2. มโนคติอันหลงผิดของโลกศาสนามีว่า “เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมา พระองค์จะทรงปรากฏต่อมนุษย์ในรูปกายวิญญาณที่ทรงเป็นขึ้นจากตาย”
ในพระคัมภีร์ ทูตสวรรค์สององค์กล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย ทำไมพวกท่านถึงยืนจ้องมองฟ้าสวรรค์? พระเยซูองค์นี้ที่ทรงรับไปจากท่านทั้งหลายขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกในลักษณะเดียวกับที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น” (กิจการ 1:11) ด้วยเหตุนี้ โลกศาสนาจึงเชื่อว่าหลังจากที่องค์พระเยซูเจ้าเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งการตรึงกางเขนแล้ว พระองค์ก็ทรงเป็นขึ้นจากตายและปรากฏต่อสาวกทั้งหลายของพระองค์ และพระองค์ได้ทรงกลายเป็นพระกายอันทรงสิริและเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ดังนั้น เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา พระองค์ก็จะยังคงปรากฏแก่มนุษย์ในรูปกายวิญญาณที่เป็นขึ้นจากตาย
พระวจนะของพระเจ้าจากพระคัมภีร์
“แต่ไม่มีใครรู้เรื่องวันหรือเวลานั้น แม้แต่พวกทูตในฟ้าสวรรค์หรือพระบุตร มีแต่พระบิดาเท่านั้น” (มาระโก 13:32)
“เพราะถ้าเจ้าไม่ตื่นขึ้น เราจะมาเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าชั่วโมงไหน” (วิวรณ์ 3:3)
“เพราะเหตุนี้พวกท่านจงเตรียมพร้อม เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา” (มัทธิว 24:44)
“เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น” (มัทธิว 24:27)
“เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน” (ลูกา 17:24-25)
“เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’” (มัทธิว 25:6)
“นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วิวรณ์ 3:20)
พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย
พระเยซูได้ทรงเมฆขาวจากไป—นี่คือข้อเท็จจริง—แต่พระองค์จะทรงเมฆขาวกลับมาในท่ามกลางมนุษย์และยังคงใช้พระนามว่าเยซูอยู่ได้อย่างไร? หากพระองค์เสด็จมาบนเมฆขาวจริง มนุษย์จะจำพระองค์ไม่ได้ได้อย่างไร? ผู้คนทั่วโลกจะจำพระองค์ไม่ได้กระนั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้น พระเยซูจะมิใช่พระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวหรือ? หากเป็นเช่นนั้น พระฉายาของพระเจ้าคงจะเป็นรูปลักษณ์ของชาวยิวคนหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นคือคงจะเป็นเหมือนเดิมตลอดไป พระเยซูตรัสว่าพระองค์กำลังเสด็จมาเพราะพระองค์ทรงออกเดินทางแล้ว แต่เจ้ารู้ความหมายที่แท้จริงแห่งพระวจนะของพระองค์หรือไม่? เป็นไปได้หรือที่พระองค์จะตรัสบอกพวกเจ้ากลุ่มนี้? ทั้งหมดที่เจ้ารู้ก็คือพระองค์กำลังเสด็จมาเพราะพระองค์ทรงออกเดินทางแล้ว โดยประทับมาบนเมฆขาว แต่เจ้ารู้อย่างแน่ชัดหรือไม่ว่าพระเจ้าพระองค์เองทรงพระราชกิจของพระองค์อย่างไร? หากเจ้าสามารถมองเห็นได้อย่างแท้จริงแล้วไซร้ จะอธิบายพระวจนะที่พระเยซูตรัสว่าอย่างไร? พระองค์ตรัสว่า เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาในยุคสุดท้าย พระองค์จะไม่รู้พระองค์เอง ทูตสวรรค์ทั้งหลายจะไม่รู้ ผู้สื่อสารทั้งหลายในสวรรค์จะไม่รู้ และมนุษยชาติทั้งปวงจะไม่รู้ มีเพียงพระบิดาเท่านั้นที่จะทรงรู้ นั่นคือ พระวิญญาณเท่านั้นที่จะทรงรู้ แม้กระทั่งบุตรมนุษย์พระองค์เองก็ไม่ทรงรู้ แต่เจ้ากลับสามารถมองเห็นและรู้ได้กระนั้นหรือ? หากเจ้าสามารถรู้และมองเห็นได้ด้วยตาของเจ้าเอง การตรัสพระวจนะเหล่านี้จะไม่ไร้ประโยชน์หรอกหรือ? แล้วพระเยซูได้ตรัสสิ่งใดเอาไว้ในเวลานั้น? “แต่ไม่มีใครรู้เรื่องวันหรือเวลาแม้แต่บรรดาทูตแห่งฟ้าสวรรค์หรือพระบุตร มีแต่พระบิดาองค์เดียว เพราะว่าสมัยของโนอาห์เคยเป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น… เพราะเหตุนี้พวกท่านจงเตรียมพร้อม เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา” เมื่อวันนั้นมาถึง บุตรมนุษย์พระองค์เองจะไม่ทรงรู้ บุตรมนุษย์นี้อ้างถึงเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ เป็นบุคคลปกติและธรรมดาคนหนึ่ง แม้แต่บุตรมนุษย์พระองค์เองก็ไม่ทรงรู้ ดังนั้นแล้วเจ้าจะสามารถรู้ได้อย่างไร? พระเยซูตรัสว่าพระองค์กำลังเสด็จมาเพราะพระองค์ได้ทรงออกเดินทางแล้ว เมื่อพระองค์เสด็จมาถึง แม้แต่พระองค์ก็ไม่รู้พระองค์เอง ดังนั้นพระองค์จะสามารถแจ้งให้เจ้ารู้ล่วงหน้าได้อย่างไร? เจ้าสามารถมองเห็นการเสด็จมาถึงของพระองค์กระนั้นหรือ? นั่นมิใช่เรื่องตลกหรอกหรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)
พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพราะเป้าหมายแห่งพระราชกิจของพระองค์มิใช่วิญญาณของซาตาน หรือสิ่งที่ไม่มีตัวตนใดๆ แต่คือมนุษย์ ผู้ซึ่งมีเนื้อหนังและได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว แน่นอนว่าเป็นเพราะเนื้อหนังของมนุษย์ได้ถูกทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว พระเจ้าจึงได้ทรงทำให้มนุษย์ที่มีเนื้อหนังเป็นเป้าหมายแห่งพระราชกิจของพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากมนุษย์คือเป้าหมายของความเสื่อมทราม พระเจ้าจึงได้ทรงทำให้มนุษย์เป็นเป้าหมายเพียงอย่างเดียวแห่งพระราชกิจของพระองค์โดยตลอดทุกช่วงระยะของพระราชกิจแห่งความรอดของพระองค์ มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ต้องตาย มีเลือดเนื้อ และพระเจ้าคือองค์หนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดได้ ในหนทางนี้ พระเจ้าต้องทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ที่มีคุณลักษณะเดียวกันกับมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ เพื่อที่ว่าพระราชกิจของพระองค์อาจจะบรรลุประสิทธิผลได้ดียิ่งขึ้น พระเจ้าต้องทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์อย่างแน่นอนเพราะมนุษย์มีเนื้อหนัง และไม่สามารถเอาชนะบาปหรือปลดเปลื้องตัวเขาเองจากเนื้อหนังได้
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจำเป็นต้องมีความรอดจากพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์มากขึ้นทุกขณะ
การช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าไม่ได้ทำโดยการใช้วิธีการของพระวิญญาณและพระอัตลักษณ์ของพระวิญญาณโดยตรง เพราะพระวิญญาณของพระองค์นั้นไม่สามารถทั้งถูกสัมผัสและมองเห็นได้โดยมนุษย์ ทั้งมนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใกล้ได้เช่นกัน หากพระองค์ได้ทรงพยายามที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดในลักษณะของพระวิญญาณโดยตรง มนุษย์ก็คงจะไร้ความสามารถที่จะได้รับความรอดของพระองค์ได้ หากพระเจ้ามิได้ทรงสวมรูปสัณฐานภายนอกของมนุษย์ที่ถูกสร้าง ก็คงจะปราศจากหนทางที่มนุษย์จะได้รับความรอดนี้ เนื่องเพราะมนุษย์นั้นปราศจากหนทางที่จะเข้าหาพระองค์ มากพอๆ กับที่ไม่มีใครเลยเคยมีความสามารถที่จะเข้าไปใกล้เมฆของพระยาห์เวห์ โดยการบังเกิดเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างเท่านั้น นั่นก็คือ โดยการบรรจุพระวจนะของพระองค์เข้าไปในร่างกายของมนุษย์ที่พระองค์กำลังจะทรงบังเกิดมาเป็นเท่านั้น พระองค์จึงจะสามารถนำพระวจนะของพระองค์มาดำเนินการในตัวทุกคนที่ติดตามพระองค์ได้ด้วยพระองค์เองโดยเฉพาะ เมื่อนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงสามารถมองเห็นและได้ยินพระวจนะของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้นคือ เข้าสู่การครองพระวจนะของพระองค์ได้ด้วยตัวเองโดยเฉพาะ และโดยวิถีทางนี้จึงมาได้รับการช่วยให้รอดอย่างครบถ้วน หากพระเจ้ามิได้ประสูติเป็นมนุษย์ ไม่มีใครเลยที่มีเลือดเนื้อจะมีความสามารถได้รับความรอดอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้ ทั้งยังจะไม่มีเลยสักคนที่ได้รับการช่วยให้รอด หากพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจโดยตรงในท่ามกลางมวลมนุษย์ มนุษยชาติทั้งมวลก็คงจะถูกทำให้ตาย หรือไม่เช่นนั้น พวกเขาก็คงจะถูกซาตานจับไปเป็นเชลยอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีหนทางที่จะมาสัมผัสกับพระเจ้าเลย การประสูติเป็นมนุษย์ครั้งแรกคือการไถ่มนุษย์จากบาป เพื่อไถ่เขาด้วยกายเนื้อหนังของพระเยซู นั่นก็คือ พระองค์ได้ทรงช่วยมนุษย์ให้รอดจากกางเขน แต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานยังคงตกค้างอยู่ในตัวมนุษย์ การประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองนั้นมิใช่เพื่อทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปอีกต่อไป แต่เพื่อช่วยบรรดาผู้ที่ได้รับการไถ่จากบาปให้รอดอย่างครบถ้วนเสียมากกว่า การนี้ทำไปก็เพื่อที่บรรดาผู้ที่ได้รับการยกโทษไปแล้วอาจได้รับการช่วยให้พ้นจากบาปของพวกเขา และได้รับการทำให้สะอาดอย่างครบถ้วน หลุดพ้นจากอิทธิพลแห่งความมืดของซาตานและคืนสู่เบื้องพระบัลลังก์ของพระเจ้าด้วยการบรรลุการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย เพียงในหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงจะสามารถได้รับการทำให้สะอาดบริสุทธิ์อย่างครบถ้วน… ด้วยการบังเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้นพระเจ้าจึงจะสามารถดำรงพระชนม์ชีพเคียงข้างไปกับมนุษย์ รับประสบการณ์ความทุกข์ของโลกนี้ และดำรงพระชนม์ชีพในพระกายเนื้อหนังปกติได้ เพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่พระองค์สามารถจัดหาให้กับมนุษย์ในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่พวกเขาจำเป็นต้องมีในฐานะสิ่งมีชีวิตซึ่งทรงสร้าง โดยผ่านทางการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้านี่เองมนุษย์จึงได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าอย่างครบถ้วน และไม่ใช่โดยตรงจากสวรรค์ในคำตอบของคำอธิษฐานของเขา มนุษย์ประกอบด้วยเนื้อหนังและเลือด เขาไม่มีหนทางที่จะมองเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าได้ นับประสาอะไรที่จะเข้าหาพระวิญญาณของพระองค์ ดังนั้นทั้งหมดที่เขาสามารถมาติดต่อได้คือเนื้อหนังที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ เพียงด้วยวิถีทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงจะมีความสามารถที่จะจับความเข้าใจหนทางทั้งหมดและความจริงทั้งหมดและได้รับความรอดอย่างครบถ้วน การประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองนี้จะเพียงพอสำหรับการชะล้างบาปทั้งหลายจากมนุษย์ และทำให้เขาบริสุทธิ์อย่างครบถ้วน ด้วยเหตุนี้ พระราชกิจทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้าในเนื้อหนังก็จะปิดตัวลงและนัยสำคัญของการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าจึงได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ด้วยการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองนี่เอง นับแต่นั้นมาพระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนังจึงจะได้มาถึงปลายทางอย่างบริบูรณ์ ภายหลังการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สอง พระองค์จะไม่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เป็นครั้งที่สามเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ เพราะการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์จะได้มาถึงปลายทางแล้ว การประสูติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายจะได้รับประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้อย่างครบถ้วน และมนุษยชาติในยุคสุดท้ายทั้งหมดจะถูกแบ่งชนชั้นไปตามประเภท พระองค์จะไม่ทรงพระราชกิจแห่งความรอดและจะไม่ทรงกลับคืนสู่เนื้อหนังเพื่อทรงพระราชกิจใดอีกต่อไป
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (4)
เหตุผลเดียวที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ได้ทรงเข้ามาสู่เนื้อหนังก็เนื่องจากความต้องการที่จำเป็นของมนุษย์ที่เสื่อมทราม เป็นเพราะความจำเป็นของมนุษย์นั่นเอง ไม่ใช่ของพระเจ้า และการพลีอุทิศและความทุกข์ทั้งหมดของพระองค์นั้นล้วนเป็นไปเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของมวลมนุษย์ และมิใช่เพื่อประโยชน์ของพระเจ้าพระองค์เอง ไม่มีข้อดีและข้อเสียหรือรางวัลตอบแทนอันใดเลยสำหรับพระเจ้า พระองค์จะไม่ได้เก็บเกี่ยวพืชผลในอนาคตบางอย่าง แต่พืชผลนั้นเองที่ติดค้างพระองค์มาแต่เดิม ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำและทรงพลีอุทิศให้แก่มวลมนุษย์นั้นมิใช่เพื่อที่พระองค์อาจจะทรงได้รับรางวัลตอบแทนอันใหญ่หลวงทั้งหลาย แต่เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของมวลมนุษย์โดยล้วน แม้ว่าพระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนังจะเกี่ยวข้องกับความลำบากยากเย็นมากมายอันมิอาจจินตนาการได้ แต่ประสิทธิผลที่จะสัมฤทธิ์ในท้ายที่สุดนั้นมากเกินกว่าประสิทธิผลทั้งหลายของพระราชกิจที่พระวิญญาณทรงกระทำโดยตรงมากนัก พระราชกิจแห่งเนื้อหนังพ่วงเอาความยากลำบากมากมาย และเนื้อหนังไม่สามารถมีอัตลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่แบบเดียวกับพระวิญญาณได้ พระองค์ไม่สามารถดำเนินกิจการทั้งหลายที่เหนือธรรมชาติแบบเดียวกับพระวิญญาณได้ นับประสาอะไรที่พระองค์จะสามารถมีสิทธิอำนาจแบบเดียวกับพระวิญญาณได้ กระนั้น แก่นแท้ของพระราชกิจที่กระทำโดยเนื้อหนังที่ไม่โดดเด่นนี้กลับเหนือกว่าแก่นแท้ของพระราชกิจที่พระวิญญาณทรงกระทำโดยตรงมากนัก และพระองค์เองในเนื้อหนังนี้ก็ทรงสนองตอบต่อความต้องการที่จำเป็นทั้งหลายของมวลมนุษย์ทั้งปวง สำหรับบรรดาผู้ที่จะได้รับการช่วยให้รอดนั้น คุณค่าการใช้งานของพระวิญญาณด้อยกว่าคุณค่าการใช้งานของเนื้อหนังมากนัก กล่าวคือ พระราชกิจของพระวิญญาณสามารถครอบคลุมทั่วทั้งจักรวาล ตลอดทั้งภูเขา แม่น้ำ ทะเลสาบ และมหาสมุทรทั้งหมด กระนั้น พระราชกิจของเนื้อหนังสัมพันธ์กับทุกคนที่พระองค์เสด็จมาติดต่อสัมผัสอย่างมีประสิทธิผลมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น เนื้อหนังของพระเจ้าที่มีรูปทรงอันสัมผัสได้สามารถได้รับความเข้าใจและไว้วางใจจากมนุษย์ได้ดีกว่า และสามารถทำให้มนุษย์มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก และสามารถทำให้มนุษย์เกิดความประทับใจลุ่มลึกยิ่งขึ้นกับกิจการอันสัมพันธ์กับชีวิตจริงทั้งหลายของพระเจ้าได้ พระราชกิจของพระวิญญาณถูกปกคลุมอยู่ในความล้ำลึก มันยากเย็นที่จะคาดการณ์ได้สำหรับสิ่งมีชีวิตที่ต้องตาย และยิ่งยากมากขึ้นไปอีกสำหรับพวกเขาที่จะมองเห็น และดังนั้นพวกเขาจึงสามารถเพียงพึ่งพาจินตนาการอันไม่มีแก่นสารของพวกเขาเท่านั้น อย่างไรก็ตาม พระราชกิจของเนื้อหนังก็เป็นปกติและสัมพันธ์กับชีวิตจริง และมีปัญญาอันอุดม และเป็นข้อเท็จจริงที่สามารถมองเห็นได้โดยตาเนื้อของมนุษย์ มนุษย์สามารถรับประสบการณ์กับปัญญาแห่งพระราชกิจของพระเจ้าด้วยตนเอง และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้จินตนาการอันอุดมสมบูรณ์ของเขา นี่คือความแน่นอนและคุณค่าที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนัง พระวิญญาณสามารถเพียงแค่ทำสิ่งทั้งหลายที่มนุษย์มิอาจมองเห็นได้และยากสำหรับเขาที่จะจินตนาการ ตัวอย่างเช่น ความรู้แจ้งของพระวิญญาณ การทรงขับเคลื่อนของพระวิญญาณ การทรงนำของพระวิญญาณ แต่สำหรับมนุษย์ผู้มีความรู้สึกนึกคิด การเหล่านี้มิได้จัดเตรียมความหมายที่ชัดเจนอันใด การเหล่านี้เพียงจัดเตรียมการขับเคลื่อน หรือความหมายกว้างๆ เท่านั้น และไม่สามารถให้การอบรมสั่งสอนด้วยคำพูดได้ อย่างไรก็ตาม พระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนังนั้นแตกต่างอย่างใหญ่หลวง กล่าวคือ เป็นพระราชกิจที่เกี่ยวข้องกับการทรงนำที่ถูกต้องแม่นยำด้วยพระวจนะ มีเจตนารมณ์ที่ชัดเจน และมีเป้าหมายที่พึงประสงค์ชัดเจนในการนี้ และดังนั้น มนุษย์ไม่จำเป็นต้องควานไปทั่ว หรือใช้จินตนาการของเขา นับประสาอะไรที่จำเป็นต้องสร้างการคาดเดา นี่คือความชัดเจนของพระราชกิจในเนื้อหนังกับความแตกต่างอันใหญ่หลวงจากพระราชกิจของพระวิญญาณ พระราชกิจของพระวิญญาณเหมาะสมเพียงสำหรับขอบเขตจำกัดขอบเขตหนึ่งเท่านั้นและไม่สามารถแทนที่พระราชกิจของเนื้อหนังได้ พระราชกิจของเนื้อหนังให้มนุษย์มีเป้าหมายที่แม่นยำและจำเป็นกว่า และให้ความรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและมีคุณค่ากว่าพระราชกิจของพระวิญญาณมากมายนัก พระราชกิจที่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ที่สุดต่อมนุษย์ที่เสื่อมทรามคือพระราชกิจที่จัดเตรียมพระวจนะที่ถูกต้อง เป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อไล่ตามเสาะหา และที่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้ มีเพียงพระราชกิจที่เป็นจริงและการทรงนำที่ถูกกาลเทศะเท่านั้นที่เหมาะกับรสนิยมของมนุษย์ และมีเพียงพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเท่านั้นที่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและต่ำช้าของเขาได้ การนี้สามารถสัมฤทธิ์ผลได้โดยพระเจ้าซึ่งประสูติเป็นมนุษย์เท่านั้น มีเพียงพระเจ้าซึ่งประสูติเป็นมนุษย์เท่านั้นที่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและต่ำช้าก่อนหน้านั้นของเขาได้ ถึงแม้พระวิญญาณจะเป็นแก่นแท้ในธรรมชาติของพระเจ้า แต่พระราชกิจดังเช่นการนี้สามารถทำได้โดยเนื้อหนังของพระองค์เท่านั้น หากพระวิญญาณได้ทรงพระราชกิจเพียงฝ่ายเดียว เช่นนั้นแล้ว ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่พระราชกิจของพระองค์จะมีประสิทธิผล—นี่คือความจริงที่ชัดแจ้ง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจำเป็นต้องมีความรอดจากพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์มากขึ้นทุกขณะ
แม้ว่าเนื้อหนังของพระเจ้าซึ่งประสูติเป็นมนุษย์จะห่างไกลจากการจับคู่กับพระอัตลักษณ์และฐานะของพระเจ้า และสำหรับมนุษย์แล้วดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งซึ่งเข้ากันไม่ได้กับสถานะจริงของพระองค์ แต่เนื้อหนังนี้ผู้ซึ่งไม่มีพระฉายาที่แท้จริงของพระเจ้า หรือพระอัตลักษณ์ที่แท้จริงของพระเจ้า สามารถทรงพระราชกิจที่พระวิญญาณของพระเจ้าไม่สามารถทำได้โดยตรง เช่นนั้นเองที่เป็นนัยสำคัญและคุณค่าที่แท้จริงของการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า และนัยสำคัญและคุณค่านี้นี่เองที่มนุษย์ไม่สามารถซาบซึ้งและยอมรับได้ แม้มวลมนุษย์ทั้งปวงเทิดทูนพระวิญญาณของพระเจ้าและดูแคลนเนื้อหนังของพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะมีทรรศนะหรือคิดอย่างไร นัยสำคัญและคุณค่าที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเนื้อหนังก็มากเกินกว่านัยสำคัญและคุณค่าของพระวิญญาณมากนัก แน่นอนว่า การนี้เกี่ยวข้องกับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามเท่านั้น สำหรับทุกคนที่แสวงหาความจริงและถวิลหารอคอยการทรงปรากฏของพระเจ้า พระราชกิจของพระวิญญาณสามารถเพียงจัดเตรียมการดลใจหรือแรงบันดาลใจ และสำนึกรับรู้ถึงความน่าอัศจรรย์ว่าพระราชกิจนี้มิอาจอธิบายได้และมิอาจจินตนาการได้ และสำนึกรับรู้ว่ามันยิ่งใหญ่ สูงส่ง และน่าเลื่อมใส กระนั้นทุกคนก็ยังมิอาจบรรลุถึงได้และมิอาจได้มาได้ด้วยเช่นกัน มนุษย์และพระวิญญาณของพระเจ้าสามารถเพียงมองดูกันและกันจากที่ห่างไกล ราวกับว่ามีระยะห่างใหญ่หลวงระหว่างพวกเขา และพวกเขาไม่สามารถมีวันที่จะเหมือนกันได้ ราวกับว่ามนุษย์และพระเจ้าถูกแยกออกจากกันโดยขีดคั่นที่ไม่ประจักษ์แก่ตา ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือภาพมายาที่พระวิญญาณทรงมอบให้แก่มนุษย์ ซึ่งเป็นเพราะพระวิญญาณและมนุษย์ไม่ใช่ประเภทเดียวกันและจะไม่มีวันอยู่ร่วมกันในโลกเดียวกัน และเพราะพระวิญญาณไม่ทรงมีสิ่งใดเลยที่เป็นของมนุษย์ ดังนั้น มนุษย์จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีพระวิญญาณ เพราะพระวิญญาณไม่สามารถทรงพระราชกิจที่มนุษย์จำเป็นมากที่สุดได้โดยตรง พระราชกิจของเนื้อหนังมอบวัตถุประสงค์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเพื่อไล่ตามเสาะหา มอบพระวจนะที่ชัดเจน และมอบสำนึกรับรู้ว่าพระองค์ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นปกติ ว่าพระองค์ทรงถ่อมพระทัยและทรงธรรมดาสามัญ แม้มนุษย์อาจกลัวพระองค์ แต่สำหรับผู้คนส่วนใหญ่แล้วพระองค์ทรงง่ายที่จะมีสัมพันธ์ด้วย กล่าวคือ มนุษย์สามารถมองพระพักตร์ของพระองค์ และได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ และเขาไม่จำเป็นต้องมองพระองค์จากที่ห่างไกล เนื้อหนังนี้ให้ความรู้สึกสามารถเข้าถึงได้แก่มนุษย์ ไม่ทรงห่างไกล หรือมิอาจหยั่งลึกได้ แต่เป็นที่ประจักษ์แก่ตาและสัมผัสได้ เพราะเนื้อหนังนี้ทรงอยู่ในโลกเดียวกันกับมนุษย์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจำเป็นต้องมีความรอดจากพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์มากขึ้นทุกขณะ
เนื่องจากผู้ที่ได้รับการพิพากษาคือมนุษย์ มนุษย์ผู้ซึ่งมีเนื้อหนังและถูกทำให้เสื่อมทรามไป และมันไม่ใช่วิญญาณของซาตานที่ได้รับการพิพากษาโดยตรง เพราะฉะนั้นพระราชกิจแห่งการพิพากษาจึงมิได้ดำเนินการในดินแดนฝ่ายวิญญาณ แต่ดำเนินการท่ามกลางมนุษย์ ไม่มีผู้ใดเหมาะสมและมีคุณสมบัติเหมาะสำหรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาความเสื่อมทรามของเนื้อหนังมนุษย์มากไปกว่าพระเจ้าในเนื้อหนัง หากการพิพากษาดำเนินการโดยพระวิญญาณของพระเจ้าโดยตรง เช่นนั้นแล้วก็คงจะไม่ครอบคลุมทั่วถึง ยิ่งไปกว่านั้น พระราชกิจเช่นนั้นคงจะยากสำหรับมนุษย์ที่จะยอมรับ เพราะพระวิญญาณไม่สามารถที่จะมาพบกันซึ่งหน้ากับมนุษย์ได้ และเนื่องจากการนี้ ประสิทธิผลทั้งหลายก็คงจะไม่ส่งผลในทันที นับประสาอะไรที่มนุษย์จะสามารถมองเห็นพระอุปนิสัยอันมิอาจถูกทำให้ขุ่นเคืองได้ของพระเจ้าอย่างชัดเจนขึ้น ซาตานสามารถได้รับความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงก็เฉพาะเมื่อพระเจ้าในเนื้อหนังทรงพิพากษาความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์เท่านั้น โดยการทรงเป็นอย่างเดียวกับมนุษย์ที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ พระเจ้าในเนื้อหนังสามารถพิพากษาความไม่ชอบธรรมของมนุษย์ได้โดยตรง นี่คือเครื่องหมายของความบริสุทธิ์โดยเนื้อแท้ภายในของพระองค์ และของความพิเศษเหนือธรรมดาของพระองค์ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมีคุณสมบัติเหมาะสม และทรงอยู่ในตำแหน่งที่จะพิพากษามนุษย์ เพราะพระองค์ทรงถือครองความจริงและความชอบธรรม และดังนั้นพระองค์จึงสามารถพิพากษามนุษย์ได้ พวกที่ไม่มีความจริงและความชอบธรรมย่อมไม่เหมาะที่จะพิพากษาผู้อื่น หากพระราชกิจนี้กระทำโดยพระวิญญาณของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วมันก็คงจะมิใช่หมายถึงชัยชนะเหนือซาตาน พระวิญญาณทรงเป็นที่ยกย่องโดยเนื้อแท้ภายในมากกว่าบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ต้องตายทั้งหลาย และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงบริสุทธิ์โดยเนื้อแท้ภายใน และทรงมีชัยชนะเหนือเนื้อหนัง หากพระวิญญาณทรงพระราชกิจนี้โดยตรง พระองค์คงจะไม่สามารถพิพากษาความเป็นกบฏทั้งหมดของมนุษย์ได้ และอาจจะไม่สามารถเผยความไม่ชอบธรรมทั้งหมดของมนุษย์ได้ เนื่องจากพระราชกิจแห่งการพิพากษายังถูกดำเนินการโดยผ่านทางมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของมนุษย์เกี่ยวกับพระเจ้าด้วยเช่นกัน และมนุษย์ไม่เคยได้มีมโนคติอันหลงผิดอันใดเกี่ยวกับพระวิญญาณ และดังนั้น พระวิญญาณจึงไม่สามารถที่จะเผยความไม่ชอบธรรมของมนุษย์ได้ดีกว่า นับประสาอะไรที่จะสามารถเปิดเผยความไม่ชอบธรรมเช่นนั้นอย่างครบถ้วน พระเจ้าซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ทรงเป็นศัตรูของบรรดาผู้ที่ไม่รู้จักพระองค์ทั้งหมด พระองค์ทรงเปิดเผยความเป็นกบฏทั้งหมดของมวลมนุษย์โดยผ่านทางการพิพากษามโนคติอันหลงผิดทั้งหลายและการต่อต้านพระองค์ของมนุษย์ ประสิทธิผลทั้งหลายของพระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนังเป็นที่ประจักษ์ชัดมากกว่าประสิทธิผลทั้งหลายของพระราชกิจของพระวิญญาณ และดังนั้น การพิพากษามวลมนุษย์ทั้งปวงจึงมิได้ถูกดำเนินการโดยพระวิญญาณโดยตรง แต่เป็นพระราชกิจของพระเจ้าซึ่งประสูติเป็นมนุษย์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจำเป็นต้องมีความรอดจากพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์มากขึ้นทุกขณะ
สิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับพระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนังก็คือว่า พระองค์สามารถทิ้งพระวจนะและคำแนะนำที่เที่ยงตรงทั้งหลาย และเจตนารมณ์เฉพาะของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ไว้ให้แก่บรรดาผู้ซึ่งติดตามพระองค์ เพื่อที่หลังจากนั้น ผู้ติดตามทั้งหลายของพระองค์จะสามารถถ่ายทอดพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ในเนื้อหนัง และเจตนารมณ์ของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ทั้งหมด ให้แก่บรรดาผู้ที่ยอมรับหนทางนี้ได้อย่างเที่ยงตรงมากยิ่งขึ้นและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น มีเพียงพระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนังท่ามกลางมนุษย์เท่านั้นที่ทำให้ข้อเท็จจริงแห่งการที่พระเจ้าทรงอยู่ร่วมและทรงใช้ชีวิตด้วยกันกับมนุษย์สำเร็จลุล่วงได้อย่างแท้จริง มีเพียงพระราชกิจนี้เท่านั้นที่ทำให้ความอยากของมนุษย์ที่จะเห็นพระพักตร์ของพระเจ้า เป็นประจักษ์พยานพระราชกิจของพระเจ้า และได้ยินพระวจนะส่วนพระองค์ของพระเจ้าลุล่วงไปได้ พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงนำพายุคเฉพาะเมื่อพระปฤษฎางค์ของพระยาห์เวห์ได้ปรากฏต่อมวลมนุษย์เท่านั้นไปถึงบทอวสาน และพระองค์ทรงสรุปปิดตัวยุคแห่งความเชื่อของมวลมนุษย์ในพระเจ้าที่คลุมเครือด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระราชกิจของพระเจ้าซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ครั้งสุดท้ายนั้นจะนำพามวลมนุษย์ทั้งปวงมาสู่ยุคหนึ่งที่เป็นความจริงมากกว่า สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากกว่า และสวยงามกว่า พระองค์ไม่เพียงแค่ทรงสรุปปิดตัวยุคธรรมบัญญัติและกฎเกณฑ์ทั้งหลายเท่านั้น แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ พระองค์ทรงเผยให้มวลมนุษย์ได้เห็นพระเจ้าผู้ซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงและปกติ ผู้ซึ่งชอบธรรมและบริสุทธิ์ ผู้ทรงปลดปล่อยพระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการ และผู้ทรงสาธิตให้เห็นสิ่งลึกลับทั้งหลายและบั้นปลายของมวลมนุษย์ ผู้ซึ่งได้ทรงสร้างมวลมนุษย์และทรงนำพาแผนการบริหารจัดการมาสู่บทอวสาน และผู้ซึ่งได้ทรงซ่อนอยู่เป็นเวลาหลายพันปีแล้ว พระองค์ทรงนำพายุคแห่งความคลุมเครือมาสู่บทอวสานอันบริบูรณ์ พระองค์ทรงสรุปปิดตัวยุคซึ่งมวลมนุษย์ทั้งหมดปรารถนาที่จะแสวงหาพระพักตร์พระเจ้าแต่ไม่สามารถทำได้ พระองค์ทรงจบสิ้นยุคซึ่งมวลมนุษย์ทั้งหมดได้รับใช้ซาตาน และพระองค์ทรงนำมวลมนุษย์ทั้งหมดตลอดเส้นทางไปสู่ศักราชใหม่โดยครบบริบูรณ์ ทั้งหมดนี้คือบทอวสานของพระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนังซึ่งมาแทนที่พระวิญญาณของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจในเนื้อหนังของพระองค์นั้น บรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์จะไม่แสวงหาและควานหาบรรดาสิ่งทั้งหลายที่ดูเหมือนทั้งมีอยู่และไม่มีอยู่อีกต่อไป และพวกเขาจะเลิกคาดเดาเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่คลุมเครือ เมื่อพระเจ้าทรงเผยแผ่พระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนังนั้น บรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์จะถ่ายทอดพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงกระทำในเนื้อหนังให้กับทุกๆ ศาสนาและคณะนิกายทั้งหมด และพวกเขาจะสื่อสารพระวจนะทั้งหมดของพระองค์ไปถึงหูของมวลมนุษย์ทั้งหมด ทุกอย่างที่บรรดาผู้ได้รับข่าวประเสริฐของพระองค์ได้ยินนั้นจะเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวพระราชกิจของพระองค์ จะเป็นสิ่งทั้งหลายที่มนุษย์ได้เห็นและได้ยินมาด้วยตนเอง และจะเป็นข้อเท็จจริงและไม่ใช่เรื่องเล่าขาน ข้อเท็จจริงเหล่านี้คือหลักฐานที่พระองค์ทรงใช้เผยแผ่พระราชกิจ และพวกมันยังเป็นเครื่องมือทั้งหลายที่พระองค์ทรงใช้ในการเผยแผ่พระราชกิจด้วยเช่นกัน หากไม่มีการดำรงอยู่ของข้อเท็จจริงทั้งหลายแล้ว ข่าวประเสริฐของพระองค์ก็คงจะไม่เผยแผ่ไปทั่วทุกประเทศและทุกสถานที่ หากไม่มีข้อเท็จจริงแต่มีเพียงการจินตนาการทั้งหลายของมนุษย์เท่านั้น พระองค์ก็คงจะไม่มีวันสามารถทรงพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยจักรวาลทั้งหมดทั้งมวลได้ พระวิญญาณเป็นที่เข้าใจยากสำหรับมนุษย์ และไม่ปรากฏแก่ตาสำหรับมนุษย์ และพระราชกิจของพระวิญญาณก็ไม่สามารถที่จะทิ้งหลักฐานหรือข้อเท็จจริงใดเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าไว้ให้แก่มนุษย์ มนุษย์จะไม่มีวันได้เห็นพระพักตร์อันแท้จริงของพระเจ้า เขาจะเชื่ออยู่เสมอในพระเจ้าที่คลุมเครือซึ่งไม่มีอยู่ มนุษย์จะไม่มีวันได้เห็นพระพักตร์ของพระเจ้า และมนุษย์จะไม่ได้ยินพระวจนะที่พระเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองตลอดไป อย่างไรก็ตาม การจินตนาการทั้งหลายของมนุษย์นั้นคือความว่างเปล่า และไม่สามารถแทนพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า พระอุปนิสัยภายในเนื้อแท้ของพระเจ้า และพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองได้ ไม่สามารถได้รับการแสดงบทบาทโดยมนุษย์ได้ พระเจ้าที่ไม่ทรงปรากฏแก่ตาในฟ้าสวรรค์และพระราชกิจของพระองค์สามารถได้รับการนำพามาสู่แผ่นดินโลกได้โดยพระเจ้าซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ผู้ทรงพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์ด้วยพระองค์เองเท่านั้น นี่คือหนทางที่ดีเลิศที่สุดสำหรับพระเจ้าที่จะทรงปรากฏต่อมนุษย์ ที่มนุษย์จะมองเห็นพระเจ้าและมารู้จักพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และมันไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้โดยพระเจ้าซึ่งไม่ประสูติเป็นมนุษย์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจำเป็นต้องมีความรอดจากพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์มากขึ้นทุกขณะ
ในคราวนี้ พระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจไม่ใช่ในกายจิตวิญญาณ แต่ในกายที่ธรรมดาสามัญมาก ยิ่งไปกว่านั้น กายนี้ไม่เพียงเป็นพระกายในการปรากฏในรูปมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นพระกายที่พระเจ้าทรงใช้กลับคืนสู่เนื้อหนังด้วยเช่นกัน เป็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งธรรมดาสามัญมาก เจ้าไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดที่ทำให้พระองค์โดดเด่นออกมาจากผู้อื่น แต่เจ้าสามารถได้รับความจริงซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนจากพระองค์ได้ เนื้อหนังซึ่งไร้นัยสำคัญนี้คือสิ่งที่พระวจนะแห่งความจริงทั้งหมดจากพระเจ้าจำแลงร่างขึ้นมาดำเนินพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และแสดงพระอุปนิสัยทั้งหมดของพระเจ้าให้มนุษย์เข้าใจ เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะมองเห็นพระเจ้าในสวรรค์หรอกหรือ? เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะเข้าใจพระเจ้าในสวรรค์หรอกหรือ? เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะมองเห็นบั้นปลายของมวลมนุษย์หรอกหรือ? พระองค์จะทรงบอกความลับเหล่านี้ทั้งหมดแก่เจ้า—ความลับที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดสามารถบอกเจ้าได้ และพระองค์จะทรงบอกกับเจ้าเช่นกันถึงความจริงที่เจ้านั้นไม่เข้าใจ พระองค์ทรงเป็นประตูให้เจ้าเข้าไปสู่ราชอาณาจักร และเป็นผู้นำเจ้าเข้าไปสู่ยุคใหม่ มนุษย์ที่ธรรมดาสามัญเช่นนั้นถือครองความล้ำลึกอันมิอาจหยั่งลึกได้อยู่มากมาย กิจการของพระองค์อาจมิอาจพิเคราะห์ได้สำหรับเจ้า แต่เป้าหมายโดยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัตินั้นเพียงพอที่จะเปิดโอกาสให้เจ้ามองเห็นว่าพระองค์มิใช่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง อย่างที่ผู้คนเชื่อ เพราะพระองค์เป็นตัวแทนเจตนารมณ์ของพระเจ้าและความใส่ใจที่พระเจ้าทรงแสดงต่อมวลมนุษย์ในยุคสุดท้าย แม้เจ้าจะไม่สามารถได้ยินพระวจนะของพระองค์ที่ดูเหมือนจะสั่นสะเทือนฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก แม้ว่าเจ้าไม่สามารถมองเห็นพระเนตรของพระองค์ดังเช่นเปลวเพลิงแห่งไฟ และแม้เจ้าไม่สามารถรับความมีวินัยแห่งคทาเหล็กของพระองค์ แต่ถึงกระนั้น เจ้าก็สามารถได้ยินจากพระวจนะของพระองค์ว่าพระเจ้าทรงพิโรธ และรู้ว่าพระเจ้ากำลังทรงแสดงความกรุณาต่อมวลมนุษย์ เจ้าสามารถมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าและพระปัญญาของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น ตระหนักถึงความกังวลห่วงใยที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวง พระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายคือ การเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นพระเจ้าในสวรรค์ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์บนแผ่นดินโลก และทำให้มนุษย์สามารถรู้จัก นบนอบ ยำเกรง และรักพระเจ้า นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดพระองค์จึงได้ทรงกลับคืนสู่เนื้อหนังเป็นครั้งที่สอง แม้ว่าสิ่งที่มนุษย์เห็นในวันนี้คือพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งเหมือนกับมนุษย์ พระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งมีหนึ่งพระนาสิกและสองพระเนตร และพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งไม่มีอะไรโดดเด่น ในตอนท้าย พระเจ้าจะแสดงให้พวกเจ้าเห็นว่า หากมนุษย์คนนี้มิได้ดำรงอยู่ ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงมหาศาล หากมนุษย์คนนี้มิได้ดำรงอยู่ ฟ้าสวรรค์จะสลัวลง แผ่นดินโลกจะดิ่งพรวดลงสู่ความอลหม่าน และมวลมนุษย์ทั้งปวงจะดำรงชีวิตท่ามกลางการกันดารอาหารและภัยพิบัติทั้งหลาย พระองค์จะทรงแสดงให้พวกเจ้าเห็นว่า หากพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อช่วยพวกเจ้าให้รอดในยุคสุดท้าย พระเจ้าก็คงจะได้ทรงทำลายมวลมนุษย์ทั้งปวงในนรกไปเสียนานแล้ว หากไม่มีมนุษย์ผู้นี้อยู่ พวกเจ้าก็จะเป็นพวกคนบาปตัวฉกาจไปตลอดกาล และเจ้าจะกลายเป็นซากศพชั่วนิรันดร พวกเจ้าควรรู้ว่า หากเนื้อหนังนี้มิได้ดำรงอยู่ เช่นนั้นแล้ว มวลมนุษย์ทั้งปวงคงจะเผชิญหน้ากับหายนะที่มิอาจหลบหลีกได้เลย และคงจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกหนีการลงโทษอันรุนแรงเสียยิ่งกว่าซึ่งพระเจ้าทรงตวงแบ่งให้กับมวลมนุษย์ในยุคสุดท้าย หากเนื้อหนังธรรมดาสามัญนี้ไม่ถือกำเนิดขึ้น เจ้าทั้งหมดก็คงจะอยู่ในสภาวะที่พวกเจ้าร้องขอชีวิตโดยที่ไม่มีความสามารถที่จะดำรงชีวิตได้ และอธิษฐานขอความตายโดยที่ไม่สามารถตายได้ หากเนื้อหนังนี้มิได้ดำรงอยู่ พวกเจ้าจะไม่สามารถได้รับความจริงและมาอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้าในวันนี้ได้ แต่เจ้ากลับจะถูกพระเจ้าลงโทษเพราะบาปอันหนักหนาสาหัสของเจ้าแทน พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า หากมิใช่เพราะพระเจ้าทรงกลับคืนสู่เนื้อหนัง ก็คงจะไม่มีผู้ใดเลยที่มีโอกาสได้รับความรอด และหากมิใช่เพราะการมาของเนื้อหนังนี้ พระเจ้าก็คงจะวางบทอวสานให้กับยุคเก่าไปเสียนานแล้ว? ด้วยความที่เป็นเช่นนี้ พวกเจ้ายังสามารถปฏิเสธการปรากฏในรูปมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าได้อยู่อีกหรือ? เพราะพวกเจ้าสามารถได้รับประโยชน์มากมายเหลือเกินจากมนุษย์ธรรมดาสามัญผู้นี้ เหตุใดพวกเจ้าจึงจะไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปรมปรีดิ์เล่า?
…………
พระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าในยุคสุดท้ายกระทำผ่านมนุษย์ธรรมดาสามัญผู้นี้ บุคคลผู้นี้จะมอบทุกสิ่งแก่เจ้า และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ บุคคลผู้นี้จะสามารถตัดสินทุกสิ่งที่สัมพันธ์กับเจ้า เป็นไปได้หรือที่มนุษย์เช่นนี้จะเป็นมนุษย์ที่ธรรมดาจนไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง อย่างที่พวกเจ้าเชื่อว่าพระองค์เป็น? ความจริงของพระองค์ไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเจ้าเชื่ออย่างหมดใจกระนั้นหรือ? พยานแห่งกิจการของพระองค์ไม่เพียงพอที่จะโน้มน้าวให้พวกเจ้าเชื่อจนหมดใจกระนั้นหรือ? หรือว่าเส้นทางที่พระองค์ทรงนำพามานั้นไม่ควรค่าให้พวกเจ้าเดินไป? เมื่อพิจารณาโดยรวมทุกอย่างแล้ว สิ่งใดที่เป็นเหตุให้พวกเจ้าชิงชังพระองค์ และเหวี่ยงพระองค์ทิ้งไปและรักษาระยะห่างจากพระองค์ มนุษย์ผู้นี้นี่เองที่เป็นผู้แสดงความจริง มนุษย์ผู้นี้นี่เองที่เป็นผู้จัดเตรียมความจริง และมนุษย์ผู้นี้นี่เองที่เป็นผู้ให้เส้นทางให้พวกเจ้าติดตาม อาจเป็นได้หรือไม่ว่าพวกเจ้ายังคงไม่สามารถค้นพบร่องรอยของพระราชกิจของพระเจ้าภายในความจริงเหล่านี้? หากปราศจากพระราชกิจของพระเยซูแล้วไซร้ มวลมนุษย์ย่อมจะไม่สามารถลงมาจากกางเขน แต่หากปราศจากการจุติเป็นมนุษย์ในวันนี้ บรรดาผู้ที่ลงมาจากกางเขนย่อมจะไม่มีวันสามารถได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้าหรือเข้าสู่ยุคใหม่ได้เลย หากปราศจากการมาของมนุษย์ธรรมดาสามัญผู้นี้ พวกเจ้าก็คงจะไม่มีวันได้มีโอกาสที่จะมองเห็นโฉมพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า ทั้งยังไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมพอที่จะมองเห็น เพราะพวกเจ้าทั้งหมดล้วนเป็นวัตถุที่ควรถูกทำลายสิ้นเมื่อนานมาแล้ว เนื่องจากการมาถึงของการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงยกโทษให้พวกเจ้าและแสดงความปรานีต่อพวกเจ้า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คำพูดที่เราต้องทิ้งไว้กับพวกเจ้าในตอนท้ายก็ยังคงเป็นคำพูดเหล่านี้ที่ว่า มนุษย์ธรรมดาสามัญผู้นี้ ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์นั้น มีความสำคัญยิ่งชีวิตต่อพวกเจ้า นี่คือสิ่งยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วท่ามกลางมวลมนุษย์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้หรือไม่ว่า พระเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ท่ามกลางมวลมนุษย์?
ฉากตัดตอนจากภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปรากฏต่อมนุษย์อย่างไรเมื่อพระองค์เสด็จมาอีกครั้ง?
คำพยานจากประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง
ผมได้ต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว!
คำเทศนาที่เกี่ยวข้อง
เหตุใดในยุคสุดท้าย พระเจ้าจึงเสด็จมาปรากฏในรูปมนุษย์ มิใช่กายวิญญาณ?
เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง
มีเพียงพระเจ้าซึ่งบังเกิดมาเป็นมนุษย์ที่ช่วยมนุษย์ให้รอดได้อย่างสมบูรณ์
มีเพียงพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์เท่านั้นที่ทรงสามารถช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้
พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจเพราะความจำเป็นของมนุษย์