจน์ว่าผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและธรรมชาติอันเสื่อมทรามประเภทนี้อยู่ในตัวเอง  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนไม่ได้ถูกกำหนดจากผู้อื่น และไม่ใช่สิ่งที่ปลูกฝังโดยผู้อื่น นับประสาอะไรกับการถูกสั่งสอน ยุยง หรือส่งเสริมจากผู้อื่น แต่ผู้คนได้สิ่งเหล่านี้มาด้วยตัวเอง  หากผู้คนไม่แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะที่ถูกต้องและเป็นบวกได้  เหตุใดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้จึงถูกเผยให้เห็นบ่อยครั้ง?  อันที่จริงพวกเจ้าทุกคนเริ่มรู้ตัวแล้วว่าสภาวะเหล่านี้ไม่ถูกต้องและผิดปกติ เป็นสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง ทว่าจวบจนบัดนี้พวกเจ้าก็ยังไม่ได้ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ หรือยอมทิ้งความคิดและมุมมองที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้เลย และสภาวะของพวกเจ้าก็ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญใดๆ  หลังจากผ่านไปสิบหรือยี่สิบปีพวกเจ้าก็ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดทั้งสิ้น ทั้งยังอยู่ในสภาวะเดียวกับเมื่อตอนที่เจ้าเผยความเสื่อมทราม ออกมาโดยไม่มีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แล้วปัญหาคืออะไร?  เรื่องนี้พิสูจน์อะไร?  ตลอดหลายปีมานี้ พวกเจ้าส่วนมากยังไม่มีการเติบโตขึ้นเลย พวกเจ้าเข้าใจคำพูดและคำสอนบางอย่างเท่านั้น แต่พวกเจ้าไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติ และไม่สามารถมอบคำพยานจากประสบการณ์ได้ นี่เป็นเพราะตลอดหลายปีนี้พวกเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเจ้ายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเลย  นี่พิสูจน์ว่าประสบการณ์ชีวิตของพวกเจ้าตื้นเขินเกินไปและไม่มีความลึกซึ้ง จึงพูดได้อย่างมั่นใจว่าวุฒิภาวะที่พวกเจ้ามีในปัจจุบันนั้นน้อยเกินไป และพวกเจ้าไม่ได้ครองความเป็นจริงความจริงใดๆ เลย  พวกเจ้าสามารถยอมรับสิ่งที่เรากล่าวไปได้หรือไม่?  บรรดาผู้มีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่บ้างควรที่จะเข้าใจคำพูดของเราได้ แต่พวกที่ไม่เข้าใจความจริงและยังไม่รู้ว่าการเข้าสู่ชีวิตคืออะไรอาจจะไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านี้  เหตุใดเราจึงเพียงถามพวกเจ้าว่าสภาวะคืออะไร?  หากพวกเจ้าไม่เข้าใจว่าสภาวะคืออะไร เช่นนั้นพวกเจ้าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่เลย พวกเจ้าจะเพียงฟังคำพูดโดยปฏิบัติต่อคำพูดเหล่านั้นราวกับเป็นสิ่งที่ถูกต้อง  หากพวกเจ้ามีมุมมองที่ว่านี้ นั่นก็พิสูจน์ว่าพวกเจ้าไม่มีประสบการณ์ และพวกเจ้าไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า  หากผู้คนต้องการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง มีการเข้าสู่ชีวิตโดยแท้จริง พวกเขาต้องเข้าใจสภาวะต่างๆ มากมาย พวกเขาต้องเข้าใจและจัดการปัญหาของตนเองให้ได้ และต้องรู้ว่าพวกเขาอยู่ในสภาวะประเภทใดในชีวิตจริง รู้ว่าสภาวะนั้นจะถูกหรือผิด รู้ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทใดที่ผู้คนเผยให้เห็นเมื่อพวกเขาอยู่ในสภาวะที่ผิด และรู้ว่าแก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนี้คืออะไร—พวกเขาต้องทำความเข้าใจทั้งหมดนี้  หากเจ้าไม่ทำความเข้าใจหรือจับความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วประการหนึ่งก็คือ เจ้าย่อมไม่รู้ว่าจะเริ่มมีความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองจากจุดไหนเพื่อให้ตัวเองเปลี่ยนแปลง อีกประการหนึ่งคือ เจ้าย่อมไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรือเข้าสู่ความจริงจากตรงไหน  พวกเจ้าประสบพบเจอสถานการณ์เช่นนั้นอยู่บ่อยๆ ใช่หรือไม่?  หลังจากฟังเราพูดถึงบางสิ่งบางอย่าง พวกเจ้าก็เพียงรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้นเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นหมายถึงสภาวะใด และไม่สามารถนำไปปรับใช้กับตัวเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่แสดงให้เห็นว่าประสบการณ์ของพวกเจ้ายังไปไม่ถึงจุดนั้น  หากสิ่งที่เราพูดถึงเกี่ยวข้องกับพวกเจ้า และเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเจ้าอย่างใกล้ชิด—ตัวอย่างเช่น การพูดถึงสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนได้มาสัมผัสในทุกๆ วันที่พวกเขาทำหน้าที่ของตน หรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลายที่ผู้คนเผยให้เห็นในขณะที่พวกทำหน้าที่ หรือสิ่งทั้งหลายที่พาดพิงถึงเจตนา อุปนิสัยโอหังของผู้คน การเป็นคนสุกเอาเผากิน หรือท่าทีของพวกเขาขณะที่ทำหน้าที่ของตน—เมื่อพวกเจ้าได้ฟังแล้ว พวกเจ้าก็อาจจะนำไปปรับใช้กับตนเองได้  หากเราพูดเรื่องนี้ให้ลึกซึ้งลงไปอีก ก็อาจจะมีสิ่งต่างๆ ที่พวกเจ้าไม่สามารถนำไปปรับใช้กับตนเอง  เรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นบางครั้งใช่หรือไม่?  (ใช่)  สำหรับสิ่งต่างๆ ที่พวกเจ้าไม่สามารถนำไปปรับใช้กับตนเองได้ พวกเจ้าก็ฟังสิ่งเหล่านั้นราวกับฟังคำสอน เพียงปล่อยให้เข้าหูซ้ายแล้วทะลุหูขวาใช่หรือไม่?  เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าควรเข้าใจสิ่งที่เจ้าสามารถนำไปปรับใช้กับตนเองเหล่านั้นว่าอย่างไร?  (จงคิดทบทวนแล้วมารู้จักตนเอง และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความเสื่อมทรามของพวกเราเอง)  นี่คือหนทางที่ถูกต้องในการมีประสบการณ์

การที่จะกล่าวว่า การคิดทบทวนและทำความรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญนั้นเป็นถ้อยแถลงอย่างกว้างๆ  ที่จริงแล้วเจ้าควรคิดทบทวนและทำความรู้จักตนเองอย่างไร?  มีเส้นทางอยู่ตรงนี้ นั่นคือเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าควรดูที่มุมมองและท่าทีของเจ้า ดูความคิดที่เจ้ามี และดูว่าเจ้ามองดู จัดการ และปฏิบัติต่อปัญหานี้จากจุดยืนประเภทใด  ด้วยขั้นตอนเหล่านี้ เจ้าย่อมคิดทบทวนและมารู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเจ้าเอง  จุดประสงค์ของการทบทวนและการรู้จักตนเองในแบบนี้คืออะไร?  คือเพื่อให้เข้าใจสภาวะอันเสื่อมทรามของเจ้าเองได้ดียิ่งขึ้น แล้วจึงแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของเจ้าและเพื่อสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย  แล้วตอนนี้พวกเจ้าทุกคนอยู่ในระยะใด?  พวกเจ้ารู้จักตนเองลึกซึ้งและมากเพียงใด?  พวกเจ้าเข้าใจสภาวะของตนเองมากเพียงไรในช่วงเวลาต่างๆ หรือในยามที่สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเจ้า?  พวกเจ้าได้ทุ่มเทความพยายามหรือทำการบ้านในเรื่องนี้บ้างหรือไม่?  พวกเจ้ามีประสบการณ์กับการเข้าบ้างหรือไม่?  (เมื่อมีสิ่งที่ชัดเจนกว่าหรือมีเหตุการณ์ที่สำคัญกว่าเกิดขึ้นกับข้าพระองค์ ข้าพระองค์อาจพบการเผยบางอย่างของตัวเองในขณะที่พลาดประเด็นปัญหาที่เล็กกว่าไปอย่างง่ายดาย  บางครั้งข้าพระองค์ก็ไม่รู้ตัวว่าตนเองใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่ผิด)  ยามที่พวกเจ้าไม่รู้ตัว พวกเจ้าอยู่ในสภาวะประเภทใด?  พวกเจ้าจะไม่รู้ตัวในสถานการณ์แบบใด?  (การที่ข้าพระองค์ทำหน้าที่ของตนเพียงเสมือนการทำสิ่งทั้งหลาย โดยไม่พยายามให้กับความจริงในพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้นต่อให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามถูกเผยออกมา ข้าพระองค์ก็จะไม่รู้)  การปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนว่าเป็นเพียงการทำสิ่งต่างๆ ว่าเป็นอาชีพ งาน หรือความรับผิดชอบประเภทหนึ่ง และทำสิ่งนั้นอย่างไร้ความรู้สึกโดยไม่เชื่อมเข้าหาการเข้าสู่ชีวิตนั้นเป็นสภาวะที่ธรรมดามาก เป็นการปฏิบัติต่อหน้าที่ของพวกเจ้าราวกับเป็นเพียงเรื่องที่ต้องจัดการมากกว่าเป็นเส้นทางหรือวิธีการเข้าสู่ชีวิต  ก็เหมือนการไปทำงาน คนบางคนปฏิบัติต่องานของพวกเขาว่าเป็นอาชีพ ควบรวมเข้ากับชีวิตของพวกเขา และผสานเข้ากับความสนใจและงานอดิเรก รวมถึงอุดมคติและเป้าหมายชีวิตของพวกเขา  ขณะเดียวกัน คนอื่นๆ ก็ปฏิบัติต่อการไปทำงานว่าเป็นความรับผิดชอบประเภทหนึ่ง—พวกเขาไม่ไปทำงานไม่ได้  พวกเขามาทำงานตรงต่อเวลาทุกวันเพื่อจะได้หาเงินมาจุนเจือครอบครัวของตนเอง แต่พวกเขาไม่ได้มีอุดมคติหรือเป้าหมายในชีวิตเลย  ตอนนี้พวกเจ้าส่วนมากไม่ได้อยู่ในสภาวะประเภทนี้หรอกหรือ?  หน้าที่ของพวกเจ้าถูกตัดขาดจากพระวจนะของพระเจ้าหรือจากความจริง  ต่อให้เจ้าตระหนักถึงข้อผิดพลาดของตนเอง เจ้าก็ไม่ได้สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงแต่อย่างใด เจ้าแค่ย้อนกลับไปคิดเรื่องการเข้าสู่ชีวิตเมื่อมีความรู้สึกผิดเล็กน้อยในหัวใจของเจ้าเท่านั้น  ส่วนเวลาที่เหลือ โดยทั่วไปแล้วเจ้าก็แค่ทำในสิ่งที่เจ้าต้องการ  เจ้าทำได้ดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเจ้าพอใจหรืออารมณ์ดี แต่หากวันหนึ่งมีบางสิ่งที่ขัดต่อความปรารถนาของเจ้าเกิดขึ้น หรือหากเจ้าฝันร้ายจนทำให้เจ้าอารมณ์ไม่ดี เช่นนั้นสิ่งนี้ก็สามารถส่งผลต่อสภาวะจิตใจของเจ้าไปอีกหลายวัน รวมถึงส่งผลต่อผลลัพธ์ในหน้าที่ของเจ้าด้วย  อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่มีการตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้ในหัวใจ เจ้าสับสนมึนงง และทำให้สิ่งต่างๆ ล่าช้าเป็นสิบวันหรือถึงขนาดสองสัปดาห์ และแค่ทำแบบสุกเอาเผากินพอให้ผ่านไป  เมื่อคนบางคนใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะเช่นนั้น การเข้าสู่ชีวิตย่อมหยุดชะงักไม่ใช่หรือ?  หากการเข้าสู่ชีวิตมาถึงจุดที่หยุดชะงัก การปฏิบัติตนของผู้คนและหน้าที่ที่พวกเขาทำสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้หรือ?  (ไม่ได้)  ทำไมไม่ได้เล่า?  การปฏิบัติตนและหน้าที่ของพวกเขาในกรณีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความจริง และไม่นับว่าเป็นการเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า ดังนั้นการทำหน้าที่ของพวกเขาในหนทางนี้จึงไม่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้  เป็นไปได้ว่าเจ้าไม่ได้ทำผิดพลาดในหน้าที่อยู่ชั่วขณะหนึ่ง ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่าการที่เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าในหนทางนี้ถูกต้องเหมาะสมอย่างแน่นอน ตราบเท่าที่เจ้าวิ่งวุ่นอยู่กับหน้าที่ของเจ้าเสมอ ไม่ละทิ้งงานของเจ้า และไม่ใคร่ครวญถึงสิ่งอื่นๆ เจ้าย่อมรู้สึกว่าการที่เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าในหนทางนี้ก็ดีอยู่แล้ว  ท่าทีประเภทนี้ไม่ได้เป็นตัวอย่างของการสุกเอาเผากินหรอกหรือ?  หากเจ้าพึงพอใจเพียงแค่การปฏิบัติตน โดยตัดขาดจากหลักธรรมความจริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ในการทำหน้าที่ของตนได้หรือ?  เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสิ้น เจ้าจะอธิบายเหตุผลต่อพระเจ้าอย่างไร?  หากเจ้าไม่รับผิดชอบขณะที่เจ้าทำหน้าที่ของเจ้า อีกทั้งไม่แสวงหาความจริงและรับมือกับเรื่องทั้งหลายตามหลักธรรม การทำหน้าที่ของเจ้าเช่นนี้เป็นไปตามมาตรฐานที่ยอมรับได้หรือไม่?  การนี้จะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่?  หากเจ้าเผชิญกับบททดสอบหรือถูกตัดแต่งโดยกระทันหัน จากนั้นก็ตระหนักว่าการพิพากษาและการตีสอนเกิดขึ้นเพราะเจ้าได้ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า จนปลุกเจ้าให้ตื่นจากความฝันในทันที และในที่สุดก็เป็นเหตุให้เจ้ารวบรวมสติได้อยู่สองสามวัน นี่คือสภาวะปกติสำหรับการเข้าสู่ชีวิตใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดในตัวเจ้าหลังจากที่เจ้าถูกตัดแต่งก็เหมือนความเจ็บปวดหลังจากถูกเฆี่ยนด้วยแส้  เจ้ามีความรู้เกี่ยวกับตนเองอยู่เล็กน้อย  จากภายนอกอาจดูเหมือนพวกเจ้าเติบโตขึ้นเล็กน้อยและเกิดความเข้าใจบางอย่างในเรื่องของการถูกตัดแต่ง พิพากษา และตีสอน  แต่พูดโดยส่วนตัวแล้ว หากผู้คนไม่ทำความเข้าใจหรือจับความเข้าใจในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและสภาวะอันเสื่อมทรามนานาประการของตนเองเลย และหากพวกเขาไม่เคยตรวจสอบสิ่งเหล่านี้โดยละเอียดถี่ถ้วน และไม่เคยแก้ไขปัญหาเหล่านี้เลย พวกเขาจะสามารถสัมฤทธิ์สภาวะที่เป็นปกติสำหรับการเข้าสู่ชีวิตได้หรือ?  พวกเขาจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือ?  เราไม่คิดว่าพวกเขาจะสัมฤทธิ์การนี้ได้โดยง่าย  คนบางคนกล่าวว่า “ฉันสามารถจับความเข้าใจหลักธรรมในเรื่องการทำหน้าที่ของฉันได้ นี่ไม่ใช่การเข้าใจความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงหรอกหรือ?”  การรักษากฎระเบียบเป็นเรื่องง่าย และการกระทำภายนอกก็ง่ายที่จะยึดถือ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่เท่ากับการปฏิบัติความจริง และไม่เท่ากับการรับมือเรื่องราวทั้งหลายตามหลักธรรม  ตัวอย่างเช่น สมมุติเจ้าต้องตื่นตีห้าทุกเช้า และเข้านอนตอนสี่ทุ่มทุกคืน เจ้าจะสามารถทำตามหลักการนี้ในชีวิตประจำวันของเจ้าได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ตารางเวลาจากตีห้าถึงสี่ทุ่มนับว่าดีทีเดียว สิ่งนี้ตรงตามจังหวะตามธรรมชาติของผู้คน และดีต่อร่างกายของพวกเขา แต่เหตุใดจึงยากที่พวกเขาจะยอมรับ?  ตรงนี้มีปัญหาอยู่  ไม่อาจกล่าวได้ว่าผู้คนไม่รู้จักความมีเหตุผลนี้ หรือไม่ตระหนักถึงความรู้ทั่วไปนี้—พวกเขารู้ทุกอย่างดีเกินไปด้วยซ้ำ—แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถยอมรับได้?  เหตุใดผู้คนจึงไม่เต็มใจที่จะยึดตามตารางเวลานี้ ไม่เต็มใจที่จะใช้ชีวิตตามวิถีทางและกิจวัตรนี้?  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางกายของผู้คน  การไม่ต้องการตื่นแต่เช้าตรู่นั้นไม่เหมือนกับการต้องการนอนให้มากขึ้น ต้องการทำตามความชอบใจส่วนตนและความรู้สึกทางกายหรอกหรือ?  การตื่นแต่เช้าตรู่ขัดกับความสะดวกสบายทางกายของผู้คน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เต็มใจที่จะตื่นเช้า และการตื่นเช้าก็ทำให้พวกเขารู้สึกไม่มีความสุข  แล้วผู้คนสามารถยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า “การตื่นแต่เช้าตรู่นั้นดีต่อร่างกายของเรา” ได้หรือไม่?  พวกเขาไม่สามารถยอมรับได้  ผู้คนไม่อาจละทิ้งผลประโยชน์เล็กน้อยนี้ได้ด้วยซ้ำ และพวกเขายังคงต้องฝึกวินัยทางกาย อธิษฐาน และพยายามปรับปรุงแก้ไขความคิดของตน  พวกเขายังต้องได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมของพวกเขาด้วย พวกเขาจะตื่นก็ต่อเมื่อเห็นว่าคนอื่นตื่นกันแล้ว และพวกเขาก็เริ่มกระดากใจที่ตนเองต้องการนอนต่อ  พวกเขารู้สึกว่าถูกบังคับให้ตื่นนอนทุกวัน และพวกเขาก็ไม่มีความสุขกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง  สิ่งใดที่นำไปสู่ความคิดและสภาวะเหล่านี้?  ผู้คนละโมบความสะดวกสบายทางกาย พวกเขาต้องการกระทำสิ่งใดก็ตามที่ตนปรารถนา และพวกเขาเก็บงำความคิดที่เกียจคร้านและทำตามใจตนเองเอาไว้  ประการหนึ่งคือ พวกเขาไม่คำนึงถึงรูปแบบปกติของร่างกายตนเอง และอีกประการหนึ่งคือ พวกเขาไม่คำนึงถึงหน้าที่ที่พวกเขากำลังทำอยู่ ทว่าพวกเขากลับมุ่งเน้นที่จะสนองผลประโยชน์ทางกายของตนเองเป็นอย่างแรก  สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ มีบางสิ่งอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ ซึ่งก็คือพวกเขาต้องการหลงระเริงกับเนื้อหนังและปล่อยตัวตามใจอยู่เสมอ  หากพวกเขาถูกตัดแต่ง พวกเขาก็พยายามอธิบายเหตุผล พยายามแก้ต่างให้ตนเองอยู่เสมอ ซึ่งค่อนข้างไม่สมเหตุสมผล  การตื่นเช้าตรู่เป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่ได้พาดพิงถึงผลประโยชน์หรือความสูญเสียของผู้คน—ตราบใดที่เจ้าสามารถเอาชนะความปรารถนาที่จะนอนให้มากขึ้นได้ เจ้าก็สามารถสัมฤทธิ์สิ่งนี้ได้—แต่การที่ผู้คนจะละทิ้งผลประโยชน์เล็กน้อยทางกายที่จะพักผ่อนให้นานขึ้นอีกเล็กน้อยนั้นเป็นเรื่องยากมาก  เมื่อความปรารถนาที่จะนอนให้มากขึ้นของเจ้าส่งผลต่องานของเจ้า เจ้าก็เริ่มตระหนักว่าสิ่งนี้ไม่ตรงตามหลักธรรมความจริง ไม่เพียงแต่เจ้าไม่ทบทวนตนเองเท่านั้น เจ้ายังถึงกับพร่ำบ่นอยู่ในใจ และเจ้าก็ไม่มีความสุข พลางคิดอยู่เสมอว่า “ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ทำตามใจตัวเองสักนิด หรือทำในสิ่งที่ฉันต้องการสักชั่วขณะหนึ่งเลย?”  คนบางคนมีความคิดเช่นนั้นอยู่บ่อยครั้ง  แล้วสภาวะนี้ควรได้รับการแก้ไขอย่างไร?  เจ้าต้องอธิษฐาน เอาชนะความลำบากยากเย็นทางกายของเจ้าให้ได้ เพียรพยายามที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เลิกละโมบความสะดวกสบาย สามารถทนทุกข์ จงรักภักดีต่อหน้าที่ของเจ้า ไม่ทำตามที่ตนเองต้องการ และเรียนรู้ที่จะยับยั้งชั่งใจตนเอง  การยับยั้งชั่งใจตนเองเป็นเรื่องง่ายหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดจึงไม่ง่ายเล่า?  (เพราะผู้คนไม่เต็มใจที่จะถูกควบคุม พวกเขาไม่ชอบถูกจัดการ และพวกเขาต้องการที่จะทำตามใจตนเอง)  ผู้คนที่ไม่สามารถเข้าใจการยับยั้งชั่งใจตนเอง คนที่ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้ คนที่ยับยั้งชั่งใจต่ำ และคนที่กระทำการโดยไม่ยั้งคิดและหลงระเริงอยู่ในความเพ้อฝันอยู่เสมอนั้นมีความเป็นมนุษย์ที่ไม่เป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าพวกเขาอายุเท่าไรก็ตาม  เมื่อเรื่องเล็กๆ นี้ไปกระทบผลประโยชน์ของผู้คน อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็ถูกเผยออกมา  เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น พวกเขาก็จำเป็นต้องแสวงหาความจริงเพื่อทำการแก้ไข พวกเขาจำเป็นต้องมาทำความรู้จักตนเองและเข้าใจความจริงเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องความเสื่อมทรามของตน  เมื่อผู้คนได้รับการชำระให้บริสุทธิ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาแล้ว พวกเขาย่อมเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงไปโดยไม่รู้ตัว ชีวิตของพวกเขาจะเติบโตและมีความเป็นผู้ใหญ่ และอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปด้วย

เราเพิ่งยกตัวอย่างง่ายๆ เกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อยอย่างกิจวัตรประจำวันว่าสามารถเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนและสิ่งที่ผ่านเข้ามาในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาจริงๆ ได้อย่างไร ตอนนี้ทั้งหมดนี้ได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว  การเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ทำให้เจ้าได้ค้นพบว่าที่จริงแล้วเจ้าถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนัก  ถึงแม้เจ้าเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี และพอเข้าใจคำสอนอยู่บ้างเล็กน้อย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  ไม่ว่าเจ้าทำหน้าที่ใด เจ้าก็ไม่สามารถทำหน้าที่นั้นให้ถึงตามมาตรฐานที่ยอมรับได้ ไม่ว่าเจ้าจัดการเรื่องใด เจ้าก็ไม่สามารถจัดการกับเรื่องนั้นได้ตามหลักธรรม เจ้ายังไม่ใช่ใครบางคนที่นบนอบพระเจ้าโดยแท้จริง  ดังนั้นจากสภาวะในปัจจุบันของผู้คน พวกเขาได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าแล้วจริงหรือ?  ยังหรอก เพราะพวกเขายังไม่ได้ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนไปโดยสมบูรณ์ การปฏิบัติความจริงของพวกเขายังคงจำกัดอยู่มากเกินไป และพวกเขาก็ห่างไกลจากการนบนอบพระเจ้าโดยแท้จริง คนบางคนสามารถติดตามซาตานหรือมนุษย์ได้ด้วยซ้ำ  ข้อเท็จจริงเหล่านี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่า วุฒิภาวะของผู้คนยังไม่ได้ไปถึงจุดที่พวกเขาได้รับการช่วยให้รอดอย่างแท้จริง  ทุกคนควรจำแนกตนเองตามสภาวะที่แท้จริงของพวกเขา และกำหนดว่าพวกเขาเป็นคนประเภทใด  ด้วยการคิดทบทวนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง บางคนก็ได้มารู้จักสภาวะภายในนานาประการของตนเอง รวมถึงความคิด มุมมอง และท่าทีที่เกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา  คนบางคนเห็นว่าพวกเขาโอหังและทะนงตน เห็นว่าพวกเขาชอบอวดตน และพวกเขาชอบทำตัวจองหองและยกตนเหนือผู้อื่น  คนบางคนเห็นว่าพวกเขาคดโกงและหลอกลวง ใช้วิธีการที่มีเล่ห์เหลี่ยมทุกรูปแบบ และเป็นคนมุ่งร้าย  บางคนก็เห็นว่าตนถือผลประโยชน์เป็นสำคัญ เห็นว่าพวกเขารักที่จะเอาเปรียบผู้อื่น และเห็นว่าพวกเขาเป็นคนเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ  คนบางคนคิดทบทวนอยู่ระยะหนึ่งแล้วจึงตระหนักว่าพวกเขาเป็นคนหน้าซื่อใจคด  ส่วนคนอื่นๆ ที่เคยคิดว่าตนเองมีความสามารถพิเศษ คิดว่าตนมีขีดความสามารถ และคิดว่ามีความรู้ในวิชาชีพของตนเองเป็นอย่างดี แต่หลังจากคิดทบทวนไปสักระยะหนึ่ง พวกเขาก็ตระหนักว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการไถ่แม้แต่ประการเดียว พวกเขาไร้ความสามารถพิเศษ และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามีการปฏิบัติตนที่โง่เขลาและไร้หลักธรรม  คนบางคนคิดทบทวนอยู่พักหนึ่งและตระหนักว่าพวกเขาเป็นคนใจแคบและจู้จี้จุกจิก การที่ผู้อื่นพูดสิ่งที่พาดพิงถึงผลประโยชน์ของพวกเขาเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และพวกเขาก็ไม่รู้จักการผ่อนปรนเลย  การที่เจ้าได้รับความรู้เช่นนี้จากการทบทวนตนเองนั้นจะช่วยเรื่องการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าหรือไม่?  (ช่วย)  จะช่วยอย่างไร?  (การนี้สามารถช่วยให้พวกเรามีหัวใจที่แสวงหาความจริง  หากพวกเราไม่ทำความรู้จักปัญหาเหล่านี้ เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่รู้ว่าตนเองเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่เป็นประจำ นับประสาอะไรกับการที่จะสามารถแสวงหาความจริงเพื่อให้แก้ไขปัญหาของพวกเราได้)  (หากพวกเราไม่รู้เรื่องพวกนี้ เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่รู้ว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสงสาร  พอได้รู้จักสิ่งเหล่านี้แล้ว พวกเราก็จะต้องการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของตน  พวกเราจะเต็มใจสลัดทิ้งโซ่ตรวนแห่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และจะต้องการแสวงหาความจริงเพื่อที่จะประพฤติตนตามพระวจนะของพระเจ้า)  เมื่อพิจารณาถึงคนที่คิดว่าพวกเขาค่อนข้างยอดเยี่ยม คิดว่าพวกเขามีสำนึกของความยุติธรรมสูง คิดว่าพวกเขาใจกว้าง มีความสามารถพิเศษ ยอมผ่อนปรน ใจดี และซื่อสัตย์อย่างมาก อีกทั้งอุทิศตนเพื่อผู้อื่นเป็นพิเศษ และคิดว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง อย่างเช่น ความโอหัง ความคิดว่าตนเองถูก ความเกลียดชัง และความย่อมมีข้อบกพร่องเล็กน้อยเช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไป แต่ยังคิดด้วยว่า นอกจากตำหนิเล็กน้อยเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็เพียบพร้อม รวมถึงมีเกียรติ สูงศักดิ์ และเปี่ยมรักมากกว่าผู้อื่น—หากใครบางคนอยู่ในสภาวะเช่นนั้นเสมอ เจ้าคิดว่าพวกเขาจะสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและกลับใจอย่างแท้จริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมใดที่บุคคลหนึ่งจะสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อรู้จักตนเองได้จริงๆ หมอบกราบเฉพาะพระพักตร์พระองค์อย่างแท้จริงและกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก  ข้าพระองค์ไม่เต็มใจที่จะละทิ้งสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตัวเอง  ข้าพระองค์เป็นคนที่เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการไถ่แม้แต่ประการเดียว  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะกลับใจจริงๆ และเต็มใจที่จะใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง—ข้าพระองค์ต้องการให้พระเจ้าทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด”?  เมื่อบุคคลหนึ่งมีเจตจำนงที่จะกลับใจอย่างแท้จริง นั่นเป็นเรื่องดี เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ย่อมก้าวเข้าสู่ครรลองของความเชื่อในพระเจ้าที่ถูกต้อง และสัมฤทธิ์ความรอดได้โดยง่าย

สมมุติว่าใครบางคนวาดภาพภาพหนึ่ง—พวกเขาคิดว่าภาพนี้สมบูรณ์แบบ และพวกเขาก็รู้สึกพึงพอใจในภาพนี้ จนกระทั่งวันหนึ่งมีใครบางคนบอกว่าภาพวาดของพวกเขามีข้อบกพร่องมากมาย  คนคนนั้นไม่ทันได้ลงรายละเอียดเสียด้วยซ้ำ พวกเขาก็รู้สึกว่านี่ถือเป็นการโจมตีตนเอง  พวกเขารู้สึกหัวเสีย และโต้กลับทันควันว่า “คุณบอกว่าฉันวาดรูปไม่สวยเช่นนั้นหรือ?  คุณวาดได้แย่กว่าฉัน แถมงานคุณก็มีปัญหามากกว่าฉัน!  ไม่มีใครอยากดูงานพวกนั้นด้วยซ้ำ!”  เหตุใดพวกเขาจึงกล่าวเช่นนั้นได้?  พวกเขาอยู่ในสภาวะชนิดใดที่ทำให้พวกเขาสามารถกล่าวเช่นนั้น?  เหตุใดเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้จึงทำให้พวกเขาโมโหและโกรธจัดจนเกิดกรอบความคิดที่ก้าวร้าวและโต้กลับ?  อะไรที่นำมาสู่สิ่งนี้?  (พวกเขาคิดว่าภาพวาดของตนเองสมบูรณ์แบบ และการมีใครบางคนกล่าวว่าภาพนั้นมีข้อบกพร่องก็เป็นการล่วงเกินพวกเขา)  นั่นคือการที่เจ้าไม่สามารถทำลายภาพลักษณ์ที่เพียบพร้อมของพวกเขาได้  หากพวกเขาคิดว่าบางสิ่งบางอย่างนั้นดีอยู่แล้ว ย่อมเป็นการดีที่สุดที่เจ้าจะไม่ชี้ให้เห็นถึงตำหนิหรือเกิดข้อกังขาใดๆ  เจ้าต้องกล่าวว่า “ภาพวาดของคุณสวยจริงๆ  เรียกว่าเป็นงานชิ้นเอกได้เลย  ฉันคิดว่าทักษะของเหล่าปรมาจารย์ก็ยังไม่ได้ดีไปกว่าคุณ  ถ้าคุณปล่อยงานชิ้นนี้ออกไป มันจะเขย่าวงการนี้ได้อย่างแน่นอน แถมจะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าไปอีกหลายชั่วอายุคน!”  แล้วพวกเขาก็จะรู้สึกพอใจ  ความพอใจและความเดือดดาลมาจากคนคนเดียวกัน แล้วพวกเขามีการเผยสองแบบที่ต่างกันได้อย่างไร?  แบบใดคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา?  (ทั้งสองแบบ)  ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งสองแบบนี้ แบบใดร้ายแรงกว่ากัน?  (แบบที่สอง)  แบบที่สองเผยให้เห็นถึงความหน้าซื่อใจคด ไม่รู้ความ และความโง่เขลาของพวกเขา  เมื่อใครบางคนกล่าวว่าเจ้าวาดภาพแย่ เหตุใดเจ้าจึงไม่มีความสุขนัก จนถึงขั้นพัฒนาเป็นกรอบความคิดที่เกลียดชัง ก้าวร้าว และคิดโต้กลับ?  เหตุใดเจ้าจึงรู้สึกพอใจเหลือเกินเมื่อใครบางคนเรียงร้อยคำพูดรื่นหูสองสามคำมาให้เจ้า?  เหตุใดเจ้าจึงอิ่มอกอิ่มใจอย่างถึงที่สุด?  ผู้คนเช่นนั้นไม่ไร้ยางอายโดยสิ้นเชิงหรอกหรือ?  พวกเขาไม่รู้จักละอาย พวกเขาทั้งโง่เขลาและน่าเวทนา  แม้คำพูดเหล่านี้จะไม่ได้ฟังดูรื่นหูมากนัก แต่มันเป็นเช่นนี้  ความไม่รู้ ความโง่เขลา และโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ของผู้คนมาจากไหน?  สิ่งเหล่านี้มาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน  หากใครบางคนมีท่าทีเช่นนั้นเมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นกับพวกเขา สิ่งที่พวกเขาเผยออกมาย่อมไม่ใช่เหตุผลและมโนธรรมซึ่งคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงมี อีกทั้งไม่ใช่สิ่งที่ผู้มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงนำมาใช้ดำเนินชีวิต  เช่นนั้นแล้วควรจะจัดการเรื่องแบบนี้อย่างไร?  บางคนกล่าวว่า “ฉันมีวิธี  เวลาใครบางคนโอ้อวดว่าฉันเก่ง ​ฉันก็จะเงียบ เวลาใครบางคนบอกว่าฉันไม่ได้เรื่อง ฉันก็จะเงียบเช่นกัน  ฉันรับมือกับทุกอย่างด้วยความเฉยเมย  นี่ไม่เกี่ยวว่าเป็นเรื่องที่ถูกหรือผิด และไม่ใช่การเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  แบบนี้ไม่ยอดเยี่ยมหรอกหรือ?”  มุมมองนี้เป็นอย่างไร?  นี่หมายความว่าผู้คนเหล่านี้ไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใช่หรือไม่?  ไม่ว่าใครบางคนถนัดในการเสแสร้งแกล้งทำแค่ไหน ต่อให้พวกเขาสามารถทำเช่นนี้ได้ในช่วงเวลาหนึ่ง การทำเช่นนี้ไปตลอดชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  ไม่ว่าเจ้าถนัดในการเสแสร้งแกล้งทำอย่างไร หรือเจ้าปิดบังสิ่งทั้งหลายให้มิดชิดอย่างไร เจ้าก็ไม่สามารถปลอมแปลงหรือปิดบังอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าได้  เจ้าอาจจะหลอกลวงผู้คนเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้าได้ แต่เจ้าไม่สามารถหลอกหลวงพระเจ้า และเจ้าไม่สามารถหลอกตัวเองได้  ไม่ว่าสิ่งนั้นถูกเผยออกมาหรือไม่ ท้ายที่สุด สิ่งที่ผู้คนคิดและสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจของพวกเขา ไม่ว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงหรือไม่ ไม่ว่าจะเห็นได้ชัดหรือไม่ ก็ย่อมแสดงให้เห็นถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา  ดังนั้นแล้ว อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ไม่ได้ถูกเผยออกมาตามธรรมชาติในทุกที่และทุกเวลาหรอกหรือ?  คนบางคนคิดว่าบางครั้งพวกเขาอาจจะเผลอให้ข้อคิดเห็นไปในยามที่พวกเขาไม่ทันระวัง จนเปิดโปงความคิดในส่วนลึกของพวกเขา และพวกเขาก็เสียใจกับเรื่องนั้น  พวกเขาคิดว่า “คราวหน้าฉันจะไม่พูดอะไรทั้งสิ้น คนที่พูดมากก็ย่อมผิดพลาดมาก  ถ้าฉันไม่พูดอะไรเลย เช่นนั้นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันก็จะไม่ถูกเผยออกมาใช่หรือไม่?”  อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดเมื่อพวกเขากระทำการ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็ถูกเผยออกมาอีกครั้ง และพวกเขาก็เปิดโปงเจตนาของตนอีกครั้ง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่และทุกเวลา และไม่มีทางป้องกันได้เลย  ดังนั้นหากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าไม่ได้รับการแก้ไข ก็เป็นเรื่องปกติที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามนั้นจะถูกเผยให้เห็นอยู่เป็นประจำ  มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะแก้ไขได้ นั่นคือเจ้าต้องแสวงหาความจริงและทุ่มเทความพยายามจนกระทั่งเจ้าเข้าใจความจริงโดยแท้จริง และสามารถมองทะลุไปถึงแก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าได้ แล้วเจ้าก็จะสามารถเกลียดชังซาตานและเกลียดชังเนื้อหนังของเจ้าได้ และในหนทางนี้ เจ้าย่อมจะนำความจริงไปปฏิบัติได้โดยง่าย  เมื่อเจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ สิ่งที่เจ้าเผยออกมาก็จะไม่ใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทราม แต่กลับเป็นการเผยมโนธรรม เหตุผล และความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ดังนั้น มีเพียงการแสวงหาความจริงเท่านั้นที่จะทำให้เจ้าสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้ การพึ่งพาการควบคุมตนเอง การยับยั้งชั่งใจ และการบ่มวินัยตนเองไม่ใช่วิธีการที่ดี และไม่สามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้เลย

แล้วเจ้าจะแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้อย่างไร?  ก่อนอื่นเจ้าต้องตระหนักและชำแหละต้นกำเนิดของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ จากนั้นก็หาวิธีการปฏิบัติที่สอดคล้องกัน  จงดูเรื่องที่เราเพิ่งยกเป็นตัวอย่าง  คนคนนี้คิดว่าภาพวาดของเขาสมบูรณ์แบบ แต่ท้ายที่สุดใครบางคนที่เข้าใจเรื่องการวาดภาพก็บอกว่าภาพนี้มีข้อบกพร่องมากมาย พวกเขาจึงไม่มีความสุข และรู้สึกว่าความเชื่อมั่นในตนเองของพวกเขาถูกละเมิด  เมื่อความเชื่อมั่นในตนเองของเจ้าถูกละเมิด และเมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าถูกเผย จะสามารถทำเช่นไรได้บ้าง?  คนอื่นๆ นำเสนอแนวคิดและทัศนคติที่ต่างออกไป หากเจ้าไม่สามารถยอมรับสิ่งเหล่านั้นได้ เจ้าจะทำอย่างไรได้บ้าง?  บางคนไม่สามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง  เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา ก่อนอื่นพวกเขาก็วิเคราะห์ว่า “พวกเขาหมายความว่าอย่างไร?  พวกเขากำลังมุ่งสิ่งนั้นมาที่ฉันหรือ?  นี่เป็นเพราะวันก่อนฉันทำหน้าบึ้งตึงใส่พวกเขา วันนี้พวกเขาเลยอยากโต้กลับฉันหรือ?  ถ้าพวกเขากำลังมุ่งสิ่งนั้นมาที่ฉัน อย่างนั้นฉันก็จะไม่ปล่อยผ่าน ตาต่อตา ฟันต่อฟันไปเลย  ถ้าพวกเขาจะไม่ใจดีกับฉัน ฉันก็จะไม่ยุติธรรมกับพวกเขา  ฉันต้องโต้กลับ!”  นี่เป็นการเผยประเภทใด?  นี่ยังคงเป็นการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ในทางปฏิบัตินั้น การเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทนี้แสดงให้เห็นถึงความโน้มเอียงและเจตนาที่จะโต้กลับ  โดยแก่นแท้แล้วแนวทางการปฏิบัติตนเช่นนี้มีลักษณะเช่นไร?  ไม่ใช่ลักษณะที่มุ่งร้ายหรอกหรือ?  ในการนี้มีธรรมชาติที่มุ่งร้ายอยู่  หากผู้คนไม่มีธรรมชาติที่มุ่งร้ายพวกเขาจะโต้กลับหรือไม่?  พวกเขาย่อมจะไม่คิดถึงเรื่องนี้  มีเพียงตอนที่พวกเขาคิดโต้กลับเท่านั้นที่ภาษาแบบนี้จะพรั่งพรูออกจากพวกเขา “คุณบอกว่าฉันวาดรูปไม่สวยเช่นนั้นหรือ?  คุณวาดรูปได้แย่กว่าฉันแถมงานของคุณก็มีปัญหามากกว่า!  ไม่มีใครอยากดูงานพวกนั้นด้วยซ้ำ!”  คำพูดดังกล่าวมีลักษณะอย่างไร?  นี่เป็นการโจมตีประเภทหนึ่ง  เจ้าคิดอย่างไรกับแนวทางการปฏิบัติตนเช่นนั้น?  การโจมตีและการโต้กลับนั้นเป็นบวกหรือเป็นลบ?  สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องที่น่ายกย่องหรือเป็นเรื่องเสื่อมเสีย?  เห็นได้ชัดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นลบและเป็นเรื่องเสื่อมเสีย  การโจมตีและการโต้กลับเป็นการกระทำและการเผยให้เห็นจำพวกหนึ่งที่เกิดจากธรรมชาติอันมุ่งร้ายเยี่ยงซาตาน  นี่ยังเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทหนึ่งอีกด้วย  ผู้คนคิดเช่นนี้ว่า “หากเธอร้ายกับฉัน เช่นนั้นแล้ว ฉันก็จะทำไม่ดีกับเธอ!  หากเธอไม่ปฏิบัติต่อฉันอย่างมีศักดิ์ศรี เหตุใดฉันจะปฏิบัติต่อเธออย่างมีศักดิ์ศรี?”  นี่คือการคิดแบบไหนกัน?  ไม่ใช่วิธีคิดโต้กลับหรอกหรือ?  ในทัศนะของบุคคลธรรมดาคนหนึ่ง นี่มิใช่มุมมองที่สมเหตุสมผลหรอกหรือ?  มุมมองเช่นนี้ฟังไม่ขึ้นมิใช่หรือ?  “ฉันจะไม่เล่นงาน หากฉันไม่ถูกเล่นงาน หากฉันถูกเล่นงาน แน่นอนว่าฉันจะเล่นงานกลับ” และ “นี่ละคือรสชาติยาขมของเจ้าเอง”—ผู้ไม่เชื่อทั้งหลายมักจะพูดสิ่งเหล่านี้บ่อยครั้ง ในหมู่พวกเขา เหล่านี้คือเหตุผลทั้งหมดที่ถูกต้องและคล้อยตามมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์อย่างครบบริบูรณ์  แต่ทว่าบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงควรมีทัศนะเช่นไรต่อคำพูดเหล่านี้?  แนวคิดเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง?  แนวคิดเหล่านี้ควรได้รับการแยกแยะอย่างไร?  สิ่งเหล่านี้เกิดมาจากไหน?  (จากซาตาน)  สิ่งเหล่านี้มีต้นกำเนิดมาจากซาตาน ข้อนี้ไม่ต้องสงสัยเลย  สิ่งเหล่านี้มาจากอุปนิสัยส่วนใดของซาตาน?  สิ่งเหล่านี้มาจากธรรมชาติอันมุ่งร้ายของซาตาน สิ่งเหล่านี้บรรจุน้ำพิษ และบรรจุใบหน้าที่แท้จริงของซาตานในความมุ่งร้ายและความอัปลักษณ์ของมันทั้งหมด  สิ่งเหล่านี้บรรจุแก่นแท้ธรรมชาติประเภทนี้เอาไว้  ทัศนคติ ความคิด การเผย คำพูด และแม้แต่การกระทำที่มีแก่นแท้ธรรมชาติประเภทนั้นมีลักษณะอย่างไร?  นี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย—นี่คืออุปนิสัยของซาตาน  สิ่งทั้งหลายเยี่ยงซาตานเหล่านี้ตรงตามพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  แง่มุมเหล่านี้อยู่ในแนวเดียวกับความจริงหรือไม่?  แง่มุมเหล่านี้มีพื้นฐานตามพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  แง่มุมเหล่านี้คือการกระทำที่บรรดาผู้ติดตามพระเจ้าควรทำ และความคิดและทัศนคติที่พวกเขาควรครองหรือไม่?  ความคิดและแนวทางการปฏิบัติตนเหล่านี้ตรงตามความจริงหรือไม่?  (ไม่)  ในเมื่อสิ่งเหล่านี้ไม่ตรงตามความจริง แล้วสิ่งเหล่านี้ตรงตามมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่?  (ไม่)  ตอนนี้เจ้าสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ตรงตามความจริงหรือตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ก่อนหน้านี้พวกเจ้าคิดว่าแนวทางการปฏิบัติตนและความคิดเหล่านี้เหมาะสม นำเสนอได้ และมีหลักเกณฑ์ยึดถือใช่หรือไม่?  (ใช่)  ความคิดและทฤษฎีเยี่ยงซาตานเหล่านี้ถือครองตำแหน่งสำคัญในหัวใจของผู้คน ชี้นำความคิด มุมมอง ความประพฤติ และแนวทางในการปฏิบัติตน รวมไปถึงสภาวะนานาประการของพวกเขา แล้วผู้คนจะสามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  ในทางกลับกัน—ผู้คนไม่ได้ปฏิบัติและยึดถือสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาคิดว่าถูกต้องราวกับสิ่งเหล่านี้คือความจริงหรอกหรือ?  หากสิ่งเหล่านี้คือความจริง แล้วเหตุใดการยึดติดกับสิ่งเหล่านี้จึงไม่แก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้าเล่า?  เหตุใดการยึดติดกับสิ่งเหล่านี้จึงไม่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในตัวเจ้า แม้ว่าเจ้าจะเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้วก็ตาม?  เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อหยั่งรู้ปรัชญาที่มาจากซาตานเหล่านี้ได้?  เจ้ายังคงยึดถือปรัชญาเยี่ยงซาตานเหล่านี้ราวกับเป็นความจริงใช่หรือไม่?  หากเจ้ามีวิจารณญาณอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้ายังไม่พบรากเหง้าของปัญหาทั้งหลายอีกหรือ?  เพราะสิ่งที่เจ้ายึดถือไม่เคยเป็นความจริง—กลับเป็นเหตุผลวิบัติและปรัชญาเยี่ยงซาตาน—ปัญหาก็อยู่ตรงนั้นนั่นเอง  พวกเจ้าทุกคนควรเดินตามเส้นทางนี้เพื่อตรวจสอบและพินิจพิเคราะห์ตนเอง ดูว่าสิ่งใดภายในตัวพวกเจ้าที่พวกเจ้าคิดว่ามีหลักยึดถือ ตรงตามสำนึกโดยทั่วไปและปัญญาทางโลก และเป็นสิ่งที่พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้านำมาเสนอได้ได้—ทั้งความคิด มุมมอง แนวทางการปฏิบัติตน และรากฐานทั้งหลายที่ไม่ถูกต้องซึ่งในหัวใจของพวกเจ้าได้ปฏิบัติราวกับสิ่งเหล่านี้เป็นความจริงไปแล้ว และพวกเจ้าไม่คิดว่าเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  จงขุดหาสิ่งเหล่านี้ต่อไป ยังมีอีกมากทีเดียว  หากพวกเจ้าขุดสิ่งทั้งหลายที่เสื่อมทรามและเป็นลบเหล่านี้ออกมาจนหมด ชำแหละสิ่งเหล่านี้จนพวกเจ้ามีวิจารณญาณ และสามารถละวางสิ่งเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้ว อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเจ้าย่อมจะได้รับการแก้ไขโดยง่าย และพวกเจ้าจะสามารถได้รับการชำระให้บริสุทธิ์

ย้อนกลับมาที่ตัวอย่างก่อนหน้านี้  เมื่อจิตรกรได้ยินผู้อื่นประเมินงานของพวกเขาทั้งที่เป็นลบและน่ายินดี การตอบกลับที่ถูกต้องซึ่งมีพฤติกรรมและการพรั่งพรูที่มีทั้งความเป็นมนุษย์และความมีเหตุมีผลนั้นเป็นแบบใด?  เราเพิ่งกล่าวไปว่า ความคิดทั้งหลายในตัวผู้คน ไม่ว่าพวกเขาคิดว่าเป็นความคิดที่ถูกหรือผิดนั้นล้วนมาจากซาตาน มาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา ความคิดเหล่านั้นไม่ถูกต้อง และไม่ใช่ความจริง  ไม่ว่าเจ้าคิดว่าถูกต้องอย่างไร หรือคิดว่าผู้อื่นเห็นชอบในความคิดของเจ้ามากแค่ไหน ความคิดเหล่านั้นก็ไม่ได้มาจากความจริง สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่การเผยหรือการใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริง และความคิดเหล่านั้นก็ไม่ตรงตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  แล้วที่จริงเจ้าควรปฏิบัติต่อเรื่องนี้ด้วยความมีเหตุมีผลและความเป็นมนุษย์อย่างไร?  อันดับแรก จงอย่ามีความรู้สึกอิ่มเอมใจกับคำพูดชมเชยที่ผู้อื่นมอบแก่เจ้า นั่นเป็นสภาวะประเภทหนึ่ง  นอกจากนี้ จงอย่ารังเกียจหรือเกลียดชังสิ่งไม่ดีทั้งหลายที่คนอื่นพูดถึงเจ้า นับประสาอะไรกับการมีสภาวะจิตใจที่มุ่งร้ายและโต้กลับ  ไม่ว่าพวกเขาชมเชยเจ้าหรือไม่ หรือพวกเขาพูดสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับเจ้า เจ้าก็ต้องมีท่าทีที่ถูกต้องในหัวใจของเจ้า  ท่าทีประเภทใด?  ก่อนอื่นเจ้าต้องสงบใจของตนเอาไว้ แล้วพูดกับพวกเขาว่า “การวาดภาพเป็นเพียงงานอดิเรกตามประสามือสมัครเล่นของฉัน  ฉันรู้ระดับฝีมือตัวเอง  ไม่ว่าคุณพูดอย่างไร ฉันก็สามารถปฏิบัติต่อคุณได้อย่างถูกต้อง  เราอย่าคุยเรื่องการวาดภาพกันเลย ฉันไม่สนใจในเรื่องนั้น  สิ่งที่ฉันสนใจคือคุณสามารถบอกฉันได้ไหมว่า ฉันมีการเผยความเสื่อมทรามตรงไหนที่ฉันยังไม่ตระหนักและที่ฉันไม่รู้  เรามาสามัคคีธรรมและสืบค้นเรื่องพวกนี้กันเถิด  ให้เราสองคนได้มีประสบการณ์กับการเติบโตในการเข้าสู่ชีวิต และมีการเข้าสู่ที่ลึกซึ้งมากขึ้นกันเถิด—แบบนั้นคงจะยอดเยี่ยมทีเดียว!  การเสวนาเรื่องภายนอกนั้นมีประโยชน์อะไร?  การนั้นไม่สามารถช่วยผู้คนให้ทำหน้าที่ของพวกเขาให้ดีได้  ไม่ว่าคุณบอกว่าภาพวาดของฉันดีหรือแย่ ฉันก็ไม่ใส่ใจเลยจริงๆ  หากคุณชมภาพวาดของฉัน คุณจะไม่มีเจตนาแอบแฝงใช่ไหม?  คุณไม่ได้ต้องการใช้ให้ฉันทำอะไรบางอย่างเพื่อคุณใช่ไหม?  หากคุณต้องการให้ฉันช่วยคุณจัดการเรื่องต่างๆ ฉันก็จะช่วยเหลือในสิ่งที่ฉันทำได้โดยไม่คิดค่าตอบแทน หากฉันช่วยไม่ได้ ฉันก็สามารถให้ข้อเสนอแนะบางอย่างกับคุณได้  ไม่จำเป็นต้องปฏิสัมพันธ์กับฉันในหนทางนี้  นี่เป็นเรื่องที่หน้าซื่อใจคด และทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยงและคลื่นไส้!  หากคุณบอกว่าภาพวาดของฉันแย่ คุณก็กำลังพยายามทดลองฉัน และทำให้ฉันต้องตกอยู่ในการทดลองใช่หรือไม่?  คุณต้องการให้ฉันแสดงความหัวร้อน แล้วคิดโต้กลับและโจมตีคุณใช่หรือไม่?  ฉันจะไม่ทำเช่นนั้น ฉันไม่โง่ขนาดนั้น  ฉันจะไม่หลงกลซาตาน”  เจ้าคิดอย่างไรกับท่าทีเช่นนั้น?  (นั่นเป็นท่าทีที่ดี)  แนวทางการปฏิบัติตนเช่นนี้เรียกว่าอะไร?  สิ่งเรียกว่าการตอบโต้ซาตาน  คนบางคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นไม่มีอะไรทำ และพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์ทุกรูปแบบว่า “เฮ้อ อาชีพเก่าของคุณรุ่งเรืองมาก นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ใครบางคนอิจฉาแล้ว!”  “โอ๊ย! ดูสิว่าคุณสวยแค่ไหน!  ใบหน้าของคุณเป็นตัวอย่างของคนที่มีโหงวเฮ้งดี”  พวกเขาเฝ้ามองคนที่มีอำนาจ คนที่มีรูปลักษณ์งดงาม หรือคนที่พอจะเป็นประโยชน์กับพวกเขาได้ จากนั้นก็เกาะแกะอยู่ใกล้คนเหล่านั้นไม่ห่าง ทำตัวสอพลอ  ยกย่องสรรเสริญ และประจบประแจงคนเหล่านั้น  พวกเขาใช้วิธีการที่น่าดูหมิ่นและไร้ยางอายทุกรูปแบบเพื่อสนองเจตนาและความปรารถนาที่เก็บงำไว้ของตนเอง  สิ่งนี้ไม่น่ารังเกียจหรอกหรือ?  (น่ารังเกียจ)  แล้วเมื่อเจ้าบังเอิญเจอคนประเภทนี้ เจ้าควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร?  การทำตัวตาต่อตา ฟันต่อฟันนั้นถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  หากเจ้าไม่มีเวลา ก็เพียงใช้คำพูดที่กร้าวกระด้างโต้ตอบพวกเขาไปสักสองสามคำและทำให้พวกเขาอับอาย  เจ้าสามารถพูดได้ว่า “ทำไมคุณช่างน่าเบื่อเหลือเกิน?  คุณไม่มีเรื่องที่จะต้องใส่ใจแล้วหรือ?  การซุบซิบนินทาในเรื่องแบบนั้นมีประโยชน์อะไร?”  หากเจ้าคิดว่าคำพูดประจบประแจงของพวกเขาตื้นเขินและน่าสะอิดสะเอียนเกินไป เจ้าไม่ชอบฟัง และเจ้าไม่มีเวลาที่จะต่อความยาวสาวความยืด เช่นนั้นก็ตอบกลับไปด้วยสองสามประโยคนี้แล้วจบ  หากเจ้ามีเวลา เช่นนั้นก็จงสามัคคีธรรมกับพวกเขา  เมื่อพูดถึงสามัคคีธรรม ในที่นี้ย่อมไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ไม่มีความหัวร้อนหรือความเป็นธรรมชาติ ไม่มีการโจมตีหรือการโต้กลับ ไม่มีความเกลียดชัง และไม่มีสิ่งที่ผู้คนดูหมิ่น—สิ่งทั้งหลายที่เจ้าเผยต้องตรงตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ต้องตรงตามมโนธรรมและเหตุผล ต้องมีความเป็นจริงความจริง ต้องสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ รวมถึงต้องสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น  ทั้งหมดนี้คือการเผยที่เป็นบวก  แล้วการเผยที่เป็นลบมีอะไรบ้าง?  ลองสรุปออกมาเถิด  (การโต้กลับ การโจมตี การใช้ตาต่อตา ฟันต่อฟัน)  การโต้กลับ การโจมตี การใช้ตาต่อตา ฟันต่อฟัน และแนวคิดที่โดยดั้งเดิมแล้วผู้คนคิดว่าถูกต้อง อย่างเช่น “นี่ละคือรสชาติยาขมของเจ้าเอง” และ “ฉันต้องการเป็นสุภาพบุรุษผู้ซื่อตรง ฉันไม่ต้องการเป็นคนที่น่าดูหมิ่นหรือคนหน้าซื่อใจคด”  สิ่งเหล่านี้ที่ผู้คนคิดว่าถูกต้องนั้นตรงตามความจริงหรือไม่?  (ไม่)  สิ่งเหล่านี้ควรค่าแก่การตรวจสอบ  สิ่งทั้งหลายที่เรียบง่าย ชัดเจน และมองเห็นได้ง่ายในทันทีทีนั้นแยกแยะได้ง่ายกว่ากันเล็กน้อย  ส่วนสิ่งต่างๆ ที่ผู้คนส่วนมากมองไม่เห็น ซึ่งหลายคนคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและดีนั้น—ผู้คนไม่หยั่งรู้สิ่งเหล่านี้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่พวกเขาจะปฏิบัติและยึดตามสิ่งเหล่านี้ราวกับเป็นความจริง  ในการยึดตามสิ่งเหล่านี้ ผู้คนคิดว่าสิ่งที่พวกเขาใช้ในการดำเนินชีวิตคือความเป็นจริงความจริงและความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พวกเขาคิดว่าตนเองช่างเพียบพร้อม ดี ยุติธรรมและมีเกียรติ ช่างเปิดกว้างและตรงไปตรงมา  การนำเอาสิ่งทั้งหลายที่เป็นความหัวร้อน เป็นธรรมขาติ เป็นเรื่องทางเนื้อหนัง จริยธรรม และศีลธรรมมาแทนที่ความจริงและดำเนินชีวิตตามสิ่งเหล่านี้ราวกับเป็นความเป็นจริงความจริงนั้นเป็นความผิดพลาดที่ผู้คนส่วนมากมีแนวโน้มจะกระทำ นั่นเป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีก็ไม่สามารถแยกแยะได้ ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเกือบทุกคนต้องก้าวผ่านช่วงเวลานี้ และมีเพียงผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่สามารถรอดพ้นจากแนวคิดที่ผิดพลาดนี้มาได้  ดังนั้นผู้คนจึงต้องตระหนักและตรวจสอบให้ลึกลงไปในสิ่งเหล่านี้ที่มาจากความเลือดร้อนและมาจากความเป็นธรรมชาติ  หากเจ้าสามารถมองทะลุลงไปและแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้ บางสิ่งที่เจ้าเผยให้เห็นเป็นปกติก็จะตรงตามความเป็นจริงความจริง  การปฏิบัติความจริงนั้นสัมฤทธิ์ได้ด้วยความเป็นมนุษย์ที่ปกติ การปฏิบัติความจริงเป็นเพียงมาตรฐานเดียวที่พิสูจน์ว่าใครบางคนมีมโนธรรมและเหตุผล  ไม่ว่าพวกเขาปฏิบัติความจริงมากแค่ไหนก็ล้วนเป็นบวกทั้งสิ้น นี่ไม่ใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามอย่างแน่นอน นับประสาอะไรกับการปฏิบัติตนด้วยความหัวร้อน  หากใครบางคนทำให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจมาก่อน และเจ้าปฏิบัติต่อพวกเขาในแบบเดียวกัน สิ่งนี้ตรงตามหลักธรรมความจริงหรือไม่?  หากเจ้าพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อโต้กลับหรือลงโทษพวกเขาเพราะพวกเขาทำให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจ—ทำให้เจ้าเจ็บปวดแสนสาหัส—อ้างอิงจากผู้ไม่เชื่อ นี่คือเรื่องที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผล และไม่มีสิ่งใดให้ติเตียนได้ ทว่านี่คือแนวทางปฏิบัติตนประเภทใดหรือ?  นี่คือความหัวร้อน  พวกเขาทำให้เจ้าเจ็บปวด ซึ่งแนวทางการปฏิบัติตนนี้เป็นการเผยธรรมชาติอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน แต่หากเจ้าโต้กลับพวกเขา แนวทางการปฏิบัติตนของเจ้าก็เหมือนพวกเขามิใช่หรือ?  วิธีคิด จุดเริ่มต้น และแหล่งที่มาเบื้องหลังการโต้กลับของเจ้าย่อมเหมือนกับพวกเขา ไม่มีสิ่งใดที่ต่างกันเลย  เพราะฉะนั้น แน่นอนว่าการกระทำของเจ้าย่อมมีลักษณะเยี่ยงซาตาน หัวร้อน เป็นธรรมชาติ  เนื่องจากนี่เป็นการกระทำเยี่ยงซาตานและความหัวร้อน เจ้าไม่ควรเปลี่ยนแนวทางการปฏิบัติตนของเจ้าหรอกหรือ?  แหล่งที่มา เจตนา และแรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำของเจ้าควรเปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่?  (ใช่)  เจ้าจะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้อย่างไร?  หากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าเป็นเรื่องเล็กน้อย แม้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้เจ้าไม่สบายใจ แต่หากสิ่งนั้นไม่ไปพาดพิงถึงผลประโยชน์ของตัวเจ้าเอง หรือทำให้เจ้าเจ็บปวดแสนสาหัส หรือทำให้เจ้าเกลียดชังสิ่งนั้น หรือทำให้เจ้ายอมเสี่ยงชีวิตเพื่อโต้กลับ เช่นนั้นเจ้าก็สามารถละวางความเกลียดชังของเจ้าลงได้โดยไม่พึ่งพาความหัวร้อน แต่เจ้าสามารถพึ่งพาความมีเหตุมีผลและความเป็นมนุษย์ของตนเองเพื่อรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและสงบใจ  เจ้าสามารถอธิบายเรื่องนี้ต่อคู่กรณีของเจ้าได้อย่างตรงไปตรงมาและจริงใจ อีกทั้งแก้ไขความเกลียดชังของเจ้าได้  แต่หากความเกลียดชังนี้ล้ำลึกเกินไป เช่นนั้นเจ้าก็ย่อมไปถึงจุดที่ต้องการโต้กลับและรู้สึกเกลียดชังอย่างรุนแรง เช่นนั้นแล้ว เจ้ายังสามารถใช้ความอดกลั้นได้หรือไม่?  เมื่อเจ้าสามารถไม่พึ่งพาความหัวร้อน และสามารถกล่าวได้อย่างสงบใจว่า “ฉันต้องมีเหตุมีผล  ฉันต้องใช้ชีวิตด้วยมโนธรรมและเหตุผลของฉัน และใช้ชีวิตด้วยหลักธรรมความจริง  ฉันไม่สามารถตอบโต้ความชั่วด้วยความชั่ว ฉันต้องตั้งมั่นในคำพยานของฉันและทำให้ซาตานอับอาย”  นี่ไม่ใช่สภาวะที่ต่างออกไปหรือ?  (นี่คือสภาวะที่ต่างออกไป)  เมื่อก่อนนั้นพวกเจ้ามีสภาวะประเภทใด?  หากใครบางคนขโมยของบางอย่างของเจ้า หรือรับประทานอาหารบางอย่างของเจ้า เรื่องนี้ไม่ถือว่าเป็นความเกลียดชังที่ลึกซึ้งและหนักหนา ดังนั้นเจ้าจะไม่คิดว่าเจ้าจำเป็นต้องไปโต้เถียงกับพวกเขาจนหน้าดำหน้าแดงเพราะเรื่องนี้—สิ่งนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้า และไม่คุ้มค่าที่จะทำเช่นนั้น  ในสถานการณ์ประเภทนี้ เจ้าสามารถรับมือเรื่องนี้ได้อย่างมีเหตุมีผล  การสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างมีเหตุมีผลนั้นเทียบเท่ากับการปฏิบัติความจริงหรือไม่?  สิ่งนี้เทียบเท่ากับการมีความเป็นจริงความจริงในเรื่องนี้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ใช่  ความมีเหตุมีผลและการปฏิบัติความจริงเป็นสองสิ่งที่แยกจากกัน  หากเจ้าเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่ทำให้เจ้าฉุนเฉียวเป็นพิเศษ แต่เจ้าสามารถจัดการสิ่งนั้นได้อย่างมีเหตุมีผลและสงบใจ ไร้ซึ่งการเผยความหัวร้อนหรือความเสื่อมทราม—การนี้พึงให้เจ้าเข้าใจหลักธรรมความจริงและพึ่งพาปัญญาในการจัดการสิ่งนั้น  ในสถานการณ์ดังกล่าว หากเจ้าไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าหรือแสวงหาความจริง ความหัวร้อนย่อมจะเกิดขึ้นในตัวเจ้าอย่างง่ายดาย—หรือแม้กระทั่งความรุนแรง  หากเจ้าไม่แสวงหาความจริง เพียงแต่นำวิธีการของมนุษย์มาใช้ และจัดการเรื่องนั้นตามความชอบใจส่วนตน เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่สามารถแก้ไขสิ่งนี้ได้ด้วยการประกาศคำสอนเพียงเล็กน้อยหรือการนั่งลงและตีแผ่หัวใจของเจ้า  การนี้ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก

ขณะนี้ สิ่งที่พวกเรากำลังสามัคคีธรรมล้วนพาดพิงถึงปัญหาเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและธรรมชาติอันเสื่อมทรามของผู้คน  คนบางคนเกิดมาพร้อมพื้นอารมณ์ที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา เมื่อผู้อื่นก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลประโยชน์ของพวกเขา หรือพูดสิ่งที่ไม่รื่นหูใส่พวกเขา พวกเขาก็หัวเราะออกมาและปล่อยผ่านไป  คนบางคนใจแคบและไม่สามารถปล่อยผ่านได้ พลางแบกความคับแค้นฝังใจไปตลอดชีวิต  ผู้คนสองประเภทนี้ คนแบบใดที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม?  อันที่จริงพวกเขาทั้งคู่ต่างก็มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เพียงแต่พื้นอารมณ์ตามธรรมชาติของพวกเขาแตกต่างกัน  พื้นอารมณ์ไม่สามารถส่งผลต่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนคนหนึ่ง อีกทั้งไม่ได้กำหนดความลึกของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา  การเลี้ยงดู การศึกษา และรูปการณ์แวดล้อมทางครอบครัวของผู้คนไม่ได้กำหนดว่าพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามถลำลึกแค่ไหน  ดังนั้นแล้ว ความถลำลึกนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนศึกษาหรือไม่?  คนบางคนกล่าวว่า “ฉันศึกษาด้านวรรณกรรมและอ่านหนังสือมามากมาย ฉันมีรสนิยมที่ดีและได้รับการอบรมสั่งสอน ดังนั้น ความสามารถในการยับยั้งตนเองของฉันจึงแข็งแกร่งกว่าผู้อื่น ฉันเข้าใจผู้คนได้ดีกว่าผู้อื่น และใจฉันก็กว้างกว่าผู้อื่น  เมื่อฉันเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ ฉันก็มีหนทางในการแก้ไขสิ่งเหล่านั้น เพราะฉะนั้นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันก็อาจจะไม่ถลำลึกมากนัก”  บางคนกล่าวว่า “ฉันร่ำเรียนด้านดนตรี ดังนั้นฉันจึงคนมีความสามารถพิเศษ  ดนตรีช่วยยกระดับจิตวิญญาณของผู้คนและชำระจิตวิญญาณของพวกเขาให้บริสุทธิ์  ตัวโน้ตแต่ละตัวส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณของผู้คน จิตวิญญาณของพวกเขานั้นได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และเกิดความเปลี่ยนแปลง  การฟังดนตรีที่ต่างกันทำให้จิตใจของผู้คนอยู่ในสภาวะที่แตกต่างกัน และทำให้เกิดอารมณ์ที่แตกต่างกัน  เมื่อฉันอยู่ในอารมณ์ที่เป็นลบ ฉันก็ฟังเพลงเพื่อแก้ไขอารมณ์ที่เป็นลบนั้น แล้วอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันก็ค่อยๆ เบาบางลงขณะที่ฉันฟังเพลง  ในขณะที่ความสามารถทางดนตรีของฉันพัฒนาขึ้น ธรรมชาติอันเสื่อมทรามของฉันก็ค่อยๆ ได้รับการแก้ไขด้วยเช่นกัน”  คนบางคนที่ร้องเพลงกล่าวว่า “บทเพลงที่รื่นรมย์สามารถนำความสุขมาสู่จิตวิญญาณของผู้คนได้  ยิ่งฉันร้องเพลงมากเท่าไร เสียงของฉันก็ยิ่งวิเศษมากขึ้น ทักษะในการร้องเพลงของฉันก็ยอดเยี่ยมมากขึ้น และฉันก็มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็ทำให้สภาวะของฉันดีขึ้นด้วย  ขณะที่สภาวะของฉันดีขึ้นเรื่อยๆ นั้น อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันจะไม่น้อยลงไปทุกทีหรอกหรือ?”  พวกเจ้าคิดว่าเป็นเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  ดังนั้น ผู้คนมากมายจึงมีแนวคิดที่ผิดพลาดเกี่ยวกับความรู้และความเข้าใจในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามตนเอง เมื่อพวกเขาได้รับการศึกษาเล็กน้อย พวกเขาก็คิดว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองย่อมจะลดลง  ผู้สูงอายุบางคนถึงกับคิดว่า “ตอนที่อายุยังน้อยฉันทนทุกข์มามากมาย และชีวิตก็เรียบง่ายเหลือเกิน ฉันมุ่งเก็บหอมรอมริบและไม่ใช้เงินสิ้นเปลือง  ไม่ว่าฉันทำงานอะไร ฉันก็สะอาดดั่งเสียงนกหวีด และคำพูดของฉันก็สุภาพอ่อนโยน  ฉันพูดตรงไปตรงมาและเป็นคนที่ไร้เล่ห์มารยา  ดังนั้นฉันจึงไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมากขนาดนั้น  คนหนุ่มสาวบางคนได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมทางสังคมของพวกเขา พวกเขาใช้ยาเสพติด และไล่ตามไขว่คว้ากระแสชั่ว  พวกเขาติดเชื้อจากบรรยากาศทางสังคมอย่างรุนแรง และถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างหนัก!”  ความรู้และความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ทำให้ผู้คนมีความรู้สึกและอคติที่แตกต่างกันในเรื่องแก่นแท้อันเสื่อมทรามและธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขา  ความรู้สึกและอคติเหล่านี้ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่า ถึงแม้พวกเขาจะมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ถึงแม้พวกเขาจะโอหัง คิดว่าตนเองถูก และเป็นกบฏ พฤติกรรมส่วนใหญ่ของพวกเขาก็ยังคงดีอยู่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้คนสามารถรักษากฎเกณฑ์ ก็ย่อมมีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่เป็นปกติและเป็นระเบียบ และสามารถพูดคำสอนฝ่ายวิญญาณบางอย่างได้ พวกเขาก็ถึงกับปักใจเชื่อยิ่งกว่าเดิมว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในเส้นทางของการเชื่อในพระเจ้า และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาส่วนใหญ่ก็ได้รับการแก้ไขแล้ว  ถึงกับมีคนบางคนที่เมื่อสภาวะของพวกเขาไม่ได้ย่ำแย่มากนัก เมื่อพวกเขาประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่ของตน หรือเมื่อพวกเขาทำบางสิ่งบางอย่างสำเร็จลุล่วง ก็คิดว่าตนเองเป็นฝ่ายวิญญาณแล้ว คิดว่าตนเองเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ซึ่งได้รับการทำให้เพียบพร้อมและได้รับการชำระให้สะอาดแล้ว และคิดว่าพวกเขาไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอีกต่อไป  ความคิดดังกล่าวของผู้คนไม่ใช่ความเข้าใจผิดนานาประการที่เกิดขึ้นภายใต้รูปการณ์แวดล้อมของการไม่รู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของตนอย่างแท้จริงหรอกหรือ?  (นี่คือความเข้าใจผิด)  ความเข้าใจผิดเหล่านี้ไม่ใช่อุปสรรคที่ใหญ่หลวงที่สุดในการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและความลำบากยากเย็นของผู้คนหรอกหรือ?  นี่เป็นอุปสรรคที่ใหญ่หลวงที่สุด เป็นอุปสรรคที่ผู้คนจัดการได้ยากที่สุด

พวกเจ้าเข้าใจสิ่งที่พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงในวันนี้หรือไม่?  พวกเจ้าจับความเข้าใจองค์ประกอบสำคัญได้หรือยัง?  หากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนไม่ได้รับการแก้ไข พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  หากพวกเขาไม่รู้ว่าตนเองมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใด หรือแก่นแท้ธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตัวเองเป็นเช่นไร เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะสามารถยอมรับได้อย่างแท้จริงหรือว่าพวกเขาคือมนุษย์ผู้เสื่อมทราม?  (ไม่ได้)  หากผู้คนไม่สามารถยอมรับได้อย่างแท้จริงว่าพวกเขาเป็นพวกซาตาน ว่าพวกเขาเป็นสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้เสื่อมทราม เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะสามารถกลับใจได้อย่างแท้จริงหรือ?  (ไม่ได้)  หากพวกเขาไม่สามารถกลับใจได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นพวกเขาก็อาจจะคิดอยู่บ่อยครั้งไม่ใช่หรือว่าตนเองไม่ได้ย่ำแย่มากนัก ว่าพวกเขามีศักดิ์ศรี มีตำแหน่งสูงส่ง ว่าพวกเขามีสถานะและมีเกียรติ?  พวกเขาอาจจะมีความคิดและสภาวะเช่นนั้นอยู่บ่อยครั้งไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วเหตุใดสภาวะเหล่านี้จึงปรากฏขึ้นมา?  ทั้งหมดล้วนขมวดลงมาได้ในประโยคเดียว นั่นคือ หากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนไม่ได้รับการแก้ไข เช่นนั้นหัวใจของพวกเขาก็ย่อมปั่นป่วนอยู่เสมอ และเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะมีสภาวะที่เป็นปกติ  กล่าวคือ หากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าไม่ได้รับการแก้ไขในบางแง่มุม ก็ย่อมเป็นเรื่องยากมากที่เจ้าจะเป็นอิสระจากอิทธิพลของสภาวะที่เป็นลบ และยากมากที่เจ้าจะเดินออกจากสภาวะที่เป็นลบนั้นได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าอาจจะคิดว่าสภาวะนี้ของเจ้าเหมาะสม ถูกต้อง และตรงตามความจริงเสียด้วยซ้ำ  เจ้าจะยึดถือและยืนกรานในสภาวะนี้ และเจ้าติดกับดักอยู่ในสภาวะนี้ไปโดยธรรมชาติ ดังนั้น การจะเดินออกจากสภาวะนี้จึงจะเป็นเรื่องที่ยากมาก  แล้ววันหนึ่ง เมื่อเจ้าเข้าใจความจริง เจ้าจะตระหนักว่าสภาวะประเภทนี้นำเจ้าไปสู่การเข้าใจผิดและต้านทานพระเจ้า และนำเจ้าไปสู่การต่อต้านและการพิพากษาของพระเจ้า จนถึงจุดที่เจ้ากังขาเรื่องพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง กังขาในพระราชกิจของพระเจ้า กังขาว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง และกังขาว่าพระเจ้าคือความเป็นจริงและเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่งอันเป็นบวกจริงหรือ  เจ้าจะเห็นว่าสภาวะของเจ้าอันตรายมาก  ผลที่ร้ายแรงนี้เกิดจากการที่เจ้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับปรัชญา แนวคิด และทฤษฎีเยี่ยงซาตานเหล่านี้อย่างแท้จริง  เวลานี้เท่านั้นที่เจ้าจะเห็นได้ว่าซาตานชั่วร้ายและมุ่งร้ายเพียงใด ซาตานค่อนข้างมีความสามารถในการชักพาผู้คนให้หลงผิดและทำให้เสื่อมทราม จนทำให้พวกเขาเดินบนเส้นทางของการต้านทานพระเจ้าและทรยศพระองค์  หากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามไม่ได้รับการแก้ไข ผลที่ตามมาก็ย่อมร้ายแรง  หากเจ้าสามารถที่จะมีความรู้เรื่องนี้ มีการตระหนักรู้เรื่องนี้ ก็ย่อมเป็นผลจากการที่เจ้าเข้าใจความจริง และเป็นผลจากการที่พระวจนะของพระเจ้าให้ความรู้แจ้งและให้ความกระจ่างกับเจ้าโดยสมบูรณ์  คนที่ไม่เข้าใจความจริงย่อมไม่สามารถมองทะลุไปถึงวิธีที่ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทราม วิธีที่มันชักพาผู้คนให้หลงผิดและต้านทานพระเจ้า ผลที่ตามมาของเรื่องนี้อันตรายเป็นอย่างยิ่ง  ขณะที่ผู้คนมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า หากพวกเขาไม่รู้วิธีทบทวนตนเอง วิธีแยกแยะสิ่งทั้งหลายที่เป็นลบ หรือหยั่งรู้ปรัชญาเยี่ยงซาตาน เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่มีทางที่จะเป็นอิสระจากการชักพาให้หลงผิดและความเสื่อมทรามของซาตานได้  เหตุใดพระเจ้าจึงมีพระประสงค์ให้ผู้คนอ่านพระวจนะของพระองค์ให้มากขึ้น?  ก็เพื่อที่จะให้ผู้คนเข้าใจความจริง มารู้จักตนเอง มองเห็นอย่างชัดเจนว่าสภาวะอันเสื่อมทรามของพวกเขาเกิดขึ้นมาจากอะไร รวมถึงเห็นว่าแนวคิด มุมมอง และวิธีการให้การพูด การประพฤติตน และการจัดการเรื่องต่างๆ ของพวกเขามาจากไหน  เมื่อเจ้าเริ่มตระหนักว่ามุมมองที่เจ้ายึดถือเหล่านี้ไม่ตรงตามความจริง มุมมองเหล่านี้ขัดกับทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ และไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ต้องประสงค์ เมื่อพระเจ้าทรงมีข้อพึงประสงค์แก่เจ้า เมื่อพระวจนะของพระองค์มาถึงเจ้า และเมื่อสภาวะและสภาพจิตใจของเจ้าไม่อนุญาตให้เจ้านบนอบพระเจ้า และไม่นบนอบรูปการณ์แวดล้อมที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการเอาไว้ อีกทั้งไม่ทำให้เจ้าได้ใช้ชีวิตอย่างปลดปล่อยและเป็นอิสระอยู่ในการสถิตของพระเจ้าและทำให้พระองค์พอพระทัย—นี่ก็ล้วนพิสูจน์ว่าสภาวะที่เจ้ายึดถือนั้นผิด  พวกเจ้าเคยบังเอิญเจอสถานการณ์ประเภทนี้มาก่อนหรือไม่ กล่าวคือ เจ้าใช้ชีวิตด้วยสิ่งทั้งหลายที่เจ้าคิดว่าเป็นบวก สิ่งที่เจ้าคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้ามากที่สุด แต่แล้วเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้าโดยไม่คาดคิด สิ่งที่เจ้าคิดว่าถูกต้องที่สุดก็มักจะไม่มีผลลัพธ์ที่เป็นบวก—ในทางตรงกันข้าม สิ่งเหล่านั้นกลับทำให้เจ้าเกิดข้อกังขาต่อพระเจ้า ทิ้งให้เจ้าไร้เส้นทาง ทำให้เจ้าเข้าใจพระเจ้าผิด และทำให้เจ้าเกิดการต่อต้านพระเจ้า—พวกเจ้าเคยมีช่วงเวลาเช่นนั้นหรือไม่?  (เคยมี)  แน่นอนว่า เจ้าจะไม่ยึดถือสิ่งเหล่านั้นที่เจ้าคิดว่าผิดโดยแน่แท้ เจ้ายึดถือและยืนกรานในสิ่งที่เจ้าคิดว่าถูกต้องเท่านั้น พลางใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะเช่นนั้นเสมอ  เมื่อวันหนึ่งเจ้าเข้าใจความจริง ตอนนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะตระหนักว่าสิ่งทั้งหลายที่เจ้ายึดถือไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก—สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ผิดพลาดโดยสิ้นเชิง เป็นสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนคิดว่าดีแต่ไม่ใช่ความจริง  กี่ครั้งกี่หนที่พวกเจ้าตระหนักและเริ่มรู้ตัวว่าสิ่งทั้งหลายที่เจ้ายึดถือนั้นไม่ถูกต้อง?  หากในเวลาส่วนใหญ่พวกเจ้าตระหนักว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ถูกต้อง แต่พวกเจ้าไม่คิดทบทวน และพวกเจ้าเกิดการต้านทานอยู่ในหัวใจ ไม่สามารถยอมรับความจริง และไม่สามารถเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งพวกเจ้าก็หาเหตุผลมาแก้ต่างให้ตนเองเสมอ—หากสภาวะที่ไม่ถูกต้องประเภทนี้ไม่ถูกแก้ไขให้กลับคืนมา ก็ย่อมเป็นอันตรายมาก  การยึดถือสิ่งเหล่านั้นอยู่เสมอทำให้พวกเจ้าเกิดความโศกเศร้าได้ง่ายมาก ทำให้พวกเจ้าสะดุดและล้มลงได้อย่างง่ายดาย และนอกจากนี้ พวกเจ้าจะไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  เมื่อผู้คนโต้แย้งเพื่อตัวเองเสมอ นี่คือการกบฏ นี่หมายความว่าพวกเขาไม่มีเหตุผล  ต่อให้พวกเขาไม่พูดออกมาดังๆ หากพวกเขายึดถือสิ่งนี้ในหัวใจของตน เช่นนั้นแล้วรากเหง้าของปัญหาก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข  แล้วเมื่อไรเจ้าจึงจะสามารถไม่มาต่อต้านพระเจ้าได้?  เจ้าต้องพลิกสภาวะของเจ้าให้กลับคืนมาและแก้ไขรากเหง้าปัญหาของเจ้าในเรื่องนี้ เจ้าต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่าความผิดพลาดในมุมมองที่เจ้ายึดถือนั้นอยู่ที่ใดกันแน่ เจ้าต้องสืบเสาะเรื่องนี้ และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจึงจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่ถูกต้องได้  เมื่อเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง เจ้าย่อมจะไม่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และเจ้าจะไม่มีการต่อต้านพระองค์เลย นับประสาอะไรกับการที่จะเกิดมโนคติอันหลงผิดในตัวเจ้า  ในเวลานี้ ความเป็นกบฏในเรื่องนี้ของเจ้าจะได้รับการแก้ไข  เมื่อความเป็นกบฏได้รับการแก้ไขและเจ้ารู้วิธีปฏิบัติตนให้ตรงตามน้ำพระทัยของพระเจ้า คราวนี้การกระทำของเจ้าจะเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้าเชียวหรือ?  หากเจ้าเข้ากันได้กับพระเจ้าในเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้ว ทั้งหมดที่เจ้าทำจะไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์เชียวหรือ?  แนวทางการกระทำและแนวทางการปฏิบัติที่ตรงตามน้ำพระทัยของพระเจ้านั้นไม่ตรงตามความจริงหรอกหรือ?  ขณะที่เจ้าตั้งมั่นในเรื่องนี้ เจ้าย่อมกำลังใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง  เมื่อเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง สิ่งที่เจ้าเผยและใช้ในการดำเนินชีวิตก็ไม่ใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามอีกต่อไป เจ้าสามารถใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้ การนี้ย่อมง่ายที่เจ้าจะนำความจริงไปปฏิบัติ และเจ้าย่อมนบนอบได้อย่างแท้จริง  ขณะนี้ ประสบการณ์ของพวกเจ้าส่วนใหญ่ยังไม่ถึงจุดนี้ ดังนั้นพวกเจ้าอาจจะไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าดีนัก และความเข้าใจของพวกเจ้าต่อพระวจนะเหล่านี้ก็ย่อมไม่ชัดเจน  พวกเจ้าสามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าได้ในทางทฤษฎี และดูเหมือนพวกเจ้าเข้าใจ แต่ก็ดูเหมือนพวกเจ้าไม่เข้าใจด้วยเช่นกัน  ส่วนที่พวกเจ้าเข้าใจคือคำสอน และส่วนที่พวกเจ้าไม่เข้าใจก็คือส่วนที่เกี่ยวกับสภาวะและความเป็นจริง  เมื่อประสบการณ์ของพวกเจ้าลึกซึ้งมากขึ้น พวกเจ้าก็จะมาเข้าใจพระวจนะเหล่านี้ และพวกเจ้าจะรู้วิธีนำพระวจนะเหล่านี้ไปปฏิบัติ  ตอนนี้ไม่ว่าประสบการณ์ของเจ้าลึกซึ้งเพียงใด ความลำบากยากเย็นที่เจ้ามีจากสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเจ้าก็มีอยู่ไม่น้อยอย่างแน่นอน แล้วเจ้าจะสามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นเหล่านี้ได้อย่างไร?  อันดับแรก เจ้าต้องคิดทบทวนสภาวะอันเสื่อมทรามที่เจ้าควรสืบค้น นั่นคือ สภาวะอันเสื่อมทรามนั้นมีแง่มุมที่ต่างกันอย่างไร?  ใครอยากจะลองอธิบายแง่มุมเหล่านี้บ้าง?  (สภาวะอันเสื่อมทรามประกอบด้วยห้าแง่มุม อันได้แก่แนวคิด มุมมอง ภาวะ อารมณ์ และจุดยืน)  เมื่อเจ้าเข้าใจคำสอน เช่นนั้นแล้ว เวลาที่มีสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าควรปฏิบัติและมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านั้นอย่างไร?  (เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น พวกเราก็ควรไปตรวจสอบว่าท่าทีและแนวคิดที่พรั่งพรูออกจากพวกเรานั้นเกี่ยวข้องกับอุปนิสัยและธรรมชาติแบบใด มารู้ถึงชุดความคิด แนวคิด และมุมมองเหล่านี้ จากนั้นก็เริ่มแก้ไขสิ่งเหล่านั้นจากจุดนี้)  เรื่องนี้ถูกต้อง  หากเจ้ารู้จักสภาวะ ท่าที แนวคิด และมุมมองที่แท้จริงของตัวเองอย่างถี่ถ้วน เช่นนั้นปัญหานี้ก็ได้รับการแก้ไขไปแล้วครึ่งหนึ่ง จากนั้น ด้วยการแสวงหาความจริงและนำความจริงไปปฏิบัติ ความลำบากยากเย็นนี้ย่อมหมดไป

ในบรรดาพวกเจ้ามีคนหนุ่มสาว รวมไปถึงคนที่ยังไม่ได้สร้างครอบครัวอยู่หลายคนทีเดียว  พวกเจ้าทุกคนต่างทิ้งบ้านมาหลายปีเพื่อทำหน้าที่ของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าคิดถึงบ้านหรือไม่?  พวกเจ้าคิดถึงพ่อแม่ของตนเองหรือไม่?  พวกเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะของการคิดถึงพ่อแม่ของพวกเจ้าอยู่บ่อยครั้งใช่ไหม?  มาฟังเรื่องสภาวะของการคิดถึงพ่อแม่ของพวกเจ้ากันเถิด—นี่เป็นประสบการณ์จริง  (ตอนที่ข้าพระองค์เพิ่งมาต่างประเทศ ข้าพระองค์คิดถึงแม่และพี่สาวของข้าพระองค์เป็นพิเศษ ข้าพระองค์เคยพึ่งพาพวกเขาเสมอ ดังนั้นเมื่อข้าพระองค์ต้องจากมาอยู่เพียงลำพัง ข้าพระองค์ก็คิดถึงพวกเขาอยู่เป็นนิจ  แต่เมื่อมีประสบการณ์ในต่างประเทศมากเท่านี้ ข้าพระองค์ก็รู้สึกว่าผู้เดียวข้าพระองค์ไม่สามารถทิ้งไว้เบื้องหลังได้ในขณะนี้คือพระเจ้า เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้น ข้าพระองค์ก็อธิษฐานถึงพระองค์ และข้าพระองค์ก็ไม่คิดถึงแม่กับพี่สาวอีกต่อไป)  นี่คือสองสภาวะที่แตกต่างกัน  สภาวะแรกคืออะไร?  การคิดถึงบ้าน การคิดถึงแม่และพี่สาวของเจ้าอยู่เสมอนั่นเอง  รายละเอียดของสภาวะประเภทนี้คืออะไร?  คือเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น เจ้าไม่รู้ว่าจะทำสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้อย่างไร ดังนั้นเจ้าจึงรู้สึกหมดสิ้นหนทาง เจ้าไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากคนที่เจ้ารักคอยอยู่เคียงข้าง และเจ้าก็ไม่มีใครให้พึ่งพา  เมื่อเจ้าลืมตาขึ้นมาในตอนเช้า เจ้าก็เริ่มคิดถึงพวกเขา และก่อนเจ้าเข้านอนในตอนกลางคืน เจ้าก็คิดถึงพวกเขา เจ้าติดอยู่ในสภาวะของการคิดถึงคนที่เจ้ารักเช่นนี้นั่นเอง  แล้วเหตุใดเจ้าจึงคิดถึงพวกเขามากเหลือเกิน?  นั่นก็เพราะรูปการณ์แวดล้อมของเจ้าเปลี่ยนแปลงไป และเจ้าได้ทิ้งพวกเขาเอาไว้ข้างหลัง  เจ้าเป็นห่วงพวกเขา และมากกว่านั้นคือเจ้าเกิดความเคยชินที่จะพึ่งพาพวกเขา ใช้ชีวิตและพึ่งพาพวกเขาเพื่อการอยู่รอด  มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่เจ้าไม่สามารถแยกจากกันและกันได้ ดังนั้นเจ้าจึงคิดถึงพวกเขาอย่างมาก นี่คือสภาวะประเภทที่เจ้าเป็นอยู่  แล้วตอนนี้ที่เจ้าไม่คิดถึงพวกเขา เจ้าอยู่ในสภาวะประเภทใด?  (ข้าพระองค์รู้สึกเหมือนการจากบ้านมาและการทำหน้าที่ของข้าพระองค์นั้นเป็นความรักของพระเจ้า เป็นความรอดของพระองค์ ซึ่งทำให้ข้าพระองค์ได้เรียนรู้วิธีพึ่งพาพระองค์  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของข้าพระองค์เปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว และดวงจิตของข้าพระองค์ก็รู้สึกได้รับการชูใจ นอกจากนี้ การยอมรับอธิปไตยของพระเจ้ายังทำให้ข้าพระองค์รู้ว่า ชะตากรรมของผู้คนล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์  แม่กับพี่สาวของข้าพระองค์ต่างก็มีภารกิจของพวกเขา และข้าพระองค์ก็มีภารกิจของตนเอง ข้าพระองค์จึงไม่คิดถึงพวกเขาอีกต่อไป)  ปัญหานั้นได้รับการแก้ไขแล้วใช่ไหม?  (ข้าพระองค์รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น)  ทุกคนคิดอย่างไร สิ่งนี้ได้รับการแก้ไขแล้วใช่หรือไม่?  (ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขเพียงชั่วคราว)  ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขเพียงชั่วคราว  หากวันหนึ่งเจ้าบังเอิญเจอพี่น้องหญิงคนหนึ่งที่มีรูปร่างหน้าตา น้ำเสียง หรือวิธีปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนกับแม่ของเจ้าเป็นพิเศษ หรือเหมือนกับพี่สาวของเจ้าเป็นพิเศษ เจ้าจะรู้สึกอย่างไร?  (ข้าพระองค์จะเริ่มคิดถึงพวกเขาอีกครั้ง)  เจ้าจะตกลงสู่สภาวะของการคิดถึงพวกเขาอีกครั้ง ดังนั้นปัญหานี้ย่อมจะไม่ได้รับการแก้ไข  แล้วเจ้าจะแก้ไขปัญหานี้จากต้นตอได้อย่างไร?  เมื่อพวกเจ้าคิดถึงคนที่พวกเจ้ารัก พวกเจ้าคิดถึงสิ่งใด?  โดยปกติแล้วเมื่อเจ้าคิดถึงใครบางคน คิดถึงคนที่เจ้ารัก หรือคิดถึงบ้าน แน่นอนว่าเจ้าไม่ได้คิดถึงสิ่งที่ทำให้เจ้าเสียใจ เจ้าคิดถึงสิ่งทั้งหลายที่ทำให้เจ้ารู้สึกยินดี สิ่งทั้งหลายที่ทำให้เจ้ารู้สึกมีความสุขและรู้สึกดี และเป็นสิ่งที่เจ้าเพลิดเพลิน อย่างเช่น วิธีที่แม่ของเจ้าเคยดูแลเจ้า รักเจ้าสุดดวงใจ และทะนุถนอมเจ้า หรือของดีๆ ที่พ่อของเจ้าเคยซื้อให้เจ้า  เจ้าคิดถึงสิ่งที่ดีทั้งหลายนี้ ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถหยุดคิดถึงคนที่เจ้ารักได้  ยิ่งเจ้านึกถึงคนที่เจ้ารักมากเท่าไร เจ้าก็ยิ่งไม่สามารถละทิ้งพวกเขา และไม่สามารถยับยั้งตนเองได้มากเท่านั้น  บางคนกล่าวว่า “ตลอดหลายปีมานี้ ฉันไม่เคยทิ้งแม่มาก่อนเลย  ฉันตามแม่ไปทุกหนทุกแห่ง ฉันเป็นแก้วตาดวงใจของแม่  หลังจากที่หายจากกันมานานเหลือเกิน ฉันจะไม่คิดถึงแม่ได้อย่างไร?”  การคิดถึงแม่เป็นเรื่องธรรมชาติ เนื้อหนังของผู้คนก็เป็นเช่นนี้เอง  มนุษย์ผู้เสื่อมทรามดำเนินชีวิตอยู่ในความรู้สึกของพวกเขา  พวกเขาคิดว่า “มีเพียงการใช้ชีวิตในหนทางนี้เท่านั้นที่เป็นสภาวะเสมือนมนุษย์  หากฉันถึงกับไม่คิดถึงคนที่ฉันรัก หรือไม่นึกถึงพวกเขา หรือหาทางค้ำจุนพวกเขาเลย ฉันจะยังเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ?  ฉันจะไม่เป็นเหมือนสัตว์หรอกหรือ?”  พวกเจ้าไม่คิดเช่นนี้หรือ?  หากพวกเขาไม่มีความรักใคร่เอ็นดูหรือมิตรภาพ และพวกเขาไม่คิดถึงผู้อื่น เช่นนั้นผู้อื่นก็ย่อมคิดว่าพวกเขาไร้ความเป็นมนุษย์ และคิดว่าพวกเขาไม่สามารถดำเนินชีวิตในหนทางนี้ได้  มุมมองเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  อันที่จริงไม่ว่าเจ้าคิดถึงพ่อแม่ของเจ้าหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่  การคิดถึงพวกเขาไม่ใช่เรื่องผิด และการไม่คิดถึงพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องผิด  คนบางคนมีความเป็นอิสระสูง ขณะที่คนอื่นๆ เกาะติดอยู่กับพ่อแม่ของตน แต่พวกเจ้าทุกคนก็สามารถทิ้งบ้านและทิ้งพ่อแม่ของพวกเจ้าเพื่อมาทำหน้าที่ได้  อันดับแรก พวกเจ้ามีความเต็มใจที่จะทำหน้าที่ มีเจตจำนงที่จะทำหน้าที่ และมีเจตจำนงที่จะสละตนและทิ้งสิ่งทั้งหลายเพื่อพระเจ้า แต่ความลำบากยากเย็นของพวกเจ้าไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการทุ่มความพยายามอย่างสุดตัวเพียงครั้งเดียว และพวกเจ้าก็ไม่สามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเจ้าได้ด้วยการทุ่มเทพยายามอย่างสุดตัวในการทำความดีและการประพฤติตัวดีเพียงครั้งเดียว  พวกเจ้าเข้าใจคำสอนนี้ใช่หรือไม่?  ดังนั้นแล้ว พวกเจ้าจะแก้ไขเรื่องของการคิดถึงพ่อแม่ของพวกเจ้าจากรากเหง้าได้อย่างไร?  คนบางคนจากบ้านมาใช้ชีวิตอย่างอิสระได้สองถึงสามปี พวกเขาก็เติบโตขึ้นแล้ว และไม่คิดถึงพ่อแม่ของพวกเขามากนัก  ด้วยเหตุนั้น ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้วใช่ไหม?  ไม่ใช่  หากเจ้าถามพวกเขาว่าพวกเขาใกล้ชิดกับใครมากที่สุด พวกเขาย่อมตอบไปตามตำราว่า “ฉันใกล้ชิดกับพระเจ้ามากที่สุด พระเจ้าทรงเป็นสุดที่รักของฉัน!”  ทว่าในหัวใจพวกเขากลับคิดว่า “พระเจ้าไม่ทรงอยู่เคียงข้างฉัน และพระองค์ก็ไม่สามารถดูแลฉันได้  ฉันยังคงใกล้ชิดกับแม่ของฉันมากที่สุด  ฉันมาจากเลือดเนื้อของท่าน ท่านรักฉันมากที่สุด และท่านก็เข้าใจและทำความเข้าใจกับฉันมากที่สุด  ในยามที่สิ่งต่างๆ ลำบากยากเย็นและขมขื่นที่สุด แม่ก็อยู่ตรงนั้นเสมอเพื่อชูใจ ช่วยเหลือ และห่วงใยฉัน  ตอนนี้ การจากบ้านมาทำให้ไม่มีใครคอยดูแลฉันเหมือนแม่ในยามที่ฉันป่วย  คุณบอกว่าพระเจ้าทรงดีเลิศ แต่ฉันไม่สามารถมองเห็นพระพักตร์ของพระองค์ แล้วพระองค์อยู่ที่ไหนกันเล่า?  นั่นไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลย”  พวกเขาคิดว่าการพึ่งพาพระเจ้าไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และคำพูดที่พวกเขาบอกว่าใกล้ชิดกับพระเจ้ามากที่สุดก็ค่อนข้างฝืนใจ ค่อนข้างปากว่าตาขยิบ  ที่จริงในส่วนลึกของหัวใจพวกเขา พวกเขาคิดว่าตนเองใกล้ชิดกับแม่มากที่สุด  แต่เพราะอะไรเล่า?  “ฉันเชื่อในพระเจ้าเพราะแม่เผยแผ่ข่าวประเสริฐให้กับฉัน ถ้าไม่มีท่าน ฉันคงจะไม่มาอยู่ตรงนี้”  พวกเขาไม่ได้คิดเช่นนี้หรอกหรือ?  (พวกเขาคิดเช่นนี้)  พวกเจ้าคิดว่าผู้คนเช่นนั้นเข้าใจความจริงหรือไม่?  (ไม่เข้าใจ)  แม่ของเจ้าเพียงให้กำเนิดเจ้าและดูแลเจ้าจนถึงอายุยี่สิบกว่าปีเท่านั้น  แม่เจ้าสามารถมอบความจริงให้เจ้าได้หรือ?  แม่เจ้าสามารถมอบชีวิตให้เจ้าได้หรือ?  แม่เจ้าสามารถช่วยเจ้าให้รอดจากอิทธิพลของซาตานได้หรือ?  แม่เจ้าสามารถชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าให้สะอาดได้หรือ?  แม่เจ้าไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้เลย  ด้วยเหตุนั้นพระคุณของพ่อแม่และความรักของพ่อแม่จึงมีจำกัดมาก  พระเจ้าทรงสามารถทำสิ่งใดเพื่อเจ้าได้บ้าง?  พระเจ้าสามารถประทานความจริงแก่ผู้คน สามารถช่วยพวกเขาให้รอดจากอิทธิพลของซาตานและจากความตาย และสามารถประทานชีวิตนิรันดร์ให้พวกเขาได้—นี่ไม่ใช่ความรักที่ยิ่งใหญ่หรอกหรือ?  ความรักนี้สูงเสียดฟ้าสวรรค์และลึกสุดแผ่นดินโลก  นี่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหลือเชื่อ ยิ่งใหญ่กว่าความรักของพ่อแม่ร้อยเท่า ไม่ใช่สิ หนึ่งพันเท่าต่างหาก  หากผู้คนได้มารู้โดยแท้จริงว่าความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่เพียงไหน พวกเขาจะยังมีความรู้สึกที่หนักแน่นต่อพ่อแม่อยู่หรือไม่?  ช่วงวันปีใหม่และวันหยุด พวกเขาจะยังคิดถึงพ่อแม่ของตนตลอดทั้งวันหรือไม่?  หากพวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาจะคิดถึงความรักของพระเจ้ามากกว่าเดิม  หากใครบางคนเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีและยังคิดว่าความรักของพ่อแม่ของพวกเขายิ่งใหญ่กว่าความรักของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว บุคคลนั้นย่อมมืดบอด และไม่มีความเชื่อในพระเจ้าเลย  หากใครบางคนเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจะสามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้หรือ?  พวกเขาจะสามารถสัมฤทธิ์ความรอดได้หรือ?  พวกเขาไม่สามารถทำได้  หากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ายังไม่ได้รับการแก้ไข และชีวิตฝ่ายวิญญาณของเจ้ายังไม่เติบโตจนมีวุฒิภาวะในระดับหนึ่ง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมสามารถตะโกนคำขวัญบางอย่างได้ แต่เจ้าจะไม่สามารถปฏิบัติตามคำขวัญเหล่านั้นได้เพราะเจ้าไม่มีวุฒิภาวะ  เจ้าสามารถทำสิ่งทั้งหลายที่ยิ่งใหญ่ได้เท่าที่เจ้ามีอำนาจที่จะทำ  เจ้าสามารถก้าวผ่านบททดสอบที่ยิ่งใหญ่ได้เท่าที่วุฒิภาวะของเจ้าสู้ทนไหว  เจ้าสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้มากเท่าที่เจ้าสามารถเข้าใจ นั่นคือระดับความเป็นจริงความจริงที่เจ้าสามารถใช้ชีวิตตามได้  ในทำนองเดียวกัน ยังมีเรื่องของการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้มากเพียงใดและเจ้าสามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นของตนเองได้มากเพียงใดด้วย นี่เป็นเรื่องที่สอดคล้องกัน

วันหนึ่ง เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงบ้างแล้ว เจ้าก็จะไม่คิดว่าแม่ของเจ้าคือบุคคลที่ดีที่สุด หรือพ่อแม่ของเจ้าเป็นคนที่ดีที่สุดอีกต่อไป  เจ้าจะตระหนักว่าพวกเขาก็เป็นสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เสื่อมทรามเช่นกัน และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาล้วนเป็นเหมือนกัน  สิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างจากคนอื่นคือสัมพันธภาพทางสายโลหิตกับเจ้า  หากพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็เป็นเหมือนผู้ไม่เชื่อทั้งหลาย  เจ้าจะไม่มองพวกเขาจากมุมมองของสมาชิกในครอบครัว หรือจากมุมมองของสัมพันธภาพทางเนื้อหนังของเจ้าอีกต่อไป แต่จะมองจากฝั่งของความจริง  สิ่งใดคือแง่มุมหลักที่เจ้าควรมอง?  เจ้าควรดูทรรศนะที่พวกเขามีเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้า ทรรศนะที่พวกเขามีต่อโลก ทรรศนะที่พวกเขามีต่อการรับมือเรื่องราวทั้งหลาย และที่สำคัญที่สุดก็คือท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้า  หากเจ้าประเมินแง่มุมเหล่านี้อย่างถูกต้องแม่นยำ เจ้าก็จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นคนดีหรือไม่ดี  วันหนึ่งเจ้าอาจมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาก็เป็นผู้คนที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นเดียวกับเจ้า  นี่อาจชัดเจนยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำว่าพวกเขาไม่ใช่คนจิตใจดีที่มีความรักจริงให้กับเจ้าดังที่เจ้าจินตนาการ และพวกเขาไม่สามารถนำทางเจ้าไปสู่ความจริงหรือไปยังเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตได้เลย  เจ้าอาจมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่พวกเขาทำให้เจ้าไม่ได้มีประโยชน์อันใหญ่หลวงต่อเจ้า และไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อการที่เจ้าจะเลือกเดินบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง  เจ้าอาจพบอีกด้วยว่าการปฏิบัติและข้อคิดเห็นหลายประการของพวกเขาตรงกันข้ามกับความจริง ว่าพวกเขาเป็นฝ่ายเนื้อหนัง และนี่ทำให้เจ้าดูหมิ่นพวกเขา รู้สึกอยากผลักไสและรังเกียจพวกเขา  หากเจ้าได้มาเห็นสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็จะสามารถปฏิบัติต่อพ่อแม่ของเจ้าได้อย่างถูกต้องในหัวใจ และเจ้าจะไม่คิดถึงพวกเขา กังวลเรื่องพวกเขา หรือไม่อาจใช้ชีวิตแยกจากพวกเขาได้อีกต่อไป  พวกเขาทำภารกิจในฐานะพ่อแม่ของพวกเขาเสร็จสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นเจ้าจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะของผู้คนที่ใกล้ชิดเจ้าที่สุด หรือปลาบปลื้มหลงใหลพวกเขาอีกต่อไป  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าจะปฏิบัติต่อพวกเขาประหนึ่งผู้คนปรกติทั่วไป และเมื่อนั้นเจ้าจะหนีพ้นจากพันธนาการของความรู้สึกได้โดยสมบูรณ์ เจ้าจะออกจากความรู้สึกและความรักใคร่ผูกพันต่อครอบครัวได้อย่างแท้จริง  เมื่อเจ้าทำเช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะตระหนักว่าสิ่งเหล่านั้นไม่คู่ควรแก่การหวงแหนเลย  เมื่อถึงจุดนั้น เจ้าจะเห็นว่าญาติพี่น้อง ครอบครัว และสัมพันธภาพทางเนื้อหนังเป็นเครื่องสะดุดต่อการเข้าใจความจริง และต่อการทำให้เจ้าเป็นอิสระจากความรู้สึกของตน  นี่เป็นเพราะเจ้ามีความสัมพันธ์ฉันท์ครอบครัวกับพวกเขา—สัมพันธภาพทางเนื้อหนังเช่นนั้นทำให้เจ้าไม่สามารถทำอะไรได้ นำเจ้าให้หลงเจิ่น และทำให้เจ้าเชื่อว่าพวกเขาปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีที่สุด เป็นคนที่ใกล้ชิดกับเจ้ามากที่สุด ดูแลเจ้าดีกว่าใคร และรักเจ้ามากที่สุด—ทั้งหมดนี้เองที่ทำให้เจ้าไม่สามารถหยั่งรู้ได้โดยชัดเจนว่าพวกเขาเป็นคนดีหรือคนไม่ดี  เมื่อเจ้าออกมาจากความรู้สึกเหล่านี้ได้อย่างแท้จริง แม้อาจจะยังคิดถึงพวกเขาบ้างเป็นครั้งคราว แต่เจ้าจะยังคิดถึงพวกเขาอย่างสุดหัวใจ พูดถึงพวกเขาตลอดเวลา และถวิลหาพวกเขาอย่างที่เจ้าเป็นอยู่ในตอนนี้หรือไม่?  เจ้าจะไม่เป็นเช่นนั้น  เจ้าจะไม่กล่าวว่า “คนที่ฉันไม่สามารถขาดได้จริงๆ คือแม่ของฉัน ท่านเป็นคนที่รักฉัน ดูแลฉัน และห่วงใยฉันมากที่สุด”  เมื่อเจ้ามีการรับรู้ในระดับนี้ เจ้าจะยังคงร้องไห้เมื่อคิดถึงพวกเขาหรือไม่?  ไม่  ปัญหานี้ย่อมจะได้รับการแก้ไข  แล้วสำหรับเรื่องหรือปัญหาทั้งหลายที่สร้างความลำบากยากเย็นให้กับเจ้า หากเจ้าไม่ได้รับความจริงในแง่มุมนั้นและหากเจ้าไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงในแง่มุมนั้น เจ้าย่อมจะติดกับดักอยู่ในความลำบากยากเย็นหรือสภาวะเช่นนั้น และเจ้าจะไม่สามารถออกมาจากสิ่งเหล่านั้นได้เลย  หากเจ้าปฏิบัติต่อความลำบากยากเย็นและปัญหาประเภทนี้เป็นปัญหาสำคัญของการเข้าสู่ชีวิต แล้วจากนั้นก็แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงในแง่มุมนี้ได้ เจ้าจะเรียนรู้บทเรียนจากความลำบากยากเย็นและปัญหาเหล่านี้ไปโดยไม่รู้ตัว  เมื่อปัญหาต่างๆ ได้รับการแก้ไข เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าไม่ได้ใกล้ชิดกับพ่อแม่และสมาชิกในครอบครัวของเจ้าขนาดนั้น เจ้าจะมองเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาชัดเจนมากขึ้น และจะเห็นว่าแท้จริงแล้วพวกเขาเป็นคนประเภทใด  เมื่อเจ้ามองเห็นคนที่เจ้ารักโดยชัดเจน เจ้าจะกล่าวว่า “แม่ของฉันไม่ยอมรับความจริงเลย ที่จริงท่านรังเกียจและเกลียดชังความจริง  โดยแก่นแท้แล้วท่านเป็นคนชั่ว เป็นมาร  พ่อของฉันเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คน ยืนอยู่ข้างเดียวกับแม่  พ่อก็ไม่ยอมรับความจริงและไม่ปฏิบัติความจริงเลย  ดูจากพฤติกรรมของพ่อกับแม่แล้ว พวกท่านสองคนเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ พวกท่านทั้งสองคนเป็นมาร  ฉันต้องกบฏต่อพวกท่านโดยสิ้นเชิง และขีดเส้นให้พวกท่านอย่างชัดเจน”  ในหนทางนี้เจ้าจึงจะยืนอยู่ฝั่งเดียวกับความจริง และจะสามารถละทิ้งพวกเขาไปได้  เมื่อเจ้าสามารถแยกแยะได้ว่าพ่อกับแม่ของเจ้าเป็นใคร และเป็นคนประเภทใด เจ้าจะยังมีความรู้สึกต่างๆ ให้กับพวกเขาอยู่หรือไม่?  เจ้าจะยังรู้สึกรักใคร่ผูกพันกับพวกเขาอยู่หรือไม่?  เจ้าจะยังมีสัมพันธภาพทางเนื้อหนังกับพวกเขาอยู่หรือไม่?  เจ้าจะไม่มีสิ่งเหล่านั้น  เจ้าจะยังจำเป็นต้องยับยั้งความรู้สึกของเจ้าอยู่หรือไม่?  (ไม่)  แล้วที่จริงเจ้าพึ่งพาสิ่งใดเพื่อแก้ไขความลำบากยากเย็นเหล่านี้?  เจ้าพึ่งพาการเข้าใจความจริง การพึ่งพาพระเจ้า และการเคารพนับถือพระเจ้า  หากเจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจนในหัวใจ เช่นนั้นแล้ว เจ้ายังจำเป็นต้องยับยั้งตนเองอยู่หรือ?  เจ้ายังรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่หรือไม่?  เจ้ายังจำเป็นต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดสาหัสเช่นนั้นหรือไม่?  เจ้ายังจำเป็นต้องให้ผู้อื่นสามัคคีธรรมกับเจ้าและทำงานตามอุดมคติอยู่หรือไม่?  ไม่จำเป็น เพราะเจ้าได้จัดการเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเจ้าเองแล้ว—สิ่งนี้ง่ายดายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก  กลับมาที่เรื่องก่อนหน้านี้ เจ้าจะแก้ไขปัญหาของการไม่อยากนึกถึงหรือคิดถึงพวกเขาอย่างไร?  (แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องนี้)  นั่นเป็นคำพูดยากๆ ที่ฟังดูทางการมากทีเดียว—แต่พูดให้สัมพันธ์กับชีวิตจริงขึ้นอีกหน่อยเถิด  (นำพระวจนะของพระเจ้ามาปรับใช้เพื่อมองให้ทะลุถึงแก่นแท้ของพวกเขา นั่นก็คือ แยกแยะพวกเขาตามแก่นแท้ของพวกเขา  จากนั้น พวกเราก็จะสามารถละวางความรักใคร่ผูกพันและสัมพันธภาพทางเนื้อหนังของพวกเราได้)  ถูกต้อง  เจ้าต้องมีวิจารณญาณเกี่ยวกับแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนตามพระวจนะของพระเจ้า  หากไร้ซึ่งการเปิดโปงจากพระวจนะของพระเจ้า ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถมองทะลุถึงแก่นแท้ธรรมชาติของผู้อื่นได้  มีเพียงการอ้างอิงตามพระวจนะของพระเจ้าและตามความจริงเท่านั้นที่คนเราจะสามารถมองทะลุถึงแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนได้ เมื่อนั้นเท่านั้นที่คนเราจะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องความรู้สึกของมนุษย์ที่ต้นตอได้  จงเริ่มจากการทิ้งความรักใคร่ผูกพันและสัมพันธภาพทางเนื้อหนังของเจ้าไว้เบื้องหลังเป็นอันดับแรก ใครก็ตามที่เจ้ามีความรู้สึกที่ดีด้วยมากที่สุด นั่นคือคนที่เจ้าควรชำแหละและแยกแยะเป็นคนแรก  เจ้าคิดอย่างไรกับวิธีแก้ไขนี้?  (เป็นวิธีที่ดี)  คนบางคนกล่าวว่า “การใช้วิจารณญาณแยกแยะและการชำแหละคนที่ฉันมีความรู้สึกที่ดีด้วยมากที่สุด—นั่นเป็นเรื่องที่ใจดำเหลือเกิน!”  ประเด็นของการให้เจ้าใช้วิจารณญาณแยกแยะพวกเขาไม่ใช่เพื่อให้เจ้าตัดความสัมพันธ์กับพวกเขา—ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าตัดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก และไม่ใช่เพื่อให้เจ้าละทิ้งพวกเขาโดยสิ้นเชิงโดยไม่ปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาอีกต่อไป  เจ้าควรลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อคนที่เจ้ารัก แต่เจ้าไม่สามารถให้พวกเขามาบีบคั้นหรือพัวพันกับเจ้าได้ เพราะเจ้าคือผู้ติดตามของพระเจ้า เจ้าต้องครองหลักธรรมข้อนี้  หากเจ้ายังถูกพวกเขาบีบคั้นหรือเข้ามาพัวพัน เจ้าย่อมไม่สามารถทำหน้าที่ของตนให้ดีได้ และไม่สามารถรับประกันได้ว่าเจ้าจะสามารถติดตามพระเจ้าไปได้จนสุดทาง  หากเจ้าไม่ใช่ผู้ติดตามของพระเจ้าหรือเป็นคนที่รักความจริง เช่นนั้นก็จะไม่มีใครประสงค์สิ่งนี้จากเจ้า  คนบางคนกล่าวว่า “ตอนนี้ฉันไม่เข้าใจความจริง ฉันไม่รู้ว่าจะแยกแยะผู้อื่นอย่างไร”  หากเจ้าไม่มีวุฒิภาวะนี้ เช่นนั้นตอนนี้ก็จงวางการใช้วิจารณญาณแยกแยะไว้ก่อนเถิด  เมื่อเจ้ามีวุฒิภาวะเพียงพอและสามารถข้ามผ่านบททดสอบเช่นนั้นได้ อีกทั้งสามารถริเริ่มที่จะปฏิบัติในหนทางนี้ได้ด้วยตัวเอง เมื่อนั้นก็ยังไม่สายเกินไปที่เจ้าจะปฏิบัติความจริงในแง่มุมนี้

ผู้คนมากมายทนทุกข์ทางอารมณ์โดยไม่จำเป็น อันที่จริงทั้งหมดนี้เป็นความทุกข์ที่ไม่จำเป็นและไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนั้น?  ผู้คนถูกบีบคั้นโดยความรู้สึกของตนอยู่เสมอ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้าได้ นอกจากนี้ การถูกบีบคั้นโดยความรู้สึกไม่เป็นประโยชน์ต่อการทำหน้าที่หรือการติดตามพระเจ้าของคนเราเลย และยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงต่อการเข้าสู่ชีวิตด้วย  ดังนั้น การทนทุกข์จากการถูกบีบคั้นทางความรู้สึกจึงไม่มีความหมาย และพระเจ้าก็ไม่ทรงจดจำการนี้  แล้วเจ้าจะปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากความทุกข์อันไร้ความหมายนี้ได้อย่างไร?  เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจความจริง รวมถึงมองเห็นและเข้าใจแก่นแท้ของสัมพันธภาพทางเนื้อหนังเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เช่นนั้นแล้วย่อมเป็นเรื่องง่ายที่เจ้าจะเป็นอิสระจากการถูกความรู้สึกทางเนื้อหนังบีบคั้น  บางคนที่เชื่อในพระเจ้าถูกพ่อแม่ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าของพวกเขาข่มเหงอย่างหนักหน่วง หากพวกเขาไม่ถูกบังคับให้หาคู่ครอง พวกเขาก็ย่อมถูกบังคับให้หางานทำ  พวกเขาสามารถทำสิ่งใดก็ได้ตามต้องการ แต่พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เชื่อในพระเจ้า  พ่อแม่บางคนถึงกับหมิ่นประมาทพระเจ้า ดังนั้นผู้คนเหล่านี้จึงมองเห็นธาตุแท้เยี่ยงมารของพ่อแม่ตนเอง  เมื่อนั้นเท่านั้นที่หัวใจของพวกเขาร้องคร่ำครวญว่า “พวกท่านเป็นมารโดยแท้จริง ฉันจึงไม่สามารถปฏิบัติต่อพวกท่านในฐานะคนที่ฉันรักได้อีกต่อไป!”  นับตั้งแต่นั้นมา พวกเขาก็เป็นอิสระจากการตีกรอบและโซ่ตรวนแห่งความรู้สึกของตนเอง  ซาตานต้องการใช้ความรักใคร่เอ็นดูเพื่อจำกัดควบคุมและผูกมัดผู้คนเอาไว้  หากผู้คนไม่เข้าใจความจริง ย่อมเป็นเรื่องง่ายที่พวกเขาจะถูกหลอกลวง  บ่อยครั้งทีเดียวที่พวกเขาไม่มีความสุข พวกเขาร่ำไห้ สู้ทนความยากลำบาก และยอมเสียสละเพราะเห็นแก่พ่อแม่และคนที่ตนรัก  นี่คือความไม่รู้ความอันโง่เขลาของพวกเขา พวกเขายอมรับความผิดหวังอย่างกล้าหาญ และพวกเขายอมรับผลแห่งการกระทำ  การทนทุกข์ต่อสิ่งเหล่านี้ไม่มีคุณค่า—เป็นความพยายามอันเปล่าประโยชน์ที่พระเจ้าจะไม่ทรงจดจำไว้เลย—และคนเราอาจกล่าวได้ว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในนรก  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงโดยแท้จริงและมองเห็นแก่นแท้ของพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง เจ้าย่อมจะเป็นอิสระ เจ้าจะรู้สึกว่าความทุกข์ของเจ้าก่อนหน้านี้คือความไม่รู้และความโง่เขลา  เจ้าจะไม่ติเตียนผู้ใดเลย ทว่าเจ้าจะติเตียนความมืดบอด ความโง่เขลาของตัวเอง และข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าไม่เข้าใจความจริงหรือไม่ได้มองเห็นเรื่องต่างๆ อย่างชัดเจน  ปัญหาเรื่องความรู้สึกนั้นแก้ไขได้ง่ายใช่หรือไม่?  พวกเจ้าแก้ไขปัญหานี้ได้แล้วหรือยัง?  (ยัง  พวกเรายังไม่ได้ปฏิบัติหรือเข้าสู่เส้นทางของการปฏิบัติที่พระเจ้าทรงชี้ให้เห็น พวกเราเพียงแต่มีรากฐานสำหรับอ้างอิงเมื่อมีเรื่องประเภทนี้เกิดขึ้น)  ในการกล่าวเรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวถึงเรื่องที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง หรือการกล่าวถึงสิ่งทั้งหลายที่พวกเจ้าตีความว่าเป็นเส้นทาง เราขอบอกพวกเจ้าว่า เมื่อพวกเจ้าเผชิญหน้ากับเรื่องประเภทนี้ วิธีการที่ดีที่สุดในการรับมือก็คืออธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริง แล้วเจ้าจะมีหนทางในการแก้ไข  เมื่อเจ้ามองทะลุไปถึงแก่นแท้ของความรู้สึกทางเนื้อหนังแล้ว ก็ย่อมง่ายที่เจ้าจะรับมือกับเรื่องต่างๆ ตามหลักธรรมความจริง  หากเจ้าถูกสัมพันธภาพทางเนื้อหนังกับคนที่เจ้ารักบีบคั้นอยู่เสมอ เช่นนั้นเจ้าจะไม่มีทางได้ปฏิบัติความจริง ต่อให้เจ้าเข้าใจคำสอนและร้องตะโกนคำขวัญ เจ้าก็จะยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาจริงของเจ้าได้  คนบางคนไม่รู้ว่าจะแสวงหาความจริงอย่างไร  คนอื่นๆ สามารถแสวงหาความจริงได้ แต่เมื่อผู้คนสามัคคีธรรมความจริงอย่างชัดเจนกับพวกเขา พวกเขากลับไม่เชื่ออย่างแท้จริงและไม่ได้ยอมรับโดยสิ้นเชิง พวกเขาเพียงรับฟังสามัคคีธรรมนั้นราวกับเป็นคำสอน  ปัญหาเรื่องที่เจ้าถูกความรู้สึกบีบคั้นจึงไม่มีวันแก้ไขได้ หากปัญหานี้ไม่สามารถแก้ไขได้ เจ้าก็ไม่มีวันออกจากปัญหานี้ได้ และเจ้าจะยังคงถูกบีบคั้นและผูกมัดต่อไป  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่สามารถติดตามพระองค์หรือทำหน้าที่ที่เจ้าพึงกระทำได้ เช่นนั้นแล้ว ท้ายที่สุดเจ้าจะไม่คู่ควรที่จะได้รับพระสัญญาของพระเจ้า จนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าจะร่วงลงสู่ความวิบัติและถูกลงโทษ—การร่ำไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันย่อมจะเปล่าประโยชน์ และจะไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเจ้าได้  ตอนนี้เจ้าเข้าใจชัดเจนถึงผลของการไม่แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามแล้วใช่หรือไม่?

วันนี้พวกเราได้สามัคคีธรรมเรื่องใดไปแล้วบ้าง?  พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องสภาวะของผู้คน อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา รวมถึงวิธีเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง วิธีปฏิบัติต่อเรื่องทั้งหลายที่เจ้าเผชิญอย่างถูกต้อง มุมมองประเภทใดที่เจ้าควรยึดถือ และวิธีรู้จัก ชำแหละ และแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง  เจ้าต้องเรียนรู้บทเรียนของการเข้าสู่ชีวิตอยู่เสมอ ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเรียนรู้ หรือสายเกินไปที่จะเริ่มต้น  แล้วเมื่อไรเล่าที่เรียกว่าสายเกินไป?  หากเจ้าตายไปแล้ว นั่นคือสายเกินไป หากเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นก็ยังไม่สายเกินไป  ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนล้วนมีชีวิตอยู่ ยังไม่ตาย ทว่าพวกเจ้าเข้าใจชัดเจนจริงๆ หรือไม่ว่าคนเป็นกับคนตายคืออะไร?  ในภาษาอังกฤษ ผู้คนมักจะกล่าวเสมอว่า “ฉันยังมีชีวิตอยู่”  คำนั้นหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเมื่อมีสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้าและเจ้าไม่รู้จะทำเช่นไร หรือเจ้าได้ถูกลากไปสู่กระแสสังคม หรือเจ้ารู้สึกว่าตนเองเสื่อมทรามลง แล้วเจ้าก็ใช้เข็มแทงตัวเองและสามารถยอมรับการนั้นได้—จากนั้นเจ้าจะรู้สึกว่าเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ รู้สึกว่าหัวใจของเจ้ายังไม่ตาย  หากเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นเจ้าก็ควรมีการไล่ตามเสาะหาและใช้ชีวิตในสภาพเสมือนมนุษย์  เมื่อก่อนนี้เจ้าเสื่อมทราม เจ้าติดตามสิ่งทั้งหลายในทางโลกและใช้ชีวิตอยู่ในกระแสของความเลวร้าย ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะสงบสติอารมณ์และหลีกเลี่ยงไม่ให้เสื่อมทรามไปมากกว่าเดิมหรอกหรือ?  เห็นหรือไม่ ชาวตะวันตกยังไม่พบหนทางที่แท้จริง และพวกเขาก็รู้สึกสิ้นหวังในเรื่องชีวิตมนุษย์และวิถีชีวิตของพวกเขา ดังนั้นคำพูดของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยภาวะอารมณ์ที่ดิ่งลึก อีกทั้งมีความหดหู่ใจและความสิ้นหวัง—กล่าวคือ อารมณ์ที่สิ้นหวัง—บรรจุอยู่ในคำพูดเหล่านั้นนั่นเอง  ขณะที่พวกเขาใช้ชีวิต พวกเขาก็มักจะรู้สึกว่าตนเองไม่ใช่มนุษย์ แต่พวกเขาต้องใช้ชีวิตในหนทางนี้ ต่อให้พวกเขารู้สึกเหมือนเป็นผี เป็นสัตว์ หรือเป็นสัตว์ร้าย พวกเขาก็ต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไป  พวกเขาทำอะไรได้บ้างหรือไม่?  พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย  หากพวกเขาไม่ตาย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ต้องใช้ชีวิตในหนทางนี้ ไม่มีเส้นทางอื่นสำหรับพวกเขา และพวกเขาก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างน่าเวทนา  พวกเจ้าทุกคนเป็นเช่นนี้หรือไม่?  หากวันหนึ่งพวกเจ้าเต็มไปด้วยอารมณ์ดิ่งลึก พลางคิดว่า “เฮ้อ ฉันยังมีชีวิตอยู่ หัวใจของฉันยังไม่ตาย”—หากคนคนหนึ่งใช้ชีวิตไปจนถึงจุดนั้น พวกเขาจะกลายเป็นเช่นไร?  พวกเขาตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวงเสียแล้ว!  สำหรับผู้เชื่อ นี่เป็นเรื่องที่อันตรายมากอยู่แล้ว  พวกเจ้าห้ามกล่าวคำพูดอย่าง “ฉันยังมีชีวิตอยู่ เนื้อหนังของฉันเป็นเพียงเปลือก และฉันเป็นซากศพเดินได้  หัวใจของฉันยังมีชีวิต และมีเพียงความปรารถนาและอุดมคติไม่กี่อย่างในหัวใจของฉันเท่านั้นที่ประคับประคองเนื้อหนังของฉันเอาไว้”  จงอย่าไปถึงจุดนั้น!  หากเจ้าไปถึงจุดนั้น การช่วยเจ้าให้รอดก็จะเป็นเรื่องที่ยากมาก  ดูพวกเจ้าทุกคนในตอนนี้เถิด สถานการณ์ของพวกเจ้าไม่ได้เลวร้ายเลย  หากเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ผู้ไม่เชื่อฟัง พวกเขาย่อมจะไม่ได้รับความตระหนักรู้ใดๆ ดังนั้นหากตอนนี้เราใช้คำพูดที่รุนแรงเพื่อตัดแต่งพวกเจ้า พวกเจ้าจะตระหนักในเรื่องนี้บ้างหรือไม่?  (ตระหนัก)  พวกเจ้าบางคนมารู้จักตนเองหลังจากที่ถูกตัดแต่งเท่านั้น เมื่อนั้นพวกเจ้าจะรู้สึกสำนึกผิด  นี่หมายความว่าพวกเจ้ายังคงมีมโนธรรม และหัวใจของพวกเจ้ายังไม่ได้ตายไปโดยสมบูรณ์ ซึ่งพิสูจน์ว่าพวกเจ้ายังคงตื่น ยังคงมีชีวิตอยู่!  หากพวกเจ้าสามารถยอมรับความจริงและนำความจริงนั้นไปปฏิบัติได้ เช่นนั้นพวกเจ้าก็มีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  หากใครบางคนมาถึงจุดที่พวกเขาจะไม่ยอมรับความจริงเลย เช่นนั้นพวกเขาก็ได้ตายไปแล้วโดยสมบูรณ์ และพวกเขาก็อยู่นอกเหนือการช่วยให้รอด  ในคริสตจักรมีผู้คนมากมายทีเดียวที่จะไม่ยอมรับความจริง  แม้ว่าคนพวกนี้จะหายใจอยู่ แต่จริงๆ แล้วพวกเขาไร้วิญญาณ  พวกเขาคือซากศพเดินได้ คือคนตายที่ไร้วิญญาณ  ผู้คนเช่นนั้นได้ถูกเผยและขับออกไปแล้วโดยสิ้นเชิง

5 ตุลาคม ค.ศ. 2016

ก่อนหน้า: เงื่อนไขห้าประการที่ต้องทำเพื่อออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า

ถัดไป: ในการเชื่อในพระเจ้า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger