18. มโนคติอันหลงผิดของโลกศาสนามีว่า “พระสันตะปาปาคือตัวแทนของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมา พระองค์จะทรงเผยแก่พระสันตะปาปาก่อน”

ชาวคาทอลิกส่วนใหญ่เชื่อว่าพระสันตะปาปาได้รับการแต่งตั้งโดยพระเจ้าและว่าท่านคือตัวแทนของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก  พวกเขาคิดว่าเมื่อพระเจ้าทรงกลับมา พระองค์จะทรงเผยแก่พระสันตะปาปาก่อน ว่าพระสันตะปาปาจะเป็นคนแรกที่รู้ และถ้าพระสันตะปาปาไม่รู้เรื่องนั้นหรือกล่าวโทษเรื่องนั้น เช่นนั้นแล้วนั่นก็ไม่ใช่หนทางที่แท้จริง

พระวจนะของพระเจ้าจากพระคัมภีร์

“แต่ไม่มีใครรู้เรื่องวันหรือเวลาแม้แต่บรรดาทูตแห่งฟ้าสวรรค์หรือพระบุตร มีแต่พระบิดาองค์เดียว” (มัทธิว 24:36)

“เพราะเหตุนี้พวกท่านจงเตรียมพร้อม เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา” (มัทธิว 24:44)

“ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย” (วิวรณ์ 2:7)

“แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา” (ยอห์น 10:27)

“เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’” (มัทธิว 25:6)

“นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วิวรณ์ 3:20)

“ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองคนจะตกลงไปในบ่อ” (มัทธิว 15:14)

“คนที่วางใจในมนุษย์ และให้เนื้อหนังเป็นกำลังของเขา และใจของเขาหันออกจากพระยาห์เวห์ คนนั้นก็เป็นที่แช่งสาป” (เยเรมีย์ 17:5)

“เป็นพวกที่ติดตามพระเมษโปดกไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน” (วิวรณ์ 14:4)

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย

มีศาสนาที่สำคัญมากมายในโลก และแต่ละศาสนาก็มีประมุข หรือผู้นำของตัวเอง  และบรรดาผู้ติดตามก็กระจายไปทั่วประเทศและภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เกือบจะทุกประเทศ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก มีศาสนาต่างๆ อยู่ภายในประเทศ  อย่างไรก็ตามโดยไม่คำนึงถึงว่าจะมีกี่ศาสนาทั่วโลก ในท้ายที่สุดผู้คนทั้งปวงภายในจักรวาลก็จะดำรงอยู่ภายใต้การทรงนำของพระเจ้าองค์เดียว และการดำรงอยู่ของพวกเขาก็ไม่ได้นำโดยหัวหน้าหรือผู้นำทางศาสนา  กล่าวคือมวลมนุษย์ไม่ถูกนำโดยหัวหน้าหรือผู้นำทางศาสนาคนใดคนหนึ่ง ตรงกันข้ามมวลมนุษย์ทั้งปวงได้รับการทรงนำทางโดยพระผู้สร้าง ผู้ที่ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่ง และผู้ที่ทรงสร้างมวลมนุษย์อีกด้วย—นี่คือข้อเท็จจริง  แม้ว่าโลกจะมีศาสนาที่สำคัญอยู่มาก แต่ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่เพียงใด ศาสนาเหล่านี้ก็ล้วนดำรงอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง และไม่มีศาสนาใดสามารถอยู่นอกวงเขตแห่งอำนาจครอบครองนี้  การพัฒนาของมวลมนุษย์ การแทนที่สังคมเก่า การพัฒนาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ—แต่ละเรื่องไม่สามารถแยกออกจากการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างได้ และพระราชกิจนี้ไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่หัวหน้าทางศาสนาใดสามารถทำได้  หัวหน้าทางศาสนาเป็นเพียงผู้นำของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง และไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่สามารถเป็นตัวแทนขององค์หนึ่งเดียว ผู้ที่ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่งได้  หัวหน้าทางศาสนาสามารถนำทางพวกเขาทั้งหมดภายในศาสนาทั้งปวงได้ แต่พวกเขาไม่สามารถบังคับบัญชาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดใต้ฟ้าสวรรค์ได้—นี่คือข้อเท็จจริงที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป  ประมุขของศาสนาเป็นเพียงผู้นำ และไม่สามารถยืนเทียบพระเจ้า (พระผู้สร้าง) ได้  ทุกสรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระผู้สร้าง และในบทอวสานทุกสรรพสิ่งก็จะกลับสู่พระหัตถ์ของพระผู้สร้าง  มวลมนุษย์ถูกพระเจ้าสร้างขึ้น และไม่ว่าจะศาสนาใด ทุกคนจะกลับมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า—การนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้  พระเจ้าเท่านั้นทรงสูงส่งที่สุดท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และผู้ปกครองสูงสุดท่ามกลางสิ่งทรงสร้างทั้งหมดต้องกลับมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์เช่นกัน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า

การกระทำและความประพฤติทั้งหมดของซาตานนั้นถูกสำแดงอยู่ในมนุษย์  วันนี้ การกระทำและความประพฤติทั้งหมดของมนุษย์เป็นการแสดงออกของซาตานและดังนั้นจึงไม่สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้  มนุษย์คือรูปจำแลงของซาตาน และอุปนิสัยของมนุษย์ไม่สามารถเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้  บางคนนั้นมีลักษณะนิสัยที่ดี พระเจ้าอาจทรงปฏิบัติพระราชกิจบางอย่างผ่านลักษณะนิสัยของผู้คนเช่นนั้น และงานที่พวกเขาทำได้รับการชี้นำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  กระนั้นอุปนิสัยของพวกเขาก็ไร้ความสามารถที่จะเป็นตัวแทนพระเจ้าได้  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อพวกเขาไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากการทรงพระราชกิจกับมันและการแผ่ขยายบนสิ่งที่ดำรงอยู่แล้วภายใน  ไม่ว่าจะเป็นบรรดาผู้เผยพระวจนะในยุคต่างๆ ที่ผ่านมาแล้วหรือบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงใช้งาน ไม่มีใครสามารถเป็นตัวแทนพระองค์ได้โดยตรง… มีเพียงความรัก น้ำพระทัยที่จะทนทุกข์ ความชอบธรรม ความนบนอบ ความถ่อมใจ และความซ่อนเร้นของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เท่านั้น ที่สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้โดยตรง  นี่เป็นเพราะว่าเมื่อพระองค์ได้เสด็จมา พระองค์ได้เสด็จมาโดยปราศจากธรรมชาติที่เต็มไปด้วยบาปและได้เสด็จมาจากพระเจ้าโดยตรง โดยที่ไม่ได้ถูกซาตานแปรสภาพ  พระเยซูทรงอยู่ในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่มีบาปเท่านั้น และไม่ได้ทรงเป็นตัวแทนบาป ดังนั้น การกระทำ กิจการ และพระวจนะต่างๆ ของพระองค์ จนถึงช่วงเวลาก่อนที่พระองค์จะทรงทำให้พระราชกิจของพระองค์สำเร็จลุล่วงผ่านการตรึงกางเขน (รวมถึงชั่วขณะของการตรึงกางเขนของพระองค์) ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นตัวแทนพระเจ้าโดยตรง  ตัวอย่างของพระเยซูนั้นเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่า ใครก็ตามที่มีธรรมชาติที่เต็มไปด้วยบาปไม่สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้ และพิสูจน์ว่าบาปของมนุษย์เป็นตัวแทนซาตาน  กล่าวคือ บาปไม่สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้ และพระเจ้าทรงไร้บาป  แม้กระทั่งพระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิบัติในมนุษย์ ก็สามารถพิจารณาได้เพียงแค่ว่า ได้รับการชี้นำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไม่สามารถกล่าวได้ว่ากระทำโดยมนุษย์ในพระนามของพระเจ้า  แต่ เท่าที่มนุษย์จะเข้าไปเกี่ยวพัน ทั้งบาปของเขาและอุปนิสัยของเขาไม่ได้เป็นตัวแทนพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์ที่เสื่อมทรามไม่สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้

จงดูผู้นำของแต่ละศาสนาและแต่ละนิกายเถิด—พวกเขาล้วนโอหังและมองตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ และการตีความพระคริสตธรรมคัมภีร์ของพวกเขาก็ขาดบริบทและถูกชี้นำโดยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเอง  พวกเขาล้วนพึ่งพาของประทานและความรู้ในการทำงานของตน หากพวกเขาประกาศไม่ได้เลย ผู้คนจะติดตามพวกเขากระนั้นหรือ?  จะว่าไปแล้ว พวกเขาก็พอมีความรู้อยู่บ้างและสามารถประกาศคำสอนบางอย่างได้ หรือรู้วิธีที่จะเอาชนะใจผู้อื่นและใช้เล่ห์กลบางอย่างให้เป็นประโยชน์  พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้หลอกลวงผู้คน และพาผู้คนมาอยู่เบื้องหน้าตนเอง  ผู้คนเหล่านั้นเชื่อในพระเจ้าก็เพียงในนาม แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาติดตามผู้นำเหล่านี้  เมื่อพวกเขาเผชิญหน้าใครบางคนที่ประกาศทางที่เที่ยงแท้จริง พวกเขาบางคนก็กล่าวว่า “พวกเราต้องปรึกษาผู้นำของพวกเราในเรื่องของความเชื่อ”  จงดูเถิดว่าพอเป็นเรื่องของการเชื่อในพระเจ้าและยอมรับหนทางที่แท้จริง ผู้คนจำเป็นต้องได้รับความยินยอมและความเห็นชอบจากผู้อื่นอย่างไร—นี่มิใช่ปัญหาหรอกหรือ?  เมื่อเป็นดังนี้ บรรดาผู้นำเหล่านั้นได้กลายเป็นอะไรไปแล้ว?  พวกเขามิได้กลายเป็นพวกฟาริสี ผู้เลี้ยงเทียมเท็จ ศัตรูของพระคริสต์ และอุปสรรคต่อการยอมรับหนทางที่แท้จริงของผู้คนไปแล้วหรอกหรือ?  ผู้คนเช่นนี้เป็นคนจำพวกเดียวกันกับเปาโล

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม

ผู้คนบางคนไม่ได้ชื่นบานในความจริง นับประสาอะไรกับคำพิพากษา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับชื่นบานในอำนาจและความมั่งคั่ง ผู้คนเช่นนั้นเรียกกันว่าผู้แสวงหาอำนาจ พวกเขาค้นหาเฉพาะบรรดานิกายในโลกที่มีอิทธิพล และพวกเขาก็ค้นหาเฉพาะบรรดาศิษยาภิบาลและคณาจารย์ที่มาจากโรงเรียนสอนศาสนาทั้งหลาย แม้ว่าพวกเขาจะได้ยอมรับหนทางแห่งความจริงแล้ว พวกเขาก็เชื่อเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถให้หัวใจและจิตใจของพวกเขาได้ทั้งหมด ปากของพวกเขากล่าวคำพูดถึงการสละตัวพวกเขาเองเพื่อพระเจ้า แต่สายตาของพวกเขากลับจดจ่ออยู่ที่บรรดาศิษยาภิบาลและคณาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ และพวกเขาก็ไม่ได้ชายตามองมาที่พระคริสต์อีกเลย หัวใจของพวกเขาหมกมุ่นอยู่กับชื่อเสียง ความมีโชคและความรุ่งโรจน์ พวกเขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่บุคคลตัวเล็กๆ เช่นนั้นจะสามารถพิชิตได้มากมายขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาไม่มีอะไรน่าสนใจอย่างนั้นจะสามารถทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้ พวกเขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกนอกสายตาเหล่านี้ท่ามกลางฝุ่นและกองขยะจะเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาเชื่อว่าหากผู้คนเช่นนั้นคือวัตถุแห่งความรอดของพระเจ้า ถ้าอย่างนั้นแล้วสวรรค์และโลกก็คงจะกลับด้านกัน และผู้คนทุกคนก็คงจะหัวเราะจนท้องแข็ง พวกเขาเชื่อว่าหากพระเจ้าทรงเลือกสรรพวกนอกสายตานั้นเพื่อที่จะทำให้มีความเพียบพร้อมถ้าอย่างนั้นแล้วบรรดามนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายก็คงจะกลายเป็นพระเจ้าไปเสียเอง มุมมองของพวกเขานั้นด่างพร้อยไปด้วยการไม่เชื่อเกินกว่าที่กำลังไม่เชื่อ พวกเขาเป็นแค่สัตว์ป่าที่วิปริตผิดแปลก เพราะว่าพวกเขาเห็นคุณค่าเฉพาะสถานภาพเกียรติยศและอำนาจเท่านั้น และพวกเขาก็เคารพนับถือเฉพาะบรรดากลุ่มและนิกายใหญ่ๆ เท่านั้น พวกเขาไม่ได้มีความนับถือสำหรับบรรดาผู้ที่ได้รับการทรงนำโดยพระคริสต์แม้แต่น้อย พวกเขาเป็นแค่คนทรยศที่หันหลังให้พระคริสต์ ความจริง และชีวิต

สิ่งที่เจ้าเลื่อมใสนั้นไม่ใช่ความถ่อมใจของพระคริสต์ แต่เป็นบรรดาผู้เลี้ยงเทียมเท็จที่มีตำแหน่งอันโดดเด่นเหล่านั้น เจ้าไม่ได้ชื่นชมบูชาความดีงามหรือพระปัญญาของพระคริสต์ แต่เป็นพวกคนหลงระเริงที่เกลือกกลิ้งในความโสมมของโลก เจ้าหัวเราะให้กับความเจ็บปวดของพระคริสต์ที่ไม่มีที่จะวางพระเศียรของพระองค์ แต่เจ้ากลับเลื่อมใสบรรดาซากศพเหล่านั้นที่ตามล่าหาของถวายและใช้ชีวิตอยู่กับความเสเพล เจ้าไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์เคียงข้างพระคริสต์ แต่เจ้ากลับเปรมปรีดิ์ที่จะโผเข้าสู่อ้อมแขนของพวกต่อต้านพระคริสต์ที่บ้าบิ่นสิ้นคิดเหล่านั้น แม้พวกเขาจะจัดหาให้เจ้าเพียงแค่เนื้อหนัง คำพูดและการควบคุม แม้ว่าบัดนี้หัวใจของเจ้ายังคงหันเข้าหาพวกเขา เข้าหาความมีหน้ามีตาของพวกเขา เข้าหาสถานภาพของพวกเขา เข้าหาอิทธิพลของพวกเขา และกระนั้นเจ้าก็ยังคงสงวนท่าทีที่ทำให้เจ้าพบว่าพระราชกิจของพระคริสต์นั้นยากที่จะกลืนลง และเจ้าก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับพระราชกิจนั้น  นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราจึงกล่าวว่าเจ้าขาดความเชื่อที่จะยอมรับพระคริสต์ เหตุผลที่เจ้าได้ติดตามพระองค์มาจนถึงวันนี้ก็เพียงเพราะเจ้าไม่มีทางเลือกอื่น  ภาพลักษณ์อันสูงส่งเป็นชุดๆ ตั้งตระหง่านอยู่ในหัวใจของเจ้าตลอดกาล เจ้าไม่อาจลืมทั้งวาจาและความประพฤติทุกอย่างของพวกเขา และคำพูดกับมือที่มีอิทธิพลของพวกเขาได้ ในหัวใจของพวกเจ้านั้น พวกเขาคือผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดตลอดกาลและเหล่าวีรบุรุษตลอดกาล แต่นี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นสำหรับพระคริสต์ในวันนี้ พระองค์ไม่มีนัยสำคัญตลอดกาลในหัวใจของเจ้าและไม่คู่ควรที่จะได้รับความยำเกรงตลอดกาล เพราะพระองค์นั้นทรงมีความเป็นธรรมดาเกินไปมาก ทรงมีอิทธิพลน้อยเกินไปมาก และห่างไกลจากคำว่าสูงส่ง

ไม่ว่าในกรณีใด เราย่อมกล่าวว่าทุกคนที่ไม่เห็นค่าของความจริงคือผู้ไม่เชื่อและเป็นคนที่ทรยศความจริง  พวกมนุษย์เช่นนั้นจะไม่มีวันได้รับการยอมรับจากพระคริสต์  บัดนี้เจ้าได้ระบุหรือยังว่ามีความไม่เชื่อมากเพียงใดอยู่ภายในตัวเจ้า และเจ้ามีการทรยศต่อพระคริสต์มากเพียงใด? เราเคี่ยวเข็ญเจ้าดังนี้ว่า เนื่องจากเจ้าได้เลือกหนทางแห่งความจริงเช่นนั้นแล้วเจ้าจึงควรอุทิศตัวเจ้าเองโดยสุดหัวใจ จงอย่าลังเลหรือไม่เต็มใจ  เจ้าควรเข้าใจว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นของโลกหรือบุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่เป็นของผู้คนทุกคนที่เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริง ผู้คนทุกคนที่นมัสการพระองค์ และผู้คนทุกคนที่อุทิศตนและสัตย์ซื่อต่อพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงหรือไม่?

ความสำคัญหลักในการติดตามพระเจ้าคือทุกสิ่งควรเป็นไปอย่างสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ กล่าวคือ ไม่ว่าเจ้าจะไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิตหรือการสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าก็ตาม ทุกสิ่งควรมีศูนย์กลางอยู่ที่พระวจนะของพระเจ้าในวันนี้  หากสิ่งที่เจ้าสามัคคีธรรมและแสวงหาการเข้าไม่ได้มีศูนย์กลางอยู่ที่พระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็แปลกหน้าต่อพระวจนะของพระเจ้า และสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างสิ้นเชิง  สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์คือผู้คนที่ติดตามรอยพระบาทของพระองค์  ไม่ว่าสิ่งที่เจ้าเข้าใจมาก่อนนั้นจะมหัศจรรย์และบริสุทธิ์เพียงใด พระเจ้าก็ไม่ทรงต้องประสงค์สิ่งนั้น และหากเจ้าไม่สามารถละวางสิ่งเหล่านั้นได้ เช่นนั้นแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็จะเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อการเข้าสู่ของเจ้าในอนาคต  บรรดาผู้ที่สามารถติดตามความสว่างปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมได้รับพร  ผู้คนในยุคก่อนๆ ก็ติดตามรอยพระบาทของพระเจ้าเช่นกัน แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถติดตามมาจนถึงทุกวันนี้ นี่จึงเป็นพรของผู้คนในยุคสุดท้าย  บรรดาผู้ที่สามารถติดตามพระราชกิจปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้และสามารถติดตามรอยพระบาทของพระเจ้าจนถึงขนาดที่พวกเขาติดตามพระเจ้าไปไม่ว่าพระองค์จะทรงนำทางพวกเขาไปยังที่ใด—เหล่านี้คือผู้คนที่ได้รับพรจากพระเจ้า  พวกที่ไม่ได้ติดตามพระราชกิจปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมไม่ได้เข้าสู่พระราชกิจแห่งพระวจนะของพระเจ้า และไม่ว่าพวกเขาจะทำงานมากมายเพียงใด หรือความทุกข์ของพวกเขาใหญ่หลวงเพียงใด หรือพวกเขาวิ่งวุ่นเพียงใด สิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีความหมายอะไรกับพระเจ้า และพระองค์จะไม่ทรงชมเชยพวกเขา  วันนี้บรรดาผู้ที่ติดตามพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้าล้วนอยู่ในกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกที่แปลกหน้าต่อพระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ต่างอยู่นอกกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผู้คนเช่นนั้นไม่ได้รับการชมเชยจากพระเจ้า… “การติดตามพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์” หมายถึงการเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าในวันนี้ สามารถกระทำการอย่างสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ในปัจจุบันของพระเจ้า สามารถนบนอบและติดตามพระเจ้าของวันนี้ และเข้าสู่อย่างสอดคล้องกับถ้อยดำรัสใหม่ล่าสุดของพระเจ้า  นี่คือใครคนหนึ่งที่ติดตามพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และอยู่ในกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น  ผู้คนเช่นนี้ไม่เพียงสามารถรับการสรรเสริญจากพระเจ้าและมองเห็นพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังสามารถรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าจากพระราชกิจล่าสุดของพระเจ้า และสามารถรู้จักมโนคติอันหลงผิดและการกบฏของมนุษย์และธรรมชาติและแก่นแท้ของมนุษย์จากพระราชกิจล่าสุดของพระองค์ได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังสามารถค่อยๆ สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของพวกเขาในระหว่างการปรนนิบัติของพวกเขา  เฉพาะผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถได้รับพระเจ้า และเป็นผู้ที่พบหนทางที่แท้จริงโดยแท้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, รู้จักพระราชกิจใหม่ล่าสุดของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระองค์

ฉากตัดตอนจากภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง

พระสันตะปาปาสามารถแทนองค์พระเจ้าได้หรือไม่? การฟังพระสันตะปาปาใช่การเชื่อฟังพระเจ้าหรือไม่?

คำพยานจากประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง

ทางเลือกของบาทหลวงคาทอลิก (ภาคแรก)

คำเทศนาที่เกี่ยวข้อง

การติดตามผู้นำศาสนาคือการติดตามพระเจ้าใช่หรือไม่?

เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง

ทุกสรรพสิ่งจะนบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า

มนุษย์ไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระคริสต์

ก่อนหน้า: 16. มโนคติอันหลงผิดของโลกศาสนามีว่า “เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมา ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะทรงปรากฏและทรงพระราชกิจในประเทศจีน”

ถัดไป: 19. มโนคติอันหลงผิดของโลกศาสนามีว่า “นิกายคาทอลิกคือศาสนจักรที่จริงแท้ที่สุด การผละจากศาสนจักรคาทอลิกคือการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า”

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger